ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 804-805
ตอนที่ 804 มรดกสุดท้าย
Ink Stone_Fantasy
พร้อมกับที่ตำหนักใหญ่ลอยออกมา พื้นดินก็ยิ่งสะเทือนรุนแรง พวกหลิ่วหมิงสามคนกระตุ้นพลังเวทลอยขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัด ทว่าแต่ละคนล้วนมองตำหนักขนาดมหึมาที่ผุดขึ้นมาจากพื้นไม่หยุดอย่างไม่ละสายตา
เวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยให้หลัง แรงสั่นสะเทือนดังครืดคราดถึงสงบลง
ตำหนักใหญ่สีทองสูงถึงเจ็ดแปดสิบจั้งกินพื้นที่ราวหลายหมู่ ตำหนักใหญ่ทั้งหลังไม่ว่ายอดเสาปลายหลังคาหรือราวล้วนสลักด้วยสีทอง ด้านบนมีอักขระที่ไม่รู้จักเคลื่อนจากบนลงล่างไม่หยุดอยู่เลือนราง ทำให้คนรู้สึกพรั่นพรึงอย่างไม่อาจเข้าใจได้
หลายลมหายใจให้หลัง แสงสีทองบนประตูตำหนักก็สลายไปเล็กน้อย ประตูใหญ่ซึ่งทาสีทองส่องแสงเรืองรองสามบานปรากฏขึ้น
ประตูแต่ละบานสูงห้าหกจั้ง กว้างสองสามฉือ ตรงใจกลางประตูมียันต์สีเลือดขนาดเท่าฝ่ามือดวงหนึ่งกำลังกะพริบไม่หยุด
สิ่งที่ทำให้ทั้งสามคนยิ่งสนใจก็คือตำแหน่งของประตูทั้งสามบานแม้อยู่ไกลแต่พอดีตรงกับทั้งสามคน
“ฮ่าฮ่า ดูท่านี่ถึงจะเป็นการทดสอบของมรดกชิ้นสุดท้ายนั่น” หลังบุรุษผมม่วงหัวเราะฮ่าฮ่าครั้งหนึ่งก็ไม่สนใจสองคนที่เหลืออีก รอบร่างเปล่งแสงสีม่วงกลายเป็นแสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งเข้าไปทันที
ความเร็วของเขาเร็วอย่างที่สุด กะพริบวูบวาบสองสามครั้งก็ปรากฏตัวตรงหน้าประตูใหญ่ เขายกมือขึ้นกลางอากาศ เงาฝ่ามือยักษ์สีม่วงขนาดหนึ่งจั้งกว่าข้างหนึ่งก่อตัวขึ้นกลางอากาศพัดหวีดหวิวไปหาประตูตำหนัก
เสียง “ปึง” ดังขึ้นทีหนึ่ง
เงาฝ่ามือยักษ์สีม่วงแตะถูกประตูใหญ่ปุบก็ส่องแสงเล็กน้อยแล้วระเบิดกระจาย กลายเป็นปราณสีม่วงถูกยันต์สีเลือดดูดซับไปหมดสิ้นประหนึ่งวาฬยักษ์สูดน้ำ
ยันต์สีเลือดที่เดิมทีขนาดกำปั้นบนประตูพริบตาขยายใหญ่ขึ้นเท่าหนึ่งแล้วเริ่มกะพริบวูบวาบอย่างบ้าคลั่ง
บุรุษผมม่วงเห็นเช่นนี้สีหน้าก็เคร่งขรึม แววตาครุ่นคิดแล่นผ่านในดวงตาแล้วหายไป โจมตีออกมาอีกสองฝ่ามือติด
เสียงตุบตับแผ่วเบาสองครั้งดังออกมา เงาฝ่ามือยักษ์สองข้างกลายเป็นไอหมอกสีม่วงระเบิดแตกกระจายแล้วถูกยันต์สีเลือดดูดเข้าไปอีกหนเช่นเดิม
หลังยันต์นี้ดูดกลืนไอหมอกเหล่านี้ไปก็ประหนึ่งกินโอสถบำรุงขยายพรวดขึ้นอีกหนึ่งเท่าจนมีขนาดหนึ่งฉื่อกว่า
บุรุษผมม่วงแค่นเสียงเหอะคำหนึ่ง สองมือยังคงต่อยใส่ประตูยักษ์สีทองอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด
ชายหนุ่มรถเงินกับหลิ่วหมิงเห็นสภาพเช่นนี้ หลังมองตากันทีหนึ่ง หัวใจก็หวั่นไหว ร่างกายขยับไม่กี่ครั้งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงด้านหน้าของประตูใหญ่ที่ใกล้ตัวเองที่สุดเช่นกัน
ชายหนุ่มรถเงินยกมือขึ้น ยันต์สีเทาขมุกขมัวบินพุ่งออกมา
เสียงบึ๊มดังสนั่นลอยมา!
