เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 8 ตอนที่ 57-59

 [ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 57 พระเจ้าโปรดคุ้มครองลูกชายที...

 

ระหว่างผู้ชายทั้งสองคนมักจะมีหัวข้อสนทนาที่ทะลึ่งอยู่เสมอ ทั้งสองคนกระซิบกระซาบกันบนโต๊ะเล็กๆ ชี้ไปทางฮูหยินที่เดินไปเดินมาในสวนเป็นครั้งเป็นคราว คนที่กล้าหาญหน่อยก็ถ่มน้ำลายออกมาจากปาก คนที่ขี้อายหน่อยก็หน้าแดงเดินเข้าไปในบ้านไม่ยอมออกมา 


 


 


“วันนี้พึ่งจะรู้ว่าสหายเป็นถึงโหวเจวี๋ยมาตลอด ช่างโชคดีเหลือเกิน เป็นขุนนางหน้าด้าน ใจดำ ไร้ยางอาย เจ้าใช้อาวุธวิเศษทั้งสามอย่างนี้ได้อย่างชำนาญ แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าซุนเฟิงซั่นเห็นผลจริงๆ จิ่วเหนียงเป็นคนที่เคยผ่านความยากลำบากมา มีจิตใจเข้มแข็ง ใช่ว่าผู้หญิงธรรมดาอ่อนแอพวกนั้นจะเทียบได้” 


 


 


“ข้าแน่ใจ ต่อให้นางเป็นผู้หญิงที่หนักแน่น ใจศีลธรรม แต่หากเจ้าใช้ยาอันนี้ก็ยากที่จะหนีพ้นเงื้อมมือของเจ้าไปได้” 


 


 


“ทำไมเจ้าถึงแน่ใจเช่นนี้ ราวกับว่าเจ้าเคยใช้มาก่อน” พูดประโยคนี้จบ เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยไม่พูดไม่จา เขาก็ถามด้วยความประหลาดใจ “หรือว่าเจ้าเคยใช้ยานี้จริงๆ? ใครกัน ใช้ยานี้กับผู้ชายหรือผู้หญิง?” ถามเสร็จ เขาก็ขยับถอยไปข้างหลัง 


 


 


“องค์หญิงน่ะ องค์หญิงองค์โตของต้าถัง ตอนนี้หลานของเจ้าหนึ่งขวบแล้ว หากใช้กับผู้ชาย เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเผาเมืองฉางอันทิ้งให้หมด” ไม่ว่าจะเป็นใคร เรื่องฉาวโฉ่ถูกเปิดเผยเช่นนี้ก็ต้องรู้สึกอับอายกันทั้งนั้น 


 


 


ซีถงหัวเราะเสียงดัง ตัวสั่นจนฝุ่นบนชายคาตกลงมา อวิ๋นเยี่ยตกใจเล็กน้อย แล้วก็หัวเราะตาม เอาเรื่องที่น่าอายออกมาพูดต่อหน้าสหาย มันกลับกลายเป็นเรื่องที่น่าตลกขบขันไปเสียได้ 


 


 


หลังจากนึ่งเนื้อปลาวาฬจนสุก พวกเด็กๆ เข้ามาล้อมรอบพ่อของตัวเองตามความเคยชิน ผู้ใหญ่ทั้งสองคนยังไม่ทันได้กิน ยกตะเกียบป้อนให้พวกเด็กๆ กินกันก่อน 


 


 


“นี่คือความหวังของเจ้า?” อวิ๋นเยี่ยชี้ไปยังพวกเด็กๆ ที่พึ่งจะกินเนื้อปลาอิ่มและพากันแยกย้ายออกไป เห็นได้ชัดว่าซีถงมองเด็กๆ พวกนี้ด้วยรอยยิ้ม 


 


 


“ใช่ ปีนี้ข้าก็อายุสามสิบห้าแล้ว ใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่ายมาแล้วครึ่งชีวิต พเนจรอยู่ท่ามกลางความเป็นและความตายมานานขนาดนี้ ควรจะมีรังได้แล้ว ตอนนี้ภรรยาและลูกข้าก็ไม่ขาดแคลน หลังจากที่เจ้ามา แม้แต่เสบียงอาหารก็ไม่ขาดแคลน แล้วยังจะมีอะไรที่ปล่อยวางไม่ได้อีก ตอนนี้ภูมิฐานของเด็กๆ ยังคงย่ำแย่ รอให้จิ่วเหนียงสอนหนังสือให้พวกเด็กๆ มากเพียงพอ ข้าจะพาพวกขาไปหาเจ้าที่ฉางอัน ให้พวกเขาไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษา จะได้ดีหรือไม่ได้ดีก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเขา ความรับผิดชอบของคนเป็นพ่ออย่างข้าก็ได้ทำเต็มที่แล้ว เมื่อพวกเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ มีความสามารถเลี้ยงดูแม่ของตัวเอง หากเจ้าเบื่อที่จะเป็นขุนนางแล้ว พวกเราก็ไปเดินเล่นที่ขอบฟ้าด้วยกัน พูดตามตรง ทิวทัศน์ของที่นั่นทั้งชีวิตนี้ข้าก็คงลืมมันไม่ลง” 


 


 


พูดถึงเรื่องนี้ อวิ๋นเยี่ยก็ถอนหายใจ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “อยากจะไปให้ถึงไป๋อวี้จิงคงเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะมีโอกาสที่ยิ่งใหญ่ มิเช่นนั้นก็คงจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า เรื่องบางเรื่องข้าอยากจะปิดบังเจ้า ตอนแรกเถียนเซียงจื่อจะไปไป๋อวี้จิง ข้าไม่ได้ห้ามเขาไว้ พูดได้ว่าถึงขั้นเติมเชื้อเพลิงให้กับเปลวไฟ เขาเป็นบุคคลที่อันตราย และเขาจะต้องตายแน่นอนอยู่แล้ว ยุครุ่งเรืองกำลังจะมาถึง ข้าอยากจะเห็นเรือใบอยู่เหนือน่านน้ำทั้งแปดของฉางอัน พ่อค้ามีมากมายราวกับก้อนเมฆ ข้าอยากจะเห็นใบหน้าของราษฎรเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ 


 


 


แต่เถียนเซียงจื่อนั้นถือเป็นศัตรูของสิ่งสวยงามทั้งหมด เขามองลอดผ่านโลกมาแล้วหลากหลายรูปแบบ ความเป็นความตายของทุกคนไม่สำคัญสำหรับเขา รวมถึงชีวิตของตัวเขาเอง เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้วเขาไม่ลังเลที่จะพาทุกคนไปตายพร้อมกับเขา คนที่ฉลาดจนกลายเป็นปีศาจนั้นน่ากลัวเพียงใด ข้าเห็นแล้วว่าต้าถังแบกรับความทรมานเช่นนี้ไม่ไหว” 


 


 


“เช่นนั้น ทั้งๆ ที่เจ้ารู้ว่าเขาไปไม่ถึงไป๋อวี้จิง แต่กลับชี้ทางให้เขาไป ให้เขาตายไปพร้อมกับความฝันของเขาน่ะหรือ” ซีถงก้มหน้าลงด้วยความโศกเศร้าแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ย “เขาจะตายอยู่แล้วยังขอบคุณเจ้า” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยถึงกับมือสั่น จอกเหล้าหลุดออกจากมือตกลงบนพื้น การจัดการชีวิตคนอื่นไม่ใช่ประสบการณ์ที่มีความสุข ถึงแม้ว่าจะมีจุดประสงค์ที่สูงส่งมากก็ตาม 


 


 


