เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 8 ตอนที่ 54-56
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 54 จ่ายค่าผ่านทาง
ปลาวาฬตัวใหญ่ทนทุกข์ทรมานกว่าหนึ่งชั่วโมง จนในที่สุดมันก็สิ้นใจตาย ผู้ตรวจราชการมณฑลเฝิงไท่ไม่กล้าแตะต้องปลาตัวใหญ่ แล้วยังแนะนำให้อวิ๋นเยี่ยเอาปลาตัวใหญ่ตัวนี้ปล่อยกลับลงไปในทะเล เขาจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นมันอาจจะทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่
อวิ๋นเยี่ยกะพริบตาอยู่ตั้งนาน แต่ก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองฆ่าปลามันไปผิดกฎอะไรของฮ่องเต้ หรือว่าปลาตัวนี้เป็นปลาที่ตระกูลไหนเลี้ยงเอาไว้? เดินวนรอบๆ ปลาตัวใหญ่ ไม่เห็นว่ามีสัญลักษณ์อะไร เฝิงไท่ที่เป็นกังวลก็ดึงอวิ๋นเยี่ยเดินไปที่ที่ไม่มีคน จากนั้นก็พูดเบาๆ ว่า “ท่านโหว ท่านก็เป็นคนมีความรู้การศึกษา หรือท่านไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่า ปลาใหญ่ตาย อ๋องโหวตาย”
อวิ๋นเยี่ยกุมหน้าผากแล้วพูดว่า “ราชสำนักมีอ๋องโหวตั้งมากมาย ตายไปสักคนสองคนจะเป็นอะไรไป เลี้ยงปากเลี้ยงท้องราษฎรสิถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ หากไม่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องพวกเขา อ๋องโหวจะต้องตายตั้งกี่คนก็ยังไม่รู้ ข้าจับปลาตัวนี้มา ก็แค่กะว่าจะเอากลับไปเมืองหลวงเป็นของที่ระลึกให้กับเหล่าอ๋องโหวผู้อาวุโสพวกนั้น ทุกคนกินด้วยกัน ดูซิว่าใครจะโชคร้ายสำลักตาย”
เฝิงไท่อ้าปากพูดอะไรไม่ออก ไม่เคยเห็นคนโง่เช่นนี้มาก่อน เจ้าฆ่าปลาวาฬตาย ตามที่หนังสือประวัติศาสตร์บอกไว้ เมื่อปลาใหญ่ตายอ๋องโหวตาย นี่เป็นการจะทำให้ตระกูลหลี่ไม่พอใจ แล้วยังจะกล้าเอาเนื้อปลาไปฝากเป็นของที่ระลึกให้พวกเขา นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายเหรอ ทำไมคนคนนี้ถึงไม่รู้จักระมัดระวังตัว ถึงตอนนั้นถูกโจมตีขึ้นมา ใครก็รั้งไว้ไม่ได้
เห็นว่าตัวเองทำให้ชายชราตกใจถึงเพียงนี้ อวิ๋นเยี่ยจึงพูดกับชายชราอีกครั้งว่า “กินปลาตัวใหญ่จะเป็นอะไรไป เหอเจียนจวิ้นอ๋อง หลี่เซี่ยวกงเป็นคนสอนวิธีการจับปลาตัวใหญ่ให้กับข้าเอง ในอดีตเขาถือว่าการกินเนื้อปลาวาฬคือการประสบความสำเร็จ ฆ่าปลาวาฬตั้งมากมาย ตอนนี้เขาก็ยังมีชีวิตกระโดดโลดเต้นอยู่ได้ทุกวัน ได้ยินมาว่าแต่งภรรยารองอีกสองคน ไม่เห็นว่าจะอยากตายเลยสักนิด เจ้าไม่ต้องกังวล ตอนที่ข้าเชิญฝ่าบาทกินเนื้อปลาคราฟ ฝ่าบาทชอบอกชอบใจ บอกว่าเนื้อนุ่ม ต่อไปจะกินอีกบ่อยๆ ปลาคราฟยังไม่เป็นอะไร ปลาวาฬก็คงไม่มีปัญหา เผลอๆ จะสั่งให้ทหารเรือของเจ้าใช้หน้าไม้สามขาฆ่าปลาวาฬมาเพิ่มให้อีก คาดว่าถึงตอนนั้นคงจะมีคนมาเอาเนื้อปลาวาฬจากเจ้าไม่น้อย”
เฝิงไท่ทำเสียงฮึมฮำเบาๆ แล้วก็ทรุดตัวลงบนพื้นทราย ภาษาที่เป็นกันเองของอวิ๋นเยี่ย มันเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้ เขาเป็นลมไปแล้ว
เขาเป็นลมไปก็ดีเหมือนกัน จะได้นอนบนพื้นทรายหลับสบายสักตื่น สองสามวันที่ผ่านมายุ่งทั้งวันทั้งคืน ไม่เคยเห็นเขาพักผ่อน เรียกคนรับใช้มาสองคน ทำซุ้มให้เขาสักหน่อย ตัวเองจะออกไปหาเลื่อย เตรียมที่จะเลื่อยปลาวาฬออกเป็นแปดส่วน
หากจะต้องมีประสิทธิภาพในการผลิตให้ได้เป็นจำนวนมากจนเพียงพอต่อเหล่าราษฎรนั้นช่างเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัว ทว่าทะเลปั๋วไห่ที่อุดมสมบูรณ์กลับมอบเสบียงอาหารให้แก่ผู้ประสบภัยมากมายนับไม่ถ้วน เมื่ออวิ๋นเยี่ยเป็นผู้นำในการกินผักทะเลสีเขียวชนิดหนึ่งในทะเล เหล่าเฝิงไท่ก็หลั่งน้ำตาอีกครั้ง บางครั้งชาวประมงก็เอาสิ่งนั้นมาเป็นอาหารหมู ตอนนี้ท่านโหวที่สง่างามเอามันมาทำเป็นสลัดกินต่อหน้าทุกคน และดูเหมือนว่าจะกินไม่อิ่ม ยังจะกินเพิ่มอีกชาม
เฝิงไท่ในฐานะคนมีการศึกษา แน่นอนว่าต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี ตอนนี้อะไรที่สามารถเลี้ยงท้องให้อิ่มได้ก็เป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น ตัวเองก็เอาชามมาเหมือนกัน ตีให้ตายเขาก็ไม่กินเนื้อปลาวาฬ แต่เขากล้ากินสาหร่าย กินไปกินมาเขาก็รู้สึกประหลาดใจ รสชาติไม่เลวจริงๆ
“บอกพวกชาวบ้านว่าข้าจะซื้อสาหร่ายนี้จำนวนมาก ต่อไปกลุ่มพ่อค้าของตระกูลอวิ๋นจะรับซื้อทุกปี ให้พวกเขาล้างให้สะอาดเอาไปตากให้แห้ง ห้ากิโลสิบเหรียญ ถือว่าเป็นการทำให้พวกเขามีรายได้
เฝิงไท่มองดูสาหร่ายทะเลที่แน่นหนาอยู่ในทะเลตื้น เขาถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านโหว ของกินชนิดนี้หากเอาไว้กินตอนไม่มีเสบียงอาหารก็คงจะไม่มีปัญหา แต่ที่กวนจงไม่ได้ขาดแคลนเสบียงอาหาร ท่านจะเอาพวกมันไม่ไปทำอะไร ชาวกวงจงก็กินของพวกนี้หรือ”
“เจ้าไม่รู้อะไร อาหารอันโอชะในกวงจงล้วนแต่มาจากตระกูลอวิ๋น แค่ตระกูลอวิ๋นเริ่มกินของสิ่งนี้ เจ้าจะเห็นว่าผ่านไปไม่นานของสิ่งนี้ก็จะขาดตลาดในฉางอัน เจ้าไม่รู้หรือว่านี่เป็นของดี กินของสิ่งนี้ ก็จะไม่มีทางเป็นโรคคอบวมอะไรพวกนั้น ของดีเช่นนี้ เจ้ารีบหามาให้ข้า มีเท่าไหร่เอาเท่านั้น ต้นเดือนสิงหากองทัพเรือจะไปรับข้าที่คลองจัวจวิ้น ถึงตอนนั้นข้าจะเอาไปให้หมด แล้วข้ายังจะเอาเนื้อปลาวาฬกลับไปด้วย ระวังอย่าให้กะโหลกปลาวาฬของข้าเสียหาย ข้าจะเอามันกลับไปด้วย และหากเจ้าอยากจะเอาอะไรกลับไปที่บ้าน ข้าก็ช่วยเจ้าขนกลับไปได้”
“เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ท่านโหวไม่ต้องกังวล ข้าน้อยจะจัดการให้อย่างดี เพียงแต่โยวโจวยากลำบาก ไม่มีของดีๆ มาต้อนรับท่านโหว ต้องให้ท่านเอาของไร้ค่าพวกนี้กลับไป ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายเสียจริง”
“เหล่าเฝิง เจ้าคิดมากไปแล้ว หากข้าอยากจะร่ำรวย ข้าอยู่ที่หลิ่งหนานก็ร่ำรวยไปแล้ว ไม่มีทางมาหาผลประโยชน์จากดินแดนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก เจ้าคิดว่าเนื้อปลาวาฬและสาหร่ายทะเลไม่มีราคาใช่หรือไม่ ฮ่าๆ ๆ ข้าไม่บอกเจ้าหรอก นี่เป็นสูตรลับของตระกูลอวิ๋น เมื่อเจ้ากลับไปรับตำแหน่งที่ฉางอัน เจ้าก็จะเห็นว่าของพวกนี้มีราคาแพง แพงมาก มีแค่คนมีเงินเท่านั้นที่ได้กิน” พูดเสร็จก็หัวเราะเดินออกไป ยังคงใส่เสื้อแขนสั้นกางเกงขาสั้น เดินเท้าเปล่าเหมือนเดิม เผยให้เห็นแขนขาที่ถูกแดดเผาดำ มีความสุขราวกับชายหนุ่มที่อยู่ชายหาด
ก่อนที่อวิ๋นเยี่ยจะมา เฝิงไท่กับหยวนต้าเข่อคิดหนักว่าจะต้อนรับอวิ๋นเยี่ยอย่างไร ชื่อเสียงความหรูหราของตระกูลอวิ๋นเป็นที่รู้จักกันดีในต้าถัง ในฐานะหัวหน้าของตระกูลอวิ๋น จะต้องเป็นคนใหญ่คนโตที่รับใช้ยากมากเป็นแน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ หากเขาพูดถึงตัวเองในทางไม่ดีต่อหน้าฮ่องเต้ คาดว่าอนาคตของตัวเองก็คงจะจบแค่ตรงนี้
หยวนต้าเข่อเตรียมการต้อนรับเป็นอย่างดี เฝิงไท่ยอมถูกปลดตำแหน่งขุนนาง แต่ไม่มีทางยอมร่วมมือกับคนอื่น ใครจะคิดว่าอวิ๋นเยี่ยกลับถูกแบกลงมาจากเรือ ทั่วร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ไม่สามารถเพลิดเพลินกับสิ่งใดได้ แม้แต่สาวงามที่หยวนต้าเข่อส่งไป ยังถูกอวิ๋นเยี่ยไล่กลับมา
แผลหายแล้วแต่กลับออกไปหาเสบียงอาหารให้กับราษฎร อาหารของผู้ติดตามเขายังแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ไม่เคยรบกวนใคร กองทัพเรือมาถึงท่าเรือได้สามวัน เสบียงอาหารและปลาแห้งก็หมดเกลี้ยง ให้เหล่าทหารบางส่วนหยุดพัก เหลืออยู่แค่เรือจำนวนห้าลำ ส่วนที่เหลือก็แล่นไปทางปากแม่น้ำฮวงโห เตรียมเข้าสู่คลอง รีบกลับไปยังฉางอัน พระราชโองการของหลี่ซื่อหมินชัดเจน นั่นก็คือเขาต้องการได้เห็นกองทัพเรือด้วยตาของตัวเอง พิจารณาว่าต่อไปเขาจะสามารถทำการขนส่งเสบียงอาหารจากตอนใต้ไปตอนเหนือได้หรือไม่ ตั้งแต่รู้ว่าหลิ่งหนานมีเสบียงอาหารมากมาย เขาก็เริ่มคิดคำนวณทันที
ไม่รู้ว่าหงเฉิงเป็นอะไร จู่ๆ ก็เอาเงินให้อวิ๋นเยี่ยห้าเหรียญ บอกว่านี่คือทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลเขา อยากทำกิจการร่วมกับอวิ๋นเยี่ย ง่ายมาก นั่นก็คือกิจการสาหร่ายทะเล ตระกูลอวิ๋นเจ็ดส่วน เขาสามส่วน ไม่ทำไม่ได้ ระบายความทุกข์ให้อวิ๋นเยี่ยฟังไม่หยุด บอกว่าตัวเองถูกเอาเปรียบจนเป็นเช่นนี้ก็เพราะอวิ๋นเยี่ย ตระกูลไม่มีอะไรกินอยู่แล้ว หากไม่ชี้ทางรอดชีวิตให้เขา เขาก็เตรียมที่จะพาคนทั้งตระกูลไปกินข้าวที่จวนตระกูลอวิ๋น
อวิ๋นเยี่ยรับปากแล้ว รับปากง่ายๆ ไม่มีการต่อรอง กิจการที่ไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไรทำให้หงเฉิงกลายเป็นคนโง่ไปแล้ว หลังจากคิดอยู่นานและตัดสินใจถอนหุ้นโดยอัตโนมัติ บทเรียนที่เจ็บปวดตรงหน้าทำให้เขารู้ว่าในใบโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ อย่าคิดที่จะมาเอาเปรียบอวิ๋นเยี่ยเลยดีกว่า
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว กองทัพเรือส่งข่าวมาบอกว่าถึงคลองแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ต้องกลับเมืองหลวง อีกเดือนกว่าน่ารื่อมู่ก็จะคลอดแล้ว นี่คือเรื่องที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน เพื่อลูกของเขาทำให้เขาจะต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด
ตามการจัดการของหลี่ซื่อหมิน ทหารห้าพันนายต้องทำการเดินทัพในเหอเป่ยอีกหนึ่งครั้ง เพื่อป่าวประกาศอำนาจตามกลยุทธ์ของอู๋เสอ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ฆ่าคนสักสองสามคน กองทัพออกรบ มองไม่เห็นเลือดถือว่าไม่โชคดี
ครั้งแรกที่กองทัพเห็นเลือดในเหอเป่ย เป็นเลือดที่มาจากทหารที่กลับมาสายกว่าเวลาที่กำหนด สาเหตุเพราะแม่ป่วยหนักจึงอยู่ที่บ้านต่ออีกสักหน่อย กลับมาที่ค่ายช้าไปครึ่งวัน ตามกฎของทหารจะต้องถูกตัดหัว ผู้พิพากษากองทหารไม่สนใจคำพูดของท่านโหว ถือดาบอยู่ตรงนั้น ไม่แน่อาจจะตัดหัวของเจ้านั่นออกจากบ่า กฎทหารของต้าถังนั้นเข้มงวด ไม่ต้องพูดถึงท่านโหว แม้แต่ฝ่าบาทก็ห้ามเขาไม่ได้ และแน่นอนว่าหากก่อนหน้านี้ท่านโหวอนุญาตให้เขากลับมาสายได้ อาจจะช่วยให้เขารอดตาย แต่ก็ไม่สามารถหนีแส้พ้นอยู่ดี
เห็นได้ชัดว่าไอ้สารเลวนี่ต้องการปล่อยทหารไป ให้อวิ๋นเยี่ยมารับผิดชอบแทน เขาเป็นคนตรงไปตรงมา ต้องรักษาภาพลักษณ์ที่เข้มงวดของตัวเองเอาไว้ บุญคุณเหนือสิ่งอื่นใด นี่คือประเพณีของกองทัพทหาร
เขียนใบอนุญาตต่อหน้าผู้พิพากษากองทัพ ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเจ้านั่นถึงได้ผ่อนคลายลง ทหารแข็งแกร่งสองคนลากทหารที่ร้องห่มร้องไห้ออกมาลงโทษ ถือว่าเป็นลูกผู้ชาย เขาไม่พูดอะไรสักคำ มีแค่น้ำตาไหลออกมา เมื่อรับการลงโทษเสร็จแล้วถึงได้ร้องไห้แล้วพูดว่าขอโทษขอรับท่านโหว
