หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 800-803

 บทที่ 800 อยู่ห่างจะดีกว่า!

 

หวังเป่าเล่อตะโกนออกไปสุดกำลัง เป็นการตะโกนอย่างสุดชีวิต หากยังใช้ขู่ยักษ์ศิลาไม่ได้ ชายหนุ่มก็คาดว่าตนคงจะต้องจบชีวิตลงตรงนี้แน่


เขากังวลว่าตัวเองจะตะโกนไม่ดังพอ จึงตะโกนขึ้นอีกรอบ


“ศิษย์พี่เฉินชิงเป็นผู้ฝึกตนทรงพลังที่สังหารผู้ฝึกตนกล้าแกร่งมานักต่อนัก เขาเป็นผู้ปกครองระบบดาวเคราะห์เต๋าไม่รู้สิ้นและใครหลายคนในหลายส่วนของจักรวาลให้ความเคารพเหมือนเขาเป็นราชา!”


“ศิษย์น้องผู้นอบน้อมบังเอิญหลงมารบกวนการพักผ่อนของท่าน แต่ข้ายังไม่ได้ทำร้ายใคร เหตุใดท่านพี่ผู้สูงส่งจึงเลือกกระทำรุนแรงกับความผิดเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ด้วย” หวังเป่าเล่อพยายามแผ่พลังเคล็ดวิชาสารัตถะออกมาขณะพูด นี่เป็นวิชาที่ศิษย์พี่ให้มา เป็นเคล็ดวิชาที่เขาสร้างขึ้นกับมือ เป็นของที่เฉินชิงเป็นผู้ถือครองเพียงคนเดียว!


การได้ครอบครองวิชานี้จึงเป็นสิทธิ์พิเศษที่ช่วยพิสูจน์ตัวตน หากยักษ์ศิลาอยู่เพียงระดับดาวพระเคราะห์ วิธีนี้คงจะใช้ไม่ได้ผล เพราะผู้ที่อยู่เพียงระดับดาวพระเคราะห์คงไม่เคยพบศิษย์พี่ของตนมาก่อนแน่


แต่ถ้าอยู่ในระดับดารานิรันดร์…ก็ถือเป็นตัวตนที่ต่างออกไป ยิ่งเป็นผู้ที่ปกครองทั้งตระกูลด้วยแล้ว ก็มีโอกาสที่จะเคยได้ยินชื่อเสียงหรือข่าวลือเกี่ยวกับศิษย์พี่มาบ้าง


เจ้าลาตื่นตระหนกอยู่ด้านในกำไลคลังเวทขณะที่หวังเป่าเล่อตะโกนก้องไม่หยุด ส่วนเจ้าอู๋น้อยแอบร้องไห้อยู่ในใจ เขาไม่เชื่อคำพูดของหวังเป่าเล่อแม้แต่คำเดียว แต่ก็ยังพอทำให้มีหวังขึ้นมาริบหรี่ เพราะพลังของยักษ์ศิลานั้นแกร่งกล้าเกินกว่าพวกตนจะต้านทานได้


หวังเป่าเล่อและเจ้าอู๋น้อยจ้องฟากฟ้าตาไม่กะพริบขณะที่มือยักษ์พุ่งตรงลงมาพร้อมจะบดขยี้ทุกสิ่ง ทว่าพริบตาต่อมา…ฝ่ามือก็หยุดชะงักไป!


มือที่หยุดชะงักในทันใดสร้างคลื่นพายุพัดผ่านเรือบินรบเวทของหวังเป่าเล่อกระจายไปทั่วบริเวณ เรือบินรบตั๊กแตนสั่นเทิ้ม พร้อมจะทลายลงได้ทุกเมื่อ แต่…ฝ่ามือกลับไม่ได้ฟาดลงมาใส่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เรือบินรบเวทก็จะยังปลอดภัยดีแม้จะสั่นไหวเหมือนใกล้พังทลายก็ตาม


ได้ผล! หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว รู้สึกใจชื้นขึ้น เขาเงยหน้า สัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องมา สายตานั้นมาจากยักษ์ศิลาที่กำลังมองลงมา


สายตาที่จ้องมองมาอัดแน่นไปด้วยพลัง สามารถมองทะลุผ่านทุกสิ่งได้ สายตาคู่นั้นไม่ได้สนใจเรือบินรบเวทหรือโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา มันจ้องทะลุผ่านชั้นป้องกันเข้าไปเห็นถึงแก่นใน เพียงแค่ปรายตาก็มองเจ้าอู๋น้อยได้ทะลุปรุโปร่ง


หวังเป่าเล่อเป็นกังวลกับการตรวจพิจารณานี้ เขายกมือขึ้นกุมไว้ตลอดเพื่อแสดงความเคารพยำเกรงให้มากที่สุด


เจ้าอู๋น้อยก็ทำเช่นเดียวกัน พร้อมกับก้มหัวลงด้วยความหวาดเกรง


หลังจากมองดูอยู่สองสามรอบ สายตาทรงพลังก็เลื่อนกลับไปพร้อมมือขนาดมหึมาที่ยื่นมาหาเมื่อครู่!


หวังเป่าเล่อใจชื้นเมื่อเห็นมือมหึมาถอยกลับไป รู้สึกเหมือนเพิ่งหนีรอดจากความตายมาได้ ชายหนุ่มตระหนักได้ว่าศิษย์พี่ของตนเองนั้นแข็งแกร่งเพียงใด เมื่อมีศิษย์พี่คอยคุ้มกะลาหัว ไม่ว่าจะไปที่ใด ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ก็จะให้ความเกรงใจตน แต่จะคอยพึ่งพาศิษย์พี่อยู่ตลอดก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะหากไปพบศัตรูของศิษย์พี่เข้า…คงได้จบชีวิตลงตรงนั้นเป็นแน่


เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจลึก จากนั้นก็เงยหน้าพร้อมเอ่ยขึ้น “ขอบคุณมาก ท่านพี่!”


“ออกไป!” ขณะเสียงของชายหนุ่มดังก้องไปทั่วอวกาศ เสียงแหบห้าวก็ระเบิดขึ้นในหัวของหวังเป่าเล่อและเจ้าอู๋น้อย


เสียงนั้นส่งผ่านมาทางสัมผัสสวรรค์ของยักษ์ศิลา ไม่สำคัญว่าจะพูดภาษาใด คำพูดนั้นตราตรึงอยู่ในดวงวิญญาณ เป็นคำพูดอันหนักแน่นและแข็งแกร่ง ส่งความเจ็บปวดรุนแรงใส่ในหัวหวังเป่าเล่อ เขาคงจะทนรับไม่ไหวหากยักษ์ศิลาคิดจะพูดต่อ


ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มไม่มีทางต้านทานเสียงของยักษ์ศิลาได้ แต่กระนั้น ความแตกต่างของระดับการฝึกตนก็ทำให้หวังเป่าเล่อตระหนักถึงความต่างที่แบ่งแยกระหว่างผู้แข็งแกร่งกับผู้อ่อนแอขึ้นมาอีกครั้ง หากเป็นใครคนอื่นที่คิดเหมือนกันก็คงรีบกลับออกจากจักรพิภพนี้ไปในทันที เผื่อว่ายักษ์ศิลาจะนึกเสียดายขึ้นมาทีหลังที่ปล่อยให้เขารอดไปในทีแรก


เจ้าอู๋น้อยเองก็คิดเช่นนั้น เขาเพิ่งจะรอดตายมา ความคิดเดียวในหัวตอนนี้คือรีบออกไปจากสถานที่สุดสะพรึงกลัวนี้ไปให้เร็วที่สุด


แต่หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ในหัวของชายหนุ่มคิดวิเคราะห์อย่างหนัก เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิศิลารู้จักศิษย์พี่ของตน เพราะตอนแรกอีกฝ่ายตั้งใจจะจบชีวิตเขา แต่ก็ปล่อยให้รอดหลังจากได้ยินชื่อศิษย์พี่