“ข้ารู้ว่าท่านอาจารย์เถียนเข้าไปในไป๋อวี้จิงไม่ได้ เขาฆ่าคนมากเกินไป ตอนแรกข้าก็ติดตามท่านอาจารย์เถียนอยู่ข้างหลัง เฝ้าดูว่าเขาล่อให้จูเจี๋ยไปกินคนอย่างไร เขามีหนังสือลับเล่มหนึ่ง บันทึกว่ากินคนคนหนึ่งจะได้เลือดของคนคนนั้นแล้วอายุยืนนานมากขึ้น ปรากฏว่ามันไม่ใช่เช่นนั้นเลย และเพื่อพิสูจน์ว่าหนังสือเล่มนั้นเป็นเพียงบันทึกเหลวไหล จูเจี๋ยก็กินคนไปอย่างน้อยสามร้อยคน สุดท้ายแม้แต่ภรรยารองของตัวเอง ลูกชายของตัวเองก็กิน จูเจี๋ยไม่ใช่คนอีกต่อไป เขาหงุดหงิด ขี้โมโห ดวงตาทั้งสองเป็นสีแดงเลือด เห็นคนทุกคนราวกับเห็นอาหาร เขากลายเป็นวิญญาณชั่วร้าย กลายเป็นสัตว์ร้าย ที่กำลังจะถูกชะล้างจิตวิญญาณสุดท้ายไป 


 


 


ท่านอาจารย์เถียนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขาพูดแค่เพียงน่าเสียดาย จากนั้นก็เผาหนังสือเล่มนั้นและพาพวกเราจากไป ต่อมาจูเจี๋ยก็ถูกผู้คนทั้งโลกรุมล้อม ถูกเผาทั้งเป็นในจวนของตัวเอง ข้าคิดว่าวินาทีสุดท้าย ข้าอยากจะขอร้องให้ท่านอาจารย์เถียนปล่อยเขาไป แต่น่าเสียดายที่เขากลายเป็นคนล้มเหลวที่ไร้ประโยชน์เสียแล้ว ท่านอาจารย์เถียนจึงทอดทิ้งเขาไป 


 


 


ดังนั้นข้าคิดว่า ท่านอาจารย์เถียนถูกเจ้าหลอกล่อ และสุดท้ายก็ตายไปด้วยความโศกเศร้าและสิ้นหวัง นี่คือการจัดการที่ดีที่สุดของพระเจ้าแล้ว เหตุผลที่ข้าติดตามเขาจนถึงวินาทีสุดท้าย เพราะต้องการจะดูว่าพระเจ้ามีตาหรือไม่ สุดท้ายปรากฏว่าดีมาก ดีที่สุด ตอนที่เขากำลังจะหมดลมหายใจลง ข้าแทบจะกราบไหว้พระเจ้า ฟ้ามีตา เขายุติธรรมกับทุกคนจริงๆ” 


 


 


พูดเสร็จซีถงก็รินเหล้าสามจอก อุทิศให้กับพระเจ้า 


 


 


“ตอนที่ข้าอยู่ที่เขาเหยี่ยเหรินซาน[1] ข้าก็เคยรู้สึกสับสน โดยเฉพาะหลังจากที่โต้วเยี่ยนซานตาย ตอนที่ข้าฝังเขา ที่จริงตอนนั้นข้าอยู่ในสภาพของการฝันละเมอ หากมีงูพิษหรือสัตว์ร้ายอะไรเข้ามาข้าก็คงจะตายไปแล้วเช่นกัน แต่พระเจ้าไม่ให้ข้าตาย งูพิษและสัตว์ร้ายในป่าดูเหมือนว่าล้วนแต่พากันหลบหนีข้า ไม่มีสิ่งใดที่น่ากลัว แม้แต่ปลิงที่สามารถพบเห็นได้ทุกที่ก็ดูเหมือนจะพากันหลบซ่อนตัว ตอนนั้นข้าคิดว่า ข้าเป็นที่รักของสรวงสวรรค์ ข้ามีสิทธิ์ฆ่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่อยู่บนโลกใบนี้ จนกระทั่งข้าได้เห็นหลุมขนาดใหญ่ถึงได้เข้าใจว่าข้าโชคดี พื้นโลกสั่นสะเทือน สัตว์ร้ายพากันซ่อนตัว มันเป็นเรื่องปกติ 


 


 


หลังจากออกมาจากเขาเหยี่ยเหรินซาน ข้ามีความทรงจำที่ดีในช่วงหนึ่ง พวกเขาปลอบประโลมหัวใจของข้า การเต้นรำที่ร่าเริง เสียงเพลงที่ไพเราะ ผู้คนที่มีจิตใจดีและความรักที่เรียบง่ายทำให้กลิ่นอายการฆาตกรรมอันน่ากลัวในใจของข้าสงบลงไปมาก สิ่งที่หลงเหลืออยู่ทำให้ข้าต้องส่งคนกว่าสองร้อยชีวิตสังเวยความตาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าไม่มีใครรอดพ้นกับดักเทพภูเขาตีกลองของข้าไปได้ แล้วข้ายังลอกหนังหัวที่หลงเหลืออยู่ของคนที่ช่วยชีวิตข้าไว้มาทำเป็นโครงกะโหลก จะเอากลับไปเก็บสะสมไว้ที่บ้าน ข้าตะโกนสาปแช่งสรวงสวรรค์ท่ามกลางพายุทอร์นาโด หวังว่ามันจะพาข้ากลับไปยังที่ที่ข้าจากมา แต่พวกเขาไม่ต้องการข้า ไม่มีใครไม่ต้องการข้า! ข้าเป็นเด็กกำพร้าที่น่าสงสารที่สุดในโลก…” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยเริ่มพูดจามีชั้นเชิง แต่ต่อมาเขากลับยิ้มและมีน้ำตาไหลลงมา มุมปากยังคงยิ้ม หยดน้ำตาไหลผ่านมุมปาก ไหลหยดลงมาจากคาง รอยยิ้มนั้นช่างทำให้คนปวดใจเสียยิ่งกว่าการร้องไห้ 


 


 


ซีถงยื่นจอกเหล้าให้อวิ๋นเยี่ยบอกให้เขาดื่มให้หมด อวิ๋นเยี่ยเห็นตัวหนังสือที่เขียนคำว่ายี่สิบแปดบนโถเหล้าผ่านดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา เขาผลักมันไปอีกด้านหนึ่ง หยิบโถเหล้าที่มีตัวหนังสือคำว่าหกสิบ ตบมือลงบนพื้นกอดโถเหล้าร้องไห้ ดื่มไปไม่ถึงครึ่งก็ฟุบหน้าลงบนชามอาหารอย่างไม่รู้เรื่องราวอะไรอีก 


 


 


ดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือพื้นดินสูงเท่าต้นไม้ไผ่สามต้นอวิ๋นเยี่ยถึงได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาปวดหัวราวกับถูกลาเหยียบเป็นหมื่นครั้ง เอาหัววางลงบนโต๊ะ ลูบขมับและเริ่มรื้อฟื้นความทรงจำของเมื่อวานขึ้นมาจากความว่างเปล่า นึกถึงคำพูดที่ตัวเองพูดออกมาเป็นคำสุดท้าย เขาก็ตบเข้าที่หน้าตัวเองสองที เอาตัวเองไปเปิดเผยต่อหน้าคนอื่นสนุกนักหรือ 


 


 


เด็กอายุขวบกว่าโผล่หัวเข้ามาจากทางหน้าต่าง เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยตื่นแล้วจึงตะโกนออกไปข้างนอก “พ่อ ลุงอวิ๋นตื่นแล้ว กำลังขยี้หัว” 


 


 


