หมอดูยอดอัจฉริยะ 802-807
ตอนที่ 802 พลังวิเศษ
เมื่อสองปีก่อน กองทหารรับจ้างแม่ม่ายดำเคยรับภารกิจหนึ่ง โดยมีหน้าที่คุ้มกันเจ้าพ่อถ่านหินคนหนึ่งของรัสเซีย ชายคนนั้นเป็นผู้ที่เพิ่งขึ้นมามีอิทธิพลหลังจากโซเวียตแตก ใช้ผลประโยชน์จากรูรั่วของกฎหมายในช่วงนั้นกอบโกยความมั่งคั่งให้ตัวเองอย่างมหาศาล
อย่างไรก็ตามเจ้าพ่อถ่านหินคนนี้มีชื่อเสียฉาวกระฉ่อน เขารู้ว่ามีผู้คนมากมายคาดหวังให้เขาตาย จึงเก็บตัวอยู่ใน สหราชอาณาจักรมาตลอด ภายหลังมีเหตุจำเป็นทำให้ต้องกลับมารัสเซีย จึงได้จ้างวานกองกำลังแม่ม่ายดำ
เพื่อให้ผู้จ้างวานปลอดภัย เวลานั้นเจอร์รีทุ่มเทมันสมองวางแผนการคุ้มกันอย่างหนัก แทบจะคิดคำนวณถึงปัญหาและเหตุการณ์ฉุกเฉินทุกประเภท แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ยังเกิดขึ้น
กลางดึกจันทร์สว่าง ฟ้ากระจ่างดาวคืนหนึ่ง มีคนบุกเข้ามาลอบสังหารในคฤหาสน์ของเจ้าพ่อถ่านหินคนนั้น เวรยามคุ้มกันที่อยู่ล้อมรอบด้านนอกต้านทานไว้ไม่อยู่ กระสุนธรรมดาถูกตัวคนผู้นั้น แต่กลับไม่ได้รับบาดแผลใดๆ นี่ทำให้เจอร์รีที่อยู่หน้าจอกล้องวงจรปิดตกตะลึงอย่างหนัก เขาคร่ำหวอดอยู่ในวงการทหารรับจ้างมาหลายต่อหลายปี ยังไม่เคยเห็นมือลอบสังหารที่แข็งแกร่งขนาดชายคนนี้ หรืออาจพูดได้ว่า คนผู้นั้นแข็งแกร่งจนเหมือนไม่ใช่คน
ว่ากันว่ารับเงินใครมาต้องคุ้มกันเขาจากหายนะ เมื่อรับจ้างวานแล้ว เจอร์รีจึงไม่ปล่อยให้ผู้จ้างวานรับอันตรายใดๆ เด็ดขาด ระบบป้องกันและกับดักที่เขาติดตั้งไว้ในใจกลางคฤหาสน์ จึงได้ใช้งานในที่สุด แล้วกับระเบิดที่ทำงานโดยระบบสัมผัสก็หยุดฝีเท้าของชายคนนั้น
แต่เรื่องราวกลับยังไม่จบลง หลังจากกลุ่มควันจางลง พวกเจอร์รีกลับพบว่านอกจากบาดแผลเล็กน้อยกับเสื้อผ้าที่ถูกไหม้ไฟจนหมดบนร่างของเขา คนผู้นั้นกลับไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
อีกทั้งร่างของชายคนนั้นยังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ ร่างกายที่สูงกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตร กลับหดเล็กลงหลายเท่า ทั่วทั้งร่างปกคลุมไปด้วยขนสีเทา ส่วนปากยื่นยาวนูนออกมา ดูราวกับมนุษย์หมาป่าในตำนานฝั่งตะวันตกอย่างไรอย่างนั้น
โดยเฉพาะสิบนิ้วบนมือสองข้างของคนผู้นี้ กลับกลายเป็นเหมือนมีดสั้นทั้งสิบเล่ม หน่วยคุ้มกันที่ล้อมรอบ พออยู่ภายใต้กรงเล็บอันแหลมคมของเขา กลับไม่มีใครเลยที่สามารถหยุดยั้งฝีเท้าของคนผู้นั้น ล้วนถูกเฉือนอกผ่าท้อง บรรยากาศละเลงไปด้วยเลือดอย่างวิปริตพิสดาร
อีกทั้งคนผู้นี้ยังเหมือนสามารถสืบรู้ตำแหน่งที่ซ่อนของเจ้าพ่อถ่านหิน เมื่อเห็นว่าผู้บุกรุกผู้นั้นจะเข้าไปภายในห้อง บรูกแมนก็ไปสกัดขวางทางคนที่มีพลังพิเศษผู้นั้น
หลังผ่านการห้ำหั่นมานับครั้งไม่ถ้วน ต่อให้บรูกแมนเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ก็ยังเชื่อมั่นในชัยชนะ ความเก่งกาจของคู่ต่อสู้เองก็กระตุ้นความดุดันของเขาเช่นกัน หลังจากรู้ว่าอาวุธโลหะธรรมดาไม่อาจทำร้ายฝ่ายตรงข้ามได้ บรูกแมนจึงใช้มีดปลายปืนทำจากอัลลอยเข้าต่อสู้กับอีกฝ่าย
ไม่อาจปฏิเสธว่าประสบการณ์การรบของบรูกแมนช่ำชองอย่างยิ่ง เป้าหมายการโจมตีของเขาทั้งหมดคือการทำลายดวงตาหรือคอหอย จนอีกฝ่ายต้องร้องขอชีวิต หลังจากเข้าตะลุมบอนกับอีกฝ่ายสักพัก ผู้มีพลังพิเศษสายพันธุ์มนุษย์หมาป่าผู้นี้ ก็ค่อยๆ ถูกบรูกแมนบุกจนเพลี่ยงพล้ำ
ในที่สุดบรูกแมนก็สามารถคว้าโอกาส ควักลูกตาข้างขวาของศัตรูออกมาได้ แต่ว่าราคาที่เขาต้องจ่ายก็คือการถูกกรงเล็บของอีกฝ่ายตรึงแน่นอยู่หน้าประตู จากส่วนใบหน้าจรดถึงหน้าอกล้วนถูกศัตรูเฉือนออกจนอวัยวะสีเขียวคล้ำภายในช่องท้องทะลักออกมา
ขณะเดียวกันที่บรูกแมนได้รับบาดเจ็บ เสียงระเบิดก็ดังขึ้นกึกก้อง ควันหนาฟุ้งและกลิ่นดินปืนฉุนจมูกลอยตลบอบอวลทั่วทุกทิศ
ตอนที่กลุ่มควันสลายหายไป เจอร์รีก็แบกปืนยิงจรวดขนาดเกือบเท่าส่วนสูงของเขาไว้บนบ่า ปรากฎอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์ที่เจ้าพ่อถ่านหินซ่อนตัวอยู่ และมนุษย์หมาป่าคนนั้นที่เพิ่งผ่าท้องของบรูกแมน ก็กลับกลายเป็นชิ้นเนื้อนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายอยู่บนพื้นโดยรอบ
เหตุการณ์นั้นแม้แต่สมาชิกคนอื่นในกองกำลังแม่ม่ายดำยังต้องตะลึงตาค้าง แม้ว่าแต่ละคนจะมีเทคนิคในการสังหารและป้องกันตัวอันโดดเด่น แต่ใครก็ไม่อาจคาดคิด ว่าผู้นำร่างบางจนออกจะดูผอมแห้ง และเหมือนไม่เคยมีความสามารถในการออกรบเลย กลับสามารถพลิกผันสถานการณ์ในนาทีสุดท้ายได้
และบรูกแมนเองก็ยังไม่ตาย หลังจากผ่านการช่วยชีวิตแล้ว เขาก็สามารถมีชีวิตต่อไปได้อย่างปาฎิหารย์ เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น และนั่นก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักของการประกาศยุบกองกำลังทหารรับจ้างแม่ม่ายดำ
เพราะไม่มีใครสามารถแทนที่ตำแหน่งการสู้รบในกองกำลังของบรูกแมน เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบความสามารถในการบังคับบัญชาของเจอร์รี
หลังจากผ่านการรักษาเกือบสองปี บรูกแมนจึงนับว่าหายดีขึ้น แต่แผลเป็นที่หลงเหลือบนใบหน้าเขา กลับยังคงทิ้งเงามืดใว้ในจิตใจของกองทหารรับจ้างแม่ม่ายดำ ใครก็ไม่อาจคาดคิดได้ว่า ภารกิจชิ้นแรกที่พวกเขารับหลังจากหายดี กลับกลายเป็นการเผชิญหน้าผู้มีพลังวิเศษอีกครั้ง
เจอร์รีเลื่อนสายตากลับไปยังใบหน้าบรูกแมน กล่าวเสียงเบา “พวกนายควรจะเข้าใจว่า หากรับมือกับคนแบบนั้น ต่อให้ต้องยากลำบากสักแค่ไหน ฉันก็ไม่หวังให้ใครก็ตามในหมู่พวกนายต้องรับบาดเจ็บอีก”
ในคำพูดของเจอร์รีเต็มไปด้วยความขมขื่น ในช่วงสองปีที่ผ่านมาของการแยกตัวกองกำลัง เขาไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่คงสืบเสาะหาข้อมูลเรื่องผู้มีพลังพิเศษ
สิ่งที่ทำให้เจอร์รีตกตะลึงก็คือ บนโลกใบนี้มีด้านที่คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจสัมผัสได้อยู่จริงๆ และมนุษย์หมาป่าคนนั้นที่พวกเขาเผชิญหน้า ไม่ได้นับว่ามีพลังโจมตีโดดเด่นในโลกของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ!
ดังนั้นหลังจากสรุปว่าเยี่ยเทียนเป็นผู้มีพลังวิเศษ เจอร์รีจึงเปลี่ยนแผนการรบในทันที ถ้าสามารถใช้วิธีปกติธรรมดากำราบเยี่ยเทียนได้ก็ดี แต่ถ้าหากทำไม่ได้ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะให้กองทหารรับจ้างที่เหลือส่งเยี่ยเทียนลงนรก
ส่วนเรื่องระเบิดนั้นจะก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนมากแค่ไหน เจอร์รีไม่คิดเอามาใส่ใจ ภารกิจที่เขารับมาครั้งนี้จะได้เงินตอบแทนเป็นจำนวนสามสิบล้านดอลลาร์อเมริกา หากมีเงินก้อนนี้ แม้จะต้องถอนตัวออกจากวงการทหารรับจ้างอีกครั้ง ก็เพียงพอจะให้พวกเขาใช้ชีวิตที่เหลือได้อย่างสุขสบาย
“เจอร์รี ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก!”
บรูกแมนพยักหน้าที่ดุดันเล็กน้อย ถึงแม้เขาจะมีจิตใจแข็งแกร่งยากที่คนทั่วไปจะเทียบเทียม แต่ถ้าหากเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากจะเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดหวั่นอย่างมนุษย์หมาป่านั่นอีกแล้ว มันคือฝันร้ายชัดๆ
“พวกนายเองก็ไม่ต้องกังวลไป ผู้มีพลังวิเศษก็เคยถูกพวกเราจัดการไปแล้วนี่?”
เจอร์รีโบกมือ กล่าวว่า “เอาล่ะ ทุกคนไปพักผ่อนเถอะ ไอ้พวกกองกำลังดาร์คไนท์ ทำไมยังไม่ส่งข่าวคราวกลับมานะ?
กองกำลังที่คอยจับตาดูเยี่ยเทียนนั้นมีชื่อว่ากองกำลังดาร์คไนท์ อันมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการกองทหารรับจ้างเช่นเดียวกัน ชื่อเสียงของเขาไม่ได้มาจากการโจมตี ทว่าเป็นการส่งข่าวลอบสังหารและการแทรกแซงข้อมูล จึงได้รับภารกิจการจับตาดูเยี่ยเทียนในครั้งนี้
“ผู้มีพลังวิเศษ หรือพวกเขาหมายถึงผีดูดเลือดที่ปรากฎตัวในไซบีเรีย?”
