เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 8 ตอนที่ 6-7
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 6 บนโลกใบนี้ไม่มีคนโง่
อวิ๋นเยี่ยคิดว่าตัวเองจะคุ้นชินกับช่วงเวลาที่อยู่ในป่าเขานี้ แต่เขากลับตกใจหวาดผวาตลอดทั้งคืน มองออกไปนอกหน้าต่างที่มีควันไฟอยู่ด้านบน เห็นเพียงดวงดาวส่องแสงระยิบระยับ เป็นภาพที่หาดูได้ยากในป่าเขาแห่งนี้ ไม่มีพื้นราบ ไม่มีแสงแดด นี่คือคำพูดที่คนยุคหลังพูดถึงพื้นที่แห่งนี้
ไม่กล้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับที่บ้าน ท่านย่า ซินเย่ว น่ารื่อมู่ แล้วยังมีลูกตัวเล็กของตัวเอง ไม่รู้ว่าซินเย่วแก้นิสัยตบหลังลูกตอนที่ป้อนนมแล้วหรือยัง มันมักจะทำให้ลูกอาเจียน แล้วยังกล้าพูดว่าลูกกินอิ่มอีกนะ วันนี้ท่านย่าท่องคัมภีร์จบไปแล้วหรือยัง ไม่รู้ว่าพอไม่มีตัวเองอยู่พูดคุยเป็นเพื่อน นางจะรู้สึกเดียวดายหรือไม่ น่ารื่อมู่คงจะไม่ไปแอบหยิบเครื่องประดับของซินเย่วอีกใช่ไหม ครั้งที่แล้วถูกซินเย่วตีเข้าให้อย่างแรง ก็ยังไม่รู้จักเข็ดหลาบ
รุ่นเหนียง ตอนนี้พี่ไม่อยู่ เจ้าก็อย่าได้ปีนกำแพงออกไปเจอกับคนรักของเจ้าอีก เหล่าฉินถูกกฎหมายประเทศเล่นงานเพราะเรื่องนี้มาแล้วตั้งหลายครั้ง ต้ายา ก็อย่าได้ไปยักคิ้วหลิ่วตากับซ่านอิงเด็ดขาด ไอ้เจ้านั่นเป็นแค่คนยากจน ติดหนี้ตระกูลเราเป็นกองพะเนิน
นึกถึงพวกเด็กๆ ซือซือกับเสี่ยวอู่ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกเหมือนมีก้อนหินมากดทับหน้าอก ทำให้เขาหายใจไม่ออก
แต่หวังว่าพวกเขาจะเข้าใจเครื่องหมายที่ตัวเองทิ้งไว้ ถ้าหลี่ซื่อหมินได้เห็น เขาก็คงจะรู้ความลับ เขาคือคนที่มีชีวิตอยู่เพื่อค้นหาความลับของผู้อื่น ความหมายที่ลึกซึ้งของตัวหนังสือ สำหรับเขาแล้วมันคือเรื่องตลก
ข้างนอกไม่มีลมพัด ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ มีเสียงลิงร้องจากระยะไกลเป็นครั้งคราว ทำให้กลางคืนยิ่งเงียบงัน เพิ่งเข้าใจความหมายของคำที่ว่าเสียงนกร้องทำให้ภูเขาเงียบงัน
นอนไม่หลับดิ้นไปดิ้นมา วั่งไฉที่นอนอยู่บนกองหญ้าเงยหน้าขึ้นมามองอวิ๋นเยี่ย แล้วมันก็เอาหัวมุดลงไปในกองหญ้า หลับต่ออีกครั้ง
“ข้าหิว หากเจ้ายังมีข้าวเหลืออยู่ เอามาให้ข้าหน่อย”
เสียงที่คมชัดของทั่นเกอดังมาจากฝั่งตรงข้าม ถ้าฟังแค่เสียง ในความมืดมันอาจทำให้ผู้คนจินตนาการไปไกล แต่อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงตรงข้ามของเขาเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงตัวใหญ่คนหนึ่ง
ใช้ท่อไม้ไผ่เป่าถ่านในเตาไฟ ไม่นานเปลวไฟสีส้มก็ลุกโชนขึ้นมา ทั่นเกอมีพละกำลังแล้ว พยายามลุกขึ้นมาที่ด้านข้างของเตาไฟ