ซีถงที่หัวเต็มไปด้วยก้านใบหญ้าโผล่หัวเข้ามาชำเลืองมอง ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าดื่มเหล้าแล้วไม่กะล่อนปลิ้นปล้อน ที่แท้เหล้าของตระกูลเจ้า ตัวเลขยิ่งเยอะเหล้ายิ่งแรง คราวนี้ข้ารู้แล้ว หากคราวหน้าเจ้าหลอกข้าอีก ข้าจะเทเหล้าที่มีตัวเลขเยอะที่สุดสามโถให้เจ้าซะ ตอนอยู่ที่บ้านของเจ้า ถูกเจ้าหลอกจนน่าสงสาร ข้าสงสัยมาตลอดเลยล่ะว่าดูจากทรงของเจ้าก็ไม่ใช่คนที่ดื่มเหล้าเก่ง แต่กลับดื่มกับข้าได้ถึงขนาดนั้น คนที่เมาเละเป็นข้าตลอด” 


 


 


“รีบลืมเรื่องที่ข้าพูดกับเจ้าเมื่อวานไปให้หมด ระวังข้าจะฆ่าคนปิดปาก เจ้ารู้ว่าหากขุนนางฆ่าคนปิดปากขึ้นมา มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา ข้าพึ่งจะฆ่าคนไปสองร้อยกว่าคน ข้าเป็นราชาปีศาจที่ฆ่าคนโดยที่แทบจะไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ” 


 


 


“ราชาปีศาจอะไรกัน ฆ่าคนไม่กี่คนก็รู้สึกผิดโหยหวนทั้งคืน เจ้าเป็นแม่ทัพ ฆ่าคนเป็นเรื่องปกติ จะรู้สึกผิดทำไมกัน แค่สองร้อยกว่าคน เมื่อก่อนตอนที่ข้าฆ่าโจร เลือดเต็มตัวข้าไปหมด โลกภายนอกก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเหยี่ยเหรินซานสักเท่าไหร่นัก หากให้ข้าเลือก ข้ายอมเลือกเขาเหยี่ยเหรินซาน ไม่มีทางเลือกวิ่งออกมารับกรรมข้างนอกหรอก รีบทำงานของเจ้าให้เสร็จดีกว่า จะได้ไปเที่ยวจุดสิ้นสุดของสรวงสวรรค์และโลกมนุษย์ด้วยกัน” 


 


 


“จุดสิ้นสุดอะไรกัน หากเจ้าเดินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ เดินไปสักสองสามปี เจ้าจะเห็นว่าตัวเองกลับมาอยู่ที่เดิม ไม่เชื่อ เจ้าก็ลองดู หากเรามุ่งหน้าไปทางทิศใต้จากฉางอัน สุดท้ายก็จะกลับมาอยู่ที่ฉางอัน เช่นเดียวกับลาที่ขนเมล็ดพืช เรื่องโง่ๆ เช่นนี้ ข้าไม่ทำหรอก” 


 


 


“เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ เช่นนั้นคำพูดที่ว่าเดินทางออกไปทางเหนือจะไปถึงทางใต้ก็ผิดอย่างนั้นหรือ” สีหน้าของซีถงเต็มไปด้วยความสงสัย 


 


 


“แน่นอนว่าผิด คนโง่ที่ไม่รู้อะไรเท่านั้นถึงจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องตลกที่เอาไว้เล่าให้คนโง่ฟัง แต่ความจริงแล้ว ใครกันแน่ที่ตลก ใครกันแน่ที่โง่” 


 


 


ใส่เสื้อตัวเดียว เอาหัวแช่ลงไปในน้ำอุ่นจนแทบหายใจไม่ออก ถึงได้พ่นฟองอากาศ เงยหน้าขึ้นมาหายใจ ถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะรู้สึกกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ช่างสวยงาม แต่ก็ไม่กล้าที่จะชักช้าเสียเวลาอีกต่อไป หลี่ซื่อหมินคงกำลังรอสมบัติล้ำค่าอยู่ที่เมืองหลวง เตรียมจะยั่วยุพวกคนร่ำรวยมีอำนาจพวกนั้น ตอนนี้การได้เห็นความปวดใจของพวกเขาคือความสุขที่ชั่วร้ายที่สุดของหลี่ซื่อหมิน 


 


 


กินข้าวต้มไปชามหนึ่ง หลิวจิ้นเป่าใส่ชุดเกราะให้อวิ๋นเยี่ย เตรียมพร้อมออกเดินทางอีกครั้ง ซีถงกำลังยุ่งอยู่กับการเอากองฟางไปตากแห้ง แค่เพียงยิ้มและโบกมือให้เขาเท่านั้น แล้วก็ยุ่งกับงานเกษตรของเขาต่อไป 


 


 


รู้ดีว่าซีถงไม่ชอบความรักที่มากจนเกินไป ตัวเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน อวิ๋นเยี่ยลูบหัวเด็กๆ สองสามคน และพูดบอกให้ฮูหยินคนที่ออกมาส่งเขาให้ดูแลตัวเองจากนั้นก็ขึ้นขี่วั่งไฉกลับไปที่ค่าย 


 


 


ในวันที่ดีๆ เช่นนี้ควรทิ้งความจริงไว้ที่เหอเป่ย ตัวเองเดินทางกลับฉางอันด้วยความผ่อนคลาย กลับไปเสแสร้งแกล้งทำวนเวียนอยู่ท่ามกลางความร่ำรวยและอำนาจก็คงจะไม่เลว คนเราก็ต้องมีตอนที่จริงใจอยู่บ้าง หากเสแสร้งแกล้งทำนานเกินไป เรื่องไม่จริงมันก็คงจะกลายเป็นเรื่องจริง นี่คือสภาพแห่งอาณาจักร ตัวเองยังไม่ถึงจุดที่เสแสร้งแกล้งทำจนกลายเป็นเรื่องจริงได้ 


 


 


ขี่ม้าดึงหญ้าหางสุนัขเข้าปากอีกครั้ง กำลังจะหลับตาลิ้มรสหญ้าสีเขียวสด ดูเหมือนจะมีเสียงเพลงที่อ้างว้างและลึกซึ้งดังออกมาจากด้านหลัง “พระเจ้าโปรดคุ้มครองลูกชายที่น่าสงสารของข้า…” 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] เขาเหยี่ยเหรินซาน มาจาก 野人山 แปลว่าเขาของคนป่าเถื่อน

 

 

 


[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 58 ศัตรูที่หาได้ยาก

 

ได้ยินประโยคสุดท้ายไม่ค่อยชัด จำได้แค่ประโยคที่พูดว่า “พระเจ้าโปรดคุ้มครองลูกชายที่น่าสงสารของข้า” อวิ๋นเยี่ยยังคงฮึมฮำประโยคนี้เบาๆ ไม่หยุด เขาใช้ทุกสำเนียงทุกภาษา จิตใจเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย คนที่โชคร้ายบนโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่ตัวเองเพียงคนเดียว ยังมีคนที่แย่กว่านั้น เมื่อคิดเช่นนี้มองอะไรก็เจริญหูเจริญตาไปหมด วั่งไฉเอาหัวของมันวางไว้บนก้นม้าศึกของหลิวจิ้นเป่า ท่าทางช่างไร้เดียงสา เด็กน้อยที่ยืนน้ำมูกไหลอยู่ข้างถนนก็ช่างน่ารัก คนง่อยที่กำลังทุบตีภรรยายกมือขึ้นโบกไปมาช่างสง่างาม…


