เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 8 ตอนที่ 52-53

[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 53 บันทึกวาฬ

 

ทั้งที่มีเรือหาปลาอยู่ทั่วท้องทะเล แต่คนในเหอเป่ยไม่มีอาหารจะกิน จึงต้องการเงินสนับสนุนจากเพื่อนบ้านชายฝั่ง ถึงแม้ไม่มีเสบียงอาหาร แต่ความจริงแล้วในทะเลยังมีปลาตั้งมากมาย ขอแค่มีกำลังคนตกปลาที่เพียงพอก็พอแล้ว


 


เรือใหญ่ของกองทัพเรือแล่นอยู่บนทะเลอันไกลโพ้น การเอาไม้ไผ่ทุบลงไปในทะเล มีประโยชน์อย่างเดียวคือต้อนปลาไปที่ทะเลน้ำตื้น ทันใดนั้นมีปลาโลมากระโดดขึ้นมา มันหมุนตัวไปมาสองสามรอบแล้วก็มุดกลับลงไปในทะเล ที่นี่ปลาชุมมาก พวกมันจึงยุ่งอยู่กับการล่าปลาด้วยกันเองมากิน


 


อวิ๋นเยี่ยถอดเสื้อคลุมออก สวมกางเกงขาสั้นกับเสื้อแขนสั้น เรือสองลำลากตาข่ายขนาดใหญ่แล่นไปตามสายลม รอยฟกช้ำบนใบหน้าของเขายังไม่หายดี ในตายังปรากฏเส้นเลือดสีแดงก่ำอยู่


 


ครั้งนี้ซวยเสียแล้ว ควักเงินซื้อปลาแห้งทั้งหมดด้วยตัวเอง เอาไปแจกจ่ายให้กับผู้ตรวจราชการมณฑลสองสามคน เผชิญหน้ากับราษฎรที่กำลังรอรับเสบียงอาหาร อวิ๋นเยี่ยเอ่ยปากขอเก็บเงินไม่ออกจริงๆ เห็นพวกเขาแบกปลาแห้งไปกันอย่างมีความสุข อวิ๋นเยี่ยก็เจ็บปวดที่ใจจนพูดไม่ออก


 


เหล่าทหารเรือก็คิดว่าคงเป็นเช่นนี้ เอาปลาแห้งของตัวเองไปให้แก่ผู้คนที่หิวโหย พวกเขาไม่เต็มใจเช่นเดียวกันกับอวิ๋นเยี่ย แต่ก็ไม่บ่นสักคำ คนจิตใจดีก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้กันทั้งนั้น


 


ขายสมบัติล้ำค่าไปอย่างเจ็บปวดใจ แลกเหรียญทองแดงมาสิบกว่าเกวียน แจกจ่ายให้กับเหล่าทหารเรือ ตัวเองเป็นคนดีจะปล่อยให้พวกเขาขาดทุนไม่ได้


 


การแจกจ่ายเงินครั้งนี้ เหล่าขุนนางไม่ได้รับส่วนแบ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นหัวหน้าหน่วยดับเพลิงก็ไม่มีส่วนแบ่ง ทำได้เพียงกลืนน้ำลายมองดูกองเงิน มีเหล่าทหารหลายคนที่มาจากดินแดนแห่งนี้ ก็ให้พวกเขาได้หยุดยาวครึ่งเดือน แจกจ่ายข้าวสองกระสอบให้พวกเขาเอากลับบ้าน กลับไปดูพระอาทิตย์ตกตอนเย็นที่บ้าน ผู้คนพากันนั่งคุกเข่าอยู่เต็มหน้าประตูจวนแม่ทัพอวิ๋นเยี่ย พวกเขารู้ดีว่าการให้เหล่าทหารหยุดยาวโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นมีโทษรุนแรงเช่นไร แต่ว่าแม่ทัพใหญ่กลับไม่สนใจ หลิวเหรินย่วนเตือนอวิ๋นเยี่ยตั้งหลายครั้งแต่ก็ถูกไล่ออกมา หงเฉิงก็บอกอวิ๋นเยี่ยเช่นกันว่าโทษนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น


 


“จะถูกตัดหัวหรือ” อวิ๋นเยี่ยถามหงเฉิง


 


“อาจจะไม่ถึงขั้นนั้น แต่ว่าท่านอาจจะถูกปลดตำแหน่งทหาร ฝ่าบาทก็จะมีพระราชโองการตำหนิท่าน หากต่อไปท่านต้องการนำทัพทหาร มันคงจะเป็นเรื่องยาก” หงเฉิงเป็นกังวล เขากังวลเรื่องอนาคตของอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก


 


“เยี่ยมไปเลย เช่นนั้นก็คงจะไม่มีใครบังคับให้ข้าเป็นคนนำทัพทหารออกรบอีก ส่วนถ้าถูกฝ่าบาทด่า? เขาด่าข้าน้อยนักหรือไง เมื่อก่อนยังเตะข้าด้วยซ้ำ คิดหาวิธีอีกดีกว่า หาวิธีปลดตำแหน่งขุนนางของข้าไปด้วยเลย มีวิธีไหนที่ถูกปลดเฉพาะตำแหน่งแต่ไม่ถูกเฆี่ยนหรือไม่ วิธีที่จะไม่ถูกตัดหัวน่ะ?” อวิ๋นเยี่ยดึงเสื้อหงเฉิง ให้เขาช่วยคิดหาวิธี เมื่อก่อนเขาทำงานเป็นผู้แจ้งข่าว คงจะมีประสบการณ์มากมายในเรื่องนี้


