เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 8 ตอนที่ 45-46

[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 45 เรือใบหลายพันลำเมื่อข้าออกเ...

 

กลุ่มชายฉกรรจ์รุมตีเด็กสามคน คือสถานการณ์อธิบายการสู้รบกับเรือขนาดเล็กนี้ได้ เรือเร็วแล่นซิกแซกเข้าไปใกล้เรือของชาวหู ถึงแม้ว่าฝั่งตัวเองจะมีเครื่องโยนหินขนาดเล็ก แต่พวกนายพันที่สายตาเต็มไปด้วยเงินทองพวกนั้นไม่อนุญาตให้ขว้างออกไป ถูกเรือแตกไปน่าเสียดาย นี่เป็นทรัพย์สมบัติของนายใหญ่ 


 


 


ห่างออกไปหนึ่งร้อยเมตร เสียงของหน้าไม้สามขาที่ยิงออกไป อวิ๋นเยี่ยอยู่บนเรือลำใหญ่ยังได้ยินชัดเจน ลูกธนูหนาๆ หลบหลีกที่ที่เปราะบางอย่างเสาเรือพวกนั้น ยิงไปที่ด้านข้างของเรือทั้งหมด ปักเข้าที่เรือในอย่างหนาแน่นราวกับใยแมงมุม 


 


 


ชายร่างใหญ่เปลือยกายหลายสิบคนดึงเชือกที่เสาเรือ กระโดดขึ้นไปบนเรือของชาวหู และแน่นอนว่ามีผู้โชคร้ายไม่กี่คนถูกลูกธนูที่กระจัดกระจายไปทั่วแทงเข้าใส่และตกลงไปในทะเลกลางทาง อวิ๋นเยี่ยรีบกระโดดร้องให้คนไปช่วยอย่างรวดเร็ว 


 


 


เมื่อเรือลำใหญ่ของอวิ๋นเยี่ยมาถึงสนามรบ การต่อสู้ก็สงบลงแล้ว ชายไว้หนวดไว้เคราคนหนึ่งตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด แต่เหล่าทหารฟังไม่เข้าใจ เอาแต่เก็บรวมรวบอาวุธที่ยึดได้จากศัตรู เมื่อโซ่ทองที่คล้องคอของเขาถูกดึงไปพร้อมกับป้ายชื่อ เขาดิ้นรนอย่างหนัก พยายามที่จะดึงโซ่ทองกลับคืนมา 


 


 


เซี่ยวชังเซิงดุด่าเหล่าทหารที่ฉกโซ่ทองอย่างดุเดือด ดึงโซ่ทองออกมา จากนั้นก็เอาไปให้อวิ๋นเยี่ยดู ทหารคนนั้นเห็นว่าโซ่ทองของตัวเองหายไปแล้ว เขาก็เตะชาวหูคนนั้นอย่างโกรธเกรี้ยว และไปเก็บของคนอื่นต่อ เขาเป็นคนแรกที่กระโดดขึ้นเรือ เขามีสิทธิ์นี้ 


 


 


ป้ายชื่อทำขึ้นมาอย่างประณีต แกะสลักรูปชาวหูที่มีปีกอยู่ 


 


 


“ท่านโหว นี่คือเทพเจ้าของพวกเขา ดูเหมือนว่าสถานะของไอ้หมอนี่ไม่ธรรมดา ไม่ใช่กัปตันธรรมดา” หลังจากที่เซี่ยวชังเซิงอธิบายให้อวิ๋นเยี่ยฟังเสร็จ ก็กระซิบกับชาวหูคนคนนั้น ชาวหูคนนั้นก็พูดออกมาด้วยความโมโห  


 


 


“ท่านโหว ไอ้หมอนี่บอกว่าเขาเป็นขุนนางทหาร กำลังไล่ล่านักโทษ เราจะซ่อนตัวนักโทษไม่ได้ มิเช่นนั้นเคาะลีฟะฮ์จะส่งกองทัพที่ใหญ่เท่าทะเลมาที่นี่ ถึงตอนนั้นอย่าคิดว่าจะยังมีชีวิตรอด แต่หากชดเชยค่าเสียหาย เขาจะพิจารณาให้เรามีชีวิตรอด” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยพยักหน้า มองไปที่ชาวหูคนนั้นอย่างละเอียด แล้วพูดกับเขาว่า “ฟังที่ข้าพูดไม่เข้าใจ?” ชาวหูส่ายหน้าอย่างแรง แต่สายตาของเขาหักหลังเขาเต็มๆ 


 


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มและพูดกับวีรบุรุษไร้ความสามารถอย่างตงอวี๋ว่า “ตัดแขนข้างหนึ่งของเขา ระวัง อย่าให้เขาตาย” ตงอวี๋เพิ่งจะก้าวเข้าไปข้างหน้า ชาวหูคนนั้นก็ทรุดตัวลงบนพื้น ร้องขอความเมตตาด้วยภาษาฉางอันที่นุ่มนวล 


 


 