หมายความว่าจักรพรรดิศิลาไม่เคยพบศิษย์พี่ เคยแต่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนาม จึงไม่คิดอยากเป็นศัตรูกับศิษย์พี่ด้วยเรื่องเล็กน้อย มันไม่สำคัญเลยว่าหวังเป่าเล่อจะกุเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า เรื่องนี้ไม่ได้สำคัญเลยสำหรับผู้แข็งแกร่งเช่นเขา


การที่ข้าพูดชื่อเฉินชิงออกไปแสดงให้เห็นถึงอะไรบางอย่าง จักรพรรดิศิลาเป็นคนฉลาด ข้ารู้ว่าเขาพยายามจะบอกอะไร เขาจะบอกว่าเขาไม่ได้สนว่าข้าจะพูดจริงหรือแต่งเรื่อง ไม่ได้สนใจอะไรเลยสักนิด ขอแค่อย่ามายุ่มย่ามกับเขาก็พอ หวังเป่าเล่อวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรวดเร็ว…ในที่สุดก็ได้ข้อสรุป


จักรพรรดิศิลาระแวงศิษย์พี่และกลัวจะมีปัญหา ถ้าเช่นนั้นละก็… หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย หัวใจเต้นถี่รัว ชั่งใจว่าจะทำตามที่คิดดีหรือไม่ แต่ถ้าไม่คงต้องนึกเสียใจในภายหลังเป็นแน่ ไหนๆ ก็พูดชื่อศิษย์พี่เฉินชิงออกไปแล้ว คงต้องหาประโยชน์จากการกระทำในครั้งนี้อีกหน่อย


เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้นและส่งสัมผัสสวรรค์ออกไปในห้วงอวกาศ


“ท่านพี่ พวกเราเดินทางกันมาอย่างยากลำบาก ต้องเดินทางมานานและไกลโขกว่าจะมาถึงที่แห่งนี้ เพราะอย่างนั้น…พวกเราขอต้นไผ่ศิลากลับไปเป็นของที่ระลึกได้หรือไม่”


เจ้าอู๋น้อยตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น พลันหันไปมองชายหนุ่มอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ความตึงเครียดที่เพิ่งจะคลายลงไปทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ในหัวของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยสัญญาณคุกคามอันตราย หากไม่ใช่เพราะเกรงกลัวหวังเป่าเล่อ เขาคงจะอ้าปากก่นด่าสาปแช่งไปแล้ว


คำขอของหวังเป่าเล่อฟังดูเกินกว่าเหตุสำหรับเจ้าอู๋น้อย เหมือนชายหนุ่มพยายามจะลองวัดดวง


สวรรค์ เขาไม่กลัวจักรพรรดิศิลาจะฆ่าทิ้งหรืออย่างไร เจ้าอู๋น้อยใจเต้นแรง จ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาวิงวอน เหมือนจะพยายามขอร้องให้ชายหนุ่มเลิกทำเป็นเล่นแล้วหนีออกไปเสียที…


แต่เจ้าอู๋น้อยก็ได้บทเรียนในไม่ช้า ในชีวิตคนเรานั้น…ความกล้าจะทำให้ทุกสิ่งแตกต่างออกไป!


จักรพรรดิศิลาเงียบไปเมื่อได้ยินคำขอ ก่อนจะหันมองเจ้าอู๋น้อยที่กำลังสั่นกลัว หวังเป่าเล่อเป็นกังวลมาก แต่ก็รู้สึกมั่นใจพิกล ต่อให้จักรพรรดิศิลาปฏิเสธคำขอ แต่ทางที่แย่ที่สุดที่อาจเกิดขึ้นก็คือโดนสั่งให้ออกไปอีกครั้ง


แต่ถ้าจักรพรรดิศิลายอมทำตาม เขาก็เหมือนถูกหวยอย่างไรอย่างนั้น


สุดท้าย…หลังจากนิ่งเงียบและมองอยู่พักหนึ่ง เสียงแค่นจมูกก็ดังขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อ จากนั้นยักษ์ศิลาก็ยกมือขวาขึ้นโบก…ไม่ได้โบกหัวหวังเป่าเล่อ แต่โบกถอนต้นไผ่ศิลาสามต้นออกจากดาวเคราะห์และส่งให้ชายหนุ่ม


เจ้าอู๋น้อยตาแทบถลนออกมาเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ก่อนจะหันมองชายหนุ่มด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจแต่ก็พยายามสงวนท่าที เขาคุมตั๊กแตนไปรับต้นไผ่ศิลา จากนั้นก็กุมหมัดโค้งคำนับ


“ขอขอบคุณท่านพี่! ศิษย์น้องขอตัวกลับก่อน!” หวังเป่าเล่อตัดสินใจไม่วัดดวงขอต้นไผ่ศิลาเพิ่ม เขาบังคับตั๊กแตนถอยกลับออกจากจักรพิภพของมนุษย์ศิลาอย่างรวดเร็ว


ชายหนุ่มปล่อยเจ้าลาออกมาหลังจากเห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว เจ้าอู๋น้อยจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยความชื่นชม เด็กหนุ่มไม่ได้เชื่อเรื่องศิษย์พี่ที่อีกฝ่ายพูดถึงแม้แต่นิด ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อก็สามารถกุเรื่องขึ้นมาในช่วงเวลาคับขันและยังเอ่ยขอสิ่งมีค่ามาเป็นของที่ระลึกอีกด้วย ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงต้องยอมรับในความหาญกล้าของอีกฝ่าย


หวังเป่าเล่อเชิดหน้าขึ้น ไม่ได้สนใจสายตาของอู๋น้อย ถึงภายนอกจะดูสงบเสงี่ยม แต่ภายในเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา สัมผัสของความพึงพอใจไหลเวียนไปทั่วร่าง


ชื่อศิษย์พี่ช่างมีประโยชน์มากจริงๆ ชายหนุ่มคิดอย่างสุขใจ ขณะที่เจ้าอู๋น้อยกำลังจ้องมองมาด้วยความชื่นชม หวังเป่าเล่อก็โบกมือส่งตั๊กแตนพุ่งทะยานไปไกลด้วยความเร็วเต็มพิกัด


ระหว่างที่พวกเขาพุ่งออกจากจักรพิภพของมนุษย์ศิลา จักรพรรดิศิลายังคงยืนอยู่เคียงข้างดารานิรันดร์ หันมองหมู่ดาวไกลห่างออกไป ไล่สายตามองตามตั๊กแตนของหวังเป่าเล่อ ดวงตาฉายแววพินิจพิเคราะห์ราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด


มนุษย์ศิลาขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งหลายที่ไล่ตามหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ยืนอยู่เคียงข้างจักรพรรดิ ใบหน้าแอบแฝงไปด้วยความขุ่นเคือง มนุษย์ศิลาตนอื่นๆ ในตระกูลที่อยู่บนดาวเคราะห์ก็รู้สึกไม่ต่างกัน


ในสายตาพวกเขา ใครก็ตามที่เข้ามาในจักรพิภพและพยายามขโมยต้นไผ่ศิลาถือเป็นศัตรู ต้องจับกุมและนำมาเป็นของสังเวย นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่จักรพรรดิศิลาตัดสินใจปล่อยใครไป


แต่นั่นไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่สุด เขายังให้ต้นไผ่ศิลาที่ตระกูลดูแลมาอย่างดีไปถึงสามต้น รวมกับที่ถูกขุดขโมยไปก็เท่ากับเสียไปสี่ต้น ถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของอารยธรรม


จักรพรรดิศิลาสัมผัสได้ถึงความโกรธเคืองของทุกคน หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง สัมผัสสวรรค์ก็ระเบิดขึ้นในหัวมนุษย์ศิลาทุกตน


“ข้าไม่ได้แยแสเจ้านั่นและคำคุยโวของเขา ข้าไม่ได้ปักใจเชื่อว่าเฉินชิงผู้เป็นตำนานคนนั้นจะเป็นศิษย์พี่ของเขาจากเพียงคำพูด แต่…เจ้าหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา พลังของเด็กคนนั้น…บ่งบอกชัดเจนว่าเขาคือบุตรสายเลือดแท้ของอาณาจักรพิภพทมิฬ ข้าเคยพบพลังเช่นนี้มาหลายครั้ง ไม่มีทางที่ข้าจะระบุตัวตนเขาผิดไป…อาณาจักรพิภพทมิฬกำลังต่อสู้เพื่อเป็นอิสระจากตระกูลไม่รู้สิ้น จะเป็นการดีกว่าหากเราจะอยู่ให้ห่างคนระห่ำพวกนั้น!”