เยี่ยเทียนที่แอบซ่อนลมปราณทั่วตัวอยู่ภายในความมืดนอกอาคารบ้าน ผุดนึกถึงเคิร์ทที่เรียกตนเองว่าท่านเคานท์ขึ้นมาในความคิด ถึงแม้เจ้าหมอนั่นจะตายอย่างน่าสมเพช แต่เยี่ยเทียนก็ไม่อาจปฏิเสธว่า เขามีพลังวิเศษที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจมีได้จริงๆ
เมื่อเห็นว่าคนทั้งหลายในห้องกำลังจะแยกย้าย เยี่ยเทียนก็ปลดปล่อยปราณหลายสายของเขาให้แทรกเข้าไปยังภายในร่างของคนเหล่านั้น โดยเฉพาะคนที่ชื่อเจอร์รี ยิ่งได้รับความใส่ใจจากเยี่ยเทียนเป็นพิเศษ คนผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ขนาดที่เยี่ยเทียนยังนึกหวาดหวั่นอยู่ลึกๆ ไม่มีใครอยากปล่อยศัตรูประเภทนี้ให้หลุดรอดไป
ครุ่นคิดอยู่สักครู่ แล้วเยี่ยเทียนก็ถอนตัวออกจากตัวอาคารอย่างไร้สุ้มเสียง เขาสามารถกำจัดคนทั้งหมดภายในบ้านสองหลังนี้ได้ แต่นั่นจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น เป้าหมายของเยี่ยเทียนคือจอมบงการที่อยู่เบื้องหลังต่างหาก
สิบนาทีหลังจากนั้น เยี่ยเทียนก็ย้อนกลับไปโรงแรม โดยขึ้นจากทางบันไดหนีไฟไปยังชั้นที่เขาอยู่
เพียงห้านาทีหลังจากเขากลับมาถึงห้อง พนักงานโรงแรมคนหนึ่งก็กดกระดิ่งประตู แม้คนผู้นั้นจะพูดอย่างสงบเสงี่ยมว่ามาส่งคูปองอาหารเช้า แต่เยี่ยเทียนกลับยังสัมผัสได้ว่าหัวใจของเขาเต้นระรัว เห็นได้ชัดว่าเป็นคนจากกองกำลังดาร์คไนท์ที่เจอร์รีพูดถึงนั่นเอง
“หนทางสู่สวรรค์มีไม่เดิน ไร้ประตูสู่นรกกลับพุ่งลงไป”
หลังจากส่งพนักงานคนนั้นไปแล้ว เยี่ยเทียนก็ส่ายหน้า ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อสะสางความแค้นเคืองระหว่างเขากับซ่งเสี่ยวหลงเสียที คนผู้นี้ช่างเหมือนกับอสรพิษตัวหนึ่ง คอยแต่จะลอบทำร้ายเขาจากในมุมมืดไม่เสื่อมคลาย ครั้งนี้นับว่าลงทุนครั้งใหญ่ จนอาจจะต้องตายในต่างแดนเข้าจริงๆ
ค่ำคืนผ่านไปโดยสงบ เช้าวันต่อมาตอนแปดโมงครึ่ง หวาจวินมาเคาะประตูห้องของเยี่ยเทียน หลังจากเยี่ยมชมเหมืองทองโจฮันเนสเบิร์กแล้ว พวกเขาก็กลับเคปทาวน์กันได้ เพราะนี่เป็นที่สุดท้ายของแผนการเดินทางครั้งนี้แล้ว
“พี่จ้าวครับ เหมืองทองโจฮันเนสเบิร์กเป็นสถานที่สำคัญของแอฟริกาใต้ และมันก็คือเหมืองทองแห่งแรกของโจฮันเนสเบิร์ก ซึ่งถูกขุดมาเป็นเวลาถึงหนึ่งร้อยสิบหกปี”
ขณะที่อยู่บนเส้นทางไปเหมืองทองโยฮันเนสเบิร์ก หวาจวินอธิบายข้อมูลของเหมืองทองโจฮันเนสเบิร์กตามหน้าที่ เพียงแต่เขาไม่รู้เลยว่า เยี่ยเทียนที่นั่งอยู่เบาะหลังได้ไปเยี่ยมชมเหมืองทองตั้งแต่เมื่อคืนจนทั่วแล้ว
หลังจากอธิบายให้เยี่ยเทียนฟังแล้ว หวาจวินก็กล่าวว่า “จริงสิ พี่จ้าว ในแต่ละวันเหมืองทองโจฮันเนสเบิร์กรับนักท่องเที่ยวเยอะมาก ข้างในจะมีไกด์ผู้เชี่ยวชาญอยู่ ถึงตอนนั้นผมจะไม่ตามคุณไปด้วยนะครับ…”
แตกต่างจากเหมืองทองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวในเคปทาวน์เหล่านั้น เหมืองทองคำโจฮันเนสเบิร์กเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์การขุดทองของแอฟริกาใต้ ในทุกๆ วันจะมีทักท่องเที่ยวจำนวนหลายพันคนลงไปยังเหมืองทองลึกกว่าหลายร้อยเมตรเพื่อเยี่ยมชม และคนแต่ละกลุ่มที่เข้าไปจะต้องมีไกด์รับหน้าที่พาเยี่ยมชมเหมืองทอง
“ตกลง ผมเข้าใจแล้ว”
เยี่ยเทียนตกปากรับคำ แต่กลับนึกด่ากองกำลังของเจอร์รีขึ้นมาในใจ แม้ว่าเหมืองทองแห่งนี้จะอยู่ไกลปืนเที่ยง แต่เกรงว่าทั้งนักท่องเที่ยวและพนักงานรวมกันไม่ต่ำกว่าพันคน เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เจอร์รีกลับลงมือทำได้ลงคอ
เหมืองทองโจฮันเนสเบิร์กอยู่ห่างจากกลางเมืองหลายสิบกิโลเมตร หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เยี่ยเทียนก็มองเห็นตัวอักษรภาษาอังกฤษสี่ตัวของเหมืองทองโจฮันเนสเบิร์กอีกครั้ง
ทว่าแตกต่างจากความเวิ้งว้างไร้ผู้คนเมื่อวาน วันนี้ที่นี่กลับเนืองแน่นมากเป็นพิเศษ รถทัวร์เจ็ดแปดคันจอดชิดกับทางเข้าเหมืองทอง ไกด์นำเที่ยวแต่ละคนต่างกำลังอธิบายข้อควรระวังการเข้าชมเหมืองในแต่ละภาษาให้ลูกทัวร์ของตนเองฟัง
“ใครจะไปคิดว่าใต้ดินนี้จะฝังระเบิดที่ทำให้ร่างแหลกเป็นจุณได้?”
หลังลงมาจากรถยนต์อเนกประสงค์ ก็นึกถึงระเบิดTNTอันรุนแรงใต้ดินนั่นขึ้นมา เยี่ยเทียนยังนึกกังวลอยู่ในใจ ถ้าหากไม่ใช่เพราะอยากจัดการคนที่มาหาเรื่องตัวเองครั้งนี้ให้หมดในทีเดียว เขาคงไม่คิดหวนกลับลงมาที่นี่อีกครั้ง
ตอนที่ 803 กลุ่มทัวร์
“พี่จ้าวครับ นี่คุณอวี๋ลี่ลี่นะครับ เป็นไกด์ของบริษัททัวร์จากจีนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ที่โจฮันเนสเบิร์ก…”
หลังลงจากรถ หวาจวินลากเยี่ยเทียนมุ่งตรงไปยังจุดรวมรถบัสแห่งหนึ่ง แล้วแนะนำเด็กสาวที่ถือธงสีเหลืองเล็กๆ คนหนึ่งในนั้นให้รู้จัก “คุณอวี๋ นี่คุณจ้าวจากจีนนะครับ วันนี้ผมคงไม่ได้ลงไปด้วยแล้ว คุณช่วยพาคุณจ้าวไปด้วยนะครับ”
“ได้เลยหวาจวิน คราวหน้าถ้าฉันจะไปเคปทาวน์ละก็ เธอต้องเป็นเจ้าบ้านที่ดีด้วยล่ะ!”
หวาจวินอายุยังน้อย แม้จะอยู่ในแวดวงนี้มาได้ไม่นานนัก แต่ก็เป็นคนพูดจาไพเราะน่าฟัง ส่วนคุณอวี๋คนนั้นก็ท่าทางจะสนิทกับเขาพอดู จึงตกปากรับคำในทันที กลุ่มที่เธอรับมานี้ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกค้าคนจีนอยู่แล้ว รวมเยี่ยเทียนมาอีกคนก็ไม่เป็นปัญหาอะไร
หลังจากทักทายกับหวาจวินเสร็จ อวี๋ลี่ลี่ก็หันหน้ามองมาทางเยี่ยเทียน เมื่อสายตาของเธอกวาดผ่านไปที่ข้อมือของเยี่ยเทียน ใบหน้าก็ชะงักนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงแย้มยิ้มออกมา “คุณจ้าวคะ เดี๋ยวฉันจะไปหยิบเอกสารข้อตกลงมาก่อน พอคุณเซ็นแล้วก็ลงไปได้เลยค่ะ!”
ผู้ที่เป็นมัคคุเทศก์นั้น แต่ละวันจะต้องเดินทางไปทั่วตามสถานที่ต่างๆ จึงมีความรอบรู้กว้างขวาง อวี๋ลี่ลี่สังเกตเห็นว่า เยี่ยเทียนแม้จะนุ่งเสื้อผ้าธรรมดาๆ แต่นาฬิกาบนข้อมือข้างซ้ายนั้นกลับเป็นของปาเต็ก ฟิลิปป์ซึ่งเป็นยี่ห้อดังระดับโลก
ปกติปาเต็ก ฟิลิปป์จะผลิตนาฬิการุ่นที่เป็นงานฝีมือเพียงปีละเรือนเดียวเท่านั้น และเรือนที่เยี่ยเทียนสวมอยู่นี้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นหนึ่งในรุ่นนั้น
ถ้าใครอยากจะครอบครองนาฬิกาข้อมือยี่ห้อปาเต็ก ฟิลิปป์รุ่นที่ใช้ฝีมือคนในการผลิตล้วนๆ แบบนี้ นอกจากจะต้องอดทนรอคอยเป็นเวลานานแปดถึงสิบปีแล้ว ยังต้องจ่ายเงินทองอีกเป็นตัวเลขมหาศาล ตอนที่ซ่งเวยหลันซื้อนาฬิกาเรือนนี้มาจากคนอื่นให้เยี่ยเทียนนั้น ก็ต้องเสียเงินไปถึงสิบห้าล้านเหรียญสหรัฐ
แม้ว่าอวี๋ลี่ลี่จะไม่ใช่พวกเห่อคนฐานะดี แต่ในใจก็รู้ดีว่า ผู้ที่สามารถสวมนาฬิกาข้อมือแบบนี้ได้ จะต้องมีฐานะดีอย่างชนิดที่พวกเธอไม่อาจจินตนาการได้เลย หากต้องการจะซื้อนาฬิการุ่นนี้ ไม่ใช่ว่าแค่มีเงินแล้วก็จะซื้อหามาได้ อย่างน้อยอวี๋ลี่ลี่ก็ยังไม่เคยเห็นลูกค้าจากจีนคนไหนที่มีนาฬิกาแบบนี้มาก่อนเลย
เด็กสาวมีความคิดละเอียดอ่อน จึงมักจะสังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ ตรงกันข้ามกับหวาจวินที่อยู่กับเยี่ยเทียนมาหลายวันแล้ว แต่กลับดูไม่ออกเลยว่านาฬิกาบนข้อมือของเยี่ยเทียนเรือนนั้นมีมูลค่าสูงเพียงใด
“ข้อตกลง ต้องเซ็นข้อตกลงอะไรหรือครับ?”
เยี่ยเทียนกลับไม่รู้เลยว่า อีกฝ่ายจะเห็นอะไรมากมายขนาดนั้นจากการสังเกตนาฬิกาข้อมือของเขา เขาเพียงแต่รู้สึกข้องใจในคำพูดของอวี๋ลี่ลี่อยู่บ้าง เวลาจะมาเยี่ยมชมเหมืองทองที่โจฮันเนสเบิร์กนี่ ยังต้องเซ็นข้อตกลงอะไรด้วยหรือ?
“อ้อ คืออย่างนี้ค่ะคุณจ้าว เนื่องจากเหมืองทองตั้งอยู่ลึกลงไปใต้ดินสามร้อยกว่าเมตร ทางเราไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดเหตุสุดวิสัยขึ้น จึงต้องเซ็นข้อตกลงฉบับหนึ่งที่ระบุว่าคุณสมัครใจเข้าไปในเหมืองและจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง ฝ่ายจุดชมวิวถึงจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวลงไปได้น่ะค่ะ”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนทำหน้าเหมือนยังไม่เข้าใจ อวี๋ลี่ลี่จึงอธิบายอีกว่า “ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณจ้าว การรักษาความปลอดภัยของทางเหมืองทองเองก็ผ่านการรับรองจากหลายๆ หน่วยงาน ตั้งแต่เริ่มเปิดให้เข้าชมจนถึงตอนนี้ก็ห้าหกปีแล้ว ยังไม่เคยเกิดอุบัติเหตุสักครั้งเลยค่ะ”
“ก็เพราะพวกคุณยังไม่เคยเจอน่ะสิ”
เยี่ยเทียนลอบถอนใจอย่างอดไม่ได้ บางครั้งการที่คนไม่เคยพบเห็นเรื่องเลวร้ายมาก่อนก็ไม่ใช่ความโชคดีเสมอไป นักท่องเที่ยวเหล่านี้ต่างไม่รู้เลยว่า พวกเขากำลังเดินเตร่ไปมาอยู่ที่ปากขุมนรก ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อวานเขากู้เครื่องจุดระเบิดได้สำเร็จ ที่นี่ก็คงจะไม่เหลือผู้รอดชีวิตเลยสักคน
“อย่างนั้นก็ช่างเถอะครับคุณอวี๋ ผมว่าข้างบนเหมืองทองนี่ก็มีจุดที่เปิดให้เยี่ยมชมได้อยู่เยอะเหมือนกัน ผมไม่ลงไปแล้วดีกว่าครับ”
โลกนี้มีเหตุบังเอิญอยู่มากมายเหลือเกิน และชะตาฟ้านั้นก็ไม่อาจจะทำนายออกมาได้ทั้งหมด ถึงเยี่ยเทียนจะกู้เครื่องจุดระเบิดนั้นไปแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าส่งตัวเองลงไปใต้ดินลึกตั้งหลายร้อยเมตรอยู่ดี เพราะในสถานการณ์แบบนั้นมีอะไรหลายๆ อย่างที่อาจจะอยู่เหนือการควบคุมของเขา
“พี่จ้าว ไม่ใช่ว่าคุณชอบดูหลุมเหมืองหรอกหรือครับ?” เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดเช่นนั้น หวาจวินจึงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ก็ตลอดทางที่ผ่านมานี้เยี่ยเทียนเจอหลุมเจอบ่อที่ไหนเป็นต้องลงไปให้ได้แทบจะทุกหลุม แต่วันนี้เขากลับท่าทางแปลกๆ ไป
เยี่ยเทียนโบกมือ ยิ้มตอบว่า “ให้ดูทั้งวันมันก็น่าเบื่อเหมือนกัน เที่ยวเล่นอยู่ข้างบนนี่แหละ”
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา ตกลงตามที่คุณจ้าวเสนอได้เลยค่ะ”
อวี๋ลี่ลี่ก็ไม่ได้แย้งอะไร ถ้าเปลี่ยนให้เธอเป็นเยี่ยเทียน เธอก็คงจะไม่ลงไปในหลุมเหมืองเหมือนกัน ผู้ที่มีกำลังพอจะหานาฬิกาข้อมือแบรนด์เนมมูลค่าเป็นสิบล้านเหรียญสหรัฐมาสวมใส่ได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่หวงแหนชีวิตของตนมากพอสมควร คงไม่ยอมเซ็นข้อตกลงแบบนี้ส่งเดชแน่
“ข้างบนเหมืองก็มีจุดที่น่าเที่ยวอยู่เยอะเหมือนกันค่ะ หรือคุณจ้าวจะไปเยี่ยมชมการผลิตทองคำแท่งด้วยก็ได้นะคะ…”
หลังจากแนะนำเยี่ยเทียนโดยสังเขปแล้ว อวี๋ลี่ลี่มองดูนาฬิกาข้อมือแล้วยืดกายยืนตรง ปรบมือเรียกความสนใจจากรอบข้าง แล้วประกาศเสียงดังว่า “เอาละค่ะ ตอนนี้เราเข้าไปกันได้แล้ว ทุกท่านคอยตามดิฉันมานะคะ และขอให้จำธงสีเหลืองที่ดิฉันถืออยู่นี้ไว้ให้ดี เราจะไปดูกันก่อนว่า ทองคำแท่งนั้นมีวิธีการผลิตอย่างไร จากนั้นก็ลงไปในเหมืองกันได้เลยค่ะ”
กับคนประเภทเยี่ยเทียนนั้น ถึงอวี๋ลี่ลี่จะไม่ได้เข้าไปเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ แต่ก็ยังคงให้เกียรติเขาอยู่พอสมควร ดังนั้นจึงปรับเปลี่ยนลำดับการเยี่ยมชมเล็กน้อย จากเดิมที่การชมขั้นตอนการผลิตทองคำแท่งเป็นรายการสุดท้ายจึงถูกปรับขึ้นมาเป็นรายการแรก
ทันทีที่อวี๋ลี่ลี่ประกาศเรียก นักท่องเที่ยวที่สวมหมวกแบบเดียวกันยี่สิบกว่าคนก็เข้ามารวมตัวกัน เยี่ยเทียนสังเกตเห็นว่า คนส่วนใหญ่ในกลุ่มนั้นเป็นคนเชื้อสายจีน ภาษาที่ใช้พูดคุยกันก็เป็นภาษาถิ่นจากสารพัดภูมิภาค ท่าทางจะเป็นกลุ่มทัวร์ที่จัดมาจากจีน
“พี่จ้าว ผมไม่เข้าไปด้วยนะครับ” หวาจวินบอกเยี่ยเทียน สำหรับมัคคุเทศก์แล้ว การที่ต้องไปแต่สถานที่เดิมๆ และเหมือนกันไปหมดนั้นก็เป็นความทรมานอย่างหนึ่ง ดังนั้นบางครั้งถ้าเลี่ยงได้พวกเขาก็จะเลี่ยง
“อืม คุณรอผมอยู่ข้างนอกก็แล้วกันนะ” เยี่ยเทียนพยักหน้า เขารู้สึกถูกอัธยาศัยกับหวาจวิน ถ้าเจ้าหนุ่มคนนี้เข้าไปพร้อมกับเขา ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับอันตรายอะไรเข้าก็เป็นได้ ส่วนเยี่ยเทียนเองนั้น หลังจากเข้าไปแล้วก็จะแยกทางกับคนเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน เพื่อไม่ให้คนอื่นพลอยลำบากติดร่างแหไปด้วย
“เดี๋ยวก่อน รอหนูก่อนค่ะ!”
