ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 800-803
ตอนที่ 800 วิชาเนตร
Ink Stone_Fantasy
สตรีชุดเขียวตะลึงเล็กน้อยจากนั้นก็ยิ้มเย็นชา ดวงเนตรทั้งคู่ที่เดิมทีมีสีแดงฉานฉับพลันเปลี่ยนสี เป็นแสงสีเขียวสว่างเจิดจ้า
หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งเห็นแมงป่องพิษ เขารีบรั้งหมัดกลับ ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งพุ่งถอยหลังกลับไป
ทว่าแสงสีเขียวในดวงตาหญิงสาวเพียงเจิดจ้าขึ้นหนึ่งเท่ากว่า จ้องหลิ่วหมิงที่อยู่ไกลออกไปเขม็ง
ในเวลาเดียวกันหลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าดับมืด ทุกสิ่งรอบด้านกลายเป็นเลือนราง
เสียงไหลเร็วรี่ดังขึ้น สายธารสีดำมโหฬารสายหนึ่งฉับพลันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าสูง กลิ่นอายห้วงอเวจีถาโถมเข้ามาหาหลิ่วหมิง
“ธารายมโลก!”
หลิ่วหมิงมองสายน้ำสีดำที่ไหลถาโถมอยู่ในแม่น้ำ สองตาพร่ามัวเล็กน้อยชั่วขณะ หลุดเสียงออกมาประโยคหนึ่งโดยไม่ทันคิด
ทว่านาทีต่อมาเขาได้สติแล้วส่ายศีรษะ จากนั้นกัดลิ้นทีหนึ่งในทันใด ตอนนี้ถึงมองเห็นภาพตรงหน้าชัด
กลางปราณสีเขียวที่ล้อมวนอยู่มีธารน้ำสีดำอันใดที่ไหน นั่นเป็นประกายแสงสีดำมากมายถี่ยิบก้อนหนึ่งพุ่งเร็วจี๋บินตรงมาที่หัวใจของเขาต่างหาก
ความเร็วของประกายแสงสีดำทำให้หลิ่วหมิงคิดจะหลบหรือใช้วิชาลับอื่นใดต่อต้านก็ไม่ทันกาล
แม้เขาไม่รู้ว่าประกายแสงสีดำนี่คือสิ่งใด แต่เขาตระหนักดีว่าไม่อาจให้มันแตะถูกร่างกายได้เด็ดขาด เขาคิดก็ไม่คิดอ้าปากพ่นลมพายุรุนแรงสายหนึ่งออกมาทำให้ประกายแสงสีดำที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือชะงักไปชั่วขณะ
เสียงฟู่ดังขึ้นทีหนึ่ง
หลิ่วหมิงอาศัยจังหวะหน่วงช้าชั่วครู่นี้ ร่างกายเปล่งแสงสีเงินสว่างจ้า เกราะหนังสีเงินชิ้นหนึ่งฉับพลันปรากฏออกมา
เสียงชือๆ พักหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับที่ประกายแสงสีดำพุ่งโจมตีลงบนเกราะชิ้นนี้ ทันใดนั้นหมอกสีดำสายหนึ่งก็ลอยขึ้นมา กลิ่นเปรี้ยวสายหนึ่งกระจายออกมา
เสียงแหวกอากาศดังขึ้นไม่ไกล มีประกายแสงสีดำอีกก้อนหนึ่งโจมตีมาประหนึ่งสายฟ้าแลบอีกหน
ครั้งนี้ร่างกายของหลิ่วหมิงพร่าเลือนวูบหนึ่งกลายเป็นเงาเลือนสีน้ำเงินสามร่างแยกย้ายพุ่งถอยหลังไปทันที
เสียงฟู่ๆ ดังขึ้น!
เงาเลือนร่างสีน้ำเงินสองร่างถูกประกายแสงสีดำโจมตีทีเดียวสลายไป!
ร่างต้นของหลิ่วหมิงอาศัยจังหวะนี้สะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง กระบี่น้อยสีทองเล่มหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา หลังพร่าเลือนวูบหนึ่ง เงากระบี่สีทองมากมายถี่ยิบก็ซัดออกมา ชั่วพริบตากลายเป็นม่านกระบี่ปกป้องทั้งร่างไว้
ประกายแสงด้านหลังโจมตีลงบนม่านกระบี่ เสียงแผ่วเบาระลอกแล้วระลอกเล่าดังขึ้นต่อเนื่อง แต่ทันใดก็กลายเป็นปราณดำสายแล้วสายเล่าหายไปท่ามกลางแสงกระบี่เย็นเยียบ ไม่อาจทำอันใดม่านกระบี่ได้สักนิด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้พลันกู่ร้องยาว มือข้างหนึ่งทำท่าเคล็ดวิชา จิตกระบี่มโหฬารที่ยากจะบรรยายสายหนึ่งฉับพลันพุ่งจากบนร่างขึ้นสู่ท้องฟ้า พร้อมกันนั้นม่านกระบี่พลันส่องสว่างเจิดจ้ากลายเป็นแสงเย็นเยียบผืนใหญ่ซัดบ้าคลั่งสี่ด้านแปดทิศ
เสียงสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้น!
แสงสีทองหมื่นจั้งพุ่งขึ้นฟ้า ระเบิดพลังงานบางอย่างที่ล้อมอยู่ชั้นแล้วชั้นเล่ากระจายออกไป
หลังปราณกระบี่ดับหายไป เงาร่างที่ถือกระบี่ของหลิ่วหมิงก็ปรากฏขึ้นที่เดิมอีกหน เขามองสตรีฝั่งตรงข้ามด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ในมือสตรีคนนี้เห็นชัดว่ามีพู่กันสีดำสนิทประหนึ่งหยกด้ามหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ด้ามพู่กันมีลวดลายจิตวิญญาณสีทองบางละเอียดประหนึ่งเส้นผมอยู่เลือนราง ตรงปลายพู่กันมีแสงสีดำวิบวับไม่หยุด ประกายแสงสีดำก้อนแล้วก้อนเล่านั่นพุ่งเร็วรี่ออกมาจากตรงนี้เอง!
พลังประกายเนตรสีเขียวของหญิงสาวหลอกลวงจิตใจได้ ส่วนประกายแสงสีดำพลังไร้ขอบเขต สองอย่างประสานกันเรียกได้ว่าไร้ช่องโหว่!
หลิ่วหมิงก้มศีรษะมองรอยบาดสีเขียวแถบใหญ่ที่หวุดหวิดจะทะลวงทะลุเสื้อเกราะตรงหน้าอก ในใจหวาดกลัวตามหลังพักหนึ่ง
หากไม่ใช่พลังจิตของเขาเหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันอยู่ไกล ผนวกกับเขากระตุ้นวิชาขี่กระบี่ทำลายภาพลวงตาของวิชาเนตรทันเวลา เกรงว่าคงประสบเคราะห์จากมืออีกฝ่ายจริงๆ
สตรีชุดเขียวไม่เพียงครอบครองเนตรจิตวิญญาณประหลาดบางอย่าง อาวุธจิตวิญญาณในมือก็เป็นระดับต้นแบบอาวุธเวท พลังโดยรวมอยู่ในสิบอันดับแรกของงานประตูสวรรค์ครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน ดูท่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นศิษย์ตัวเก็งในงานประตูสวรรค์ครั้งนี้ของสำนักเฮ่าหราน
เวลานี้สตรีชุดเขียว มือข้างหนึ่งถือพู่กัน หน้าอกพองยุบเล็กน้อย เห็นชัดว่าเมื่อครู่ใช้อาวุธจิตวิญญาณรวมถึงวิชาลับเนตรจิตวิญญาณต่อเนื่องคงกินพลังจิตและพลังเวทของนางไปมาก
นางเห็นหลิ่วหมิงทำลายวิชาเนตรจิตวิญญาณของตนได้รวดเร็วเช่นนี้ บนหน้าก็อดไม่ได้เต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ
หลิ่วหมิงคิดเร็วดั่งสายฟ้าแล้วตัดสินใจ เขาเก็บกระบี่บินสีทองในมือไป สองมือทำท่าเคล็ดวิชาปากเอ่ยท่องมนตร์ ไอหมอกสีดำพลุ่งพล่านปรากฏออกมาจากบนร่างไม่หยุด
นาทีต่อมามังกรหมอกสีดำห้าตัวกับพยัคฆ์ร้ายสีดำห้าตัวก็พาปราณดำพลุ่งพล่านออกจากแผ่นหลังเขาพุ่งขึ้นฟ้า พวกมันแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ คำรามใส่สตรีชุดเขียวอย่างพร้อมเพรียง
ทว่าโดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น กลางปราณดำพลุ่งพล่านนี้ยังมีแสงสีเขียวจางๆ จุดหนึ่งแทรกอยู่ด้วย
ในดวงตาสตรีชุดเขียวฉายประกายเย็นเยียบจางๆ มือหนึ่งทำเคล็ดวิชา ส่วนพู่กันหยกสีดำในมืออีกข้างหนึ่งสะบัดกลางอากาศอย่างไม่รีบไม่ช้า ขณะที่วาดพู่กันป้ายหมึกจนทำให้คนตาลายพักหนึ่งนั้น ประกายแสงสีดำหลายก้อนก็ทยอยรวมตัวกันปรากฏออกมาตรงที่ปลายพู่กันของนางลากผ่าน จากนั้นประจันเข้าใส่มังกรหมอกพยัคฆ์หมอกที่พุ่งเข้ามา
เสียงปังๆ ดังขึ้นต่อเนื่อง!
มังกรหมอกสีดำหลายตัวกับพยัคฆ์ร้ายสีดำหลายตัวที่นำอยู่ข้างหน้าแตะถูกประกายแสงสีดำปุบก็เกิดเสียงดังซู่ๆ ถูกกัดกร่อนพังทลายอย่างรวดเร็ว กลายเป็นปราณดำเข้มสายแล้วสายเล่าวนรอบร่างกายสตรีนางนี้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ เคล็ดวิชาในมือพลันเปลี่ยนไปทันใด ปากเอ่ยคำว่า “ระเบิด” ออกมาเบาๆ
หลังเสียงเปรี้ยงหลายครั้ง มังกรหมอกพยัคฆ์หมอกหลายตัวก็ระเบิดไปพร้อมกับปราณดำสายแล้วสายเล่าเหล่านั้นกลายเป็นแสงสีดำผืนใหญ่มืดฟ้ามัวดิน พริบตาเดียวกลืนสตรีนางนี้เข้าไปข้างใน
สตรีชุดเขียวรู้สึกว่าเบื้องหน้าดำมืด ร่างกายตกอยู่ในมิติสีดำประหลาดแห่งหนึ่ง รอบด้านดำขมุกขมัวไปหมด ยื่นมือออกไปยังแทบไม่เห็นนิ้วทั้งห้า
นี่คือพลังคุกมืดของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ!
สตรีชุดเขียวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ แม้สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่แท้จริงไม่ได้ตระหนกเกินไปนัก นางถือพู่กันหยกในมือปกป้องไว้หน้าร่างแล้วกระตุ้นพลังจิตกวาดไปสี่ด้านแปดทิศอย่างรวดเร็ว
ผลปรากฏว่าหลังพลังจิตของนางจมหายไปรอบด้านก็ประหนึ่งเข้าไปในหลุมไร้ก้น ไม่มีการเคลื่อนไหวให้หาพบสักนิด
นางอดไม่ได้ในใจเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย
เวลานี้เองแสงสีเขียวก้อนหนึ่งฉับพลันปรากฏขึ้นด้านข้าง เด็กน้อยชุดเขียวตัวขาวจ้ำม่ำคนหนึ่งตบมือน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มขยับเข้ามาใกล้ เด็กน้อยนี่เป็นร่างแปลงของหัวบินนั่นเอง
แม้สตรีชุดเขียวไม่รู้ว่าเด็กน้อยตรงหน้ามีที่มาอย่างไร แต่ในเมื่อปรากฏตัวที่นี่ย่อมเป็นศัตรูหาใช่มิตร นางคิดก็ไม่ต้องคิดข้อมือสะบัดทีหนึ่ง ประกายแสงเจิดจ้าก้อนหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกไปทันที
เด็กน้อยชุดเขียวหัวเราะร่า ร่างกายเหาะถอยเร็วไว แล้วยังไม่ลืมหันกลับมาพ่นเปลวไฟสีเทาซึ่งส่งกลิ่นเหม็นคำโตออกมาใส่ประกายแสงสีดำที่จู่โจมเข้ามาอีกด้วย
ซือๆ เสียงดังสนั่น!
ประกายแสงสีดำกับเปลวเพลิงสีเทาแตะถูกกันเล็กน้อยต่างฝ่ายก็กัดกร่อนยื้อกันอยู่กลางอากาศ แสงสีเทาดำไหลเคลื่อน ท้ายที่สุดก็ยังเป็นประกายสีดำชนะอยู่เล็กน้อย หลังเปลวเพลิงสีเทาถูกกัดกร่อนจนหมดสิ้น มันก็พุ่งเร็วรี่เข้ามาหาเด็กน้อยชุดเขียวต่อ
เด็กน้อยชุดเขียวหัวเราะ ร่างกายไหววูบหนึ่งก็เร้นกายหายไปท่ามกลางปราณดำรอบด้าน ประกายแสงสีดำส่องสว่างวูบหนึ่งก็พุ่งทะลุแสงสีดำใกล้ๆ ทิ้งรูใหญ่เท่ากำปั้นรูหนึ่งไว้ แต่ทันใดนั้นหมอกสีดำรอบด้านก็เข้ามาถมคืน
หญิงสาวเห็นเปลวเพลิงสีเทาถึงกับต้านทานประกายแสงสีดำได้ เริ่มแรกในใจคาดไม่ถึง แต่จากนั้นเมื่อการโจมตีของตนโจมตีชั้นจำกัดที่ขังตนเองไว้ได้ผลในใจกลับยินดี นางกำลังจะเร่งขยับพู่กันหยกในมือทำลายคุกมืดทั้งหมดนี้ในเฮือกเดียว
ทว่าในเวลานี้เองแสงสีดำด้านข้างก็ไหวกระเพื่อม เด็กน้อยชุดเขียวโผล่ร่างออกมากะทันหันแล้วขว้างมุกกลมที่มีปราณเขียวขมุกขมัวออกมากลางอากาศเหนือศีรษะหญิงสาวชุดเขียว
มุกกลมปราณเขียวบินวนอยู่กลางอากาศส่องแสงรัศมีสีเขียวไม่หมดสิ้นออกมา หลังเสียงแผ่วเบาไม่กี่หนดังขึ้น พวกมันก็กลายเป็นเด็กน้อยชุดเขียวที่แต่งกายเหมือนกันแปดคน ทั้งแปดคนกับร่างต้นของเด็กน้อยร่างกายพร่าเลือนไปครู่หนึ่งก็พลันปรากฏตัวรอบด้านหญิงสาว ล้อมนางไว้แน่นหนาจนน้ำไม่อาจลอดผ่าน
หญิงสาวสีหน้าเคร่งขรึม พลิกมือเรียกโอสถสีเหลืองเม็ดหนึ่งมากลืนลงไป พร้อมกับนั้นสายตาก็กวาดผ่านเด็กน้อยชุดเขียวที่หน้าตาเหมือนกันทุกอย่างเก้าคนรอบกายอย่างเร็วไว
ทว่าแสงสีดำพร่าเลือนรอบด้านกะพริบวูบวาบ ชั่วขณะนั้นนางไม่อาจแยกออกว่าคนไหนเป็นร่างจริง
เด็กน้อยชุดเขียวเก้าคนส่งเสียงหัวเราะประหลาด เริ่มวิ่งวนหน้าร่างหญิงสาวอย่างเร็วไว แล้วยังอ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีเทาแถบแล้วแถบเล่าออกจากปากโถมเข้าใส่หน้าของหญิงสาวเป็นระยะ
แววตาของหญิงสาววูบไหวพักหนึ่ง มือที่ถือพู่กันหยกสีดำพลันขยับไวว่อง ทันใดนั้นประกายแสงสีดำที่เล็กกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อยมากมายก็พุ่งเร็วรี่ออกมา ขวางการโจมตีของเปลวเพลิวสีเทาไว้ได้ทั้งหมด
ทว่าระหว่างที่ประมือกันครานี้ เด็กน้อยชุดเขียวเก้าคนกลับล้อมเป็นวงหดเข้ามาใกล้ขึ้นเกือบครึ่งอย่างเงียบเชียบ
“แกว๊ก! แกว๊ก! ลงมือ!” เด็กน้อยชุดเขียวที่อยู่ใกล้สตรีชุดเขียวมากที่สุดฉับพลันตวาดเสียงดังคำหนึ่ง
เด็กน้อยชุดเขียวเก้าคนใช้เคล็ดวิชาพร้อมกัน พวกเขาพ่นเปลวเพลิงสีเทาสายแล้วสายเล่าออกมาใส่สตรีชุดเขียวที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลางอย่างพร้อมเพรียง…
พร้อมกับที่เด็กทั้งหลายพ่นอย่างบ้าคลั่ง เปลวเพลิงสีเทาลุกโหมก็ผนึกเชื่อมต่อกันเป็นกำแพงไฟสีเทาสูงใหญ่ผืนหนึ่งในพริบตา หลังจากนั้นโถมทับเข้าไปหาหญิงสาวตรงกลาง พลังน่าตะลึงยิ่งนัก!
สตรีชุดเขียวเปลี่ยนสีหน้าโดยพลัน นางถ่ายเทพลังเวททั้งร่างเข้าไปในพู่กันหยกสีดำสนิทในมือจากนั้นกวาดออกมาทันที บนกำแพงไฟสีเทาฉับพลันเกิดรอยประทับเห็นชัดเจนเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น
เสียงฟู่ดังขึ้นทีหนึ่ง รอยประทับจางๆ ยังไม่ทันขยายกว้างก็ถูกเปลวเพลิงสีเทาที่เด็กน้อยชุดเขียวพ่นออกมาถมจนเต็ม
สตรีชุดเขียวเห็นภาพนี้ รูม่านตาพลันหดเล็กลง นางไม่กล้าออมมืออีกเสียงหวานตวาดออกจากปาก หลังพู่กันหยกในมือหมุนติ้วรอบหนึ่ง เส้นด้ายสีดำเส้นแล้วเส้นเล่าก็พรูออกมาจากความว่างเปล่าใกล้ๆ หลังถักทอส่องประกายพักหนึ่งก็กลายเป็นลูกบอลด้ายสีดำชั้นหนึ่งปกป้องนางไว้ด้านในอย่างแน่นหนา
เสียงเปรี้ยงดังขึ้นหนึ่งหน
กำแพงไฟสีเทาชนลูกบอลด้ายจากสี่ด้านแปดทิศ แสงสีดำด้านในกะพริบวูบวาบ แรงสะท้อนมหาศาลดีดออกมาในทันใด
กำแพงไฟสั่นไหววูบหนึ่งแล้วดีดสะท้อนกลับไปเร็วยิ่งกว่าพลังตอนที่โถมเข้ามาก่อนหน้านี้
แม้เด็กน้อยทั้งเก้าจะไม่กลัวเปลวเพลิงที่ตนปล่อยออกมาแม้แต่นิด ทว่าภาพที่เหนือความคาดคิดเช่นนี้ก็ทำให้พวกเขาใช้เคล็ดวิชามือไม้เป็นพัลวัน
หญิงสาวอาศัยโอกาสนี้ ดวงเนตรทั้งสองฉายแสงสีแดงฉาน เปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงอีกครั้ง เปลวเพลิงพลุ่งพล่านฉายออกมาเลือนราง
เปรี้ยงๆ เสียงดังสนั่นหลายหนดังขึ้นต่อกัน
บนร่างเด็กน้อยทั้งเก้าคนเกิดแสงเปลวเพลิงขึ้นพร้อมกัน ถูกกลบอยู่กลางเปลวเพลิงร้อนแรงที่ลุกโหมจนมิด
พู่กันหยกในมือสตรีชุดเขียวสะบัดอีกหน ประกายแสงสีดำมากมายถี่ยิบปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทั้งยังพุ่งเร็วรี่ออกไปสี่ด้านแปดทิศพร้อมกัน
ตอนที่ 801 การต่อสู้อันดุเดือด
Ink Stone_Fantasy
เสียงหนักหน่วงดังขึ้นหลายหน!
