เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 8 ตอนที่ 47-49

[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 47 ผู้ลงนามแทน

 

เมืองหมิงโจวเป็นเมืองท่าเรือน้ำลึกขนาดเล็ก หากจะบอกว่าเป็นท่าเรือน้ำลึกไม่สู้บอกว่าเป็นท่าเรือของชาวประมงจะถูกต้องกว่า กองทัพเรือทั้งหมดไม่สามารถเข้าสู่ท่าเรือได้ มีเพียงเรือเล็กไม่กี่ลำที่จอดเทียบท่าได้และเตรียมจะนำสินค้าของโจรสลัดที่ยึดได้จากที่นี่ไปขายที่เมืองหมิงโจว


 


ตอนอยู่ที่หลิ่งหนาน อวิ๋นเยี่ยได้ส่งผู้ดูแลตระกูลอวิ๋นไปแจ้งพ่อค้ารายใหญ่ที่รวมตัวกันอยู่นอกแคว้นอู่หลิ่ง ให้พวกเขาย้ายมารวมตัวกันที่หมิงโจว ตัวเองมีสินค้าที่ต้องการจะขาย พวกเขาไม่ต้องกังวลว่าจะมีสินค้าไม่เพียงพอ กังวลแค่เรื่องที่ว่าตัวเองจะมีเงินมากพอจะทำให้ท่านโหวพอใจหรือไม่ก็พอ


 


เพื่อเงินแล้ว พวกพ่อค้ารีบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เมื่อกลุ่มพ่อค้าที่เต็มไปด้วยความหวังเหล่านั้นยืนอยู่บนชายฝั่งมองเห็นใบเรือลอยมาเหมือนเมฆแต่ไกลก็พากันตะโกนร้องเสียงดังด้วยความดีใจ นี่คือเรือเดินสมุทรที่อลังการที่สุด


 


เห็นได้ชัดว่าของที่โจรสลัดปล้นมานั้นตอบสนองความต้องการของพ่อค้าเป็นอย่างมาก เพียงแค่หนึ่งชั่วโมงของที่ปล้นมาก็กลายเป็นเหรียญทองแดงและเงิน อวิ๋นเยี่ยไม่อยากได้ทองคำ สิ่งที่พวกทหารต้องการคือเหรียญทองแดงและเหรียญเงิน แต่ว่าพวกทองคำนั้นกลับไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเขา


 


ขายของที่ปล้นมาเสร็จ บรรยากาศก็เริ่มเงียบสงบลง พ่อค้ารายใหญ่หลายสิบคนจ้องไปที่ผู้ดูแลตระกูลอวิ๋นอย่างติงเฉียวและเถ้าแก่คนอื่นๆ ของตระกูลอวิ๋นด้วยท่าทางไม่พอใจ ติงเฉียวยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ วางถ้วยน้ำชาลง เขาหัวเราะแล้วพูดกับพ่อค้าเหล่านั้นว่า “เถ้าแก่ทุกท่านเมื่อครู่ท่านโหวของข้าเพียงแค่อยากจะให้ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ แก่เหล่าทหาร สิ่งของเหล่านี้ถูกยึดได้หลังจากที่เหล่าทหารเอาชนะโจรสลัด ดังนั้นจึงไม่ได้จัดเตรียมของไว้ขายมากนัก ต้องขออภัยที่ข้าไม่ได้พูดไว้ชัดเจน ข้าต้องขออภัยทุกท่านด้วย” พูดจบก็ทำท่าโค้งคำนับทุกๆ คน


 


“เถ้าแก่ติง พวกเราเห็นแก่หน้าของตระกูลอวิ๋นที่เดินทางนับพันลี้จนมาถึงเมืองเล็กๆ แห่งนี้ เจ้าไม่ได้บอกไปว่าอวิ๋นโหวกล้านำของที่ต้องมอบให้แด่ฝ่าบาทมาขาย แม้ว่าตระกูลของพวกเจ้ากล้าขาย แต่ว่าพวกข้าไม่กล้าซื้อหรอก ถึงแม้เงินจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ข้าไม่พร้อมจะเอาชีวิตของคนทั้งตระกูลมาชดใช้ให้กับเงิน”


 


บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง มีเสียงตกลงเป็นเอกฉันท์ว่าตระกูลอวิ๋นจะต้องให้คำอธิบายแก่พวกพ่อค้า เพราะพวกเขาไม่มีทางแตะต้องของที่ต้องมอบให้แด่ฝ่าบาท


 


ทันใดนั้นติงเฉียวได้หัวเราะขึ้นมา ชี้ไปที่เถ้าแก่ทุกคนในห้องโถงแล้วพูดว่า “ทุกท่านต่างก็เป็นคนที่เดินทางไปยังเมืองต่างๆ อยู่บ่อยๆ มีความรู้กว้างขวาง แต่เหตุใดวันนี้จึงกลายเป็นคนโง่เขลาเสียได้”


 


ห้องโถงเงียบสงบลงในทันที ทุกคนต่างรอให้ติงเฉียวพูดเหตุผลออกมา


 


“ทุกท่านโปรดฟัง ไม่ต้องพูดถึงที่ว่าฝ่าบาทออกราชโองการเอาเปรียบท่านโหวของข้า พวกเรามาคุยกันว่าราชวงศ์ต้องการอะไร ไม่ขอปิดบังทุกคน เรือท่านโหวของข้าคือเรือมู่หลานที่ทุกท่านเห็นอยู่ ในห้องโดยสารเรือเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติ ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าทุกท่านจะหัวเราเยาะ ตัวข้าเองก็เคยเห็นของเหล่านั้นมาก่อน เมื่อข้าได้เห็นทรัพย์สมบัติเหล่านั้นก็ถึงกับฉี่รดกางเกง ขาก้าวไม่ออก จึงต้องให้พ่อบ้านพยุงข้าเดินดูสมบัติ พวกเจ้าลองคิดดูว่าทรัพย์สมบัติแบบไหนกันที่สามารถทำให้คนถึงกับตะลึง


 


ราชวงศ์ต้องการอะไรกันแน่ จะเป็นของที่มีมูลค่าสูงแต่กลับไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ แก่ราชสำนักน่ะหรือ หรือว่าราชวงศ์ต้องการทองแดง เงิน ทองคำ เสบียง แท่งเหล็ก แท่งทองแดง ผ้าไหม ผ้าฝ้าย และเกลือ ในบรรดาสิ่งของเหล่านี้ พวกเหล่าข้าราชการต้องการเงินและทองคำมาเป็นเงินเดือน เหล่าทหารต้องการเหรียญทองแดงและเงินเป็นรางวัล กองทัพต้องการอาวุธและเสบียง คงจะให้ฝ่าบาทให้เงินเดือนข้าราชการเป็นปะการังและไข่มุกไม่ได้ เมื่อทหารชนะสงครามแล้วจะให้มอบอัญมณีอย่างนั้นหรือ นี่เป็นธรรมเนียมแบบไหนกัน


 


ฝ่าบาทของพวกเราไม่ใช่ฮ่องเต้ที่เห็นแก่เงินทอง หากท่านโหวของข้านำเรือสมบัติกลับไปยังฉางอัน พวกเจ้าลองคิดดูขนาดเพียงครู่เดียวก็ขายสมบัติพวกนั้นออกไปจนหมดเกลี้ยง สิ่งเหล่านั้นจะยังคงเรียกว่าของล้ำค่าอยู่หรือ มันก็เป็นแค่กองก้อนหินเท่านั้น


 


ดังนั้นท่านโหวของข้าจึงคิดถึงกิจการของพวกเราเป็นอันดับแรก มีเพียงแค่การนำสมบัติของฝ่าบาทมาแลกเป็นเงิน อาวุธ เสบียงอาหาร และผ้าไหม สิ่งของเหล่านี้ถึงจะเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทต้องการจริงๆ


 


เมื่อกี้ทุกท่านก็ได้พูดแล้วว่าหากนำของที่ต้องมอบให้แก่ฮ่องเต้มาขายตามอำเภอใจจะต้องถูกประหารทั้งครอบครัว พวกเจ้ามีคนในครอบครัวต้องดูแล หรือจะบอกว่าท่านโหวและข้าไม่มี?