ขณะที่กลุ่มของอวี๋ลี่ลี่กำลังจะเข้าไปในทางเข้าเหมืองทองโจฮันเนสเบิร์ก เสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังมาจากข้างหลัง เนื่องจากเธอพูดเป็นภาษาจีน เมื่อทุกคนได้ยินจึงหยุดฝีเท้าลงตามความเคยชิน
“พี่สาวคะ หนูแซ่เจียง ชื่อเจียงซานค่ะ หนูขอตามไปกับกลุ่มของพวกพี่ด้วยคนได้ไหมคะ?”
เด็กผู้หญิงที่วิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาดูท่าทางจะอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น หน้าตาดูใสซื่อมาก ดวงตาคู่โตอันงดงามนั้นมีน้ำตาคลอหน่วย “พ่อแม่หนูสมัครกรุ๊ปทัวร์ของฝรั่งให้ หนูฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเลยค่ะว่าพวกเขาพูดอะไรกัน พี่สาวคะ หนูขอตามไปกับพวกพี่ได้ไหมคะ ให้หนูจ่ายค่าทัวร์เพิ่มอีกก็ได้”
“แบบนี้มัน…ไม่ค่อยดีมั้งจ๊ะ?”
อวี๋ลี่ลี่ค่อนข้างลำบากใจ ในวงการนำเที่ยวนั้นก็มีธรรมเนียมอยู่เหมือนกันว่า ห้ามแย่งลูกค้าของคนอื่น ไม่เช่นนั้นจะนำไปสู่ความบาดหมางระหว่างบริษัททัวร์ด้วยกันเอง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่ หนูบอกทางนั้นไปว่า ในกลุ่มนี้มีญาติของหนูอยู่ แล้วก็ไม่ต้องให้ทางนั้นคืนค่าทัวร์หนูด้วย ทางนั้นเขายอมให้หนูมาเองแหละค่ะ”
แม่สาวน้อยมีสีหน้าอัดอั้นตันใจ “ฝรั่งพวกนั้นน่ะดุมากเลย พี่สาวคะ ให้หนูไปด้วยคนเถอะนะคะ หนูมีเงินจ่ายอยู่ค่ะ”
“เสี่ยวอวี๋ ยังไงก็คนจีนด้วยกันทั้งนั้น พาน้องเขามาด้วยเถอะนะ”
“นั่นน่ะสิ แม่หนูน้อยน่ารัก มา มาอยู่กับน้านะจ๊ะ”
เด็กหญิงพูดไปพลางควักเงินออกมาจากกระเป๋าหลายร้อยเหรียญสหรัฐ แล้วยื่นส่งให้อวี๋ลี่ลี่ ท่าทางที่น่าเอ็นดูสงสารนั้นทำให้เหล่านักท่องเที่ยวที่มาจากจีนพากันออกปากช่วยขอร้องแทน
“อย่างนั้นก็ได้จ้ะ แต่พอกลับออกมาแล้ว หนูต้องติดต่อพ่อแม่แล้วอธิบายกับพวกท่านให้ชัดเจนด้วยนะ”
อวี๋ลี่ลี่พยักหน้า แล้วรับเงินจากเด็กหญิงไปหนึ่งร้อยเหรียญสหรัฐ ส่วนเงินที่เหลือก็ส่งคืนกลับไป ที่เธอรับมานั้นเป็นค่าชมสถานที่เพียงจุดนี้จุดเดียวเท่านั้น
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณนะคะพี่!” เด็กหญิงปรบมือยิ้มแย้ม ดูท่าทางใสซื่ออ่อนหวานเหลือเกิน คนอื่นๆ เห็นแล้วก็พาให้อารมณ์ดีขึ้น ดวงอาทิตย์ร้อนแรงที่อยู่เหนือศีรษะก็เหมือนจะไม่ได้ร้อนแผดเผาอะไรขนาดนั้นแล้ว
“เด็กผู้หญิงคนนี้แปลกๆ อยู่นะ”
เยี่ยเทียนยืนอยู่ไม่ไกลจากอวี๋ลี่ลี่ ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ในสายตาของคนอื่นๆ เด็กผู้หญิงคนนี้อาจดูเหมือนไร้เดียงสาอ่อนต่อโลก แต่เยี่ยเทียนเป็นคนระดับไหนกัน สมัยเขาอายุสิบขวบก็ได้ติดตามพรตเฒ่าออกท่องยุทธภพแล้ว ต่อให้ไม่ใช้วิชานรลักษณ์ศาสตร์ เขามองแค่ปราดเดียวก็ดูนิสัยใจคอของคนออกแล้ว
เวลาที่เด็กผู้หญิงคนนี้พูด แววตาจะฉายความเจ้าเล่ห์คลุมเครือออกมาเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็แอบสังเกตดูปฏิกิริยาของอวี๋ลี่ลี่อย่างลับๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นความใสซื่อที่เสแสร้งออกมา แต่อายุและรูปโฉมของเธอกลับสามารถปกปิดจุดนี้ไปได้
“เอ๊ะ ทำไมในตัวเธอมีพลังงานประหลาดบางอย่างอยู่ด้วยล่ะ?”
หลังจากเยี่ยเทียนกวาดสายตาสำรวจร่างของเด็กหญิงแล้ว สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมา เพราะเขาพบว่า เส้นลมปราณภายในกายของเด็กหญิงคนนี้ มีพลังงานชนิดหนึ่งที่เขายังไม่เคยพบมาก่อนไหลเวียนอยู่ ซึ่งไม่ใช่พลังที่ได้มาจากการฝึกบำเพ็ญ เช่นเดียวกับพลังของแวมไพร์ที่ชื่อเคิร์ทนั่น
“หรือว่าเธอก็เป็นผีดูดเลือดเหมือนกัน?”
เยี่ยเทียนตั้งสมาธิส่งกระแสจิตไปจู่โจมเด็กหญิงคนนั้นราวกับคมมีด การที่เธอมาปรากฏกายอย่างประจวบเหมาะเช่นนี้ ย่อมแสดงว่ามาหาเขาโดยเฉพาะแน่ กับผู้ที่เป็นศัตรูนั้น เยี่ยเทียนไม่เคยปรานียั้งมือให้มาแต่ไหนแต่ไร และยิ่งไม่มีทางใจอ่อนกับผู้หญิงแน่นอน แม้ว่าเธอจะเป็นเด็กผู้หญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ตามที
“ว้าย?!”
เด็กหญิงซึ่งกำลังเดินอย่างกระโดดโลดเต้นพลางตีสนิทกับคนอื่นๆ อยู่ท้ายกลุ่มนั้น พลันร้องอุทานขึ้นมาอย่างขวัญเสีย ขาชาอ่อนแรงจนล้มลงไปกับพื้น ดวงตาฉายความตื่นกลัวออกมา ราวกับกำลังมองเห็นภาพอะไรบางอย่างที่น่ากลัวอยู่ก็ไม่ปาน
“หืม สลายการโจมตีของเราได้ด้วยรึ? น่าสนใจเหมือนกันนี่!”
ขณะเดียวกับที่เด็กหญิงล้มลงไป เยี่ยเทียนรู้สึกว่า พลังงานภายในกายของเด็กหญิงสามารถสะท้อนพลังจิตของเขากลับออกไปได้ แต่ภาพกองศพทะเลโลหิตที่เยี่ยเทียนฉายออกไปนั้น กลับปรากฏขึ้นในห้วงสมองของเธอได้สำเร็จ
“อ่อนแอจริงๆ เลย ดูไปก่อนก็แล้วกันว่าเธอคิดจะทำอะไร”
เมื่อเห็นเด็กหญิงคนนั้นกุมศีรษะกรีดร้องเสียงแหลม เยี่ยเทียนก็หัวเราะเจื่อนๆ ถ้าเขาเพิ่มพลังในการโจมตีด้วยกระแสจิตมากขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ก็อาจจะทำให้พลังงานภายในร่างของเธอแตกซ่านไปเลย หรือกระทั่งอาจสังหารเธอไปแล้วก็ได้ ดังนั้นถึงพลังภายในของเธอจะพิสดารอยู่ แต่ก็ไม่ได้เป็นภัยต่อเขาเลยสักนิด กลับกลายเป็นว่าเขาทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปเอง
“น้องเจียงซาน เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ?”
เมื่อเห็นว่าจู่ๆ เด็กหญิงก็ร้องโหวกเหวกขึ้นมา มัคคุเทศก์อวี๋ลี่ลี่ก็เริ่มจะรู้สึกว่าเธอไม่น่าไปตอบตกลงเลย กลายเป็นว่าเธอเพิ่มปัญหาจุกจิกให้ตัวเองอีก แต่ในเมื่อรับเงินจากเด็กหญิงมาแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็อยู่ในสถานะว่าจ้าง เพราะฉะนั้นจะไล่เธอไปก็คงไม่ได้แล้ว
“หนูไม่เป็นไรค่ะพี่!”
เจียงซานค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากพื้น แต่เมื่อสายตาของเธอกวาดผ่านไปที่เยี่ยเทียน ร่างทั้งร่างก็สั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
ตอนที่ 804 คิดคำนวณ
ชาวยิปซีเป็นชนพลัดถิ่นกลุ่มหนึ่ง รอยเท้าของชนกลุ่มนี้แทบจะกระจายไปทั่วทั้งโลกแล้ว หากกล่าวในบางแง่มุม ชนกลุ่มนี้ก็นับว่าเป็นชาติพันธุ์หนึ่งที่มากด้วยความรู้และประสบการณ์ อย่างน้อยๆ ก็มีความรู้ในด้านการหลอกลวงตบตาคนไม่น้อยไปกว่าพวกนักต้มตุ๋นในจีนเลย
เนื่องจากเติบโตมากับมารดาซึ่งเป็นชาวยิปซีตั้งแต่เล็ก เจียงซานจึงไม่ได้ใสซื่อไร้พิษภัยอย่างที่คนอื่นๆ เห็นจากภายนอกเลย ตรงกันข้าม สมัยเธออายุแปดขวบก็สามารถหลอกพวกผู้ใหญ่จนหัวหมุนกันทั้งเมืองได้แล้ว และยังปกปิดเรื่องที่เธอมีพลังวิเศษสามารถอ่านใจคนได้ไว้อย่างแนบเนียน
ดังนั้นเจียงซานจึงตอบตกลงเหลยหู่ว่าจะมาจัดการกับเยี่ยเทียนให้ เรื่องนี้สำหรับเธอแล้ว ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับยามปกติที่เธอใช้ไพ่ทาโรต์ดูดวงให้คนอื่น เมื่อรับเงินของคนอื่นมาแล้วก็ย่อมต้องทำงานให้เป็นการแลกเปลี่ยน เจียงซานเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้มาตั้งแต่เล็ก ในใจจึงไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะต้องแยกแยะเรื่องผิดชอบชั่วดีใดๆ ทั้งสิ้น
เพียงแต่เจียงซานนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า ผู้ที่เธอจะต้องต่อกรด้วยนั้นจะเป็นคนที่น่ากลัวถึงขนาดนี้ หลังจากที่สายตาของเยี่ยเทียนกวาดผ่านร่างของเธออย่างที่ดูไม่ออกว่าจงใจหรือไม่ เธอก็ถึงกับเกิดความรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ท่ามกลางเนินศพทะเลโลหิต มีชีวิตไม่สู้ตายเสียยังดีกว่า จิตสังหารที่เข้มข้นราวกับจะจับต้องได้นั้น เกือบจะบดขยี้ดวงจิตของเธอจนแหลกไปแล้ว
เธอแทบจะยืนยันได้เลยว่า ชายคนที่อยู่ตรงหน้านี้ ก็คือเงาร่างที่เธอมองเห็นในฝันร้ายนั่นเอง ในโลกแห่งความฝันสีเลือดนั้น เขานี่แหละที่เป็นคนก่อการเข่นฆ่าเหล่านั้นกับมือ และเมื่อชายคนนี้มาปรากฏกายต่อหน้าเธอ ก็ยังดูน่ากลัวยิ่งกว่าในความฝันเสียอีก
แม้ว่าสุดท้ายพลังงานลึกลับภายในกายจะสลายจิตสังหารนั้นไปแล้ว แต่เจียงซานก็ยังคงรู้สึกอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง ดึงพลังออกมาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย พลังวิเศษซึ่งเป็นที่พึ่งของเธอนั้น เมื่อมาเผชิญกับเยี่ยเทียนแล้วก็กลับกลายเป็นไร้ประโยชน์ไปเลย
“แม่สาวน้อย ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงก็อย่าลงไปจะดีกว่านะ เดี๋ยวก็ได้ตายหรอก!”
เยี่ยเทียนสามารถรู้สึกถึงจิตมุ่งร้ายจากร่างของเด็กหญิงได้อย่างชัดเจน แต่เขาก็ไม่กลัวอยู่แล้วว่ายายหนูคนนี้จะเล่นลูกไม้อะไร เมื่อมาเผชิญกับความแข็งแกร่งขั้นสุดยอดแล้ว ไม่ว่าแผนร้ายกลลวงใดๆ ก็มีแต่จะกลายเป็นเรื่องตลกไปเสียหมด
“นี่พ่อหนุ่ม อย่าพูดจาแบบนั้นสิ ไม่เห็นหรือไงว่าคนอื่นเขาก็กลัวตั้งขนาดนี้แล้ว?”
“นั่นน่ะสิ มาอยู่ต่างแดนแล้วก็ถือว่าเป็นคนจีนด้วยกัน มาขู่พวกเดียวกันเองแบบนี้เป็นผู้ชายประสาอะไรเนี่ย?!”
ในกลุ่มทัวร์ที่มาจากจีนนั้น มีป้าๆ ผู้มีความเมตตาท่วมท้นหัวใจอยู่จำนวนไม่น้อย สตรีวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าปีสองคนจูงเจียงซานมาอยู่ใกล้ๆ แล้วพูดปลอบใจเสียงเบา ส่วนลุงๆ อีกหลายคนก็ส่งสายตาดุดันใส่เยี่ยเทียน เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจมากที่เขาพูดแบบนั้น
“เอาละ พอกันก่อนเถอะคะ เดี๋ยวก็จะถึงกลุ่มของเราแล้ว ทุกคนตามมานะคะ”
แม้ว่าอวี๋ลี่ลี่จะนึกเสียใจอยู่บ้างที่ยอมให้เด็กผู้หญิงคนนี้เข้าร่วมกลุ่ม แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เธอจะพูดอะไรก็คงไม่ได้ ทำได้เพียงเอ่ยปากยุติความขัดแย้งภายในหมู่คณะ โดยเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคนไปที่เหมืองทองซึ่งกำลังจะได้เข้าไปแทน
“เอ๊ะ แปลกๆ อยู่นะ?”