อู๋เสอถามอวิ๋นเยี่ยด้วยความแปลกใจ “อวิ๋นโหว ท่านรู้ได้เช่นไรว่าไอ้นี่พูดภาษาคนเป็น” 


 


 


“คนคนหนึ่งไม่ว่าจะมีฝีไม้ลายมือแค่ไหนก็ต้องฟังบทสนทนาของฝ่ายตรงข้ามให้เข้าใจ เห็นได้ชัดเจนว่าเขาไม่ใช่ ยังรู้จักเขียนเสื้อให้วัวกลัว ข้าอายุน้อยแค่นี้ จะใส่หรือไม่ใส่เครื่องแบบขุนนางอยู่ก็เถอะ ตามเหตุผลแล้วเป็นไปไม่ได้ที่ชาวหูจะรู้ว่าข้าเป็นแม่ทัพของที่นี่ เหล่าหงกับเจ้ามีบุคลิกมากกว่าข้า แต่ทุกคำพูดของชายคนนี้พุ่งตรงมาที่ข้าตลอด เจ้าคิดว่าแปลกหรือไม่” 


 


 


อู๋เสอและหงเฉิงพากันพยักหน้า แต่กลับพึมพำในใจไม่หยุด เหลวไหลจริงๆ เจ้ายืนอยู่ตรงกลาง เซี่ยวชังเซิงเอาอาวุธที่ยึดได้จากศัตรูมาให้เจ้าดูเป็นคนแรก ชาวหูไม่รู้ว่าเจ้าเป็นแม่ทัพสิแปลก ความจริงเขาหงุดหงิดกับคำพูดนั้น แต่พอบอกจะตัดแขนของเขา เขาเลยตกใจต่างหาก ยังจะหาเหตุผลมากมายมาพิสูจน์ความฉลาดหลักแหลมของตัวเอง เจ้านี่ช่างเป็นขุนนางที่กะล่อนขึ้นทุกวัน 


 


 


ตงอวี๋ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ท่านโหวบอกว่าตัดแขนข้างหนึ่ง ก็ต้องตัดแขนข้างหนึ่ง สำหรับคำข่มขู่เหล่านั้น แม้แต่เขายังไม่สนใจ ท่านโหวจะสนใจอย่างนั้นหรือ 


 


 


ทนดูชาวหูถูกตัดแขนไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยมองไปรอบๆ เรือ เรือที่ยาวกว่าสี่สิบเมตร หัวเรือแหลมๆ ในห้องโดยสารมีกระดูกงู แบ่งออกเป็นสามชั้น พอเขามาถึงชั้นที่สาม เขาถึงกับหวาดกลัวจนพูดไม่ออก ชั้นที่สามมีกลิ่นเหม็นที่รุนแรง ทาสยี่สิบคนที่อยู่ข้างในถูกขังติดอยู่กับไม้พาย สายตาหมองคล้ำ มือวางอยู่ที่ไม้พาย ดูเหมือนว่าแค่ออกคำสั่ง ไม้พายก็จะพายไปด้วยกลไก ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เซี่ยวชังเซิงไม่แปลกใจ อ้าปากของทาสหนึ่งคนให้อวิ๋นเยี่ยดู เห็นแค่ข้างในปากเหมือนกับตงอวี๋ ไม่มีลิ้น 


 


 


“ท่านโหว บนเรือของชาวหูยังมีทาสเช่นนี้ หน้าที่ของพวกเขาก็คือพายเรือ แม่ทัพบางคนตัดลิ้นของทาสออกเพื่อรักษาความลับ เช่นนี้ทาสที่ไม่รู้จักตัวหนังสือก็จะไม่มีทางทำให้ความลับรั่วไหลออกไปได้ ทำตามกฎของชนเผ่าหูมาเป็นเวลาหลายร้อยปี” 


 


 


นี่คือสิ่งที่เรียกว่าสัตว์เดรัจฉานพูดได้? ตอนนี้พวกเขาแม้แต่พูดยังพูดไม่ได้ ราคายังเทียบกับวัวกับแกะไม่ได้ 


 


 


“พาพวกเขาไปที่ดาดฟ้า ให้พวกเขาได้เห็นแสงอาทิตย์บ้าง” ไม่รู้ว่าพวกเขาไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์มานานแค่ไหน แต่ละคนสีหน้าซีดเซียวราวกับผี “ให้พวกเขาอาบน้ำทะเลด้วย เหม็นเกินไปแล้ว” 


 


 


กลับมาบนเรือของตัวเอง ตงอวี๋ได้ทำการตัดแขนของชาวหูคนนั้นแล้วและกำลังทำแผลให้เขา วิธีการทำแผลก็คือใช้เหล็กที่เผาร้อนกดลงบนแผลของเขา เลือดออกไม่มาก ตงอวี๋ใช้เข็มขัดมัดแขนของเขาอย่างแน่นก่อนที่จะลงมือตัด 


 


 