“ระวัง ข้าซ่อนด้ายไหมไว้สองสามเส้นในบ้าน ช้าๆ หน่อย ระวังมันโดนเจ้า”
“ข้าเห็นด้ายไหมที่เจ้าซ่อนเอาไว้แล้ว ไหมเส้นเล็กๆ จะทำอะไรใครได้ เจ้าเอาของพวกนี้มาปกป้องเจ้า?” นางพึ่งจะเดินไปสองก้าวก็ถูกด้ายไหมรัด อวิ๋นเยี่ยเห็นว่ามีเลือดไหลออกมา
ทั่นเกอหยุดเดินและถอยออกไป มองดูที่แผลของตัวเองแล้วพูดว่า “เชือกไหมของเจ้าแข็งแรงมาก”
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไร หยิบซานเย่าแห้งแท่งหนึ่งออกมาเผาไฟ ผิวนอกของซานเย่าถูกเผาเป็นสีดำอย่างรวดเร็ว ใช้มือบิดผิวมันก็หลุดออก ซานเย่าขนาดเท่าหัวแม่โป้งส่งกลิ่นหอมราวกับหมั่นโถว
ยื่นให้ทั่นเกอที่คลานเข้ามาใกล้ครึ่งหนึ่ง แล้วยื่นอีกครึ่งหนึ่งไปด้านหลัง ทันใดนั้นก็มีเสียงดังออกมาจากด้านหลัง ขอแค่เป็นของกิน วั่งไฉไม่เคยพลาด
อาหารมีน้อยก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย ซานเย่าแห้งสามแท่งมันไม่สามารถเติมเต็มกระเพาะของคนสองคนและม้าตัวหนึ่งได้ ไม่แปลกที่โต้วเยี่ยนซานบอกว่าความหิวโหยที่เขาเคยเผชิญมานั้นเลวร้ายเพียงใด เมื่อกระเพาะสูบฉีดไปพร้อมกัน นอกจากอาหารแล้ว ในสมองก็จะไม่คิดถึงอะไรอื่นเลย
โต้วเยี่ยนซานทำเกินไป เขาให้อาหารมาแค่ของอวิ๋นเยี่ยคนเดียวเท่านั้น ถ้าต้มเป็นข้าวต้ม มันอาจจะเพียงพอสำหรับคนสองคน แต่มีม้าอีกหนึ่งตัว มันจะเพียงพอได้เช่นไร
นี่เป็นวิธีป้องกันไม่ให้อวิ๋นเยี่ยหลบหนี ไม่มีอาหารก็ออกไปจากป่าเขานี้ไม่ได้ หลักการง่ายๆ ที่เด็กยังเข้าใจ วิธีที่ง่ายที่สุดในโลก มักเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุด
อย่าบอกว่าคนคนหนึ่งสามารถใช้ความรู้ในการเดินป่าของตัวเองออกไปจากถิ่นทุรกันดารนี้ได้ นั่นมันเป็นแค่เรื่องเล่าต่อกันมา ทำไมทีมสำรวจถึงต้องมีคนอย่างน้อยสามคน มันย่อมมีเหตุผลอยู่แล้ว สามคนสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ หากเพียงแค่สองคนนั้นไม่อาจทำได้
ในป่ามีอาหารมากมายก็จริง แต่ส่วนใหญ่มันได้ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับสัตว์ป่าทั้งหลาย ถ้าไม่มีกระเพาะอาหารที่แข็งแรงมากพอก็ไม่สามารถย่อยอาหารดึกดำบรรพ์เหล่านั้นได้
“เหตุใดเจ้าถึงต้องป้อนอาหารให้ม้าของเจ้า ถึงแม้ว่าตัวเองจะทนหิว แต่ก็ต้องให้มันกินอิ่ม ม้ามันควรจะกินหญ้าไม่ใช่หรือ” ทั่นเกอไม่เคยเห็นใครดีกับม้าของตัวเองขนาดนี้
“ข้าจะอธิบายแค่ครั้งเดียว เจ้าฟังให้ดี สำหรับข้า วั่งไฉคือสหายของข้า เขาไม่ใช่ม้า แต่เป็นคู่หูของข้า ในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่สำคัญที่สุดในชีวิตของข้า วั่งไฉก็เป็นหนึ่งในนั้น”