กองทัพเริ่มออกเดินทาง โอ้อวดอำนาจบารมี อวิ๋นเยี่ยใส่ชุดเกราะทั้งตัว ทนทุกข์ทรมานอยู่บนหลังม้าภายใต้แสงอาทิตย์ที่แผดเผา หอกม้าที่สวยงามถูกแขวนไว้บนตะขอแห่งชัยชนะ หากปักขนไก่สักสองขนบนหัว ปักธงไว้ด้านหลัง ก็ไม่ต่างจากจ้าวจื่อหลง[1]บนเวทีสักเท่าไหร่
ถึงจะน่าอึดอัด แต่เฝิงไท่ก็ยกนิ้วโป้งบอกว่าอวิ๋นโหวมีท่าทางเหมือนนายพลที่มีชื่อเสียงในสมัยโบราณ จะต้องทำให้พวกคนเลววิ่งหนีไปอย่างแน่นอน สุดท้ายสัญญาว่าจะให้คนเอาเนื้อปลาวาฬและสาหร่ายทะเลของอวิ๋นเยี่ยส่งไปที่จัวจวิ้น สำหรับสมบัติล้ำค่าที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง อู๋เสอไม่อนุญาตให้มันหายไปจากสายตาตัวเอง
กองทัพทหารสัญจรไปทั่ว ทุกที่ที่ไปก็เป็นไปตามที่เฝิงไท่พูดเอาไว้ นักปฏิวัติที่เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมาพากันโยนมีดโยนหอกทิ้งและกลับไปดูแลไร่นาของตัวเองที่หมู่บ้าน ทุกที่ที่ไป ก็มีผู้แจ้งข่าวมากมายนับไม่ถ้วน เห็นผู้แจ้งข่าวที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงใบหน้าสกปรกพวกนั้นอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกขยะแขยง หากไม่ใช่เพราะว่ากาลเทศะ เขาอยากจะกำจัดผู้แจ้งข่าวพวกนั้นไปก่อน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความรู้สึกหรือศีลธรรม คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นขยะสังคม น่าขยะแขยง จึงให้หงเฉิงเป็นคนจัดการ
ดินแดนเหอเป่ยปกคลุมไปด้วยป่าไม้เขียวขจี มองไปที่สมบัติล้ำค่าทั้งห้าเกวียน กลัวว่าจะมีชายคิ้วสีแดงตาสีเขียวตะโกนออกมาจากป่า เฉิงต๋าหลงจินอยู่ที่นี่ ต้องจ่ายค่าผ่านทาง เช่นนี้คงจะซวยเป็นแน่ พยายามปลอบตัวเองในใจ ผู้ชายชื่อเฉิงต๋าหลงจินคนนั้น ตอนนี้คงกลายเป็นกั๋วกง เป็นท่านโหวไปแล้ว ลูกของตัวเองเจอเขายังต้องเรียกว่าท่านปู่ อย่าได้โผล่ออกมาปล้นตัวเองเวลานี้เลย
แต่เรื่องราวก็แปลกประหลาดเช่นนี้ บนถนนใหญ่มีชายกล้ามใหญ่ยืนอยู่กลางถนน รายงานชื่อนามสกุล บอกว่าต้องการต่อสู้กับแชมป์ผู้กล้าอย่างท่านโหวตระกูลอวิ๋นสักสามร้อยครั้ง
ชายคนนี้สูงกว่าสามเมตร ใส่เสื้อแขนสั้น ถือดาบขนาดใหญ่อยู่ในมือ ยกดาบขึ้นมาใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง เหล่าทหารพากันล้อมรอบอย่างแน่นหนา ฟันเข้าไปที่ต้นเอล์มหนาๆ ขาดออกเป็นสองส่วน ตอที่หลงเหลืออยู่ก็ถูกฟันจนกลายเป็นฟืน
สุดท้ายเขาก็เอาดาบชี้มาที่อวิ๋นเยี่ย ส่งเสียงดังสนั่น “อวิ๋นเยี่ย ได้ยินมาว่าเจ้าก็เป็นลูกผู้ชายที่ใครก็ควบคุมไม่ได้ เป็นที่รู้จักกันดีในฉางอัน วันนี้เจ้ากับข้ามาประลองกันที่นี่สักสามร้อยครั้ง ให้เจ้าได้รู้ซะบ้างว่าเหอเป่ยก็มีคนมีความสามารถ เจ้าจะได้ไม่หยิ่งผยองจนเกินไป หากจะแบกทรัพย์สมบัติตระเวนไปทั่วโลกล่ะก็ วันนี้ไม่จ่ายค่าผ่านทางข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
มันช่างน่าโมโห สั่งให้เหล่าทหารถอยออกไป คายก้านดอกหญ้าในปากออกมา อวิ๋นโหวถือหอกม้าพุ่งเข้าไปฆ่าเขากลางอากาศอย่างกล้าหาญ…
——
[1] จ้าวจื่อหลง หรือจูล่ง เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊ก ที่มีตัวตนจริง เป็นแม่ทัพคนสำคัญของเล่าปี่ และเป็นหนึ่งในห้าทหารเสือ
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 55 คุยโม้โอ้อวด
ศิลปะการต่อสู้ของอวิ๋นเยี่ยช่างไม่ธรรมดาจริงๆ เดี๋ยวก็ถอยออกห่าง เดี๋ยวก็เข้าไปประชิดตัว ใช้หอกม้าได้อย่างน่าเกรงขาม แทงหอกม้าไปๆ มาๆ รอบตัวชายคนนั้นตลอดเวลา
หงเฉิงร้อนใจ เขามองออกว่าชายคนนั้นเป็นคนที่มีฝีมือไม่ธรรมดา ถือดาบที่หนักกว่าสิบกิโลอยู่ในมือราวกับถือฟางข้าว ทันใดนั้นก็ฟันหอกม้าของอวิ๋นเยี่ยตกลง เล่นกับเขาอย่างใจเย็น
ตัวเองเข้าไปไม่ได้ เมื่อครู่อวิ๋นเยี่ยบอกว่าไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปยุ่ง ไม่รู้ว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยที่ชาญฉลาดมาตลอดถึงได้หน้ามืดตามัวออกไปต่อสู้ด้วยตนเอง จากนั้นก็เห็นหลิวจิ้นเป่าเอาแต่กินขนมอย่างไม่สนใจไยดี เขาตบเข้าที่ท้ายทอยของเจ้านั่นเต็มๆ ตบจนขนมที่กินเข้าไปในปากเมื่อครู่พุ่งออกมา พูดอย่างกังวลว่า “ท่านโหวของเจ้าเจอของจริงเข้าแล้ว ข้าเข้าไปช่วยไม่ได้ เจ้าไปสิ คนรับใช้ไปช่วยเจ้านายไม่ใช่เรื่องผิด”
หลิวจิ้นเป่าถูที่ท้ายทอยของตัวเองเบาๆ แล้วพูดว่า “ท่านโหวของข้ามีฝีมือ เอาชนะไอ้โจรคนนั้นได้อย่างแน่นอน”
“แต่เขาถูกจับไปแล้ว!” หงเฉิงบอกหลิวจิ้นเป่าแล้วชี้ไปที่ชายร่างใหญ่ที่แบกอวิ๋นเยี่ยวิ่งไปคนนั้น
หลิวจิ้นเป่าคว้าบังเ**ยนม้าศึกของหงเฉิงแล้วพูดว่า “นี่คือแผนการหลอกล่อศัตรูของท่านโหวของข้า”
หงเฉิงที่โมโหกำลังจะเตะหลิวจิ้นเป่าให้หลบไป ตัวเองจะรีบขี่ม้าไปช่วยอวิ๋นเยี่ย หันกลับมาก็ถูกอู๋เสอตบเข้าที่ท้ายทอยเต็มๆ
“เจ้าโง่ เจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือ นั่นไม่ใช่โจร แต่เป็นเพื่อนของอวิ๋นเยี่ย แล้วยังเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก เจ้าไม่เห็นหรือว่าวั่งไฉก็วิ่งตามไปด้วย หยุดพูดมากได้แล้ว เราจะตั้งค่ายกันที่นี่ เดี๋ยวพวกเขาก็กลับมา”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของอู๋เสอ หงเฉิงก็เอาข่าวนี้ไปบอกกับเหล่าทหารที่กำลังโมโหโกรธแค้น จากนั้นเดินตามหลิวจิ้นเป่าไปตั้งค่าย สุดท้ายก็ไปขวางหน้าอู๋เสอ และพูดอย่างโหดเ**้ยมว่า “คนนั้นเป็นใครกัน?”