เหล็กร้อนๆ กดลงแผล มีกลิ่นของขนหมูที่ไหม้เกรียม ชาวหูกระตุกเหมือนปลาเพียงไม่กี่ครั้ง ไม่มีแรงที่จะตะโกน เมื่อครู่ตงอวี๋ตัดอยู่ตั้งนานกว่าจะตัดแขนออกมาได้ 


 


 


ด้านหลังของเรือลำใหญ่ลากเรือของชาวหูมาเรื่อยๆ ความเร็วก็ช้าลงตามธรรมชาติ เมื่ออวิ๋นเยี่ยมาถึงเกาะปู ฟ้าก็มืดสนิทแล้ว อวิ๋นเยี่ยพึ่งตั้งชื่อว่าเกาะปูเมื่อครู่ เพราะเห็นปูเดินอยู่บนชายฝั่งก็เลยใช้คำว่าปูมาตั้งเป็นชื่อเกาะ 


 


 


อาละดินพูดผิดแล้ว ไม่ใช่เรื่อสิบห้าลำ แต่เป็นสิบแปดลำ ไอ้ฉลาดแกมโกงคนนี้จงใจไม่นับรวมเรือสามลำของตัวเอง แต่ว่าตอนนี้พวกมันทั้งหมดเป็นสมบัติของกองทัพเรือต้าถังไปแล้ว 


 


 


ปูทะเลก็เป็นอาหารอันโอชะเช่นกัน ล้างทรายออกไปก็เป็นอาหารอันโอชะ ไม่ต้องทำอะไรมากมายเพียงแค่เติมเกลือเล็กน้อยต้มให้สุกก็พอ ปูที่อยู่หน้าเกาะคงกินไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยเห็นพวกมันเดินขึ้นเดินลงบนซากศพก็ไม่มีอารมณ์กินแล้ว กินปูที่อยู่หลังเกาะอุ่นใจกว่า 


 


 


ทหารของต้าถังไม่เคยเกียจคร้านในการสู้รบ ถึงแม้ว่าจะจับโจรสลัดทั้งหมดได้แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เกียจคร้านเลยแม้แต่น้อย เรือสิบลำแล่นไปในทะเลไม่หยุดไม่หย่อน แค่เจอสิ่งผิดปกติพวกเขาก็พร้อมที่จะทำการโจมตีทันที กองทัพทหารขนาดใหญ่ใช้เวลาอยู่บนเกาะเป็นเวลานานพอสมควร บนเกาะยังมีทหารรักษาการณ์ หลังจากอวิ๋นเยี่ยตรวจการณ์เสร็จก็นอนหลับในกระโจมอย่างสบายใจ การนอนหลับท่ามกลางเสียงคลื่นน้ำทะเลช่างมีความสุข 


 


 


พอรุ่งสาง กองทัพเรือก็พร้อมที่จะออกเดินทางต่อ ทิ้งเรือเร็วประจำการบนเกาะปูไว้สิบลำ รอให้กองทัพเรือออกเดินทางแล้วค่อยกลับมารวมตัวกันที่นี่ 


 


 


หลี่อันหลานอุ้มลูกชายต้อนรับการกลับมาอย่างมีชัยของกองทัพอยู่ที่ท่าเรือ ยังจัดการแสดงร้องเพลงเต้นรำอีกด้วย ความสามารถในการร้องเล่นเต้นรำของหอชุ่ยเฟิ่งโหลวไม่ธรรมดา อาลาดินอ้วนหาลูกชายของตัวเองที่ถูกตัดลิ้นท่ามกลางกลุ่มนักโทษจนเจอ กุมหัวร้องไห้ เซี่ยวชังเซิงยิ้มหัวเราะ ส่งคนของเขาคืนให้เขา และเตรียมที่จะรับทรัพย์สมบัติของเขามา อาลาดินเคยบอกว่า ขอแค่ช่วยลูกชายของเขาได้ เขาจะเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับท่านโหว ในฐานะคนที่มีตำแหน่งจะไม่รักษาสัญญาไม่ได้ 


 


 


ลมกระโชกแรง พัดจนต้นไม้ใบไม้ในจวนองค์หญิงมีเสียงกรอบแกรบ เมื่อมรสุมรุนแรงที่สุดใกล้จะมา กองทัพเรือกำลังจะออกเดินทาง ก่อนหน้านั้นได้ส่งทูตม้าเร็วสามคนออกไปรายงานข่าวที่ฉางอัน เฝิงอั้งจัดพิธีอำลาอย่างยิ่งใหญ่ให้กับอวิ๋นเยี่ย เมื่อจอกเหล้าทองคำกำลังจะชนกัน ก็ได้ยินคำสาปแช่งที่เลวทรามที่สุดของเฝิงอั้ง “อวิ๋นเยี่ย ไอ้สารเลว ขอให้ถูกราชามังกรทะเลจับไปเป็นลูกเขย ถึงตอนนั้นข้าจะดื่มเหล้าให้เมาสักสามร้อยจอก มา! ทุกท่าน ดื่ม!” 