ไม่อยากเล่าเรื่องวั่งไฉให้นางฟัง เรื่องนี้แม้แต่ซินเย่วก็ยังไม่เคยเล่าให้ฟัง ความลับบางอย่างเก็บไว้ในใจอาจจะดีกว่า วั่งไฉเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชิดใกล้กับความลับของตัวเองมากที่สุด อวิ๋นเยี่ยถึงขั้นรู้สึกว่าวั่งไฉเป็นเหมือนญาติคนหนึ่งด้วยซ้ำ
ทุกคนในตระกูลอวิ๋นรู้ดีว่า ตอนที่รับใช้ท่านโหวจะประมาทเลินเล่อนิดหน่อยได้ ไม่เป็นไร ท่านโหวก็แค่หัวเราะ แต่ถ้าประมาทเลินเล่อกับวั่งไฉ ท่านโหวจะโมโห ลงโทษอย่างไร้ความปรานี
เสี่ยวยาเป็นน้องสาวที่อวิ๋นเยี่ยเอ็นดูที่สุด ก่อเรื่องอะไรก็ไม่เคยถูกทำโทษ แต่เรื่องที่นางจุดไฟเทียนไขเผาหางของวั่งไฉ เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้อวิ๋นเยี่ยโมโหไปสามวันเต็ม ตั้งแต่นั้นมา เสี่ยวยาก็ไม่กล้าแกล้งวั่งไฉอีกต่อไป
“เจ้าเป็นใคร เจ้าต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ แขกของข้าหยิ่งยโสโอหังเช่นนั้น แต่เขาดูเป็นมิตรกับเจ้า เจ้าบอกว่าพวกเจ้าเป็นศัตรูกัน จะเป็นไปได้เช่นไร”
“โต้วเยี่ยนซานเคยเป็นท่านชายเก่ามาก่อน แต่ตอนนี้เขามาที่แคว้นหนานจ้าวก็เพราะว่าตระกูลของเขาถูกทำลาย ปู่ของเขาตกใจตาย พ่อของเขาฆ่าตัวตาย คนในตระกูลของเขาเร่ร่อนไปทั่วทุกหนแห่ง บางคนไปเป็นทาสรับใช้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นหนึ่งในคนที่ทำให้ตระกูลของเขาต้องย่อยยับ เพราะฉะนั้นเราไม่มีทางเป็นมิตรกันได้ ทำได้แค่สู้กันจนตาย และข้าก็เชื่อว่าเจ้าก็ไม่มีทางยอมอยู่กับเขาภายใต้ท้องฟ้าสีครามแห่งนี้ ดังนั้นเราจึงเป็นพันธมิตรกันโดยธรรมชาติ”
ทั่นเกอเป็นองค์หญิงมาแล้วนานเท่าใดกันแน่ นางพิจารณาอย่างรอบครอบ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งถึงได้ถามอย่างลำบากใจว่า “เจ้าต้องการอะไรจากข้า ข้ายากจน เครื่องบวงสรวงของบรรพบุรุษ ข้าให้เจ้าไม่ได้ เสบียงของเราก็ไม่เพียงพอ ให้เจ้าไม่ได้เช่นกัน ข้าเคยได้ยินว่าผู้หญิงของต้าถังงดงาม เจ้าคงจะไม่สนใจผู้หญิงในชนเผ่าของข้า ข้าก็มีแค่นี้ เจ้าต้องการอะไร ท่านแม่เคยบอกว่า หากต้องการความช่วยเหลือก็จะต้องยอมให้เสบียง แต่ข้าเกรงว่าข้าให้เสบียงแก่เจ้าไม่ได้”
“ท่านแม่ของเจ้าเป็นคนรอบคอบ สิ่งที่ข้าต้องการก็แค่ให้เจ้าพาข้าออกไปจากที่นี่ ข้ามาจากโลกที่เจริญรุ่งเรือง อยู่ที่นี่ไม่ไหวแล้ว ข้าไม่ได้ต้องการอะไรจากพวกเจ้า ข้าแค่อยากกลับบ้าน”