“ท่านหง เจ้าอย่าถามข้าเลย คนคนนั้นไม่ใช่คนบนโลกใบเดียวกับเรา ได้ยินท่านโหวบอกว่าผู้ชายคนนั้นเกือบจะวิ่งไปถึงขอบฟ้า เกือบจะกลายเป็นพระเจ้าไปแล้ว คนสองร้อยคนที่ไปกับเขา มีเขากลับมาแค่คนเดียว ตอนที่เพิ่งจะกลับมา ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล พักอาศัยอยู่ที่บ้านข้าตั้งนาน ท่านหงน่าจะรู้เรื่องหนังหมีขาวใช่หรือไม่ ของสิ่งนั้นคือของที่เขาเอามาจากขอบฟ้า ท่านอย่าถามข้าเลย ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาชื่ออะไร”
“ข้าก็ว่า บนโลกใบนี้มียอดฝีมืออะไรมากมาย จู่ๆ ก็โผล่ออกมาสองสามคน ท่านโหวของเจ้า กล้าหาญจนน่าสงสัย เขาจะมีพฤติกรรมแบบนี้ก็ต่อเมื่ออยู่กับคนที่ตัวเองไว้วางใจอย่างยิ่งเท่านั้น ช่างเถอะ ที่มาที่ไปของท่านโหวของเจ้าช่างลึกลับ ยอดฝีมือนอกโลก ล้วนเป็นเช่นนี้กันทั้งนั้น”
อู๋เสอลูบคางที่ไม่มีเครา ท่าทางเต็มไปด้วยความปรารถนา แต่หงเฉิงยังคงสับสน
ถนนสายเล็กๆ ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยหญ้าที่สูงยาว อากาศเช่นนี้เมล็ดข้าวไม่เติบโต แต่วัชพืชกลับเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์
ซีถงแบกดาบของตัวเอง อวิ๋นเยี่ยลากหอกม้าของตัวเอง ทั้งสองคนเดินกันไปพูดคุยกันไป วั่งไฉยื่นหน้าเข้ามาระหว่างกลางของทั้งสองคนเป็นครั้งเป็นคราว
“นี่วั่งไฉหรือนี่ ไม่เจอกันปีกว่า ม้าอ้วนกลายเป็นม้ารบไปแล้ว ไม่เลว ดีจริงๆ ดีจริงๆ”
“เหล่าซี ปีกว่าแล้วทำไมข้าไม่เห็นเจ้าติดต่อกับทางบ้านของข้าเลย ที่ข้ามาเหอเป่ยก็เพื่อจะมาหาเจ้า เจ้าก็รู้ว่าเพื่อนข้าไม่เยอะ ถึงเจ้ามาหาข้าไม่ได้ เขียนจดหมายมาบ้างก็ได้”
“ยุ่งไง ยุ่งอยู่กับปากหลายสิบปากทั้งวัน ไม่เลี้ยงพวกเขาให้อิ่ม ข้าก็ไปที่ไหนไม่ได้ เจ้ามันคนว่างที่ร่ำรวย ครั้งนี้ยังนำทัพมาตระเวนเที่ยว คงจะภาคภูมิใจไม่น้อยใช่หรือไม่”
“ภาคภูมิใจอะไรกันล่ะ เสี่ยงตายตั้งหลายครั้ง กลิ้งไปกลิ้งมาบนปลายมีด ยังมีชีวิตมาเจอกับเจ้า ก็ถือว่าข้ามีบุญมากแล้ว” คำพูดที่ไม่มีทางเอาไปพูดต่อหน้าคนอื่น แต่กลับพูดต่อหน้าซีถงไม่หยุด แม้แต่ซีถงที่กล้าหาญมาตลอดก็ยังเช็ดเหงื่อให้เขา
“คิดไม่ถึงว่าช่วงเวลานี้ของเจ้ายังคงเป็นวันที่ยากลำบาก ความร่ำรวยพวกนั้นมีอะไรดี ต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงเพื่อมัน ช่างไม่คุ้มค่า เจ้าก็ไม่ชอบที่จะอยู่ในสังคมเช่นนั้นไม่สู้ออกมาอยู่กับข้าที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ พาท่านย่ากับภรรยาทั้งสองคนของเจ้ามาด้วย ใช้ชีวิตที่สงบสุขอย่างมีความสุข”
ซีถงเปลี่ยนไปมาก กลิ่นอายของความกล้าหาญและสง่างามของเขาหายไปหมดแล้ว หากไม่ใช่เพราะรูปร่างกำยำของเขายังอยู่ก็แทบจะมองไม่ออกว่านี่คือวีรบุรุษคนหนึ่ง วีรบุรุษที่ตัดหัวคนจากแดนไกล ขากางเกงเขาเต็มไปด้วยฝุ่น ไม่ต่างอะไรจากพวกชาวนาในกองทัพทหาร
“เดิมทีข้าคิดว่าช่วงภัยพิบัติในเหอเป่ยครั้งนี้ เจ้าจะก่อตั้งกองทัพ ไล่ฆ่าขุนนางแจกจ่ายเสบียงอาหาร ปล้นพวกเศรษฐีมาช่วยเหลือคนยากจน ควบม้าตระเวนไปทั่วดินแดนเหอเป่ย ตาต่อตาฟันต่อฟันไม่ใช่ชีวิตที่เจ้าอยากมีมาตลอดหรือ”
“ตาต่อตาฟันต่อฟันอะไรกันล่ะ ยังจะไล่ฆ่าขุนนางแจกจ่ายเสบียงอาหาร ตระกูลของพวกผู้ตรวจราชการมณฑลยังไม่มีเสบียงอาหารค้างคืน ฆ่าพวกเขาได้ประโยชน์อะไร อย่าว่าไป พวกขุนนางที่ตระกูลหลี่ส่งมาที่นี่ยังถือว่าเป็นขุนนางที่ดี เสี่ยวซือซานร้องไห้หิว คนที่เป็นพ่ออย่างข้าก็นั่งไม่ติด ตอนเย็นไปที่จวนเฉิง ไปดูบ้านของผู้ตรวจราชการมณฑล พวกเขาพากันกินแค่ข้าวต้ม ลูกสาวตัวน้อยของเขาเอะอะโวยวายจะกินขนมก็ถูกผู้ตรวจราชการมณฑลตีไปสองที ไม่กล้าร้องอีกเลย ดูแล้วช่างปวดใจ ข้าหันหลังแล้วเดินออกมา ระหว่างทางกลับ โชคดีที่มีหมูป่าวิ่งออกมาจากภูเขา อ้วนท้วนเป็นอย่างมาก ถูกข้าฆ่าตาย เตรียมเอากลับไปทำเนื้อตุ๋นให้เสี่ยวซือซานกิน นึกถึงลูกสาวตัวน้อยของผู้ตรวจราชการมณฑลก็เลยตัดขาหลังของหมูออกให้พวกเขา เอาแขวนไว้ในห้องรับแขกของเขา ทิ้งจดหมายเอาไว้ บอกว่าเอาให้ลูกกิน”