เด็กน้อยแปดในเก้าคนถูกประกายแสงโจมตีสลายไปในทันใด เหลือเด็กน้อยเพียงคนเดียวพุ่งถอยออกมาจากเปลวเพลิงร้อนแรง หลังเขาสะบัดศีรษะ เส้นผมสีเขียวมากมายก็พุ่งเร็วรี่ออกมาโจมตีประกายแสงมากมายที่พุ่งเข้ามาหยุดไปชั่วครู่ เขาจึงฉวยโอกาสหลบพ้นการโจมตีอันตรายถึงชีวิตไป
ทว่าหญิงสาวกลับหัวเราะหยัน ประกายสีแดงฉานในดวงตาส่องสว่างอีกครั้ง
เสียงฟู่ดังขึ้นทีหนึ่ง
เหนือร่างเด็กน้อยชุดเขียวเปลวเพลิงลุกโหมเคลื่อนม้วน ลูกบอลเพลิงเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งจั้งกว่าลูกหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า มันพุ่งลงมาเสียงดังสนั่น เร็วจนเด็กน้อยไม่อาจหลบหลีกได้เลย
เวลานี้เองเสียงเปรี้ยงก็ดังขึ้น
ด้านข้างลูกบอลสีแดงมหึมาเงาคนสีน้ำเงินโผล่ออกมา แขนข้างหนึ่งขยับต่อยหนึ่งหมัดออกมาพร้อมเสียงพยัคฆ์คำราม
เงาหมัดหัวพยัคฆ์สีดำขนาดเท่าอ่างล้างหน้าฉับพลันทะลวงผ่านลูกบอลเพลิง โจมตีมันจนระเบิด
หญิงสาวหัวใจสั่นสะท้าน พู่กันหยกในมือขยับจะโจมตีต่อเนื่องใส่หลิ่วหมิงที่ปรากฏตัว ทว่าในเวลานี้เองเสียงคำรามพลันดังขึ้นจากแสงสีดำสี่ด้านแปดทิศ มังกรหมอกสีดำยาวสิบกว่าจั้งห้าตัวพุ่งโถมเข้ามาพร้อมกัน
หญิงสาวสีหน้าเย็นเยียบฉับพลันอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งออกมา หลังจิ้มพู่กันหยกในมือนิดหนึ่งก็วาดกลางอากาศอีกครั้ง แสงโลหิตส่องประกาย วงแหวนแสงรูปวงกลมสีแดงสดวงหนึ่งซัดออกไปสี่ด้านแปดทิศประหนึ่งดาบคมกริบในทันที
เสียงฟึบๆ ดังขึ้น
มังกรหมอกห้าตัวชั่วพริบตาถูกวงแหวนแสงสีโลหิตสะบั้นทีเดียวเป็นสองท่อน ทว่าเมื่อมันพุ่งมาถึงเบื้องหน้าหลิ่วหมิงกลับถูกหนึ่งหมัดของเขาต่อยกระจายด้วยใบหน้าเรียบเฉย
สตรีชุดเขียวในใจสะท้าน มือข้างหนึ่งใช้เคล็ดวิชา ในดวงตาปรากฏแสงแดงฉานวูบวาบอีกครั้ง
ในเวลานี้เองบนหน้าหลิ่วหมิงกลับเผยสีหน้าประหลาดเล็กน้อยออกมากะทันหัน
แทบจะในเวลาเดียวกันตรงใต้เท้าของหญิงสาวเสียงชือๆ ก็ดังขึ้น หนวดสีดำหลายเส้นพุ่งออกมาจากความว่างเปล่าประหนึ่งสายฟ้าแลบ พวกมันโอบพันรัดครึ่งท่อนล่างของหญิงสาวไว้อย่างแน่นหนา หลังแสงรัศมีส่องประกายวูบหนึ่งก็กลายเป็นงูยักษ์สีดำหลายตัวพุ่งเข้ากัดศีรษะและลำคอของหญิงสาว
หญิงสาวตระหนก ดวงตาสีแดงฉานฉับพลันกวาดไปหางูยักษ์เหล่านั้นแทบจะโดยสัญชาติญาณ
เสียงเปรี้ยงๆ ดังขึ้น
หัวของูยักษ์สีดำเหล่านี้อยู่ดีๆ พลันมีเปลวเพลิงร้อนแรงลุกท่วมจากนั้นระเบิดออก ร่างงูที่เดิมทีรัดหญิงสาวไว้แน่นชั่วพริบตากลายเป็นแสงสีดำจุดแล้วจุดเล่าดับวูบหายไปกับความว่างเปล่า
“วิชามายา”
สตรีชุดเขียวตอนนี้ถึงเข้าใจ ร้องออกมาคำหนึ่งอย่างโกรธเกรี้ยว
หลิ่วหมิงซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกลับใช้โอกาสนี้พลิกมือคว้าทีหนึ่งหิ้วเด็กน้อยชุดเขียวขึ้นมาขว้างไปข้างหน้าอย่างแรง จากนั้นขาข้างหนึ่งพลันกระทืบความว่างเปล่า ร่างกายพุ่งออกไปประหนึ่งศร
สตรีชุดเขียวรู้สึกเพียงเบื้องหน้ามีเสียงลมดังขึ้น เด็กน้อยกลืนคืนร่างต้นกลายเป็นศีรษะมหึมาเข้ามาใกล้ตรงหน้า เสียงหัวเราะประหลาดดังขึ้น เขาอ้าปากพ่นเปลวเพลิงดวงใหญ่ออกมา จากนั้นเส้นผมยาวทั้งศีรษะก็สะบัด เส้นผมสีเขียวมากมายถี่ยิบพุ่งเร็วรี่ตามออกมาติดๆ
หญิงสาวชุดเขียวคิดจะใช้วิชาเนตรต้านอีกครั้งแต่เห็นชัดว่าไม่ทันกาล นางได้แต่ยกพู่กันในมือขวางหน้าร่างด้วยความจนปัญญา พู่กันหยกหมุนติ้วจากนั้นม่านแสงสีดำชั้นหนึ่งพลันปรากฏออกมาขวางเบื้องหน้าไว้
เสียงเปรี้ยงดังขึ้นหนึ่งหน
เปลวเพลิงชั่วพริบตาก็ระเบิดออก เปลวเพลิงสีเทาโถมชนม่านแสงสีดำส่องแสงวูบวาบไม่หยุด ร่างกายของหญิงสาวสั่นสะท้านจากนั้นถอยหลังครึ่งก้าวอย่างเลี่ยงไม่ได้
ตอนนี้เองเส้นผมสีเขียวที่ตามมาทีหลังก็ปักรัวลงบนม่านแสงสีดำประหนึ่งฝนกระหน่ำ
ม่านแสงสีดำส่งเสียงครวญครางทีหนึ่งแล้วโงนเงนคล้ายจะล้มในทันใด
ทว่าอาศัยโอกาสนี้ ในที่สุดหญิงสาวก็ตั้งตัวได้ นางสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ยันต์สีแดงฉานแผ่นหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา มันส่งเสียงดังเปรี้ยงแล้วระเบิดกลายเป็นเมฆสีแดง คลื่นสีแดงฉานซัดทีหนึ่งโถมกลบหัวบินที่อยู่ด้านหน้าจนหมดสิ้น
เวลานี้เองเสียง “มอ” พลันดังขึ้น วัวสีน้ำเงินมหึมาตัวหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่าเบื้องหน้าหัวบิน เมื่อมันอ้าปากกว้างหมอกแสงผืนใหญ่พลันพุ่งม้วนออกมา ชั่วพริบตาดูดเมฆอัคคีทั้งหมดเข้าไปเกลี้ยงในคราวเดียว
หญิงสาวตระหนกหน้าถอดสี นางกำลังคิดจะเรียกสมบัติอื่นออกมาอีก เงาวัวสีน้ำเงินมหึมากลับส่งเสียงดังเปรี้ยงแล้วพังทลายหายไป ร่างของหลิ่วหมิงปรากฏออกมาที่เดิม
หลิ่วหมิงพุ่งเข้ามาใกล้หญิงสาวเพียงเอื้อมมือแล้วแย้มยิ้มน้อยๆ ปราณดำบนร่างลุกโชนพุ่งออกมา ในร่างเสียงเปรี๊ยะดังระรัวพักหนึ่ง ร่างกายชั่วพริบตาขยายใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว พร้อมกันนั้นใต้ชายโครงแสงสีน้ำเงินก็ส่องสว่างในทันใด แขนสีเงินอีกสองข้างงอกเพิ่มขึ้นมา
แขนสี่ข้างพร่าเลือนวูบหนึ่งพร้อมกัน ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังกึกก้อง เงาหมัดสีดำมากมายถี่ยิบโถมคลั่งออกมาพุ่งเข้าใส่ฝั่งตรงข้ามประหนึ่งน้ำหลาก
เสียงเปรี้ยงดังสนั่น
ม่านแสงสีดำถูกเงาหมัดมากมายเช่นนี้กระหน่ำโจมตีเพียงเวลาหนึ่งถึงสองลมหายใจชั่วพริบตาก็ปริร้าวแตกกระจายประหนึ่งกระดาษ
“ข้ายอมแพ้”
เมื่อเห็นว่าเงาหมัดมากมายไม่มีสิ่งใดต้านทานอีกต่อไปและกำลังจะบดขยี้หญิงสาวแหลกไปด้วย สตรีชุดเขียวพลันหน้าซีดเผือดตะโกนเสียงดังว่า “ยอมแพ้”
คำว่า “แพ้” เพิ่งหลุดออกจากปาก แสงลี้ลับสีเขียวครามพลันปรากฏออกมาจากพื้นล้อมสตรีชุดเขียวไว้ จากนั้นร่างของนางก็หายวับไปจากที่เดิม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็ตะลึงเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์เช่นนี้สตรีผู้นี้จะยังคงรักษาสติผละถอยอย่างปลอดภัยได้
ความมุ่งมั่นเช่นนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ!