การที่เขามีอาการแบบนี้ทั้งวันทำให้พวกขุนนางคนอื่นๆ คิดว่าท่านโหวถูกปีศาจครอบงำ เพราะว่าท่านโหวชื่นชมในการไว้หนวดเคราของตัวเอง ส่งท่านโหวผู้สูงศักดิ์ขึ้นเรือราวกับส่งคนที่เป็นโรคระบาดขึ้นเรือ ตอนมาเรือของท่านโหวเต็มไปด้วยเสบียงอาหาร ตอนกลับทั้งเรือก็เต็มไปด้วยสาหร่ายทะเล สรุปก็คือเรือขนของเต็มลำทั้งขามาและขากลับ สำหรับเรื่องที่ท่านโหวควักเงินออกมาซื้อสิ่งของที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ ขุนนางในพื้นที่คิดว่าเป็นการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมของท่านโหวผู้สูงศักดิ์ ก็คือการให้เงินเล็กๆ น้อยๆ แก่ผู้ประสบภัย ให้พวกเขาได้มีเงินเก็บมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงชีวิต สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือท่านโหวตั้งใจที่จะทำความดีแบบนี้ต่อไป เขาจะแจกจ่ายเงินให้กับผู้ประสบภัยในเหอเป่ยทุกปี


พวกผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่ได้แต่งกลอนยกย่องความเอื้ออาทรของท่านโหวขึ้นมาหลายบทกลอน คนสอดแนมของหน่วยข่าวกรองได้สืบสวนจากอีกแง่มุมหนึ่ง สุดท้ายได้ผลสรุปคืออวิ๋นเยี่ยไม่ได้ใช้เงินเพื่อซื้อคะแนนจากราษฎร เพียงแค่อาการของคนที่ชอบล้างผลาญสมบัติได้กำเริบขึ้นเท่านั้น แค่ไม่อยากเห็นคนเดือดร้อน ใช่ว่าอยากจะทำตัวให้โดดเด่น


การที่ขุนนางแอบขนส่งของหนีภาษี ราษฎรรู้สึกชินตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร โดยเฉพาะมีทายาทจอมล้างผลาญผู้หนึ่งที่ใช้เงินจำนวนมากในการซื้ออาหารหมูสิบกว่าลำเรือ ไม่นานก็กลายเป็นเรื่องตลกที่สุดในเมืองเหอเป่ย หลิวจิ้นเป่านำข่าวมารายงานท่านโหวของเขาอย่างไม่สบายใจ แต่ท่านโหวกลับหัวเราะออกมาอย่างเสียงดัง บอกว่าแม้จะไม่ได้มีเรื่องที่ดีให้คนอื่นพูดถึง แต่ก็ยังดีที่มีเรื่องตลกสร้างความบันเทิงให้แก่ราษฎร


การแล่นเรือสวนกับกระแสน้ำนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกครั้งที่ไปถึงในแต่ละเมืองก็จะมีคนใช้แรงงานที่ไม่ได้ค่าแรงคอยดึงเชือกเดินอยู่บนบกเพื่อส่งเรือของทางการออกจากเขตของตัวเอง และเรือของทางการก็ใช้แรงงานคนพวกนี้โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง


อวิ๋นโหวเริ่มมีความคิดแปลกๆ อีกครั้ง เขาเตรียมที่จะจ่ายเงิน เมื่อขุนนางได้ยินเรื่องนี้ก็รู้สึกตกใจ หากอวิ๋นเยี่ยคิดจะทำเช่นนั้นจริงๆ ขุนนางคนอื่นๆ จะต้องจ่ายเงินด้วยหรือไม่? สินค้าหนีภาษีของขุนนางต่างก็ใช้เรือของทางการในการขนส่ง จะต้องจ่ายเงินด้วยหรือ งั้นตัวเองจะมาเป็นขุนนางเพื่ออะไร ไม่ใช่เพราะอยากจะได้ผลประโยชน์พวกนี้หรอกหรือ หากไม่มีผลประโยชน์พวกนี้ ใครที่ไหนจะมายอมทำงานที่ได้เงินเดือนน้อยนิดเช่นนี้ คิดว่าข้าจะอาศัยน้ำพักน้ำแรงตัวเองหาเงินไม่ได้หรืออย่างไร


ขุนนางที่มาเกลี้ยกล่อมถูกขับไล่ออกไปหมด ขุนนางบางคนที่พยายามขอร้องท่านโหวให้ไม่ต้องจ่ายเงินก็ถูกพวกทหารจับโยนลงน้ำ ท่านโหวได้พูดไปแล้ว นอกจากพวกขุนนางจะดึงเชือกกันเอง ตระกูลอวิ๋นไม่มีทางเอาเปรียบคนยากคนจน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนทำงานหนักพวกนั้น แม้แต่เรือของทางการที่ท่านโหวใช้ขนสินค้าหนีภาษีเขาก็คิดไว้แล้วว่าจะจ่ายเงิน


อู๋เสอ เหอจงอู่ และหงเฉิงที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารได้ยินอวิ๋นเยี่ยกำลังพูดถึงเหตุผลว่าทำไมจึงทำเช่นนี้


“ตั้งแต่สมัยโบราณ การที่มาเป็นขุนนางก็เพื่อเชิดหน้าชูตาให้กับพ่อแม่ สร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง คนที่มีตำแหน่งสูงส่งแต่กลับขูดเลือดขูดเนื้อจากราษฎร กลั่นแกล้งคนอื่นเพื่อความสุขของตัวเอง พฤติกรรมที่เลวร้ายเช่นนี้ได้แพร่ขยายไปทั่วทุกพื้นที่มาเป็นเวลาหลายพันปี ตั้งแต่ต้าอวี่กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวก็ได้มอบสิทธิอำนาจของตัวเองให้แก่ลูกชายที่มีนามว่าเซี่ยฉิง กระทั่งได้กำเนิดราชวงศ์ขึ้น ในตอนนี้เองที่พวกตระกูลทั้งหลายก็ได้เริ่มขึ้น และช่วงเวลานี้ก็ได้เริ่มมีการแบ่งชนชั้น ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ดีหรือไม่ดี ชนชั้นนั้นเป็นสิ่งที่แปลก บางครั้งอาจกระตุ้นให้คนก้าวหน้า แต่บ่อยครั้งมันก็เป็นข้ออ้างในการบีบบังคับผู้อื่น พวกคนดึงเรือที่อยู่ด้านนอกได้ทำตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ หากบนเรือไม่ได้บรรทุกสาหร่ายทะเล ข้าก็คงจะใช้งานพวกเขาได้อย่างสบายใจ เรือของเราเป็นเรือรบ เรามีสิทธิ์ที่จะใช้แรงงานพวกเขา แต่เมื่อเรือของเราบรรทุกสาหร่ายทะเล เรือของเราก็จะไม่ใช้เรือรบอีกต่อไป แต่เป็นเรือค้าขาย ดังนั้นพวกเราต้องจ่ายเงิน จะขาดไปแม้แต่เหรียญเดียวไม่ได้ คืนคุณค่าที่แท้จริงให้กับการใช้แรงงาน


เช่นนี้แล้วกลุ่มคนใจดำที่ใช้เรือของทางการก็ไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้อีกต่อไป ไม่ใช่เพียงเพราะว่าพวกเขาเอาเปรียบประเทศชาติ แต่สิ่งที่น่าเกลียดกว่านั้นก็คือสินค้าที่พวกเขาขนส่งจะมีค่าขนส่งน้อยกว่าของราษฎรมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นสินค้าอย่างเดียวกันตาม ซ้ำผลกำไรยังสูงกว่าคนอื่น จะให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ ตอนที่เริ่มวิ่งเจ้านำหน้าไปก่อน เมื่อเวลาผ่านไปนาน พ่อค้าธรรมดาจะกลายเป็นพ่อค้าของขุนนาง กิจการของราษฎรจะปิดตัวลงทั้งหมด บางคนก็ทำตัวเละเทะ บางคนก็ไปเป็นโจร ต้าถังจะเริ่มไม่สงบสุข และที่สำคัญคือพวกขุนนางไม่ต้องเสียภาษี”


พูดเสร็จอวิ๋นเยี่ยก็เดินออกไป ไม่สนว่าพวกเขาจะฟังรู้เรื่องหรือไม่ เถ้าแก่ตระกูลเฉิงกลับกล้าวิ่งเข้ามาร้องทุกข์ ไม่รู้ไปได้ความกล้านี่มาจากไหน อยากจะระบายความโมโหอัดเข้าให้แรงๆ สักที ทำท่าทางร้องไห้อย่างกับเด็กขี้แย