 

 

 


บทที่ 801 อย่าทำตัวให้เป็นจุดสนใจ!

 

“อาณาจักรพิภพทมิฬหรือ” สีหน้าของมนุษย์ศิลาขั้นจิตวิญญาณอมตะเปลี่ยนไปขณะสูดหายใจลึกหลังจากได้ยินสิ่งที่จักรพรรดิศิลากล่าว แม้พวกเขาจะเคารพยกย่องเฉินชิง แต่ก็คิดว่าบุคคลในตำนานเช่นนั้นอยู่ห่างไกลจากพวกตนและเลือกที่จะไม่เชื่อตามที่หวังเป่าเล่อพูด


แต่อาณาจักรพิภพนั้นต่างออกไป เป็นอาณาจักรใหญ่ที่นอกจากจะลือกันว่ามีตัวตนกล้าแกร่งระดับดาราจักรแล้ว ยังมีตัวตนระดับจักรวาลอยู่ด้วย ขณะเดียวกันจำนวนผู้ฝึกตนใต้บังคับบัญชาก็มีอยู่มาก จึงกล้าที่จะประกาศตัวเป็นอิสระจากการปกครองของตระกูลไม่รู้สิ้น แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในพละกำลังของตนเอง!


สิ่งสำคัญที่สุดคือ…น้ำเสียงหนักแน่นที่จักรพรรดิยืนยันว่าคนผู้นั้นคือสายเลือดแท้ของอาณาจักรพิภพทมิฬ แม้อาณาจักรพิภพทมิฬจะกว้างใหญ่ แต่กลับมีผู้สืบสกุลชายสายเลือดแท้เพียงไม่กี่คน อาณาจักรพิภพทมิฬจะต้องคลุ้มคลั่งขึ้นมาแน่หากรู้ว่าหนึ่งในนั้นตกอยู่ในอันตราย


ขณะกำลังสูดหายใจ เหล่ามนุษย์ศิลาขั้นจิตวิญญาณอมตะก็เลิกไม่พอใจ พวกเขารู้สึกโชคดีที่จักรพรรดิตื่นขึ้นมา มิเช่นนั้น ทั้งตระกูลคงพบกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เป็นแน่


ระหว่างที่เหล่ามนุษย์ศิลากำลังถอนใจ ด้านนอกระบบดวงดาวของอาณาจักร ภายในเรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์ ผู้สืบสกุลสายตรงของอาณาจักรพิภพทมิฬ…กำลังมองไปทางหวังเป่าเล่อด้วยสายตายำเกรง


“ท่านบิดา ท่านยอดเยี่ยมที่สุด!” เจ้าอู๋น้อยเอ่ยชมหวังเป่าเล่ออย่างจริงใจ ไม่ว่าตระกูลมนุษย์ศิลาจะคิดอย่างไร ตอนนั้นเขาคิดว่าตนเองจะต้องตายลงจริงๆ เสียแล้ว พอรอดชีวิตมาได้และนึกถึงการกระทำของหวังเป่าเล่อ เจ้าอู๋น้อยก็รู้สึกยกย่องชายหนุ่มมากขึ้นไปอีก


หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะที่กำลังเพลิดเพลินใจกับสายตายกย่องของเจ้าอู๋น้อย “หวังว่าเจ้าจะได้เรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ครั้งนี้บ้าง อย่าเที่ยวประกาศว่าตัวเองเป็นองค์ชาย ถ้าเจ้าพูดบ่อยคนอื่นจะเลิกเชื่อเช่นนั้น หากมีแค่ตัวเองที่เชื่อไปคนเดียวจะไม่น่าอับอายแย่หรือ”


“ผู้ที่มีความสามารถแท้จริงจะไม่อวดอ้าง เช่นตัวข้า เจ้าเคยเห็นข้าโอ้อวดภูมิหลังตนเองไหม มีแค่ยามจำเป็นเท่านั้นที่ข้าจะเผยตัวตน เขาเรียกว่าทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจ!”


“เข้าใจหรือไม่” หวังเป่าเล่อมองเจ้าอู๋น้อยด้วยแววตาลุ่มลึกที่ตนเองก็ไม่เข้าใจ เจ้าอู๋น้อยตัวสั่นเหมือนเห็นสายตาที่จ้องมา ราวกับว่าได้ตื่นรู้และเข้าใจหลักการบางอย่างในทันที


โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงตอนแรกที่ได้พบหลงหนานจื่อ ตอนนั้นเอง นอกจากสายตาของเด็กหนุ่มจะเต็มไปด้วยความยำเกรงแล้ว เขายังรู้สึกเลื่อมใสขึ้นมา หลงหนานจื่อพูดถูก ผู้เก่งกาจไม่จำเป็นต้องอวดอ้างตนเอง


“ขอบคุณ ท่านบิดา ข้าเข้าใจแล้ว!” อู๋น้อยพยักหน้ารัว รู้สึกว่าการได้เรียกบุคคลแกร่งกล้าว่าเป็นบิดาช่างเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เขาคิดว่าตนช่างโชคดีที่ได้พบหลงหนานจื่อ


หวังเป่าเล่อพึงพอใจเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นสายตาของเจ้าอู๋น้อย เขาแอบคิดว่าควรจะหาโอกาสให้เจ้าอู๋น้อยได้สัมผัสบทสวดแห่งเต๋า ถึงตอนนั้นเจ้าอู๋น้อยต้องยกย่องเขามากกว่าเดิมแน่นอน


ข้าช่างหล่อเหลาและโดดเด่น ทำอะไรก็มีคนมาตามเป็นข้ารับใช้ เห็นตัวข้าที่เป็นแบบนี้…แม้แต่ข้าก็นึกอิจฉาตัวเอง หลังจากถอนใจอยู่ภายใน เขาก็ปล่อยจ้าลา หลังจากนั้นก็สั่งการให้เรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์เดินหน้าไปเรื่อยๆ ก่อนจะนั่งขัดขัดสมาธิ จัดแจงข้าวของที่ได้มาจากการเดินทาง


การเดินทางไปยังอารยธรรมมนุษย์ศิลาแม้จะน่ากลัวแต่ก็ไม่เป็นอันตราย พอได้เห็นข้าวของที่ได้มา หวังเป่าเล่อก็ใจเต้นรัว


ต้นไผ่ศิลาสี่ต้น! ชายหนุ่มเลียริมฝีปาก ดวงตาส่องแสงเป็นประกาย หลังจากประเมินมูลค่าของที่ได้มา เขาก็รู้สึกว่าแค่ต้นไผ่ศิลาสี่ต้นนี้ก็ถือว่าได้ทรัพยากรมาจำนวนมากแล้ว


ข้าจะมอบต้นหนึ่งให้แมลงปอยักษ์นี่… เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็ขยายดวงจิตไปรอบๆ เรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์ที่ขโมยมา และคิดว่าเรียกมันว่าตั๊กแตนน่าจะเหมาะกว่า


เขาแยกส่วนต้นไผ่ศิลา โยนส่วนหนึ่งขึ้นไปและพูดขึ้น “เหลืองใหญ่ นี่ของเจ้า!”