ยันต์กลางอากาศค่อยๆ กลายเป็นแสงรัศมีสีเทาดวงแล้วดวงเล่าระเบิดออก พุ่งโจมตีอย่างรุนแรงจนอากาศใกล้ๆ บิดเบี้ยวไปพักหนึ่ง ประตูใหญ่สีทองทั้งบานสั่นสะเทือนจนส่งเสียงดังฮึมขึ้นมาด้วย
หลังยันต์สีเลือดบนประตูส่องแสง เส้นไหมสีเลือดนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากข้างในอย่างเงียบเฉียบโอบรัดรัศมีสีเทาลากเข้าไป แสงรัศมียันต์สีเลือดสว่างเพิ่มขึ้นไม่น้อยเช่นกัน
ส่วนหลิ่วหมิงรอบร่างปราณสีดำพลุ่งพล่านออกมา สองแขนพร่าเลือนไปวูบหนึ่งก็สร้างเงาหมัดสีดำเหมือนกันเปี๊ยบเจ็ดแปดหมัดออกมา
เสียง “ฟึบๆ” ดังขึ้น เงาหมัดแต่ละหมัดโจมตีลงบนยันต์สีเลือดบนบานประตูอย่างแม่นยำไม่มีพลาด ทำให้มันสั่นคลอนเล็กน้อยแล้วใหญ่ขึ้นในทันใดเช่นกัน
ทั้งสามคนล้วนโจมตีประตูใหญ่เบื้องหน้าอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้
ครู่หนึ่งให้หลังบนประตูใหญ่เบื้องหน้าบุรุษผมม่วง ยันต์สีเลือดก็มีขนาดถึงสองจั้ง แทบจะอัดเต็มครึ่งค่อนประตูใหญ่ นอกจากนี้พร้อมกับที่เงาฝ่ามือยักษ์โจมตีออกมาไม่หยุด แสงรัศมีก็ยิ่งกะพริบเร็วขึ้น ท่าทางคล้ายจะระเบิดอยู่เลือนราง
หลังยันต์สีเลือดขยายใหญ่ขึ้นอีกเท่าหนึ่ง ในที่สุดมันก็ลอยหลุดออกมาจากประตูพร้อมกับเสียงแผ่วเบา จากนั้นมันก็หมุนติ้วรอบหนึ่งกลายเป็นแสงสีเลือดจุดแล้วจุดเล่าระเบิดออก
ประตูใหญ่ตรงหน้าบุรุษผมม่วงเปิดออกดังปัง
“ฮ่าฮ่า! ทั้งสองท่านไม่ต้องรีบร้อน ข้าไปรับสมบัติก่อนล่ะ” บุรุษผมม่วงโจมตีเต็มแรงต่อเนื่อง ผลาญพลังเวทไปไม่น้อย สีหน้าจึงซีดขาวอยู่บ้าง แต่เห็นสถานการณ์เช่นนี้เขาก็หัวเราะบ้าคลั่งทีหนึ่ง ร่างกายโฉบวูบหายไปจากสายตาของทั้งสองคน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ทำหน้าเสียดาย หลังตวาดเบาๆ คำหนึ่ง สองแขนพลันหนาขึ้นต่อยหลายสิบหมัดต่อเนื่องเข้าใส่ยันต์สีเลือดบนประตู
เสียงมังกรกรีดร้องพยัคฆ์คำรามดังขึ้นพักหนึ่ง เงาหมัดมากมายถี่รัวโจมตีลงบนยันต์ ยันต์สีเลือดบนประตูที่ตรงกันดูดกลืนปราณดำสายแล้วสายเล่าจากสายลมหมัดของเขาแล้วขยายขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ชายหนุ่มรถเงินหน้าประตูใหญ่อีกบานหนึ่งเห็นชายหนุ่มผมม่วงชิงนำไปก่อน สีหน้าก็เคร่งขรึมเช่นกัน เขาล้วงลูกแก้วกลมใสที่ส่องแสงสีเขียวเรืองรองหลายลูกออกมาจากในกำไลเก็บของแล้วโยนลงไปบนพื้นอีกครั้ง
พร้อมกับที่ปากเขาท่องมนตร์ ผิวหน้าของลูกแก้วกลมก็ส่องแสงสีเขียวจากนั้นกลายร่างเป็นหุ่นวิหคยักษ์ซึ่งดูราวกับมีชีวิตสูงหนึ่งจั้งกว่าหลายตัวยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่หลังร่างเขา
ชายหนุ่มรถเงินสิบนิ้วขยับรัวใช้เคล็ดวิชาท่าแล้วท่าเล่า สองตาของหุ่นวิหคสีเขียวก็ส่องประกาย ปากใหญ่อ้ากว้างพ่นลำแสงสีเขียวสายแล้วสายเล่าพุ่งดังหวีดหวิดตรงไปยังประตูใหญ่
เสียงบึ๊มดังสนั่น!