อวิ๋นเยี่ยไม่ได้บ้า เขาเพียงแค่คิดว่าในเมื่อตัวเองเป็นขุนนางก็ต้องแสดงบทบาทนี้ให้ดี เมื่อกลับบ้านไปเป็นพ่อค้าก็ต้องแสดงบทบาทของพ่อค้าให้ดี และต้องทำอย่างจริงจังด้วย เป็นขุนนางก็ต้องเป็นขุนนางที่ดี เป็นพ่อค้าก็ต้องทำมันให้ถึงสุดความสามารถของตัวเอง เป็นอาจารย์ก็ต้องสั่งสอนลูกศิษย์ออกมาให้ดี การผจญภัยที่ยากลำบากในครั้งนี้ทำให้เขารู้ว่าหากจะแสดงละครก็ต้องแสดงอย่างเต็มที่


ตอนนี้บทบาทของอวิ๋นเยี่ยก็คือขุนนางที่ดีและไม่เห็นแก่ตัว เถ้าแก่ตระกูลเฉิงถูกลากไปเฆี่ยนตี จากนั้นก็ได้รับค่าทำขวัญเป็นเงินสิบเหรียญ เขานอนหมอบอยู่ที่พื้นแล้วหัวเราะด้วยความเจ็บปวด


หากเรือออกไปนอกเขตแดน อวิ๋นเยี่ยก็จะนำลูกคิดออกมาคำนวณอย่างละเอียดว่าควรจะให้เงินคนลากเรือเท่าไหร่ถึงจะพอดี เรือทางการที่ถูกกองทัพเรือขวางทางไว้ด้านหลัง หากพวกเขามีสินค้าหนีภาษีก็ต้องยอมจ่ายแต่โดยดี มิเช่นนั้นกองทัพเรือของอวิ๋นเยี่ยก็จะขวางทางไว้ไม่ให้เขาเข้าไปได้แม้แต่นิดเดียว


อวิ๋นเยี่ยทำเรื่องเช่นนี้มาตลอดทาง จนกระทั่งหลี่ซื่อหมินมีพระราชโองการให้เขากลับเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด เมื่อไม่มีอะไรทำแล้วก็ไม่ควรไปหาเรื่องใส่ตัว เขาไม่ใช่คนดีอะไร ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำ รีบกลับมาโดยเร็วที่สุด หากมาช้าจะถูกตัดขา


อวิ๋นเยี่ยมองไปบนท้องฟ้าแล้วถอนหายใจถึงสามคำรบ มีคำสั่งให้รีบกลับเมืองหลวงโดยเร็ว หลี่ซื่อหมินช่างเป็นคนที่ฉลาดเสียจริง โง่สักหน่อยจะตายหรืออย่างไร


หลิวจิ้นเป่าสับสนอย่างมาก หงเฉิงก็เช่นกัน เหอจงอู่รู้สึกนับถือหลี่ซื่อหมินเป็นอย่างมาก ส่วนอู๋เสอก็แอบหัวเราะอยู่คนเดียวในห้องโดยสารราวกับเป็ดที่กำลังจะขาดใจ


ความจริงก็หวาดกลัวการกลับเมืองหลวงอยู่หรอก ตอนนี้เมืองหลวงก็เหมือนกับรังต่อขนาดใหญ่ ตอนนี้บทบาทที่ตัวเองได้รับก็คือไม้ที่ใช้แหย่รังต่อ แน่นอนว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือหลี่ซื่อหมิน อวิ๋นเยี่ยได้ทำอะไรบางอย่างที่ไร้เหตุผลเพื่อให้หลี่ซื่อหมินสั่งปลดตำแหน่งแม่ทัพ เขาไม่อยากเป็นไม้แหย่รัง ไม่อยากเป็นเลยแม้แต่หน่อย ต่อในเมืองหลวงต่อยคนได้ แต่ละตัวมีเหล็กในเท่ากำปั้น ตัวเองเป็นคนมีเลือดมีเนื้อจะทนการต่อยของต่อทั้งรังได้อย่างไร


หลี่ซื่อหมินไม่ตกหลุมพราง ไม่พูดถึงเรื่องปลดตำแหน่งเลยแม้แต่น้อย หากอยากลาออกก็ต้องออกหลังจากที่แหย่รังต่อเสร็จแล้ว หลี่ซื่อหมินใจจดใจจ่อรอให้อวิ๋นเยี่ยถูกต่อยเข้าไปถึงกระดูกก่อนที่จะปลดเขาออกจากตำแหน่งแม่ทัพ ไม่ได้การแล้ว ต้องคิดหาวิธี ขุนนางในเมืองหลวงมักจะเห็นกันเป็นพี่เป็นน้อง ทุกคนต่างมีภรรยามากมายที่ต้องดูแล หากไม่มีเงินก้อนโต จะให้อยู่เฉยๆ ได้อย่างไร หากคิดจะสู้กับหลี่ซื่อหมิน สุดท้ายแม้แต่ชีวิตก็จะรักษาไว้ไม่ได้ มีเพียงอวิ๋นเยี่ยคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะจะทำงานนี้


เพียงแค่วันเดียวก็ทำให้อวิ๋นเยี่ยเครียดจนเหงือกบวม ใบหน้าดูแก่ลง จะหาแพะรับบาปก็ไม่มีใครที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเหล่าเฉิง เหล่าหนิว หรือว่าเหล่าฉิน หากให้พวกเขามาเป็นแพะรับบาป ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความเมตตา แม้แต่ท่านย่าก็คงจะตีตัวเองให้ตาย


หลี่จิ้งเหมาะแก่การเป็นแพะรับบาป แต่เขาซ่อนตัวอยู่ไกลสุดชายแดน ตามหาตัวจับยาก หรือจะเป็นหลี่เซี่ยวกงดี? ก็เห็นว่าจะไม่เหมาะเท่าไหร่ ครั้งที่แล้วเขาได้นำเงินหนึ่งหมื่นเหรียญให้ตัวเองไปใช้เมื่อคราวจำเป็น ต้องเห็นแก่น้ำใจของเขาสักหน่อย หรือว่าจะเป็นจั่งซุนอู๋จี้ ช่างเถอะ แค่คิดถึงความยิ่งใหญ่ของเขาในภายภาคหน้าก็น่ากลัวแล้ว หรือจะเป็นฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย แต่ว่าตัวเองก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะให้พวกเขามาเป็นแพะรับบาปได้อยู่ดี


นอนไม่หลับติดต่อกันหลายคืน หน้าบวมจนจะสะท้อนแสงได้อยู่แล้ว ท้ายทอยมีฝีขึ้นมานับไม่ถ้วน ในขณะที่เขากำลังกัดฟันเตรียมตัวรับผิดชอบเรื่องนี้ เรื่องราวได้มีการพลิกผันเกิดขึ้น


เหล่าจวงวิ่งมาตามริมแม่น้ำอยู่นานกว่าจะนำจดหมายจากทางบ้านมาส่งถึงมือ จดหมายมีความหนา ดูแล้วซินเย่วคงมีเรื่องเยอะแยะมากมายต้องการจะเล่า เมื่อเปิดดูจึงได้รู้ว่าข้างในเต็มไปด้วยจดหมาย น่ารื่อมู่วาดรูปคนสองคนกำลังจูบกันอยู่ลงบนกระดาษ ดูไม่ออกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ดูแล้วสับสนมึนงงไปหมด ลำตัวและแขนขา ลายเส้นดูมีเอกลักษณ์ มองดูก็รู้ว่านางคิดถึงตัวเองเป็นอย่างมาก เปิดจดหมายของนางแล้ววางไว้ใต้หมอน กลางคืนค่อยหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้ง จดหมายของท่านย่าเขียนเพียงแค่ว่าให้เขาดูแลตัวเองให้ดีแล้วรีบกลับมาเร็วๆ ต้ายา เสี่ยวยา รุ่นเหนียง ซือซือ เสี่ยวอู่ก็พากันเขียนจดหมายมาด้วย จดหมายของพวกนางเต็มไปด้วยความคิดถึงและความกังวล