เมื่อพูดจบ ผนังเรือบินรบเวทด้านบนก็เปิดเป็นรูกว้าง ก่อนจะปล่อยแรงสูบออกมาดูดต้นไผ่วิญญาณเข้าไป เรือบินรบเวทสั่นไหว ก่อนจะส่งข้อความมาแสดงความขอบคุณและความตื่นเต้นดีใจ


เสร็จจากนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา เขายกมือขวาสร้างผนึกฝ่ามือ คุมเรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์ให้เร่งความเร็วพุ่งข้ามห้วงอวกาศไป


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า พ้นไปสามเดือน!


สามเดือนที่ผ่านมา หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าออกไปไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อยู่โข ขณะเดียวกัน หลังจากผ่านอารยธรรมมนุษย์ศิลามาได้ ดวงของเขาก็ดีขึ้น ทำให้ได้ทรัพยากรมามากมายในช่วงสามเดือนนี้


แม้ข้าวของที่ได้เพิ่มมาเรื่อยๆ จะเทียบชั้นกับสิ่งที่ได้จากอารยธรรมมนุษย์ศิลาไม่ได้เลยถึงจะนำมารวมกันแล้วก็ตาม แต่หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกสุขใจ ส่วนหนึ่งมาจากความพึงพอใจจากทรัพยากรทั้งหมดที่ได้มา อีกส่วนหนึ่งมาจากความรู้ที่เพิ่มพูนซึ่งทำให้ชายหนุ่มเข้าใจจักรวาลได้มากขึ้น


ในสามเดือนที่ผ่านมา เขาพบอารยธรรมเจ็ดถึงแปดแห่ง มีอารยธรรมห้าแห่งที่คล้ายคลึงโลก หากหวังเป่าเล่อไปด้วยความมุ่งร้ายก็คงจะสามารถถล่มอารยธรรมเหล่านั้นให้ล่มสลายลงได้


อีกสองแห่งแย่ยิ่งกว่า มีสภาพเหมือนสหพันธรัฐก่อนหน้ายุคกำเนิดวิญญาณ พลังปราณที่เปล่งออกมามีอยู่น้อยนิด หวังเป่าเล่อเพียงแค่ปรายตามอง เลือกที่จะไม่เข้าไปใกล้และจากไป


อารยธรรมดังกล่าวอาจมีมูลค่าในแง่โบราณคดี แต่ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย หากผู้ฝึกตนใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่มีปราณวิญญาณไม่มากพอ เขาจะรู้สึกอึดอัดเหมือนปลาขาดน้ำอย่างไรอย่างนั้น


ถึงเรื่องนี้จะไม่ส่งกระทบต่อชายหนุ่มมากนัก แต่เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไป หลังจากใช้ดวงจิต ตรวจสอบอารยธรรมเหล่านั้น


นอกจากนี้ยังมีอารยธรรมอีกแห่งที่หวังเป่าเล่อเลือกไม่เข้าไปใกล้ เพราะหลังจากใช้เครื่องตรวจสอบของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เขาก็พบว่ามีตัวตนระดับดาวพระเคราะห์อยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเข้าไปสำรวจอะไร ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเองได้ข้าวของมาเยอะแล้วและไม่ควรหาเรื่องใส่ตัวอีก


ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็คอยป้อนต้นไผ่ศิลาให้เรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์ มันจึงพัฒนาไปมากในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา แม้จะยังไม่ถึงขั้นเป็นเรือบินรบเวทที่สามารถหลอมรวมกับชายหนุ่มได้ แต่พลังที่แผ่ออกมาก็มีระดับใกล้เคียงเรือบินรบเวทไม่น้อย


จากการคำนวณของชายหนุ่ม หากป้อนต้นไผ่ศิลาเรื่อยๆ อีกสักครึ่งต้น เจ้าเหลือใหญ่จะกลายเป็นเรือบินรบเวทที่แท้จริงอย่างแน่นอน!


น่าเสียดายที่ข้ายังไม่บรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะ…ถ้าบรรลุได้ และเมื่อมันพัฒนาไปเป็นเรือบินรบเวท ข้าก็จะสามารถเปลี่ยนมันให้เป็นชุดเกราะเวท และเพิ่มพลังการรบของข้าจนมีพลังเต็มที่เทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะสองคน! หวังเป่าเล่อรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เริ่มครุ่นคิดถึงการผสานเรือบินรบเวทเข้ากับเกราะจักรพรรดิ และลดข้อจำกัดในการใช้งานโดยไม่ส่งผลต่อความแข็งแกร่งในการต่อสู้


สัญชาตญาณบอกหวังเป่าเล่อว่าแนวคิดนี้มีความเป็นไปได้ ขณะที่กำลังจะเริ่มวิเคราะห์แนวคิดนี้ เรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์ก็มาถึงระบบดวงดาวแห่งใหม่


จากการตรวจสอบไม่พบสีสันใดๆ ในระบบดวงดาวนี้ แต่ยิ่งเข็มทิศแสดงให้เห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อยิ่งรู้สึกระมัดระวังมากขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้ถอยกลับในทันที เพราะเข็มทิศระบุว่ามีทรัพยากรที่มีมูลค่าสำหรับชายหนุ่ม ทว่าก่อนที่จะเข้าไป เขาจะต้องตื่นตัวและเฝ้าระวังให้มาก


ทันทีที่หวังเป่าเล่อเข้าไปในระบบดวงดาว เขาก็รู้สึกราวกับว่าได้ทะลุผ่านเนื้อเยื่ออีกครั้งเหมือนตอนที่เข้าไปในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ครั้งแรก ชายหนุ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดทันใด รู้ว่าพื้นที่แห่งนี้แยกตัวออกมาจากภายนอก หลังจากขยายดวงจิตออกไปสำรวจรอบๆ สิ่งที่ได้เห็นและรู้สึกก็ทำให้ดวงตาของชายหนุ่มเบิกโพลงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้


ที่แห่งนี้เป็นระบบดวงดาวที่พิเศษมาก เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นมาก่อน อาจกล่าวได้ว่าเป็นการพลิกความเข้าใจเรื่องดาวเคราะห์ของเขาไปโดยสมบูรณ์


นั่นเพราะ…ในระบบดวงดาวนี้มีเถาไม้สีเขียวยาวสุดลูกหูลูกตาอยู่เถาหนึ่ง มีผลไม้ลูกกลมขึ้นอยู่บนเถาไม้ขนาดมหึมาที่เลื้อยไปทั่วระบบดวงดาว


ผลไม้นั้นมีอยู่หลายสิบลูก แต่ละลูก…ก็คือดาวเคราะห์!


ส่วนดารานิรันดร์…หรืออาจเรียกได้ว่า ตัวตนที่ครอบครองพลังระดับดารานิรันดร์อยู่ ก็คือเถาไม้ขนาดมหึมานั่นเอง มันให้พลังชีวิต ช่วยค้ำจุนดาวเคราะห์ และให้แสงสว่างไปทั่วทั้งระบบดวงดาว


ภาพเบื้องหน้าทำให้หวังเป่าเล่อสั่นเทิ้มไปถึงดวงวิญญาณ เจ้าอู๋น้อยที่อยู่ข้างๆ ก็เบิกตากว้างเช่นกัน เขาพูดขึ้นเสียงเบาด้วยความลังเลและแปลกใจเล็กน้อย


“ข้าว่าข้าเคยได้ยินเรื่องอารยธรรมเถาไม้ที่คล้ายคลึงกันนี้มาก่อน…”


หวังเป่าเล่อหันไปมองเจ้าอู๋น้อยด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเช่นนั้น


เมื่อเห็นชายหนุ่มมองมา เจ้าอู๋น้อยก็ตื่นตัวและเริ่มครุ่นคิดอย่างหนัก ไม่นานดวงตาของเขาก็ส่องประกาย


“ท่านบิดา ข้าจำได้แล้ว ข้าเคยได้ยินใครสักคนบอกว่ามีอารยธรรมพเนจรลักษณะนี้อยู่ในอวกาศ ลักษณะเฉพาะของมันคือเป็นเถาไม้ อารยธรรมเหล่านี้ผู้หญิงเป็นใหญ่ คอยท่องไปทั่วจักรวาล ชอบแลกเปลี่ยนสารัตถะชีวิตกับเพศตรงข้าม…” พูดยังไม่ทันจบ เจ้าอู๋น้อยก็กะพริบตาและหยุดพูดไป

 

 

 


บทที่ 802 แลกเปลี่ยนสารัตถะชีวิต!