 


 


“เหตุใดเฝิงกงถึงได้พูดเช่นนี้ สุนัขเพิ่งจะล้างกระเพาะมาเมื่อเช้า เยอะแยะมากมาย รสชาติเข้มข้น ให้ข้าน้อยเอาออกมาให้เฝิงกงดูดีหรือไม่ แต่ท่านอายุมากแล้ว และยังถูกสัตว์ป่าฆ่าลูกชายตายไปสามคน ดื่มน้อยๆ หน่อยเถอะ ดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี หาคนมาชดเชยตำแหน่งว่างของลูกชายทั้งสามคนเป็นเรื่องสำคัญ ได้ยินมาว่าตอนนี้ท่านหมดแรงแล้ว น่าเสียดายสนมที่สวยสดงดงามพวกนี้เสียจริง ระวังหน่อย หากลูกที่เกิดมาเหมือนกับแม่ทัพของตระกูลท่าน อาจจะทำให้คนลำบากใจเอาได้” 


 


 


“ไอ้สารเลว พูดจาสองแง่สองง่าม ข้าจำไว้หมดแล้ว ทรมานเจ้าที่หลิ่งหนาน ผู้คนจะบอกว่าข้าไม่น่าเคารพ รอให้ข้ากลับไปฉางอัน เจ้าได้เห็นดีแน่” 


 


 


“หอเอี้ยนไหลโหลวของข้าน้อยจะเตรียมพร้อมสำหรับเฝิงกง ว่ากันว่าซุนเฟิงซั่นเป็นยาวิเศษ เป็นความลับของราชวงค์ เพื่อที่จะทำให้เฝิงกงมีความสุข ข้าน้อยจะแอบเข้าไปเอามาจากพระราชวังสักหนึ่งกิโล ใช้ให้หมดภายในคืนเดียว ถึงจะทำให้เฝิงกงกลับมามีแรง มาๆๆ ทุกท่านชนให้กับเฝิงกง!” 


 


 


ใบหน้าของทั้งสองคนเต็มไปด้วยความสุข เฝิงอั้งไม่สนใจ กล้าหาญชาญชัยเป็นอย่างมาก ยกดื่มจนหมดเกลี้ยง คำพูดที่มีไหวพริบของอวิ๋นเยี่ยไม่มีที่สิ้นสุด ระหว่างการสนทนา คนที่นั่งอยู่ด้วยกันล้วนแต่เป็นคนใหญ่คนโตของหลิ่งหนาน ใส่มงกุฎใส่เสื้อคลุม มีเสียงของภูเขาแม่น้ำไหลเป็นครั้งเป็นคราว เหมือนจะมีกลิ่นอายของดาบด้วย แต่น่าเสียดาย… 


 


 


น่าเสียดายที่เฝิงอั้งกล้าดื่มแค่หนึ่งพันจอก คนที่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรินเหล้าคือลูกชายคนเล็กของตระกูลเหอ เฝิงอั้งอายุยืน แน่นอนว่าเหยือกเหล้าของเขาจะต้องเลือกเหยือกที่มีขนาดใหญ่ ยิ่งใหญ่ยิ่งดี อวิ๋นเยี่ยอายุยังน้อย แน่นอนว่าตัวเลขยิ่งเล็กยิ่งดี ท่ามกลางช้อนไม้ที่รินเหล้า เฝิงอั้งถอดเสื้อคลุมออก เปลือยหน้าอก ถอดรองเท้าออกไปไว้อีกทาง โยนหมวกออกไปไหนตั้งนานแล้วก็ไม่รู้ ส่วนหลี่อันหลานก็รีบปิดหน้าแล้ววิ่งตรงไปยังห้องว่างด้านหลังที่ไม่มีใคร 


 


 


เขาตีเฝิงจื้อหย่งที่เอาเสื้อคลุมมาใส่ให้ ขี่หลังผู้เฒ่าตระกูลเหวยแล้วบังคับให้เรียกตัวเองว่าพ่อถึงจะยอมปล่อยไป ก่อนจะไปลากอวิ๋นเยี่ยมา กระโดดโลดเต้นอย่างดุเดือดเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง และด้วยความที่ไม่ทันระวังตัวก็ล้มลง เสียงล้มตึงดังราวกับเสียงฟ้าร้อง 


 


 


เฝิงจื้อหย่งที่หน้าบวมไปครึ่งหน้าแบกพ่อของตัวเองขึ้นหลัง กล่าวขอโทษผู้เฒ่าตระกูลเหวย พูดจาดีอยู่นานถึงได้รีบหนีออกไป 


 


 


งานเลี้ยงจบลงตอนที่ดวงอาทิตย์สีแดงก็กำลังขึ้น อวิ๋นเยี่ยอุ้มลูกชาย หอมที่แก้มที่ก้นอย่างแรงตั้งหลายที ตบก้นของหลี่อันหลานที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างแรงสองที บีบที่หน้าอกอีกหนึ่งที ถึงได้เงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะแล้วเดินจากไป 


 


 