หลังจากที่เด็กหญิงซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มพวกผู้หญิง และหลบพ้นจากสายตาของเยี่ยเทียนแล้ว ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เพราะเขาได้กลิ่นอายของจิตสังหารอันรุนแรงจากอากาศที่อยู่รอบๆ แปลว่าต้องมีคนอย่างต่ำก็ยี่สิบคนกำลังเล็งเป้าหมายมาที่เขาในเวลาเดียวกัน
คนเหล่านี้ปะปนอยู่ในกลุ่มทัวร์ที่อยู่ข้างหน้าและข้างหลังของเยี่ยเทียน ก่อขึ้นเป็นวงล้อมอย่างกลายๆ สกัดล้อมเขาไว้จากทุกด้านแล้ว เยี่ยเทียนรู้สึกได้เลยว่า สายตาของผู้ไม่ประสงค์ดีเหล่านั้นต่างมารวมกันที่ตนเป็นจุดเดียว
“คนพวกนี้ก็ช่างใจกล้าเหลือเกินนะ วางระเบิดไว้แล้วยังจะกล้ามาอีก ไม่กลัวตัวเองจะโดนระเบิดตายไปด้วยรึไง?”
เยี่ยเทียนอึ้งไปเล็กน้อย แต่จากนั้นก็ได้สติทันที พลังปราณโดยรอบซึ่งแฝงไว้ด้วยจิตสังหารเหล่านั้น ไม่มีกลุ่มไหนที่เขารู้สึกคุ้นเคยเลย แสดงว่าคนเหล่านี้เป็นคนละพวกกับคนกลุ่มเมื่อวาน
เยี่ยเทียนคิดดูเพียงครู่เดียวก็เข้าใจในทันที จึงจุ๊ปากเดาะลิ้นติดๆ กันหลายที “บ้าเอ๊ย โหดเหี้ยมจริงๆ แม้แต่พวกเดียวกันก็โดนคำนวณรวมไว้ในแผนการด้วย!”
เป็นอย่างที่เยี่ยเทียนคิดไว้จริงๆ กลุ่มมือสังหารที่มาที่นี่ในวันนี้ก็คือกลุ่มที่เจอร์รีส่งมานั่นเอง หลังจากได้รู้เกี่ยวกับพลังวิเศษของเด็กผู้หญิงที่ชื่อเจียงซาน นี่ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของเขาเช่นกัน
หากจุดชนวนระเบิดเหล่านั้นขึ้นมาจริงๆ หลังจากนี้กองกำลังแม่ม่ายดำก็จะต้องกลายเป็นหนูข้างถนนที่ถูกผู้คนรุมประณาม ดังนั้นถ้าไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ เจอร์รีก็จะไม่กดชนวนเบิดที่อยู่ในกำมือของเขา ถ้าใช้วิธีธรรมดาแล้วสามารถกำจัดเยี่ยเทียนได้ อย่างนั้นก็ย่อมจะดีที่สุด
แต่ถ้าเยี่ยเทียนมีความสามารถในการทำลายล้างสูงอย่างน่าตระหนกจริงๆ เจอร์รีก็จะไม่ใจอ่อนออมมือให้เช่นกัน กลุ่มมือสังหารทั้งสามกลุ่มที่เขาส่งมา รวมถึงบรรดานักท่องเที่ยวเหล่านี้ ก็จะกลายเป็นเครื่องเซ่นไหว้ที่ถูกฝังไปพร้อมๆ กับเยี่ยเทียน
ส่วนพวกที่ตายไปอย่างอยุติธรรมเหล่านั้นจะไปร้องทุกข์กับซาตานให้ลงโทษเขาหรือไม่นั้น เจอร์รีไม่ได้สนใจเลย เดิมทีเขาก็ไม่ได้เห็นมือสังหารทั้งสามกลุ่มที่ไม่ได้เข้าร่วมการวางแผนเป็นสหายของตัวเองอยู่แล้ว
“ยังดีนะเนี่ยที่ไม่มีอาวุธหนัก!”
หลังจากสำรวจดูต้นกำเนิดของปราณอันตรายเหล่านั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้สึกโล่งอก ตอนนี้ปืนพกหรือปืนกลธรรมดาๆ ไม่สามารถทำอะไรเขาได้แล้ว ถ้าใช้มีดบินตันเถียนคุ้มกายไว้ ต่อให้เป็นขีปนาวุธที่ทรงอานุภาพมหาศาล เยี่ยเทียนก็พอจะต้านทานได้สักลูกสองลูก
“ซ่งเสี่ยวหลงนี่มันทุ่มเงินไม่ยั้งเลยจริงๆ ตั้งแต่ต้นจนจบถึงกับต้องจ้างคนมามากมายปานนี้”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าเบาๆ สังเกตจากเลือดลมในกายของคนที่อยู่รอบข้างเหล่านี้ เมื่ออยู่ในหมู่คนธรรมดา คนเหล่านี้ก็นับว่าแข็งแกร่งอย่างยิ่งเลยทีเดียว และแต่ละคนก็เคยได้เห็นเลือดกันมาแล้วทั้งนั้น แม้จะยังสู้ทีมมือสังหารของมาลาไกย์ไม่ได้ แต่ก็ถือว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ากันมากนัก
“เจียงซาน พอเข้าไปแล้วก็ล่อมันไปอยู่ตรงจุดที่ไม่มีคนนะ แล้วคนของเราจะกำจัดมันเอง!”
ขณะที่กลุ่มทัวร์กำลังตามฝูงชนเข้าไปในเหมืองทอง เจียงซานใส่หูฟังข้างหนึ่งเข้าไปในหู แล้วก็ได้รับคำสั่งทันที เมื่อหันหน้ากลับไปมองก็เห็นว่า ห่างจากเธอไปสิบกว่าเมตร มีคนผู้หนึ่งกำลังส่งสัญญาณมือให้เธออย่างลับๆ
เจียงซานขบริมฝีปากพลางพยักหน้า ตอนนี้ถึงเธอจะนึกเสียใจ แต่ก็ไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว ถ้าเธอไม่ปฏิบัติตามคำบัญชาการ คนพวกนั้นมีหวังได้กำจัดเธอไปพร้อมกันด้วยแน่ๆ
เนื่องจากความจำเป็นในการรักษาสิ่งแวดล้อมและมรดกทางวัฒธรรม จุดท่องเที่ยวหลายแห่งในต่างประเทศจึงมีการจำกัดจำนวนผู้เข้าชมอย่างเคร่งครัด แม้ว่าบริเวณด้านนอกเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กจะแออัดไปด้วยผู้คน แต่หลังจากที่เข้าไปแล้ว พื้นที่ก็จะโล่งกว้างขึ้นมาทันที
ที่นี่เป็นเหมืองทองขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ในสมัยทศวรรษที่ 1890 เคยมีคนงานเหมืองมากที่สุดเกือบหนึ่งหมื่นคน ดังนั้นในบริเวณทั้งหมดของเหมืองทองจึงดูคล้ายกับชุมชนที่อยู่อาศัยแห่งหนึ่งมากกว่า เมื่อปล่อยคนเข้าไปสักสองร้อยสามร้อยคน จึงดูเหมือนเป็นคนจำนวนน้อยไปทันที
“ทุกคนตามฉันมานะคะ เราจะไปที่รายการสุดท้ายของการเที่ยวชมเหมืองทองกันก่อน ซึ่งก็คือจุดเตาหลอมทองคำแท่งนั่นเองค่ะ ที่นี่ทุก ๆท่าน จะได้เห็นว่า ทองคำแท่งนั้นผลิตออกมาจากเตาอย่างไร”
หลังจากผ่านประตูเข้าไปแล้ว อวี๋ลี่ลี่ก็ไม่ได้เดินตามกลุ่มอื่นๆ ไปยังทางเข้าหลุมเหมือง เธอเรียกให้คนในกลุ่มเดินไปตามเส้นทางอีกสายหนึ่ง แต่เธอไม่ได้สังเกตว่า กลุ่มทัวร์อีกสองกลุ่มซึ่งอยู่ข้างหน้าและข้างหลังกลุ่มของเธอก็ตามมาด้วยอย่างเงียบๆ
นักล่าที่ดีนั้นจำเป็นต้องมีความอดทนที่สูงพอ และกลุ่มมือสังหารเหล่านี้ก็เป็นพวกที่มีประสบการณ์โชกโชก คนเหล่านี้ไม่ได้รีบร้อนลงมือ เพราะข้างหน้าเยี่ยเทียนยังมีคนเยอะอยู่ หากเกิดลงมือพลาดขึ้นมา การที่จะตามหาเยี่ยเทียนให้พบอีกครั้ง ในเหมืองทองที่ใหญ่เท่าเขตชุมชน ซับซ้อนเหมือนเขาวงกตแบบนี้ นั่นคงจะเป็นเรื่องยุ่งยากมากทีเดียว
จุดหลอมทองคำแท่งเป็นจุดเข้าชมที่สร้างขึ้นใหม่ หลังจากที่เหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กถูกดัดแปลงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว จุดนี้อยู่ไม่ไกลจากทางเข้าเหมืองทองนัก เมื่อมีมัคคุเทศก์นำทางมา ห้านาทีให้หลัง ทุกคนก็มาถึงหน้าอาคารที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่งแล้ว
ทุกคนเดินเข้าไปในอาคารที่ก่อขึ้นจากเหล็กแกร่งหลังนั้น ภายในมีพื้นที่ประมาณสองร้อยตารางเมตร ทันทีที่เข้าไปถึงข้างใน ก็จะรู้สึกราวกับว่าอากาศกำลังลุกไหม้แผดเผา และราวกับว่าจะได้กลิ่นของเม็ดทองคำผ่านทางรูขุมขนบนร่างกายเลยทีเดียว
“ขอให้ทุก ๆ ท่าน หลับตาลงก่อนนะคะ แล้วลองฟังเสียงที่เกิดจากการขุดเจาะเหมืองทองคำดู”
ภายในอาคารนั้นนอกจากที่นั่งแบบเดียวกับในโรงภาพยนตร์แล้ว ด้านหน้าสุดก็มีเตาหลอมอุณหภูมิสูงอยู่อีกหนึ่งเตาและแท่นหล่อทองคำ หลังจากที่ทุกคนนั่งลงแล้ว เสียงประกาศก็ดังขึ้น บอกให้ทุกคนหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองย้อนเวลาไปยังจุดกำเนิดของยุคตื่นทองเมื่อสมัยหนึ่งร้อยปีก่อน
จากนั้น แสงไฟรอบด้านก็ดับลงจนหมด เสียงระเบิด เสียงทุบและเสียงเคลื่อนย้ายหินดังขึ้นในโสตประสาท ต่อมาก็มีเสียงของการร่อนดินในน้ำเพื่อหาทองคำ
“อยู่แบบสงบเสงี่ยมก็เป็นเหมือนกันนี่?”
แม้ว่าเยี่ยเทียนจะหลับตาอยู่ แต่จิตของเขากลับกำลังเพ่งดูกลุ่มคนที่มีจิตสังหารอยู่ในใจ เขาพบว่า ขณะที่แสงไฟดับลงไป มีหลายคนที่หัวใจเต้นถี่เร็วขึ้นมา แต่มือที่กุมอาวุธอยู่นั้นยังไม่ได้ชักออกมาจากกระเป๋า
“เอาเถอะ ไว้เดี๋ยวค่อยเก็บพวกแกทีหลัง” เยี่ยเทียนเคยเห็นเหมืองทองมาก่อนแล้ว แต่ยังไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการหล่อหลอมทองคำแท่งเท่าไรนัก ถ้าพวกนั้นไม่ลงมือเคลื่อนไหว เยี่ยเทียนก็ยินดีจะเป็นนักท่องเที่ยวดูสักหน
หลังจากที่เสียงเหล่านั้นเงียบลง ในที่สุดแสงไฟก็สว่างขึ้น คนงานสองคนเดินเข้ามาเปิดเตาหลอมที่อยู่เบื้องหน้า ไอความร้อนลอยขโมงมาปะทะใบหน้าทันที ทำให้ห้องทั้งห้องกลายเป็นเตาหลอม
จุดหลอมเหลวของทองคำอยู่ที่ 1,064.4 องศาเซลเซียส ดังนั้นหากต้องการจะหลอมทองคำ อย่างน้อยก็ต้องใช้อุณหภูมิสูงถึง 1,200 องศาเซลเซียส ด้วยเหตุนี้ทุกอย่างที่ถูกใส่เข้าไปในเตาหลอมจึงกลายเป็นสีแดงเพลิงไปหมด
ในเตาหลอมมีภาชนะที่บรรจุทองคำเหลวไว้เต็มอยู่สองภาชนะ คนงานใช้คีมที่มีความยาวถึงสองเมตรคีบภาชนะนั้นออกมา แล้วเททองคำเหลวลงไปในภาชนะรูปตัว T ที่อยู่ตรงหน้า หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งนาที ทองคำเหลวเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วและกลายเป็นทองคำแท่งขนาดยักษ์ กระบวนการหล่อหลอมทองคำทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่เกินหกนาที
“ทุก ๆ ท่าน คะ นี่…ก็คือโฉมหน้าดั้งเดิมของโจฮันเนสเบิร์ก ถ้าไม่มีทองคำ ก็ไม่มีโจฮันเนสเบิร์ก!”
ตอนสุดท้าย เจ้าหน้าที่นำทองคำแท่งขนาดยักษ์ที่มีความหนาประมาณ 20 เซนติเมตร และยาวประมาณ 35 เซนติเมตรแท่งนั้นออกมาให้ทุกคนชมดู แล้วการเที่ยวชมรายการนี้ก็ยุติลง
หลังจากที่ฝูงชนออกไปจากห้องแล้ว เยี่ยเทียนก็ร้องเรียกอวี๋ลี่ลี่ไว้ “คุณอวี๋ ผมไม่เข้าไปในหลุมเหมืองนะครับ เดี๋ยวผมไปรอพวกคุณตรงทางออกก็แล้วกันนะ!”
“ได้ค่ะคุณจ้าว คุณจะไปดูส่วนที่แสดงชีวิตความเป็นอยู่ของคนงานเหมืองก็ได้นะคะ ที่นั่นก็น่าสนใจมากเหมือนกันค่ะ”
อวี๋ลี่ลี่พยักหน้า แล้วพูดอีกว่า “ที่นี่มีเจ้าหน้าที่อยู่ค่อนข้างน้อย แต่ก็มีป้ายบอกทางอยู่ทุกจุด คุณเดินไปตามทางที่ป้ายพวกนั้นบอกก็ได้ อย่าหลงทางเด็ดขาดเลยนะคะ!”