 


หงเฉิงตกใจจนหันหน้าหนี บอกอู๋เสอว่าอวิ๋นเยี่ยถูกปลาจวดตัวนั้นตกใส่จนสมองพังหมดแล้ว


 


“หยุดก่อน เมื่อก่อนเจ้าก็เป็นปั๋วเจวี๋ยมาก่อน ทำอะไรก็โง่ ใครสมองพัง ข้าว่าสมองเจ้าต่างหากที่พัง การปล่อยให้เหล่าทหารได้กลับบ้านมันเป็นการเอื้อเฟื้อ เป็นความกตัญญู เป็นความเมตตากรุณา ข้าคิดว่าที่อวิ๋นโหวปล่อยให้พวกเขากลับไปน่าจะมีแผนอื่น หมู่บ้านห่างไกลพวกนั้นเมื่อได้เห็นว่าลูกชายเอาเสบียงอาหาร เงิน และผ้าไหมกลับไปด้วย ความไม่พอใจของพวกเขาที่มีต่อราชสำนักคงจะเบาบางลงบ้าง แล้วอีกอย่าง ลูกชายของตัวเองยังจะต้องกลับไปรับรางวัลที่เมืองหลวง มีอนาคตที่ดีรอคอยอยู่ ในเวลานี้แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าลูกชายของตัวเองต้องกลับไปที่ค่ายให้ตรงเวลา คนในครอบครัวก็จะเป็นราษฎรที่จงรักภักดีต่อราชสำนัก เพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อลูกชาย


 


เมื่อเหล่าทหารพากันกลับมาที่ค่ายตามเวลาที่กำหนด ก็แสดงว่าพวกเขาศรัทธาต่อราชสำนักแล้ว เพียงแค่เรื่องเดียวก็ได้ใช้ทั้งความเมตตา ความกตัญญู ความเอื้อเฟื้อ ความชอบธรรมและศรัทธา มันไม่ใช่เรื่องผิด แต่เป็นเรื่องที่ดี จะต้องได้รับการยกย่องจากฝ่าบาท หากใครตำหนิเรื่องนี้ ก็จะกลายเป็นคนเลวทันที เป็นคนเลวที่เหม็นเน่าหลายพันปี คนโง่อย่างเจ้ายังจะมีหน้าไปเตือนท่านโหว เจ้าลองคิดดู ตั้งแต่เจ้ารู้จักกับอวิ๋นโหว เจ้าเป็นคนได้เปรียบ หรือว่าเขากันแน่ที่เป็นคนได้เปรียบ?”


 


อู๋เสอวางกระจกทองแดงในมือลง และพูดกับหงเฉิงด้วยความเกลียดชัง


 


“ครั้งแรกที่เจอกับอวิ๋นโหว ข้าใช้ทรัพย์สมบัติทั้งตระกูลของข้าแลก ‘หนังสืออินฝูจิง’ มา ฝ่าบาทพอใจมากจึงเลื่อนตำแหน่งให้ข้าเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง ทว่าทรัพย์สมบัติทั้งตระกูลของข้าหายไปหมด


 


ครั้งที่สองที่เราได้รู้จักกันจริงๆ คือตอนที่ไปหลอกเอาตราประทับแคว้นมาจากมือของคังเซี่ยวลี่ ข้าแบกมันวิ่งกลับมาที่เมืองหลวงด้วยความหวาดกลัว ฝ่าบาทโปรดปรานเป็นอย่างมาก ให้รางวัลเงินห้าร้อยเหรียญแก่ข้า สุดท้ายเขายึดทรัพย์สมบัติทั้งหมดของคังเซี่ยวลี่ น้อยสุดก็ได้ตั้งแปดพันเหรียญ ข้าต้องเหนื่อย ต้องหวาดกลัว ต้องรับผิดชอบ แต่เขากลับได้รับผลประโยชน์ทั้งหมด


 


ครั้งที่สามตระกูลโต้วทำให้อวิ๋นเยี่ยไม่พอใจ เขายั่วยุคนในเมืองไปตีตระกูลโต้ว พวกข้าเป็นหัวโจก สุดท้าย เขากำจัดปัญหาใหญ่ไปได้ สร้างความร่ำรวยบนที่ดินของตระกูลโต้ว ส่วนข้าถูกฝ่าบาทตำหนิ


 


ครั้งที่สี่ คือตอนที่โต้วเยี่ยนซานพยายามลอบทำร้ายฝ่าบาท โดยใช้หน้าไม้สามขา เขาส่งฝ่าบาทกลับไปที่เมืองอย่างปลอดภัย มีความดีความชอบ ได้รับการยกย่อง ส่วนข้าถูกฝ่าบาทส่งไปที่หลิ่งหนาน


 


ครั้งที่ห้าก็คือครั้งนี้ ข้าทำให้ทุกคนในหลิ่งหนานไม่พอใจ ฆ่าคนจนมือหมดแรง สุดท้ายความดีความชอบทั้งหมดตกเป็นของเขา ฝ่าบาทยังมีพระราชโองการยกย่องเขา ส่วนข้ามีเพียงแค่ประโยคเดียว นั่นก็คือหงเฉิงและคนอื่นๆ โอ้พระเจ้า ข้ามันเป็นหมูตัวหนึ่ง ถูกเขาเอาเปรียบตั้งหลายครั้ง ยังคิดว่าเขาเป็นสหายของตัวเอง แต่ตอนนี้ข้ามีแค่มิตรภาพ ไม่มีความเกลียดชังต่อเขา ท่านอู๋เสอ ข้าอาการหนักใช่หรือไม่”