ท่าเรือเต็มไปด้วยเรือใบหลายพันลำ เสียงแตรดังก้องไปบนท้องฟ้า หมูสองตัวถูกโยนลงไปในทะเล มอบให้แก่ราชามังกรทะเล เสียงทอดสมอดังขึ้นไม่หยุด เรือใหญ่สองร้อยสิบเอ็ดลำแล่นเข้าสู่ทะเลลึก อวิ๋นเยี่ยหัวเราะมองดูศพของชาวหูที่แขวนอยู่บนเกาะปู สิ่งเดียวที่ไม่เห็นก็คือน้ำตาอันยิ่งใหญ่ของหลี่อันหลาน 

 

 

 


[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 46 ดูหมิ่น

 

กองทัพเรือขนาดใหญ่กำลังแล่นอยู่บนทะเลสีคราม ลมมรสุมพัดแรงกระทบกับใบเรือทำให้เกิดคลื่น การล่องเรือไปตามชายฝั่งในสถานที่อันคุ้นเคยก็ไม่แย่เท่าไหร่นัก ส่วนเรือที่ไม่เคยได้ล่องในน่านน้ำก็ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ 


 


 


หลิวเหรินย่วนนั่งอยู่ด้านหน้าสุดของเรือ เซี่ยวชังเซิงให้คนมัดตัวเองไว้ที่หัวเรือ ในมือถือเชือกไนล่อนที่ทำสัญลักษณ์ตัวเลขไว้ แล้วหย่อนสารตะกั่วลงในทะเลจากนั้นก็ดึงขึ้นมาเพื่อรายงานจำนวนตัวเลข นักบัญชีบนเรือทำเครื่องหมายตัวเลขเหล่านี้ทีละอันลงบนแผนที่ทะเลขนาดใหญ่ 


 


 


กลุ่มผู้ชายที่ไม่ได้ใส่เสื้อพากันคลานอยู่บนพื้นเรือเพื่อเช็ดทำความสะอาดอย่างตั้งใจ หากพื้นเรือไม่ได้รับการทำความสะอาดจะส่งผลประทบต่ออายุการใช้งานของเรืออย่างรุนแรง เสียงนกหวีดไม้ไผ่ดังขึ้น พวกคนรับใช้ก็พากันยืนขึ้นแล้วเทน้ำสกปรกทิ้งลงทะเล จากนั้นก็ตักน้ำจากทะเลเพื่อใช้ล้างมือ แล้วนั่งเบียดกันอยู่ที่พื้นเรือ พ่อครัวแบกถังขนาดใหญ่มาแล้วตักข้าวใส่จานให้พวกเขาแต่ละคนจนเต็มจานและตักซุปปลาให้หนึ่งช้อน จากนั้นก็ให้ส้มคนละหนึ่งลูก ถึงแม้จะรสชาติเปรี้ยวเป็นอย่างมากแต่พวกเขากลับกินกันอย่างเอร็ดอร่อย พ่อครัวถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “เวรกรรมจริงๆ” แล้วก็แบกถังข้าวลงไปที่ห้องโดยสาร 


 


 


อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่บนดาดฟ้า เกาท้องวั่งไฉที่นอนอยู่ข้างๆ เขา มันดูพอใจเป็นอย่างมาก ในม้าตัวเมียห้าตัวมีสามตัวที่เริ่มติดสัตว์แล้ว วั่งไฉยุ่งวุ่นวายอยู่ด้านหลังเรือสี่ห้าวัน พึ่งจะมีเวลาคิดถึงอวิ๋นเยี่ย เห็นอวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่บนพื้นตัวเองจึงทิ้งตัวลงไปนอนบ้าง 


 


 


“อวิ๋นโหว ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่ฆ่าโจรสลัดพวกนั้นทั้งหมด แต่กลับนำทาสเหล่านี้กลับไปยังฉางอัน พวกเขาไม่มีลิ้นหากอยู่ที่ฉางอันก็คงเอาชีวิตไม่รอด” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยหาวหนึ่งทีแล้วพูดกับอู๋เสอว่า “บนโลกใบนี้ไม่มีใครที่ไร้ประโยชน์ เพียงแต่ว่าพวกเขาอยู่ไม่ถูกที่ หากพวกคนเหล่านี้อาศัยอยู่ในต้าสือคาดว่าคงอยู่ไม่รอดถึงหนึ่งปี แต่ว่าหากอยู่ที่ต้าถัง มีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเหมาะกับพวกเขา หรือจะพูดว่าสถานที่แห่งนั้นต้องการคนอย่างพวกเขาก็ได้ แล้วก็มีเพียงคนอย่างพวกเขาเท่านั้นที่จะสามารถเก็บความลับนั้นได้ แม้ว่าชีวิตนี้พวกเขาจะไม่สามารถมีชีวิตรอดออกจากสถานที่แห่งนั้นได้ก็จริง แต่ข้ารับประกันได้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีกว่าอยู่บนเรือของชาวต้าสือเป็นพันเท่า” 


 


 


อู๋เสอนั่งยองๆ ลงแล้วลูบคอให้วั่งไฉ นับตั้งแต่ที่วั่งไฉคาบเค้กถั่วเขียวมาให้เขา เขาก็เริ่มรู้สึกดีกับมัน แม้ว่าจะไม่กินของที่วั่งไฉคาบมา แต่ว่าความมีจิตใจดีของมันก็ควรค่าแก่การยกย่อง 