เวลานี้หลังหลิ่วหมิงโถมโจมตีมาได้พักหนึ่ง ยันต์สีเลือดบนประตูใหญ่ก็ขยายพรวดไม่หยุด แต่ขาดอีกนิดหน่อยจึงยังไม่อาจบินหลุดออกมาจากประตูได้ เขาสีหน้าเคร่งขรึมในทันใด มือข้างหนึ่งทำท่าเคล็ดกระบี่ กระบี่เล็กสีทองเล่มหนึ่งก็บินออกมาจากหว่างคิ้วกลายเป็นแสงสีทองฟันออกไปในพริบตา
หลังเสียง “ปัง” ดังขึ้นทีหนึ่ง แสงกระบี่ก็ฟันลงบนยันต์สีเลือด ปราณกระบี่สายแล้วสายเล่าพุ่งกรอกเข้าไปด้านใน
ครู่ต่อมายันต์บนประตูพลันกะพริบแล้วลอยออกมา จากนั้นส่งเสียงดังเปรี้ยงกลายเป็นแสงสีเลือดดวงแล้วดวงเล่าระเบิดกระจาย
แสงรัศมีบนกระบี่บินสีทองหม่นแสงลงไปประมาณหนึ่งเนื่องจากเสียปราณกระบี่ไปจำนวนมากในชั่วพริบตาหลังถูกหลิ่วหมิงกวักมือข้างหนึ่งเรียกมันก็กลายเป็นกระบี่น้อยสีทองเล่มหนึ่งบินพุ่งกลับไปในร่างเขา
แทบจะในพริบตาที่หลิ่วหมิงทำลายชั้นจำกัดบนประตูได้ หลังถูกลำแสงสีเขียวโจมตีต่อเนื่อง ประตูใหญ่ด้านหน้าชายหนุ่มรถเงินก็ส่งเสียงดังครืนเปิดออกเช่นกัน
ทั้งสองคนไม่ลังเลสักนิดทะยานร่างเข้าไปพร้อมกัน
เมื่อเข้ามาด้านในตำหนักใหญ่ สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าพวกเขาก็คือห้องโถงใหญ่สีทองอร่ามยาวร้อยจั้ง กว้างยี่สิบกว่าจั้งแห่งหนึ่ง
เช่นเดียวกับด้านนอกตำหนักใหญ่แห่งนี้ ด้านในห้องโถงแทบจะเป็นสีทองอร่ามทั้งหมด นอกจากนี้ส่วนใหญ่ยังถูกทะเลหมอกสีทองจางๆ ล้อมอยู่ด้วย
สองฝั่งของห้องโถงใหญ่มีเสาศิลาสีทองหนาทั้งหมดสิบแปดต้นตั้งตระหง่านอยู่ บนเสาศิลาเก้าต้นฝั่งซ้ายคือมังกรยักษ์ที่ดูราวกับมีชีวิตตัวแล้วตัวเล่ากำลังอ้าปากกางกรงเล็บพันขด ส่วนบนเสาศิลาฝั่งขวาคือหงส์ทองตัวแล้วตัวเล่ากางปีกโผบิน
สุดปลายห้องโถงใหญ่วางเก้าอี้ไม้ที่ส่องแสงสีทองจางๆ ตัวหนึ่งไว้ บนนั้นรูปสลักผู้เฒ่าชุดสีน้ำเงินผู้มีใบหน้าสงบดูราวกับมีชีวิตคนหนึ่งนั่งหลังตรงอยู่
เบื้องหน้ารูปสลักผู้เฒ่าคือโต๊ะบูชาหินสีเทาสี่เหลี่ยมสูงราวหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่ง ด้านบนหีบไม้สามใบวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ แต่ละกล่องถูกแสงจิตวิญญาณจางๆ ต่างสีสันชั้นหนึ่งล้อมอยู่ แลดูค่อนข้างลึกลับ
ด้านบนหีบไม้สีม่วงใบแรกคือแสงจิตวิญญาณสีม่วงจางชั้นหนึ่ง ปรากฏลวดลายจิตวิญญาณรูปดอกโบตั๋นดอกแล้วดอกเล่าไหลเคลื่อนเชื่องช้าอยู่ บนหีบไม้ยังมีกลิ่นไม้จันทน์อ่อนๆ ลอยออกมาเลือนรางอีกด้วย
บนหีบไม้สีทองอ่อนใบที่สองคือแสงจิตวิญญาณสีทองอ่อนชั้นหนึ่ง ด้านบนมีลวดลายจิตวิญญาณรูปดอกบัววงแล้ววงเล่าประหนึ่งวงปี แผ่กลิ่นหอมเย็นอ่อนๆ ออกมา
หีบไม้ใบที่สามทั้งใบเป็นสีเงินยวง ด้านบนมีเปลวเพลิงสีเงินจางชั้นหนึ่งขยับวูบไหวไม่หยุดเช่นกัน ด้านบนลวดลายจิตวิญญาณรูปดอกสาลี่เล็กละเอียดเป็นดวงๆ ราวกับดวงดาราไหลเคลื่อนอยู่อย่างเห็นได้เจน ส่งกลิ่นหอมชวนเมามายชนิดหนึ่งออกมา
หลิ่วหมิงอยู่ห่างร้อยกว่าจั้งก็ยังคงได้กลิ่นหอมจางที่แผ่ออกมาจากหีบไม้สามใบอยู่เลือนราง จากสาเหตุนี้ยิ่งเห็นถึงความไม่ธรรมดาของวัตถุในหีบ
แม้ครั้งนี้ไม่มีคำสั่งใด แต่เห็นชัดยิ่งว่าหีบไม้สามใบนี้ย่อมเป็นของรางวัลของการทดสอบด่านนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อหลิ่วหมิงกวาดสายตาไปด้านข้างก็ค้นพบอย่างประหลาดใจว่าบุรุษผมม่วงยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล ใบหน้าโกรธเกรี้ยวอยู่นิดๆ
เบื้องหน้าร่างเขาไอหมอกสีทองสายหนึ่งกลายเป็นกำแพงขวางทางอยู่ ทำให้เขาไม่อาจเคลื่อนไปข้างหน้าได้เลยสักนิด
“มรดกของข้า ผู้มีวาสนาจึงได้ครอง!”