“ฮ่าๆๆ เจ้ามักจะทำเรื่องแบบนี้ตลอด ผู้ตรวจราชการมณฑลตกใจหมดแล้วใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่ ผู้ตรวจราชการมณฑลคนนั้นยังถือว่ามีความกล้าหาญ ตัดขาหมูออกไปชิ้นหนึ่ง ตุ๋นให้ลูกกิน ที่เหลือเอาไปต้มสุกแล้วแบ่งให้พวกเด็กกำพร้า ครั้งนี้ข้ามองคนไม่ผิด ขุนนางของตระกูลหลี่ หากเป็นเช่นนี้กันทุกคนก็สมควรที่ตระกูลของเขาจะได้ครองบัลลังก์หลายหมื่นปี ข้าจะทำตัวเป็นราษฎรที่เชื่อฟังและจงรักภักดี”
ซีถงพูดอย่างจริงจัง เห็นได้ชัดว่าเขาพูดออกมาจากใจจริง คนที่ดื้อด้านมักจะมีขอบเขตของตัวเองเสมอ เช่นเดียวกับคนที่หยิ่งยโสจะไม่มีทางรังแกคนที่อ่อนแอกว่า
“ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าจากไป ท่ายย่าขนของให้เจ้าตั้งหลายเกวียน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ทำให้เจ้าร่ำรวย แต่ก็ทำให้คนทั้งครอบครัวไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องกินไปได้สองสามปี แล้วมันไปไหนหมด? ช่างเถอะ เจ้าไม่ต้องพูด เอาไปให้คนอื่นแล้วแน่ๆ คนอย่างเจ้ามีเงินอยู่ในมือคงจะเป็นบาป”
ซีถงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา ตบที่ไหล่ของอวิ๋นเยี่ยเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นเพื่อนรู้ใจของข้า ข้าลากรถม้ากลับบ้านตลอดทาง เจอขอทานก็เอาข้าวให้ไปกระสอบหนึ่ง เจอคนเปลือยร่างก็เอาผ้าให้ไปผืนหนึ่ง ดินแดนเหอเป่ยยากจนเกินไปแล้ว คนไม่มีเสื้อผ้าใส่เยอะแยะไปหมด กลับมาถึงบ้านเหลือแค่เพียงข้าวเกวียนเดียว ผ้าห้าหกผืน โชคดีที่ยังเหลือวัวสามตัว แค่นี้ พวกภรรยาก็ดีใจเป็นอย่างมาก คืนนั้น ข้าเป็นเจ้าบ่าวตั้งเจ็ดครั้ง ฮ่าๆๆ”
อวิ๋นเยี่ยแทบสำลักน้ำลายตัวเองตาย ชี้ไปที่ซีถงและพูดว่า “ข้าคิดว่าเจ้าแค่สงสารผู้หญิงพวกนั้น แต่เจ้ากลับไปเป็นสามีของพวกนางจริงๆ น่ะหรือ”
ซีถงบึนปากและพูดอย่างไม่สนใจว่า “ไม่อยากสนใจลัทธิเต๋าจอมปลอมอย่างพวกเขา พวกนางเป็นภรรยาของข้าไปแล้ว ยี่สิบเอ็ดคน ข้าไม่ปล่อยไปสักคนเดียว ตอนนี้ท้องแล้วห้าคน คนเป็นลุงอย่างเจ้าเตรียมของกำนัลไว้ให้ดี ที่บ้านมีเด็กเยอะ ล้วนแต่รอคอยลุงที่ร่ำรวยอย่างเจ้าเอาขนมอร่อยๆ มาให้พวกเขา”
“เด็กๆ ก็รู้ว่ามีข้าอยู่หรือ”
“เหลวไหล ข้ามีเพื่อนที่ร่ำรวยแค่เจ้าคนเดียว จะไม่ให้เอาออกมาอวดได้เช่นไร ตอนกลางคืนข้าจะเอาแต่ทำเรื่องพวกนั้นได้เช่นไร ก็ต้องเล่าเรื่องในอดีตของข้าให้ลูกๆ ฟังบ้าง ไม่ค่อยอยากจะเล่าเรื่องของเถียนเซียงจื่อ เพราะฉะนั้นเจ้าคือคนสำคัญที่สุด พวกเด็กๆ อยากเห็นอยากเจอกับท่านโหวคนนี้กันทั้งนั้น เจ้าไม่มาสักที พวกเด็กๆ คิดว่าข้าหลอกพวกเขา ได้ยินมาว่าเจ้ามาถึงเหอเป่ย ข้าเลยต้องพาเจ้ากลับไปให้พวกเขาดู พิสูจน์ให้เห็นว่าข้าไม่ได้พูดเหลวไหล”
“ให้ตายเถอะ ตอนนี้ข้าใส่ชุดเกราะ ไม่มีเวลาให้เตรียมของขวัญ ไม่ได้ ข้าต้องกลับไปเอาของขวัญ” เดิมทีคิดว่ามีแค่ซีถงแค่คนเดียว หากไม่มีอะไรติดไม้ติดมือคงไม่เป็นไร ตอนนี้พึ่งจะรู้ว่าไอ้นี่เป็นคนมีครอบครัวใหญ่แล้วจริงๆ ไปเช่นนี้ช่างไร้มารยาท
ซีถงทำปากชี้ไปด้านหลังแล้วพูดว่า “ทหารหน่วยตรวจสอบของเจ้าตามหลังมา บอกให้พวกเขาไปขนมาก็ได้”
อวิ๋นเยี่ยหันหลังไปมอง คนเจ็ดแปดคนทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ในพุ่มหญ้า หากไม่มองดีๆ ก็คงมองไม่ออก
“ไสหัวออกมา” อวิ๋นเยี่ยตะโกนใส่เหล่าทหารหน่วยตรวจสอบ
ทันทีที่ทหารหน่วยตรวจสอบออกมาก็รีบแยกอวิ๋นเยี่ยและซีถงออกจากกัน จ้องมองไปที่ซีถงอย่างระมัดระวัง