 


พวกเจ้าก็ได้เห็นแล้วว่าเรื่องนี้ถูกดำเนินการอย่างเปิดเผย ไม่ได้ปิดบังทางการแต่อย่างใด ตอนนี้ผู้ตรวจราชการกำลังดื่มชาและพูดคุยกับท่านโหวของข้าอยู่บนเรือ ขันทีประจำตัวฝ่าบาทก็อยู่ที่นั่น แล้วยังมีทหารของกองทัพเรืออีกแปดพันนาย จะยังปิดบังใครได้อีก ต่อให้ท่านโหวของข้าซื้อคนเหล่านี้ไว้หมดแล้ว พวกเจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะไม่มีทางรู้อย่างนั้นหรือ


อ่านนิยาย


ดังนั้นทุกท่านอย่างได้กังวล นำเงินและเสบียงของพวกเจ้าออกมาเพื่อเตรียมตัวเป็นเศรษฐีเถิด นี่จะเป็นการลงทุนที่ดีอย่างแน่นอน ตอนนี้ทรัพย์สมบัติมีมากเกินไปราคาก็จะไม่แพงเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเก็บไว้ให้ลูกหลานหรือว่าจะนำไปขายในตลาดก็มีค่าเหมือนกันไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ดีทั้งนั้น”


 


เมื่อเหล่าติงพูดจบ สถานการณ์ก็เริ่มวุ่นวาย ก่อนหน้านี้มีความกังวลเกี่ยวกับสิ่งของเหล่านี้ว่าขึ้นชื่อเป็นของบรรณาการ จิตใต้สำนึกจึงคิดว่าไม่ควรไปแตะต้องสิ่งเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นจะมีโทษถึงตายได้ เมื่อลองคิดดูอย่างละเอียดก็พบว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ราชวงศ์จะต้องการทรัพย์สมบัติไปทำไม เก็บไว้ให้ฝ่าบาทสะสมไว้คนเดียว? เป็นไปได้หรือ ฝ่าบาทเลี้ยงนกไว้หนึ่งตัว ก็ถูกเว่ยเจิงกอดจนขาดใจตาย หากสิ่งของเหล่านี้ถูกนำเข้าไปในวังหลวง ก็ต้องถูกเหล่าขุนนางทำให้ต้องเกิดเรื่องวุ่นวาย ที่เหล่าติงพูดมาก็มีเหตุผล


 


คนที่ไม่กังวลได้พากันเตรียมทรัพย์สมบัติ คำนวณว่าจะนำผ้าไหมไปแลก หรือว่าจะใช้แท่งเหล็ก ส่วนพวกที่ยังกังวลอยู่ก็คอยมองดูอยู่ข้างๆ สถานที่ค้าขายได้เกิดขึ้นที่ริมมหาสมุทร ผู้ตรวจราชการเมืองหมิงโจวได้เดินลงจากเรือด้วยท่าทางยิ้มแย้ม ทันใดนั้นเหล่าพ่อค้าก็พากันยืนล้อมรอบรอฟังสิ่งที่ผู้ตรวจราชการในพื้นที่พูด


 


เหลียงไข่ ผู้ตรวจราชการมณฑลหมิงโจวส่งสัญญาณมือให้ทุกคนสงบลง เมื่อบรรยากาศเริ่มเงียบสงบเขาจึงพูดขึ้นมาว่า “สิ่งที่พวกท่านต้องการจะถาม ข้าพอจะเดาออก ก็คือปัญหาที่ว่าเครื่องราชบรรณาการของฝ่าบาทนั้นสามารถขายได้หรือไม่ สิ่งที่ข้าจะตอบก็คือสิ่งของเหล่านี้สามารถขายได้แน่นอน นี่คือข้อสรุปที่ข้าได้รับหลังตรวจสอบพระราชโองการขอฝ่าบาท ขอเพียงแค่ทุกท่านจ่ายภาษีให้เมืองหมิงโจวของข้าก็จะไม่มีปัญหาอะไร ความจริงแล้วข้าก็มีสิ่งที่ต้องการซื้ออยู่สองอย่างมาเป็นมรดกสืบทอดประจำตระกูล พวกเจ้าอย่าได้มาแย่งข้าราชการที่ต่ำต้อยเช่นข้าเลย ขอร้องล่ะ” พูดเสร็จก็เรียกให้พ่อบ้านกลับไปเตรียมเงิน


 


สิ่งนี้ขจัดข้อสงสัยข้อสุดท้ายของพ่อค้า ตอนนี้ทุกคนเตรียมพร้อมที่จะสร้างรายได้…


 


วันนี้บนเรือมีความครึกครื้น ยังมีอีกคนที่มีคุณสมบัติพอที่จะขึ้นไปนั่งบนเรือของอวิ๋นเยี่ย นั่นก็คือเถ้าแก่ใหญ่แห่งคลังเงินในเจียงหนาน


 


“เหล่าโจว เจ้าทำเกินไปแล้ว ตระกูลอวิ๋นลงทุนเงินบางส่วนในคลังเงิน เหตุใดจนถึงตอนนี้ยังไม่มีรายได้สักเหรียญ ได้ยินหวงจื้อเอินโม้ว่าคลังเงินหาเงินได้อย่างไรบ้าง มีสาขาอยู่ด้านตะวันออกหนึ่งแห่ง และยังมีสาขาอยู่ด้านตะวันตกหนึ่งแห่ง แต่เหตุใดตระกูลอวิ๋นยังไม่ได้รับผลตอบแทน คงไม่ใช่ว่าถูกพวกเจ้าเอาไปหรอกนะ”


 


เถ้าแก่ถึงกับหน้าซีด “ท่านโหว ใครจะกล้าเอาเงินของท่านไป ฮองเฮาพูดไว้ว่าคลังเงินมีความสำคัญต่อต้าถังเป็นอย่างมาก ตอนนี้ต้องการขยับขยาย ไม่อนุญาตให้มีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น เรื่องนี้เอาไว้ค่อยจัดการทีหลัง ท่านว่าใครจะกล้าจ่ายเงินปันผลกัน”


 


“ข้าจำได้ว่านอกจากฮองเฮาที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่แล้วยังมีผู้ถือหุ้นอีกสามคนก็คือรัชทายาท เว่ยอ๋องแล้วก็ข้า ฮองเฮาจะขัดแข้งขัดขาลูกชายทั้งสองของนางข้าไม่ว่า แต่เหตุใดต้องลากข้าเข้าไปเกี่ยวด้วย”


 


“ในเมื่อฮองเฮากล้าลงมือแม้แต่กับลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง ท่านโหว หากท่านจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วยก็ไม่ใช้เรื่องใหญ่อะไร หรือไม่เมื่อกลับไปถึงเมืองหลวงท่านก็ลองไปถามฮองเฮาดู”


 


“เหล่าโจว นี่มันความคิดอะไรของเจ้า ตอนนี้สิ่งที่ข้ากลัวอยู่ทุกวันคือการต้องไปพบฮองเฮาและฝ่าบาท ข้าแทบอยากจะหลบหน้าพวกเขา แต่เจ้ากลับให้ข้าไปพบฮองเฮานี่มันสมเหตุสมผลที่ไหนกัน”


 


เหล่าโจวเถ้าแก่ใหญ่แห่งเจียงหนานถือว่าเป็นคนเก่าแก่ ตอนที่คลังเงินเปิดกิจการเขาเป็นแค่คนแก่ธรรมดา ปีนี้พึ่งจะได้เลื่อนขั้นเป็นเถ้าแก่ใหญ่เป็นคนที่มีอำนาจมากผู้หนึ่ง สามารถทำให้กิจการรุ่งโรจน์ได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี นับว่าหวงจื้อเอินมองคนไม่ผิด


 


“ท่านโหว ท่านเป็นผู้ค้ำประกัน ท่านจะใช้การซื้อขายครั้งนี้มาล้างหนี้ในบัญชีคลังเงินใช่หรือไม่ ข้าเคยคำนวณ จำนวนไม่มากนัก เพียงแค่สี่แสนเหรียญ ท่านจะเอาสมบัติมาค้ำบัญชีหรือจะใช้เหรียญทองแดงมาจ่าย”


อ่านนิยาย


อวิ๋นเยี่ยที่กำลังจิบชาถึงกับต้องสำลักน้ำชาจนน้ำพุ่งออกมาทางจมูกเลยทีเดียว มือสั่นชี้ไปที่เหล่าโจวแล้วถามว่า “เจ้าบอกว่าตอนนี้ข้าไม่เพียงแต่ไม่มีเงินปันผล ซ้ำตอนนี้ยังติดหนี้อีกสี่แสนเหรียญด้วย?”