 


หงเฉิงกุมหัวนั่งยองๆ บนพื้น ดึงเส้นผมของตัวเองด้วยความเจ็บปวด


 


อู๋เสอเห็นปากของตัวเองที่ฟันหักไปสองซี่ผ่านทางกระจก เขาถอนหายใจ และตัดสินใจว่าต่อไปจะพูดให้น้อยลง นี่มันมีผลกระทบต่อท่าทางอันสง่างามของเขาเป็นอย่างมาก


 


“หงเฉิง ไม่ต้องเสียใจ ข้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าเจ้านัก ตอนแรกไม่ถูกชะตากับเขา แต่สุดท้ายก็ถูกเขาจับมาอยู่ด้วย เจอกับชายฝีมือดีมาตั้งมากมาย ไม่เคยได้แผลแม้แต่นิดเดียว เจอกับเขาแค่ไม่กี่ครั้ง ฟันหักไปแล้วสองซี่ แล้วยังเกือบจะเสียชีวิตตัวเองไปกับเขา หากออกมาจากพระราชวังก็จะไปสอนหนังสือที่สำนักศึกษา จะไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ไม่เยอะอยู่ที่สำนักศึกษา ไม่ใช่เพราะว่าชอบอยู่กับเขาหรอกหรือ


 


นี่ก็คือเสน่ห์ของคนใหญ่คนโต เสน่ห์ของฝ่าบาทมีกลิ่นอายของฆาตกร เสน่ห์ของฮองเฮามีกลิ่นอายของความสูงส่ง เสน่ห์ของรัชทายาทอยู่ที่ความอ่อนโยนใจดี เสน่ห์ของเว่ยอ๋องอยู่ที่ความฉลาด เสน่ห์ของสู่อ๋องอยู่ที่ความเพียรพยายาม มีแต่อวิ๋นเยี่ย เสน่ห์ของเขาก็คือการที่ทำให้เจ้าคิดว่าเขาเป็นคนดีโดยไม่รู้ตัว คนไม่มีพิษมีภัยคนหนึ่ง อยู่กับเขาได้สบาย แค่รู้สึกว่าดอกไม้เป็นสีแดง หญ้าเป็นสีเขียว อยากจะด่าใครก็ด่า อยากจะเอะอะโวยวายก็เอะอะโวยวาย ไม่มีใครมองว่าเป็นเรื่องแปลก ทำให้คนอื่นยอมเปิดใจให้เขาอย่างไม่รู้ตัว คนที่ถูกเขาหลอกยังคิดว่าเขาหวังดี คิดๆ ดูแล้ว เขาก็หวังดีจริงๆ ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายใคร”


 


หงเฉิงหลังเปลือยเปล่าลากตาข่ายอยู่ในมือ เมื่อก่อนรู้สึกอับอายที่ทำเรื่องแบบนี้ แต่ตอนนี้กลับทำมันอย่างมีความสุข ทุกครั้งที่อวิ๋นเยี่ยเห็นปลาตัวใหญ่ เขาก็จะตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น นึกถึงตอนที่ตัวเองพูดคุยกับอู๋เสอ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะใช้ชีวิตแบบนี้ กลับไปขอร้องอ้อนวอนตำแหน่งปั๋วจากฝ่าบาทน่าจะไม่ยาก ตัวเองก็ไปรับตำแหน่งคณบดีที่สำนักศึกษา สั่งสอนลูกผู้ลากมากดีพวกนั้นก็ไม่เลว สังคมก็มี เงินก็มี ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร


 


คันโยกใหม่เต็มไปด้วยปลา ยกขึ้นมา มีน้ำหนักตั้งสองร้อยกิโล ชาวประมงที่อยู่รอบๆ ต่างส่งเสียงโห่ร้อง ยืนปลดตะขอบนดาดฟ้า ปลาดาบเงินที่ส่องประกายแสงสีเงินลงมาจากบนดาดฟ้าราวกับปลาไหลที่บิดเป็นเกลียวเตรียมพร้อมที่จะวิ่งหนี ปูตัวใหญ่เจ็ดแปดตัว แล้วยังมีหมึกอีกสองสามตัวที่พ่นหมึกออกมาไม่หยุด เก็บหอยเชลล์มาถาดหนึ่ง จากนั้นก็เลือกปลาดาบเงินที่มีความกว้างพอเหมาะสองตัว กะจะเอาไปทอดให้แห้งแล้วโรยด้วยเกลือ กินเป็นอาหารว่าง


 


อวิ๋นเยี่ย อู๋เสอ และหงเฉิง ทั้งสามคนนั่งยองๆ กินอาหารทะเลใต้ร่มเย็น เป็นวิธีกินแบบชาวประมง น้ำสะอาดเดือดได้ที่แล้วก็ใส่เกลือลงไป เสร็จเรียบร้อย ปูตัวใหญ่หนึ่งตัวก็เพียงพอที่จะทำให้อวิ๋นเยี่ยกินจนอิ่ม


 


กัดปูอยู่ในปาก มองออกไปไกลๆ ทันใดนั้นก็เห็นไอ้ตัวใหญ่สีดำพ่นน้ำอยู่ไม่ไกล ในทะเลมีแค่ปลาจวดกับปลาดาบเงิน ปลาวาฬตัวใหญ่มาจากไหนกัน ดูจากหัวมันแล้วน่าจะไม่ใช่ตัวเล็กๆ อวิ๋นเยี่ยชี้ไปที่ปลาวาฬตัวนั้นและพูดกับอู๋เสอและหงเฉิงว่า “ไอ้ตงอวี๋กลับบ้านไปหาภรรยากับลูกน้อยแล้ว เราสามคนจะฆ่าวาฬตัวนั้นได้หรือไม่”