 

แลกเปลี่ยนสารัตถะชีวิตหรือ หวังเป่าเล่อตะลึงงันไป รู้สึกว่าเป็นคำที่แปลกเล็กน้อย เขาแอบคิดว่าการแลกเปลี่ยนสารัตถะชีวิตนั้นเป็นเรื่องอันตรายมาก นอกจากนี้ สารัตถะยังมีความเกี่ยวข้องกับแก่นของวิญญาณ ไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้โดยง่าย…


 เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกระแวงขึ้นมาเล็กน้อยและกำลังจะขับเรือบินรบเวทจากไป แต่ขณะที่เขากำลังจะจากไปนั้น พลังที่คล้ายคลึงกับพลังของจักรพรรดิศิลาก็แผ่ไปทั่วระบบดวงดาวทันที หวังเป่าเล่อยังไม่ทันจะได้เปลี่ยนสีหน้า พลังระดับดาวพระเคราะห์ซึ่งเทียบเท่าพลังของปรมาจารย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์สองตัวตนก็แผ่ตามมา


เหมือนมีหนึ่งดวงอาทิตย์จับคู่กับสองดวงจันทร์กลืนกินทั้งระบบดวงดาวอย่างไรอย่างนั้น โชคดีที่ตัวตนทรงพลังทั้งสามอ่อนโยน ข่มพลังกดดันเอาไว้ ถึงกระนั้น…ก็ยังทำให้ดวงวิญญาณของหวังเป่าเล่อสั่นไหวอยู่ดี


ทำไมถึงมีตัวตนระดับดารานิรันดร์มากมายนัก เมื่อรวมที่นี่ด้วยแล้ว ข้าก็เจอมาแล้วถึงสองคนในการเดินทางครั้งนี้! หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนปากแห้งผาก เขารีบไตร่ตรองว่าควรจะใช้ชื่อศิษย์พี่หรือใช้บทสวดแห่งเต๋าในการขู่ดี ระหว่างนั้นพลังทั้งสามก็คุมขังชายหนุ่มเอาไว้ เถาไม้ที่ใกล้ที่สุดสั่นไหวเล็กน้อย ร่างเงาเจ็ดถึงแปดตนพุ่งออกมาจากด้านในผลดาวเคราะห์ซึ่งอยู่ด้านล่างไม้เถาและมาหยุดยืนบนใบไม้


ใบไม้ลอยเข้ามาหาหวังเป่าเล่อทันที


ชายหนุ่มกะพริบตาและแอบถอนหายใจ เนื่องจากโดนพลังทั้งสามกักขังไว้ หวังเป่าเล่อจึงไม่กล้าฝืนหลบหนี ขณะที่กำลังรู้สึกสิ้นหวังอยู่ในใจ เขาก็หันไปมองเจ้าอู๋น้อย


เจ้าอู๋น้อยรู้สึกสับสนเมื่อโดนจ้อง หลังจากนิ่งงันไปพักหนึ่ง เขาก็ยังไม่รู้ว่าได้ไปทำอะไรให้ท่านบิดารู้สึกไม่พอใจขึ้นมา


หวังเป่าเล่อเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องจ้องเจ้าอู๋น้อย แต่พอได้ทำอย่างนั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย เขากระแอมกระไอ เลิกคิดว่าจะหนีออกไปอย่างไร ชายหนุ่มทะยานออกจากเรือบินรบเวท มองไปทางผู้ฝึกตนเจ็ดถึงแปดคนที่อยู่บนใบไม้ซึ่งกำลังลอยมาหา


ผู้ฝึกตนเหล่านั้นมีลักษณะคล้ายมนุษย์ ผิดแต่มีใบหูยาวเหมือนกระต่าย เรือนร่างที่มีสะโพกหนาและแขนอันใหญ่โตดูแข็งแกร่งมาก กล้ามเนื้อที่เต้นตุบขู่ให้คนตื่นกลัวทำให้ลืมเพศที่แท้จริงไป…


ผู้ฝึกตนเจ็ดถึงแปดคนที่ดูเหมือนชายร่างกำยำนั้นแท้จริงแล้วคือผู้หญิง ด้านระดับการฝึกตนนั้น ผู้ที่เป็นหัวหน้าอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ ส่วนที่เหลืออยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นเป็นอย่างต่ำ ใบหน้าพวกนางไม่ได้แสดงท่าทีเป็นศัตรู จริงๆ แล้วดูจะคลั่งไคล้เสียมากกว่า พวกนางต่างมองหวังเป่าเล่อเมื่อเข้ามาใกล้


หวังเป่าเล่อใจเต้นระส่ำพิกลเมื่อถูกเหล่าผู้ฝึกตนหญิงจ้องมองเช่นนั้น เขารีบกุมมือ ขยายสัมผัสสวรรค์ออกไป


“ทูตจากอารยธรรมเฉินชิง หลงหนานจื่อ ขอทักทายสหายเต๋า”


สัมผัสสวรรค์เป็นหนทางที่ดีที่สุดในการข้ามผ่านกำแพงภาษา เรื่องนี้หวังเป่าเล่อรู้มาจากการเดินทางหลายต่อหลายครั้ง เมื่อขยายสัมผัสสวรรค์ออกไป ใบไม้ที่เหล่าผู้ฝึกตนหญิงยืนอยู่ก็หยุดกลางอวกาศเบื้องหน้าชายหนุ่ม ผู้นำหญิงขั้นจิตวิญญาณอมตะบนใบไม้มองประเมินหวังเป่าเล่อด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า


“ขอต้อนรับสู่อารยธรรมไม้เถา เรียกข้าว่าหลิงชานก็ได้”


รอยยิ้มคือวิธีสื่อสารโดยตรงที่ง่ายที่สุดเมื่อพบคนแปลกหน้าเป็นครั้งแรก บางครั้งรอยยิ้มก็สามารถสื่อความหมายได้มากมายและยังมีประสิทธิภาพอยู่บ่อยครั้ง แต่เพราะรอยยิ้มนี้ดูคลั่งไคล้รุนแรง หวังเป่าเล่อจึงอดรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ เขาจึงลองเชิงด้วยคำถามสองสามข้อ


กลุ่มผู้ฝึกตนหญิงของอารยธรรมไม้เถาตอบคำถามทุกข้อของชายหนุ่ม ความจริงใจนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเป็นกังวลหนักขึ้นไปอีก แต่ก็ทำให้เขาเข้าใจระบบดวงดาวแห่งนี้มากขึ้น


อารยธรรมไม้เถาเป็นอารยธรรมที่ผู้หญิงเป็นใหญ่ แม้จะมีผู้ฝึกตนชายอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าน้อยทั้งในด้านจำนวนและสถานะ อารยธรรมไม้เถาขยายกระจายไปทั่วดาราจักรของตระกูลไม่รู้สิ้น แตกย่อยเป็นอารยธรรมเล็กๆ เหมือนชนเผ่าหลากหลายขนาดและเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายที่เป็นกลาง อารยธรรมแห่งนี้ไม่ได้ทำศึกบ่อยนัก แต่ถ้ามีใครเข้ามาหาเรื่อง ทุกชนเผ่าก็พร้อมร่วมใจกันตอบโต้