 


“ใช่แล้วท่านโหว มีตัวอักษรสีดำอยู่บนกระดาษอย่างไรก็เบี้ยวบัญชีไม่ได้ ชื่อที่เขียนด้วยลายมือของท่านก็อยู่บนกระดาษแผ่นนั้นไม่ใช้หรือ”


 


“เหตุใดข้าถึงจำไม่ได้ว่าเคยลงชื่อไว้ ข้าจำได้ว่าคลังเงินมีนักบัญชีที่เข้มงวด แม้แต่ภรรยาของข้าก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะลงนามแทนข้าได้ ลูกของข้าก็ต้องรอให้บรรลุนิติภาวะก่อนถึงจะลงนามได้”


 


“ใช่แล้วท่านโหว เป็นเช่นนั้นไม่มีผิด ดังนั้นคนที่ลงนามแทนท่านก็คือฮองเฮา แล้วนางก็ลงนามให้แทนรัชทายาทและเว่ยอ๋องด้วยเลย จากนั้นก็เบิกเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจำนวนสามแสนแปดหมื่นเหรียญจากคลังเงิน เงินต้นและดอกเบี้ยรวมกันมากกว่าสี่แสนเหรียญ ท่านคิดว่าจะใช้คืนอย่างไร”


 


ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยเห็นภาพดวงดาววิ่งล้อมรอบอยู่บนหัวเขาเต็มไปหมด ครั้งนี้ติดกับดักแล้ว กับดักอันใหญ่เสียด้วย มิน่าล่ะจั่งซุนถึงได้ใจดีแบ่งหุ้นให้อวิ๋นเยี่ยถึงหนึ่งส่วน เพราะทราบตั้งแต่แรกแล้วว่ามีแผนการซ่อนอยู่ เมื่อถึงเวลาจำเป็นก็จะได้เอาออกมาให้ชดใช้แทน เพื่อจะได้ถูกปฏิบัติเหมือนกับลูกชายทั้งสองของนาง ผู้หญิงคนนี้สมควรถูกฟ้าลงโทษ ดูเมตตาเหมือนเจ้าแม่กวนอิมแต่กลับทำเรื่องเห็นแก่ตัวเช่นนี้


 


แม้แต่เงื่อนไขที่เข้มงวดที่สุดในโลกนี้ก็ไม่สามารถผูกมัดนางได้ มิน่าล่ะตอนที่ข้ากำหนดเงื่อนไขนางถึงยืนยิ้มและปรบมืออยู่ข้างๆ บอกว่ากำหนดเงื่อนไขได้ดี มองดูแล้วตอนนี้กลายเป็นการให้ผลประโยชน์นางอย่างมหาศาลไป ทำให้นางสามารถเอาเงินจากคลังเงินได้เหมือนหนูตกถังข้าวสาร


 


“มียอดค้างชำระทั้งหมดเท่าไหร่” อวิ๋นเยี่ยกังวลว่านางจะเอาเงินของคนอื่นไปจากคลังเงินอย่างยับยั้งไม่ได้ เช่นนี้จะทำให้ความน่าเชื่อถือของคลังเงินหายไป แม้แต่ความน่าเชื่อถือของราชวงศ์ก็จะลดลงด้วยเช่นกัน นี่คือเรื่องที่น่ากลัว จะล้อเล่นไม่ได้


 


“ท่านโหวอย่าได้กังวล นี่คือจำนวนเงินกู้ที่ได้รับหลังจากที่คลังเงินคำนวณอยู่หลายครั้ง เงินสี่แสนเหรียญจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของคลังเงิน เดิมทีเถ้าแก่หวงอยากให้ฮองเฮายืมเงินเจ็ดแสนเหรียญ แต่สุดท้ายหลังจากที่ฮองเฮาทบทวนถี่ถ้วนแล้วจึงตัดสินใจยืมเงินสามแสนแปดหมื่นเหรียญ ฮองเฮาบอกแล้วว่าเงินในคลังเงินทั้งหมดเป็นเงินของราษฏร นางไม่สามารถนำไปใช้อย่างไร้ขีดจำกัดได้ เพียงแค่แก้ปัญหาความจำเป็นที่เร่งด่วนก็พอ และกล่าวว่าจะไม่ละเมิดกฎระเบียบของคลังเงิน ฮองเฮานั้นดีแค่ไหน ราชวงศ์มีฮองเฮาเช่นนี้ช่างเป็นบุญของข้าจริงๆ”


 


อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจเบาๆ รู้จักขอบเขตก็ดีแล้ว มิเช่นนั้นก็รอราษฎรก่อกบฏได้เลย!


 


“ในเมื่อฮองเฮาเป็นคนยืมเงิน ทำไมพวกเจ้าไม่ไปหาฮองเฮาแต่กลับมาหาข้า?”


 


“แฮ่ๆ พวกเราไม่กล้าไปหาฮองเฮา รัชทายาทก็ไปรบที่ฉ่าวหยวนหาตัวไม่เจอ เว่ยอ๋องก็ถึงกับโยนเถ้าแก่สามคนออกจากตำหนัก ได้ยินว่าท่านกลับมาจึงได้ขี่ม้าเร็วมาหา ในที่สุดหนี้ก้อนนี้ก็หาคนมาใช้คืนได้แล้ว”


 


เหล่าโจวเปลี่ยนมานั่งในท่าที่สบายบนเก้าอี้ด้วยท่าทางที่มีความสุข


 

 

 


[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 48 เหล่าเฉิงมีอันตราย

อวิ๋นเยี่ยตบที่หน้าผากของตัวเองเบาๆ แล้วพูดกับหลิวจิ้นเป่าว่า “จับเถ้าแก่โจวโยนออกไปจากเรือ ระวังหน่อย อย่าให้โดนถ้วยน้ำชา” 


 


 


เหล่าโจวมองดูหลิวจิ้นเป่าที่กำลังเดินเข้ามาหาตัวเองด้วยความตกใจ กำลังจะอ้าปากพูด แต่ก็ถูกหลิวจิ้นเป่าอุ้มไปที่ข้างเรือ ตั้งท่าจะโยนเถ้าแก่โจวออกจากเรือ 


 


 


เหล่าโจวจับขอบเรือไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ เสียงร้องที่น่าสงสารดังเข้ามาในหู ทำให้หลิวจิ้นเป่าโยนเขาลงไปในทะเลไม่ลง อวิ๋นเยี่ยเห็นผู้คนที่ยืนอยู่บนฝั่งกำลังมองมาที่เรือ ถึงได้ให้หลิวจิ้นเป่าปล่อยเหล่าโจวไป 


 


 


“เหล่าโจว เจ้าไม่กล้าไปหาท่านหญิง หารัชทายาทก็ไม่เจอ ถูกเว่ยอ๋องไล่ออกมา แล้วยังจะกล้ามาหาข้า? เลือกที่จะมารังแกข้า ไม่เลวจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าถูกฮองเฮาโกง ยังจะกล้ามาหาข้า เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าจับเจ้าโยนลงทะเลอย่างนั้นหรือ” 


 


 


ดูเหมือนว่าเหล่าโจวจะถูกโยนอวิ๋นเยี่ยทำเช่นนี้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งแล้ว พอเขาได้กลับมาที่ดาดฟ้าก็สงบลงทันที กลับไปนั่งที่เก้าอี้ดังเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เอาล่ะ ตอนนี้ข้าได้ทวงเงินไปแล้ว แล้วเจ้าก็จับข้าโยนลงทะเลไปแล้ว ข้าดิ้นรนปีนขึ้นฝั่งอย่างสุดชีวิต ครั้งต่อไปหากเหล่าหวงถามเจ้า จำไว้ว่าให้ตอบเช่นนี้ อีกไม่นานเรื่องนี้ก็จะจบลง ข้าไม่รีบร้อน นี่เป็นกฎระเบียบของคลังเงิน ข้าเพียงแค่ทำตามกฎระเบียบก็เท่านั้น ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นคนตั้งกฎนี้ขึ้น เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้า 