เสียงแก่ชราเสียงหนึ่งฉับพลันดังก้องไม่หยุดในห้องโถงใหญ่ทั้งห้อง
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าสองหูดังอื้ออึง รู้สึกประหนึ่งวิญญาณจะถูกดึงออกจากร่างไปทั้งอย่างนั้น ทะเลจิตรับรู้ทั้งหมดสะเทือนประหนึ่งจะถล่มทลาย
เขาตกใจรีบร้อนกระตุ้นเคล็ดวิชา ในสมองกระแสความเย็นสายหนึ่งซัดเข้ามาถึงมีสติแจ่มชัด เมื่อยืนตั้งร่างมั่นคงได้ใหม่อีกครั้ง เขาก็รีบกวาดสายตามองไปด้านหน้า
เสียงที่เอ่ยวาจานี้คล้ายดังออกมาจากรูปสลักผู้เฒ่าชุดสีน้ำเงินที่นั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ไม้ซึ่งส่องแสงสีทอง
บุรุษผมม่วงรวมถึงชายหนุ่มรถเงินที่อยู่อีกด้านสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวอยู่พักหนึ่งเหมือนกัน เห็นชัดว่าถูกเสียงเมื่อครู่สั่นสะเทือนดวงจิตไปครู่หนึ่งเช่นกัน
ทว่าหลังเสียงนี้จบลงกำแพงปราณสีทองเบื้องหน้าบุรุษผมม่วงพริบตาก็แตกสลายหายไป
ตอนนี้เองเสาศิลาสีทองสิบแปดต้นรอบด้านฉับพลันส่องสว่าง แสงสีทองสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาจากดวงตาของมังกรกับหงส์บนเสาศิลาเกี่ยวกระหวัดไขว้กันจนคนตาพร่าพักหนึ่งก็จมลงไปในทะเลหมอก
ทันใดนั้นทะเลหมอกสีทองก็เคลื่อนโถมแยกออกซ้ายขวา ก่อตัวเป็นทางสามเส้น ทางแต่ละเส้นเชื่อมตรงไปยังโต๊ะบูชาที่อยู่ห่างไปสี่ห้าจั้ง
ทั้งสามคนเห็นเช่นนี้ ไหนเลยจะไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น พวกเขาต่างบินพุ่งตรงดิ่งไปยังทางที่ใกล้ที่สุดเบื้องหน้า
หลิ่วหมิงพุ่งเข้าไปในเส้นทางปุบก็รู้สึกว่าอากาศรอบด้านอึดอัด ทั้งร่างหนักอึ้ง ทั้งตัวกลายเป็นหนักหมื่นชั่ง
เสียงหนักหน่วงดังขึ้น!
สองเท้าของเขาเหยียบลงบนเส้นทางสีทองอย่างหนักหน่วง ชักพาให้เส้นทางทั้งเส้นสั่นสะเทือนเล็กน้อย
ไม่รอให้เขายืนตั้งร่างมั่นคง ซ้ายขวาสองฝั่งก็มีเสียงหนักหน่วงสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน เสียงมาจากบุรุษผมม่วงกับชายหนุ่มรถเงินผู้นั้นนั่นเอง
บุรุษผมม่วงร่อนลงพื้นปุบ ร่างกายพลันสั่นสะท้าน ปราณสีม่วงรอบร่างไหลเคลื่อนพักหนึ่งถึงทนรับไหวได้อย่างสบายๆ
ชายหนุ่มรถเงินอีกด้านหนึ่งร่อนลงพื้นปุบร่างกายก็ซวนเซ หลังแค่นเสียงทีหนึ่งถึงหวุดหวิดตั้งร่างมั่นคงได้
“ชั้นจำกัดอาณาเขตเพิ่มแรงโน้มถ่วง น่าสนใจดี”
บุรุษผมม่วงพบสถานการณ์นี้กลับไม่ตระหนกแต่ยินดี หลังหัวเราะเขาก็เก็บเพลิงปราณสีม่วงทั่วร่างไป ลวดลายจิตวิญญาณเส้นแล้วเส้นเล่าบนใบหน้าส่องสว่างขึ้นอีกหน หลังเหล่มองทั้งสองคนด้านซ้ายขวาอย่างเย็นชา ทั่วร่างเขาก็เปล่งแสงสีม่วงวูบวาบก้าวยาวมุ่งไปหาโต๊ะบูชาประหนึ่งแรงโน้มถ่วงน่าตะลึงตลอดเส้นทางไม่มีผลกับเขาแต่อย่างใด
เวลานี้หลิ่วหมิงกำลังใช้เคล็ดวิชาด้วยมือข้างหนึ่ง ทั่วร่างหมอกสีดำพลุ่งพล่านโถมออกมา ร่างกายสูงขึ้นครึ่งจั้ง กระดูกส่งเสียงเปรี๊ยะดังกึกก้องเป็นพักๆ จากนั้นมือข้างหนึ่งก็พลิกเรียกยันต์ที่ส่องแสงสีฟ้าเรืองรองแผ่นหนึ่งออกมาจากแหวนย่อส่วนแล้วตบลงบนร่าง
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้นทีหนึ่ง แสงสีฟ้าอ่อนชั้นหนึ่งก็ลอยออกมาล้อมไว้ จากนั้นเขาจึงใช้วิชาตัวเบาและวิชาลับช่วยเสริมอีกหลายวิชากับร่างตัวเอง
หลังหลิ่วหมิงทำทุกสิ่งนี้เสร็จสิ้นคิ้วถึงคลายออกเล็กน้อย เดินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อนไม่ลนลาน