“นี่คือเพื่อนเก่าของข้า เมื่อครู่เป็นแค่เรื่องตลก พวกเจ้ากลับไปสักสองสามคน รีบลากรถของขวัญ เสบียงอาหาร ผ้าไหม เอามาให้หมด รีบไป ขนไปที่หมู่บ้านข้างหน้า”
“ขนม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือขนม ข้าบอกกับเด็กๆ ไว้แล้วว่า ขนมของตระกูลอวิ๋นอร่อยที่สุดในโลก เจ้าต้องเอามาด้วย เจ้ากำลังเคลื่อนย้ายกองทัพ น้ำหอมพวกนั้นก็ช่างมันเถอะ ได้ยินมาว่าเจ้าฆ่าปลาตัวใหญ่ที่ทะเล ใหญ่แค่ไหน มีคนบอกว่าใหญ่เท่าบ้าน เจ้าคงจะไม่ได้ฆ่าปลาใหญ่ในตำนานใช่หรือไม่”
พูดถึงเรื่องนี้อวิ๋นเยี่ยก็ภาคภูมิใจขึ้นมา มองทหารหน่วยตรวจสอบสองคนวิ่งกลับไป เขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แล้วก็พูดว่า “เจ้าก็แค่ฆ่าหมีขาวไปสองสามตัว สองสามวันมานี้ข้าล่องเรือไล่ฆ่าปลาใหญ่ในตำนาน ถูกข้าใช้หน้าไม้สามขาแทงตายไปตั้งหลายตัว เหมือนในตอนนั้นที่ท่านชายเริ่นตกปลาวาฬที่ทะเลตะวันออก เขาใช้วัวและปลาวาฬเอาไปให้คนในตงเหอกินกันจนอิ่ม ส่วนคราวนี้ข้าใช้หน้าไม้ยิงจนมีเนื้อปลากองเท่าภูเขาเชียวนะ ข้าจับปลาวาฬตัวหนึ่งมาลากเรือของข้าล่องไปบนทะเล ความเร็วเช่นนั้นเจ้าไม่มีทางนึกออกแน่ สุดท้ายเมื่อเล่นจนเบื่อแล้วก็เอามันขึ้นฝั่งไปฆ่ากินเนื้อ เจ้าไม่รู้หรอกว่า ปลาตัวนั้นใหญ่กว่าบ้านเก่าๆ ของเจ้าเสียอีก เดี๋ยวพวกเขาก็จะขนมาให้เจ้านิดหน่อย ลองชิมดู ชิมดูฝีมือสหายของเจ้า หากไม่เชื่อ ก็ลองถามพวกเขา”
คนโง่ที่ไหนจะได้มาเป็นทหารหน่วยตรวจสอบ ได้ยินที่ท่านโหวโม้ไปขนาดนั้น พวกเขาก็รีบคล้อยตามทันที คนหนึ่งบอกว่าท่ายิงปลาวาฬของท่านโหวช่างทำให้คนที่ได้เห็นยากจะลืมได้ อีกคนหนึ่งบอกว่าท่านโหวยังไม่ลืมที่จะจัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบในช่วงวิกฤต ช่างเป็นต้นแบบที่ดีเสียจริง ปลาวาฬหนึ่งตัวห้าพันกิโลหนักขึ้นเป็นหมื่นกิโลอย่างรวดเร็ว
อวิ๋นเยี่ยที่ได้ยินก็พยักหน้า ซีถงฟังจนอ้าปากค้าง ดาบในมือถึงกับตกลงบนพื้น
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 56 แม่เล้า
หมู่บ้านเล็กๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและแม่น้ำช่างสวยงาม เพียงแต่ทรุดโทรมไปไม่น้อย มีกำแพงปรักหักพังอยู่ทุกหนทุกแห่ง บางส่วนมีร่องรอยของการถูกไฟไหม้ ไม้ที่ไหม้เกรียมกองรวมกันเป็นชั้นหนาๆ กลายเป็นขี้เถาสีเทา โชคดีที่ยังมีควันลอยขึ้นมา ทำให้ผู้คนยังคงมองเห็นความหวังอันริบหรี่ที่อยู่ในความสิ้นหวัง
“ดินแดนเหอเป่ยปั่นป่วนมานานกว่าสามสิบปี โต้วเจี้ยนเต๋อ หวางซื่อซง เกาถานเซิ่ง หลี่จึทง และเถี่ยมู่เอ่อร์ คนพวกนี้เดี๋ยวก็จับคนไปเป็นเชลย เดี๋ยวก็ฆ่าคนปล้นเสบียงอาหาร ทำแต่เรื่องไม่ดี ช่างเป็นที่มาของคำว่าเลวทราม ดินแดนเหอเป่ยที่เคยอุดมสมบูรณ์จึงกลายเป็นดินแดนที่ไม่มีผู้คน ไม่มีแม้แต่เสียงไก่ขัน กลายเป็นดินแดนที่มีแต่กระดูก หากข้าเกิดเร็วกว่านี้สักยี่สิบปี ข้าจะให้พวกเขากลายเป็นผีภายใต้ดาบของข้า” พูดถึงเรื่องนี้ ซีถงก็โมโหจนไม่เป็นตัวของตัวเอง หยิบเหยือกเหล้าสีเงินอันงดงามออกมาจากแขนเสื้ออวิ๋นเยี่ย เทลงไปในคอ ไม่เหลือเลยสักหยดเดียว
“เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าข้าเอาเหล้าไว้ในแขนเสื้อ”
“ไม่เอาไว้ในแขนเสื้อหรือจะเอาไว้ในเป้ากางเกง ข้ารู้ตั้งนานแล้วว่าเจ้าไม่มีอะไรทำก็จะเอามันออกมาจิบ น่าอาย ใส่น้ำตาลอะไรลงไปในเหยือกเหล้า เหล้าของตระกูลเจ้าล่ะ?”
“เหล้าของตระกูลข้าเอาไว้ใช้หลอกลวงคนป่าเถื่อน เหล้าเหยือกหนึ่งแลกกับแกะตัวหนึ่ง เป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า ดื่มเหล้าองุ่นถึงจะดูเป็นชนชั้นสูง ข้าค่อนข้างให้ความสำคัญกับทัศนคติของตนเอง ไม่เหมือนเจ้า ผู้หญิงคนไหนก็เอา เหล้าอะไรก็ดื่ม ลูกของใครก็เลี้ยง เจ้าไม่ยุ่งวุ่นวายแย่หรือ?”