 


 


เรื่องที่ข้าสนใจก็คือผลกำไรส่วนของเจียงหนานของข้า อวิ๋นโหวขายสมบัติล้ำค่าที่หมิงโจวได้ตั้งมากมาย คงจะมีรายได้ก้อนใหญ่ ขนเงินไปๆ มาๆ ไม่ลำบากแย่หรือ เพียงแค่ท่านให้พวกพ่อค้าเหล่านั้นเอาเงินมาฝากไว้ที่คลังเงิน ข้าเขียนตั๋วเงินให้ท่าน ท่านค่อยเอาไปถอนเงินสดที่ฉางอันไม่สะดวกกว่าหรือ 


 


 


แล้วตอนนี้ราชสำนักก็กำลังรีบใช้เงิน ดูจากที่ฮองเฮาบุกมาเอาเงินที่คลังเงินอย่างไม่มีเหตุผลก็รู้แล้ว เช่นนี้ดีกว่า ท่านแค่เอาเงินฝากเข้าไป ฮองเฮาถอนเงินสดได้ที่ฉางอัน สะดวกและรวดเร็ว คลังเงินก็เก็บดอกเบี้ยนิดหน่อย ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนต่างก็ได้รับความพึงพอใจหรอกหรือ” 


 


 


“นี่เป็นคำพูดที่ดี ท่านหญิงเป็นคนติดหนี้ ไปทวงเงินคืนจากนางก็จบ ทำกิจการก็ต้องมีท่าทางของการทำกิจการ ข้าไม่อยากให้ครั้งนี้คลังเงินแบกรับภาระหน้าที่นี้เพียงอย่างเดียว ในเมื่อเมื่อครู่เจ้าทวงเงินได้น่าเกรงขามถึงเช่นนั้น ข้าแนะนำให้เจ้าเอาเงินให้พ่อค้าที่อยู่บนฝั่งพวกนั้นยืม แล้วก็เก็บดอกเบี้ย นี่คือรายได้มหาศาล ลองคิดดูสิว่าเป็นเช่นนี้หรือไม่ แค่เจ้าไม่เจอเจ้าหนี้ที่เหมือนพวกเรา มันจะต้องเป็นการค้าขายที่ดีอย่างแน่นอน” 


 


 


เหล่าโจวยิ้มอย่างมั่นใจ ปรบมือเบาๆ หยิบม้วนฎีกาเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อให้อวิ๋นเยี่ยดู ขณะที่ตัวเองยืนอธิบายอยู่ข้างๆ “คลังเงินพิจารณาเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว ธุรกรรมการเงินจำนวนมากในครั้งนี้เป็นเรื่องที่เจอได้ยากมากในหนึ่งปี คลังเงินจึงไม่มีทางที่จะพลาดโอกาสดีๆ เช่นนี้ไป สำหรับเรื่องการทวงหนี้ ไม่ต้องกังวล คนที่กล้าไม่คืนเงินแล้วยังจับเถ้าแก่โยนลงน้ำก็มีแค่พวกเจ้าไม่กี่คน ที่เหลือก็เป็นกั๋วกงกับจวิ้นอ๋อง พวกเขาไม่กล้าที่จะไม่คืนเงินอยู่แล้ว” 


 


 


ไม่มีอะไรน่าสั่งสอน ความคิดที่พวกเขาระดมช่วยกันคิดขึ้นมานั้นช่างสมบูรณ์แบบ อย่างน้อยก็ไม่ใช่พวกที่คนขี้โอ้อวดอย่างอวิ๋นเยี่ยจะหาเรื่องได้ง่ายๆ เหล่าโจวอธิบายความเชื่อมโยงสำคัญบางอย่างให้อวิ๋นเยี่ยฟัง จากนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมจะเข้าร่วมงานประมูลสมบัติล้ำค่า 


 


 


อู๋เสอมองอย่างไม่ละสายตา ทหารเรือกว่าพันนายรายล้อมรอบพื้นที่อย่างหนาแน่น มองไม่เห็นเงินอยู่ในนั้น มีเพียงแผ่นกระดาษ พวกพ่อค้าต่างพากันสนุกสนานกับธุรกรรมที่มองไม่เห็นเงินเช่นนี้ ไม่ได้กลิ่นของทองแดง รู้สึกว่าตัวเองสูงส่งขึ้นมาไม่น้อย 


 


 


ถูกชะมัดเลย งาช้างยาวสี่ฟุตแปดร้อยเหรียญ ควรจะทิ้งปะการังชิ้นเล็กซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของที่บ้านไปได้แล้ว ปะการังสีแดงสูงกว่าห้าฟุต เอาของชิ้นนี้ไปวางไว้ที่ห้องรับแขกถึงจะดูสง่างาม อะไรนะ? สามพันเหรียญ? นี่มันให้กันฟรีๆ… 


 


 


ใช้เงินไปหมดแล้ว พวกทหารก็พากันขนสมบัติขึ้นเรือไปที่ฝั่ง พระเจ้า หยกสีเขียวที่มีน้ำหยดออกมามันคือหยกอะไร มรกต? เคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็นมาก่อน หยกขนาดเท่ากำปั้น หากให้ช่างแกะสลักมาแกะสลัก มันจะราคาเท่าไหร่ 


 


 


สี่พันเหรียญ? ซื้อของชิ้นนี้แค่สี่พันเหรียญ? เถ้าแก่ที่ทำกิจการเครื่องประดับอัญมณีตาลุกวาวขึ้นมาทันที กอดคอเหล่าโจวและพูดว่า “ให้ข้ายืมหนึ่งหมื่นเหรียญ ข้ายังมีที่ดินอยู่ที่ฉางอัน บ้านอีกสามหลัง หากยังไม่พอข้าเอาภรรยาของข้ามัดจำให้เจ้าก่อนก็ได้ ข้าต้องการแค่หนึ่งหมื่นเหรียญ” 


 


 


เหล่าโจวช่างเป็นคนดีเสียจริง เขาตบที่มือของเถ้าแก่เบาๆ แล้วพูดว่า “เถ้าแก่หลินไปประมูลให้เต็มที่ ไม่ต้องสนใจเรื่องเงินทอง มันก็เป็นแค่เรื่องของผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ข้าให้เจ้ายืมเงิน ไม่ต้องเอาภรรยาเจ้ามามัดจำให้ข้า ให้นางได้อยู่รับใช้เจ้า ชื่อเสียงเถ้าแก่ตลอดห้าสิบปีของเจ้าเทียบกับเงินหนึ่งหมื่นเหรียญไม่ได้ เราไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องเงินให้มากความ” 


 


 


“ทั้งๆ ที่ข้าก็รู้ว่าเจ้าจะมาดูดเลือดดูดเนื้อของข้า แต่ข้าก็จำเป็นที่จะต้องยืม ดอกเบี้ยรายปีไม่ถือว่ามากเกินไป ข้าตกลงตามนี้ เจ้าเตรียมหลักฐานการขอยืมเงินให้ข้า ข้าจะลงนาม” 


 


 


หลักฐานการขอยืมเงินในมือของเหล่าโจวหมดอย่างรวดเร็ว แม้แต่ตระกูลฉู่ที่ระมัดระวังตัวที่สุดยังยืมไปแปดพันเหรียญ ยิ่งมีจำนวนมากดอกเบี้ยก็จะน้อย ยิ่งมีจำนวนน้อยดอกเบี้ยก็จะมาก นี่คือกลยุทธ์ของคลังเงิน อยากจะให้คนพวกนี้จ่ายดอกเบี้ยทุกปี ไม่ต้องคืนเงินทุน ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นชื่อเสียงอันโด่งดัง เป็นกลวิธีล้ำค่าที่มาจากปากของอวิ๋นโหว 


 


 