 


“ข้าคิดว่าดาบธรรมดาไม่มีผลกับมัน ครั้งก่อนที่ถูกพายุทอร์นาโดพัดตายไปสองสามตัวนั้นยังต้องใช้เลื่อย เราไม่มีคนมีฝีมือ ใช้มีดเฉือนไปมันก็แค่รู้สึกคัน ไม่มีประโยชน์” หงเฉิงคิดว่าเป็นเช่นนั้น เคยได้ยินอวิ๋นเยี่ยบอกว่านี่เป็นเพียงปลาตัวใหญ่ ไม่ใช่ปลาในตำนานอะไร ยิ่งไม่มีทางกลายเป็นนกในตำนาน บอกว่าคล้ายกับปลาก็ไม่สู้บอกว่าคล้ายกับวัวกับแกะที่อยู่บนบก ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งมีชีวิต มีน้ำนมเหมือนกัน แต่มันชอบที่จะอยู่ในน้ำแค่นั้นเอง


 


อวิ๋นเยี่ยถอดถุงหน้าไม้สามขาออกมา ลูกธนูหน้าไม้ทั้งแปดส่องแสงเป็นประกาย ด้านหลังของธนูทุกลูกมัดด้วยเชือกหนัง ทำมาจากหนังปลาฉลาม แข็งแรงทนทานเป็นอย่างมาก


 


หงเฉิงเป็นคนกล้าหาญมาโดยตลอด สมัยโบราณมีท่านชายเริ่นที่เป็นผู้จับปลาวาฬมาแขวนคอให้ชาวเหอตงกิน วันนี้แม่ทัพหงจะแสดงความสามารถ หากะลาสีเรือที่แข็งแกร่งมาสักสองสามคน มัดเชือกให้แน่น ตัวเองถือค้อนไม้ มองไปทางลูกธนู เมื่อครู่อวิ๋นเยี่ยกลัวว่ามันจะไม่แข็งแรง เขาเลยเพิ่มเหล็กหนามเข้าไปอีก ท้ายเรือลำใหญ่ล่องไปตามไอน้ำที่พ่นออกมาจากปลาวาฬ เมื่อปลาวาฬโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง หงเฉิงตะโกนเสียงดัง ฟาดค้อนไม้ลงไป ลูกธนูหน้าไม้สามขาก็พุ่งออกไป แทงเข้าที่ตัวของปลาวาฬอย่างแรง


 


ปลาวาฬตัวนั้นดำลงไปในน้ำทันที น้ำทะเลถูกย้อมเป็นสีแดง อวิ๋นเยี่ยมองดูเชือกแปดเส้นที่ขดอยู่บนดาดฟ้ากำลังลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเชือกถูกดึงออกไปจนหมด ก็ได้ยินเสียงดังเอี๊ยดของเรือลำใหญ่ จมลงไปอย่างกะทันหัน เสาเรือที่ผูกติดกับเชือกก็หักครึ่ง ติดอยู่กับสมอเรืออย่างแน่นหนา เรือใหญ่สั่นสะเทือนขึ้นมากะทันหัน จากนั้นก็แล่นไปตามทิศทางลม เรือที่กำลังหยุดนิ่งแล่นออกไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว


 


ท่ามกลางสามสายตาผู้เป็นที่เคารพชื่นชมของชาวประมง เรือใหญ่แล่นไปบนทะเลอย่างรวดเร็ว ฝูงปลาวาฬเดี๋ยวก็ดำลงไปใต้ทะเล เดี๋ยวก็โผล่ออกมา กระโดดขึ้นสูงกระแทกผิวน้ำ ทำให้มวลน้ำกระเซ็นอย่างแรงจนคนพากันตกใจ


 


หงเฉิงหัวเราะอย่างมีความสุขราวกับชายหนุ่ม อู๋เสอถือหอกอยู่ในมือ ทุกครั้งที่ปลาวาฬหายใจ ก็มักจะมีหอกแทงเข้าที่หัวของมันอย่างแม่นยำ เมื่อหอกสีดำแทงเข้าที่ตาของมัน ปลาวาฬก็จะบ้าคลั่งขึ้นมาทันที และเริ่มหมุนเป็นวงกลมไปรอบๆ เรือ


 


อู๋เสอหัวเราะ หาโอกาสยิงหอกเข้าไปที่ตาของปลาวาฬอีกครั้ง ปลาวาฬที่ตาทั้งสองข้างถูกแทงด้วยหอกว่ายเข้าฝั่งอย่างรวดเร็ว


 


ระหว่างทางไม่รู้ว่าชนเรือประมงไปแล้วกี่ลำ เฝิงไท่ ผู้ตรวจราชการมณฑลโยวโจวที่สั่งให้ชาวประมงตากปลาอยู่บนฝั่ง เห็นสัตว์ประหลาดที่ใหญ่เท่าภูเขาเข้ามาหาเขา เขาก็ตะโกนออกมาด้วยความกลัว จากนั้นก็พาชาวประมงวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง


 


ด้วยแรงเฉื่อยที่รุนแรง ปลาวาฬที่เกยตื้นอยู่บนฝั่งทำได้แค่สะบัดหางอย่างอ่อนแรง พ่นละอองน้ำออกมา พอเรือสั่น อวิ๋นเยี่ยถึงได้รู้ว่าเรือของตัวเองก็เกยตื้นแล้วเช่นกัน

