อยากกินไหมล่ะ 800-802
บทที่ 800 ฉันควรจะกินสักกี่ชามดีนะ?
หยวนโจวพลิกน้ำนมข้าวนึ่งชิ้นอื่นๆต่อไป ส่วนคนไม่สามารถช่วยอะไรได้จึงทำได้เพียงมองไปที่ต้าไห่
“จริงๆแล้วยังมีอีกหลายชิ้นที่ยังไม่ได้พลิกหรือเปล่านะ?” ทุกคนต่างเกิดความสงสัย
ลูกค้าที่มาดื่มเหล้าทางด้านข้างต่างมองดูทีมงานถ่ายทำพลางยิ้มเยาะราวกับว่าสิ่งนี้หาใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด
แม้แต่ฟางเหิงที่เคลือบแคลงความสามารถในการทำบะหมี่เย็นนึ่งสูตรต้นตำหรับของหยวนโจวก็ดูจะมีสีหน้าแบบเดียวกัน เท่าที่ฟางเหิงเข้าใจ ถึงแม้ว่าหยวนโจวจะไม่สามารถทำบะหมี่เย็นนึ่งสูตรต้นตำหรับได้ แต่ฝีมือการทำอาหารของเขาก็ยังจัดอยู่ในระดับสุดยอด สาเหตุเดียวที่น่าจะทำให้หยวนโจวทำไม่สำเร็จอาจสืบเนื่องมาจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์มากกว่า
ถึงอย่างไรพวกเขาต่างก็เคยเห็นหยวนโจวทำสิ่งที่น่าประทับใจกว่านี้มาแล้ว
“พวกมันล้วนถูกพลิกไปแล้วจริงๆเสียด้วย” ต้าไห่วิเคราะห์หน้าจออย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนที่จะพยักหน้า
อันที่จริงต้าไห่เองก็ประหลาดใจเช่นกัน เขาถึงกับเล่นเทปซ้ำอยู่หลายต่อหลายครั้งและสังเกตได้แค่ว่าหยวนโจวพลิกหลายๆชิ้นจริงๆหลังจากดูภาพเคลื่อนไหวช้า
ไม่เพียงเขาจะดูภาพเคลื่อนไหวช้าเท่านั้นแต่ยังขยายหน้าจอเพื่อสังเกตว่ามีความแตกต่างเล็กๆน้อยๆจริงๆหรือไม่หลังจากพลิกหลายๆชิ้น
หลายๆชิ้นที่พลิกแล้วมีลักษณะที่แบนลงส่วนหลายๆชิ้นที่ยังไม่ถูกพลิกก็มีลักษณะค่อนข้างโค้ง
หยวนโจวไม่มีซึ้งไม้ไผ่รูปสี่เหลี่ยมอยู่มากสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นหยวนโจวจึงใช้เวลาเพียงไม่นานนักก็พลิกได้หมด ตอนนี้เขาพักมันเอาไว้ข้างๆเพื่อรอให้เย็นตัวลง ต่อมาเขาก็เริ่มอุ่นหม้อให้ร้อนเพื่อให้สามารถเริ่มทำน้ำมันพริกได้
ก่อนที่จะทำเช่นนั้น หยวนโจวก็หยิบเมล็ดงาขึ้นมาจากชามใบเล็กจ้อย
เขาพยายามเลือกเมล็ดงาที่มีขนาดเล็กกว่าเพื่อให้แน่ใจได้ว่าอาหารที่ทำเสร็จจะให้ความรู้สึกที่ดีเมื่อยามเคี้ยว
ต่อมาเขาก็ใช้หม้ออีกใบแล้วเริ่มคั่วเมล็ดงา ส่วนเมล็ดงาสำหรับน้ำมันพริกต้องผ่านการปรุงมาแล้ว แบบนั้นน้ำมันพริกก็จะมีรสชาติดีขึ้นไปอีก
เมื่อเมล็ดงาเปลี่ยนเป็นสีออกเหลือง หยวนโจวก็เทมันออกจากหม้อแล้วพักไว้ข้างๆ
ในตอนนี้พริกที่เขาคั่วเอาไว้ก่อนหน้านี้ต่างก็เย็นลงแล้ว เขาจึงรีบบดให้เป็นชิ้นๆทันทีก่อนที่จะนำมาพักเอาไว้
อันที่จริงแล้วยังมีวิธีการเตรียมน้ำมันพริกอีกหลายแบบ หยวนโจวเลือกใช้วิธีการที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด แน่นอนว่าเขาย่อมต้องการหม้อไฟและน้ำมันเย็นเพื่อทำสิ่งนี้
หลังจากอุ่นหม้อให้ร้อนแล้ว หยวนโจวก็เทน้ำมันลงไปเพื่อให้น้ำมันร้อนขึ้นมา คราวนี้เขาใช้น้ำมันข้าวโพดที่รสอ่อนและไม่มีรสชาติอื่นมาปะปน สิ่งนี้จะช่วยทำให้รสชาติของพริกมีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
“เขากำลังทำน้ำมันพริกนี่เอง เจ้าสิ่งนี้จะต้องรสชาติอร่อยแน่ๆเลย กลิ่นหอมออกเสียขนาดนี้” เฉินเว่ยพยักหน้า
“จริงสินะ สำหรับอาหารจานอื่นๆแล้ว น้ำมันพริกน่าจะเป็นจิตวิญญาณของอาหารเลยล่ะ ไม่ว่าอาหารจะรสชาติดีหรือแย่ก็ขึ้นอยู่กับน้ำมันทั้งนั้นแหละ” ฟางเหิงพยักหน้า
“แหงอยู่แล้ว นายลืมเนื้อสไลซ์บางเฉียบไปแล้วหรือไง?” เจียงฉางซี่ทอดสายตาไปทางฟางเหิงที่อยู่ด้านข้าง