สมบัติล้ำค่าหายไปครึ่งหนึ่ง แลกมาได้แค่แผ่นกระดาษ อู๋เสอมองดูสมบัติล้ำค่าที่ถูกคนอื่นเอาไป จากนั้นก็กลับมามองแผ่นกระดาษในมือของตัวเอง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าถูกหลอก โดยเฉพาะผู้ตรวจราชการมณฑลที่จ่ายเงินสามพันเหรียญซื้อหินตาแมวไปสองเม็ด เลือดหยดในหัวใจของเขา ยิ่งกว่านั้น เงินที่ได้จากการขายของพวกนี้ถูกชายอ้วนนามสกุลโจวเอาไปหมด ตัวเองไม่ได้สักเหรียญ เขาอยากจะเอาค้อนทุบคนพวกนั้นให้เละ แล้วแย่งของพวกนั้นกลับมา 


 


 


เมื่อกลับไปยังเรือก็โยนแผ่นกระดาษพวกนั้นให้อวิ๋นเยี่ยดูด้วยความโมโห “อวิ๋นโหว สมบัติล้ำค่ากว่าครึ่งเรือของเราแลกมาได้แค่แผ่นกระดาษพวกนี้หรือ” อวิ๋นเยี่ยหยิบตั๋วเงินขึ้นมาดูอย่างพอใจ ไม่พูดไม่จา เก้าสิบสามล้านเหรียญกับหกร้อยห้าสิบเหรียญ ไม่เลว เรื่องเติมทรัพย์สินให้คลังประเทศสักครึ่งหนึ่งคงไม่มีปัญหาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นปีนี้ก็ผ่านมาแล้วครึ่งปี เก็บภาษีหลังจากฤดูใบไม้ร่วงเพิ่มอีกหน่อย วิกฤตทางเศรษฐกิจของหลี่ซื่อหมินก็จะหมดไป 


 


 


“อวิ๋นโหว นี่มันเป็นเรื่องเล็กน้อย ของที่เราเอาออกไปเป็นสมบัติล้ำค่าของจริง แต่สิ่งที่ได้กลับมาเป็นแค่แผ่นกระดาษ ท่านไม่กลัวว่าจะถูกหลอก?” อู๋เสออดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง แต่หงเฉิงฉลาดกว่า เขาหุบปากเงียบ รอให้อวิ๋นเยี่ยอธิบาย 


 


 


“น่ารำคาญ กวนไม่ให้คนได้หลับได้นอนอยู่ได้ ข้าไม่รู้จะอธิบายให้เจ้าฟังเช่นไร ทันทีเมื่อถึงเมืองหลวงเจ้าเอากระดาษพวกนี้ไปยังคลังเงินที่ฉางอัน จะมีคนเอาเงินเก้าแสนเหรียญให้เจ้า ถึงตอนนั้น เจ้าก็จะเห็นทองแดง เงิน และทองคำจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เก็บไว้ให้ดี อย่าลืมประโยคที่เหล่าโจวบอก อย่าลืม พรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางแล้ว ให้ข้าได้นอนหลับสักตื่น” 


 


 


อู๋เสอห่อกระดาษพวกนั้นด้วยผ้ามันเลื่อมอย่างระมัดระวัง ใส่ไว้ในกระเป๋าติดตัว ยังไม่ถึงเมืองหลวงเขาไม่มีทางปล่อยให้กระเป๋าใบนี้ห่างจากตัวเอง 


 


 


ผู้ตรวจราชการมณฑลหมิงโจวที่เก็บภาษีได้มากขึ้นเดินยิ้มหน้าบานจากไป ส่งผักสด หมูสิบกว่าตัว แกะเจ็ดแปดตัว และเนื้อวัวมาให้อวิ๋นเยี่ยอย่างใจปล้ำ ขอบคุณในความรักของอวิ๋นเยี่ยที่มีต่อพวกขุนนางในท้องถิ่น ภาษีในปีนี้เก็บได้เกินจำนวนไปมาก เงินที่เหลือ จะเอาไปสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ขึ้นในดินแดนแห่งนี้ โดยสัญชาตญาณ เขาคิดว่าเมืองหมิงโจวจะต้องได้รับผลประโยชน์มากมายจากท่าเรือนี้ 


 


 


เพิ่มปริมาณน้ำจืด อาหาร และซ่อมแซมส่วนที่เสียหายของเรือเพื่อเตรียมการออกเรืออีกครั้ง เหล่าทหารต่างพากันแสดงจิตวิญญาณที่สูงส่ง ความรู้สึกของคนมีเงินช่างดีเหลือเกิน ไม่มองแม้แต่สาวร้องเพลงที่ยืนโบกผ้าเช็ดหน้าอยู่บนฝั่ง เงินของข้าจะเอากลับไปแต่งภรรยา ส่งต่อให้คนรุ่นหลัง ใครจะมีอารมณ์เอาให้พวกเจ้า 


 


 


วั่งไฉรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก หมดช่วงฤดูติดสัตว์แล้ว มันก็ไม่สนใจม้าตัวเมียพวกนั้นอีก ทั้งเตะทั้งกัดพวกมันออกจากคอกม้าของตัวเอง นอนพักผ่อนบนกองฟางสีเหลืองอย่างสบายใจ ชดเชยพลังงานที่เสียไปในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา 


 


 


คลังเงินเลี้ยงนกพิราบไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อเหล่าโจวส่งตั๋วเงินใบนั้นให้อวิ๋นเยี่ย นกพิราบกลุ่มหนึ่งก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้า มีกระบอกไม้ไผ่ผูกไว้ที่เท้าของพวกมัน แผ่นกระดาษในกระบอกไม้ไผ่เขียนตัวหนังสือแปลกๆ สองสามตัว 


 


 


หลังจากที่พวกมันบินไปถึงฉางอันด้วยความยากลำบาก เมื่อถอดกระบอกไม้ไผ่ออกจากเท้า พวกมันก็จะได้กินอาหารที่ดีที่สุดและอาบน้ำอุ่น พวกมันไม่เข้าใจว่าทำไมคนพวกนั้นถึงส่งเสียงร้องดัง รู้แค่เรื่องกิน… 


 


 


ราชสำนักของต้าถังกำลังปั่นป่วน ผมของหัวหน้ากรมคลังจั่งซุนอู๋จี้เริ่มมีสีขาว สองสามวันมานี้ยืมเงินมาจำนวนมาก ถึงสามารถเติมเต็มให้กับช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดของซีเจิงได้ แต่ตอนนี้เหอเป่ยเกิดภัยแล้งอีกแล้ว เซินโจว เหิงโจว ติ้งโตว โยวโจว และเยี่ยนโจวแทบไม่มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวเลย คลังของท้องถิ่นพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่มันแก้ไขอะไรไม่ได้ ทำได้แค่ส่งจดหมายด่วนไปขอความช่วยเหลือจากราชสำนัก 


 


 


ผู้คนในดินแดนเยี่ยนจ้าวล้วนแต่เป็นคนแข็งแกร่ง มีคนคิดไม่ซื่อแค่คนเดียวก็สามารถทำให้เกิดการประท้วงขึ้นได้ นึกถึง ‘เพลงแห่งความตายของเหลียวตง’ ที่หวางปั๋วเป็นคนร้อง เพลงนี้ทำให้แผ่นดินเหอเป่ยต้องปั่นป่วน ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่โต้วเจี้ยนเต๋อปกครองเหอเป่ย ยึดครองดินแดนแล้วยังอ้างตัวเป็นกษัตริย์ ไม่มีใครโค่นล้มได้ ตอนนี้เพื่อการโจมตีซีเจิง กองทัพทหารทั้งหมดในเหอเป่ยถูกส่งออกไปจนหมดเกลี้ยง หากมีคนที่คิดไม่ซื่อ พากันมาโบกมือส่งเสียงโห่ร้อง มันอาจจะก่อให้เกิดสถานการณ์ที่ผู้คนกว่าหมื่นคนพากันส่งเสียงประท้วงขึ้นได้ 


 


 


“ฝ่าบาท จะบุกโจมตีซีเจิงไม่ได้ เป็นเพราะราชสำนักของเรามีการเคลื่อนไหวของเหล่าทหาร พระเจ้าจึงได้นำภัยพิบัติมาสู่เรา นี่เป็นสัญญาณเตือน ฝ่าบาทโปรดยุติคำสั่ง หยุดการเคลื่อนไหวของกองทัพชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดภัยพิบัติที่รุนแรงกว่านี้” 


 


 


