เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 8 ตอนที่ 41-44
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 41 ข้านั้นเป็นคนบ้า ร้องเพลงหั...
หลี่อันหลานยิ้มและเห็นด้วย จากนั้นจึงหยิบจดหมายบนโต๊ะสองฉบับขึ้นมาแล้วพูดว่า “ในเมื่อมีภารกิจที่สำคัญรออยู่ เหตุใดท่านถึงยังมัวพูดเรื่องครอบครัว ในช่วงสงคราม แม่ทัพที่มีชื่อเสียงอย่างจ้าวเซอได้รับมอบหมายหน้าที่ทุกครั้ง เขาไม่มีทางพูดถึงเรื่องครอบครัวแน่ เจ้าควรจะเรียนรู้จากเขาบ้างนะ”
อวิ๋นเยี่ยพยักหน้า ยอมรับฟังความคิดเห็น จากนั้นก็ดันหลี่อันหลานออกไปนอกประตูแล้วพูดกับนางว่า “เราสองคนพ่อลูกต้องศึกษาเส้นทางของกองทัพ นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ข้าไม่อนุญาตให้เจ้ามาเจอข้า อีกสิบปีข้าและเจ้าถึงจะได้เจอกันอีกครั้ง”
พูดเสร็จก็ปิดประตู หลี่อันหลานเตะประตูอยู่ข้างนอกสองสามครั้ง เห็นว่าไม่มีใครเปิดประตูให้นางจึงเดินจากไป
“ลูกชาย พ่อไม่ชอบผู้หญิงที่ชอบบงการเช่นนี้ วันนี้ข้ากลายเป็นจ้าวเซอ วันข้างหน้าเจ้าอาจจะกลายเป็นจ้าวคั่ว เรื่องของผู้ชายจะเป็นการไม่ดีหากผู้หญิงเข้ามายุ่มย่าม สำหรับข้า นี่คือบทเรียนที่เจ็บปวด เมื่อนึกถึงก็รู้สึกเสียใจไปถึงสามชาติ เจ้าต้องเชื่อฟังคำสอนของข้า เมื่อโตขึ้นข้าจะไม่ยอมให้เจ้าไปยืนหลบหลังของผู้หญิงอย่างไร้ประโยชน์เด็ดขาด”
เด็กน้อยส่งเสียงร้องตอบรับอวิ๋นเยี่ย อ้าปากกว้างจนน้ำลายไหลออกมาไม่หยุด
หลี่ซื่อหมินเคยเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงได้กลายเป็นคนแข็งแกร่งเช่นนี้ขึ้นมา หลายปีมานี้เขาไม่เคยแพ้ศึกสงครามเลย โจมตีที่เมืองไหนก็ไม่มีใครกล้าแข็งข้อ คนๆ เดียวที่สามารถทำเขาเสียหน้าได้อย่างข่านเจี๋ยลี่ ตอนนี้ก็มีชีวิตอย่างตายทั้งเป็นในวัดหงหลู เมื่อฮ่องเต้นึกถึงเขาทีไร เขาก็จะถูกลากออกมาทำการแสดงเต้นรำให้ขุนนางต้าถังดู ครั้งที่แล้วได้ยินเฉิงฉู่มั่วบอกว่าที่เอวของเขาถูกผูกด้วยกลองทั้งด้านหน้าและด้านหลัง บนหัวปักด้วยดอกไม้สีแดง ร้องเพลงและเต้นรำในงานเฉลิมฉลอง ท่าทางการร่ายรำงดงาม เหนือกว่าทุกการแสดงในราชสำนัก หลี่ซื่อหมินให้รางวัลเขาเป็นพิเศษด้วยทองหนึ่งร้อยชั่ง อนุญาตให้เขาออกไปเดินเล่นเยี่ยมชมเมืองฉางอันได้ทุกปี แต่ให้เวลาเพียงสามชั่วโมง
หลี่ซื่อหมินประเมินความแข็งแกร่งของตัวเองมากเกินไป ไม่มีทาง เขาคือคนที่ปลอมเป็นหมูเพื่อมาสยบเสือ ทุกครั้งที่หลี่ซื่อหมินแกล้งทำเป็นโง่ อวิ๋นเยี่ยก็รู้แล้วว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากชัยชนะแล้ว ครั้งนี้เขาต้องการจะทำอะไร?