จดหมายของซินเย่วเอาไว้อ่านเป็นฉบับสุดท้าย จดหมายของนางหนาที่สุด นางเล่าสถานการณ์ของทุกคนในบ้าน โดยเฉพาะเรื่องที่อวิ๋นโซ่วพานางไปบุกตำหนักจินหลวน นางพูดเหมือนเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เล่นเอาซะลูกชายน่ารักที่อายุไม่ถึงหนึ่งขวบดูเก่งเกินอายุ แม่อุ้มอยู่นานก็ไม่ฉี่รดแม่ เป็นลูกที่น่ารักที่สุด ตอนที่ออกจากวังหลวงยังส่งเสียงร้องออกคำสั่งให้สาวใช้และขันทีหลีกทางให้เขา สมแล้วที่จะได้เป็นท่านโหวในอนาคต


เมื่ออวิ๋นเยี่ยอ่านจดหมายก็ประทับใจจนน้ำตาไหล ในที่สุดข้าก็มีศัตรูแล้ว จางเลี่ยง เจ้าช่างเป็นคนดีเสียจริง เจ้าได้เป็นผู้นำในการบริจาครายได้ที่ได้จากหลิ่งหนาน แบกรับทุกอย่างแทนฝ่าบาท เช่นนั้นก็มาแบกรับแทนข้าด้วย หวังว่าคงจะไม่ว่าอะไร เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหลิ่งหนานก็เป็นเพราะจางเลี่ยง เขาเป็นถึงกั๋วกง แต่กลับออกคำสั่งให้ข้าเอาสมบัติของตระกูลเขามาบริจาคให้หมด มิเช่นนั้นก็จะไม่มีใครเคารพกฎของประเทศชาติ คำพูดดูเด็ดเดี่ยวและคมชัด ท่าทางดูหนักแน่น แต่ความหมายยังคงคลุมเครือ หรือว่าต้องการให้อวิ๋นเยี่ยหลับตาข้างเดียว นำแค่เงินเพียงส่วนหนึ่งมอบให้แก่ฮ่องเต้ แม้ว่าจดหมายเช่นนี้ต่างก็เป็นจดหมายที่กั๋วกงท่านอื่นหรือองค์ชายเขียนกัน นี่คือเหตุผลที่ทำให้อวิ๋นเยี่ยคิดหาวิธีให้คนพวกนี้มาเป็นแพะรับบาป ตอนนี้มีศัตรูแล้ว จดหมายของคนอื่นๆ ก็นำไปเผาได้ เหลือเพียงจดหมายของจางเลี่ยงไว้เป็นหลักฐานก็พอ


เมื่อต้องการความช่วยเหลือ คนมากมายเหล่านี้ก็มาได้ทันเวลาพอดี คืนนั้นอวิ๋นเยี่ยกอดจดหมายของน่ารื่อมู่นอนหลับฝันดีทั้งคืน

 

 

 


[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 59 แผนดักทางศัตรู

 

อวิ๋นเยี่ยยืนอ้าแขนรับลมอยู่ที่หัวเรือ แก้มที่ปูดบวมเริ่มยุบลงแล้ว ฝีที่ท้ายทอยก็หายได้โดยไม่ต้องใช้ยา พึ่งอาบน้ำอุ่นเสร็จก็ใส่เสื้อคลุมบางๆ กำลังรู้สึกสบายตัวอยู่


ลมพัดเข้ามาในคอเสื้อที่เปิดไว้จากนั้นก็พัดผ่านขากางเกงออกไป นับว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่งของมนุษย์ ขณะที่กำลังยืนรับลม มีเรือลำหนึ่งแล่นมาข้างๆ ชายสวมชุดแพรชี้ไปยังอวิ๋นเยี่ยแล้วหัวเราะ สาวงามที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกสองคนก็หัวเราะตามด้วยเช่นกัน


จะหัวเราะก็ไม่เป็นไร อวิ๋นเยี่ยรู้ดีว่าการกระทำของเขาในตอนนี้ดูโง่เขลา แต่ปัญหาก็คือเรือลำนี้กล้าแล่นเข้ามาใกล้ ล้ำเส้นกันมากเกินไปแล้ว เรือของอวิ๋นเยี่ยเป็นเรือของกองทัพเรือ ปกติคนทั่วไปจะแล่นเรืออ้อมไปไม่กล้าเข้ามาใกล้ แม่น้ำกว้างขวางถึงเพียงนี้ เราควรแล่นไปทางใครทางมัน ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกัน เมื่อเจอเรื่องน่าขันจะหัวเราะก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ในเมื่อเห็นว่าเป็นเรือรบแล้วยังจงใจมายั่วโมโหนั่นคือการไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง


อวิ๋นเยี่ยมองดูอย่างละเอียดเห็นว่าเป็นคนที่ไม่รู้จัก เช่นนั้นก็ดีเลย อวิ๋นเยี่ยเคยเห็นขุนนางชั้นสูงของต้าถังมาหมดแล้ว แต่ไม่เคยเห็นเขามาก่อน หากไม่สั่งสอนคงไม่ได้ มันจะเสียหน้ากองทัพเรือเอาได้


คนที่อยู่บนเรือตรงข้ามหัวเราะอย่างไม่เกรงใจ แล้วยังกล้าถอดเสื้อของหญิงสาวออก ทำให้เห็นหน้าอกขาวนวล ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือผู้หญิงคนนั้นดันหน้าอกให้สูงขึ้นอย่างไร้ยางอาย แล้วหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจต่อจากนั้น


พวกทหารในกองทัพโมโหจนตาลุกเป็นไฟ ทุกคนหันไปมองอวิ๋นเยี่ยว่าควรจะจัดการเช่นไร มีผู้บังคับบัญชาการอยู่ พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไร


อวิ๋นเยี่ยดึงผ้าคลุมหน้าไม้สามขาออก แล้วตะโกนออกมาว่า “พวกเจ้ามาช่วยข้าดึงคันหน้าไม้”


ทันใดนั้นก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์วิ่งเข้ามาแล้วดึงคันหน้าไม้สามขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วางหน้าไม้ที่มีตะขอแปดตัว ตงอวี๋ถอดเสื้อผ้าออกเหลือแต่สายคาดเอว เตรียมพร้อมกระโดดข้ามเรือตลอดเวลา


คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเริ่มเห็นว่าสถานการณ์ไม่ปกติ คิดอยากจะหนีก็ไม่ทันเสียแล้ว คนที่ลักษณะดูเหมือนพ่อบ้านรีบชักธงขึ้น อวิ๋นเยี่ยมองดูอย่างละเอียด ที่แท้ก็คือหลู่อ๋องหลี่หยวนชัง


เมื่อชักธงขึ้น เหล่าทหารต่างพากันมองหน้ากันไปกันมา พวกเขาไม่รู้จักตัวหนังสือ แต่พวกเขารู้จักธงที่มีรูปมังกรเหลืองสี่เล็บ นี่คือธงของคนที่มีเชื้อกษัตริย์ ทำผิดต่อเขามีโทษถึงประหาร เพราะว่าธงของกษัตริย์มีเพียงเชื้อกษัตริย์เท่านั้นที่จะมี ดังนั้นคนที่อยู่ตรงข้ามเป็นไปได้ว่าคือหลี่หยวนชัง