หลิงหูเต๋อเฟิน เจ้ากรมพิธีกรรมเดินออกมาพูดด้วยตัวเอง เขาเป็นคนที่เชื่อถือในหลักคำสอนของสวรรค์ เชื่อว่าภัยพิบัติทั้งหมดบนโลกมนุษย์เกิดจากการที่มนุษย์ไม่บำเพ็ญศีลธรรม ดังนั้นการที่หลี่ซื่อหมินแตะต้องผลประโยชน์ของทุกคนจึงเป็นสาเหตุของการเกิดภัยพิบัติในครั้งนี้ต่างหาก 


 


 


“แม่ทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้ายได้เดินทางออกไปทางทิศตะวันตกเป็นที่เรียบร้อย และคงกำลังเดินทางอยู่ในทะเลทราย เตรียมที่จะหลบหนีชาวถู่อวี้หุน แต่จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่ชนเผ่าเกาชัง และบุกเบิกทางให้กับกองทัพของข้า จะให้หยุดโจมตีซีเจิงในเวลานี้มันก็เหมือนกับการฆ่าทหารต้าถังกว่าสองหมื่นนายของข้า หลิงหูเต๋อเฟิน หรือว่าเจ้าต้องการให้พวกเขาทำตามแบบอย่างราชวงศ์ฮั่นตะวันตกของหลี่ก่วงลี่ ฆ่าฟันกันไปตลอดทาง สุดท้ายถูกฆ่าตายหมดทั้งกองทัพเช่นนั้นหรือ” 


 


 


ฉินฉยงได้ยินว่าจะหยุดการโจมตีซีเจิงก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก เฉิงเหย่าจินกับหนิวจิ้นต๋าเป็นคนพากองทัพของแม่ทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้ายออกเดินทาง เวลาผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว หากกองกำลังเสริมไปไม่ทัน พวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย ถึงตอนนั้นไม่อยากเป็นหลี่ก่วงลี่ก็คงยาก 


 


 


“นี่ก็เพื่อเป้าหมายใหญ่ ฉินกง ลูกชายคนเล็กของข้าก็อยู่ในกองทัพของแม่ทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้ายเช่นกัน เจ้าคิดว่าข้ายื่นข้อเสนอนี้ หัวใจของข้าไม่เจ็บปวดหรือ หากมีวิธีอื่น คำพูดเลวทรามต่ำช้าเช่นนี้ ข้าจะพูดออกมาหรือ” 


 


 


ถึงแม้ว่าหลิงหูเต๋อเฟินจะเป็นคนล้าสมัยแต่เขาก็ไม่ใช่คนที่เลวร้าย ศีลธรรมของเขายังคงเป็นที่ชื่นชมของทุกคน หากบอกว่าเขาจงใจทำลายการโจมตีซีเจิงก็คงจะใส่ร้ายเขาเกินไป เขาแค่กลัววาจะเกิดความวุ่นวายเหมือนในสมัยราชวงศ์สุย ถึงได้ยื่นข้อเสนอเช่นนี้ 

 

 

 


[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 49 ภาพลวงตา

 

ภัยแล้งในเหอเป่ยทำให้เกิดไฟไหม้ ถึงฤดูเก็บเกี่ยวแต่กลับไม่มีผลผลิตอะไรให้เก็บเกี่ยว เสบียงอาหารในฉางอันขึ้นราคากว่าสองเหรียญอย่างเงียบๆ ราคาเพิ่มขึ้นตั้งครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อวิ๋นเยี่ยเคยบอกแล้วว่าข้าวราคาถูกเป็นการทำร้ายชาวนา แต่ตัวเองยังหัวเราะเยาะเขาที่คิดแต่จะหาเงินเข้ากระเป๋า ภายใต้ยุคที่เจริญรุ่งเรือง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือข้าวที่ราคาถูก วิธีนี้เท่านั้นถึงจะสามารถเลี้ยงปากท้องคนหลายสิบล้านคนได้ ตอนนั้นอวิ๋นเยี่ยยังเถียงอีกว่า สักวันหนึ่งท้องตลาดจะปรับราคาข้าวขึ้นเอง อำนาจของฮ่องเต้แทบจะต่อต้านเรื่องนี้ไม่ได้ นอกจากการไล่ฆ่าฟันผู้คน มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ตัวเองไม่มีวิธีหยุดราคาข้าวที่พุ่งขึ้นสูงพวกนั้นได้ ท้องตลาดตะวันตกก็ถูกตัดหัวไปแล้วสิบกว่าคน แต่น่าเสียดายที่ร้านขายข้าวกว่าหลายสิบแห่งได้หายไปอย่างรวดเร็ว การฆ่าคนไม่ใช่วิธีที่ดี หลี่ซื่อหมินรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก 


 


 


ตอนนี้คำพูดของหลิงหูเต๋อเฟินได้แทงเข้ามาในใจของเขาอีกครั้ง อยากจะโมโห แต่ก็ไม่มีเหตุผล ดินแดนเยี่ยนจ้าวช่างวุ่นวาย กว่าโยวโจวถึงจะสงบลงได้ตัวเองจะต้องฆ่าคนอีกกี่คน ส่วนโต้วเจี้ยนเต๋อกับลัวอี้ ตัวเองจะฆ่าพวกเขาไม่ได้ ดินแดนแห่งนั้นมักจะมีศัตรูที่วุ่นวายที่สุด ยังต้องได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา 


 


 


หากไม่เอาสี่แสนเหรียญที่ฮองเฮาหามาไปให้กับกรมยุทธการทั้งหมด ตัวเองก็อาจจะพอมีเงินอยู่ในมืออยู่บ้าง การสู้รบเท่ากับการค้าขายที่เผาผลาญเงิน แต่ดูเหมือนว่าการโจมตีทูเจวี๋ยครั้งก่อนไม่ได้ผลาญเงินมากนัก รอให้อวิ๋นเยี่ยกลับมา ค่อยปรึกษาหารือกันว่าจะเอาอย่างไรต่อ เจ้านี่อาจจะทำเงินในหลิ่งหนานให้เราได้ไม่น้อย! 


 


 


ขณะที่หลี่ซื่อหมินนั่งบนเก้าอี้มังกรก็นึกถึงเรื่องของตัวเองไปด้วย ไม่ได้คิดจะสนใจความวุ่นวายในราชสำนักตอนนี้ ความจริงเขามีแผนการสำหรับการโจมตีซีเจิงและดินแดนเยี่ยนจ้าวอยู่แล้ว การทะเลาะวิวาทของพวกขุนนางก็เป็นแค่เรื่องไร้สาระเท่านั้น แต่ว่าเพราะเหตุใดบนใบหน้าของพวกขุนนางเหล่านั้นถึงได้มีรอยยิ้มอยู่ได้ ประเทศชาติกำลังเดือดร้อน พวกเจ้ามีความสุขมากนักหรือ 


 


 


กำลังจะโมโห แต่กลับเห็นขันทีคนหนึ่งรีบเดินเข้ามารายงานว่า “กราบทูลฝ่าบาท เฉิงเผยซื่อ หนิวเจียงซื่อ อวิ๋นจ้าวซื่อ ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทพะยะค่ะ” 


 


 


ฉินฉยงหลับตาลงด้วยสีหน้าอเนจอนาถ วันนี้เขาจะทำเพื่อราชสำนักเป็นครั้งสุดท้าย ข่าวลือเรื่องการหยุดโจมตีซีเจิงได้ถูกพวกคนที่มีเจตนาแอบแฝงแพร่กระจายข่าวออกไปแล้ว ตระกูลเฉิง ตระกูลหนิวและตระกูลอวิ๋นจะไม่รู้ได้เช่นไร เฉิงเหย่าจินกับหนิวจิ้นต๋าออกเดินทางไกลไปสู้รบ หากไม่โจมตีซีเจิง พวกเขาอาจจะต้องตายโดยไม่มีที่ฝังศพ เมื่อวานพวกเขาก็ขอความคิดเห็นจากฉินฉยง นี่เป็นวิธีสุดท้าย ทำลายวงค์ตระกูลเพื่อสนับสนุนการโจมตีซีเจิง อย่างน้อยก็แน่ใจได้ว่าทหารที่ออกเดินทางก่อนเวลาจะกลับมาอย่างปลอดภัย 


 


 