“ไม่มีปัญหาครับ เดี๋ยวเจอกันนะครับ”
เยี่ยเทียนยิ้มพลางโบกมือ แล้วหันหลังเดินไปทิศทางตรงกันข้ามกับคนอื่นๆ แต่เพิ่งจะเดินไปได้สี่ห้าเมตร ก็มีเสียงหนึ่งร้องเรียกมาจากข้างหลังอย่างอายๆ “พี่ชาย ให้หนูไปด้วยคนได้ไหมคะ?”
ตอนที่ 805 ยิงปะทะ
“หนูน้อย เธอแน่ใจนะว่าจะไปกับฉัน?”
เมื่อได้ยินเด็กหญิงถามขึ้น เยี่ยเทียนก็หยุดฝีเท้า เขาเพิ่งจะรู้สึกถึงจิตประสงค์ร้ายที่เด็กหญิงมีต่อเขาได้อย่างชัดเจน ส่วนเขาเองก็ได้ส่งคำเตือนไปให้เด็กหญิงแล้วเช่นกัน แต่เยี่ยเทียนไม่นึกเลยว่า เด็กหญิงยังจะกล้ามาตอแยกับเขาอีก
เยี่ยเทียนไม่ได้เป็นศาสนิกชนผู้เปี่ยมศรัทธาอะไร เขาต่อสู้ฝ่าเนินศพทะเลเลือดมาจนถึงตอนนี้ จำนวนคนที่ตายไปด้วยน้ำมือของเขานั้น เทียบกับจำนวนเหยื่อของแม่ทัพใหญ่ผู้กรำศึกสมัยโบราณแล้วก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย ถ้าเห็นว่าเด็กหญิงคิดจะเล่นตุกติกทำร้ายเขาอย่างโจ่งแจ้งเมื่อไรละก็ เยี่ยเทียนก็จะกำจัดเธอเสียเดี๋ยวนั้นเลย
“อื้ม หนูจะไปด้วยค่ะ”
แม้ว่าในดวงตาของเด็กหญิงจะเปี่ยมด้วยความหวาดหวั่น แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นอย่างยิ่ง เธอเงยหน้าขึ้นมาลอบชำเลืองมองเยี่ยเทียนแวบหนึ่ง แล้วพูดเสียงค่อยว่า “คุณเป็นคนที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่หนูเลยเจอมาเลย หนูจะต้องตามไปกับคุณให้ได้เลยค่ะ!”
ลึกๆ ในใจของเด็กหญิง มีเสียงหนึ่งเฝ้าร่ำร้องไม่หยุดว่า ให้เธอติดตามเยี่ยเทียนไป เจียงซานรู้ว่า สัญชาตญาณของเธอไม่เคยผิดพลาดมาก่อนเลย ในเมื่อจิตใจส่วนลึกของเธอมีความปรารถนาเช่นนั้น นั่นก็จะต้องเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้วอย่างแน่นอน
“ถ้าตามฉันมาอาจจะมีคนตายนะ รวมถึงตัวเธอเองด้วยนั่นแหละ!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วหันกายเดินไปยังเขตที่อยู่อาศัยของคนงานเหมือง แม้ว่าเด็กหญิงคนนี้จะมีความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์บางอย่างอยู่ แต่เยี่ยเทียนก็ยังไม่เห็นเธออยู่ในสายตาอยู่ดี แม้กระทั่งความสนใจที่จะประมือกับเธอก็แทบไม่มีอยู่เลย
“คุณ…คุณดูถูกหนูหรือคะ? หนูน่ะร้ายกาจมากเลยนะ!”
เจียงซานนึกไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะสะบัดหน้าจากไปทั้งอย่างนั้น หลังจากยืนอึ้งอยู่ที่เดิมไปครู่หนึ่งแล้วก็รีบไล่ตามไป ถึงเธอจะรู้อยู่ว่า ในเหมืองแห่งนี้มีคนอย่างน้อยๆ ก็หลายสิบคนที่ต้องการชีวิตของเยี่ยเทียน แต่ไม่รู้เพราะอะไร เจียงซานจึงมีความรู้สึกว่า มีแต่ต้องตามอยู่ใกล้ๆ เยี่ยเทียนเท่านั้นถึงจะปลอดภัยที่สุด
“นี่หนู งั้นไหนลองบอกมาซิว่าเธอร้ายกาจตรงไหน?”
เมื่อเห็นเด็กหญิงไล่ตามมา เยี่ยเทียนก็เดินช้าลง เขาเกิดจิตสังหารกับเด็กผู้หญิงตัวกระจ้อยแบบนี้ไม่ได้จริงๆ และเยี่ยเทียนเองก็รู้สึกสนใจเกี่ยวกับพลังงานที่ค่อนข้างจะประหลาดในร่างกายของเธออยู่บ้างเหมือนกัน
“หนูบอกได้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่”
เจียงซานยืดอกซึ่งยังไม่ได้เติบโตอย่างสมบูรณ์ แล้วพูดต่อ “หนูมีวิชาอ่านใจ ก็เลยรู้ความคิดของคุณได้ นอกจากนี้หนูยังดูดวงเสี่ยงทายเป็นด้วยละ คุณแม่ของหนูเป็นชาวยิปซีเชียวนะ!”
“วิชาอ่านใจ? ดูดวงเสี่ยงทาย”
เยี่ยเทียนฟังแล้วอดรู้สึกขบขันไม่ได้ สิ่งที่ชาวยิปซีเรียกกันว่าศาสตร์การเสี่ยงทายนั้น ในสายตาของเขาก็เป็นเพียงเรื่องตลกขบขันเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง นำมาวิจารณ์เปรียบเทียบร่วมกับศาสตร์ปากว้าในคัมภีร์โจวอี้ของเหวินอ๋องแห่งประเทศจีนได้ที่ไหนกัน เยี่ยเทียนคิดดูแล้วพูดขึ้นว่า “อย่างนั้นไหนเธอลองดูซิว่า ตอนนี้ฉันกำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าตอบถูกฉันก็จะให้เธอตามมาด้วย!”
ระหว่างที่ปากกำลังพูดกับเด็กหญิง สีหน้าของเยี่ยเทียนไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แต่ในแววตากลับมีรังสีอำมหิตเพิ่มขึ้นมา เนื่องจากเขาพบว่า เมื่อเขาเดินห่างออกไปเรื่อยๆ คนยี่สิบกว่าคนก็ล้อมเข้ามาอย่างเงียบๆ แต่ละคนพกพาอาวุธกันครบทุกคน
“คุณกำลังคิดว่า…”
เจียงซานเงยหน้าขึ้นมา มองไปที่ดวงตาของเยี่ยเทียนตามปกติ ขณะเดียวกันสมองก็เริ่มเพ่งสมาธิ แต่แล้วสีหน้าของเธอก็กลับขาวซีดลงผิดปกติ ร่างถอยหลังไปติดๆ กัน ที่มุมปากถึงขั้นมีเลือดไหลออกมาเป็นทาง
“เอ๋ ก็พอมีวิชาอยู่เหมือนกันนี่?”
แม้ว่าร่างของเด็กหญิงจะซวนเซล้มไปข้างหลัง แต่เยี่ยเทียนกลับตาลุกวาวขึ้นมา เพราะเมื่อครู่นี้เขารู้สึกได้ว่า มีพลังงานที่แสนจะพิสดารกลุ่มหนึ่งพุ่งจู่โจมมาที่สมองของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะมีกระแสจิตโคจรอยู่รอบกาย พลังงานนั้นก็คงจะรุกล้ำเข้าไปในสมองแล้ว
เยี่ยเทียนก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ขณะที่กำลังจะปล่อยกระแสจิตออกไปสำรวจร่างกายของเด็กหญิง ร่างของเขาก็กลับพลันชะงักนิ่งไป “หนู อยู่ตรงนั้นไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันค่อยมาทะเลาะกับเธอต่อ!”
พูดยังไม่ทันสิ้นเสียง ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นระลอกหนึ่ง ลูกกระสุนหลายสิบนัดพุ่งแหวกอากาศมาทางเยี่ยเทียนจากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทุกนัดต่างเล็งไปที่จุดสำคัญบนร่างของเยี่ยเทียนทั้งนั้น
ขณะที่เสียงปืนดังขึ้น ร่างของเยี่ยเทียนก็พลันบิดเบี้ยว แล้วอันตรธานหายไปจากที่เดิม กระสุนเหล่านั้นจึงพลาดจากเป้าหมายไปหมด เมื่อมองดูอีกที ร่างของเยี่ยเทียนก็ปรากฏขึ้นห่างจากตำแหน่งเดิมไปเจ็ดแปดเมตรแล้ว
“อยู่ตรงนั้น เก็บมันซะ!”
ตำแหน่งของเยี่ยเทียนตรงกับทางเข้าเขตที่อยู่อาศัยของพวกคนงานเหมืองพอดี ไปข้างหน้าอีกหน่อยก็จะถึงเพิงเตี้ยๆ หลังหนึ่งแล้ว แต่ยามนี้ภายในเพิงเหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร ปืนกลเจ็ดแปดกระบอกเล็งมาที่ร่างของเยี่ยเทียนพร้อมๆ กัน
“เจียงซาน สกัดมันไว้!” ขณะเดียวกันนั้นเอง คำสั่งของเจอร์รีก็ส่งมาถึงหูของเจียงซาน
“ใครใช้ให้แกมาดูถูกฉัน?” หลังจากได้ยินเสียงจากหูฟัง เธอก็ขบริมฝีปาก ถึงเธอจะหมดความหวังที่จะสังหารเยี่ยเทียนได้ไปนานแล้ว แต่เธอกลับรวบรวมพลังจิตทั้งหมดที่ตัวเองมี แล้วจู่โจมไปยังเยี่ยเทียนซึ่งอยู่ห่างจากเธอไปเจ็ดแปดเมตร
“เอ๊ะ? นี่มันพลังอะไรกันเนี่ย?”
หลังจากที่เจียงซานปล่อยพลังจิตของเธอออกมา เยี่ยเทียนก็รู้สึกเกร็งไปทั้งร่างทันที ราวกับจมลงไปในหล่มโคลนก็ไม่ปาน จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ และแค่นเสียงดังเฮอะ “คลาย!”
หลังจากเยี่ยเทียนตวาดออกมา อากาศรอบตัวเขาก็เกิดระลอกคลื่น พลังจิตอันน่าสมเพชของเจียงซานกลุ่มนั้นคงตัวอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งวินาทีด้วยซ้ำ ก็ถูกสะเทือนจนสลายไปหมดไม่มีเหลือ ส่วนเจียงซานซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นก็ถูกเสียงตวาดของเยี่ยเทียนโจมตี ร่างเล็กๆ นั้นอ่อนยวบลงไปกับพื้น ราวกับสูญเสียวิญญาณไปแล้วก็ไม่ปาน
ตั้งแต่เจียงซานเริ่มลงมือไปจนถึงตอนที่เยี่ยเทียนสลายพลังออกไป เป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีด้วยซ้ำ แต่บรรดามือสังหารที่รายล้อมเยี่ยเทียนจากทุกด้านนั้น ต่างก็เป็นพวกมือเก่าที่กรำศึกมานาน ชั่วขณะที่เยี่ยเทียนนิ่งงันไปเพียงเล็กน้อย อาวุธอัตโนมัติที่อยู่ในมือของพวกนั้นก็ถักสานกันเป็นตาข่ายเพลิง กวาดตรงไปทางเยี่ยเทียน
แตกต่างจากทหารธรรมดาที่ใช้อาวุธเหมือนๆ กันเป็นมาตรฐาน มือสังหารเหล่านี้มักจะดัดแปลงอาวุธของตนตามความถนัด แม้แต่เยี่ยเทียนก็ยังเริ่มรู้สึกถึงอันตรายขึ้นมา หากกระสุนเหล่านั้นยิงถูกร่าง แม้จะไม่ถึงตาย แต่ก็คงไม่ใช่รสชาติที่ดีแน่นอน
กระสุนพุ่งออกจากกระบอกปืนไปเพียงเสี้ยววินาทีก็ไปถึงเป้าหมายแล้ว แต่ในสายตาของเยี่ยเทียน ช่วงเวลานี้กลับเชื่องช้าอย่างยิ่ง วิถีของห่ากระสุนที่กระหน่ำลงมาเต็มฟ้าเหล่านั้นฉายชัดอยู่ในห้วงสมองของเขา
“สลาย!” เยี่ยเทียนตวาดออกมาหนึ่งคำ ขณะเดียวกันก็อ้าปากเล็กน้อย ประกายแสงสีแดงสว่างวาบขึ้น ปกคลุมร่างของเยี่ยเทียนไว้ทั้งหมด
เสียง “เคร้งๆๆ” ดังขึ้นไม่ขาดหู กระสุนเหล่านั้นถูกประกายแสงสีแดงสลายจนกระจุย ทุกอย่างกลายเป็นเศษโลหะ แล้วปลิวตกลงไปบนพื้น ราวกับพื้นดินมีรัศมีสีทองเคลือบไว้ชั้นหนึ่ง
“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
“มัน…มันยังเป็นคนอยู่รึเปล่า? กระสุนก็ฆ่าไม่ตายเรอะ?”
“พระเจ้าช่วย นี่มันเป็นศัตรูแบบไหนกันเนี่ย ไอ้เจอร์รีบัดซบ มิน่าล่ะมันถึงไม่ได้ส่งคนมา”
เมื่อมือสังหารทั้งสามกลุ่มที่ล้อมเยี่ยเทียนอยู่เห็นเหตุการณ์นี้ แววตาของเกือบทุกคนก็หม่นลงไปทันที คนที่สามารถหลบกระสุนได้ทันนั้นพวกเขาอาจจะเคยเห็นมาก่อน แต่แบบที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ทว่ากลับไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลยนั้น นับว่าอยู่เกินกว่าขอบเขตความเข้าใจของพวกเขาจริงๆ
“ยิง ๆ กำจัดมันซะ!”
ผู้ที่จะสามารถสร้างชื่อเสียงในวงการมือสังหารนานาชาติได้นั้น ย่อมต้องไม่ใช่คนชั้นธรรมดาๆ อยู่แล้ว จึงสามารถคาดเดาเจตนาของเจอร์รีได้ในทันที แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ พวกเขาก็มีเพียงทางเดียวคือพยายามกำจัดศัตรูอันน่าสะพรึงกลัวที่อยู่ตรงหน้านี้ให้ได้
ความสามารถอันเหนือมนุษย์ที่เยี่ยเทียนแสดงให้เห็นนั้น ก็เพียงแต่ทำให้มือสังหารที่เคยผ่านการฝึกมาเหล่านี้นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นเสียงปืนก็ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกระลอก คราวนี้ไม่มีใครออมมืออีกเลย สาดกระสุนทั้งหมดในกระบอกปืนไปทางเยี่ยเทียนจนหมด
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยก็คือ หลังจากที่เสียงปืนหยุดลง เงาร่างที่ดูเหมือนจะค่อนข้างผอมและอ่อนแอนั้น กลับยังคงยืนอยู่ที่เดิม ประกายแสงสีแดงที่วนล้อมอยู่รอบกายนั้นช่วยย้อมให้คนผู้นั้นยิ่งดูลึกลับน่าพิศวง
“ได้รับแล้วไม่ตอบแทนย่อมเป็นการไร้มารยาท จะให้พวกแกได้ประจักษ์ฝีมือของผู้แซ่เยี่ยสักหน่อยก็แล้วกัน!”