อีกด้านหนึ่งหลังชายหนุ่มรถเงินจากนิกายเทียนกงโงนเงนสักพักก็ยืนมั่นคงได้ มือข้างหนึ่งตบลงบนชุดเกราะจักรกลสีทองเรืองรองชุดนั้นบนร่างตน แสงสีทองก็กะพริบวูบหนึ่ง ปีกจักรกลสีทองขนาดหนึ่งจั้งกว่าสามคู่ก่อตัวออกมาจากแผ่นหลังของเขาแล้วกระพือขึ้นลงดังพรึ่บพรั่บไม่หยุด พัดสายลมแรงหอบแล้วหอบเล่าออกมา
ตอนนี้ชายหนุ่มรถเงินถึงเผยสีหน้ายินดีเล็กน้อย เขาอาศัยพลังของปีกจักรกลเคลื่อนไปด้านหน้าช้าๆ ความเร็วต่างจากหลิ่วหมิงไม่เท่าไร แต่เทียบกับบุรุษผมม่วงยังคงช้ากว่ามาก
ตอนที่ 805 เส้นทาง
แม้ชั้นจำกัดแรงโน้มถ่วงบนเส้นทางจะร้ายกาจอย่างยิ่ง แต่ด้วยความสามารถของทั้งสามคน เวลาเพียงชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยให้หลังก็ยังคงเดินมาได้ช่วงหนึ่ง
เวลานี้หลิ่วหมิงอยู่ห่างจากโต๊ะบูชาราวห้าสิบกว่าจั้ง ชายหนุ่มรถเงินช้าอยู่เล็กน้อย ส่วนบุรุษผมม่วงไม่ทราบมีวิชาลับอันใดเสริมส่ง เทียบกับทั้งสองคนเร็วกว่าไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด ห่างจากโต๊ะบูชาเพียงยี่สิบกว่าจั้งเท่านั้น
หลิ่วหมิงในเวลานี้ก้าวช้ากว่าก่อนหน้านี้มาก แต่ละก้าวที่ยกขึ้นนั้นยากลำบาก
เขาสัมผัสได้ชัดเจนว่ายิ่งใกล้โต๊ะบูชา แรงโน้มถ่วงที่เพิ่มขึ้นมายิ่งทบเท่าทวี นี่ก็เพราะกายเนื้อของเขาแข็งแกร่งพอจึงยังคงก้าวต่อไปได้ทีละก้าวๆ เช่นนี้
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายระดับเดียวกันทั่วไปสักคน เกรงว่าคงทนรับน้ำหนักไม่ไหวทรุดลงไปกับพื้นนานแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงคาดไม่ถึงอยู่บ้าง นอกจากกายเนื้อของบุรุษผมม่วงที่แข็งแกร่งจนน่าตะลึง ก็คือชายหนุ่มรถเงินใต้การปกป้องของชุดเกราะจักรกลสีทองชุดนั้นทนได้มาถึงตอนนี้ทั้งยังมีแรงเหลืออีก
บุรุษผมม่วงเป็นเพียงคนเดียวในระดับเดียวกันเท่าที่หลิ่วหมิงเคยเห็นมาซึ่งกายเนื้อแข็งแกร่งกว่าเขาอยู่หลายส่วนอย่างเห็นได้ชัด
นี่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกหวั่นเกรงอย่างยิ่ง
เขาครุ่นคิดเล็กน้อยก็หยุดอยู่กับที่ พลิกมือเรียกโอสถจินหยวนเม็ดหนึ่งออกมาแล้วกำหินจิตวิญญาณระดับสุดยอดสองลูกไว้ในมือ สูดลมหายใจลึกอีกเฮือกหนึ่งแล้วก้าวยาวไปต่อ
เวลานี้เองเสียง “ฟึบๆ” ก็ดังขึ้นหลายหน ยันต์แวววาวห้าหกแผ่นบินทแยงต่อกันผ่านข้างกายเขาไปตรงที่ชายหนุ่มผมม่วงอยู่
“ระเบิด”
ชายหนุ่มรถเงินในเส้นทางด้านข้างโพล่งเบาๆ ออกจากปากคำหนึ่ง เสียงระเบิดรัวก็ดังขึ้น ยันต์แวววาวห้าหกแผ่นระเบิดข้างตัวชายหนุ่มผมม่วงกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งเต็มท้องฟ้าในทันใด ไอเย็นเยียบทิ่มแทงกระดูกสายหนึ่งโถมเข้าใส่หน้า
ยันต์หลายแผ่นนี้เป็นยันต์แช่แข็งที่หาได้ยาก ส่วนสองฝั่งของเส้นทางซึ่งดูเหมือนไอหมอกสีทองอันลี้ลับกลับไม่ขัดขวางไม่ให้ยันต์เหล่านี้ทะลุผ่านไปสักนิด
ชายหนุ่มผมม่วงไม่ทันระวังจึงถูกน้ำแข็งหนาหนึ่งชุ่นกว่าปกคลุมแทบจะในพริบตา กลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งมนุษย์ ยืนตระหง่านอยู่ที่เดิมนิ่งไม่กระดุกกระดิก
หลิ่วหมิงเห็นเรื่องนี้ก็ยินดี ไม่พูดพร่ำก็ยกแขนเสื้อขึ้น ยันต์สีทองตั้งหนึ่งบินพุ่งออกมา
เสียง “เปรี๊ยะ” ดังขึ้น แสงอสนีบาตสีทองเส้นแล้วเส้นเล่าฉายวาบกลายเป็นอสรพิษสายฟ้าสีทองยาวสองสามจั้งตัวแล้วตัวเล่ากักชายหนุ่มผมม่วงที่กลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งไว้แน่นหนา
หลิ่วหมิงกับชายหนุ่มรถเงินลงมือจัดการบุรุษผมม่วงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ข้ายังไม่ทันสร้างความลำบากให้พวกเจ้า พวกเจ้าก็กล้าลงมือ ไม่รู้จักกลัวตายจริงๆ!”