หลี่หยวนชังที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคิดว่าตัวเองทำให้กลุ่มทหารเหล่านั้นตกใจจนขวัญเสียแล้วถึงได้โผล่หัวกลับออกมาจากด้านหลังของผู้หญิงแล้วตะโกนด่ากองทัพเรือ ผู้หญิงสองคนนั้นก็ยังช่วยให้กำลังใจเขาอีกด้วย


อวิ๋นเยี่ยแคะขี้หูพร้อมกับพูดกับอู๋เสอว่า “ซุนผินยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”


อู๋เสอตอบอย่างไร้อารมณ์ว่า “ยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าไม่ได้พบไท่ซั่งหวงมาห้าหกปีแล้ว ”อวิ๋นเยี่ยผงกหัว เล็งหน้าไม้ไปที่หลี่หยวนชัง จากนั้นรับค้อนปอนด์มาจากทหารเตรียมตัวยิงหน้าไม้


หลี่หยวนชังมุดหัวกลับเข้าไป ในขณะที่แววตาของหงเฉิงมีความกังวล ค้อนของอวิ๋นเยี่ยก็ได้ตอกลงไปบนเครื่องจักร ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยกลัวแค่ปัญหาที่ว่าจะยังไม่ใหญ่พอเท่านั้น หลี่เฉิงเฉียนกับชิงเชวี่ยบอกว่าพวกเขาถูกหลี่หยวนชังรังแกมาตลอด โดยเฉพาะชิงเชวี่ยที่เกลียดหลี่หยวนชังเข้ากระดูก ครั้งหนึ่งหลี่ซื่อหมินได้สุนัขล่าเนื้อมาเป็นของขวัญให้แก่ชิงเชวี่ยหลังจากที่กลับมาจากเมืองหน้าด่าน แต่ใครจะไปรู้ว่าเมื่อหลี่หยวนชังเห็นเข้าก็จะแย่งไปให้ได้ ในตอนนั้นหลี่ซื่อหมินเป็นฉินอ๋องไม่กล้าขัดใจรัชทายาทและฉีอ๋อง จั่งซุนจึงได้ให้สุนัขตัวนั้นแก่หลี่หยวนชัง แต่ใครจะไปรู้ว่าเขาจะฆ่าสุนัข ถลกหนังแล้วยังยกมาให้ชิงเชวี่ยดู ชิงเชวี่ยตกใจจนนอนผวาฉี่รดที่นอนอยู่หลายเดือน นี่คือเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยกับหลี่เฉิงเฉียนเคยคุยกันยามว่าง ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยคิดว่าถ้าหากตัวเองฆ่าหลี่หยวนชังตายก็คงไม่เป็นอะไร


หน้าไม้พุ่งเข้าไปในเรือพร้อมเสียงที่ปาดหู เรือที่ไม่ได้แข็งแรงพอจะทนทานต่ออาวุธสังหารชนิดนี้ได้อย่างไร ทันใดนั้นทั้งเรือก็มีเสียงโครมคราม ห้องขนาดเล็กด้านบนก็พังลงมา หลี่หยวนชังที่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงตะโกนออกมาว่า “ข้าคือหลู่อ๋อง พวกเจ้ากล้าดีอย่างไร ข้าจะฆ่าล้างโคตรพวกเจ้าให้หมด”


อวิ๋นเยี่ยถ่มน้ำลาย แล้วพูดกับทหารว่า “เตรียมเครื่องโยนหินให้พร้อม วันนี้หากข้าไม่ทุบเรือของเขาให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ก็ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าอวิ๋นเยี่ย คิดว่าฉายาวายร้ายแห่งเมืองฉางอันของข้าเป็นของปลอมหรืออย่างไร”


เหล่าทหารเตรียมเครื่องโยนหินให้ท่านโหว ใส่หินที่ใหญ่ที่สุดในตะกร้าไม้ไผ่ทีละก้อน เพียงแค่อวิ๋นเยี่ยตัดเชือกที่ดึงไว้ หินก้อนใหญ่เท่าแตงโมก็จะถูกขว้างออกไป ไม่มีทางที่เรือลำนั้นจะไม่พังกลายเป็นเศษไม้ไปได้


“อาจารย์อู๋เสอ อวิ๋นโหวทำเช่นนี้จะทำให้เกิดปัญหาหรือไม่ อย่างไรหลี่หยวนชังก็เป็นสายเลือดกษัตริย์”


“หงเฉิง ในเมื่อเจ้าและข้าไม่ได้ฉลาดเท่าอวิ๋นโหว เช่นนั้นก็ยืนอยู่ข้างๆ คอยดูสถานการณ์ดีกว่า คนฉลาดบางครั้งก็ทำเรื่องโง่ๆ ได้ แต่อวิ๋นโหวไม่มีทางที่จะเป็นเช่นนั้น เขาเป็นคนมีขอบเขต เจ้าไม่เห็นหรือว่าหน้าไม้ถูกยิงเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่า ก็แสดงว่าอวิ๋นโหวไม่ได้จะฆ่าคน นี่คือกลยุทธ์ของเขา เจ้ามองดูสิ อย่างไรครั้งนี้หลี่หยวนชังก็เสียเปรียบ แต่ไม่แน่อวิ๋นโหวอาจจะได้กำไร”


การเตรียมเครื่องโยนหินนั้นใช้เวลานาน หลี่หยวนชังเห็นเหล่าทหารพากันเข็นเครื่องโยนหินมาก็ร้องออกมาเสียงดังวิ่งหนีตาลีตาเหลือก ตอนนี้เขามั่นใจว่าแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามคือคนบ้าคนหนึ่ง กล้าใช้หน้าไม้แล้วยังกล้าใช้เครื่องโยนหินอีก อาศัยจังหวะในขณะที่พวกเขากำลังเตรียมตัวปล่อยเรือลำเล็กลงมา ตัวเองก็กระโดดลงไปเร่งให้องครักษ์รีบพายเรือหนีไปจากสถานที่อันน่ากลัวแห่งนี้ สาวงามสองคนนั้นขอร้ององค์ชายให้พานางไปด้วย แต่หลี่หยวนชังยุ่งอยู่กับการเอาชีวิตรอดจึงไม่สนใจพวกนาง


เครื่องโยนหินมาประจำตำแหน่งแล้ว อวิ๋นเยี่ยยิ้มพร้อมกับตัดเชือก หินก้อนใหญ่พุ่งไปที่ด้านบนของลำเรือ ในขณะที่เกิดเสียงดังโครมครามเรือก็เกิดการเอียงอย่างรุนแรง คาดว่าอีกไม่นานก็จะจมลงไป


คนรับใช้ในจวนหลู่อ๋องยืนซ่อนตัวอยู่ที่หัวเรือ ค่อยๆ ทยอยโดดลงน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด เหลือเพียงแค่ผู้หญิงสองคนที่หมอบร้องไห้อยู่บนหัวเรือขอร้องให้คนอื่นๆ พาตัวเองไปด้วย


“ตงอวี๋ ไปพาตัวผู้หญิงสองคนนั้นมา พวกเราแค่ต้องการระบายความโมโห ไม่ได้จะฆ่าคน” ตงอวี๋ผูกเชือกไว้ที่เอวแล้วดำดิ่งลงไปในน้ำ ผ่านไปไม่นานก็ไปโผล่ที่ด้านข้างของเรือ จากนั้นก็ปีนขึ้นเรือราวกับลิง แขนทั้งสองข้างหนีบหญิงสาวไว้ อาศัยจังหวะที่เรือยังไม่จมกระโดดลงไปในน้ำ เหล่าทหารที่อยู่บนเรือรบพากันดึงเชือกช่วยเขาขึ้นมา ตงอวี๋หัวเราะพร้อมกับลอยขึ้นมาตามเชือก มือใหญ่ๆ ทั้งสองข้างกุมหน้าอกอันอวบอิ่มของหญิงสาวสองคนไว้ ทำเอาทหารคนอื่นๆ พากันน้ำลายไหล