“ข้าไม่มีเวลาเสแสร้งทำเป็นคนสูงส่ง ขอแค่ข้าเต็มใจ มีความสุขก็พอ เลี้ยงเด็กคนหนึ่งโตขึ้นเขาก็ยังเรียกข้าว่าพ่อ เจ้าไม่ต้องมายุ่ง ข้าชอบพวกผู้หญิงชาวบ้านที่มือหยาบๆ เหมือนดอกหญ้าข้างถนน ให้น้ำฝนนิดหน่อยก็อยู่ได้ ดอกไม้ของเจ้า หากตกมาอยู่ในดินแดนแห่งนี้ก็คงจะอดตายไปแปดครั้งแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยไม่อยากพูดคุยเรื่องเก่าๆ ในเหอเป่ยกับซีถง เช่นนั้นมันอาจจะดึงดูดความเกลียดชังของเขา เดินทีซีถงก็ไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นคนมีความสามารถ สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการทำ แต่หลังจากการเดินทางไปขั้วโลกเหนือ สุดท้ายภาพลวงตาของเทพเซียนถูกทำลายจึงอยากจะสลายตัวไปกับต้นไม้ใบหญ้า หัวใจราวกับเถ้าถ่าน เขาถึงได้หาภาระมาให้ตัวเองแบกรับ ใช้ชีวิตทรมานตัวเองเพื่อที่จะได้ไม่เป็นบ้า
สวนของบ้านซีถงใหญ่มาก เป็นประตูไม้ มีฮูหยินสองสามคนที่ใส่ผ้าผูกหัวสีฟ้ากำลังยุ่งอยู่ในสวน คนหนึ่งกำลังตำข้าว คนหนึ่งกำลังตักแกลบออก คนหนึ่งกำลังบดข้าวให้อาหารไก่ ใต้ชายคามีฮูหยินอีกห้าคนที่ท้องโตกำลังหมุนใยปั่นด้าย มีเสียงทอผ้าดังออกมาจากห้องทางด้านหลัง แล้วยังมีเด็กอีกสองสามคนกำลังตัดฟืน ดูเหมือนจะตัดอยู่ก่อนแล้วสักพักหนึ่ง ฟืนกองอยู่ใต้ชายคาจำนวนมากทีเดียว
“ฮูหยินเด็กๆ ข้ากลับมาแล้ว แล้วยังพาแขกมาด้วย ยังไม่ออกมาคำนับท่านลุงอีก” ซีถงเดินเข้ามาก็ตะโกนทันที
เหล่าฮูหยินวางงานในมือลงแล้วออกมาต้อนรับตัวเองอย่างมีความสุข พวกเด็กๆ ก็พากันออกมาจากหลายๆ มุม เสียงตะโกนเรียกพ่อทำให้อวิ๋นเยี่ยปวดหัว
แต่เมื่อพวกเขาเห็นชุดเกราะที่งดงามของอวิ๋นเยี่ย พวกเขาก็ตกตะลึงไปเลย ฮูหยินที่ท้องโตคนหนึ่งร้องไห้และพูดว่า “ท่านทหาร ได้โปรดอย่าเอาท่านพี่ของข้าไปเป็นทหาร ทั้งบ้านสี่สิบกว่าคนยังต้องพึ่งพาท่านพี่ หากท่านต้องการ ท่านก็เอาข้าไปเถอะ ข้ายังทำอาหารให้กับกองทัพกินได้”
พวกเด็กๆ ก็พากันหดตัวเข้าไปในอ้อมแขนของแม่ทีละคน ไม่กล้าเข้ามาใกล้ ฮูหยินสองสามคนซ่อนลูกที่โตแล้วไว้ข้างหลัง ป้องกันพวกเขาจากอวิ๋นเยี่ยอย่างเต็มที่ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ถึงขั้นถือขวานออกมาราวกับว่าหากมีอะไรผิดปกตินางก็จะสู้อวิ๋นเยี่ยสุดชีวิต
อวิ๋นเยี่ยมองซีถงที่มีความสุขอย่างจนด้วยหนทางจึงหมุนตัวไปรอบๆ แล้วพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ทุกท่าน ข้าเป็นสหายของซีถง เพิ่งจะนำกองทัพทหารผ่านมาที่นี่ ตั้งใจมาเยี่ยมสหาย ไม่ได้มาทำอันใด”
“เจ้าคือท่านโหวที่พ่อบอก? บ้านเจ้าที่มีอาหารอร่อยๆ เยอะแยะ? แล้วยังมีม้าตัวอ้วนๆ ตัวหนึ่ง มีหมูที่มีน้ำหนักตั้งห้าร้อยกิโลอีกตัวหนึ่ง?” เด็กผู้ชายวัยเจ็ดแปดขวบแวบออกมาจากข้างหลังฮูหยิน เบิกตากว้างมองมาที่อวิ๋นเยี่ย
“ใช่แล้ว ข้าเอง ของอร่อยๆ ที่บ้านของข้าเมื่อปีที่แล้วก็เอาให้พ่อของเจ้ามาแล้ว บอกให้เขาเอามาให้เจ้ากิน แต่น่าเสียดายที่พ่อของเจ้าเอาไปให้คนอื่นหมด แล้วยังมีเนื้อแห้งอร่อยๆ เขาก็เอาไปให้คนอื่น เขาเป็นพ่อที่สุรุ่ยสุร่าย คราวหน้าอยากกินอะไรอร่อยๆ ก็บอกท่านลุง อย่าให้พ่อเจ้ารู้ล่ะ เดี๋ยวเขาจะเอาไปให้คนอื่นอีก”
อวิ๋นเยี่ยย่อตัวลงมาลูบที่หัวของเด็กคนนั้นเบาๆ หยอกล้อความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกของพวกเขาแต่ซีถงกลับยิ้มหน้าบานกว่าเดิม
“ไม่ใช่ซะหน่อย ที่พ่อเอาขนมอร่อยๆ ให้กับคนพวกนั้น ก็เพราะพวกเขากำลังจะหิวตาย พ่อของข้ากำลังช่วยชีวิตคน ไม่ใช่สุรุ่ยสุร่ายนะ พ่อข้าบอกแล้วว่า เจ้าต่างหากที่เป็นจอมล้างผลาญอันดับหนึ่งของโลก”
“ฮ่าๆๆ” อวิ๋นเยี่ยกับซีถงหัวเราะออกมาพร้อมกัน เหล่าฮูหยินถึงได้มั่นใจว่าทหารคนนี้เป็นเพื่อนของท่านพี่จริงๆ ไม่ได้มาจับท่านพี่ไปเป็นทหาร
เด็กผู้หญิงผมสีเหลืองอายุห้าหกขวบแทรกตัวออกมาแล้วถามว่า “ท่านลุง พ่อบอกว่าหากเจ้ามา เจ้าจะเอาผ้าไหมดอกไม้สวยๆ มาให้ข้า เซียวเหอก็ยังมี แต่ข้าไม่มี”
“ผ้าไหมดอกไม้อะไรกัน ท่านลุงเอาผ้าซาตินมาให้ทุกคนเลย ให้แม่ของเจ้าทำชุดดอกไม้ กระโปรงดอกไม้สวยๆ ให้เจ้า แล้วยังมีหินสวยๆ อีกด้วย ดีเลย เอาไว้เป็นสินสอดในอนาคตด้วย”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มและหยิบกระเป๋าออกมาจากแขน เอาอัญมณีสีเขียวให้กับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ สายตาเด็กผู้หญิงก็เป็นประกายขึ้นมาทันที ถืออัญมณีแล้วเงยหน้าพูดกับดวงอาทิตย์ว่า นางไม่เคยเห็นหินที่สวยงามเช่นนี้มาก่อน
“เสี่ยวฮวา วางลง!” ผู้หญิงที่ไม่ได้ใส่ผ้าปิดหน้าเดินออกมาจากฝูงชน เอาอัญมณีที่อยู่ในมือของเสี่ยวฮวามา คำนับอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “ของขวัญชิ้นนี้มีค่ามากเกินไป เด็กๆ รับเอาไว้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นชีวิตนางจะสั้น ท่านโปรดเอาคืนกลับไปเถิด”
อวิ๋นเยี่ยมองกลับไปที่ซีถงด้วยความประหลาดใจ ซีถงเดินไปหยิบอัญมณีจากมือของผู้หญิงคนนั้น ยัดให้เสี่ยวฮวาแล้วพูดว่า “จิ่วเหนียงคิดมากเกินไปแล้ว คนอื่นให้ทรัพย์สมบัติอาจจะมีเรื่องขอร้องให้ช่วย แต่สิ่งที่เขาให้เป็นเรื่องชอบธรรม เราเป็นสหายกัน ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับสิ่งของพวกนี้อยู่แล้ว รับมันไว้เถอะ รับมันไว้ เขาเป็นคนในตระกูลที่ร่ำรวยในต้าถังเชียวนะ ไม่เอาของเขาจะไปเอาของใครล่ะ?”