“จริงสิ แต่นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาเห็นเถ้าแก่หยวนทำน้ำมันพริก งั้นก็คงมีอะไรอีกเยอะเลยเชียวล่ะ” ฟางเหิงไม่โกรธแถมยังมองหยวนโจวด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ไม่ใช่ว่านายเตรียมน้ำมันพริกจากการผสมน้ำมันร้อนกับพริกป่นหรอกนะ?” นั่นคือวิธีเตรียมพริกป่นที่เจียงฉางซี่นึกขึ้นได้
“นั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้เธอทำอาหารไม่ได้เรื่องยังไงเล่า” เฉินเว่ยสรุป
“หุบปากไปซะ” เจียงฉางซี่กล่าวโดยไม่ลังเล
ในขณะที่พวกเขาทุ่มเถียงกันอยู่นั้น หยวนโจวก็จัดการกับพริกเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาโรยเมล็ดงาเอาไว้บนพริก ตอนนี้เขาแค่เติมน้ำมันลงไปก็พอแล้ว
“เขาใส่หอมกับวัตถุดิบอื่นๆลงในน้ำมันจริงๆหรือนี่?” เจียงฉางซี่กล่าวเมื่อเห็นหยวนโจวตักส่วนผสมต่างๆออกจากน้ำมัน ท่ามกลางวัตถุดิบมากมายหลายหลาก หอมเป็นวัตถุดิบเพียงอย่างเดียวที่เธอรู้จัก
ใช่แล้วล่ะ ในน้ำมันที่หยวนโจวเหลือเอาไว้มีการเติมวัตถุดิบอื่นลงไปด้วย
แปะ! หยวนโจวปิดเตาแล้วล้างมือก่อนที่จะเริ่มหั่นน้ำนมข้าวนึ่งเป็นชิ้นๆ
หยวนโจวใช้มีดกระเบื้องในการหั่นน้ำนมข้าวนึ่งเป็นชิ้นๆเนื่องจากโลหะอาจจะสร้างความเสียหายแก่น้ำนมข้าวนึ่งอันอ่อนนุ่มได้ทั้งยังส่งผลต่อรสชาติอีกด้วย
มีดกระเบื้องทั้งคมกริบและปราศจากกลิ่นอื่นใด
เฟี้ยว! เฟี้ยว! เฟี้ยว! หยวนโจวยกซึ้งไม้ไผ่รูปสี่เหลี่ยมขึ้นแล้วหยิบน้ำนมข้าวนึ่งห้าชิ้นมาวางบนเขียง
เขาขยับอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทันใดนั้นน้ำนมข้าวนึ่งทั้งห้าชิ้นก็เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบอยู่บนเขียง ระหว่างขั้นตอนทั้งหมด มือของหยวนโจวหาได้สัมผัสพวกมันแต่อย่างใด
“เล็งกล้องให้ดีๆล่ะ” ต้าไห่ย้ำเตือนชิวชิว
ใช่แล้วล่ะ ตอนที่หยวนโจวกำลังใช้มีดอยู่นั้น ผู้กำกับกำลังเคร่งเครียดมากเลยทีเดียว เขารู้มานานแล้วว่าหยวนโจวมีความเชี่ยวชาญในการใช้มีด
ต้าไห่พูดถูก หยวนโจวเพียงแค่หยิบมีดอย่างเรื่อยเฉื่อยแล้วสะบัดไปมาไม่กี่ครั้ง เส้นบะหมี่เย็นอันแสนเรียวบางที่มีความยาวเท่าๆกันก็ลงไปกองอยู่บนเขียงแล้ว
เนื่องจากบะหมี่ทำขึ้นมาจากน้ำนมข้าว พวกมันจึงมีลักษณะคล้ายบะหมี่เย็นที่ทั้งขาวและโปร่งแสงอยู่หน่อยๆ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือบะหมี่เหล่านี้ทั้งเรียวและบางต่างไปจากบะหมี่เย็นที่น่าจะมีขนาดกว้างกว่า ยิ่งไปกว่านั้นหน้าตาของบะหมี่เหล่านี้ก็ช่างห่างไกลจากความโปร่งแสงและเป็นประกายอยู่มากเมื่อเทียบกับสีขาวน้ำนมของข้าวที่มีอยู่ในขณะเดียวกัน
“ดูเหมือนเถ้าแก่หยวนกำลังวางแผนที่จะกินแบบเย็นแทนแบบร้อนนะ” ฟางเหิงรู้ได้ในทันทีว่าเถ้าแก่หยวนเตรียมที่จะทำแบบเย็นเอาตอนที่เห็นรูปร่างของบะหมี่แล้ว
“จ้า จ้า นายมันรู้ไปหมดเสียทุกเรื่องแหละ” เจียงฉางซี่กล่าว
“ดูยังไงก็ไม่เหมือนว่าเถ้าแก่หยวนจะยกบะหมี่ให้นายเลยนะ นายจะรู้ว่าบะหมี่ของเถ้าแก่หยวนเป็นสูตรต้นตำหรับหรือเปล่าได้ยังไงล่ะ? ในความคิดเห็นของฉัน ยังไงบะหมี่ก็เป็นสูตรต้นตำหรับแน่ๆล่ะ” เฉินเว่ยถาม
“ฉันมีวิธีก็แล้วกันน่า” ฟางเหิงยิ้มโดยไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาทั้งนั้น