หลี่ซื่อหมินคิดว่าพวกนางทั้งสามคนจะมาอ้อนวอนร้องไห้ ขอให้ทำการโจมตีซีเจิงต่อไป แต่คิดไม่ถึงว่าเฉิงฮูหยิน หนิวฮูหยิน และเหล่าฮูหยินของตระกูลอวิ๋นไม่ร้องไห้โวยวาย แต่เฉิงฮูหยินกับหนิวฮูหยินสีหน้าซีดเซียว มีแค่เหล่าฮูหยินของตระกูลอวิ๋นพูดออกมาว่า “ฝ่าบาท เดิมทีตำหนักไท่จี๋ไม่ใช่สถานที่ที่ผู้หญิงอย่างพวกหม่อมฉันจะเข้ามาได้ตามอำเภอใจ แต่ได้ยินมาว่าราชสำนักจะหยุดการโจมตีซีเจิง สาเหตุเพียงเพราะว่าเกิดภัยพิบัติในประเทศชาติ เสบียงอาหารขาดแคลน 


 


 


พวกทหารกำลังต่อสู้เพื่อประเทศชาติอยู่ที่ชายแดน พวกเขาจะขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้าได้เช่นไร ผู้หญิงอย่างพวกหม่อมฉันไม่เข้าใจเรื่องการทหาร พวกผู้หญิงและเด็กๆ ที่บ้านลำบากนิดหน่อยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่รู้สึกว่าจะเอาเปรียบพวกทหารที่ชายแดนได้เช่นไร ซุนอวิ๋นเยี่ยไม่เคยยับยั้งชั่งใจในเรื่องของการใช้เงิน ตระกูลอวิ๋นรวบรวมเงินทั้งหมดได้แปดหมื่นเหรียญ รวมกับเงินของตระกูลเฉิงและตระกูลหนิว ทั้งหมดหนึ่งแสนห้าหมื่นเหรียญเพคะ ฝ่าบาทโปรดใช้เงินพวกนี้ไปซื้อเสบียงอาหารให้กับประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ ช่วยชีวิตได้อีกชีวิตหนึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี” 


 


 


หลังจากพูดเสร็จ นางก็หยิบตั๋วเงินออกมาจากแขนเสื้อ วางไว้บนถาดที่ขันทีถือ พาเฉิงฮูหยินและหนิวฮูหยินโค้งคำนับฮ่องเต้แล้วเดินออกไป 


 


 


ในตำหนักเงียบสงัด ไม่มีใครพูดอะไร หลี่ซื่อหมินหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ไม่เลวจริงๆ ต้าถังของข้ามาถึงจุดๆ นี้แล้ว มาถึงจุดที่ต้องแย่งเสบียงอาหารมาจากพวกผู้หญิงและเด็กๆ ก็แค่บุกโจมตีซีเจิงมิใช่หรือ ขาดแคลนเสบียงอาหารไม่เท่าไหร่ก็ทำให้พวกเจ้าตกใจกลัวถึงเพียงนี้? ดินแดนเหอเป่ยก็ได้รับความเสียหายแค่สี่เมือง แต่พวกเจ้าทุกคนกลับตกใจกลัวถึงเพียงนี้? ความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ราวกับเสือของพวกเจ้าหายไปไหนหมด หรือว่าใช้ชีวิตสงบสุขนานเกินไป ถึงได้ขี่ม้าไม่เป็น จับธนูไม่เป็น ฆ่าศัตรูไม่เป็นแล้ว? ตอนนั้นยังมีจิตใจที่กล้าหาญ แต่ตอนนี้กลับถูกภรรยานางสนมทำลายความเป็นวีรบุรุษสุดท้ายไปหมดแล้วเช่นนั้นหรือ” 


 


 


จั่งซุนอู๋จี้ลุกขึ้นกราบทูลฝ่าบาท “ฝ่าบาท ดาบของกระหม่อมตะโกนร้องอยู่ทุกคืน ม้ารบที่อยู่ในคอกม้าก็อยู่ไม่เป็นสุข ขอแค่ฝ่าบาทมีคำสั่ง ถึงแม้ว่าจะยากลำบากเพียงใดกระหม่อมก็จะไม่ยอมแพ้” 


 


 


คำพูดสวยๆ เช่นนี้ หากไม่พูดออกมาตอนนี้ ต่อไปก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้พูดแล้ว ใครๆ ก็ดูออกว่าหลี่ซื่อหมินอดทนจนถึงขีดจำกัดแล้ว หากมาพูดขัดแย้งเขาในเวลานี้ คงจะตายโดยไม่มีที่ฝังศพเป็นแน่ 


 


 


ทันใดนั้นราชสำนักก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน ไม่มีเสียงแปลกปลอมเลยแม้แต่น้อย ฮ่องเต้ไม่ได้ต้องการกิจการของตระกูลเฉิง หนิว อวิ๋น และฉินทั้งสี่ตระกูล สิ่งที่เขาต้องการก็คือรากฐานที่มั่นคงและความปรองดองของราชสำนัก 


 


 


ไม่มีใครรู้ว่ามีตั๋วเงินเก้าแสนเหรียญอยู่ในแขนเสื้อของฮ่องเต้ และนี่คือแหล่งที่มาของความมั่นใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา จั่งซุนเป็นคนยัดใส่ให้เขาก่อนที่จะเข้ามายังตำหนักนี้ บอกว่านี่คือผลกำไรส่วนหนึ่งของหลิ่งหนาน ส่วนอื่นๆ ต้องรอให้อวิ๋นเยี่ยจัดการเสร็จก่อนถึงจะส่งกลับมายังฉางอัน เพราะอย่างไรก็ตามสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์ต่อราชสำนักในเวลานี้ 


 


 


เสบียงอาหารกว่าหลายล้านตันอยู่บนทะเล เพียงแค่อวิ๋นเยี่ยเทียบท่าที่โยวโจว ก็จะสามารถบรรเทาความหิวโหยในดินแดนเยี่ยนจ้าวได้ แล้วยังอาจจะมีเสบียงอาหารเหลืออีกมากมาย 


 


 


เมื่อเทียบกับความลำบากของหลี่ซื่อหมินในราชสำนัก นับว่าอวิ๋นเยี่ยรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขทีเดียว เนื่องจากเมื่อมาถึงทางตอนเหนือ พบว่าบนทะเลมีเรือค้าขายมากมายไปๆ มาๆ กันอย่างครึกครื้น บนท้องทะเลมีความเจริญรุ่งเรือง เมฆลอยนิ่งกลางทะเล นอกจากนี้ทิวทัศน์ที่สวยงามของหมู่เกาะยังเต็มไปด้วยกลุ่มก้อนเมฆ เมื่อตงอวี้กลับถึงบ้านเกิด เขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย แนะนำบ้านเกิดของตัวเองให้วั่งไฉฟังอย่างมีความสุข คนหนึ่งคนกับม้าหนึ่งตัวเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย 


 


 


หากไม่ใช่เพราะว่าได้เจอกับเรือสามลำของแคว้นวอ อวิ๋นเยี่ยก็คงจะอารมณ์ดีเช่นนี้ต่อไป เพราะเพียงแค่ออกคำสั่ง พวกเขาก็พร้อมที่จะส่งเรือทั้งสามลำนั้นไปเจอกับราชามังกรใต้ทะเลโดยไม่สนใจว่าเป็นโจรสลัดจริงหรือไม่ อย่างไรอวิ๋นเยี่ยก็เชื่อไปแล้ว กองทัพทหารเรือก็พร้อมที่จะเชื่อว่านี่คือกลุ่มเรือโจรสลัด อย่างมากก็แค่ไปรวบรวมวัตถุหลักฐานมา เขาเชื่ออย่างหนักแน่นว่ามันจะต้องมีวัตถุหลักฐานอยู่ อู๋เสอคิดว่ามันจะต้องมีแน่ เหตุผลคือขอแค่ผ่านมือของอวิ๋นเยี่ย มันก็ยากที่จะไม่มี 


 


 


เตรียมหน้าไม้วัวแปดตัวไว้เรียบร้อย ปืนใหญ่ก็ใส่ก้อนหินที่มีขนาดเท่าหัวคนลงในตะกร้าไม้ไผ่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างพากันหมุนหามุม เตรียมพร้อมที่จะขว้างก้อนหินรอบแรกออกไป โจมตีเรือเล็กทั้งสามลำให้ราบคาบ 