เยี่ยเทียนตวาดออกมาเสียงเย็นเยียบแล้วตั้งจิต ประกายแสงสีแดงที่ปกคลุมอยู่รอบกายนั้นพุ่งออกไป ตรงเข้าสู่เขตเพิงที่อยู่อาศัยที่อยู่เบื้องหน้า จากนั้นเสียงร้องอย่างน่าสยดสยองก็ดังขึ้นมา ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ รอบด้านก็เงียบสงบลงทันที
“ไม่เห็นจะเก่งอย่างที่คนเขาว่ากันเลย โดนแค่ทีเดียวก็ไม่รอดแล้ว!”
บนใบหน้าของเยี่ยเทียนปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน การจู่โจมปานสายฟ้าของมีดสั้นอู๋เหินเมื่อครู่นี้ ได้เด็ดหัวของมือสังหารทั้งสิบเก้าคนที่กำลังซุ่มโจมตีเขาจากทั้งข้างหน้าและข้างหลังไปหมดแล้ว
ภายในเพิงนั้น บนศีรษะที่ยังไม่ร่วงหล่นลงไปของแต่ละคนต่างก็ยังมีสีหน้าเหลือเชื่อฉายชัดอยู่ กระทั่งร่างก็ยังคงยืนอยู่ในลักษณะเดิม แต่สติสัมปชัญญะของคนเหล่านี้กลับค่อยๆ เลอะเลือนไปเรื่อยๆ
“พับผ่าสิ ช่างเป็นอาวุธมีคมที่ใช้ฆ่าคนได้ดีจริงๆ!”
แม้แต่เยี่ยเทียนเองเมื่อเห็นผลลัพธ์เช่นนี้แล้ว ก็ยังอดรู้สึกตกตะลึงไม่ได้เหมือนกัน มีดบินฆ่าคนนี้ไร้เงาไร้ร่องรอยอย่างแท้จริง ได้ผลดีกว่ากระสุนปืนตั้งไม่รู้กี่เท่า และยังสามารถทำได้ทั้งโจมตีและป้องกัน มิน่าเล่าติงหงคนเดียวกับหนึ่งมีดถึงได้กล้าต่อกรกับกองทัพนับหมื่นของรัสเซีย
ยังไม่ต้องเอ่ยถึง เซียนติง ผู้ถูกอัสนีสวรรค์ผ่าจนสิ้นชีพไปท่านนั้น อาศัยเพียงความแข็งแกร่งของกระแสจิตและปราณแท้ของเยี่ยเทียนในตอนนี้ ก็พอที่จะขับเคลื่อนมีดบินได้หลายชั่วยามแล้ว อย่าว่าแค่คนแค่สิบเก้าคนเลย ต่อให้บุกมากันเป็นกองทัพ เยี่ยเทียนก็ไม่เกรงกลัวเลยสักนิด
“มันจะจุดชนวนระเบิดรึเปล่านะ?”
หลังจากเก็บมีดสั้นอู๋เหินกลับเข้าสู่ร่างแล้ว บนใบหน้าของเยี่ยเทียนก็ปรากฏรอยยิ้มเหี้ยม เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่า เจ้าคนที่ชื่อเจอร์รีนั่นจะมีสีหน้าอย่างไร หลังจากที่กดชนวนระเบิดไปแล้ว แต่วัตถุระเบิดกลับไม่ระเบิดขึ้นมา
………………
“พระเจ้าช่วย มันยังเป็นมนุษย์อยู่ไหมเนี่ย? ขนาดกระสุนยังฆ่ามันไม่ตายเลย!”
ในหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กไปห้าสิบกิโลเมตร เคลวินซึ่งกำลังควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ก็ร้องอุทานออกมา แม้ว่าตอนนี้เจียงซานจะหมดสติไปแล้ว แต่เขาได้ติดตั้งกล้องไว้บนร่างของเธอสองตัว ทำให้สามารถส่งภาพในสถานที่เกิดเหตุกลับมาได้
“เคลวิน มือสังหารสองทีมนั้นตายหมดแล้วนะ!”
เจอร์รีมองดูจอคอมพิวเตอร์ด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ ตอนแรกในใจเขายังเหลือความเชื่ออยู่เล็กน้อยว่านี่เป็นเพียงความบังเอิญ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเยี่ยเทียนนั้น ก็เป็นสิ่งที่ช่วยอธิบายได้อย่างชัดเจนแล้วว่า นี่แหละคือผู้มีพลังวิเศษที่เขาต้องหวาดกลัวอย่างสุดซึ้ง
“เจอร์รี จะทำยังไงดี? ฉันไม่มั่นใจหรอกนะว่าจะกำจัดมันได้!”
แผลเป็นที่ดูเหมือนไส้เดือนบนหน้าของบรูกแมนผู้เป็นกำลังสูงสุดของกลุ่มมือสังหารแม่มายดำกำลังสั่นระริกไม่หยุด ชายหนุ่มในจอภาพซึ่งเห็นใบหน้าได้อย่างเลือนรางนั้น ทำให้ในใจเขาเกิดความรู้สึกอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา
ตอนที่ 806 ฆ่าล้างบาง (1)
“เจอร์รี จะกดไหม?”
ดวงตาของเคลวินจับจ้องไปที่กระเป๋าบนชุดลายพรางของเจอร์รี เขาเชื่อว่า ขอเพียงเจอร์รีกดชนวนระเบิด แม้ว่าคนผู้นั้นจะสามารถหลบลูกกระสุนได้ แต่ร่างก็ต้องแหลกเป็นจุณแน่นอน ปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดจากระเบิด TNT หนักหลายร้อยกิโลกรัมที่อยู่ใต้ดินนั้น จะมีอานุภาพรุนแรงพอๆ กับหัวรบนิวเคลียร์ขนาดเล็กเลยทีเดียว
“รอดูอีกหน่อย”
เจอร์รีส่ายหน้า แล้วหันไปมองเหมียวจื่อหลงที่นิ่งเงียบมาตลอด “คุณเหมียว คุณยังมีแผนสองอยู่ไม่ใช่หรือ? ส่งคนพวกนั้นออกไปได้แล้วนะ!”
ตั้งแต่สหรัฐอเมริกาประสบเหตุวินาศกรรม 911 จนมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่ครบสองปีเลย นี่เป็นยุคสมัยที่ทั่วโลกต่างก็กำลังต่อต้านการก่อการร้าย ถ้าไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ เจอร์รีก็ไม่อยากจะใช้วัตถุระเบิดเหล่านั้นเลย ไม่อย่างนั้นอีกครึ่งชีวิตที่เหลือของพวกเขาคงต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนตามรูเหมือนหนูแน่ๆ
“เจอร์รี ผมไม่ได้ต้องการผลลัพธ์แบบนี้นะ!”
เหมียวจื่อหลงซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ มีสีหน้าเขียวคล้ำ การกระทำของเยี่ยเทียนที่แสดงอยู่ในจอเมื่อครู่นี้ทำให้เขารู้สึกขนลุกชันด้วยความพรั่นพรึง เหมียวจื่อหลงยังถึงขั้นเริ่มสงสัยแล้วว่า ตัวเองคิดผิดไปหรือเปล่าที่ต้องการจะล่าสังหารเยี่ยเทียน?
ขณะเดียวกันท่าทีของเจอร์รีก็ทำให้เหมียวจื่อหลงรู้สึกเดือดดาลอย่างยิ่ง การที่เขาทุ่มเงินไปหลายสิบล้านเหรียญสหรัฐว่าจ้างกองกำลังแม่มายดำมานั้น เป้าหมายก็คือหัวของเยี่ยเทียน ไม่ใช่มานั่งดูเยี่ยเทียนแผลงฤทธิ์เดชในจอภาพแบบนี้
“คุณเหมียว อย่าร้อนใจไป ผมรู้ว่าคุณจ้างทหารคองโกมา ตอนนี้ก็ให้พวกเขาออกโรงได้แล้วละ!”
เจอร์รียิ้มอย่างเฉยชาแล้วพูดต่อ “ผมรับรองคุณได้เลยว่า ถ้าทหารพวกนี้ยังกำจัดมันไม่ได้อีกละก็ ผมจะเป็นคนส่งมันไปลงนรกด้วยตัวเองเลย คุณต้องเชื่อคำรับประกันของกองกำลังแม่มายดำนะ!”
“ก็ได้เจอร์รี ผมจะเชื่อคุณ!”
เหมียวจื่อหลงจ้องเจอร์รีอยู่พักใหญ่ แล้วจึงยื่นมือไปหยิบวิทยุสื่อสารออกมาเครื่องหนึ่ง ปรับความถี่สัญญาณแล้วพูดขึ้นว่า “ผู้พันอึนบันเกอดา ได้เวลาพวกคุณออกปฏิบัติการแล้ว กำจัดไอ้บัดซบนั่นให้ได้นะ ผมจะส่งเฮลิคอปเตอร์ไปให้คุณอีกหนึ่งลำ!”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวจื่อหลงจึงได้แต่ฝืนเดินต่อไป ยังดีที่เขากับซ่งเสี่ยวหลงซื้อตั๋วเครื่องบินขาออกจากแอฟริกาใต้ไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าสถานการณ์ที่แอฟริกาใต้จะย่ำแย่ไปถึงขนาดไหน เขาก็จะไปให้ไกลจากความขัดแย้งนี้ให้ได้ ก็อย่างที่กล่าวกันว่าผู้รู้จักเอาตัวรอดเป็นยอดดีนั่นแหละ
“คุณเหมียว ขอบคุณมากที่เผื่อแผ่มาถึงพวกเรา” เสียงที่เปล่งออกมาจากวิทยุสื่อสารค่อนข้างแหบพร่า “ผมจะเอากะโหลกของเจ้านั่นมาทำเป็นถ้วยใส่เหล้าให้คุณนะ!”
“ป่าเถื่อนจริงไอ้พวกนี้!”
คำตอบจากวิทยุสื่อสารทำให้พวกเคลวินต่างขมวดคิ้ว มีแต่ชนเผ่าดึกดำบรรพ์ที่อยู่ในป่าของทวีปแอฟริกาเท่านั้น ที่มีธรรมเนียมในการเก็บกะโหลกศีรษะของศัตรูมาทำเป็นภาชนะใส่สุรา แต่ในสายตาของผู้มีอารยธรรมในยุคปัจจุบัน นี่กลับเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจและยอมรับได้ยากยิ่งจริงๆ
………………
ห่างจากเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กไปประมาณสิบกิโลเมตร เดิมทีมีเมืองเล็กๆ อยู่เมืองหนึ่ง แต่เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กนั้นพิเศษพิสดารอย่างยิ่ง และก็ไม่ได้ตั้งอยู่ติดกับเส้นทางคมนาคมสายหลัก เมื่อเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กยุติการขุดเจาะเหมือง คนงานเหมืองมากกว่าหมื่นคนกระจัดกระจาย เมืองเล็กๆ แห่งนี้จึงขาดที่พึ่งในการที่จะดำรงอยู่ต่อไป
เมื่อไม่มีคนงานเหมืองเหล่านั้น โรงแรมขนาดเล็กในเมืองจึงจำเป็นต้องปิดตัวลง ร้านเหล้าและร้านค้าบางประเภทก็ไม่อาจจะดำเนินกิจการต่อไปได้ สุดท้ายเมืองเล็กๆ แห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่รกร้าง ยากที่จะจินตนาการได้ว่า เมื่อสิบปีก่อนนี้เอง ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่รุ่งเรืองคึกคักอยู่เลย
แอฟริกาใต้ในเดือนกรกฎาคม ดวงอาทิตย์ร้อนแรงราวกับลูกไฟ แสงแดดอันร้อนแผดเผาสาดส่องลงไปบนผืนแผ่นดิน ร้อนจนกระทั่งอากาศยังดูบิดเบี้ยว
เมืองเล็กอันว่างเปล่าไร้เงาผู้คนนั้นดูเงียบสงัดอย่างยิ่ง ทันใดนั้น เสียงผิวปากเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นทำลายความเงียบในเมืองเล็กแห่งนี้ คนหลายร้อยคนกรูกันออกมาจากสิ่งก่อสร้างแต่ละหลังราวกับวิญญาณ แล้วไปชุมนุมกันที่ลานสาธารณะในเมือง
แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงก็คือ ในบรรดาหลายร้อยคนนี้ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นเด็กผิวดำที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ กระทั่งบางคนยังสูงไม่เท่าปืนที่ตัวเองแบกไว้บนหลังด้วยซ้ำ แต่ละคนยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางซังกะตาย ในดวงตาไร้ซึ่งชีวิตชีวา ดูราวกับซอมบี้ก็ไม่ปาน
“ออกเดินทาง จุดหมายคือเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์ก ฆ่าคนที่นั่นให้หมด!”
ผู้ที่กำลังพูดอยู่นี้เป็นคนผิวดำรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง แขนทั้งสองข้างของเขายาวมาก เมื่อปล่อยแนบลำตัวตามสบายแล้วยาวไปถึงหัวเข่า มองจากไกลๆ แล้วดูราวกับลิงกอริลลาตัวหนึ่งก็ไม่ปาน คนผู้นี้ก็คือคนที่พวกเคลวินคิดว่าเป็นคนป่าเถื่อนนั่นเอง และพวกเขาก็คือกองกำลังติดอาวุธกลุ่มหนึ่งของกองทัพต่อต้านรัฐบาลคองโก
ตั้งแต่คองโกประกาศอิสรภาพในปี 1960 เป็นต้นมา ก็ตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของสงครามมาตลอด ตอนแรกอเมริกาใช้กลุ่มของนายชอมเบเป็นเครื่องมือในการสังหารนายลูมูมบา ซึ่งเป็นหัวหน้าเลขาธิการของคองโกในสมัยนั้น และสนับสนุนให้นายคาซาวูบูเป็นประธานาธิบดี สถาปนาสาธารณรัฐคองโกขึ้นมา
แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่ปี นายโมบูตู ผู้บัญชาการกองทัพประชาชนก็ได้ก่อการรัฐประหารอีก โดยปลดนายคาซาวูบูออกจากตำแหน่ง และยึดอำนาจประธานาธิบดี หลังจากนั้นกลุ่มผู้มีอิทธิพลหลายฝ่ายก็เริ่มต่อสู้กันในคองโก ทำให้ชาวคองโกแทบทุกคนต่างก็ได้รับความสูญเสียจากสงคราม
ไม่ว่าจะเป็นกองทัพฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายต่อต้านรัฐบาล เบื้องหลังต่างก็มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลคอยสนับสนุนอย่างลับๆ กันทั้งนั้น ทั้งสองฝ่ายมีกำลังพอๆ กัน ดังนั้นคองโกจึงกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่อันตรายที่สุดในโลก
สงครามที่ดำเนินมาอย่างยาวนานส่งผลให้ประชาชนชาวคองโกต้องกลายเป็นทหารกันเกือบหมด อย่างบรรดาบริวารของผู้พันอึนบันเกอดารวมถึงตัวเขาเอง เดิมทีก็เป็นเพียงชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในป่าลึกบนที่ราบสูง แต่สงครามที่ยาวนานถึงสามสิบปีนั้น กลับทำให้พวกเขาต้องกลายเป็นทหารที่ฆ่าคนเหมือนผักปลา
“ผู้พันครับ ไม่มีกัญชาแล้วนะครับ!”