 


 


“เจ้าจะไม่ถามหน่อยหรือว่าข้าเตรียมจะพาทาสพวกนี้ไปไว้ที่ไหน” อวิ๋นเยี่ยหันไปถามอู๋เสอ 


 


 


อู๋เสอตอบกลับอย่างขี้เกียจ “ข้ามีชีวิตอยู่มานานโดยไม่มีโรคภัยใดๆ รับใช้ฮ่องเต้มากว่าสามรุ่น เคล็ดลับก็คือไม่ไปยุ่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง พวกความลับเหล่านี้ยิ่งรู้น้อยยิ่งดี มีเพียงวิธีนี้ที่จะทำให้มีชีวิตยืนยาว คาดว่าอาจารย์หลี่กังก็คงเคยบอกท่านเช่นกัน” 


 


 


“ท่านผู้รักษาความลับ ข้าค่อนข้างจะเคารพพวกคนที่อยู่มานาน ข้ามักจะคิดว่าการมีประสบการณ์มากจะทำให้ปัญญาถูกสร้างขึ้นไปด้วยโดยปริยาย ดังนั้นข้ามักจะจดจำคำแนะนำของผู้อาวุโสเสมอ หากมีโอกาสข้าก็อยากจะลิ้มลองดูรสชาติสักครั้ง ข้าเรียกรสชาตินี้ว่ารสชาติแห่งการทบทวนตัวเอง บางครั้งได้รับการสั่งสอนมากเกินไป ก็จะไม่ได้ลิ้มลองด้วยตัวเอง ข้าจะเก็บคำสอนพวกนั้นสะสมไว้ จากนั้นก็หาเวลาในตอนกลางคืนที่เงียบสงบพูดคุยกับตัวเอง ทุกๆ ครั้งก็รู้สึกว่าได้รับประโยชน์อย่างมากมาย ในตอนนี้ทุกคนต่างเห็นแก่ผลประโยชน์มากเกินไปและยุ่งมากเกินไปอีกด้วย พวกเขาไม่รู้จักการนำคำสั่งสอนมาใช้เป็นประสบการณ์ รู้เพียงแต่ว่าชีวิตคนนั้นแสนสั้นแต่ว่ามีหลายสิ่งที่ยังต้องไล่ตาม เนื่องจากว่าเมื่อได้รับมาแล้วก็ต้องปล่อยปละละเลยไป สุดท้ายจึงได้ค้นพบว่าสิ่งที่ตัวเองได้รับกลับไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ แต่น่าเสียดายกว่าจะคิดได้ก็สายไปแล้ว 


 


 


ข้าจะไม่พลาดทุกช่วงเวลาที่ประทับใจในชีวิตไป จะรักษาไว้เหมือนกับว่ามันเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของข้า ดังนั้นข้าจึงไม่เคยสูญเสียอะไร สิ่งที่ข้าได้รับมานั้นมีมากแล้ว ข้ารู้สึกพอใจ ก็เหมือนเมื่อครู่ที่ข้าเด็ดดอกไม้มา ต้องการจะทัดหูไว้เพื่อที่จะได้ดมกลิ่นหอมของมันตลอดเวลา” 


 


 


หันกลับมามองถึงได้เห็นว่ารอยยิ้มของอู๋เสอช่างงดงาม ยิ้มจนแก้มปริตาหยีจนมองเห็นตีนกา จากนั้นก็ส่งรอยยิ้มออกมาอย่างสบายใจเหมือนดอกโบตั๋นบานสะพรั่ง 


 


 


บางทีคำพูดก็เป็นส่วนเกิน อู๋เสอลูบที่ท้องของวั่งไฉ มันส่งเสียงออกมาท่าทางผ่อนคลาย อดไม่ได้ที่จะโหยหาชีวิตหลังเกษียณที่มีความสุข 


 


 


ชายแก่กับเด็กอีกสองสามคนอยู่ใต้ต้นสนที่ริมลำธารพูดคุยกันเรื่องศิลปะการต่อสู้ บางครั้งก็ดูผ่อนคลายแต่บางครั้งก็ดูจริงจัง เด็กเหล่านั้นว่านอนสอนง่ายและฉลาด พากันมาจับที่มือของตัวเองแล้วเรียกตัวเองว่าอาจารย์ จากนั้นก็ขอร้องเรื่องที่สมเหตุสมผลและไร้เหตุผลบ้างสลับกันไป 


 


 


เห็นอู๋เสอกำลังตกอยู่ในภาพแห่งความฝัน อวิ๋นเยี่ยก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่อยากรบกวนเขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปยังห้องใต้ท้องเรือ ขุนนางชาวหูคนนั้นถูกล่ามโซ่พันไว้กับเสา ไม่สามารถยืนตัวตรงได้และไม่สามารถนั่งลงได้ เพียงแค่เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงทั้งตัวของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อเหมือนถูกน้ำราด มีกลิ่นแรงไปทั่วทั้งตัว นี่คือสิ่งที่ชาวหูไม่ชอบเป็นที่สุด ในเมื่อเหงื่อทำให้มีกลิ่นตัวทำไมถึงต้องให้มนุษย์มีต่อมเหงื่อด้วย เห็นแล้วรู้สึกสกปรก 