 

 

 


[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 54 จ่ายค่าผ่านทาง

 

ปลาวาฬตัวใหญ่ทนทุกข์ทรมานกว่าหนึ่งชั่วโมง จนในที่สุดมันก็สิ้นใจตาย ผู้ตรวจราชการมณฑลเฝิงไท่ไม่กล้าแตะต้องปลาตัวใหญ่ แล้วยังแนะนำให้อวิ๋นเยี่ยเอาปลาตัวใหญ่ตัวนี้ปล่อยกลับลงไปในทะเล เขาจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นมันอาจจะทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่


 


 


อวิ๋นเยี่ยกะพริบตาอยู่ตั้งนาน แต่ก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองฆ่าปลามันไปผิดกฎอะไรของฮ่องเต้ หรือว่าปลาตัวนี้เป็นปลาที่ตระกูลไหนเลี้ยงเอาไว้? เดินวนรอบๆ ปลาตัวใหญ่ ไม่เห็นว่ามีสัญลักษณ์อะไร เฝิงไท่ที่เป็นกังวลก็ดึงอวิ๋นเยี่ยเดินไปที่ที่ไม่มีคน จากนั้นก็พูดเบาๆ ว่า “ท่านโหว ท่านก็เป็นคนมีความรู้การศึกษา หรือท่านไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่า ปลาใหญ่ตาย อ๋องโหวตาย”


 


 


อวิ๋นเยี่ยกุมหน้าผากแล้วพูดว่า “ราชสำนักมีอ๋องโหวตั้งมากมาย ตายไปสักคนสองคนจะเป็นอะไรไป เลี้ยงปากเลี้ยงท้องราษฎรสิถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ หากไม่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องพวกเขา อ๋องโหวจะต้องตายตั้งกี่คนก็ยังไม่รู้ ข้าจับปลาตัวนี้มา ก็แค่กะว่าจะเอากลับไปเมืองหลวงเป็นของที่ระลึกให้กับเหล่าอ๋องโหวผู้อาวุโสพวกนั้น ทุกคนกินด้วยกัน ดูซิว่าใครจะโชคร้ายสำลักตาย”


 


 


เฝิงไท่อ้าปากพูดอะไรไม่ออก ไม่เคยเห็นคนโง่เช่นนี้มาก่อน เจ้าฆ่าปลาวาฬตาย ตามที่หนังสือประวัติศาสตร์บอกไว้ เมื่อปลาใหญ่ตายอ๋องโหวตาย นี่เป็นการจะทำให้ตระกูลหลี่ไม่พอใจ แล้วยังจะกล้าเอาเนื้อปลาไปฝากเป็นของที่ระลึกให้พวกเขา นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายเหรอ ทำไมคนคนนี้ถึงไม่รู้จักระมัดระวังตัว ถึงตอนนั้นถูกโจมตีขึ้นมา ใครก็รั้งไว้ไม่ได้


 


 


เห็นว่าตัวเองทำให้ชายชราตกใจถึงเพียงนี้ อวิ๋นเยี่ยจึงพูดกับชายชราอีกครั้งว่า “กินปลาตัวใหญ่จะเป็นอะไรไป เหอเจียนจวิ้นอ๋อง หลี่เซี่ยวกงเป็นคนสอนวิธีการจับปลาตัวใหญ่ให้กับข้าเอง ในอดีตเขาถือว่าการกินเนื้อปลาวาฬคือการประสบความสำเร็จ ฆ่าปลาวาฬตั้งมากมาย ตอนนี้เขาก็ยังมีชีวิตกระโดดโลดเต้นอยู่ได้ทุกวัน ได้ยินมาว่าแต่งภรรยารองอีกสองคน ไม่เห็นว่าจะอยากตายเลยสักนิด เจ้าไม่ต้องกังวล ตอนที่ข้าเชิญฝ่าบาทกินเนื้อปลาคราฟ ฝ่าบาทชอบอกชอบใจ บอกว่าเนื้อนุ่ม ต่อไปจะกินอีกบ่อยๆ ปลาคราฟยังไม่เป็นอะไร ปลาวาฬก็คงไม่มีปัญหา เผลอๆ จะสั่งให้ทหารเรือของเจ้าใช้หน้าไม้สามขาฆ่าปลาวาฬมาเพิ่มให้อีก คาดว่าถึงตอนนั้นคงจะมีคนมาเอาเนื้อปลาวาฬจากเจ้าไม่น้อย”


 


 


เฝิงไท่ทำเสียงฮึมฮำเบาๆ แล้วก็ทรุดตัวลงบนพื้นทราย ภาษาที่เป็นกันเองของอวิ๋นเยี่ย มันเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้ เขาเป็นลมไปแล้ว


 


 


เขาเป็นลมไปก็ดีเหมือนกัน จะได้นอนบนพื้นทรายหลับสบายสักตื่น สองสามวันที่ผ่านมายุ่งทั้งวันทั้งคืน ไม่เคยเห็นเขาพักผ่อน เรียกคนรับใช้มาสองคน ทำซุ้มให้เขาสักหน่อย ตัวเองจะออกไปหาเลื่อย เตรียมที่จะเลื่อยปลาวาฬออกเป็นแปดส่วน


 


 