อึนบันเกอดาพูดยังไม่ทันขาดคำ ทันใดนั้นในแถวก็เกิดเสียงพูดแย้งขึ้นมา เมื่อมองตามเสียงไปก็เห็นเด็กชายร่างผอมเหมือนถั่วงอก ใบหน้ายังมีความไร้เดียงสาเจืออยู่คนหนึ่งกำลังหาวอย่างไม่อาจอดกลั้น
“นั่นสิ กัญชาก็ไม่มี ผู้หญิงก็ไม่มี แล้วเราจะมาที่นี่กันทำไมล่ะครับผู้พัน?” เด็กชายคนที่สูงกว่ากระบอกปืนไปหนึ่งช่วงศีรษะคนนั้นพูดขึ้นมา ทำให้คนอื่นๆ ในแถวพลอยเออออตามกันไปด้วย ส่วนการหาวนั้นก็ติดต่อกันได้เช่นกัน เพียงครู่เดียวก็มีอีกหลายคนใช้มือปิดปากหาวตามไปด้วย
“ไอ้เวรตะไล ไม่รู้จักคำว่าปฏิบัติตามคำสั่งรึไง?”
อึนบันเกอดาแววตาเย็นวาบ มือขวาชักออกมาจากบั้นเอวปานสายฟ้าแลบ แล้วเล็งไปที่เด็กชายคนที่อ้าปากพูดขึ้นมาเป็นคนแรกโดยไม่ลังเลเลยสักนิด นิ้วชี้งอเข้าเพียงเล็กน้อยเพื่อลั่นไกปืน
“ปัง!” เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ที่หว่างคิ้วของเด็กชายคนนั้นปรากฏรูอาบเลือด ร่างกระเด็นตามแรงไปข้างหลัง แล้วล้มลงไปบนพื้นอันร้อนฉ่าอย่างหนักหน่วง
เสียงปืนที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ทำให้ในแถวที่ตอนแรกเริ่มจะวุ่นวายขึ้นมากลับเงียบกริบไปทันที แต่ละคนต่างมีสีหน้าตื่นตระหนก เพราะพวกเขากลัวว่า กระสุนนัดต่อไปอาจจะยิงมาที่หัวสมองของตัวเองก็ได้
“ระยำเอ๊ย ฟังให้ดีนะพวกแก ฆ่าคนที่เหมืองทองโจฮันเนสเบิร์กให้หมด ทีนี้ทองคำกับผู้หญิงที่นั่นก็จะกลายเป็นของพวกแกแล้ว!”
เมื่อเห็นว่าการยิงปืนนัดนี้ข่มขู่ทหารเด็กน่าตายพวกนี้ได้สำเร็จ ผู้พันอึนบันเกอดาก็รู้สึกพึงพอใจมาก ที่คองโกนั้น พลังอำนาจทางทหารอยู่เหนือกว่าสิ่งอื่นใด โดยเฉพาะกับทหารเด็กเหล่านี้ จะต้องทำให้หวาดกลัวอย่างสุดขีด จึงจะสามารถกระตุ้นเด็กๆ เหล่านี้ให้ไปเข่นฆ่าผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทหารเด็กของคองโกนั้น เป็นปรากฏการณ์พิเศษอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์การทหารโลก เนื่องจากในคองโกมีการรบพุ่งมานานเป็นปีๆ ชายวัยฉกรรจ์ส่วนใหญ่ล้วนจบชีวิตลงในสมรภูมิกันหมดแล้ว เพื่อรักษากำลังทหารไว้ไม่ให้ขาด ขุนพลบางกลุ่มจึงพุ่งเป้าหมายไปที่เด็กแทน
ขุนพลเหล่านี้ส่งครูฝึกทหารไปจับเด็กๆ ในหมู่บ้านแต่ละแห่งมา จากนั้นก็มอบปืนให้เด็กพวกนี้ แล้วพาพวกเขาไปบุกปล้นฆ่าวางเพลิง กระทั่งยังให้เสพยาอีกด้วย เพื่อที่จะควบคุมเด็กเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ทำให้พวกเขาไม่อาจหลุดพ้นจากชีวิตเช่นนี้ไปได้
“ฆ่าพวกมันซะ ปล้นทองคำ ขโมยกัญชา ฉุดผู้หญิงมา!”
เด็กๆ เหล่านี้ถูกล้างสมองไปนานแล้ว พวกเขาจึงรู้สึกชินชากับความตาย แต่เมื่อได้ยินคำว่ากัญชา ทองคำและผู้หญิง ดวงตาของพวกเขาก็จะฉายแววคลุ้มคลั่งออกมา แต่ละคนพากันกวัดแกว่งอาวุธพลางตะโกนกู่ร้อง ไม่มีใครหันไปมองเพื่อนคนที่ถูกยิงกลางหว่างคิ้วคนนั้นอีกเลย
“ขึ้นรถ ระหว่างทางไม่ว่าจะเจอใครก็ไม่ต้องละเว้น!”
รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอึนบันเกอดา นี่คือกองทัพเด็กใต้บัญชาการของเขา และก็เป็นฐานให้เขาสามารถยืนหยัดอยู่ในคองโกได้ เมื่อมีเด็กหลายร้อยคนเหล่านี้อยู่ เขาก็จะสามารถตั้งตนเป็นอิสระในคองโกได้ และได้ใช้ชีวิตแบบในสังคมชนชั้นสูงของทางตะวันตก
ส่วนการสังหารหมู่ในแอฟริกาใต้ครั้งนี้จะทำให้เกิดผลกระทบอย่างไรบ้างนั้น อึนบันเกอดาไม่ได้ไปขบคิดถึงเลย เขาสนใจแต่จะฆ่าคนชิงทรัพย์เท่านั้น ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีคนที่สูงกว่าเขาคอยค้ำไว้ คองโกทำสงครามมาหลายสิบปี ไม่มีใครเกรงกลัวกฎหมายอยู่แล้ว อย่างมากเขาก็แค่พาเด็กเหล่านี้กลับไปเป็นชนพื้นเมืองในป่าอีกครั้งเท่านั้นเอง
เด็กผิวดำใบหน้าบิดเบี้ยวปีนขึ้นไปบนรถบรรทุกสี่ห้าคันที่เตรียมพร้อมไว้แล้วทีละคนๆ บางคนถึงขั้นยิงปืนขึ้นฟ้า สภาพดูแสนจะอลหม่านวุ่นวาย ไม่กี่นาทีต่อมา รถก็ขับออกจากเมืองเล็กๆ แห่งนั้น มุ่งหน้าไปยังเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์ก
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของโจฮันเนสเบิร์ก ที่หน้าทางเข้าเหมืองทอง จึงมีรถทัวร์จอดอยู่หลายคัน เพียงแต่ในจุดเที่ยวชมสามารถรับนักท่องเที่ยวได้จำนวนจำกัด กลุ่มที่เหลืออีกเกือบครึ่งหนึ่งจึงต้องรออยู่ข้างนอก ให้คนข้างในกลับออกมาก่อน แล้วพวกเขาถึงจะเข้าไปได้
สภาพอากาศอันร้อนแผดเผาทำให้บรรดานักท่องเที่ยวเริ่มเซื่องซึมอ่อนแรง คนส่วนใหญ่ต่างก็นั่งรออยู่ในรถปรับอากาศ มีเพียงจำนวนน้อยที่ติดบุหรี่จนทนไม่ไหว จึงลงจากรถไปสูบสักมวน โดยพยายามยืนให้ร่างอยู่ใต้เงารถให้มากที่สุด
“เสียงข้างในเมื่อกี้ใช่เสียงปืนรึเปล่านะ? เหมืองทองโจฮันเนสเบิร์กเพิ่มกิจกรรมรายการใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงทางเข้าเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์ก มัคคุเทศก์สี่ห้าคนซึ่งมีสัญชาติไม่ซ้ำกันเลยกำลังพูดคุยกันอยู่ ในกลุ่มนั้นมีคนเม็กซิกัน คนอเมริกัน คนสก็อตแลนด์ และหวาจวินก็ยังรวมอยู่ในนั้นด้วย เดิมทีเขาก็เกิดและเติบโตที่แอฟริกาใต้อยู่แล้ว ลักษณะนิสัยจึงเหมือนชาวตะวันตกอย่างมาก
คนกลุ่มนี้กำลังสนทนากันเกี่ยวกับเสียงปืนที่ดังออกมาจากในเหมืองทอง เนื่องจากที่ลานกว้างในเหมืองทองมักจะฉายภาพยนตร์เกี่ยวกับการขุดเหมืองทองอยู่เสมอ ภายในนั้นจึงมีเสียงระเบิดดังกระหึ่มอยู่ไม่ขาด ทำให้ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า เสียงปืนที่ดังขึ้นมานี้จะเป็นของจริง
นี่จะโทษว่าพวกเขาความคิดตอบสนองช้าก็ไม่ได้ แม้ว่าการควบคุมอาชญากรรมในแอฟริกาใต้จะย่ำแย่มาก แต่กลับไม่มีใครกล้าแตะต้องเหมืองทองเลย แม้แต่เหมืองทองเก่าซึ่งถูกดัดแปลงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปแล้วแห่งนี้ ภายในก็ยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธเฝ้าอยู่ถึงเจ็ดแปดคน
นอกจากนี้เหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กยังมีอาณาเขตกว้างขวางมาก อีกทั้งเขตชุมชนคนงานเหมืองที่เยี่ยเทียนอยู่ ณ ตอนนั้นก็อยู่ห่างไกลอย่างยิ่ง หลังจากเสียงปืนดังไปแล้วสิบกว่านาที เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านั้นก็ยังหาไม่เจอว่าตกลงเสียงปืนดังมาจากทิศทางไหนกันแน่
“ร้อนก็ร้อน ทำไมยังจะมีคนมาอีกล่ะเนี่ย?” เสียงเครื่องยนต์รถจากที่ไกลนั้นดังมาเข้าหูของกลุ่มมัคคุเทศก์ที่กำลังตั้งวงสนทนากันอยู่ จากนั้นรถบรรทุกสีเขียวสี่ห้าคันก็ปรากฏแก่สายตาของพวกเขา
“ไม่สิ ทำไมคนบนรถพวกนั้นถึงถือปืนกันอยู่ล่ะ?” หวาจวินสายตาดี มองปราดเดียวก็เห็นกลุ่มทหารที่ถือปืนอยู่บนรถคันแรก
ตอนที่ 807 ฆ่าล้างบาง (2)
“คนพวกนี้จะทำอะไรน่ะ?”
หวาจวินมองดูกลุ่มรถบรรทุกคันใหญ่ที่ทิ้งฝุ่นฟุ้งตลบไว้ข้างหลังอย่างอึ้งๆ ใบหน้าของคนที่ยืนอยู่บนรถก็เริ่มชัดเจนขึ้นแล้ว ขณะเดียวกัน เสียงปืนดังเสียดหูก็ดังมาจากบนรถบรรทุก
“เปรี้ยงๆ เปรี้ยงๆๆ!”
ปืนกลกราดยิงใส่รสบัสที่จอดอยู่หน้าทางเข้าเหมืองทองเหล่านั้นอย่างเป็นจังหวะ รสบัสเจ็ดแปดคันถูกจู่โจมพร้อมๆ กัน กระสุนยิงทะลุหน้าต่างเข้าไปในรถ ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสลด
ทั้งนักท่องเที่ยวและคนขับรถต่างก็ตะลึงไปทันที ไม่มีใครเข้าใจเลยว่ากำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จนกระทั่งถังน้ำมันของรสบัสคันหนึ่งถูกกระสุนยิงใส่จนระเบิดไฟลุกไปแล้ว ประตูรถถึงจะเปิดออก เหล่านักท่องเที่ยวที่กำลังตื่นตระหนกเสียขวัญกรูกันลงมาเหมือนฝูงผึ้ง
“ฆ่าพวกมันให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”
อึนบันเกอดาที่ยืนอยู่ตรงส่วนหน้าของรถคันแรกฉีกยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม ชูปืนกลที่ถืออยู่ขึ้นมา แล้วเล็งยิงไปที่คนผิวขาวซึ่งกำลังวิ่งหนีคนหนึ่งจนสมองกระจุย จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากฝูงชนอีกเรื่อยๆ
เสียงเบรกรถดังขึ้น ทหารเด็กรูปร่างเตี้ยเล็กทยอยกันโดดลงมาจากรถบรรทุกอย่างคล่องแคล่ว พลางถืออาวุธกราดยิงใส่ฝูงชน เสียงร้องโหยหวนก่อนตายของพวกนักท่องเที่ยวยิ่งกระตุ้นให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก
“พระเจ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
เทียบกับรสบัสคันใหญ่เหล่านั้นที่ตกเป็นเป้าหมายอย่างชัดเจนแล้ว ทหารเด็กเหล่านั้นจึงไม่ได้หันมาสนใจกลุ่มคนที่กำลังหลบแดดอยู่ใต้ต้นไม้ เมื่อเห็นเลือดสาดกระเซ็นท่ามกลางฝูงชนอย่างไม่ขาดสาย พวกเขาทุกคนจึงนิ่งอึ้งกันอยู่ตรงนั้น กระทั่งยังลืมแม้แต่จะหนี
“รีบหนีเร็ว!” ไม่ทราบเป็นเสียงใครตะโกนขึ้นมา ทำให้ทุกคนตื่นจากภวังค์ แล้วหนีอย่างกระจัดกระจายไปคนละทิศทาง หวาจวินเพิ่งจะวิ่งออกไปได้สองก้าว รถออฟโรดคันหนึ่งก็มาจอดลงข้างๆ
เขาเพิ่งจะเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ กระสุนหลายนัดก็ยิงกระจกมองหลังแตกไปแล้ว หวาจวินรีบหดศีรษะลงไปใต้เก้าอี้ แล้วถามขึ้นอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ “พี่หลิว น…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ไม่รู้สิ หวาจวิน นั่งดีๆ ล่ะ!”