 


 


ขุนนางต้าถังใส่เสื้อคลุมสีเขียวปรากฏตัวอยู่บนหัวเรือของชาวแคว้นวอ ตะโกนใส่กองทัพเรือไม่หยุด อวิ๋นเยี่ยจึงได้ออกคำสั่งหยุดการโจมตี เขาขว้างก้อนหินใส่คนของตัวเองไม่ลงจริงๆ 


 


 


เรือลำเล็กออกไปรับขุนนางใส่เสื้อคลุมสีเขียวคนนั้นมา อวิ๋นเยี่ยถามด้วยความโมโหว่า “ขุนนางระดับหกอย่างเจ้า เหตุใดถึงได้ไปเบียดอยู่บนเรือลำเดียวกันกับพวกแคว้นวอพวกนั้น อับอายขายขี้หน้า ต้าถังของข้าไม่มีเรือแล้วหรือ” 


 


 


“เรียนท่านโหว ข้าน้อยเป็นคนของวัดหงหลู ได้รับคำสั่งให้ไปยังแคว้นวอ ตอนนี้กำลังจะกลับไปรายงานที่ฉางอัน” 


 


 


“เจอกับองค์หญิงคนนั้นของพวกเขาแล้วหรือ เธอย้อมฟันดำด้วยหรือเปล่า หน้าก็ถูปูนขาวด้วยใช่หรือไม่ แล้วทำไมกัน เขาไม่ได้ให้เจ้าไปหาเมียที่นั่นหรอกหรือ มองดูหน้าตาที่แดงก่ำของเจ้าแล้วดูเหมือนเจ้าจะไม่ใช่คนมักมากเช่นนั้นนะ” 


 


 


“อวิ๋นโหวล้อเล่นเกินไปแล้วขอรับ ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้ไปทำภารกิจที่แคว้นวอ เพราะว่าฝ่าบาทได้ยินมาว่าดินแดนของพวกเขามีเงินมากมาย ให้ข้าน้อยไปสำรวจ หากมีมากจริงๆ ก็จะสั่งให้แคว้นวอส่งเงินมาให้ฉางอันทุกๆ ปี ข้าน้อยผ่านความเป็นความตายมามากมายกว่าจะถึงแคว้นวอ คนที่ติดตามมาด้วยก็ป่วยตายกันหมดแล้ว เหลือเพียงข้าน้อยคนเดียว” 


 


 


ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย ที่แท้ก็ไปดูเงิน ไม่ได้ไปดูพวกผู้หญิงของแค้วนวอ เขาช่างน่าสงสารเสียจริง น้ำลายไหลขณะมองไปยังชามขนมของวั่งไฉ วั่งไฉขี้งกกลัวว่าเขาจะไปแย่งมันกิน รีบงับขนมชิ้นสุดท้ายหมดอย่างรวดเร็ว แล้วหันก้นมาทางขุนนางที่ชื่อเหอจงอู่คนนั้น 


 


 


เหอจงอู่ยิ้มให้อวิ๋นเยี่ยด้วยความอับอาย ถูมือไปมาไม่รู้ว่าอยากจะพูดอะไร แล้วยังหน้าแดงเหนียมอายที่จะพูดออกมา อวิ๋นเยี่ยจะไม่รู้ได้เช่นไร ไม่รู้ว่าเขาต้องเจอกับความยากลำบากที่แคว้นวอมาตั้งเท่าไหร่ สิ่งที่เขาอยากกินที่สุดตอนนี้คงจะเป็นบะหมี่ชามโต ชาวกวนจงขาดบะหมี่ไม่ได้ 


 


 


ลูกผู้ชายตัวใหญ่ถือชามบะหมี่ร้องไห้ กินไปได้คำหนึ่ง ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม น้ำตาหยดลงในชามบะหมี่ ไม่มีใครพูดอะไร อวิ๋นเยี่ยถือบะหมี่ชามใหญ่กินเป็นเพื่อนเขา ผู้ชายสูงกว่าสองร้อยเซนติเมตรร้องไห้จนทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจ 


 


 


ผ่านไปสักพัก เหอจงอู่ถึงได้หยุดร้อง กำมือและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ขออภัยขอรับท่านโหว ข้าน้อยอยู่ที่แคว้นวอมาสองปี ตอนแรกยังคิดถึงคนที่บ้าน ต่อมาในความฝันของข้าน้อยมีแต่บะหมี่ ฝันว่าได้กัดขนม แต่พอตื่นขึ้นมาถึงได้เห็นว่าตัวเองกัดหมอนไม้ทั้งคืน คิดถึง คิดถึงเหลือเกิน” 


 


 


“หุบปากแล้วรีบกินซะ กลับไปถึงบ้านเดี๋ยวก็ดี ข้าก็กำลังจะกลับไปฉางอัน เจ้าก็กลับไปกับข้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็มาอยู่บนเรือของเรา ไม่ต้องไปเบียดอยู่กับชาวแคว้นวอ” 


 


 


“ข้าน้อยรับทราบ แต่ว่าบนเรือมีทูตแคว้นวอของต้าถังแปดสิบหกคน จะรับพวกเขามาบนเรือของเราด้วยหรือไม่ เรือของพวกเขาไม่ใช่ที่ที่ให้คนอาศัยอยู่จริงๆ ทั้งเล็กและสกปรก” 


 


 


เหอจงอู่ช่างเป็นคนมีพรสวรรค์ สามารถกลืนบะหมี่ไปด้วยพูดไปด้วยได้ มาตรฐานผู้ชายชาวซีเป่ย ความสามารถนี้ไม่ใช่ว่าจะฝึกฝนวันสองวันก็ทำได้ 


 


 


“สนใจตัวเองเถอะ เรือของเราเป็นเรือรบ ไม่ใช่เรือพลเรือน เจ้าเป็นขุนนาง ขึ้นมาได้ไม่เป็นไร แต่ชาวแคว้นวอพวกนั้นจะมีสิทธิ์ขึ้นมาได้เช่นไร หากเมื่อครู่เจ้าไม่ออกมาทักทาย พวกเขาคงถูกจับไปป้อนเป็นอาหารปลาใต้ทะเลหมดแล้ว ยังจะกล้าขึ้นมาอีก?” 


 


 


กินบะหมี่หมดไปสองชาม เหอจงอู่ตบๆ ที่ท้องของตัวเองเบาๆ ชื่นชมฝีมือของพ่อครัว เรียกอาหารแคว้นวอที่ตัวเองกินมาสองปีว่าอาหารหมู การดำรงชีวิตอยู่ยังเทียบม้าของต้าถังไม่ติดด้วยซ้ำ 


 


 


ขนกระเป๋าของเขาขึ้นมา พูดแล้วก็สงสาร มีแค่เงินสองเม็ด แล้วยังเป็นเงินธรรมชาติ เขาอยากจะใช้เงินสองเม็ดนี้เป็นหลักฐานให้ราชสำนักเพื่อบอกว่าแคว้นวอมีเงินจำนวนมากจริงๆ 


 


 


ดื่มเหล้ารสเลิศของจวนอวิ๋นไป ไม่มีใครที่ไม่หลับไปในทันที เหอจงอู่ก็เช่นกัน เมาเหล้า รวมถึงความไม่สบายใจได้หายไปแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงของตัวเองอย่างมีความสุข 


 


 


ภูเขาอันสวยงามปรากฏขึ้นบนขอบฟ้าอย่างเลือนลาง ลอยอยู่บนผืนน้ำทะเล ราวกับภูเขาเทพเซียนในต่างแดน 


 


 


“ดูสิ เกาะเฝิงไหลเซียน” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนออกมา ทุกคนที่นอนอยู่ข้างเรือมองไปยังเทพเซียน มีบางคนที่นับถืออย่างเคร่งครัดเริ่มก้มหน้าลง 


 


 


อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่บนหัวเรือ ชื่นชมความงามของภาพลวงตาที่หายากนี้อย่างละเอียด เขามักจะรู้สึกคุ้นเคยกับภูเขาลูกนี้ เหมือนกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ความรู้สึกนี้ช่างแปลกประหลาด 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)