ผู้หญิงคนนั้นเหมือนยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เพื่อไว้หน้าผู้ชายของตัวเอง นางจึงก้มหน้าลงแล้วพูดเสียงเบาว่า “ขอบคุณสำหรับของขวัญของท่านลุง”
อวิ๋นเยี่ยยิ้ม เอาถุงในมือยื่นให้กับซีถง แล้วพูดกับฮูหยินคนนั้นว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้ ตอนที่พี่ซีถงมาเยี่ยมข้า หนังสัตว์ราคาเป็นหมื่นข้าก็ยังรับเอาไว้ อัญมณีถุงเล็กๆ ท่านให้ความสำคัญมันมากเกินไปแล้ว”
ซีถงพูดกับฮูหยินเบาๆ อีกครั้งว่า “สหายอวิ๋นเคยช่วยชีวิตข้าไว้ แล้วยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เจ้ากังวลว่าข้าจะเอาชีวิตของข้าตอบแทนบุญคุณเขาหรือ เจ้าคิดมากไปแล้ว ทหารใต้บังคับบัญชาของเขามีตั้งมากมาย หนึ่งในนั้นแม้แต่ข้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ ดังนั้น ชีวิตของข้ามีไว้ให้พวกเจ้ากับพวกเด็กๆ เท่านั้น เรื่องอื่นก็แค่เรื่องที่ผ่านมาแล้วเดี๋ยวก็ผ่านไป เกรงว่าความหวังที่สูงที่สุดของไอ้นี่ก็คืออยากให้ข้าตายอยู่ในหมู่บ้านร้างแห่งนี้ ไม่ให้ข้าได้ไปผุดไปเกิดอีกชั่วชีวิต”
ซีถงเป็นคนฉลาดมาตลอด เพียงแค่ถูกรูปลักษณ์ภายนอกที่หยาบกระด้างบดบังแสงสว่างแห่งปัญญา อวิ๋นเยี่ยสงสัยเป็นอย่างมาก ประโยคที่เขาพูดเมื่อครู่มีความอ่อนโยนอย่างหาคนจะพูดได้ยาก และผู้หญิงคนนี้ก็สุภาพมีมารยาท ไม่ใช่หญิงชาวนาในชนบทธรมดาแน่นอน
เมื่อหลิวจิ้นเป่าเอาของขวัญมาถึงบ้านหลังนี้ ไม่ต้องสงสัยว่าคนที่มีความสุขที่สุดก็คือพวกเด็กๆ ขนมที่อยู่ในกล่อง ฮูหยินแบ่งให้เด็กๆ ละคนสองชิ้น มองดูพวกเด็กๆ บรรจงเลียมือตัวเองอย่างละเอียดลออในใจก็เกิดความรู้สึกสงสาร เสี่ยวฮวาที่อยู่ในฝูงชนเลียอยู่พักหนึ่งก็เอาขนมไปยื่นให้แม่อย่างระมัดระวังและพูดอย่างมีความสุขว่า “แม่ ลองชิมดูสิ หวานมากเลย”
เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้ฮูหยินน้ำตาไหลดั่งสายฝน สำลักขนมและส่ายหน้า ครั้งหนึ่งตระกูลของตัวเองก็เคยเป็นตระกูลร่ำรวย แต่ตอนนี้ลูกสาวของตัวเองกินขนมธรรมดาๆ แค่คำเดียวก็ยังมีความสุขถึงเพียงนี้ พระเจ้า ภัยพิบัตินี้อย่าได้มีมาอีกเลย
อวิ๋นเยี่ยและซีถงนั่งอยู่ใต้ชายคา นั่งดื่มเหล้าอยู่บนโต๊ะไม้ ถึงแม้ว่าจะมีผักสีเขียวอยู่สองชาม แต่มันกลับไม่ได้ขัดขวางการดื่มเหล้าของพวกเขา ดื่มไปได้ครึ่งหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยก็ถามซีถงเบาๆ ว่า “ภรรยาของเจ้าไม่ธรรมดา ไม่เหมือนหญิงชาวนาชั่วไป ทำไมถึงได้มีกลิ่นอายเหมือนกับภรรยาของข้า”
“ฮ่าๆๆ ดูออกแล้วหรือ ก็คุณหนูตระกูลใหญ่ตระกูลโตนั่นแหละ ไม่กี่ปีที่ผ่านมามีชาวหูมาบุกรุกเหอเป่ยน่ะ ตระกูลของนางถูกทำลาย นางบอกว่าทั้งบ้านรอดมาได้เพียงไม่กี่คน ตอนนั้นนางกำลังตั้งครรภ์ ถูกสามีของนางเอาตัวนางไปซ่อนไว้ในบ่อน้ำถึงได้หลบหนีออกมาได้ เดิมทีคิดว่าตัวเองจะได้ลูกชาย ใครจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วได้ลูกสาว จากนั้นก็ใช้ชีวิตด้วยความผิดหวังและสับสน รวบรวมกลุ่มพวกผู้หญิงมาช่วยกันเอาตัวรอดออกมาได้ จากนั้นก็เก็บข้ามา และเพื่อที่จะหาที่พึ่งพิงให้กับผู้หญิงพวกนั้นจึงตอบตกลงแต่งงานกับข้าในฐานะฮูหยินใหญ่ แต่ว่าข้าไม่เคยแตะต้องนาง อยากจะรอจนกว่าจะถึงวันที่นางเต็มใจ”
คิดไม่ถึงว่าไอ้สารเลวคนนี้ยังคงเป็นสุภาพบุรุษ ยกจอกเหล้าขึ้นมา สองสหายเคารพซึ่งกันและกัน ดื่มจนหมดจอก
“เจ้าไม่อยากที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ตอนนี้หรือ ยังทำผู้หญิงอีกสองสามคนตั้งครรภ์ หากเป็นเช่นนี้ ความหวังที่เจ้าจะเข้าห้องหอกับนางก็คงน้อยลง”
“เจ้าจะไปรู้อะไร จิ่วเหนียงฝันอยากจะได้ลูกชาย ข้าแข็งแรงเช่นนี้ เป็นสุภาพบุรุษ เป็นคนซื่อสัตย์ แล้วยังรู้จักที่จะรักเด็ก ไม่เคยทุบตีฮูหยิน ผู้ชายที่ดีเช่นนี้ นางร่วมหอกับข้าจะไปร่วมหอกับใครล่ะ”
“เป็นคำพูดที่สมเหตุสมผล จากมุมมองของสัตว์ร้าย เจ้ามีขนที่สง่างาม ร่างกายแข็งแรง แขนขาเรียวยาว กล้าหาญชาญชัย สมแล้วที่เป็นราชาแห่งสัตว์ร้าย เป็นสายพันธุ์ดีในการผสมพันธุ์ แต่เจ้าเป็นคนไม่ใช่สัตว์ เงื่อนไขเหล่านี้มันไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดระหว่างมนุษย์คือความรู้สึก หากรู้สึกว่าใช่ จะเข้าห้องหอเลยทันทีก็ไม่มีปัญหา หากรู้สึกว่าไม่ใช่ นอนเตียงเดียวกันแต่ฝันคนละเรื่องก็อาจจะเป็นไปได้ ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องผิดหวังในอนาคต ดังนั้นเจ้าต้องรีบหากลยุทธ์”
“กลยุทธ์อะไร”
“ข้ารู้ว่า ความปรารถนามีส่วนเกี่ยวข้องกับตรงนี้” อวิ๋นเยี่ยชี้ไปที่ไตของตัวเอง
“เหลวไหล ใครก็รู้ถึงความสำคัญของน้ำไต ตอนเด็กๆ ตอนที่ท่านอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ให้ข้า เขาบอกให้ข้าเสริมสร้างไตเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยไปเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก ไม่มีน้ำไต นั่นคือขันที”
“เจ้าใจเย็นๆ ฟังข้าพูดให้จบก่อน ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะเขินอาย บางครั้งผู้ชายก็ควรเป็นฝ่ายรุก ยังไงข้ากับเจ้าก็ผ่านการตรวจสอบมาแล้วเป็นเวลานาน หน้าก็ด้าน ย่อมไม่กลัวจะถูกปฏิเสธ แล้วอีกอยากตอนที่ข้าอยู่ที่ฉางอัน มีเครื่องมือวิเศษชิ้นหนึ่ง หากมีเครื่องมือชิ้นนั้น ไม่มีทางแพ้พ่าย”
“ฮ่าๆๆ” ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
“เครื่องมือวิเศษอะไร ข้าขอลองใช้งานหน่อยได้หรือไม่”
“ได้แน่นอน สิ่งนี้มีชื่อเรียกว่าซุนเฟิงซั่น…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น