หากจะต้องมีประสิทธิภาพในการผลิตให้ได้เป็นจำนวนมากจนเพียงพอต่อเหล่าราษฎรนั้นช่างเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัว ทว่าทะเลปั๋วไห่ที่อุดมสมบูรณ์กลับมอบเสบียงอาหารให้แก่ผู้ประสบภัยมากมายนับไม่ถ้วน เมื่ออวิ๋นเยี่ยเป็นผู้นำในการกินผักทะเลสีเขียวชนิดหนึ่งในทะเล เหล่าเฝิงไท่ก็หลั่งน้ำตาอีกครั้ง บางครั้งชาวประมงก็เอาสิ่งนั้นมาเป็นอาหารหมู ตอนนี้ท่านโหวที่สง่างามเอามันมาทำเป็นสลัดกินต่อหน้าทุกคน และดูเหมือนว่าจะกินไม่อิ่ม ยังจะกินเพิ่มอีกชาม


 


 


เฝิงไท่ในฐานะคนมีการศึกษา แน่นอนว่าต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี ตอนนี้อะไรที่สามารถเลี้ยงท้องให้อิ่มได้ก็เป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น ตัวเองก็เอาชามมาเหมือนกัน ตีให้ตายเขาก็ไม่กินเนื้อปลาวาฬ แต่เขากล้ากินสาหร่าย กินไปกินมาเขาก็รู้สึกประหลาดใจ รสชาติไม่เลวจริงๆ


 


 


“บอกพวกชาวบ้านว่าข้าจะซื้อสาหร่ายนี้จำนวนมาก ต่อไปกลุ่มพ่อค้าของตระกูลอวิ๋นจะรับซื้อทุกปี ให้พวกเขาล้างให้สะอาดเอาไปตากให้แห้ง ห้ากิโลสิบเหรียญ ถือว่าเป็นการทำให้พวกเขามีรายได้


 


 


เฝิงไท่มองดูสาหร่ายทะเลที่แน่นหนาอยู่ในทะเลตื้น เขาถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านโหว ของกินชนิดนี้หากเอาไว้กินตอนไม่มีเสบียงอาหารก็คงจะไม่มีปัญหา แต่ที่กวนจงไม่ได้ขาดแคลนเสบียงอาหาร ท่านจะเอาพวกมันไม่ไปทำอะไร ชาวกวงจงก็กินของพวกนี้หรือ”


 


 


“เจ้าไม่รู้อะไร อาหารอันโอชะในกวงจงล้วนแต่มาจากตระกูลอวิ๋น แค่ตระกูลอวิ๋นเริ่มกินของสิ่งนี้ เจ้าจะเห็นว่าผ่านไปไม่นานของสิ่งนี้ก็จะขาดตลาดในฉางอัน เจ้าไม่รู้หรือว่านี่เป็นของดี กินของสิ่งนี้ ก็จะไม่มีทางเป็นโรคคอบวมอะไรพวกนั้น ของดีเช่นนี้ เจ้ารีบหามาให้ข้า มีเท่าไหร่เอาเท่านั้น ต้นเดือนสิงหากองทัพเรือจะไปรับข้าที่คลองจัวจวิ้น ถึงตอนนั้นข้าจะเอาไปให้หมด แล้วข้ายังจะเอาเนื้อปลาวาฬกลับไปด้วย ระวังอย่าให้กะโหลกปลาวาฬของข้าเสียหาย ข้าจะเอามันกลับไปด้วย และหากเจ้าอยากจะเอาอะไรกลับไปที่บ้าน ข้าก็ช่วยเจ้าขนกลับไปได้”


 


 


“เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ท่านโหวไม่ต้องกังวล ข้าน้อยจะจัดการให้อย่างดี เพียงแต่โยวโจวยากลำบาก ไม่มีของดีๆ มาต้อนรับท่านโหว ต้องให้ท่านเอาของไร้ค่าพวกนี้กลับไป ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายเสียจริง”


 


 


“เหล่าเฝิง เจ้าคิดมากไปแล้ว หากข้าอยากจะร่ำรวย ข้าอยู่ที่หลิ่งหนานก็ร่ำรวยไปแล้ว ไม่มีทางมาหาผลประโยชน์จากดินแดนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก เจ้าคิดว่าเนื้อปลาวาฬและสาหร่ายทะเลไม่มีราคาใช่หรือไม่ ฮ่าๆ ๆ ข้าไม่บอกเจ้าหรอก นี่เป็นสูตรลับของตระกูลอวิ๋น เมื่อเจ้ากลับไปรับตำแหน่งที่ฉางอัน เจ้าก็จะเห็นว่าของพวกนี้มีราคาแพง แพงมาก มีแค่คนมีเงินเท่านั้นที่ได้กิน” พูดเสร็จก็หัวเราะเดินออกไป ยังคงใส่เสื้อแขนสั้นกางเกงขาสั้น เดินเท้าเปล่าเหมือนเดิม เผยให้เห็นแขนขาที่ถูกแดดเผาดำ มีความสุขราวกับชายหนุ่มที่อยู่ชายหาด


 


 


ก่อนที่อวิ๋นเยี่ยจะมา เฝิงไท่กับหยวนต้าเข่อคิดหนักว่าจะต้อนรับอวิ๋นเยี่ยอย่างไร ชื่อเสียงความหรูหราของตระกูลอวิ๋นเป็นที่รู้จักกันดีในต้าถัง ในฐานะหัวหน้าของตระกูลอวิ๋น จะต้องเป็นคนใหญ่คนโตที่รับใช้ยากมากเป็นแน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ หากเขาพูดถึงตัวเองในทางไม่ดีต่อหน้าฮ่องเต้ คาดว่าอนาคตของตัวเองก็คงจะจบแค่ตรงนี้


 


 