“ข้าไม่เชื่อคนของต้าถัง คนของแค้วนหนานจ้าวไม่มีใครเชื่อชาวต้าถัง พวกเจ้าครอบครองดินแดนที่ร่ำรวยที่สุด แม่น้ำที่พื้นราบที่สุด เสบียงของพวกเจ้ามากมายจนทานไม่หมด ได้ยินมาว่าเสื้อผ้าของพวกเจ้าก็มากมาย คนละสองชุด? เหตุใดพวกเจ้าถึงได้แย่งที่ดินผืนสุดท้ายของเราไป ท่านแม่เคยบอกว่า พวกเจ้ามีความโลภต่อที่ดินทุกผืนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถึงแม้ว่าพวกเจ้าทุกคนจะมีที่ดินที่กว้างใหญ่เท่าภูเขา พวกเจ้าก็ไม่สามารถทำไร่ทำนาได้กว้างใหญ่เช่นนั้น
หากเจ้าเป็นศัตรูของเขาจริงๆ เจ้าก็อย่าช่วยเขา ปล่อยให้ข้าฆ่าเขา ล้างแค้นให้ชายทั้งหกคนของข้า” ทั่นเกอมีสายตามองการณ์ไกลที่คนอื่นๆ ไม่มี ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะพูดอะไร นางก็ไม่มีทางเชื่อ ถึงแม้อวิ๋นเยี่ยจะบอกว่าตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว นางก็คงจะส่ายหน้าอย่างไม่ย่อท้อ โต้วเยี่ยนซานได้ให้การสั่งสอนที่น่าจดจำแก่นาง อย่างเช่นชายทั้งหกคนที่นางพูดถึง
สร้างพันธมิตรไม่สำเร็จ แม้แต่ชาวบ้านที่โง่เขลา หลังจากพบเจอกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เขาก็คงจะเลือกทำตามใจตัวเอง ยอมตายในสนามรบ ก็ไม่ยอมเชื่อใจเพื่อนคนที่พึ่งพาไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อนคนนี้ดูอันตรายกว่าเพื่อนคนก่อนอีกต่างหาก
พูดอะไรไปก็เท่านั้น เขายอมแพ้ อวิ๋นเยี่ยนอนอยู่บนเตียงและหลับไปในทันที ตอนนี้กังวลใจไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่สู้ทำจิตใจให้ดี รอรับมือกับการทดสอบของพรุ่งนี้ดีกว่า
ฟ้าสว่างแล้ว แต่กลับไม่มีพระอาทิตย์ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยก้อนเมฆ อากาศดูชื้นๆ สูดลมหายใจเข้า นี่คือประโยชน์ของออกซิเจนในป่า บิดขี้เกียจแล้วลุกขึ้นออกจากเตียง เก็บเชือกพวกนั้นออกมาก่อน นี่คือแนวป้องกันสุดท้ายของตัวเอง
เดินออกมากับวั่งไฉ พ่อบ้านของตระกูลโต้วสีหน้าหดหู่ เห็นอวิ๋นเยี่ยก็โค้งคำนับทักทาย เขาเป็นคนมีมารยาท ทั้งๆ ที่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นศัตรูกับตระกูลของตัวเอง แต่เขาก็ยังจดจำสถานะขอตัวเองอย่างแม่นยำ
“ท่านโหวเมื่อคืนนอนหลับสบายหรือไม่ ห้องเล็กๆ เช่นนั้น ลำบากท่านโหวแล้วขอรับ หากอยู่ที่ฉางอัน การตกแต่งที่หรูหราของอาคารหลังเล็กของข้า คงทำให้ท่านโหวพอใจอย่างแน่นอน แต่อาคารเล็กที่สวยงามหลังนั้น ข้าน้อยยืนมองมันกลายเป็นเถ้าถ่านกับตา ไม่ทราบว่าท่านโหวยังจำได้หรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดเยาะเย้ยของพ่อบ้านคนนั้น เขาพูดประชดประชันไปว่า “เมื่อวานเห็นว่าโต้วเยี่ยนซานมีเนื้องอกขึ้นมาสองสามก้อน ท่าทางดูสง่างามไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าเนื้องอกพวกนั้นขยายใหญ่ขึ้นหรือยัง ข้าไปเยี่ยมสหายโต้วก่อน ต้องทำหน้าที่แขกที่ดี”