 


 


ชาวหูเห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามาจึงพยายามพูดอย่างหมดแรงว่า “ปล่อยข้าไปเถิด ไม่เช่นนั้นก็ฆ่าข้าเสีย” 


 


 


ตงอวี๋คลายโซ่ออก ชาวหูตัวอ่อนปวกเปียกทรุดตัวลงบนพื้น 


 


 


“บอกข้ามาเหตุใดเจ้าจึงคิดที่จะมาต้าถัง เดินทางมาเก้าสิบวันพวกเจ้าเอาชนะบททดสอบที่โหดร้ายได้อย่างไร?” 


 


 


“บรรพบุรุษของข้าคือมุลลาห์ผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนเคยมาที่ดินแดนแห่งนี้ อาศัยอยู่ที่เมืองหมิงโจวมากว่ายี่สิบปี เขาเป็นคนมีความรู้ เขาเคยไปเรียนกับคนที่มีความรู้ในแคว้นสุย เรียนรู้วัฒนธรรมของแคว้นสุยและแต่งงานมีครอบครัว เมื่อเสียชีวิตลงก็ถูกฝังไว้ที่เมืองหมิงโจว พ่อของข้าได้ย้ายกลับไปที่ปาเก๋อต๋า และนำเรื่องนี้ไปบอกกับศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้นในดินแดนอัศจรรย์แห่งนี้ เมื่อพระศาสดารู้เรื่องนี้เข้าก็พูดว่า ‘ถึงแม้ว่าหนทางการเรียนรู้จะยากลำบากแต่คนเราก็ควรใฝ่หาความรู้อยู่เสมอ’ ประโยคนี้ทำให้พ่อข้ากลายเป็นมุลลาห์เช่นกัน ข้าเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เล็ก ที่ข้าพูดภาษาของพวกเจ้าได้เพราะข้าเรียนรู้จากการถูกแส้เฆี่ยนตีมาตั้งแต่เด็ก 


 


 


ตั้งแต่ที่บรรพบุรุษกลับมาจากแคว้นสุยก็ได้บันทึกขนบธรรมเนียนประเพณีของสถานที่ต่างๆ ดังนั้นข้าจึงได้รู้ว่าที่ไหนที่จะทำให้พวกเราได้ของที่ต้องการ ที่ไหนที่จะสามารถหาเสบียงอาหารได้ เป็นเพราะอัลลอฮ์อวยพรให้ พวกเราจึงได้เดินทางมายังสถานที่ที่พ่อข้าระลึกถึงมาตลอดได้อย่างปลอดภัย พ่อเล่าให้ฟังเยอะแยะมากมาย แต่สิ่งเดียวที่ไม่ได้พูดคือคนที่นี่ไม่เพียงแต่มีคนสง่างาม ขี้ขลาด แล้วยังมีคนป่าเถื่อนน่ากลัวเช่นเจ้า 


 


 


ข้าเพียงแค่จะลักพาตัวผู้หญิงสองสามคนให้แก่คนที่ฉลาดเก่งกล้าอย่างเคาะลีฟะฮ์ผู้ยิ่งใหญ่ แล้วก็เผยแผ่พระประสงค์ของอัลลอฮ์ให้แก่พวกเจ้า สุดท้ายพี่น้องของข้าถูกเจ้าข้าตายจนหมด หลังจากตายไปแล้วก็ยังต้องเป็นอาหารของแร้ง วิญญาณไม่สามารถไปถึงสวรรค์ได้อย่างราบรื่น พวกเขามาเพื่อเผยแผ่ แต่หลังจากตายไปก็ไม่ได้มีความสุขกับหญิงสาวพรหมจรรย์ในสวนดอกไม้ เจ้าจะต้องถูกอัลลอฮ์ลงโทษ” 


 


 


“มุฮัมมัดเสียชีวิตไปยังไม่ถึงสองปี แต่คำสอนของเขากลับเผยแผ่ไปถึงปาเก๋อต๋าแล้ว การเผยแผ่รวดเร็วเช่นนี้ช่างน่าทึ่งเสียจริง เลือดแปดเปื้อนทะเลทราย จึงได้มีตำนานที่กล่าวไว้ว่ามือหนึ่งถือดาบอีกมือหนึ่งถือคัมภีร์อัลกุรอาน หลักธรรมคำสอนที่มีเมตตาไม่อาจปกปิดความโลภในตัวของพวกเจ้า สวนดอกไม้ที่มีนมและน้ำผึ้งช่างไร้สาระสิ้นดี แล้วยังมีสาวบริสุทธิ์เจ็ดสิบสองคน ผู้รับใช้ศาสดาจะมีชีวิตเป็นอมตะ และมีภรรยาที่เป็นสาวพรหมจรรย์ตลอดไป พวกเจ้าจะทำได้อย่างไร 