ในใจหลิ่วหมิงคิดเช่นนี้ จากนั้นมือข้างหนึ่งก็กวักเรียก คุกมืดสีดำค่อยๆ พังทลายเปิดออก กลายเป็นปราณดำพลุ่งพล่านหวนกลับเข้าไปในร่างเขาอีกครั้ง พร้อมกันนั้นหัวบินก็ส่งเสียงดังปุ้งกลายเป็นปราณดำสายหนึ่งมุดเข้าไปในถุงหนังข้างเอวเขาเช่นกัน
เขากวาดสายตามอง เมื่อแน่ใจแล้วว่าบนแท่นทองแดงเหลือเขาเพียงคนเดียวถึงหันหน้ามองไปยังแท่นทองแดงอีกสองแท่น
บุรุษรถเงินของนิกายเทียนกงเห็นหลิ่วหมิงบีบสตรีชุดเขียวให้ยอมแพ้ได้ก็ค่อนข้างประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด หลังเขายิ้มน้อยๆ ให้หลิ่วหมิงก็มองไปยังแท่นทองแดงที่บุรุษผมม่วงกับหลัวเทียนเฉิง
บนแท่นทองแดงอีกแท่นหนึ่ง
การต่อสู้ของบุรุษผมม่วงแห่งหอเป๋ยโต่วกับหลัวเทียนเฉิงเข้าสู่ช่วงดุเดือดแล้วเช่นกัน
สายตาของหลิ่วหมิงจ้องมอง ดูจากสถานการณ์แล้วบุรุษผมม่วงผู้นี้ครองความได้เปรียบอยู่อย่างเห็นได้ชัด
เส้นผมสีม่วงทั้งศีรษะของเขาปลิวสะบัด ลวดลายจิตวิญญาณสีดำเขียวทั่วร่างกะพริบไม่หยุด ต่อยหมัดแล้วหมัดเล่าเข้าใส่หลัวเทียนเฉิง ทุกหมัดล้วนได้เปรียบ บีบให้อีกฝ่ายถอยร่นไม่หยุด
ทว่าหลัวเทียนเฉิงอาศัยร่างจิตวิญญาณตูเทียนซึ่งมีคุณสมบัติฟื้นฟูในชั่วพริบตาจึงไม่หวาดกลัวการโจมตีของบุรุษผมมม่วงสักนิด แสงสีเงินขาวทั่วทั้งร่างส่องสว่างระลอกแล้วระลอกเล่าไม่หยุด บาดแผลบนร่างประสานกันอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นสองแขนก็เหวี่ยงสะบัด กระตุ้นไอหมอกสีเงินให้แปลงเป็นเงามังกรพยัคฆ์สีเงินตัวแล้วตัวเล่าปะทะกับหมัดแล้วหมัดเล่าของบุรุษผมม่วง ดันทุรังกระหน่ำโจมตีต้านไว้ได้อย่างน่าตะลึง
หลังหลิ่วหมิงมองมา บุรุษผมม่วงก็พบว่าหลิ่วหมิงกับหญิงสาวชุดเขียวตัดสินแพ้ชนะกันได้แล้ว บนหน้าจึงปรากฏสีหน้ารำคาญเล็กน้อยในทันใด เขาตวาดโกรธเกรี้ยวคำหนึ่ง ทันใดนั้นแขนก็หนาขึ้น พลังมหาศาลที่โถมออกมาจากกำปั้นฉับพลันเพิ่มพรวดขึ้นหลายเท่าต่อยเข้าใส่หลัวเทียนเฉิง
เสียงปังดังสนั่นขึ้นทีหนึ่ง!
หลัวเทียนเฉิงรีบใช้พยัคฆ์หมอกสีเงินสองตัวปะทะกับหนึ่งหมัดของบุรุษผมม่วง
มังกรหมอกสองตัวส่งเสียงกรีดร้องทีหนึ่งก็สลายไปพร้อมเสียงดังสนั่น บุรุษผมม่วงกลับยืมแรงทะยานร่างถอยหลัง ส่วนหลัวเทียนเฉิงถูกพลังมหาศาลที่เหลืออยู่ซัดปลิวไปถึงขอบม่านแสง จากนั้นถูกดีดกลับมาในทันที
หน้าอกของเขาถูกอัดจนยุบจมเข้าไป มุมปากเลือดสายหนึ่งไหลลงมา หลังแสงสีเงินสว่างวาบบนหน้าอก รอยยุบก็ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมา
“จิ๊ๆ ร่างจิตวิญญาณตูเทียนช่างสมคำร่ำลือจริงๆ! พลังแค่ระดับผลึกขั้นต้นกระจอกๆ ก็ต้านทานหมัดร้อยทลายชุดนี้ของข้าที่กระทั่งระดับแก่นแท้ก็ไม่กล้าฝืนรับตรงๆ ได้ ตอนนี้เจ้ายอมแพ้ยังไม่สาย มิเช่นนั้นการโจมตีต่อไปของข้า หากยั้งมือไม่ไหวสังหารเจ้าไป นั่นคงไม่ดีแล้ว ฮ่าๆ!” บุรุษผมม่วงในดวงตาประกายสีม่วงฉายวูบวาบ ขณะที่ยืนอยู่กลางอากาศหัวเราะเต็มที่ใส่หลัวเทียนเฉิง
“ไม่ต้องพูดถ้อยคำไร้ประโยชน์เหล่านี้แล้ว มีความสามารถก็ใจกล้าเข้ามา ทุกคนเปลืองแรงต่อไปเรื่อยๆ ใครแพ้ใครชนะก็ยังไม่แน่หรอก!” หลัวเทียนเฉิงกลืนโอสถเม็ดหนึ่งลงไปอย่างว่องไว เขายืนยืดอกอย่างหยิ่งทะนง แค่นเสียงหยันเอ่ยกับบุรุษผมม่วงอย่างเย็นชา
จากการประมือก่อนหน้านี้เขารู้แล้วว่ากายเนื้อของอีกฝ่ายแข็งแกร่งยิ่งกว่าเขาเสียอีก แต่เขามีพลังฟื้นฟูอันแข็งแกร่งของร่างจิตวิญญาณตูเทียนอยู่ เขาจึงมั่นใจว่าจะยังคงเป็นผู้ที่หัวเราะคนสุดท้ายได้
บุรุษผมม่วงได้ยินพลันโกรธจัด แววตาเย็นเยียบ ใบหน้าถมึงทึงขึ้นหลายส่วน
เขาพลันตวาดคำหนึ่ง แสงสว่างที่เปล่งออกมาจากลวดลายจิตวิญญาณสีดำเขียวทั่วร่างฉับพลันส่องสว่างขึ้น จากนั้นเริ่มโถมพันรอบกำปั้นสีดำของบุรุษผมม่วง
ครู่ต่อมาแขนขวาของบุรุษผมม่วงพลันส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ เส้นเอ็นที่พาดตัดยุ่งเหยิงบนนั้นหนาขึ้นในทันใดจากนั้นเหวี่ยงออกมาสุดกำลัง เงาหมัดสีดำเขียวขนาดถึงสิบจั้งหมัดหนึ่งร่วงลงมาจากท้องฟ้าโจมตีเข้าใส่หลัวเทียนเฉิง
หลัวเทียนเฉิงเห็นเช่นนี้พลันหน้าถอดสี สองมือเปลี่ยนแปลงไม่หยุด ทำท่ามืออันลี้ลับท่าแล้วท่าเล่า พร้อมกันนั้นปากก็เอ่ยท่องมนตร์
หมอกหนาพลุ่งพล่านสีขาวลอยขึ้นจากบนร่างเขาไม่หยุด
“โฮก” เสียงพยัคฆ์คำรามมังกรกู่ร้องดังออกมา มังกรหมอกสีเงินยาวสามสิบจั้งสี่ตัวกับพยัคฆ์หมอกสีเงินสี่ตัวปรากฏตัวขึ้นตามมา
“ไป!”
หลัวเทียนเฉิงตวาดเสียงเข้มคำหนึ่ง สองหมัดก็โจมตีออกไป มังกรหมอกสีเงินสี่ตัวกับพยัคฆ์ร้ายสีเงินสี่ตัวแยกย้ายกันพุ่งออกไปจากบนแขนทั้งสองข้างมุ่งไปหาเงาหมัดสีดำเขียวมโหฬารที่แทบจะปิดนภาบังตะวันได้พร้อมกัน
เสียงเปรี้ยงดังสนั่นสะเทือนฟ้าดังขึ้นหนึ่งหน!
บนอากาศระหว่างคนทั้งสอง สีดำ สีเขียว สีเงินฉับพลันผสมปนเปเข้าด้วยกันโรมรันกันอย่างรุนแรง!
ยื้อยุดอยู่เพียงชั่วครู่ เงาหมัดสีดำเขียวก็ประหนึ่งผ่าท่อนไผ่ทยอยบดขยี้มังกรกับพยัคฆ์สีเงินกลายเป็นหมอกหนาสีเงินก้อนแล้วก้อนเล่ากระจายไปทั่วไม่หยุด
“ระเบิด!”
เวลานี้เองหลัวเทียนเฉิงก็ตวาดเกรี้ยวกราด สองมือพลันเปลี่ยนท่าเคล็ดวิชา ปากท่องมนตร์ไม่หยุด หมอกหนาสีเงินโอบกระจายตลบอบอวลอย่างเร็วไวรวมตัวเป็นคุกมืดสีเงินขาวอันแข็งแกร่งแห่งหนึ่งหุ้มเงาหมัดมหึมาทั้งหมดรวมถึงร่างบุรุษผมม่วงไว้ข้างใน กลายเป็นลูกบอลกลมสีเงินมโหฬารอย่างยิ่งลูกหนึ่ง
หลิ่วหมิงเห็นหลัวเทียนเฉิงปล่อยคุกมืดออกมากลับส่ายศีรษะเล็กน้อย เห็นชัดว่าไม่ได้คาดหวังกับท่านี้!
คุกมืดไม่ได้ผลกับคู่ต่อสู้ที่พลังเหนือกว่าตนเองเท่าไรนัก
เป็นอย่างที่คาดยังไม่ทันที่หลัวเทียนเฉิงจะเคลื่อนไหวท่าต่อไป บนผิวหน้าของลูกบอลกลมสีเงินมโหฬาร แสงรัศมีสีเหลืองดำสายแล้วสายเล่าพลันพุ่งกระจายออกมา
ในคุกมืดสีเงิน
พร้อมกับที่บุรุษผมม่วงท่องมนตร์งึมงำออกมาไม่หยุด ลวดลายจิตวิญญาณสีดำเหลืองสองสีน่าหวาดหวั่นอย่างที่สุดสายแล้วสายเล่าก็ค่อยๆ ปรากฏชัดบนใบหน้า
ลวดลายจิตวิญญาณสีดำเหลืองเหล่านี้กะพริบไม่หยุด วาดเป็นภาพสัญลักษณ์ผีร้ายโหดเหี้ยมภาพหนึ่งออกมา ในเวลาเดียวกันใบหน้าของเขาฉับพลันก็เหี้ยมเกรียมขึ้น
ตอนที่ 802 เงาผี
Ink Stone_Fantasy
“โฮก โฮก”
เสียงผีร้องโหยหวนแหลมสูงดังเป็นระยะออกมาจากคุกมืดสีเงินไม่ขาด ฟังแล้วชวนให้คนรู้สึกขนลุก
หลังเสียงผีโหยหวนหายไปก็ได้ยินเสียงปึงดังสนั่นหลายหนอีกพักหนึ่ง
พร้อมกับเสียงดังสนั่นนี้ คุกมืดสีเงินยวงก็เริ่มสั่นไหวไม่หยุด แสงสว่างสีดำเหลืองทะลวงออกมามากขึ้นทุกที
หลัวเทียนเฉิงเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี มือทั้งสองข้างรีบร้อนใช้เคล็ดวิชาใส่คุกมืดสีเงินหมายเสริมความแกร่งให้คุกมืด
“เปรี้ยง” เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเสียงหนึ่งดังลอยมา!