ถึงแม้ว่าพ่อบ้านคนนั้นจะมีนิสัยดีเพียงใด แต่นึกได้ว่าหัวของนายน้อยของตัวเองไม่ต่างอะไรจากหัวหมู เขาก็ชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วพูดเสียงดังว่า “อวิ๋นโหว เจ้าอย่าได้รังแกคนมากเกินไป เมื่อวานเจ้ารู้ว่ามีปลิงอยู่บนต้นไทร แต่กลับไม่บอก ปล่อยให้นายน้อยของข้าถูกปลิงตั้งหลายตัวดูดเลือด จิตใจโหดเ**้ยม”
นึกถึงเรื่องเมื่อวานที่โต้วเยี่ยนซานถูกปลิงดูดเลือดที่คอ เขาวิ่งปลิงก็สั่น เหมือนมีขนสีแดงจำนวนมากงอกออกมาที่คอของเขา มันทำให้อวิ๋นเยี่ยทั้งดีใจทั้งหวาดกลัว ในป่าเขาไม่มีสิ่งใดง่ายดาย
“เหล่าโต้ว เจ้าทำงานที่ตระกูลโต้วมาห้าสิบปีแล้วใช่หรือไม่ เหตุใดชีวิตถึงได้ถดถอยลงเรื่อยๆ เอาคนไปทำเป็นเทียนไข เรื่องเช่นนี้เจ้ายังกล้าทำ? เจ้าไม่มีลูกสาว หลานสาวที่ต้องเลี้ยงดูด้วยความยากลำบากเลยหรือ ถูกคนอื่นทำเช่นนี้ เจ้าจะรู้สึกเช่นไร ข้าเพียงแค่เปิดเผยเรื่องราว หากตระกูลโต้วที่เลวทรามของพวกเจ้ายังไม่ได้รับกรรมตามสนอง พระเจ้ายังมีตาอยู่หรือไม่”
พ่อบ้านเฒ่าคนนั้นกำลังจะเถียง แต่กลับถูกอวิ๋นเยี่ยขัดไว้ เขาพูดต่อว่า “ท่านชายของเจ้าต้องการทองคำไม่ใช่หรือ คนรับใช้ของพวกเจ้ามีช่างไม้หรือไม่ ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเขา ทำเครื่องมือสักสองสามชิ้นสำหรับไปหาทองคำ จะได้ไม่อดตายในป่าทีละคน”
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 7 เจตนาอันชั่วร้ายได้เกิดขึ้น
ทว่าโต้วเยี่ยนซานนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส หยุดเลือดจากบาดแผลที่ถูกปลิงกัดไม่ใช่เรื่องง่าย โดยปกติต้องใช้เวลาทั้งวัน สิบกว่าแผลอาจจะทำให้เขาเสียเลือดมากในวันเดียว
ไข้สูงไม่ลดเลย คาดว่าน่าจะมีสิ่งสกปรกเข้าไปรุกรานเขา เมื่ออวิ๋นเยี่ยไปเยี่ยมเขา เขายังคงมีสติอยู่ หัวที่บวมราวกับหัวหมูยังสามารถบีบรอยยิ้มที่น่าเกลียดออกมาได้ อวิ๋นเยี่ยจำเป็นต้องพูดว่า “สุภาพบุรุษ!”
ทำความสะอาดแผลให้โต้วเยี่ยนซาน ให้พ่อบ้านเฒ่าใช้เหล้าเช็ดรักแร้และหลังหูของเขา ต้มน้ำก้านของต้นหลิวเพื่อล้างแผลให้เขา หวังว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์
ความรู้ของคนที่อยู่ในป่าเขามานานต่างก็รู้ นั่นก็คือหากถูกปลิงกัดต้องรีบทุบใบของโบตั๋นป่าแปะไว้ที่แผล เช่นนี้ถึงจะสามารถห้ามเลือดได้อย่างรวดเร็ว
อวิ๋นเยี่ยหิวมาก บาดแผลที่หลังของวั่งไฉก็ยังไม่หายดี ถึงแม้ว่าข้างล่างบ้านของโต้วเยี่ยนซานจะมีดอกโบตั๋นป่าจำนวนมาก แต่อวิ๋นเยี่ยก็ทำเป็นไม่เห็น ยุ่งอยู่กับการใช้เหล้าลดไข้