“นายมีแผนอะไรงั้นเหรอ? อูย… กลิ่นหอมชะมัดเลย!” เฉินเว่ยกำลังถามอยู่เมื่อตอนที่ถูกกลิ่นเผ็ดร้อนเข้มข้นเบี่ยงเบนความสนใจไปจนสิ้น
นี่คือกลิ่นที่เผ็ดร้อนและมีร่องรอยความเปรี้ยวนิดหน่อยอยู่ภายใน เพียงแค่ได้กลิ่นก็ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารขึ้นมาอย่างมากมายแล้ว
“ใช่ กลิ่นหอมจังเลย ตอนนี้ฉันชักจะรู้สึกหิวขึ้นมาเสียแล้วสิ” เจียงฉางซี่พยักหน้า
“ลืมเรื่องอื่นไปก่อนเถอะ กลิ่นพริกนี่ช่างยอดเยี่ยมไปเลย ฉันสงสัยจังว่าพอผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วรสชาติจะออกมาเป็นยังไงกันนะ” ฟางเหิงถึงกับกลืนน้ำลาย
ขณะที่พวกเขากำลังสงสัยอยู่นั้น หยวนโจวก็เทน้ำมันลงบนพริกไปแล้ว เขาคนไปด้วยเทไปด้วยจึงทำให้กลิ่นหอมกระจายไปทั่วร้าน
เนื่องจากนี่ไม่อยู่ในเวลาเปิดร้าน กลิ่นหอมจึงตลบอบอวลอยู่ในร้านพาให้ทุกคนต่างรู้สึกหิวขึ้นมา
หลังจากหยวนโจวคนน้ำมันเสร็จแล้ว เขาก็เติมน้ำส้มสายชูลงไป กลิ่นที่ได้ส่งผลทำให้ทุกผู้คนรู้สึกหิวยิ่งขึ้นไปอีก
กลิ่นเผ็ดร้อนที่ผสมเข้ากับความเปรี้ยวนิดๆหน่อยๆช่างเป็นการผสมผสานอันลงตัวที่กระตุ้นให้ทุกคนเกิดความอยากอาหารจนต้องกลืนน้ำลายกันเลยทีเดียว
“กลิ่นหอมจังเลย” เฉินเว่ยกล่าว
ลูกค้าที่มาดื่มเหล้าต่างรู้ดีว่าพวกเขาคงไม่มีโอกาสได้กินหรอก นอกจากฟางเหิงที่เตรียมใจเอาไว้แล้ว คนที่เหลือต่างรู้สึกได้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่มีต่ออาหารขณะที่พวกเขามองหยวนโจวทำอาหาร
แม้แต่สมาชิกในทีมงานถ่ายทำก็ยังแทบเป็นบ้าไปเพราะกลิ่นอยู่แล้วเชียว แน่นอนว่าลึกๆแล้วพวกเขาต่างก็มีความสุขมากๆ
“อา ถ้านี่เป็นอาหารมื้อต่อไปของเรา ฉันคงมีความสุขมากเลยล่ะ เพียงแค่กลิ่นอย่างเดียวก็สุดยอดมากแล้วนะ” อาเขิ่นพึมพำพลางกลืนน้ำลาย
“ฝีมือการทำอาหารของเถ้าแก่หยวนยอดเยี่ยมเสียจริง ผมควบคุมน้ำลายตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้วล่ะ” ต้าไห่รำพึงออกมา
“จากที่ดูๆแล้วนะ อาหารใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ ฉันควรจะกินสักกี่ชามดีนะ?” เซียวหลงเหรินให้ความสนใจกับบะหมี่อยู่ตลอดเวลา
“อืม ฉันคิดว่าจะกินสักห้าชามล่ะ ยังไงเสียก็เป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าเกี๊ยวตั้งเยอะ” เซียวหลงเหรินตัดสินใจ
“ผสมเสร็จแล้วล่ะ ฉันคิดว่าอีกไม่นานอาหารก็คงจะพร้อมแล้วแหละ ฉันหิวมากเลย” แม้แต่ชิวชิวก็ควบคุมตัวเองไม่ได้เสียแล้ว
ควรรู้ว่าทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ชิวชิวเป็นผู้ที่อยู้ใกล้กับหยวนโจวมากที่สุด ถึงอย่างไรเขาก็เข้าไปใกล้ๆหยวนโจวเพื่อแสดงความโดดเด่นของเขาในวิดีโอ และด้วยเหตุนั้นเขาจึงได้กลิ่นมากกว่าคนอื่นๆ
เหตุผลเดียวที่ชิวชิวยังสามารถควบคุมตัวเองได้ต้องขอบคุณความเป็นมืออาชีพของเขา มิฉะนั้นเขาคงได้เริ่มหยิบฉวยอาหารไปนานแล้ว
ดูเหมือนว่าบะหมี่จะกระตุ้นความอยากอาหารได้มากจริงๆ
บทที่ 801 ทำอาหารเยอะเกินไป
ดูเหมือนบะหมี่เย็นนึ่งจะกระตุ้นความอยากอาหารได้มากทีเดียว
เนื่องจากน้ำนมข้าวนึ่งมีความบางมากโดยมีความหนาน้อยกว่า 2 มิลลิเมตรเท่านั้น หลังจากหั่นน้ำนมข้าวนึ่งออกเป็นห้าชิ้นแล้วก็จะได้บะหมี่ที่เพียงพอถึงหนึ่งชามเต็มๆ