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้กังวลเรื่องการขนส่งเสบียง เพียงแค่ล่องไปตามทิศทางลมก็พอแล้ว ลมแรงขนาดนี้นั้นสามารถหอบตัวเองไปส่งยังคาบสมุทรเหลียวตงได้ และจะไม่มีพายุใหญ่ในช่วงนี้ นี่คือของขวัญจากสวรรค์ ขอเพียงแค่เรือไม่รั่ว ล่มลงไปเอง ก็จะไม่มีอันตรายอะไร แต่ว่าเขาวาดแผนที่ทางทะเลไม่เป็น การเดินทางครั้งนี้สำคัญมาก ต้องทำเครื่องหมายตามแนวปะการังเป็นจุดๆ ในการเดินทางทางน้ำจะต้องให้ความใส่ใจกับสภาพทางอุทกวิทยา จำเป็นต้องมีการสำรวจเชิงกลยุทธ์ในพื้นที่บางแห่ง จะต้องส่งคนไปวัดความลึกในบริเวณพื้นที่ที่สามารถเปิดเป็นท่าเรือได้
เรือลำข้างหน้าที่ใช้ในการเบิกเส้นทางนั้นถือว่าอันตราย แต่ว่าหากไปหาคนอย่างตงอวี๋มาช่วยดูแลก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร พวกเขาชอบเวลาเรือล่ม ตงอวี๋มักจะพูดให้หลิวจิ้นเป่าฟังว่าหากเรือล่ม เขาจะพาท่านโหวขึ้นฝั่งได้อย่างแน่นอน ระยะทางในทะเลยี่สิบสามสิบลี่นั้นไม่ใช่ปัญหาอะไร เจ้าบ้านี่ พูดแบบนั้นไม่ใช่ว่าอยากเห็นข้าจมน้ำหรืออย่างไร อยู่กลางทะเลเช่นนี้ยังจะพูดเรื่องเรือล่ม อัปมงคลจริง
ความอบอุ่นจากในอ้อมแขนทำให้อวิ๋นเยี่ยตื่นจากความคิด ลูกชายนอนหลับไปในอ้อมแขนของตัวเองแล้ว นกเขาน้อยปล่อยน้ำพุ่งออกมา ไม่กล้ารบกวนลูก รอให้ลูกฉี่เสร็จแล้วจึงวางลูกไว้บนโต๊ะแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้
สมกับที่เป็นลูกข้า ขนาดฉี่ยังฉี่อย่างมีทิศทาง ไม่เลอะเสื้อผ้าของตัวเองแม้แต่นิด แต่กระเด็นมาโดนเป้ากางเกงพ่อจนเปียกเป็นวงกว้าง อย่างกับว่าตัวเองนั้นฉี่ใส่กางเกงซะอย่างนั้น
“ฉลาดมากลูกพ่อ วันหลังจะทำอะไรก็ต้องฉลาดเช่นนี้ นี่สิจึงจะเป็นมาตรฐานกลยุทธ์ของคนชั้นสูง”
เรียกให้หลี่อันหลานเข้ามา แต่ไม่มีคนตอบรับ จึงได้ไปหาที่ห้องโถงด้านหน้า พึ่งจะผ่านพ้นประตูมา ก็ได้ยินเสียงประจบสอพอของหลิวฝูลู่
“องค์หญิง ตอนนี้ในหลิ่งหนานล้วนถูกท่านโหวกวาดล้างไปจนเกลี้ยง ที่จริงนี่เป็นโอกาสที่ดีในการปฏิวัติ เทพภูเขาตีกลองกำจัดคนเกเรไปหมดแล้ว ตอนนี้ท่านแค่ต้องส่งทหารไปห้าร้อยนาย ส่วนที่เหลืออีกห้าร้อยนายเหลือไว้คอยรับใช้ มอบให้ข้าเป็นคนควบคุม ข้าขอรับรอง ไม่เกินสามปีดินแดนเหลียวจะต้องถูกปฏิวัติจนเจริญรุ่งเรืองเป็นแน่ เช่นนั้นท่านก็ไว้ใจได้ เมื่อถึงเวลาท่านก็จะมีเวลากลับไปอยู่ที่ฉางอัน จะอยู่ถึงปีครึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร”