“อวิ๋นโหวเหตุใดถึงได้เป็นห่วงเป็นใยศัตรูอย่างข้าเช่นนี้”
ตอนนี้เขายังไม่ล้มเลิกความคิดที่อยากจะเป็นเพื่อนกับอวิ๋นเยี่ย เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังยุ่ง รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างก็เลยจงใจถามขึ้นมา
“ที่จริงแล้วข้าอยากจะให้เจ้าตาย แต่คิดดูแล้ว ก็ไม่กล้าให้เจ้าตาย เพราะก่อนที่เจ้าจะตาย เจ้าจะต้องลากข้าไปฝังให้ได้ก่อนเป็นแน่ เช่นนี้ชีวิตหลังความตายของเจ้าจะได้ไม่โดดเดี่ยว”
โต้วเยี่ยนซานอยากจะหัวเราะ แต่ผิวของเขาตึงเกินไป ปรบมือด้วยความยากลำบากและพูดว่า “คนที่ให้กำเนิดข้าคือท่านพ่อกับท่านแม่ คนที่รู้ใจข้าคืออวิ๋นโหว หากข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็จะไม่มีทางตาย แต่หากข้ากลายเป็นขี้เถ้า เจ้าก็จะต้องลงไปนรกเป็นเพื่อนข้า”
“เช่นนั้นเจ้าก็มีชีวิตอยู่ต่อไปเถอะ อดทนหน่อย ทำให้ไข้ลดก่อน หากอยู่ที่ฉางอัน ข้ามีวิธีลดไข้ให้เจ้ามากมายนับไม่ถ้วน แต่ที่สถานที่แห่งนี้ ขึ้นอยู่กับว่าเจตจำนงของเจ้าแข็งแกร่งเพียงพอหรือไม่ ช่วงนี้เจ้าจะต้องพักผ่อน ขอพูดอะไรอีกสักหน่อย เจ้ายังต้องมีทองจำนวนมากเพื่อเอาใจลูกน้องขี้วิตกกังวลของเจ้า ข้าไม่อยู่เป็นเพื่อนเจ้าแล้ว ข้าจะออกไปหาทองคำ ไม่ใช่เพื่อเจ้า แต่เพื่อพวกผู้หญิงและเด็กๆ ที่บริสุทธิ์ในตระกูลของเจ้า”
“ข้ารังเกียจความสกปรกที่สุดในชีวิต เกิดมาก็เป็นคนโง่ เพียงข้าเห็นพวกโง่ที่สกปรก ข้าก็อยากจะตาย อวิ๋นโหว เจ้ารู้หรือไม่ พูดคุยกับเจ้าข้ารู้สึกสบายใจมาก ดื่นเหล้ากับเจ้าข้าก็สบายใจ เจ้าพูดความจริงกับข้าสักคำ หากตระกูลโต้วไม่มีการทำคนเทียนไข เจ้ายังจะมีส่วนร่วมในแผนการของหลี่ซือหมินอยู่หรือไม่”
“ไม่ ไม่มีทาง เรื่องของตระกูลเจ้าไม่เกี่ยวกับข้า นั่นเป็นเรื่องของฮ่องเต้ เก็บเผยอิงเอาไว้เป็นความต้องการของฮ่องเต้ ตอนที่เจ้าเข้าออกประตูใหญ่ของสำนักศึกษา ขันทีเฒ่าอู๋เสอก็อยู่ที่นั่น เจ้ารู้ใช่ไหมว่าอู๋เสอเป็นใคร”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มีอู๋เสออยู่ที่นั่นกับเจ้า เจ้าอยากจะคดโกงยังไม่มีโอกาส” โต้วเยี่ยนซานนอนลงบนเตียงอย่างอ่อนแรง พ่อบ้านเฒ่าพันผ้าสะอาดที่หัวและคอของเขา ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยเลือด
การขุดทองคำ ทางที่ดีต้องเป็นคนของตัวเอง โต้วเยี่ยนซานไม่อนุญาตให้พวกชาวบ้านเรียนรู้งานพวกนี้ ส่งคนรับใช้ที่จงรักภักดีที่สุดของตระกูลโต้วไปช่วยงานอวิ๋นเยี่ยเจ็ดแปดคน แค่เขาไม่หลบหนี คนพวกนี้ก็ต้องฟังคำสั่งของเขา