แต่ยังไม่ทันที่พวกหลิ่วหมิงสองคนจะฉวยโอกาสไล่ตามไปสักหลายจั้ง สองสามลมหายใจให้หลัง เสียงตวาดโกรธเกรี้ยวก็ดังออกมาจากในรูปสลักน้ำแข็ง รอยแตกเส้นแล้วเส้นเล่าปรากฏขึ้นบนรูปสลักน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว
เสียง “ปัง!” ดังกังวาน
น้ำแข็งสีขาวแตกกระจาย อสนีบาตสีทองแหลกกระจุย บุรุษชุดม่วงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้นปรากฏตัวออกมา
คนผู้นี้กระทั่งศีรษะก็ไม่หันกลับ แขนพร่าเลือนวูบหนึ่ง แสงรัศมีสีม่วงยาวหนึ่งจั้งกว่าหลายสายก็ก่อตัวบนมือ พวกมันสั่นวูบหนึ่งก็พุ่งเร็วรี่เข้าใส่จุดที่หลิ่วหมิงกับชายหนุ่มรถเงินอยู่พร้อมเสียงระเบิด
สายตาหลิ่วหมิงเย็นเยียบ แขนเสื้อยกขึ้นเล็กน้อย โล่แผ่นน้อยสีเหลืองแผ่นหนึ่งบินพุ่งออกมา กลายเป็นโล่ยักษ์สีเหลืองขมุกขมัวแผ่นหนึ่งเบื้องหน้าเขา
หลังโล่ยักษ์หมุนติ้วรอบหนึ่ง บนผิวก็ปรากฏเงาภูเขาลูกย่อมๆ ลูกหนึ่งออกมา
เสียง “ปังๆ” ดังขึ้น
แสงรัศมีสีม่วงสัมผัสถูกเงาภูเขาขนาดย่อมก็หม่นแสงลงไปบางส่วนอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นแสงสีม่วงเรียวเล็กเส้นแล้วเส้นเล่าดีดพุ่งกลับไปรอบด้าน
ชายหนุ่มรถเงินเองก็เคลื่อนไหวเร็วอย่างที่สุด แขนเสื้อสะบัดไหวปล่อยกระบี่บินจักรกลที่ส่องแสงสีน้ำเงินขมุกขมัวหลายเล่มออกมาต่อเนื่อง พริบตาเดียวกลายเป็นแสงรัศมียาวหนึ่งจั้งกว่าเส้นแล้วเส้นเล่าประจันเข้าหารัศมีสีม่วงที่เหลืออยู่
ทันใดนั้นเสียงเปรี๊ยะดังลั่นก็ดังขึ้นในตำหนักใหญ่ แสงรัศมีสีน้ำเงินดวงแล้วดวงเล่าระเบิดกลางอากาศ แสงสีม่วงส่วนใหญ่ที่ถูกโล่ดินหนาดีดออกมาแล่นจมลงไปยังกำแพงที่ทาสีทองรอบด้านของตำหนักใหญ่
ทว่าไม่ว่ากระบี่บินจักรกลหรือโล่ดินหนา หลังปล่อยออกมาชั่วครู่หลิ่วหมิงกับชายหนุ่มรถเงินก็หน้าถอดสีเก็บกลับไปอีกหนอย่างรวดเร็ว
ในเส้นทางประหลาดนี้อาวุธจิตวิญญาณก็ได้รับผลจากแรงโน้มถ่วงด้วย พลังเวทผลาญไปมากจนพวกเขารู้สึกรับไม่ไหว
พร้อมกับที่รับมือการโจมตีของพวกหลิ่วหมิง บุรุษผมม่วงก็พลิกมือเรียกยันต์ซึ่งส่องแสงสีดำขมุกขมัวแผ่นหนึ่งออกมา ปากท่องมนตร์งึมงำรวดเร็ว จากนั้นตบยันต์ลงบนร่างในทันใด
ทันใดนั้นแสงสีดำเต็มฟ้าก็ล้อมรอบตัวเขากลายเป็นดอกบัวสีดำดอกหนึ่งโฉบทีเดียวเข้าใกล้โต๊ะบูชาไปอีกสิบจั้ง ก่อนจะกลายเป็นเพลิงปราณสีดำสายแล้วสายเล่าสลายไปในตำหนักใหญ่
หลิ่วหมิงเพิ่งเก็บโล่ดินหนาไป เมื่อเห็นชายหนุ่มผมม่วงใช้วิชาลับเช่นนี้ ในใจก็เคร่งเครียดเล็กน้อย
เดิมเขาคิดว่าจะรักษาระยะห่างจากเขาประมาณหนึ่งไปตลอด ช่วงสุดท้ายค่อยกระตุ้นวิชาลับเร่งไล่ตาม แต่ตอนนี้ดูท่าไม่ลงมืออีกคงสายไปแล้ว
หลิ่วหมิงคิดอย่างรวดเร็ว ปากตวาดเบาๆ คำหนึ่ง ปราณดำทั่วร่างก็พลุ่งพล่านออกมา หลังสองแขนสะบัด เสียงมังกรคำรามสายหนึ่งก็ดังขึ้น มังกรหมอกสีดำยาวสิบกว่าจั้งห้าตัวหลุดออกมาจากแผ่นหลังของเขาพุ่งเข้าไปยังจุดที่ชายหนุ่มผมม่วงอยู่
“คุกมืด!”
พร้อมกับที่เคล็ดวิชาในมือเปลี่ยน มังกรหมอกสีดำก็ระเบิดบนอากาศเหนือชายหนุ่มผมม่วงในพริบตา กลายเป็นแสงสีดำผืนใหญ่สว่างวูบ ขังบุรุษผมม่วงผู้ไม่อาจหลบหลีกได้สักนิดไว้ด้านใน
หลิ่วหมิงรู้ดีว่าคุกมืดนี้ได้ผลกับบุรุษผมม่วงน้อยมากคงถ่วงเวลาได้ไม่นานเท่าไร เขาจึงกัดฟันฝืนกระตุ้นเคล็ดวิชาเกราะอสูร
เสียง “ฟู่” ดังขึ้นสองครั้ง แสงสีเงินส่องสว่างบนแผ่นหลังของเขา ปีกเนื้อสีเงินแวววาวคู่หนึ่งงอกออกมาแล้วกระพืออย่างรุนแรง
ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าร่างกายเบาขึ้น ตามด้วยแรงผลักของพลังมหาศาลเขาขยับทีหนึ่งก็ก้าวออกไปด้านหน้าได้ไกลสิบกว่าจั้ง ร่างกายถึงช้าลงอีกครั้ง
ชายหนุ่มรถเงินหลังร่างเขาก็ไม่ยอมแพ้ เขาตบเอวทีหนึ่ง แสงสีทองกับแสงสีเงินสายแล้วสายเล่าก็ส่องสว่างออกมาสอดประสานกัน หลังแสงรัศมีดับลงรถเหาะสีเงินแววคันนั้นกับอาชาสีทองแปดตัวก็ปรากฏตัวขึ้น
รถเงินกับอาชาทองต่างจากอาวุธจิตวิญญาณชิ้นอื่นก่อนหน้านี้ พวกมันล้วนเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับหุ่น โดยหลักผลาญผลึกหินเพื่อเคลื่อนไหวจึงไม่กินพลังเวทของเจ้านายตนมากนัก
หลังชายหนุ่มฝืนกระโดดขึ้นรถ ปากก็ท่องมนตร์ใช้เคล็ดวิชาออกมาหลายสายต่อเนื่อง หุ่นอาชาสีทองแหงนหน้ากรีดร้องแล้วลากรถเงินวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ความเร็วเพิ่มขึ้นไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด
ในใจคนทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าตำหนักสีทองแห่งนี้คือการทดสอบด่านสุดท้าย เวลานี้ย่อมไม่ต้องออมมืออีกต่อไป
“เจ้าหนูนิกายยอดบริสุทธิ์ นิกายของพวกเจ้าใช้เป็นแต่วิชาเช่นนี้หรือ” เสียงโกรธเกรี้ยวและเย้ยหยันอย่างที่สุดของบุรุษผมม่วงดังออกมาจากในคุกมืด ทันใดนั้นเสียงระเบิดดังสนั่นก็ดังขึ้นกลางแสงสีดำ เพลิงปราณสีม่วงสายเล็กสายน้อยทะลุผ่านออกมา
หลิ่วหมิงได้ฟัง สีหน้าก็ย่ำแย่อยู่บ้าง
เวลานี้แม้เขาจะไล่ตามมาได้ไม่น้อย แต่ก็ยังอยู่หลังชายหนุ่มผมม่วงอีกสิบกว่าจั้ง นอกจากนี้การใช้วิชาลับนานาชนิดกับเคล็ดวิชาเกราะอสูรรวมถึงวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬพร้อมกันก็ทำให้ร่างกายของเขารับภาระและผลาญพลังไปมาก
เขาเคยคิดจะปล่อยแมงป่องกระดูกกับหัวบินหรือยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองออกมาถ่วงเวลาเขา แต่พวกนี้ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิต น่าจะได้รับผลกระทบจากชั้นจำกัดแรงโน้มถ่วงของที่แห่งนี้เช่นกัน ส่วนสมบัติเช่นกระบี่ว่างเปล่า ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่เหมาะจะใช้
หุ่นอาชาทองคำที่ชายหนุ่มรถเงินใช้แม้ได้รับผลจากชั้นจำกัดแรงโน้มถ่วง แต่ตัวมันทานรับไหว จึงยังคงไล่ตามมาติดๆ เร็วอย่างที่สุด ย่นระยะห่างระหว่างเขากับบุรุษผมม่วงอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่กัดฟันอีกหน โคจรพลังเวททั้งหมดที่เหลือไม่มากในร่างกรอกเข้าไปในร่างกาย ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้นในร่างพักหนึ่ง สองขาฉับพลันหนาขึ้นหนึ่งรอบกว่า ด้านบนเส้นเลือดสีเขียวเส้นแล้วเส้นเล่ามองเห็นชัดเจน คราวเดียวเพิ่มความเร็วขึ้นอีกหลายส่วน
ผลปรากฏว่าผ่านไปเพียงสองสามลมหายใจ เสียงระเบิดดังสนั่นก็ลอยมาจากด้านหน้า คุกมืดสีดำที่ห่างจากโต๊ะบูชาเพียงสิบจั้งปริแตกเสียงดัง เพลิงปราณสีม่วงดวงแล้วดวงเล่าแผ่พุ่งออกมา ชั่วพริบตากลืนกินแสงสีดำทั้งหมดจนสิ้น
“แค่วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬกระจอกๆ ถึงกับคิดขัดขวางข้า น่าขำจริงๆ!” บุรุษผมม่วงคำรามเสียงดังออกมาจากปราณสีม่วง คล้ายใช้วิชาลับโจมตีทางจิตบางอย่าง ทำให้หลิ่วหมิงที่อยู่ค่อนข้างใกล้ได้ยินพลันสีหน้าซีดขาว ร่างกายชะงักเล็กน้อยในทันใด
ช่วงเสี้ยววินาทีนี้เองรถสีเงินกับอาชาสีทองที่ชายหนุ่มรถเงินบังคับอยู่ก็ไล่ตามมาทัน เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่งกระโจนผ่านข้างร่างหลิ่วหมิงขึ้นไปเป็นอันดับที่สอง
บุรุษผมม่วงทำเหมือนมองไม่เห็นเรื่องนี้ เขาเพียงพลิกมือเรียกยันต์ที่ส่องแสงสีดำขมุกขมัวแผ่นหนึ่งออกมาตบลงบนร่าง กลายเป็นดอกบัวดอกหนึ่งเหาะเร็วรี่ไปด้านหน้าอีกครั้ง
ทว่าครั้งนี้เขากลับเหาะออกไปได้ห้าหกจั้งก็หยุด ระยะห่างจากโต๊ะบูชาเหลือเพียงสองสามจั้งเท่านั้น!