เงาผีร้ายมหึมาตัวหนึ่งฉับพลันพุ่งแหวกกำแพงคุกมืดออกมาปรากฏตัวกลางท้องฟ้า
หลัวเทียนเฉิงถูกแรงสะท้อนจากที่คุกมืดถูกทำลาย ไม่เพียงกระอักเลือดคำหนึ่งดังพรูด สีหน้าฉับพลันก็ซีดขาวขึ้นไม่น้อย
หลิ่วหมิงใจสะท้าน เวลานี้บนลานหินเขียวคนผู้นั้นก็เรียกผีไม่ทราบนามตัวหนึ่งออกมาเช่นกัน เพียงแต่ยามนี้มองจากไกลๆ ถึงเห็นหน้าตาของมันกระจ่างชัดอย่างแท้จริง
บนศีรษะกลมใหญ่โตของเงาผีร้ายตัวนี้ไม่มีขนหรือเส้นผมใดๆ สัดส่วนไม่สมมาตรกับร่างกายอย่างที่สุด สองตาแดงก่ำขนาดเท่าโคมไฟจ้อมเขม็งที่หลัวเทียนเฉิง หลังร่างกายกำยำของมันยังมีหางสั้นหนายาวครึ่งจั้งเส้นหนึ่งติดอยู่ด้วย
ระหว่างที่ผีร้ายตัวนี้แหงนหน้ากู่ร้องเสียงประหลาดหลายครั้ง ปากกว้างสีแดงของมันก็อ้าหุบหลายหนสูดไอหมอกสีเงินที่อบอวลรอบด้านเข้าไปในปากจนหมด ภาพนี้ทำให้หลัวเทียนเฉิงกับหลิ่วหมิงที่อยู่ไกลออกไปล้วนพรั่นพรึง
เมื่อผีตัวนี้ดูดปราณหยินที่กระจายออกมาจากคุกมืดไป ร่างกายกับพละกำลังก็แข็งแกร่งขึ้นตามไม่น้อย ร่างกายฉับพลันยิ่งชัดเจนขึ้น
เงาผียิ้มเหี้ยมส่งเงากรงเล็บสีดำสนิทข้างหนึ่งเข้าใส่หลัวเทียนเฉิงในทันใด
หลังคุกมืดสีเงินถูกทำลาย หลัวเทียนเฉิงรู้สึกว่าเลือดลมปั่นป่วนไปวูบหนึ่ง ยามนี้เห็นเงาหมัดยักษ์สีดำสนิทข้างนี้จู่โจมมาจึงหน้าถอดสีอย่างห้ามไม่ได้ ได้แต่เรียกเกราะแสงสีเงินบางผืนหนึ่งตั้งขึ้นหน้าร่างอย่างฉุกละหุก
เสียงดัง “ปึง”
รอยกรงเล็บดำสนิทห้าสายโจมตีเกราะแสงสีเงินแตกสลายในทันใด จากนั้นโจมตีเข้าใส่กระดูกหน้าอกของเขาทันที
เสียง “แครก” ดังกังวาน!
ร่างกายของหลัวเทียนเฉิงประหนึ่งถุงกระสอบขาดๆ ลอยไปไกลและร่วงหล่นอย่างแรงตรงหน้าอกเห็นชัดว่ามีรอยกรงเล็บสีดำสนิทรอยหนึ่งเพิ่มขึ้นมา กระดูกหน้าอกไม่รู้ว่าแตกไปกี่ชิ้นแล้ว
หลัวเทียนเฉิงกัดฟันดิ้นรนลุกขึ้นมา เขาลูบหน้าอกเบาๆ พลางครางเสียงแผ่ว ปากก็กระอักน้ำลายปนเลือดออกมาคำหนึ่ง จากนั้นจึงเห็นมุมปากของเขาขมุบขมิบไปมา แสงสีเงินส่องสว่างหุ้มหน้าอกของเขาไว้
หลังแสงสว่างกระจายตัวไป บาดแผลบนร่างของเขาก็ฟื้นหายดีหมดสิ้น ทั้งร่างหายดีอีกครั้ง มีเพียงสีหน้าที่ซีดเผือดกว่าเดิมอยู่บ้าง
“เหอะ ต่อให้ร่างคงกระพันแล้วอย่างไร ดูสิว่าเจ้าจะฟื้นได้สักกี่หน!” บุรุษผมม่วงยิ้มเย็นชาจากนั้นยกมือข้างหนึ่งชี้กลางอากาศ เงาผีร้ายพลันคำราม สองเท้าลอยขึ้นพุ่งเข้าไปหาหลัวเทียนเฉิง
แม้มันดูเงอะงะแต่กลับเร็วอย่างน่าประหลาด จุดที่พุ่งผ่านทิ้งเงาเลือนรางสายแล้วสายเล่าไว้พร้อมกับชักพาอากาศให้สั่นสะเทือนบิดเบี้ยว
ยามนี้หลิ่วหมิงมองผ่านม่านแสงจากระยะไกลเช่นนี้ก็ยังสัมผัสได้เลือนรางว่าปราณของเงาผีร้ายมหึมาตัวนี้ไม่เป็นรองปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ขั้นกลาง สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ครั้งก่อนยามบุรุษผมม่วงประมือกับเขา เงาผีร้ายที่ปล่อยออกมาไม่มีพลังระดับนี้ ดูท่าก่อนหน้านี้ยามประมือกับเขาอีกฝ่ายจะยังออมมืออยู่!
หลัวเทียนเฉิงพลิกมือเรียกยันต์สีทองกำหนึ่งออกมาขว้างไปกลางอากาศทันทีพร้อมกับที่ปากเริ่มท่องมนตร์
ยันต์สีทองสิบกว่าแผ่นบินวนอยู่กลางอากาศจากนั้นกลายเป็นไอหมอกจางๆ สีเหลืองทองก้อนหนึ่งแล้วผนึกรวมกันกลายเป็นเกราะหมอกปราณจิตวิญญาณสีทองบางๆ ชั้นหนึ่งเบื้องหน้าเขาอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันเขาก็พลิกมืออีกหนเรียกโอสถขวดหนึ่งออกมา ไม่พูดพร่ำแหงนหน้ากระดกอึกๆ เข้าไปในปากจนหมด
เขาเพิ่งทำทุกสิ่งนี้เสร็จ เจ้าผีก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าเขาดั่งภูตพราย เงากรงเล็บแหลมคมตะปบเข้าใส่เกราะหมอกสีทอง
เสียง “ฉั้วะ” แสบแก้วหูดังขึ้น!