 


 


คัมภีร์อัลกุรอานยึดมั่นในความจิตใจดีมีเมตตาเป็นรากฐาน แต่เหตุใดใต้ท้องเรือของพวกเจ้าถึงได้มีกลุ่มคนผู้น่าสงสารพวกนั้น พวกเจ้าโยนศพลงทะเลไปแล้วเท่าไหร่ คัมภีร์อัลกุรอานที่เจ้านับถือไม่เห็นเหมือนกับที่ข้ารู้มา” 


 


 


ชาวหูรีบดีดตัวลุกขึ้นมาด้วยความโกรธ ได้ยินอวิ๋นเยี่ยกล้าตั้งคำถามกับหลักคำสอนที่เขาเชื่อมั่น ถึงแม้ว่าจะเหลือแขนอยู่ข้างเดียวแต่ก็พร้อมที่จะแลกหมัดกับอวิ๋นเยี่ย เขาพูดสาปแช่งออกมาไม่หยุด “เจ้าจะต้องถูกก้อนหินตกลงมาจากท้องฟ้าทับตาย เจ้าจะต้องถูกตั๊กแตนนับหมื่นตัวกลืนกิน เจ้าจะถูกฝังใต้ทรายดูดที่ลึกที่สุด ไม่เน่าแล้วก็ไม่ตาย” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยถอยหลังไปหนึ่งก้าว พูดกับเขาว่า “สำหรับคนที่ต้องการใช้อำนาจเหยียบย่ำแผ่นดินของเรา สิ่งที่ต้าถังมอบให้มีเพียงความตายและความเจ็บปวดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สำหรับสวนดวกไม้นั้น พวกเจ้ากลับไปไม่ได้อีกแล้ว ในต้าถัง ทางเลือกเดียวของเจ้าก็คือตกนรก” 


 


 


รู้ในสิ่งที่ตัวเองควรรู้แล้ว อวิ๋นเยี่ยก็กำลังเตรียมตัวจะเดินออกไป ใครจะไปรู้ว่าชาวหูคนนั้นจู่ๆ ก็เกิดบ้าคลั่งขึ้นมา วิ่งเอาหัวชนเหลี่ยมเสาจนหัวตัวเองแทบจะแตกออกเป็นสองซีก ก่อนตายยังคงสวดมนต์ หวังว่าอัลลอฮ์ผู้ทรงอำนาจจะยกโทษให้เขาที่ไปได้ยินคำดูหมิ่นแต่เขากลับไม่สามารถปกป้องพระเจ้าได้ 


 


 


มองดูศพของเขา อวิ๋นเยี่ยชะงักอยู่นาน พลังแห่งความศรัทธาสามารถเอาชนะการกลัวความตายได้ เขารู้ว่ามีเรื่องแบบนี้ แต่ความจริงที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทำให้เขาตกตะลึงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คนเหล่านี้ใช้ชีวิตได้คุ้มค่ามาก อย่างน้อยในวินาทีนี้พวกเขาก็ได้รับความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


ความตายไม่ได้มีผลกระทบต่ออวิ๋นเยี่ยมากนัก แต่พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้เขากังวลเกี่ยวกับการสู้รบทางตะวันตกในภายภาคหน้า หากจำไม่ผิด การโจมตีทางตะวันตกของเกาเซียนจือต้องพบกับความพ่ายแพ้ ถึงแม้ว่าจะมีเหตุผลต่างๆ นานา แต่หลังจากต้าถังที่แข็งแกร่งแพ้ศึกสงครามในครั้งนี้ก็สูญเสียอำนาจการควบคุมดินแดนทางตะวันตกไปจนหมด จำต้องรีบคิดหาวิธีแก้ การที่มุฮัมมัดให้ความมั่นคงทางจิตวิญญาณแก่พวกเขา นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัว 


 


 


ที่คลังแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยสิ่งของผุพังที่เก็บรวบรวมมาจากการสู้รบ แต่ทว่าก็ยังเรียกได้ว่าน่าตื่นตาตื่นใจอยู่ดี ชามเงินอันงดงาม พรมแสนหรูหรา งาช้างสีขาวนวล โมราหลากสี กำยานจำนวนนับไม่ถ้วน สิ่งของชั้นดีเกินกว่าของที่อาลาดินมอบให้แด่อวิ๋นเยี่ย น่าเสียดายที่แม้ตอนตายเขาก็ไม่ยอมพูดชื่อตัวเองออกมา 


 


 


เมื่อเรือแล่นมาถึงเมืองหมิงโจวก็ได้กำจัดสิ่งของผุพังทิ้ง จากนั้นก็แจกจ่ายของให้กับทหารที่ไปทำสงคราม ส่วนทหารที่เฝ้าค่ายก็ได้รับส่วนแบ่งเช่นกัน เพียงแต่ว่าได้จำนวนไม่มากนัก 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)