การขุดทองคำไม่ได้ยากอะไร แค่ต้องมีรางเลื่อนหนึ่งราง แผ่นสไลด์แผ่นหนึ่ง บวกกับถาดขุดทองก็ครบครันแล้ว ในป่าเขาสิ่งที่เยอะที่สุดก็คือไม้ การทำรางเลื่อนให้เป็นขั้นบันไดเล็กๆ ทำได้เพียงแค่ปูด้วยผ้าแล้วมัดทั้งสองด้านให้แน่น ข้อดีของการทำเช่นนี้คือแร่ทองคำที่มีแรงถ่วงมากกว่าหินและดินจะเกาะอยู่บนขั้นบันไดเล็กๆ ก้อนกรวดขนาดใหญ่จะถูกขูดออกโดยคราดจากด้านบน ใช้น้ำล้างครั้งสองครั้งแล้วเก็บผ้าขึ้นมา เก็บทองคำด้านบนเทลงในถาดขุดทอง สุดท้ายจับถาดขุดทองเขย่ากับน้ำอย่างต่อเนื่อง ใช้แรงเหวี่ยงเพื่อล้างของเสียที่มีน้ำหนักเบาออก สุดท้ายก็เก็บทองคำออกมา น่าเสียดายที่ในต้าถังปรอทแพงเกินไป ล้วนแต่ถูกคนที่ชื่นชอบเก็บสะสมซื้อไปในราคาสูง กลั่นกินเป็นยา เพราะฉะนั้นโต้วเยี่ยนซานผู้ยากจนที่น่าสงสารคนนี้ถึงได้ไม่มี มิเช่นนั้นอวิ๋นเยี่ยก็คงจะไม่ยอมเสียทองคำเม็ดสุดท้ายไปแม้แต่นิดเดียว
ทองคำของชนเผ่ามาจากแม่น้ำลำธาร แม่น้ำที่คดเคี้ยวไหลออกมาจากถ้ำ มีร่องรอยว่าเคยมีน้ำท่วมทั้งสองฝั่ง มองไปที่ถ้ำ อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่ามีเหมืองทองคำที่อุดมสมบูรณ์ในภูเขาลูกนี้ มิเช่นนั้นในแม่น้ำก็คงไม่มีทองคำ พวกชาวบ้านต้องใช้ความอดทนอย่างมากในการเก็บทองคำ พวกเขากรอกทรายขึ้นมาหนึ่งกำมือ พระเจ้า ไม่แปลกที่พวกเขาต้องเก็บสะสมอย่างน้อยชั่วอายุคนในการหล่อเครื่องทอง
ในถ้ำจะต้องมีทองคำมากกว่าแน่นอน แต่อวิ๋นเยี่ยไม่คิดที่จะบอกโต้วเยี่ยนซาน คนสมัยก่อนมีความกลัวถ้ำตามธรรมชาติ โดยเฉพาะถ้ำที่ผลิตทองคำเช่นนี้ คิดว่าทองคำคือสิ่งที่สวรรค์มอบให้ มีความสามารถมากเพียงใดก็ตาม หากไปขุดเอาทองคำ ก็จะทำให้พระเจ้าโมโหและก่อให้เกิดภัยพิบัติอย่างน่าอัศจรรย์
อวิ๋นเยี่ยชอบความเชื่อเช่นนี้ของคนสมัยก่อนเป็นที่สุด หลี่ซือหมินใช้ถ้วยแตกกินข้าว เขายังคิดว่าถ้วยของตัวเองสมบูรณ์แบบเกินไป เขาจงใจเคาะถ้วยให้มีรอยแตก หมายความว่าต้องเป็นของที่มาจากสวรรค์เท่านั้นถึงจะสมบูรณ์แบบ เขาไม่กล้าเทียบกับพระเจ้า ใช้แค่ถ้วยที่มีรอยแตกก็พอ
มีหญ้าสีเขียวชนิดหนึ่งที่อร่อย แต่มีไม่มาก ต้องเดินเข้าไปในป่าอีกเล็กน้อย ขณะพึ่งจะเดินไปได้สองก้าว งูที่มีขนาดเท่าแขนก็พันรอบขาหน้าของวั่งไฉ หดตัวรัดขาของมัน วั่งไฉตกใจ ยกข้างหน้าวิ่งไปหาอวิ๋นเยี่ย
ได้ยินเสียงร้องของวั่งไฉ อวิ๋นเยี่ยก็รีบกระโดดขึ้นมา ตะโกนเรียกคนรับใช้ของตระกูลโต้วมาช่วยเหลือ คิดว่ามีสัตว์ร้ายโผล่ออกมา