ที่แห่งนี้คือหนึ่งในระบบดวงดาวชนเผ่าที่มีอยู่มากมายของอารยธรรมไม้เถา พวกเขาดูต้อนรับขับสู้ กระทั่งเชิญหวังเป่าเล่อให้ไปพักที่ดาวเคราะห์แห่งหนึ่ง


ตอนแรกชายหนุ่มตั้งใจจะไม่ไป แต่เมื่อโดนรายล้อมด้วยพลังระดับดารานิรันดร์และระดับดาวพระเคราะห์ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบตกลง เขาเก็บเรือบินรบครึ่งสมบูรณ์ไป จากนั้นก็พาเจ้าอู๋น้อยและเจ้าลาขึ้นไปบนใบไม้


เขานึกกังวลว่าเจ้าลาจะไม่อาจห้ามใจและไปกินของที่ไม่ควรกินซึ่งจะสร้างปัญหาให้ตนเองขึ้นมาได้ ดังนั้นหลังจากไตร่ตรองสักพัก เขาก็เก็บเจ้าลาที่กำลังตื่นเต้นดีใจเข้ากระเป๋าคลังเวทไป


เจ้าอู๋น้อยไม่เป็นไร เจ้าเด็กนี่ไม่ได้กินทุกอย่างที่ขวางหน้า หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ขณะกำลังจะเอ่ยถามกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงเพิ่ม พวกนางก็หันไปเห็นเจ้าอู๋น้อยและทำตาเป็นประกายยิ่งกว่าเดิม บางคนถึงกับกระซิบคุยกัน ภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจ ส่วนเจ้าอู๋น้อยนั้นสั่นกลัว หันมองไปทางหวังเป่าเล่อ ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ห้ามตนเองไม่ให้ทำเช่นนั้น


หวังเป่าเล่อพาเจ้าอู๋น้อยไปยังดาวเคราะห์ลักษณะคล้ายผลไม้ซึ่งใกล้ที่สุดตามคำเชื้อเชิญจากกลุ่มผู้ฝึกตนหญิง ที่แห่งนี้ไม่ได้แตกต่างจากดาวเคราะห์จริงๆ มากนัก มีทั้งขุนเขาและแม่น้ำ อากาศสะอาดสดชื่น ปราณวิญญาณก็หนาแน่น พืชสีเขียวขึ้นกระจายทั่วดาวเคราะห์ ทำให้ที่แห่งนี้มีหมอกปกคลุมอยู่ตลอด ดูเหมือนดังสวรรค์ก็ไม่ปาน


เมื่อมองผ่านม่านหมอกก็จะเห็นบ้านต้นไม้หลายหลังตั้งอยู่บนพื้นได้รางๆ  นอกจากนั้น หวังเป่าเล่อยังเห็นเทือกเขาอีกมากมายอยู่บนดาวเคราะห์ มีสินแร่มูลค่าสูงสำหรับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อยู่จำนวนมากจนทะลักออกมาให้เห็น


ขณะเดียวกัน ก็มีต้นไม้มากมายที่ออกผล ถึงหวังเป่าเล่อจะไม่เชี่ยวชาญด้านการหลอมโอสถ  แต่ก็เคยเห็นสมุนไพรล้ำค่ามาบ้างในบันทึกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ มองผ่านเพียงรอบเดียวเขาก็เห็นผลสมุนไพรล้ำค่าเจ็ดถึงแปดชนิด


มั่งคั่งมาก! หวังเป่าเล่อใจเต้นถี่ เขากะพริบตาและครุ่นคิดว่าจะแลกเปลี่ยนอะไรกับที่นี่ได้บ้าง


ระหว่างกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ชายหนุ่มก็เห็นกลุ่มเด็กมีปีกทะยานเข้ามาในดาวเคราะห์ ใบหน้าน้อยๆ ของพวกเขาหันมองผ่านหมอกเป็นครั้งคราวมายังกลุ่มของหวังเป่าเล่อด้วยแววตาสงสัย ก่อนจะหายกลับเข้าไปในหมอกพร้อมเสียงสรวลเสเฮฮา


ภาพที่เห็นนี้ย่อมทำให้ใครหลายคนสบายใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว หวังเป่าเล่อถอนใจด้วยความโล่งอก เขาพบว่าบรรยากาศทั่วไปของอารยธรรมไม้เถาเป็นเหมือนกับที่ตรวจสอบไปก่อนหน้า จากบันทึกโบราณของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ที่ได้อ่าน หากพบอารยธรรมที่มีจิตใจเมตตา ขอแค่ไม่ได้ไปทำอะไรผิดข้อห้าม พวกเขาก็มักจะไม่ทำอันตรายใดๆ


ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น หวังเป่าเล่อได้รับเชิญไปบนดาวเคราะห์และเข้าไปในวังสำหรับต้อนรับแขกบนยอดเขาแห่งหนึ่ง เมื่อเข้าไปด้านใน กลุ่มผู้ฝึกตนหญิงของอารยธรรมไม้เถาก็ต้อนรับเขาด้วยผลไม้วิญญาณ สุรา และอาหารหรูหรามากมายที่ชายหนุ่มไม่เคยเจอ ไม่สามารถบอกชื่อ แต่รู้สึกว่าน่าจะกินได้


ผู้ฝึกตนหญิงเหล่านั้นแขนโต สะโพกหนา แผ่พลังแกร่งกล้าไม่ต่างกัน หลังจากคุ้นชินแล้ว ความรู้สึกตื่นกลัวที่ชายหนุ่มรู้สึกก่อนหน้าก็คลายลงไปบ้าง เมื่อครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็กุมหมัดอย่างอ่อนน้อมพร้อมหันไปพูดกับผู้ฝึกตนหญิงขั้นจิตวิญญาณอมตะที่ออกมาต้อนรับ


“พี่หลิงชาน ข้าจะขอแลกเปลี่ยนวัตถุดิบได้หรือไม่”


ได้ยินเช่นนั้น ผู้ฝึกตนหญิงขั้นจิตวิญญาณอมตะก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็ยกมือขวา เรียกแผ่นหยกมาไว้ในมือหนาและยื่นให้หวังเป่าเล่อ


“สหายเต๋าหลงหนานจื่อ ถึงอารยธรรมไม้เถาของเราจะเป็นอารยธรรมที่เป็นกลาง แต่เราก็ทำการค้าขายอย่างยุติธรรมกับผู้มาเยือนจากทุกอารยธรรมด้วยเช่นกัน ขอแค่เจ้ามีศิลาพืชเพียงพอ เจ้าก็สามารถแลกเปลี่ยนกับทุกอย่างที่มีอยู่ในรายชื่อนี้ได้ทั้งหมด”


พอได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็เป็นประกาย เมื่อตรวจสอบแผ่นหยก หัวใจของเขาก็เต้นถี่หนักขึ้นไปอีก มีของอยู่มากมายหลายรูปแบบที่เกินกว่าความรู้ของชายหนุ่ม มีวัตถุดิบอยู่หลายอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน


แต่ละอย่างระบุจำนวนศิลาพืชที่ต้องใช้ในการแลกเปลี่ยนเอาไว้ มีตั้งแต่หนึ่งพันไปจนถึงหลายแสนศิลาพืช ของราคาแพงที่สุดคือโอสถดารานิรันดร์!


มันมีราคาสูงกว่าสามล้านศิลาพืช!