หยวนต้าเข่อเตรียมการต้อนรับเป็นอย่างดี เฝิงไท่ยอมถูกปลดตำแหน่งขุนนาง แต่ไม่มีทางยอมร่วมมือกับคนอื่น ใครจะคิดว่าอวิ๋นเยี่ยกลับถูกแบกลงมาจากเรือ ทั่วร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ไม่สามารถเพลิดเพลินกับสิ่งใดได้ แม้แต่สาวงามที่หยวนต้าเข่อส่งไป ยังถูกอวิ๋นเยี่ยไล่กลับมา


 


 


แผลหายแล้วแต่กลับออกไปหาเสบียงอาหารให้กับราษฎร อาหารของผู้ติดตามเขายังแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ไม่เคยรบกวนใคร กองทัพเรือมาถึงท่าเรือได้สามวัน เสบียงอาหารและปลาแห้งก็หมดเกลี้ยง ให้เหล่าทหารบางส่วนหยุดพัก เหลืออยู่แค่เรือจำนวนห้าลำ ส่วนที่เหลือก็แล่นไปทางปากแม่น้ำฮวงโห เตรียมเข้าสู่คลอง รีบกลับไปยังฉางอัน พระราชโองการของหลี่ซื่อหมินชัดเจน นั่นก็คือเขาต้องการได้เห็นกองทัพเรือด้วยตาของตัวเอง พิจารณาว่าต่อไปเขาจะสามารถทำการขนส่งเสบียงอาหารจากตอนใต้ไปตอนเหนือได้หรือไม่ ตั้งแต่รู้ว่าหลิ่งหนานมีเสบียงอาหารมากมาย เขาก็เริ่มคิดคำนวณทันที


 


 


ไม่รู้ว่าหงเฉิงเป็นอะไร จู่ๆ ก็เอาเงินให้อวิ๋นเยี่ยห้าเหรียญ บอกว่านี่คือทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลเขา อยากทำกิจการร่วมกับอวิ๋นเยี่ย ง่ายมาก นั่นก็คือกิจการสาหร่ายทะเล ตระกูลอวิ๋นเจ็ดส่วน เขาสามส่วน ไม่ทำไม่ได้ ระบายความทุกข์ให้อวิ๋นเยี่ยฟังไม่หยุด บอกว่าตัวเองถูกเอาเปรียบจนเป็นเช่นนี้ก็เพราะอวิ๋นเยี่ย ตระกูลไม่มีอะไรกินอยู่แล้ว หากไม่ชี้ทางรอดชีวิตให้เขา เขาก็เตรียมที่จะพาคนทั้งตระกูลไปกินข้าวที่จวนตระกูลอวิ๋น


 


 


อวิ๋นเยี่ยรับปากแล้ว รับปากง่ายๆ ไม่มีการต่อรอง กิจการที่ไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไรทำให้หงเฉิงกลายเป็นคนโง่ไปแล้ว หลังจากคิดอยู่นานและตัดสินใจถอนหุ้นโดยอัตโนมัติ บทเรียนที่เจ็บปวดตรงหน้าทำให้เขารู้ว่าในใบโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ อย่าคิดที่จะมาเอาเปรียบอวิ๋นเยี่ยเลยดีกว่า


 


 


เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว กองทัพเรือส่งข่าวมาบอกว่าถึงคลองแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ต้องกลับเมืองหลวง อีกเดือนกว่าน่ารื่อมู่ก็จะคลอดแล้ว นี่คือเรื่องที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน เพื่อลูกของเขาทำให้เขาจะต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด


 


 


ตามการจัดการของหลี่ซื่อหมิน ทหารห้าพันนายต้องทำการเดินทัพในเหอเป่ยอีกหนึ่งครั้ง เพื่อป่าวประกาศอำนาจตามกลยุทธ์ของอู๋เสอ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ฆ่าคนสักสองสามคน กองทัพออกรบ มองไม่เห็นเลือดถือว่าไม่โชคดี


 


 


ครั้งแรกที่กองทัพเห็นเลือดในเหอเป่ย เป็นเลือดที่มาจากทหารที่กลับมาสายกว่าเวลาที่กำหนด สาเหตุเพราะแม่ป่วยหนักจึงอยู่ที่บ้านต่ออีกสักหน่อย กลับมาที่ค่ายช้าไปครึ่งวัน ตามกฎของทหารจะต้องถูกตัดหัว ผู้พิพากษากองทหารไม่สนใจคำพูดของท่านโหว ถือดาบอยู่ตรงนั้น ไม่แน่อาจจะตัดหัวของเจ้านั่นออกจากบ่า กฎทหารของต้าถังนั้นเข้มงวด ไม่ต้องพูดถึงท่านโหว แม้แต่ฝ่าบาทก็ห้ามเขาไม่ได้ และแน่นอนว่าหากก่อนหน้านี้ท่านโหวอนุญาตให้เขากลับมาสายได้ อาจจะช่วยให้เขารอดตาย แต่ก็ไม่สามารถหนีแส้พ้นอยู่ดี


 


 


เห็นได้ชัดว่าไอ้สารเลวนี่ต้องการปล่อยทหารไป ให้อวิ๋นเยี่ยมารับผิดชอบแทน เขาเป็นคนตรงไปตรงมา ต้องรักษาภาพลักษณ์ที่เข้มงวดของตัวเองเอาไว้ บุญคุณเหนือสิ่งอื่นใด นี่คือประเพณีของกองทัพทหาร


 


 