แต่ตอนนี้บุรุษผมม่วงผู้นี้เห็นชัดว่าทนรับแรงโน้มถ่วงมากขึ้นไม่ทราบกี่เท่าจากตอนแรก บนใบหน้าเส้นเลือดสีเขียวปูดนูน ท่าทางยกเท้ายากเย็น
เห็นชัดว่าถึงเป็นเขา ไม่กี่ก้าวสุดท้ายนี้ก็ไม่ได้เดินผ่านไปอย่างง่ายดาย
เวลานี้ชายหนุ่มรถเงินยกแขนเสื้อขึ้น ลูกแก้วกลมสีเหลืองขมุกขมัวขนาดใหญ่หนึ่งชุ่นกว่าบินออกมา พร้อมกันนั้นสิบนิ้วก็เปลี่ยนไปมาประหนึ่งวงล้อ ยิงเคล็ดวิชาหลายท่าต่อเนื่องเข้าใส่ลูกแก้วกลม
หลังลูกแก้วกลมหมุนติ้วอยู่กลางอากาศรอบหนึ่งฉับพลันก็พร่าเลือนวูบหนึ่งหายไป
ครู่ต่อมาอากาศเหนือศีรษะของบุรุษผมม่วงก็สั่นไหว ลูกแก้วกลมปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ หลังส่งเสียงดัง “แครก” ทีหนึ่ง ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นหุ่นมนุษย์ทองแดงยักษ์สูงสิบกว่าจั้งตัวหนึ่ง ทับลงมาประหนึ่งเขาไท่ซาน
หลิ่วหมิงเห็นสิ่งนี้พลันยินดี สองแขนสะบัดใช้วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬอีกหน เสียงมังกรคำรามดังขึ้นทีหนึ่ง มังกรหมอกสีดำห้าตัวแย่งกันพุ่งออกมาจากแผ่นหลัง จากห้าประสานเป็นหนึ่งกลางอากาศกลายเป็นมังกรหมอกยักษ์ตัวหนึ่งพุ่งไปด้านหน้า
บุรุษผมม่วงคำรามโกรธเกรี้ยว ฉับพลันหนึ่งหมัดต่อยออกมาใส่อากาศ เงาหมัดยักษ์หมัดหนึ่งพุ่งออกมาจากมือ
เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นหนึ่งหน
มนุษย์ทองแดงยักษ์ม้วนกลิ้งกลางอากาศหนึ่งรอบ ถูกเงาหมัดโจมตีกลางอากาศจนสั่นไหวเล็กน้อยกลางท้องฟ้าจึงไม่ร่วงลงมาในทันที
ทว่าในตอนนี้เองมังกรหมอกยักษ์ก็คำรามพุ่งมาถึงเบื้องหน้า
แม้บุรุษผมม่วงต่อยหนึ่งหมัดออกมาโจมตีหัวมังกรยักษ์จนระเบิด แต่พลังมหาศาลที่ตามมาด้วยก็ยังชนร่างเขาจนโซเซ ถอยหลังออกไปสองก้าว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ มือข้างหนึ่งก็จี้ดัชนีใส่อากาศอย่างเร็วไว
มังกรหมอกที่เหลือพริบตาระเบิดกลายเป็นหมอกดำถาโถมรัดบุรุษผมม่วงไว้ข้างใน
เวลานี้เองหุ่นมนุษย์ทองแดงขนาดมหึมาบนท้องฟ้าก็ร่วงลงมาดังเปรี้ยงอีกครั้ง
เกิดเสียงดังสนั่น!
เส้นทางทั้งเส้นสั่นไหวอย่างรุนแรง หุ่นมนุษย์ทองแดงนำพลังมหาศาลน่าตะลึงกดทับบุรุษผมม่วงที่อยู่ท่ามกลางไอหมอกลงไปเบื้องล่าง สภาพนี้คงขึ้นมาไม่ได้ชั่วขณะ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยินดียิ่ง สองขาปราณสีดำพุ่งพล่าน เสียงมังกรคำรามดังขึ้นทีหนึ่งก็มีเงามังกรหมอกสีดำสองตัวปรากฏออกมา เขาถีบไอหมอกอย่างแรง ร่างกายโฉบวูบเดียวตามไปทันชายหนุ่มรถเงินเบื้องหน้าในทันใด
เวลานี้พวกเขาอยู่ห่างโต๊ะบูชาเพียงเจ็ดแปดจั้งเท่านั้น
ชายหนุ่มรถเงินเห็นเช่นนี้พลันมีสีหน้าหวั่นใจ ในตอนนี้เขาไม่มีเวลาสนใจมนุษย์ทองแดงยักษ์อีกต่อไป เขาเก็บรถเงินกับม้าทองคำที่เคลื่อนไหวเชื่องช้า พร้อมกันนั้นก็หยิบยันต์สีทองแผ่นหนึ่งตบลงบนร่าง แสงสีทองสว่างวูบหนึ่ง บนแผ่นหลังเกิดปีกจักรกลคู่หนึ่งขึ้นมาอีกหน ในเวลาเดียวกันนั้นเปลวเพลิงก็ปรากฏขึ้นใต้เท้า เกิดเป็นวงล้อไฟสีแดงฉานหมุนวิ่ง
ทั้งสองคนแทบจะเคลื่อนเข้าไปพร้อมๆ กันยากตัดสินแพ้ชนะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น