บะหมี่เย็นสีขาวน้ำนมเรียงตัวอยู่ในชามสีน้ำเงินแกมเขียวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เนื่องจากสีสันของชาม บะหมี่จึงดูมันวาวมากยิ่งขึ้น น้ำมันพริกที่เพิ่งจะทำเสร็จหมาดๆถูกราดลงบนบะหมี่ซึ่งตอนนี้ปลดปล่อยกระไอออกมาเป็นชั้นๆเล็กน้อย เมื่อวิเคราะห์บะหมี่ดูแล้วก็จะเห็นว่าแต่ละเส้นล้วนชุ่มไปด้วยน้ำมันพริกสีแดงวาววับพร้อมโรยเมล็ดงามาด้วย ทั้งจานดูแล้วน่าจะเผ็ดและอร่อยทีเดียว
น้ำมันพริกค่อยๆชุ่มอยู่ก้นชาม จากนั้นหยวนโจวก็ตักน้ำกระเทียมขึ้นมาช้อนหนึ่งแล้วเทลงในชาม ทันใดนั้นกลิ่นกระเทียมที่ผสมกับกลิ่นเผ็ดร้อนก็กระจายไปทั่วร้าน
“กลิ่นหอมจังเลย” บรรดาลูกค้าต่างพากันพึมพำ
ตุ้บ หยวนโจววางชามลงขณะที่กล้องซูมเข้ามา
ชามสีเขียวเข้มเต็มไปด้วยบะหมี่เย็นเส้นเรียวบาง บะหมี่แต่ละเส้นต่างถูกเคลือบด้วยน้ำมันพริกสีแดงวาววับโดยมีเมล็ดงาโดยเอาไว้ และมีตะเกียบสีน้ำตาลคู่หนึ่งอยู่ข้างชาม
ภาพของบะหมี่เย็นนึ่งชามนั้นพาให้เกิดภาพลวงตาราวกับว่าสามารถได้กลิ่นผ่านหน้าจอเลยทีเดียว
เมื่อกล้องซูมเข้ามากลับเป็นการกระตุ้นให้หยิบตะเกียบแล้วเริ่มกินเพื่อให้รู้ว่ารสชาติดีอย่างที่เห็นและได้กลิ่นหรือไม่
“เฮ้ สูตรต้นตำหรับหรือเปล่าล่ะ?” เฉินเว่ยถองใส่ฟางเหิงแล้วถามขึ้นมา เมื่อเขาหันมาก็เห็นว่าลูกตาของฟางเหิงแทบจะพลัดหลุดออกจากเบ้าอยู่แล้ว ดูเหมือนเขาจะเกร็งไปทั้งตัวแล้วราวกับว่าเขากำลังจะกระโจนใส่ชามบะหมี่ก็ไม่ปาน
เฉินเว่ยถามขึ้นอีกครั้ง “นายบอกว่าเถ้าแก่หยวนไม่มีทางทำบะหมี่เย็นสูตรต้นตำหรับได้อย่างแน่นอนไม่ใช่หรือไง? แล้วปฏิกิริยาแบบนี้มันคืออะไรกันเล่า?”
“ต่อให้ฉันต้องพูดซ้ำสักกี่ครั้ง ฉันก็มีความมั่นใจในตัวเถ้าแก่หยวนอย่างเต็มเปี่ยมนั่นแหละ เพียงแต่ฉันเชื่อว่าถ้าไม่สามารถแก้ปัญหาทางด้านภูมิศาสตร์ได้ เถ้าแก่หยวนก็คงไม่สามารถทำบะหมี่เย็นนึ่งสูตรต้นตำหรับได้หรอก แต่ที่สำคัญกว่านั้นไม่ว่าแบบของเถ้าแก่หยวนจะเป็นสูตรต้นตำหรับหรือไม่ย่อมต้องอร่อยมากเป็นแน่” ฟางเหิงกล่าว
เจียงฉางซี่กับเฉินเว่ยพยักหน้า คราวนี้พวกเขาต่างก็เห็นด้วย
อาจเป็นเพราะชิวชิวก็เป็นตากล้อง เขาจึงมองเห็นชามบะหมี่ได้ชัดเจนกว่า ตอนนี้น้ำลายเอ่อเต็มปากเขาแล้ว จู่ๆเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ชามตรงหน้าเขาค่อนข้างใหญ่ทีเดียว ตอนท้องว่างหากได้กินบะหมี่ชามนี้เข้าไปเพียงชามเดียวก็คงจะอิ่มเป็นแน่
แต่มีคนอยู่ที่นี่ถึงเจ็ดคน ดังนั้นชามนี้จึงดูเหมือนจะไม่เพียงพอสำหรับพวกเขาทุกคนเสียแล้ว
ชิวชิวเป็นผู้ที่เคยกินอาหารที่ร้านหยวนโจวมาก่อน เขาเข้าใจพื้นอารมณ์ของเถ้าแก่หยวนดี ดังนั้นชิวชิวจึงคิดว่าหยวนโจวน่าจะแบ่งบะหมี่ชามนี้แทนที่จะทำเพิ่ม
แน่นอนว่าใครๆก็คงหวังว่าวันนี้เถ้าแก่หยวนจะใจดีเตรียมบะหมี่เพิ่มเป็นสองชาม แต่ชิวชิวไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นได้หรอก ถ้าหากพวกเขาต้องแบ่งบะหมี่ชามนี้กันจริงๆ เช่นนั้นความเร็วที่คนผู้หนึ่งจะสามารถกินได้ก็น่าจะเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว
เมื่อตอนอยู่โรงเรียนประถม ชิวชิวเป็นแชมป์วิ่งผลัด เขาจึงมั่นใจว่าตนเองสามารถแย่งชิงบะหมี่ส่วนใหญ่มาได้ ชิวชิวเริ่มขยับตัวเข้าไปใกล้ๆชามบะหมี่อย่างไร้สุ้มไร้เสียงเพื่อชิงความได้เปรียบในสงครามที่กำลังจะมาถึง ในฐานที่เคยเป็นลูกค้าของหยวนโจวมาครั้งหนึ่งทำให้เขาได้เปรียบมากกว่าเพื่อนร่วมงานของตนเองมากนัก