หวังเป่าเล่อกะพริบตา เงยหน้าขึ้นมองผู้ฝึกตนหญิง ก่อนจะถามขึ้นอย่างสุภาพ “พี่หลิงชาน ข้าขอถามอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างศิลาพืชกับศิลาวิญญาณได้หรือไม่”


เมื่อได้ยินคำถามของชายหนุ่ม หลิงชานก็ยิ้ม ก่อนจะส่ายหัวและพูดขึ้น “สหายเต๋าหลงหนานจื่อ ศิลาวิญญาณไม่สามารถนำมาแลกกับศิลาพืชได้ ศิลาพืชเป็นของพิเศษเฉพาะในอารยธรรมไม้เถา มีทางเดียวที่จะแลกได้ นั่นคือ…แลกด้วยสารัตถะชีวิตของเจ้า!”

 

 

 


บทที่ 803 การเสียสละครั้งใหญ่!

 

เมื่อได้ฟังการอธิบายอย่างละเอียดจากหลิงชาน ผู้ฝึกตนหญิงของอารยธรรมไม้เถา หวังเป่าเล่อก็เบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะสูดหายใจลึก เขามองผู้ฝึกตนหญิงเบื้องหน้าก่อนจะพูดพึมพำขึ้น “ทำเช่นนั้นได้ด้วยหรือ”


หวังเป่าเล่อรู้สึกเปิดโลกมากยิ่งขึ้น ทางเดียวในการแลกเปลี่ยนศิลาพืชคือสืบสายเลือดทิ้งไว้ในอารยธรรมไม้เถา เนื่องจากอารยธรรมไม้เถาคือสังคมหญิงเป็นใหญ่จึงต้องคอยตามหาสายเลือดอยู่เสมอ พวกนางตามหาสายเลือดของสิ่งมีชีวิตที่ดีเยี่ยมทั้งหลายในจักรวาลเพื่อมาผสานเข้ากับสายเลือดในอารยธรรม ทำให้อารยธรรมมีพัฒนาการรวมถึงวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรลุศักยภาพสูงสุด


ถึงจะดูเป็นวิธีที่โบราณคร่ำครึ แต่อารยธรรมไม้เถาก็มีตัวตนกล้าแกร่งระดับดารานิรันดร์ เห็นได้ชัดว่าเหนือชั้นกว่ามากเมื่อเทียบกับสหพันธรัฐ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นอะไรมาก ทำได้เพียงถอนหายใจเมื่อคิดได้ดังนั้น จักรวาลนั้นกว้างใหญ่ไพศาล มีอารยธรรมมากมายหลายหลาก รวมถึงมีเส้นทางในการพัฒนาที่หลากหลายซึ่งคนภายนอกไม่สามารถเข้าใจได้


เพียงแค่ว่า…หลังจากชายหนุ่มถามราคาอย่างถี่ถ้วน เขาก็มองแผ่นหยกในมือและพบว่าการจะแลกเปลี่ยนทรัพยากรในจำนวนที่ต้องการนั้น จำเป็นต้องมีศิลาพืชอย่างน้อยหลายแสนก้อน…


ถึงจะลดจำนวนที่ต้องการลงจนต่ำสุดแล้วก็ยังต้องใช้ศิลาพืชถึงหมื่นก้อนด้วยกัน หากเป็นเช่นนั้น…การจัดหาวัตถุดิบมาไว้ในครอบครองจะถือเป็นเรื่องยากมาก เพราะสารัตถะวิญญาณธรรมดาสามารถแลกศิลาพืชได้เพียงหนึ่งก้อนเท่านั้น


“เจ้าสนใจจะแลกเปลี่ยนกับอารยธรรมไม้เถาใช่หรือไม่” หลังจากบอกทุกเรื่องที่ชายหนุ่มต้องการทราบไปแล้ว หลิงชานก็หันไปมองหวังเป่าเล่อและพูดขึ้นด้วยแววตาคาดหวัง


ทว่าทันทีที่นางพูดจบ และหวังเป่าเล่อยังไม่ทันจะได้ตอบกลับ สีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนไปเหมือนว่าได้ยินอะไรบางอย่าง ราวกับว่าตัวตนทรงอำนาจได้ส่งข้อความเสียงมาหา ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนมีสายตาจากจักรวาลจ้องผ่านร่างกายของเขาอย่างละเอียด


หวังเป่าเล่อตื่นกลัวขึ้นมา สีหน้าของหลิงชานดูผิดหวัง นางหันมองร่างกายชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ


“สหายเต๋า ร่างกายของเจ้านั้นพิเศษออกไป…ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่ตรงคุณสมบัติของเรา” หลังจากกล่าวอย่างมีชั้นเชิง หลิงชานก็หันไปมองเจ้าอู๋น้อยที่คอยก้มหัวและแอบอยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อมาตลอดด้วยตาเป็นประกาย


“แต่…สหายเต๋าคนนี้มีคุณสมบัติตรงตามที่อารยธรรมไม้เถาต้องการ ถ้าเขายินยอม เราจะให้ศิลาพืชสองก้อนต่อสารัตถะวิญญาณหนึ่งส่วน!”


เมื่อหลิงชานพูดจบ สีหน้าของเจ้าอู๋น้อยก็เปลี่ยนไปทันที หวังเป่าเล่อเองก็เบิกตากว้าง


“ท่านบิดา ช่วยข้าด้วย…” เจ้าอู๋น้อยตัวสั่นเทิ้ม กำลังจะร่ำไห้ หวังเป่าเล่อแอบรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็รู้จักสภาพร่างกายตนเองดีและคาดว่าตัวตนทรงอำนาจระดับดารานิรันดร์น่าจะรู้ว่าร่างกายเขาไม่ใช่กายเนื้อแท้ จึงเป็นเหตุให้หลิงชานพูดขึ้นเช่นนั้น ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็อดรู้สึกพ่ายแพ้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก


เป็นเพราะกายเนื้อของข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นล่ะก็ อารยธรรมไม้เถาคงจะให้ราคาเป็นศิลาพืชสักหมื่นก้อนต่อสารัตถะวิญญาณหนึ่งส่วน อย่างไรเสียข้าก็เป็นถึงผู้นำสหพันธรัฐ เป็นศิษย์น้องของเฉินชิง และเป็นบุตรแห่งความมืดคนเดียวในยุคสมัยนี้! เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความภาคภูมิใจก็ก่อตัวขึ้นภายใน ข่มความขุ่นเคืองที่มีไปได้ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มวิเคราะห์คำพูดของหลิงชาน ดวงตาค่อยๆ เป็นประกายขึ้นขณะมองอู๋น้อย ก่อนจะส่ายหัว


“ไม่!”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอู๋น้อยก็รู้สึกซาบซึ้งใจ เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ข้างใน แอบคิดว่าบิดาช่างดูแลตนดีเหลือเกิน…


แต่พอคิดถึงตรงนี้ คำพูดของหวังเป่าเล่อก็ดังขึ้นในหู


“บุตรชายที่ข้าเลี้ยงดูปูเสื่อมามีภูมิหลังเป็นคนใหญ่คนโต เขาเป็นถึงองค์ชายของอาณาจักรพิภพทมิฬและเป็นผู้สืบสกุลสายเลือดบริสุทธิ์ ศิลาพืชก้อนเดียวไม่พอ อย่างน้อยต้องห้าก้อน!”