กรงเล็บแหลมคมทั้งคู่ของเงาผีประหนึ่งดาบคมกริบวาดผ่านเกราะหมอก กรีดผ่าเกราะหมอกปราณจิตวิญญาณสีทองอ่อนชั้นแล้วชั้นเล่าจนเผยร่างของหลัวเทียนเฉิงที่ถูกไอหมอกสีเงินยวงหุ้มอยู่ด้านใน
เสียง “ปึง” ดังสนั่น หลัวเทียนเฉิงหลบไม่ทัน ถูกโจมตีปลิวออกไปอีกครั้ง ทิ้งหมอกเลือดไว้กลางอากาศเป็นสาย เห็นชัดว่าพ่นออกมาจากปากของเขา
หลัวเทียนเฉิงกลางอากาศสีหน้าเปลี่ยนในฉับพลัน ตอนที่หางตาเหลือบเห็นผีตัวนั้นพุ่งเข้ามาใส่ตนต่อก็รีบพลิกมือเรียกวัตถุจิตวิญญาณสีเขียวม่วงก้อนหนึ่งออกมาขว้างไปหลังร่างทันที
แสงรัศมีสีเขียวม่วงฉายวูบหนึ่ง วัตถุจิตวิญญาณสีเขียวม่วงชิ้นนี้ก็พลันกางออก ขวางอยู่หน้าร่างหลัวเทียนเฉิงในทันใด
เสียง “ปึง” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
เงาผีร้ายต่อยหนึ่งหมัดลงบนวัตถุจิตวิญญาณที่กางออกชิ้นนี้ชักพาให้อากาศรอบด้านสั่นสะท้านไปชั่ววูบ
ส่วนหลัวเทียนเฉิงอาศัยจังหวะนี้โฉบหนีออกจากขอบเขตการโจมตีของเงาผีร้ายอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งก็กวักเรียกวัตถุจิตวิญญาณสีเขียวม่วงที่ต่อกรกับเงาผีร้ายอยู่กลับมา
วัตถุชิ้นนี้เป็นอาวุธจิตวิญญาณรูปร่มที่ส่องแสงรัศมีสีเขียวม่วงทั้งคัน
ร่มเล็กสีเขียวม่วงคันนี้ยาวเพียงครึ่งฉื่อนิดๆ ด้ามร่มหลอมจากวัตถุดิบพิเศษที่ไม่ใช่ทองไม่ใช่หยกชนิดหนึ่ง ผ้าร่มก็ทำมาจากหนังของอสูรดุร้ายโบราณชนิดหนึ่ง บนผ้าร่มสลักภาพสัญลักษณ์อสูรโบราณดุร้ายตัวหนึ่งไว้
หลิ่วหมิงหรี่สองตาลง ลวดลายจิตวิญญาณละเอียดยิบดวงแล้วดวงเล่าบนร่มคันนี้ดูไปแล้วมีมากถึงสามสิบหกชั้นเห็นชัดว่าเป็นต้นแบบอาวุธเวทชิ้นหนึ่งเช่นกัน
พร้อมกับที่เคล็ดวิชาของหลัวเทียนเฉิงเปลี่ยนไป ปราณจิตวิญญาณสีเขียวม่วงสายหนึ่งก็เริ่มพุ่งพล่านไม่หยุด ปราณจิตวิญญาณถาโถม แสงรัศมีสีม่วงเขียวส่องสว่างระลอกแล้วระลอกเล่าในทันใด ร่มเล็กสีม่วงเขียวบินวนเป็นวงช้าๆ เงาอสูรร้ายบนร่มเล็กสีม่วงเขียวก็บินวนอยู่พักหนึ่งแล้วค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
ครู่ต่อมาเสียง “โฮก” ก็ดังขึ้นทีหนึ่ง เงาอสูรร้ายค่อยๆ กลายเป็นร่างจริงหลุดออกมาจากร่ม กลายเป็นวานรดุร้ายสีดำขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง
ร่างกายของวานรดุร้ายสีดำตัวใหญ่พอๆ กับผีร้าย ดวงตาแดงก่ำเช่นเดียวกัน ร่างกายผนึกรวมกันแน่นกว่าผีอยู่บ้าง ทว่ากลิ่นอายดุร้ายโหดเหี้ยมบนร่างอ่อนกว่าเงาผีร้ายไม่น้อย
ทันใดนั้นวานรยักษ์สีดำก็ยกกำปั้นสีดำสนิททุบหน้าอกแหงนหน้ากู่ร้องยาวแล้วพุ่งเข้าใส่เงาผีร้ายด้านหน้า
บุรุษผมม่วงเห็นร่างวานรดุร้ายสีดำปรากฎตัวขึ้นกะทันหันก็แค่นเสียงหยัน มือข้างหนึ่งเรียกเงาผีร้ายยักษ์ให้บินเร็วรี่โจมตีเข้าใส่วานรยักษ์สีดำทันที
เสียง “ปึง” ดังขึ้นสองหน อากาศไหวเป็นระลอก ร่างกายของวานรยักษ์โซเซวูบหนึ่งแต่ยังฝืนต้านการโจมตีของเงาผีไว้ได้
บุรุษผมม่วงแววตาทอประกายดุร้ายวูบหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ตบหน้าอก รอยประทับสีดำประหลาดดำสนิทดั่งหมึกดวงหนึ่งพุ่งออกมาจากปาก จมลงไปในร่างของเงาผีร้ายทันที
พร้อมกับที่ตราประทับประหลาดเข้ามาในร่าง พลังของเงาผีร้ายก็เพิ่มมากขึ้น บรรลุถึงระดับแก่นแท้ขั้นปลายอยู่เลือนราง มันแหงนหน้าขึ้นฟ้ากรีดร้องคำราม สองหมัดขยับเหวี่ยง เงาหมัดดำสนิทใหญ่ยักษ์ประหนึ่งภูเขาลูกย่อมๆ ข้างหนึ่งร่วงลงจากกลางอากาศทุบเข้าใส่วานรยักษ์สีดำในทันใด
วานรยักษ์สีดำคำรามอย่างดุร้าย สองหมัดไขว้กันเป็นกากบาท ยกแขนมหึมาต้านรับหมัดหนักหน่วงประหนึ่งภูเขาข้างนั้น
เสียง “ปึง” ดังขึ้นทีหนึ่ง วานรยักษ์สีดำถูกหนึ่งหมัดโจมตีปลิวในทันใด ส่วนเงาผีร้ายร้องโหยหวนลอยเข้ามาข้างหน้า ออกตัวทีหลังแต่กลับไล่ตามมาทันวานรยักษ์กลางท้องฟ้าก่อน กรงเล็บทอประกายวูบหนึ่งก็ฉีกอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ ในทันที
สีหน้าของหลัวเทียนเฉิงฉับพลันย่ำแย่ ภาพสัญลักษณ์วานรดุร้ายบนร่มเล็กสีม่วงเขียวเหนือศีรษะหม่นแสงลง
เห็นชัดว่าร่มคันนี้สูญเสียพลังจิตวิญญาณไปแล้ว ในเวลาสั้นๆ ไม่อาจใช้ได้อีก
หลังฉีกวานรยักษ์สีดำกระจุย เงาผีร้ายพลันกู่ร้องบ้าคลั่ง แล่นมาหาหลัวเทียนเฉิงอีกหน
หลัวเทียนเฉิงรีบร้อนเก็บร่มเล็กสีม่วงเขียวแล้วทะยานร่างพุ่งถอยหลัง ผลปรากฏว่าเงาผีร้ายนั่นเร็วจนน่าตะลึง ขยับไหววูบเดียวก็จวนเจียนเข้ามาเกือบถึงตรงหน้า กำปั้นสีดำสนิทที่มีหนามงอกอยู่พุ่งตรงมา
หลัวเทียนเฉิงเห็นว่าไม่อาจหลบได้แล้วจึงตวาดเสียงเข้ม สองหมัดเหวี่ยงออกมาในทันใด เงามังกรยักษ์สีเงินกลุ่มหนึ่งทะยานออกมารับการโจมตีของเงาหมัดสีดำยักษ์ที่ร่วงลงมา
เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้น!
พลังที่บรรจุอยู่ในเงาหมัดมหึมาสีดำลึกล้ำหยั่งไม่ถึงอย่างแท้จริง แทบจะโจมตีมังกรพยัคฆ์สีเงินทลายประหนึ่งโค่นไม่เฉาถอนไม้ผุ จากนั้นหมัดก็ร่วงลงมาโดยที่พลังไม่ลดทอนลงสักนิดโจมตีบนปราณแกร่งคุ้มร่างของหลัวเทียนเฉิงทันที
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกลำคอร้อนวูบหนึ่ง อ้าปากกระอักเลือดก้อนหนึ่งออกมา คนทั้งร่างปลิวออกไปประหนึ่งถุงกระสอบอีกครั้ง
ไม่ทันรอเขากระตุ้นร่างจิตวิญญาณตูเทียนด้วยความกรุ่นโกรธหรือตั้งหลักมั่นคงได้ ข้างกายก็มีคลื่นไหวสะเทือน บุรุษผมม่วงปรากฏตัวขึ้นประหนึ่งภูตผี
ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยประกายเย็นเยียบ สองแขนขยับวูบหนึ่ง มือก็งอนิ้วกลายเป็นกรงเล็บ ปราณน่าขนลุกสายแล้วสายเล่าแผ่ออกมา ตะปบเข้าใส่หน้าอกของหลัวเทียนเฉิงประหนึ่งสายฟ้าแลบ
หากหลัวเทียนเฉิงถูกกรงเล็บนี้ควักหัวใจออกมาขยี้แหลกจริง เกรงว่าต่อให้มีร่างจิตวิญญาณตูเทียนก็มีแต่ตายสถานเดียว
ถึงแม้เล่าลือกันว่าร่างจิตวิญญาณตูเทียนสามารถอยู่ยงคงกระพัน แต่มันจะมีความสามารถนั้นอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเจ้าของมันฝึกฝนไปถึงขอบขั้นสูงสุด หลัวเทียนเฉิงในยามนี้แม้พลังการฟื้นฟูกับความทนทานเหนือกว่าจินตนาการเมื่อเทียบกับระดับเดียวกัน แต่หากถูกบั่นศีรษะขยี้หัวใจก็มีจุดจบคือความตายเช่นเดียวกัน
หลัวเทียนเฉิงหน้าถอดสี เมื่อเห็นว่าร่างกายตนไม่อาจหลบพ้นกรงเล็บนี้ได้อย่างสิ้นเชิง ก็ได้แต่ขยับแขนอย่างฉุกละหุกในสถานการณ์วิกฤติ ตบโซ่น้อยสีเงินบนข้อมืออีกข้างจนแหลก
เสียง “ฟึบ” แผ่วเบาดังขึ้น!
กรงเล็บสีดำสนิทข้างหนึ่งตะปบเงาเลือนรางสีน้ำเงินสายหนึ่งแหลกอย่างไม่ต้องใช้แรง ร่างกายของหลัวเทียนเฉิงหลบพ้นกรงเล็บผีไปได้อย่างหวุดหวิด เขาถูกแสงสีเขียวอมฟ้าล้อมรอบ หายไปจากบนแท่นทองแดงสีเขียวทันที
หลิ่วหมิงมองดูฉากระทึกขวัญนี้แล้วถอนหายใจแผ่วเบาในใจ
เมื่อครู่หากไม่ใช่หลัวเทียนเฉิงอาศัยจังหวะที่ยังมีลมหายใจเฮือกหนึ่ง ขยี้โซ่โชคชะตาบนร่างขาดทันเวลา เกรงว่าคงจะถูกบุรุษผมม่วงบดขยี้สังหารอยู่ตรงนั้นจริงๆ แล้ว
“เหอะ ยังนับว่ารู้จักสถานการณ์!”
บุรุษผมม่วงมองเงาร่างที่หายไปของหลัวเทียนเฉิงแล้วแค่นเสียงหยัน เคล็ดวิชาที่สองมือเปลี่ยนไป เงาผีร้ายกู่ร้องหมุนตัวกลับ โฉบแวบหนึ่งก็จมลงไปบนแผ่นหลังของเขา
ลวดลายจิตวิญญาณสีเหลืองดำบนใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ ถอยกลับไป ฟื้นกลับมามีหน้าตาดังเดิมด้วย
แม้คนผู้นี้จมูกสิงห์ปากกว้าง เส้นผมสีม่วงสยายยุ่งเหยิงค่อนข้างไม่น่าดู แต่เทียบกับสภาพเมื่อครู่นี้ก็ดีขึ้นมาก
เวลานี้เองแท่นทองแดงสีเขียวใต้เท้าเขาก็ส่งเสียง “ครืน” ดังสนั่นทั้งสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
แท่นทองแดงสีเขียวที่หลิ่วหมิงกับบุรุษรถเงินอยู่ก็สั่นสะเทือนขึ้นมาเช่นเดียวกัน
ครู่ต่อมาท้องฟ้าเหนือแท่นทองแดงไม่รู้สูงเท่าไรฉับพลันก็มีแสงเรืองรองสีน้ำเงินสามสายพุ่งตรงลงมาอย่างรวดเร็วทั้งสามไม่ทันได้ตอบสนองก็ถูกแสงเรืองรองหอบขึ้นไป พุ่งเร็วรี่ไปยังสถานที่ห่างไกล
ตอนที่ 803 มิติสีเลือด
Ink Stone_Fantasy
เสียง “ปึง” ดังขึ้นทีหนึ่ง
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกว่าแสงรัศมีสีเขียวอมฟ้าเบื้องหน้ากะพริบวูบวาบไม่หยุด หลังมึนหัวตาลายพักหนึ่ง ครั้นลืมตาขึ้นเงยหน้ามองไปรอบด้าน ทันใดนั้นในสายตาก็เต็มไปด้วยสีเลือด เผยสีหน้าตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่
“นี่มันที่ไหน?”