ส่วนสมาชิกอีกหกคนของทีมนอกจากไป๋ลี่ที่ยืนเหม่ออยู่ข้างๆแล้ว คนอื่นๆต่างกำลังกระสับกระส่าย อาเขิ่นกำลังกลืนน้ำลายไม่หยุด ถึงอย่างไรเขาก็กินอาหารมื้อค่ำได้ไม่มากสักเท่าไหร่นัก ส่วนเซียวหลงเหรินก็กำลังรอให้ต้าไห่สั่ง “คัต” เพื่อให้เขาสามารถกระโจนเข้าใส่อาหารได้เลย
ทุกขั้นตอนการทำอาหารของหยวนโจวเป็นไปอย่างลื่นไหลมาก ไม่จำเป็นต้องถ่ายใหม่เลย แต่หยวนโจวกลับหาได้รู้สึกผ่อนคลายลงเลยเมื่อถ่ายทำเสร็จ เนื่องจากสัญญากับโจวซื่อเจี๋ยไว้แล้ว เขาก็ต้องทำให้สำเร็จ ถึงอย่างไรหยวนโจวก็มีความสุขมากที่ได้ช่วยโปรโมตอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีของประเทศจีน
“ผมคงไม่กินอาหารมื้อค่ำแล้วนะครับ” หยวนโจวพูดก่อนที่จะยกชามและตะเกียบคู่หนึ่งขึ้นมาภายใต้สายตาของทุกคน
ใช่แล้วล่ะ หยวนโจวยกชามและตะเกียบขึ้น เห็นได้ชัดเลยว่านี่คือการกระทำอย่างหนึ่งที่จะต้องทำก่อนกิน พวกเขาทุกคนต่างจับจ้องไปที่หยวนโจวด้วยความประหลาดใจ
“อาหารจานนี้คือบะหมี่เย็นนึ่งอันเป็นของว่างประจำเมืองกวางหยวน โดยทำขึ้นด้วยการแช่เมล็ดข้าวที่เติบโตเฉพาะที่ในน้ำแร่จากหุบเขาลึกของเมืองกวางหยวนนั่นเอง” หยวนโจวเริ่มคนบะหมี่ขณะที่เขาแนะนำไปด้วย
ในขณะที่แนะนำอยู่นั้น หยวนโจวก็ถอดหน้ากากอนามัยออกเผยให้เห็นสีหน้าจริงจังของเขา
จากนั้นหยวนโจวก็คีบบะหมี่อันอ่อนนุ่มที่ถูกอาบย้อมจนเป็นสีแดงด้วยน้ำมันพริกขึ้นมาแล้วยัดเข้าปาก
ทันใดนั้นเองรสชาติเผ็ดชาก็ปะทุขึ้นในปากของเขา หยวนโจวรีบเคี้ยวแล้วกลืนบะหมี่ลงไปก่อนที่จะพูดอีกครั้ง
“เพื่อทำบะหมี่เย็นนึ่งให้มีรสชาติแบบดั้งเดิมจะต้องใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นของกวางหยวนด้วย บะหมี่เย็นก็จะนุ่มมากแถมยังเด้งขณะที่เคี้ยวอีกต่างหาก น้ำมันพริกจะทำหน้าที่ผสมผสานความรู้สึกที่ให้ความเผ็ดร้อน ความชา ความสดใหม่และความหอมนั้นได้อย่างลงตัว” หยวนโจวอธิบายอย่างจริงจัง
เขากำลังอธิบายถึงรสชาติอย่างจริงจังมากทีเดียว
“เนื่องจากผสมน้ำส้มสายชูลงน้ำมันพริก ตอนที่กินอาจจะมีรสเปรี้ยวนิดหน่อย แต่รสเปรี้ยวกลับผสมผสานเข้ากับรสชาติของข้าวได้อย่างลงตัว บะหมี่เย็นแบบนี้รสชาติอร่อยกว่าบะหมี่เย็นที่ทำขึ้นด้วยแป้งเสียอีกแถมยังไม่รู้สึกว่าเป็นผงเลยสักนิดเดียว” หยวนโจวอธิบายรายละเอียด
“ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากใช้วัตถุดิบเพียงอย่างเดียว รสชาติเดิมของข้าวจึงแสดงออกมาแล้วผสมเข้ากับรสชาติเผ็ดร้อนอย่างลงตัวโดยมีรสชาติที่ยังกรุ่นอยู่ในปากหลังจากกินเข้าไปคำหนึ่ง” หยวนโจวพูดต่อ
หลังจากอธิบายเสร็จ หยวนโจวก็เงยหน้ามองทุกคนที่กำลังจับจ้องมาทางเขาด้วยความประหลาดใจ เขาเริ่มสงสัยว่าคำอธิบายของตนเองไม่ละเอียดพอหรือเปล่า เขาลอบคร่ำครวญอยู่ในใจว่าการถ่ายวิดีโอช่างวุ่นวายเหลือเกิน แต่เขาก็ให้เหตุผลว่าเพื่อบรรดาผู้ชมทั้งกลายแล้วจำเป็นต้องมีคำอธิบายรายละเอียดเพื่อช่วยให้พวกเขาทราบถึงรสชาติที่แท้จริงของบะหมี่ เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ที่เขาต้องการที่จะอธิบายให้มากขึ้น
ดังนั้นหยวนโจวจึงเริ่มให้คำอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับรสชาติของบะหมี่
หลังจากเขาจัดการเรียบร้อยแล้ว เขาก็สังเกตพบว่าทั้งร้านต่างถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัด
ทำไมสมาชิกในทีมถึงได้พากันตกตะลึงจนพูดไม่ออกน่ะเหรอ? เป็นเพราะไม่มีใครคาดว่าหยวนโจวจะกินบะหมี่เสียเองน่ะสิ
เกิดอะไรขึ้นกันนะ?