เขียนใบอนุญาตต่อหน้าผู้พิพากษากองทัพ ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเจ้านั่นถึงได้ผ่อนคลายลง ทหารแข็งแกร่งสองคนลากทหารที่ร้องห่มร้องไห้ออกมาลงโทษ ถือว่าเป็นลูกผู้ชาย เขาไม่พูดอะไรสักคำ มีแค่น้ำตาไหลออกมา เมื่อรับการลงโทษเสร็จแล้วถึงได้ร้องไห้แล้วพูดว่าขอโทษขอรับท่านโหว


 


 


กองทัพเริ่มออกเดินทาง โอ้อวดอำนาจบารมี อวิ๋นเยี่ยใส่ชุดเกราะทั้งตัว ทนทุกข์ทรมานอยู่บนหลังม้าภายใต้แสงอาทิตย์ที่แผดเผา หอกม้าที่สวยงามถูกแขวนไว้บนตะขอแห่งชัยชนะ หากปักขนไก่สักสองขนบนหัว ปักธงไว้ด้านหลัง ก็ไม่ต่างจากจ้าวจื่อหลง[1]บนเวทีสักเท่าไหร่


 


 


ถึงจะน่าอึดอัด แต่เฝิงไท่ก็ยกนิ้วโป้งบอกว่าอวิ๋นโหวมีท่าทางเหมือนนายพลที่มีชื่อเสียงในสมัยโบราณ จะต้องทำให้พวกคนเลววิ่งหนีไปอย่างแน่นอน สุดท้ายสัญญาว่าจะให้คนเอาเนื้อปลาวาฬและสาหร่ายทะเลของอวิ๋นเยี่ยส่งไปที่จัวจวิ้น สำหรับสมบัติล้ำค่าที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง อู๋เสอไม่อนุญาตให้มันหายไปจากสายตาตัวเอง


 


 


กองทัพทหารสัญจรไปทั่ว ทุกที่ที่ไปก็เป็นไปตามที่เฝิงไท่พูดเอาไว้ นักปฏิวัติที่เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมาพากันโยนมีดโยนหอกทิ้งและกลับไปดูแลไร่นาของตัวเองที่หมู่บ้าน ทุกที่ที่ไป ก็มีผู้แจ้งข่าวมากมายนับไม่ถ้วน เห็นผู้แจ้งข่าวที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงใบหน้าสกปรกพวกนั้นอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกขยะแขยง หากไม่ใช่เพราะว่ากาลเทศะ เขาอยากจะกำจัดผู้แจ้งข่าวพวกนั้นไปก่อน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความรู้สึกหรือศีลธรรม คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นขยะสังคม น่าขยะแขยง จึงให้หงเฉิงเป็นคนจัดการ


 


 


ดินแดนเหอเป่ยปกคลุมไปด้วยป่าไม้เขียวขจี มองไปที่สมบัติล้ำค่าทั้งห้าเกวียน กลัวว่าจะมีชายคิ้วสีแดงตาสีเขียวตะโกนออกมาจากป่า เฉิงต๋าหลงจินอยู่ที่นี่ ต้องจ่ายค่าผ่านทาง เช่นนี้คงจะซวยเป็นแน่ พยายามปลอบตัวเองในใจ ผู้ชายชื่อเฉิงต๋าหลงจินคนนั้น ตอนนี้คงกลายเป็นกั๋วกง เป็นท่านโหวไปแล้ว ลูกของตัวเองเจอเขายังต้องเรียกว่าท่านปู่ อย่าได้โผล่ออกมาปล้นตัวเองเวลานี้เลย


 


 


แต่เรื่องราวก็แปลกประหลาดเช่นนี้ บนถนนใหญ่มีชายกล้ามใหญ่ยืนอยู่กลางถนน รายงานชื่อนามสกุล บอกว่าต้องการต่อสู้กับแชมป์ผู้กล้าอย่างท่านโหวตระกูลอวิ๋นสักสามร้อยครั้ง


 


 


ชายคนนี้สูงกว่าสามเมตร ใส่เสื้อแขนสั้น ถือดาบขนาดใหญ่อยู่ในมือ ยกดาบขึ้นมาใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง เหล่าทหารพากันล้อมรอบอย่างแน่นหนา ฟันเข้าไปที่ต้นเอล์มหนาๆ ขาดออกเป็นสองส่วน ตอที่หลงเหลืออยู่ก็ถูกฟันจนกลายเป็นฟืน


 


 


สุดท้ายเขาก็เอาดาบชี้มาที่อวิ๋นเยี่ย ส่งเสียงดังสนั่น “อวิ๋นเยี่ย ได้ยินมาว่าเจ้าก็เป็นลูกผู้ชายที่ใครก็ควบคุมไม่ได้ เป็นที่รู้จักกันดีในฉางอัน วันนี้เจ้ากับข้ามาประลองกันที่นี่สักสามร้อยครั้ง ให้เจ้าได้รู้ซะบ้างว่าเหอเป่ยก็มีคนมีความสามารถ เจ้าจะได้ไม่หยิ่งผยองจนเกินไป หากจะแบกทรัพย์สมบัติตระเวนไปทั่วโลกล่ะก็ วันนี้ไม่จ่ายค่าผ่านทางข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”


 


 


มันช่างน่าโมโห สั่งให้เหล่าทหารถอยออกไป คายก้านดอกหญ้าในปากออกมา อวิ๋นโหวถือหอกม้าพุ่งเข้าไปฆ่าเขากลางอากาศอย่างกล้าหาญ…


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] จ้าวจื่อหลง หรือจูล่ง เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊ก ที่มีตัวตนจริง เป็นแม่ทัพคนสำคัญของเล่าปี่ และเป็นหนึ่งในห้าทหารเสือ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)