เมื่อครู่เขาขยี้โซ่แห่งโชคชะตาแหลกในสถานการณ์วิกฤติ ผลกลับปรากฏว่าไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากแดนลึกลับแต่ร่วงลงมาในมิติสีเลือดแห่งนี้
มิติสีเลือดแห่งนี้คล้ายจะไม่ใหญ่นัก แต่รอบด้านหมอกโลหิตลอยวนเวียนขมุกขมัว ท้องฟ้าทั้งผืนถูกหมอกพร่ามัวสีเลือดชั้นหนึ่งหุ้มอยู่ประหนึ่งเปลือกไข่ ในอากาศทุกหนแห่งล้วนอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
ส่วนบนพื้นดินที่เขายืนอยู่ก็เป็นดินไหม้เกรียม ผืนดินสีแดงคล้ำประหนึ่งเคยถูกเลือดนับไม่ถ้วนอาบย้อม ไม่ไกลออกไปมีวัตถุนูนขึ้นมาประหนึ่งยอดเขาตั้งตระหง่านลูกแล้วลูกเล่าเห็นได้อยู่เลือนราง พวกมันหุ้มด้วยสีเลือดชั้นแล้วชั้นเล่าเช่นกัน แม่น้ำสายหนึ่งที่อ้อมผ่านภูเขาก็มีน้ำโลหิตแดงฉานไหลริน
มิติสีเลือดแห่งนี้เป็นโลกที่ย้อมด้วยเลือดทั้งหมด!
ไม่ไกลออกไปจากเขา มีคนสามคนยืนอยู่ที่นั่น
หนึ่งในนั้นคือสตรีชุดเขียวผู้หนึ่ง นางก็คือสตรีสำนักเฮ่าหรานที่แพ้ให้แก่หลิ่วหมิงบนแท่นทองแดงก่อนหน้านี้แล้วถูกเคลื่อนย้ายมาก่อนหน้าเขาก้าวหนึ่งนั่นเอง
เวลานี้นางยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าฉงน หลังพบว่าหลัวเทียนเฉิงปรากฏตัวก็อดไม่ได้มองมาแวบหนึ่ง
หลัวเทียนเฉิงไม่ได้อยากสนใจสตรีนางนี้ เขาหันศีรษะมองไปอีกด้านหนึ่งทันที
อีกสองคนที่เหลือกลับเป็นบุรุษหน้าเหยี่ยวแห่งหุบเขาปีศาจสวรรค์กับชายหนุ่มอัปลักษณ์แห่งนิกายปีศาจลี้ลับซึ่งตกรอบที่ลานหินเขียว ทั้งสองคนมีบาดแผลทั่วร่าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้ายประจันหน้ากันอยู่
ชุดสีขาวของบุรุษหน้าเหยี่ยวเลือดย้อมไปทั่วตัว จากหัวไหล่ซ้ายไปถึงแผ่นหลังด้านซ้ายปรากฏรอยดาบลึกเห็นกระดูกเส้นหนึ่ง บนบาดแผลมีปราณสีดำชั้นหนึ่งแผ่ออกมา บาดแผลกำลังปิดสนิทอย่างเชื่องช้า ส่วนเล็บแหลมคมที่มือขวาของเขามีเลือดปนกับเนื้อแหลกเหลวหลายก้อนติดอยู่
ชายหนุ่มอัปลักษณ์แห่งสำนักปีศาจลี้ลับก็มีรอยเลือดประปรายเช่นเดียวกัน ชุดสีดำที่หุ้มร่างถูกกระชากเปิดเป็นรอยขาดหลายเส้น เมื่อมองผ่านรอยขาดที่แหวกเปิดก็เห็นบาดแผลเลือดเนื้อกระจุยที่ถูกกรงเล็บแหลมคมกรีดฉีกหลายเส้น ส่วนดาบแหลมสีดำเล่มนั้นในมือเขาก็มีเลือดหลายหยดร่วงลงเบื้องล่างดังติ๋งๆ
ทั้งสองคนคล้ายเพิ่งต่อสู้ศึกใหญ่กันมายกหนึ่งก่อนหน้านี้ไม่นาน แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงโผล่มาที่นี่ทั้งคู่
เวลานี้เองอากาศสีเลือดสี่ด้านก็แทบจะไหวกระเพื่อมพร้อมกัน แต่ละทิศปรากฏลำแสงเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่มา
หลัวเทียนเฉิงกับคนอื่นตกใจไปวูบหนึ่งแล้วทยอยเรียกอาวุธจิตวิญญาณออกมาตั้งท่าระวัง
“สหายทั้งหลาย ช้าก่อน ข้าคือเผิงเยวี่ยแห่งนิกายเทียนกง!” เสียงหนึ่งฉับพลันดังออกมาจากลำแสงสีเหลืองเส้นหนึ่งในนั้น
หลัวเทียนเฉิง สตรีชุดเขียวและคนอื่นได้ยินก็ล้วนมีสีหน้าประหลาดใจ
หลัวเทียนเฉิงปล่อยจิตสัมผัสกวาดออกไปทันที หลังแน่ใจว่าเป็นเผิงเยวี่ยไม่ผิดจึงกวาดต่อไปยังลำแสงอีกสามสายที่เหลือต่อ
หลังลำแสงอีกสามสายดับลงร่อนลงใกล้ๆ กับเผิงเยวี่ย พี่น้องโอวหยางกับเซวียผานจากหุบเขาปีศาจสวรรค์ก็ก้าวออกมาจากด้านใน
หลัวเทียนเฉิงเห็นสถานการณ์นี้แม้ทั้งร่างเจ็บปวดจากบาดแผลก็ตาโตอ้าปากค้างอยู่บ้าง
ส่วนสตรีชุดเขียว บุรุษหน้าเหยี่ยวและชายหนุ่มอัปลักษณ์สามคนที่อยู่ไม่ไกลเห็นเข้าก็มองหน้ากันเช่นกัน
ต้องรู้ว่าเผิงเยวี่ยกับพี่น้องโอวหยางรวมถึงเซวียผานตอนนั้นไม่ได้เข้ามาที่ลานหินเขียว บ่งบอกว่าพวกเขาไม่ตกรอบจากด่านแรกของ ‘ดาราจันทราตะวัน’ ก็จากเขาวงกตด่านที่สอง
ส่วนบุรุษหน้าเหยี่ยวรวมถึงชายหนุ่มอัปลักษณ์สองคนตกรอบในด่านที่สาม
แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่สมควรปรากฏตัวขึ้นที่นี่พร้อมกัน
ในเวลานี้เองเผิงเยวี่ยก้าวออกมาก่อน หลังประสานมือให้พวกเขาก็เอ่ยเสียงแผ่วเบาทันที
“คิดว่าสหายทั้งหลายคงค้นพบความประหลาดของที่แห่งนี้แล้ว พูดไปแล้วก็น่าละอาย พวกเราเสียสิทธิ์เข้าร่วมแดนแห่งมรดกก่อนทุกท่านก้าวหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าหลังพวกเราผ่านค่ายกลของแดนแห่งมรดกเพื่อออกไปกลับมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ พวกเราปรึกษากันพักหนึ่งจึงตัดสินใจว่าจะแยกย้ายกันหาทางออก ผลปรากฏว่าพวกเราเหาะไปจนถึงปลายสุดกลับพบกำแพงเนื้อสีแดงที่ขยับยุกยิกไม่หยุดผืนใหญ่ ไม่เพียงน้ำไฟไม่อาจลอดผ่าน อาวุธจิตวิญญาณหรือวิชาใดๆ ก็ไม่อาจทำลายได้สักนิด คิดว่าทุกท่านที่เหลือก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันสินะ”
เผิงเยวี่ยพูดถึงตรงนี้ก็มองไปทางเซวียผานรวมถึงพี่น้องโอวหยางที่อยู่ด้านหลังร่าง
“สิ่งที่พวกเราสองพี่น้องพบเป็นเช่นเดียวกับสหายเผิง ที่แห่งนี้ไม่ใหญ่แต่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แปลกประหลาดอย่างที่สุดจริงๆ” หลังโอวหยางเชี่ยนส่งกระแสจิตกับเด็กสาวชุดเขียวครู่หนึ่งแล้วเห็นสายตาของเผิงเยวี่ยที่มองมาหาตน คิ้วงามก็ขมวดเล็กน้อยขณะที่พยักหน้าเอ่ยบอก
เสียงพูดเพิ่งจบลง โอวหยางเชี่ยนก็หันหน้ามองไปทางเซวียผาน
เซวียผานพยักหน้า เห็นชัดว่าสิ่งที่เขาพบไม่ต่างอันใดกับทั้งสามคนที่เหลือ แต่หลังครุ่นคิดนิดหนึ่งก็เอ่ยปากอีกหน
“ดูท่าพวกเราคงได้แต่บีบโซ่โชคชะตาให้แหลก แม้ทำเช่นนี้โชคชะตาที่ได้มาก่อนหน้านี้จะเสียเปล่า ทว่านี่ก็เป็นหนทางที่เลือกไม่ได้ อย่างไรก็ดีกว่าถูกขังอยู่ที่นี่”
“ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่ต้องลองแล้ว” เวลานี้เองหลัวเทียนเฉิงกลับเปิดปากเอ่ยขึ้น
“สหายหลัวหมายความว่าอย่างไร” เผิงเยวี่ยได้ยินก็อดไม่ได้เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“พวกเจ้าดูเอาเองเถิด” หลัวเทียนเฉิงมองสตรีชุดเขียวที่อยู่ไม่ไกลทีหนึ่งแล้วถอนหายใจแผ่วเบา ค่อยๆ ยกข้อมือข้างขวาของตนเองขึ้นมาช้าๆ จนเห็นว่าบนนั้นมีโซ่โชคชะตาเส้นน้อยเส้นหนึ่งทอประกายแสงสีเทาจางๆ อยู่