แม้แต่ชิวชิวก็ยังตกตะลึงจนพูดไม่ออกไปแล้ว ในฐานที่เคยเป็นลูกค้าที่นี่มาครั้งหนึ่ง เขาตะลึงงันไปโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว ซ้ำยังรู้แล้วว่าหยวนโจวประหลาดกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก
ถ้าหากเขาเป็นคนประหลาดที่ตัดสินใจกินบะหมี่เสียเอง แล้วทำไมถึงได้ให้คำอธิบายรายละเอียดของรสชาติเช่นนั้นกันเล่า? เขาทำเช่นนี้มีเจตนาอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่านะ?
นั่นเป็นประสบการณ์ที่น่ากลัวเกินไปแล้ว
หลังจากหยวนโจวอธิบายจบก็ตั้งหน้าตั้งตากินต่อไป ถึงแม้ว่าบะหมี่จะอร่อยมาก แต่หยวนโจวก็ทานอาหารมื้อค่ำมาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงยากที่จะกินบะหมี่ชามนี้ได้หมด
“ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ฉันน่าจะทำให้น้อยลงหน่อยก็ดี ฉันรู้สึกเหมือนจะกินไม่หมดเลย” หยวนโจวโอดครวญ
คนส่วนใหญ่จะรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ขณะที่กำลังสบถอยู่ในใจ แต่ตอนนี้สมาชิกในทีมกลับไม่สามารถรักษารอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่หยวนโจวครวญออกมาก็เริ่มสบถอยู่ในใจไม่รู้จักจบจักสิ้น
บทที่ 802 ความเอาใจใส่ของหยวนโจว
ยังไม่ดึกดื่นสักเท่าไหร่แต่คืนนี้กลับมีบางอย่างต่างออกไป ร้านหยวนโจวยังเปิดอยู่แถมยังเต็มไปด้วยผู้คนอีกต่างหาก ทีแรกก็มีเพียงแค่ลูกค้าที่มาดื่มเหล้าจอมอยากรู้อยากเห็นหลายคนเท่านั้น ทว่าต่อมาคนเดินถนนที่เห็นว่ามีคนอยู่ตรงนั้นก็เริ่มเข้ามาร่วมวงด้วย
คนเรามีนิสัยอยากรู้อยากเห็นโดยธรรมชาติ ลำพังแค่สิ่งที่เกิดขึ้นกับร้านของเถ้าแก่หยวนก็ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นแรงกล้ามากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ดังนั้นผู้คนจึงมารวมตัวกันราวกับผลกระทบแบบก้อนหิมะ
แม้จะมีผู้คนอยู่มากมาย ทว่าตอนนี้ร้านกลับตกอยู่ในความเงียบโดยสิ้นเชิง สายตานับไม่ถ้วนต่างจับจ้องไปที่หยวนโจวกับชามบะหมี่เย็นนึ่งในมือของเขา
คนส่วนใหญ่รู้สึกอึดอัดเมื่อถูกผู้คนมากมายจ้องมอง แต่หยวนโจวเป็นใครกันล่ะ? แน่นอนว่าเขาหาใช่คนไร้ยางอายธรรมดาๆแต่เท่าที่สมาชิกในทีมเข้าใจนั้น เขาเป็นคนไร้ยางอายถึงที่สุดเลยต่างหากเล่า
มีเพียงแค่เสียงเคี้ยวของหยวนโจวให้ได้ยินเท่านั้น จู่ๆหยวนโจวก็พูดขึ้นมาว่า “ผมคาดคะเนผิดไป ความจุกระเพาะอาหารของผมหาใช่สิ่งที่ผมจะคาดเดาได้เลยจริงๆ”
คราวนี้เขาพูดเสียงดังทำลายความหวังของผู้คนที่มั่นใจว่าหยวนโจวย่อมไม่ใช่คนไร้อย่างอายอย่างแน่นอนไปในทันที หยวนโจวเป็นคนไร้ยางอายจริงๆ
“เถ้าแก่หยวน นายกินเยอะไปเกินไปแล้วมั้ง?” เฉินเว่ยถามพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“อืม ฉันก็คิดว่างั้นแหละ” หยวนโจววางชามเปล่าลงเพื่อให้กล้องจับภาพชามได้ชัดเจน