“เฮ้อ ข้าก็เป็นแค่ผู้หญิง ไม่เหมือนผู้ชายอย่างพวกเจ้าที่สามารถทำการใหญ่ได้ ข้าต้องการเพียงแค่ปกครองแผ่นดินให้เจริญรุ่งเรืองและสงบสุข เพื่อในอนาคตจะได้มอบให้แก่ลูกชาย แค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว”
ผู้หญิงคนนี้จะแสร้งทำเป็นน่าสงสารทุกครั้งเมื่อมีโอกาส ถึงแม้ว่าทำแบบนี้จะทำให้พวกหลิวฝูลู่จงรักภักดีต่อตัวเอง แต่ว่ามันทำให้ตัวเองดูไม่มีหน้ามีตา
อวิ๋นเยี่ยโมโหมาก ลืมไปว่ากางเกงของตัวเองนั้นยังเปียกอยู่ อุ้มลูกน้อยเดินเข้าไปพูดกับหลิวฝูลู่ว่า “ปกครองหลิ่งหนานให้ดีเช่นนั้นหรือ? หากกลายเป็นการกบฏขึ้นมา ไม่แน่หากกลับไปเมืองกวนจง ชาวกวนจงก็จะไม่ให้เข้าเมือง ทำแบบนี้ต่อไปมีแต่จะทำให้พวกเจ้าต้องขุดหลุมฝังตัวเอง หากทำให้ดินแดงแห่งนี้ต้องเสียหาย ข้าจะส่งเจ้าไปเป็นเพื่อนกับหมีตาบอดในป่าลึก”
พวกขุนนางที่มีโทษติดตัวสิบกว่าคนโค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน ด้วยอำนาจของท่านโหวทำให้ทุกคนต้องเดินออกจากห้องโถงอย่างตัวสั่นเหมือนลูกนกกระทา
“ตายจริง ท่านโหวที่ฉี่รดกางเกงดูมีอำนาจบารมีมากเลย ครั้งนี้ข้านับว่าได้เห็นบารมีของท่านแล้ว เพียงแต่ว่าท่านช่วยเปลี่ยนกางเกงก่อนไม่ได้หรือ มาอบรมลูกน้องทั้งแบบนี้จะดูสูญเสียความสง่างามเอาได้”
“สภาพอากาศในหลิ่งหนานร้อนและแห้งแล้งทำให้คนรู้สึกหงุดหงิด ข้าจึงต้องการฉี่ของเด็กน้อยเพื่อคลายความร้อน ลูกของข้าเห็นข้ารีบร้อนจึงฉี่ใส่ข้าเพื่อให้ข้าคลายความกังวล เรื่องก็เป็นเช่นนี้ มีอะไรไม่เหมาะสม แต่เจ้าเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว มาพบปะกับพวกคนเหล่านี้ที่ห้องโถง ไม่มีผู้อาวุโสอยู่ด้วย และยังไม่มีคนรับใช้คอยติดตาม ผิดจารีตของหญิงที่แต่งงานแล้ว เหตุใดจึงกล้าทำเช่นนี้”
หลี่อันหลานได้ยินก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าถูกจับได้เสียแล้ว ท่านพี่คิดจะทำเช่นไร หากข้าเข้าไปในบ้านของตระกูลอวิ๋น อาจทำให้ท่านต้องเป็นกังวล หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นข้ามีนิสัยเอาแต่ใจ ตอนนี้คนที่เป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลอวิ๋นควรจะเป็นข้า และหรงเอ๋อร์ก็จะเป็นที่รู้จักกันดีในนามของนายน้อยตระกูลอวิ๋น ส่วนซินเย่วอย่างมากก็เป็นได้แค่ภรรยารอง มีหรือจะกล้าขึ้นเสียงกับข้า หรือว่าพรุ่งนี้ข้าจะเขียนฎีกาถึงท่านพ่อ แต่งงานใหม่กับท่านอีกครั้งดีหรือไม่ ท่านเป็นคนพรากความบริสุทธิ์ของข้าไป แต่งกับข้า อย่างไรท่านก็ไม่เสียเปรียบ”
อวิ๋นเยี่ยเขี่ยจมูกเบาๆ บอกให้ตัวเองอย่าไปสนใจ อธิบายอย่างไรนางก็คงไม่เข้าใจ ผู้หญิงที่ใสซื่อมักจะคิดว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบ ไม่รู้ทฤษฎีนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่อย่างไรก็คิดว่าผู้ชายไม่มีเหตุผล คนอย่างข้าไม่ถือสาผู้หญิงหรอก สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินหลบไปจะดีกว่า
“ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดเลย ท่านจะหนีไปไหน มีที่ไหน ท่านโหวของหลิ่งหนานที่ทั้งตัวมีแต่กลิ่นฉี่” ตอนนี้หลี่อันหลานรู้แล้วว่าเรื่องนี้ควรพูดได้แค่ไหน เห็นอวิ๋นเยี่ยกำลังจะเดินหนีไปก็รู้สึกเจ็บปวด แต่กลับไม่แสดงออกบนใบหน้า สองปีแห่งความทรมานทำให้ผู้หญิงที่มีความหยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนแอ
เขาพาวั่งไฉออกมาจากคอกม้า เจ้านี่วันๆ ช่วงนี้ไม่ไปไหน ทั้งวันเอาแต่เดินไปมาบริเวณรอบๆ คอกม้าตัวเมีย อวิ๋นเยี่ยบอกกับคนเลี้ยงม้าไว้แล้วว่าไม่อนุญาตให้วั่งไฉเข้าใกล้ม้าตัวเมีย ม้าทางตอนใต้นั้นมีลำตัวขนาดเล็ก เพื่อลูกหลานของวั่งไฉ ต้องให้มันอดทนอีกสักหน่อย ฤดูติดสัตว์ของม้าอย่างมากก็แค่หนึ่งเดือน อดทนอีกสักหน่อยก็ผ่านไปได้แล้ว
พึ่งจะเดินออกมาได้สักพักก็ได้ยินเสียงใครบางคนยืนอยู่บนราวบันไดของหอชุ่ยเฟิ่งโหลว ตะโกนร้องเสียงดังว่า “ข้านั้นเป็นคนบ้า ร้องเพลงหัวเราะเยาะขงจื๊อ” ได้ยินประโยชน์นี้อวิ๋นเยี่ยแทบจะงงไปหมด เลือดเริ่มสูบฉีดขึ้นสมอง ไม่คิดว่าจะได้เจอหลี่ไป่ที่นี่ โชคดีจริงๆ
พาวั่งไฉเดินเข้าไปในหอชุ่ยเฟิ่งโหลว เตรียมตัวเข้าไปคำนับคนที่เป็นต้นแบบในดวงใจ เหลาเป่าจึเห็นผู้ชายสามคนและม้าหนึ่งตัวเดินเข้ามา ก็รีบไปต้อนรับ แต่กลับถูกแขนของหลิวจิ้นเป่ากันออกไป ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ผู้ชายที่ท่องบทกวีเมื่อครู่คือใคร ไปเรียกเขามา นายท่านของข้าต้องการเจอเขา”