“เมื่อครู่ข้าตกอยู่ในช่วงความเป็นความตายจึงบีบโซ่โชคชะตาแหลกด้วยตนเอง แต่คิดไม่ถึงว่าไม่เพียงไม่ถูกส่งออกจากแดนลึกลับประตูสวรรค์กลับมายังที่แห่งนี้ แล้วโซ่แห่งโชคชะตาก็ก่อตัวขึ้นมาใหม่อีก เพียงแค่โชคชะตาน้อยลงไปครึ่งหนึ่งจากตอนแรกเท่านั้น” หลัวเทียนเฉิงมองทุกคนด้วยแววตาไม่เข้าใจเล็กน้อยแล้วเอ่ยปากบอกช้าๆ
ทุกคนได้ยิน ในที่สุดสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
“ข้าคิดว่าแดนแห่งมรดกนี่เหมือนจะมีบางสิ่งผิดปกติ พวกเราอาจถูกขังไว้แล้ว” เซวียผานยิ้มขมขื่นทีหนึ่งพลางเอ่ยบอก
……
ในสถานที่ลึกที่สุดในอาณาจักรลึกลับคือแท่นเรียบขนาดยักษ์มืดสลัวไม่ทราบใหญ่เท่าไรแท่นหนึ่ง ด้านบนคือท้องนภาดำทะมึน ขอบเวทีเชื่อมกลืนเป็นสีเดียวกันกับท้องฟ้า คล้ายมองไม่เห็นปลายสุดอย่างสิ้นเชิง
เวลานี้เองเสียง “ฟึบๆ” หลายหนก็ดังขึ้น แสงรัศมีสีน้ำเงินสามสายแหวกอากาศ ทิ้งรอยยาวสีน้ำเงินหลายสิบจั้งสามเส้นไว้กลางอากาศ ประหนึ่งดาวตกสามดวงพุ่งอย่างรวดเร็วไปยังใจกลางแท่นเรียบ
ชายหนุ่มชุดน้ำเงินคนหนึ่งใจกลางแสงสีน้ำเงินล้อมอยู่ก็คือหลิ่วหมิง ส่วนอีกสองคนย่อมไม่ต้องพูดมาก พวกเขาก็คือชายหนุ่มผมม่วงแห่งหอเป๋ยโต่วที่ล้มหลัวเทียนเฉิงผ่านด่านก่อนหน้านี้กับชายหนุ่มรถเงินแห่งนิกายเทียนกงผู้เข้ารอบมาโดยไม่ต้องสู้
เสียง “ปังๆๆ” สามครั้งดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน
แสงสีน้ำเงินสามสายร่วงลงบนแท่นเรียบอย่างรวดเร็ว หลังระเบิดก็เผยร่างของทั้งสามคนออกมา
หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงร่างกายสั่นสะเทือนเล็กน้อย เมื่อแสงสีน้ำเงินเบื้องหน้ากระจายออกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นในมิติดำขมุกขมัวแห่งหนึ่ง
เขาเพิ่งยืนมั่นคง ทอดสายตามองไปก็เห็นชายหนุ่มผมม่วงกับชายหนุ่มรถเงินกำลังแยกย้ายกันยืนอยู่สองด้านของตน ระยะห่างห่างกันราวเจ็ดแปดจั้ง
ดูจากสภาพไม่กี่ด่านก่อนหน้านี้ ในใจเขาสันนิษฐานว่าต่อไปอาจเป็นการทดสอบด่านสุดท้ายแล้ว ตอนนี้เขายืนอยู่ตรงกลางระหว่างสองคน ตำแหน่งไม่ดีกับเขานัก
เขาคิดรวดเร็ว ร่างขยับไหววูบหนึ่งอย่างเงียบเชียบ ถอยหลังไปหลายก้าวทันที ทำให้ทั้งสามคนยืนคุมเชิงกัน
หลังชายหนุ่มผมม่วงมองเขาอย่างดูแคลนทีหนึ่งก็สนใจสำรวจสภาพรอบด้านต่อ
ส่วนชายหนุ่มรถเงินยิ้มอย่างเป็นมิตรให้หลิ่วหมิง หลังจากนั้นจึงชะเง้อมองรอบด้าน มือข้างหนึ่งก็ล้วงลูกแก้วกลมสีเหลืองขุ่นขนาดเท่าข้อนิ้วห้าหกลูกออกมาจากข้างเอวโยนลงบนพื้น และยิงเคล็ดวิชาหลายสายใส่มันอย่างต่อเนื่อง
เสียงแครกดังขึ้นทีหนึ่งพร้อมกับที่แสงสีเหลืองฉายวาบ ลูกแก้วกลมเหล่านี้ฉับพลันกลายเป็นหุ่นหนอนเกราะทองขนาดหลายชุ่นกว่าตัวแล้วตัวเล่า หลังพวกมันส่งเสียงแสกสากไม่กี่ทีก็บินต่ำๆ รวดเร็วไปรอบด้าน
หลิ่วหมิงเห็นก็ปล่อยจิตสัมผัสออกมาสำรวจสภาพรอบด้านบ้าง
ที่แห่งนี้คือมิติโล่งกว้างแห่งหนึ่ง ทอดสายตามองออกไปนอกแท่นเรียบใต้เท้า ทั้งสี่ด้านคล้ายไม่มีขอบปลายสักนิด แม้จิตสัมผัสของเขาจะแข็งแกร่งจนครอบคลุมอาณาเขตหลายลี้ได้ แต่ไม่ว่าค้นหาอย่างไรก็ไม่พบสิ่งใดเป็นพิเศษ
เมื่อเขารั้งจิตสัมผัสกลับมา สายตาก็เหล่มองบุรุษผมม่วงทีหนึ่ง คนผู้นี้คล้ายจะไม่พบสิ่งใดเช่นกัน บนหน้าฉายสีหน้ารำคาญเล็กน้อย
ชายหนุ่มรถเงินอีกด้านหนึ่งเองก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา หุ่นหนอนเกราะที่ปล่อยออกไปคล้ายไม่ได้อันใดมาสักนิด
“หึหึ หรือว่าด่านสุดท้ายของแดนมรดกแห่งนี้คือให้พวกเราสามคนต่อสู้กันในแดนลึกลับนี่จนกระทั่งท้ายที่สุดเหลือแค่คนเดียว” บุรุษผมม่วงฉับพลันหมุนตัวมองมาหาพวกหลิ่วหมิง ในดวงตาปรากฏไอสังหารเล็กน้อยเอ่ยขึ้น
“สหายอย่าได้ใจร้อนเกินไป รอสักประเดี๋ยวจะกลัวอันใด คิดว่าเจ้าเพียงคนเดียวบดขยี้ข้ากับสหายหลิ่วได้ง่ายๆ จริงหรือ” ชายหนุ่มรถเงินผู้สงบปากสงบคำมาตลอดได้ฟังสายตาพลันเย็นเยียบ ไม่เห็นเขาเคลื่อนไหวอย่างใด ทว่าบนร่างกลับมีไอหมอกสีทองระลอกหนึ่งม้วนออกมา หลังวนเวียนรอบหนึ่งก็กลายเป็นชุดเกราะที่ส่องแสงสีทองเรืองรองชิ้นหนึ่งคล้ายกับชุดนั้นที่เผิงเยวี่ยสวมก่อนหน้านี้อยู่เล็กน้อย
หลิ่วหมิงหรี่สองตาลงเช่นกัน แสงสีเหลืองฉายออกมาจากในแขนเสื้อ โล่เล็กสีน้ำตาลทองแผ่นหนึ่งฉับพลันปรากฏขึ้นในมือ
บุรุษผมม่วงมองชายหนุ่มรถเงินจากนั้นมองหลิ่วหมิงที่ไม่พูดสักคำ แววตาเขาดุร้ายอย่างมากคล้ายจะลงมือกับทั้งสองคนพร้อมกันจริงๆ
ขณะที่บรรยากาศระหว่างทั้งสามคนตึงเครียดอยู่นั้น กลางอากาศที่เดิมเงียบสงบฉับพลันกลับมีเสียง “ชี่” ดังสนั่นสะเทือนแก้วหูแทบดับขึ้นมา
ทั้งสามคนต่างเงยศีรษะมองไปพร้อมกัน
พวกเขาเห็นท้องนภาที่เดิมทีสีดำทะมึนฉับพลันถูกแสงสีทองกลุ่มหนึ่งสาดส่อง
แสงสีทองประหนึ่งดาวตกดวงหนึ่งบินรวดเร็วผ่านท้องฟ้าทิ้งรอยลากสีทองจางยาวเฟื้อยเส้นหนึ่งไว้ประหนึ่งฉีกท้องนภาสีดำสนิทเป็นรอยแผลเส้นหนึ่ง
ครู่ต่อมาแสงสีทองก็ร่วงตรงลงมาฟันหนักหน่วงกลางแท่นเรียบเบื้องหน้าทั้งสามคนดัง “เปรี้ยง”
แสงแสบตาระเบิดออกมาในพริบตาประหนึ่งดวงตะวันร้อนแรงดวงหนึ่งลอยขึ้นมาทำให้คนไม่กล้ามองตรงๆ แม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงใช้แขนขึ้นบังแสงสีทองส่วนหนึ่งไว้โดยไม่รู้ตัว สองตาหรี่ลงเพ่งมองไปด้านหน้า เห็นเพียงตรงกลางแท่นเรียบม่านแสงสีทองจางรูปกระบอกกลมวงหนึ่งส่องสว่างขยายออกไปรอบด้านพร้อมกับที่สั่นสะเทือนน้อยๆ
ทั้งสามคนตกตะลึงกระโดดถอยหลังพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเขายืนห่างไปหลายจั้ง มองฉากน่าตะลึงตรงหน้านี้อย่างสงสัย
ม่านแสงสีทองขยายจนกระทั่งเส้นผ่านศูนย์กลางมีขนาดร้อยกว่าจั้งถึงหยุด เสียงฟู่ดังขึ้นทีหนึ่งแสงรัศมีสีทองจุดแล้วจุดเล่ากระเพื่อมไหวต่อเนื่อง พร้อมกับเสียงดังครืน ตำหนักใหญ่ที่ส่องแสงสีทองเรืองรองหลังหนึ่งก็ผุดขึ้นทีละนิดๆ ออกมาจากใต้ดิน แสงสีทองสว่างจ้าจับตา ส่องมิติสีดำจนสว่างไสวอย่างยิ่งประหนึ่งยามกลางวัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น