ขณะที่เฉินเว่ยและคนอื่นๆกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ต้าไห่กระแอมไอแล้วกล่าวว่า “แค่ก เอาล่ะ วันนี้พอเท่านี้ก่อนแล้วกันนะครับ”
“โอเค ขอบคุณครับทุกคน เหนื่อยหน่อยนะครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วเริ่มเก็บเครื่องใช้สำหรับโต๊ะอาหาร
เมื่อเขาทำเช่นนั้น สมาชิกในทีมก็ตาลุกขึ้นมาทันที
“ฟู่ เสร็จเสียที” ชิวชิวปิดกล้องแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เถ้าแก่หยวนกำลังจะไปเตรียมอาหารอีกอย่างให้เรางั้นหรือ?” ชิวชิวรู้สึกสงสัยขณะที่กำลังเก็บกล้อง
ถึงแม้ว่าเขาจะเคยมาที่นี่ครั้งเดียวแถมยังรู้ว่าหยวนโจวเข้มงวดมาก แต่เขาก็ยังไม่เคยทำงานที่นี่เลย ดังนั้นเขาจึงหวังว่าสิ่งนี้อาจจะเป็นข้อยกเว้น
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน” เซียวหลงเหรินเริ่มเก็บอุปกรณ์ด้วยความตื่นเต้นเมื่อเขาเห็นสิ่งที่หยวนโจวกำลังกระทำอยู่ พอเขานึกถึงบะหมี่เย็นนึ่งที่เขาจะได้กินในภายหลังแล้ว เขาก็รู้สึกมีแรงจูงใจที่จะทำงานอย่างไม่น่าเชื่อเลยเชียวล่ะ
“ให้ฉันช่วยนายเถอะ” อาเขิ่นให้ความช่วยเหลือ
สมาชิกในทีมต่างจดจ่ออยู่กับการเก็บอุปกรณ์ พวกเขาแต่ละคนดูเหมือนจะตื่นเต้นและกระตือรือร้นยิ่งกว่าตอนที่พวกเขาเพิ่งจะมาถึงเสียอีก
ถึงอย่างไรท้องที่กำลังร้องของพวกเขาก็เป็นการกระตุ้นให้พวกเขาทำงานได้ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้นด้วย
ขณะที่พวกเขากำลังยุ่งง่วนอยู่กับการเก็บอุปกรณ์อยู่นั้น หยวนโจวก็กำลังทำความสะอาดเครื่องใช้สำหรับโต๊ะอาหารและมีดอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนที่จะเก็บกลับให้เข้าที่เข้าทาง เหลือเอาไว้เพียงแค่เขียงที่พวกเขายังต้องใช้ในการถ่ายทำเท่านั้นที่ไม่ถูกแตะต้อง
หลังจากจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็นั่งพักผ่อน ถึงอย่างไรการถ่ายทำก็ต้องใช้ความคิด แม้แต่ตอนที่เขากำลังกินอยู่นั้นก็ยังต้องให้ความสนใจกับภาพลักษณ์ เป็นที่เข้าใจได้ว่าเขาย่อมอ่อนระโหยโรยแรงเป็นธรรมดา
เมื่อเฉินเว่ยเห็นเช่นนั้นแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรดี ถึงอย่างไรหยวนโจวก็ทำทุกอย่างตามกฎของเขาแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกค่อนข้างกังวลอยู่ดี
“พรุ่งนี้ฉันจะมาสั่งบะหมี่เย็นนึ่งจานนี้ล่ะ” เฉินเว่ยตัดสินใจได้แล้ว
“นายคิดว่าไงล่ะ?” เจียงฉางซี่ถามขึ้นมา
“ต้องอร่อยแหงอยู่แล้ว” ฟางเหิงพยักหน้าพลางจับจ้องไปที่เขียงของหยวนโจว
“นายแน่ใจว่าเป็นสูตรต้นตำหรับหรือเปล่าน่ะ?” เจียงฉางซี่ถามพลางยิ้มกว้าง
“ไม่ แต่อักไม่นานพวกเราก็คงได้รู้กันแหละนะ” ฟางเหิงกล่าวด้วยความแน่ใจ
สิ่งนี้ทำให้เจียงฉางซี่กับเฉินเว่ยรู้สึกสับสน หยวนโจวทำบะหมี่เสร็จแล้ว เขาจะรู้ได้อย่างไรกัน?