“ท่านบิดา อย่าทำเช่นนี้ ข้ายังเป็นเด็ก!” เมื่อได้ยินที่ชายหนุ่มพูด เจ้าอู๋น้อยก็ขนลุกซู่ เรื่องราวเกี่ยวกับอารยธรรมไม้เถาที่เคยได้ยินมาจากบ้านเกิดผุดขึ้นในหัว จึงพยายามจะหลบเลี่ยงตามสัญชาตญาณ


แต่หวังเป่าเล่อรวดเร็วกว่า ในพริบตาเดียว เขาก็เข้าไปใกล้เจ้าอู๋น้อยและจับไหล่เอาไว้มั่น รอยยิ้มอ่อนโยนผุดขึ้นบนใบหน้า นอกจากนี้ยังแฝงไปด้วยความคาดหวังและความเปี่ยมสุข


“เจ้าอู๋น้อย ไหนตอนแรกเจ้าบอกว่ามีนางบำเรอตั้งหนึ่งแสนคน นี่แค่เรื่องเล็กน้อยเอง ไม่เห็นต้องเป็นกังวลไปเลย ข้าไม่ได้จะให้เจ้าใช้พลังทั้งหมดที่เจ้าใช้กับนางบำเรอหนึ่งแสนคนเสียหน่อย เจ้าแค่ต้องใช้พลังเพียงร้อยละสิบเท่านั้น เร็วเข้า ไปเอาศิลาพืชมาให้ข้าหนึ่งแสนก้อน”


“ท่านบิดา ฟังข้า ข้าทำไม่ได้ ข้า…” เจ้าอู๋น้อยร้องไห้ เกาะขาหวังเป่าเล่อไว้แน่น ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย เสียงของเขาสั่นเครือ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว


เมื่อเห็นเช่นนั้นหวังเป่าเล่อก็ใจอ่อนขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะถอนหายใจและมองไปทางหลิงชาน


“เขาคือบุตรหัวแก้วหัวแหวนของข้า ข้าขอเพียงอย่างเดียว จงทำให้เต็มที่!”


หวังเป่าเล่อถอนใจและแอบคิดว่าตนนั้นช่างใจอ่อน ไม่สามารถทนดูคนอื่นร้องไห้ได้ หลังจากพูดไปเช่นนั้น เขาก็โบกมือ ส่ายหัวและพูดขึ้น “ข้ามอบเขาให้ท่าน!”


เมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อบอกยินยอม หลิงชานและผู้ฝึกตนหญิงหลายคนข้างๆ ก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที พวกนางถกกันสักพักพร้อมมองประเมินเจ้าอู๋น้อยอีกรอบ บางคนถึงกับส่งข้อความเสียงหาเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลด้วยซ้ำ หลังจากยืนยันกันหลายครั้ง พวกนางก็พึงพอใจกับอู๋น้อยเป็นอย่างมาก หลิงชานยิ้มขึ้นบางๆ


“ไม่ต้องเป็นห่วง สหายเต๋า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อารยธรรมไม้เถาแลกเปลี่ยนวัตถุดิบกับมนุษย์ โปรดวางใจได้ว่าบุตรชายของเจ้าจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ พี่สาวน้องสาวในตระกูลที่รับผิดชอบเรื่องนี้จะมาพาตัวเขาไป” หลิงชานยกมือขวาสร้างผนึกฝ่ามือและชี้ออกไประหว่างพูด ทันใดนั้น วังวนขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า


วังวนหมุนวนราวกับกำลังสร้างทางเชื่อมขึ้นมาจากความว่างเปล่า ร่างเงาอ่อนช้อยสง่างามนับสิบเดินตรงออกมา สาวๆ เหล่านี้มีผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าสวยสดงดงาม มีกลิ่นหอมราวกับกลิ่นของสวรรค์สมกับความงาม หวังเป่าเล่อตาโตเมื่อเห็นว่าพวกนางต่างเขินอายโดยไม่ได้แสร้งทำ นิสัยใจคอและอะไรหลายๆ อย่างของหญิงสาวเหล่านี้ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งนัก


เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่องุนงงไป เขามองสาวๆ เหล่านั้นสลับกับพวกหลิงชาน หัวสมองไม่สามารถประมวลผลได้รวดเร็วนัก เจ้าอู๋น้อยทำตาโต กลืนน้ำลายไปสองสามอึก เด็กหนุ่มหยุดร้องไห้ในทันใด ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมสงวนท่าทีตนเอง เมื่อจัดแจงเสื้อผ้าเสร็จสรรพ เขาก็กุมหมัดโค้งคำนับให้หวังเป่าเล่อ


“เมื่อเป็นคำสั่งของท่านบิดา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็จะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ!” พูดจบ เขาก็หันหนีอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าหวังเป่าเล่อจะเปลี่ยนใจ ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางกลุ่มหญิงสาว ท่าทีดี๊ด๊าของเด็กหนุ่มทำให้หวังเป่าเล่อหงุดหงิดยิ่งขึ้น


แต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่คิดจะไปหยุดยั้งพวกเขา หลิงชานนำเขาไปยังที่พักก่อนจะกลับออกไป นางบอกหวังเป่าเล่อว่าเขาอาจต้องรออย่างน้อยครึ่งเดือนเพราะการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ค่อนข้างใหญ่โตพอสมควร


ชายหนุ่มตอบรับ ในช่วงครึ่งเดือนต่อมา แม้จะไม่ได้เจอเจ้าอู๋น้อยเลย แต่หวังเป่าเล่อก็ได้เที่ยวชมอารยธรรมไม้เถาด้วยการนำทางจากเหล่าผู้ฝึกตนในอารยธรรม ชายหนุ่มสนใจเรื่องการหลอมวัตถุเวทของอารยธรรมไม้เถาเป็นพิเศษและเพราะหลิงชานมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ นางจึงแบ่งปันความรู้เรื่องการหลอมวัตถุเวทให้ หวังเป่าเล่อเองก็แบ่งปันความรู้กลับระหว่างที่พวกเขาสนทนาอย่างเป็นกันเอง จึงทำให้ได้ผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย


ครึ่งเดือนผ่านไปอย่างเชื่องช้า เมื่อหวังเป่าเล่อเที่ยวชมรอบอารยธรรมไม้เถาเสร็จและได้เพิ่มพูนทักษะการหลอมวัตถุเวทผ่านการประยุกต์ใช้ เจ้าอู๋น้อย…ก็กลับมา


แม้จะบอกไม่ได้ว่าเขาดูแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง แต่สภาพในตอนนี้ก็ถือว่าใกล้เคียง เจ้าอู๋น้อยที่ได้ผู้ฝึกตนหญิงสองคนช่วยนำทางกลับมามีดวงตาดำคล้ำ ดูเหมือนถูกสูบพลังชีวิตไปหมด เมื่อพบหวังเป่าเล่อ เจ้าอู๋น้อยก็โยนแผ่นหยกไปให้


“ท่านบิดา ข้าพยายามสุดความสามารถแล้ว ให้ข้าได้พักสักหน่อย…”


เมื่อเห็นอู๋น้อยมีสภาพเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกซาบซึ้งและอบอุ่นหัวใจขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นจำนวนศิลาพืชในแผ่นหยกซึ่งเกินกว่าที่บอกไปมากเพราะได้มาถึงหนึ่งแสนหกหมื่นก้อน ชายหนุ่มก็รู้สึกประทับใจยิ่งนัก


แม้แต่ผู้ฝึกตนหญิงสองคนที่พาอู๋น้อยกลับมาก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน


“สหายเต๋าผู้นี้ทำการแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้นตั้งแต่ห้าวันก่อน แต่เขายืนกรานที่จะทำให้บิดาสุขใจ ความตั้งใจอันแรงกล้าเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่งจริงๆ”


พอได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มมีสีหน้าแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากจัดการให้เจ้าอู๋น้อยได้พัก เขาก็ติดต่อไปหาหลิงชานเพื่อทำการแลกเปลี่ยน ชายหนุ่มใช้ศิลาพืชทั้งหนึ่งแสนหกหมื่นก้อนหมดอย่างรวดเร็วเพื่อซื้อวัตถุดิบมีค่ามาจำนวนมาก


เมื่อทำภารกิจเสร็จ แม้เจ้าอู๋น้อยจะไม่อยากกลับ แต่หวังเป่าเล่อก็บอกลาเหล่าผู้ฝึกตนของอารยธรรมไม้เถาและออกจากระบบดวงดาวไป เขาก้าวเข้าไปในห้วงอวกาศอีกครั้ง จากนั้นก็พุ่งทะยานออกไปไกล

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)