พี่หลิวซึ่งเป็นคนขับรถส่ายหน้า ถึงเขาจะเป็นทหารกองกำลังพิเศษจากจีน แต่ในยุคสมัยที่สงบสันติแบบนี้เขาก็ยังไม่เคยผ่านศึกมาก่อน เมื่อเห็นทหารเด็กผิวดำเหล่านั้นก่อการสังหารหมู่ราวกับสัตว์ป่า หลิวชิงก็มีสีหน้ากังวลขึ้นมา
แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ที่เคยผ่านการฝึกอย่างมืออาชีพมาก่อน ตั้งแต่ตอนที่มีเสียงปืนดังขึ้นมาจากในเหมือง หลิวชิงก็เพิ่มความระแวดระวังขึ้นแล้ว เขาจอดรถออฟโรดไว้ท่ามกลางรสบัสเหล่านั้น พอทหารพวกนั้นเริ่มกราดยิงนักท่องเที่ยว เขาก็ขับออกมาจากจุดนั้นทันที
หลังจากที่รถออฟโรดขับฝ่าออกมาจากจุดที่มีกำลังทหารเบาบางแล้ว ทันใดนั้นหวาจวินก็นึกถึงเยี่ยเทียนขึ้นมาได้ จึงรีบร้องตะโกนขึ้นมาว่า “พี่หลิว แล้วคุณจ้าวจะเป็นยังไงล่ะ? เขายังอยู่ข้างในนะครับ”
“คงไม่มีปัญญาไปช่วยเขาแล้วละ ที่เราหนีออกมาได้นี่ก็ถือว่าดวงแข็งแล้วนะ!” หลิวชิงส่ายหน้า เขาขดร่างจนแทบจะเป็นก้อนกลม กระจกทั้งคันรถถูกยิงแตกไปหมดแล้ว และยังมีเสียงกระสุนดังมาจากข้างหลังรถเป็นครั้งคราว
“ไอ้พวกเวร อย่ามัวแต่ปล้นข้าวของสิ ฆ่าคนให้หมด ไม่ต้องเหลือไว้สักคน แล้วก็หาไอ้คนที่อยู่ในรูปถ่ายนั่นออกมาให้ได้ด้วยล่ะ!”
เมื่อเห็นว่ามีรถออฟโรดคันหนึ่งฝ่าออกไปได้ อึนบันเกอดาก็โมโหเดือดดาล หยิบปืนพกออกมายิงใส่ศีรษะของทหารเด็กที่กำลังฉีกเสื้อผ้าของหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ข้างๆ ไปหนึ่งนัด
อึนบันเกอดาได้รับการว่าจ้างจากเหมียวจื่อหลง ถ้าสามารถสังหารเยี่ยเทียนได้ เขาก็จะได้เงินก้อนโตถึงยี่สิบล้านเหรียญสหรัฐ และเมื่อมีเงินจำนวนนี้ เขาก็จะสามารถขยายอาณาเขตของตัวเองให้ใหญ่ขึ้นได้อีกหนึ่งเท่าตัว ถึงตอนนั้นเขาก็จะตั้งตัวเป็นนายพลได้แล้ว
ดังนั้นการที่รถออฟโรดคันหนึ่งหนีออกไปได้เมื่อครู่นี้ จึงทำให้อึนบันเกอดาโกรธสุดขีด ยิงปืนปลิดชีพทหารเด็กที่มัวแต่รื้อค้นทรัพย์สินบนร่างของผู้ตายไปสามคน
ความอำมหิตของอึนบันเกอดาทำให้เหล่าทหารเด็กที่กำลังคลั่งไปกับชัยชนะได้สติกลับมา ปากเปล่งเสียงตะโกนที่ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา พลางยิงปืนใส่ผู้คนที่กำลังวิ่งหนีอย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านไปครู่เดียว ในบริเวณหน้าทางเข้าเหมืองทองอันใหญ่โตนั้น นอกจากทหารเหล่านั้นแล้วก็แทบจะไม่เหลือใครยืนอยู่อีกเลย
ภายใต้คำสั่งของอึนบันเกอดา พวกทหารเด็กเริ่มยิงปืนย้ำใส่คนที่อยู่บนพื้นไปทีละคน พลางถือโอกาสล้วงข้าวของมีค่าบนร่างของคนเหล่านั้นมาจนหมด กระทั่งฟันทองในปากของนักท่องเที่ยวบางคนก็ยังไม่ละเว้น
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุจนแทบจะหายใจไม่ออก กลิ่นคาวเลือดเหม็นคละคลุ้ง ที่ซึ่งเคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวนั้นแทบจะกลายเป็นดั่งนรก เลือดจากร่างของคนนับร้อยหลั่งไหลมาบรรจบกันเป็นลำธารสายเล็กๆ ศพกองระเกะระกะเต็มพื้น
เห็นได้ชัดว่า ทหารเด็กเหล่านี้ไม่ได้เพิ่งจะเคยก่อเรื่องปล้นฆ่าวางเพลิงแบบนี้เป็นครั้งแรก หลังจากผ่านไปเพียงห้านาที พวกเขาก็เก็บกวาดที่เกิดเหตุเสร็จแล้ว สายตาของแต่ละคนมองไปยังเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กที่ปิดประตูไปแล้วอย่างคลุ้มคลั่ง
ไม่ว่าจะเป็นเหมืองทองประเทศไหนๆ ก็มักจะมีลักษณะที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ โครงสร้างที่ง่ายในการป้องกัน ทว่ายากต่อการโจมตี ยิ่งเป็นเหมืองทองในแอฟริกาใต้ด้วยแล้ว สิ่งที่พวกนักลงทุนจะต้องพิจารณาก่อนเป็นอันดับแรกก็คือปัญหาเรื่องความปลอดภัยของเหมืองทอง
เหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กนี้ก็เช่นกัน รั้วที่ล้อมอยู่รอบเหมืองนั้นมีความสูงถึงห้าเมตร แม้ว่าตาข่ายไฟฟ้าที่ขึงอยู่ข้างบนนั้นจะหมดประสิทธิภาพไปนานแล้ว แต่ด้วยระดับความสูงถึงห้าเมตรนี้ ก็พอที่จะสามารถต้านทานข้าศึกไว้ได้
ประตูทางเข้าเหมืองทองปิดลงตั้งแต่ตอนที่มีเสียงปืนดังขึ้นในเหมือง แต่พวกเขากลับตามล่าเยี่ยเทียนไม่พบ ซ้ำยังโจมตีผิดเป้าหมายไปอีก ทำให้เวลาที่ทหารคองโกเหล่านี้จะฝ่าเข้าไปในเหมืองทองกลับล่าช้าเข้าไปอีก
“ผู้พันครับ ไม่พบคนในรูปถ่ายเลยครับ!”
นายทหารผู้ช่วยของอึนบันเกอดาเดินเข้ามาหา แล้วพูดขึ้นอย่างกลัดกลุ้มกังวล “ผู้พันครับ พวกเราต้องไปกันได้แล้วละครับ ไม่อย่างนั้นถ้ากองทัพรัฐบาลแอฟริกาใต้มาล้อมเราไว้ละก็ เราคงออกไปไม่ได้อีกแล้ว”
แม้ว่ากลุ่มคนที่เดินทางมายังแอฟริกาใต้เหล่านี้จะเป็นพวกที่กล้าฆ่าคนเป็นผักปลา แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็อยู่ในถิ่นของคนอื่น และก็ไม่ได้พกพาอาวุธหนักมาด้วย ต่อให้กองทัพรัฐบาลแอฟริกาใต้ไร้น้ำยาแค่ไหน ก็คงไม่ทนยอมให้พวกเขามาอาละวาดบนแผ่นดินของตัวเองแน่
“ไม่ได้ ฆ่าคนในเหมืองทองให้หมดก่อนค่อยไป!”
อึนบันเกอดาส่ายหน้า มองไปยังประตูเหมืองที่ปิดสนิทด้วยสายตาเย็นเยียบ “ใช้จรวดระเบิดประตูออก แล้วหาไอ้คนจีนคนนั้นออกมาให้ได้ ฉันรับปากกับเหมียวไปแล้วว่า จะเอากะโหลกมันมาทำเป็นถ้วยเหล้า!”
อึนบันเกอดาไม่ใช่คนไร้สมอง เขามั่นใจว่าตัวเองต้องหนีรอดได้อยู่แล้ว ถึงได้กล้ามาอาละวาดก่อเรื่องในประเทศของคนอื่นแบบนี้ ตามที่เขาประเมินไว้ล่วงหน้า กว่ากองทัพรัฐบาลแอฟริกาใต้จะมีปฏิกิริยาและส่งคนมาถึงที่นี่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง
แต่ในการสังหารหมู่กวาดล้างเหมืองทองร้างๆ แห่งนี้ อึนบันเกอดาต้องใช้เวลาอย่างมากก็ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เพื่อเงินยี่สิบล้านเหรียญสหรัฐนั่นแล้ว เขาไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องล่าถอยไปตอนนี้เลย
“พระเจ้าช่วย ทำไมจู่ๆ ถึงมีทหารมาถล่มพวกเราล่ะ?”
“สถานีตำรวจใช่ไหมครับ? มีทหารเป็นพันคนเลยมารุมถล่มเหมืองทองโจฮันเนสเบิร์ก ทำคนตายไปตั้งเจ็ดแปดร้อยคนแล้วครับ!”
ขณะนั้นภายในเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กก็กำลังโกลาหลอยู่เช่นกัน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธเจ็ดแปดคนที่ยังอยู่ในนั้นต่างก็ขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้วหลังจากที่เห็นการเข่นฆ่าอันคาวเลือดที่ข้างนอกเหมือง ที่จริงแล้วจำนวนผู้เสียชีวิตก็ไม่ได้มากขนาดนั้น เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ได้เข้าไปในเหมืองแล้ว ที่ข้างนอกจึงเหลืออยู่เพียงสามร้อยกว่าคน
แต่แม้กระนั้น อึนบันเกอดาก็ได้ก่อคดีนองเลือดอันสะเทือนฟ้าดินขึ้นมาแล้ว อีกไม่นานสายตาจากทั่วโลกก็คงจะเพ่งมารวมกันที่นี่เป็นแน่
“คนพวกนี้…จะมาล่าเรางั้นสิ?”
เยี่ยเทียนยืนอยู่บนกำแพงสูงแห่งหนึ่ง เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดฉุนจมูกนั้นก็ขมวดคิ้วน้อยๆ เขาไม่นึกเลยว่า ซ่งเสี่ยวหลงจะคลุ้มคลั่งเสียสติถึงเพียงนี้ เพื่อที่จะกำจัดเขาแล้ว ถึงกับต้องว่าจ้างกองทหารมาก่อการสังหารหมู่สะเทือนขวัญแบบนี้เลยหรือ?
“นี่มันซอมบี้ฝูงหนึ่งชัดๆ สภาพจิตใจของคนพวกนี้บิดเบี้ยวหมดไปแล้วละ!”
เยี่ยเทียนมองดูเหล่าทหารเด็กที่ยังสูงไม่เท่าปืนเลยด้วยซ้ำ แล้วส่ายหน้า จากนั้นดวงตาก็มองไปที่อึนบันเกอดาซึ่งยืนอยู่ห่างจากประตูเข้าเหมืองทองไปสามสิบเมตร ถ้าเขาทายไม่ผิดละก็ เจ้าคนนี้แหละที่เป็นหัวหน้าของปฏิบัติการครั้งนี้
“หืม? ใครกำลังมองฉันอยู่น่ะ?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังมองไปที่อึนบันเกอดา ทันใดนั้นอึนบันเกอดาก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา พอเงยหน้ามองไปก็เห็นเงาร่างของเยี่ยเทียนพอดี หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่ง อึนบันเกอดาก็ตะโกนขึ้นมาอย่างลิงโลด “คนนั้นนั่นแหละ เก็บมันซะ!”
เหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กมีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โต ตอนแรกอึนบันเกอดาจึงยังกังวลอยู่ว่าตนจะหาเยี่ยเทียนไม่พบ แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนกลับเป็นฝ่ายก้าวออกมาเอง ขณะเดียวกันกับที่ออกคำสั่งไป อึนบันเกอดาก็ยกปืนกลในมือขึ้นมาแล้วเล็งเป้าไปที่เยี่ยเทียน
“ไอ้พวกไม่รู้จักกลัวตาย!”
เยี่ยเทียนแค่นเสียงดังเฮอะอย่างเย็นชา ด้วยสภาพจิตของเขาในตอนนี้ แม้ว่าการเข่นฆ่าจะไม่สามารถทำให้อารมณ์ของเขาเกิดการแปรปรวนได้แล้ว แต่ผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นย่อมจะมีความหวงแหนในชีวิตของตน คนพวกนี้กลับทำตัวเหมือนเพชฌฆาตไล่ฆ่าผู้คน จึงไปยั่วโทสะของเยี่ยเทียนขึ้นมา
ขณะเดียวกันกับที่สายตาของทั้งสองฝ่ายสบประสานกัน เยี่ยเทียนก้าวเท้าขวาออกไปกลางอากาศ จากนั้นอากาศก็ดูคล้ายจะเกิดระลอกคลื่น ร่างของเยี่ยเทียนพลันบิดเบี้ยวไป ดูราวกับเป็นภาพลวงตา
“ยิง เก็บมันซะ!” อึนบันเกอดาไม่สนใจการเคลื่อนไหวของเยี่ยเทียน ระหว่างที่ปากออกคำสั่ง เขาก็ยิงกระสุนหมดไปหนึ่งตับแล้ว ด้วยระยะห่างไม่กี่สิบเมตรนั้น อึนบันเกอดามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า กระสุนยิงถูกร่างของเยี่ยเทียนแล้ว
“อ้าว มันหายไปไหนแล้วล่ะ?”
ขณะที่อึนบันเกอดากำลังนึกว่า เงินยี่สิบล้านเหรียญสหรัฐนั่นจะได้มาอยู่ในมือตนแน่ๆ แล้ว เงาคนบนกำแพงรั้วก็กลับหายไปกะทันหัน หูก็ไม่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของคนสิ้นใจเลย นอกจากเสียงปืนที่ดังอยู่ประปรายแล้ว แม้แต่เสียงร่างคนตกลงมาจากรั้วก็ยังไม่มี
“ฉันก็อยู่นี่ไง!”
เยี่ยเทียนสะกิดไหล่อึนบันเกอดาเบาๆ คนที่เขาจู่โจมไปเมื่อครู่นี้เป็นเพียงเงาของเยี่ยเทียนที่หลงเหลืออยู่ตรงนั้นเท่านั้นเอง
“แกน่ะไปตายได้แล้ว!”
เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจจะพูดไร้สาระกับอึนบันเกอดาเลย หลังจากฝืนบิดลำคอที่เกร็งแข็งนั้นให้หันมาได้แล้ว มือขวาของเยี่ยเทียนก็บีบแน่นจนเกิดเสียงดัง “กร๊อบ” ลูกกระเดือกของอึนบันเกอดาถูกเยี่ยเทียนบีบจนแหลกไปแล้ว
ตั้งแต่เยี่ยเทียนหายตัวไปจนปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง เป็นระยะเวลาเพียงสิบกว่าวินาทีเท่านั้น ดังนั้นเมื่อร่างของอึนบันเกอดาล้มยวบลงไปกับพื้นแล้ว ทหารผู้ช่วยและบรรดาทหารเด็กที่ล้อมอยู่รอบๆ จึงยังไม่มีใครมีปฏิกิริยากันสักคน
“เป็นคนแต่กลับใช้ชีวิตเยี่ยงเดรัจฉาน อย่างนั้นอยู่ไปก็ไม่มีความหมายอะไร”
ตั้งแต่ตอนที่ทหารเด็กเหล่านี้เริ่มเข่นฆ่ากวาดล้าง เยี่ยเทียนก็เกิดจิตสังหารขึ้นมาแล้ว หลังจากบีบลูกกระเดือกของอึนบันเกอดาจนแหลกไป เยี่ยเทียนก็อ้าปากพ่นใยสีแดงสายหนึ่งออกมาวนล้อมรอบกาย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น