หลังจากนั้นไม่นาน สมาชิกในทีมก็เก็บอุปกรณ์เสร็จ พวกเขาต่างจ้องมองไปที่เคาน์เตอร์ด้วยความคาดหวังเพียงเพื่อจะได้เห็นเคาน์เตอร์ที่ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง นอกเหนือไปจากเขียงแล้ว ทุกอย่างล้วนถูกเก็บออกไปจนหมดแล้ว ดูเหมือนหยวนโจวหาได้มีเจตนาจะทำอาหารอีกแต่อย่างใด
สมาชิกในทีมต่างตกตะลึงไปเมื่อเห็นเช่นนี้เข้า พวกเขายืนอยู่ข้างหลังผู้กำกับและเนื่องจากเซียวหลงเหรินไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ เขาจึงเริ่มส่งสายตาให้ผู้กำกับ
เขาทำท่าทางให้ผู้กำกับบอกหยวนโจวว่าพวกเขาหิวแล้วอย่างรวดเร็ว
ต้าไห่ค่อนข้างประหม่าเมื่อเขาเห็นว่าหยวนโจวกำลังพักผ่อนอยู่และไม่มีวัตถุดิบที่จะใช้เตรียมอาหารอีกแล้ว
แต่เมื่อเขานึกถึงหน้าตาของบะหมี่เย็นนึ่งเมื่อก่อนหน้านี้และกลิ่นที่ลอยอวลอยู่ในอากาศแล้วใจที่สงบนิ่งของเขาก็พลันโลดขึ้นมาก่อนที่จะกล่าวว่า “เถ้าแก่หยวน พวกเราเก็บอุปกรณ์เสร็จแล้ว พวกเราหิวมากเลยคงต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ”
ต้าไห่เป็นคนที่อาศัยพรสวรรค์ของตนเองในการยังชีพ เขาหาใช่คนหนุ่มแต่อย่างใด ทว่ากลับเป็นชายวัยกลางคนที่รู้วิถีทางแห่งสังคม คนอย่างเขามักจะพูดจาได้ถูกกาลเทศะอยู่เสมอ
ดังนั้นเมื่อจะขอตัวกลับแล้ว เขาจึงบอกหยวนโจวไปว่าพวกเขาหิวแล้ว จริงๆแล้วสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อก็คือในเมื่อพวกเขาจัดการธุระเสร็จสิ้นแล้ว หยวนโจวจะไม่เลี้ยงอาหารพวกเขาเลยเชียวหรือ?
แน่นอนว่าคำพูดเหล่านั้นย่อมไม่อาจกล่าวออกมาได้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีข้อตกลงอย่างเป็นทางการที่หยวนโจวจะต้องมาเลี้ยงอาหารพวกเขา พวกเขาต่างเสียเวลามาทำงานที่นี่และแม้แต่ค่าเดินทางก็ยังถูกคิดอีกต่างหาก
การเลี้ยงอาหารทีมงานหลังจากถ่ายทำเป็นเพียงแค่มารยาททั่วๆไปเท่านั้น
“งานของเราหนักมากเลยล่ะ พวกเราไม่ได้กินอาหารมื้อค่ำมาเกือบ 10 คืนแล้ว”
“ขอบคุณทุกท่านนะครับ ลำบากพวกคุณแล้ว เดินทางปลอดภัยนะครับ” หยวนโจวลุกขึ้นแล้วกล่าวด้วยความเป็นห่วง “ยังไงก็ดึกมากแล้วจำไว้ว่าต้องกินข้าวต้มก่อนจะกินอาหารแข็งๆนะครับ แล้วอย่ากินของเผ็ดมากไปด้วยนะครับ”
หยวนโจวทำราวกับว่าเขากำลังบอกให้พวกเขากลับไปได้แล้วอย่างไรอย่างนั้นเลย
แน่นอนว่าหยวนโจวย่อมรู้สึกค่อนข้างละอายใจ ทีแรกเขานึกว่าการถ่ายวิดีโอโปรโมตจะใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น แต่บังเอิญว่าเขาทำบะหมี่เยอะเกินไปจึงทำให้การถ่ายทำยืดเยื้อออกไปกว่า 10 นาทีเพียงเพื่อถ่ายทำการกินของเขาเท่านั้น แม้แต่เวลาอาหารมื้อค่ำก็ยังล่าช้าออกไปด้วยเหตุนี้
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หยวนโจวพยายามหาทางออกด้วยการแนะนำให้พวกเขาอย่ากินอาหารรสเผ็ดยามดึกดื่นนั่นเอง
หยวนโจวชื่นชมในความเป็นมืออาชีพและการอุทิศตนเพื่องานของพวกเขาอยู่ในใจจนถึงขนาดละเลยอาหารมื้อค่ำไปเสียได้
ต้าไห่ “…”
“ฉัน…” เซียวหลงเหรินผู้เป็นคนเปิดเผยค่อนข้างสับสนทีเดียว เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่กลับถูกไป๋ลี่ห้ามเอาไว้
“โอ้ ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับเถ้าแก่หยวน พวกเราจะกลับแล้วล่ะ” ต้าไห่ที่ยังค่อนข้างงุนงงตอบ
“แล้วเจอกันนะครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วมองพวกเขาจากไป
สมาชิกในทีมต่างรู้สึกสับสนโดยสิ้นเชิงโดยเฉพาะต้าไห่ “ทำไมเถ้าแก่หยวนถึงได้ทำอะไรที่คนอื่นเขาไม่ทำกันนะ?”
จากประสบการณ์ด้านการเข้าสังคมของต้าไห่ ในสถานการณ์เช่นนั้นหยวนโจวควรจะเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาอยู่ต่อ แล้วพวกเขาก็จะพูดคุยเรื่องจิปาถะก่อนที่ทีมงานจะเริ่มกินอาหารที่ร้านหยวนโจวในที่สุด
ทว่าตอนนี้มีบางอย่างที่แตกต่างออกไปงั้นหรือ? ต้าไห่ที่ยังคงรู้สึกสับสนหันหลังไปมองที่ประตูร้านหยวนโจว
ในขณะเดียวกันฟางเหิงก็เตรียมที่จะเริ่มจู่โจมมานานแล้ว เขาพุ่งตัวไปที่เคาน์เตอร์ราวกับเสือโหยกระโจนใส่แกะและว่องไวราวกับลิงขโมยลูกท้อแล้วเอื้อมมือไปที่เขียง
ใช่แล้วล่ะ ฟางเหิงกำลังเล็งไปที่บะหมี่เย็นนึ่งเส้นเล็กๆที่หลงเหลืออยู่บนเขียงนั่นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น