เดินเข้ามาดู เห็นงูรัดที่ขาหน้าวั่งไฉ แลบลิ้นออกมาและกำลังจะเลื้อยขึ้นไปรัดคอของวั่งไฉ อวิ๋นเยี่ยหยิบจอบขึ้นจากพื้น ตีเข้าที่หัวของงูหลาม มันงอหัวลงมา แต่ตัวกลับไม่ขยับไปไหน ยังคงรัดขาหน้าของวั่งไฉอย่างแน่นหนา วั่งไฉร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
พวกคนรับใช้ของตระกูลโต้วเอาแต่หัวเราะดูความสนุกสนาน ไม่มีใครมาช่วยอวิ๋นเยี่ยสักคน อวิ๋นเยี่ยสงบสติอารม์ลง หยิบมีดของตัวเองออกมา แทงเข้าที่หัวงูสองสามครั้ง จากนั้นก็ตัดหัวงูออก อวิ๋นเยี่ยเห็นอย่างชัดเจนว่ากล้ามเนื้อสีขาวของงูหลามบวมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ค่อยๆไหลตกลงมาจากขาของวั่งไฉ หางของมันยังคงดิ้นไม่หยุด
เตะงูหลามออกไปข้างๆ ตรวจสอบวั่งไฉที่มาหลบอยู่ข้างหลังตัวเองอย่างละเอียด นอกจากรอยเลือดที่ขาเล็กน้อยก็ไม่มีบาดแผลอื่นๆ โชคดีที่มันเป็นงูหลาม ไม่ใช่งูพิษ มิเช่นนั้นอวิ๋นเยี่ยคงจะร้องไห้จนไม่มีน้ำตา
มองไปยังไอ้พวกที่เห็นคนอื่นเดือนร้อนแล้วมีความสุขพวกนั้น ทันใดนั้นอวิ๋นเยี่ยก็อยากจะฆ่าคนขึ้นมาทันที เป็นท่านโหวมากนานแล้ว ก็พอจะมีความน่าเกรงขามอยู่บ้าง พวกคนรับใช้ต่างพากันก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หยิบขนมออกมาชิ้นหนึ่ง มันคือขนมที่แอบหยิบมาตอนที่ไปเยี่ยมโต้วเยี่ยนซาน ถึงแม้ว่าจะแข็ง แต่มันก็เป็นขนม ยัดเข้าไปในปากของวั่งไฉให้มันเลิกตกใจ จนถึงตอนนี้มันก็ยังตัวสั่นไปหมด
อยู่ในป่าเขาไม่เคยพลาดโอกาสที่จะเสริมแคลอรี่ ใช้ตะปูตอกศพของงูเหลือมไว้บนต้นไม้แห้งที่ไม่มีปลิง สับหัวออกแล้วลอกหนังออก
ลอกหนังออกอย่างเรียบเนียน งูขนาดยาวเกือบสองเมตร มีน้ำหนักกว่าห้ากิโล งูป่าช่างสกปรกมากจริงๆ แล้วยังมีปรสิตจำนวนมากอยู่ใต้หนัง นี่คือเหตุผลที่อวิ๋นเยี่ยไม่ชอบกินพวกสัตว์ป่า ปกติสัตว์ป่าก็จะมีปรสิตอยู่แล้ว โรคระบาดใหญ่ที่คร่าชีวิตคนจำนวนมากในยุคหลังไป ก็เป็นเพราะว่านิสัยที่กินไม่เลือกนี่ล่ะ
เขาไม่คิดที่จะปล่อยงูตัวนี้ไป โต้วเยี่ยนซานร่างกายอ่อนแอ ต้องการอาการที่มีแคลอรี่สูงเพื่อรักษาร่ายกาย เอางูตัวนี้ไปเสริมคุณค่าทางโภชนาการให้เขา นี่ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของเพื่อนที่ดี
เหล่าโต้วชอบกินของดิบเป็นพิเศษ บางทีเขาอาจจะชอบกินงูดิบตัวนี้ ได้ยินมาว่าเฉินเติงที่ปรึกษาชื่อดังในสามก๊ก เพราะว่าชอบกินของดิบ สุดท้ายกินปรสิตไปเต็มท้อง ในที่สุดท้องของเขาก็ใหญ่ราวกับกลอง ร่างกายซูบผอม ท้องของเขาเต็มไปด้วยปรสิต อวิ๋นเยี่ยมองดูปรสิตที่คืบคลานเข้าไปในเนื้องูภายใต้แสงแดดอย่างช้าๆ เขาก็พยักหน้าด้วยความพอใจ นี่เป็นอาหารเสริมคุณค่าทางโภชนาการที่ดี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น