ตงอวี๋พึ่งจะปีนขึ้นมาบนเรือรบ อวิ๋นเยี่ยก็ออกคำสั่งให้โยนหินทำลายเรือจนแตกเป็นเสี่ยงๆ จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการเดินเรือ


ขว้างก้อนหินออกไปราวกับสายฝน ทุบเรือที่หรูหราและสวยงามให้กลายเป็นชิ้นไม้ละเอียดลอยไปตามน้ำ แล้วยังมีเสื้อผ้าสตรีสีสันสดใส หีบของและข้าวของใช้จิปาถะอื่นๆ อีกด้วย


เมื่อหญิงสาวสองคนนั้นขึ้นมาบนเรือได้ก็นั่งคุกเข่าหมอบอยู่กับพื้น หวังว่าอวิ๋นเยี่ยจะไว้ชีวิตตัวเอง


“พวกเจ้าเป็นสนมในวังหรือ” อวิ๋นเยี่ยอยากรู้ว่าหลี่หยวนชังกล้าพอที่จะปล่อยให้นางสนมของตัวเองเปลือยกายต่อหน้าผู้คนหรือไม่


“ข้าไม่ใช่สนมของหลู่อ๋อง ข้าเป็นผู้หญิงของหอว่านฮวาโหลว เมื่อครู่องค์ชายเป็นคนให้ข้าทำเช่นนั้น ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ท่านโหวโปรดไว้ชีวิตด้วย”


ที่แท้สองคนนี้เป็นผู้หญิงจากหอนางโลม อวิ๋นเยี่ยก็เลยไม่สนใจพวกนาง ให้เงินพวกนางคนละสองชั่งแล้วส่งคนให้พานางขึ้นฝั่งด้วยเรือลำเล็ก จากนั้นก็เตะไปที่ขาของตงอวี๋สองทีเป็นการลงโทษเขา


เรือเล็กของหลี่หยวนชังขึ้นฝั่งแล้ว พวกองครักษ์สองสามคนกระโดดขึ้นฝั่งพร้อมกับสาปแช่ง อวิ๋นเยี่ยหันหน้าไม้เล็งไปที่หลี่หยวนชังอีกครั้ง หลี่หยวนชังถูกองครักษ์กดลงกับพื้น เขาบิดตัวไปมาราวกับไส้เดือนแล้วไต่ลงมาตามสันเขื่อน


“ท่านโหวผู้เกรียงไกร!” ทหารทุกคนที่เห็นอวิ๋นเยี่ยต่างก็พากันยืนขึ้นแล้วตะโกนด้วยความเคารพ ในกองทัพก็เป็นเช่นนี้ ความสามารถมาเป็นอันดับหนึ่ง อายุมาเป็นอันดับสอง แม่ทัพของตัวเองมีความแข็งแกร่ง พวกทหารใต้บังคับบัญชาการก็จะรู้สึกฮึกเหิม ยิ่งเมื่อนำทัพออกศึกจะทำให้มีความกล้าหาญเพิ่มพูนขึ้นอีก ลักษณะของแม่ทัพเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของกองทัพ แม่ทัพที่เข้มแข็งจะไม่มีลูกน้องที่อ่อนแอ ที่ผ่านมากองทัพเรือไม่ได้รับความสำคัญมากนัก เหมือนเป็นส่วนเกินของกองทัพ แต่ไหนแต่ไรมามักจะเป็นฝ่ายถูกเยาะเย้ยอยู่เสมอ ตอนนี้มีท่านโหวที่แข็งแกร่งทำให้ตัวเองพอมีหน้ามีตาขึ้นมาบ้าง ขอเพียงแค่ท่านโหวเป็นผู้นำของตัวเองตลอดไป เมื่อทุกคนทำภารกิจทางทหารสำเร็จก็ไม่ต้องห่วงว่าจะขาดแคลนทรัพย์สินเงินทอง


อวิ๋นเยี่ยที่กำลังผิวปากอย่างสบายใจกะว่าจะกลับไปนอนที่ห้องโดยสารเรือ จู่ๆ อู๋เสอก็โผล่ขึ้นมาข้างหลังราวกับผี แล้วพูดแปลกๆ ว่า “ท่านโหวผู้เกรียงไกร ในเมื่อได้เป็นผู้เกรียงไกรแล้ว ท่านกะว่าจะจัดการกับเรื่องนี้เช่นไร”


“ยังต้องจัดการอะไรอีก หากหลี่หยวนชังยังกล้ากลับไปเมืองหลวงก็เท่ากับว่ารนหาที่ตาย ข้ามีลูกศิษย์ที่ดีชื่อว่าหลี่ไท่หรือหลี่ชิงเชวี่ย เขาถูกรังแกมาตั้งแต่เด็ก ส่วนใหญ่ก็เป็นฝีมือของหลี่หยวนชัง หากข้าส่งม้าเร็วไปบอกหลี่ชิงเชวี่ยว่าศัตรูของเขากลับเมืองหลวงแล้ว เจ้าคิดว่าหลี่หยวนชังยังจะมีกะจิตกะใจสร้างปัญหาให้กับพวกเราอีกหรือ”


อู๋เสอเบิกตากว้างแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นแผนดักทางศัตรู ประโยคเมื่อครู่นี้ถือว่าข้าไม่ได้พูดก็แล้วกัน” เขาชมไปส่ายหัวไปแล้วเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง ไปอธิบายให้หงเฉิงผู้ที่กำลังกังวลอยู่ฟัง


เห็นอู๋เสอกลับมาหงเฉิงก็รีบวิ่งเข้าไปถาม “ท่านโหวว่าอย่างไรบ้าง เขาเตรียมจะรับมืออย่างไร หลี่หยวนชังจะต้องไปร้องเรียนกับฝ่าบาทเป็นแน่ที่เราใช้อาวุธทางการทหารตีจนเรือของเขาจนพัง เกือบมีคนตาย แถมยังมีเรื่องบนแม่น้ำที่มีคนผ่านไปมาเช่นนี้อีก หากเป็นที่ที่ไม่มีคนก็ยังสามารถจัดการพวกเขาทั้งหมดได้ แต่ตอนนี้มีคนมองอยู่เต็มไปหมด ควรจะทำอย่างไรดี”


อู๋เสอหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบหนึ่งอึกแล้วพูดกับหงเฉิงว่า “เทพเจ้า ตอนนี้เหล่าฟูค้นพบแล้วว่าคนฉลาดกับคนโง่ช่างแตกต่างกันยิ่งนัก เรื่องที่เกิดขึ้นในสถานการณ์เดียวกันคนฉลาดมักจะจัดการได้อย่างเป็นธรรม แต่คนโง่มักจะทำให้เรื่องยุ่งมากไปกว่าเดิม คนที่มือเปื้อนเลือดยังบอกว่าตัวเองทำไปก็เพื่อนายท่าน การที่ฝ่าบาทส่งเจ้าไปที่หลิ่งหนานนั้นถือว่าทำถูกแล้ว เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าฝ่าบาทอดทนกับเจ้ามาหลายปีแล้ว ข้าได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้าสามเดือน ก็ยังอดไม่ได้ที่จะอยากเตะเจ้ากลับหลิ่งหนาน ฝ่าบาทดีกับพวกเจ้าจนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรแล้ว”


หงเฉิงอึ้งอยู่นาน ถอนหายใจแล้วพูดออกมาว่า “เจ้าเรียกตัวเองว่าเหล่าฟูตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อก่อนเจ้ามักจะพูดจาเป็นกันเอง หลายวันมานี้ข้าไม่เคยนับว่าเจ้าเป็นขันที เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)