เหลาเป่าจึมีความเป็นมืออาชีพสูง ถึงจะถูกผลักออกไปแต่ก็ไม่แสดงอาการโกรธ หัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านกำลังถามหาเซี่ยวชังเซิงหรือ เขาไม่มีเงินคิดจะเบี้ยวเงินแล้วหลบหนีไป แต่ถูกฮวาเหนียงลากกลับมา ท่านเป็นเพื่อนของเขาหรือ” เหลาเป่าจึถามกลับ ในเมื่ออวิ๋นเยี่ยไม่สนใจเขา ตงอวี๋ก็พูดไม่เป็น เช่นนั้นจึงต้องถามหลิวจิ้นเป่า
“พาเขาออกมา ข้ามีเรื่องจะถามเขา” อวิ๋นเยี่ยนั่งลงบนเบาะนุ่นๆ แล้วหยิบขนมบนโต๊ะป้อนให้วั่งไฉ
หลิวจิ้นเป่าผู้ยิ่งใหญ่ เหล่าเป่าจึนั้นรู้จักดี เมื่อเจอเขาก็ทำได้เพียงแค่ยืนหลบอยู่ข้างหลังเด็กหนุ่ม รู้ทันทีว่าควรทำอย่างไร
“ฮวาเหนียง เอาผู้ชายของเจ้าลงมา มีแขกต้องการเจอเซี่ยวชังเซิง เร็วๆ หน่อย” พอพูดเสร็จนางก็รู้สึกแปลกๆ มาถึงหอนางโลมไม่ต้องการเจอสาวงาม แต่กลับรีบร้อนจะเจอผู้ชาย หลายปีมานี้ไม่เคยเห็นคนแบบนี้มาก่อน
มะปรางของหอนางโลมมีรสชาติไม่เลวเลยทีเดียว สีเหลืองอร่ามใครเห็นก็ชอบ อวิ๋นเยี่ยหยิบขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วโยนเข้าปากเคี้ยวช้าๆ เพื่อรอเซี่ยวชังเซิงออกมา อยากจะรู้ว่าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงท่องบทกวีของหลี่ไป่ได้ ความสามารถนี้มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่มี หรือว่าที่มาของเด็กคนนี้ก็คลุมเครือเช่นกัน?
หญิงอ้วนสวมใส่ชุดแพรแบกคนเมาที่ใส่ชุดสีครามเดินลงมาจากบันได เดินเข้ามาแล้ววางผู้ชายคนนั้นลงบนเบาะนั่งแล้วพูดว่า “นายท่าน เซี่ยวชังเซิงเป็นเพียงศิษย์ที่ฐานะต้อยต่ำ อาจจะปากเสียอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่กล้าทำให้นายท่านต้องขุ่นเคือง”
อวิ๋นเยี่ยไม่พูดอะไร หันไปพูดกับตงอวี๋ว่า “ทำให้เขาตื่น”
ตงอวี๋ยิ้มแล้วเดินออกประตูใหญ่ไป แขนทั้งสองข้างยกโอ่งเก็บน้ำฝนที่มีน้ำอยู่เต็มโอ่งขึ้น จากนั้นเอาเข้ามา วางโอ่งน้ำฝนไว้บนพื้น วิธีการทำให้เขาตื่นก็คือดึงเซี่ยวชังเซิงขึ้นมาแล้วจับหัวเขากดลงไปในโอ่ง หัวยังไม่ทันจมลงไปเขาก็สำลักน้ำเสียแล้ว
ฮวาเหนียงรีบร้อนจะเข้าไปช่วยเซี่ยวชังเซิง แต่ว่าถูกแขนของตงอวี๋กันออกไป ฮวาเหนียงจึงได้งับแขนของเขา
ตงอวี๋ขมวดคิ้ว สะบัดแขนออก ผลักฮวาเหนียงกระเด็นออกไปชนกับชั้นวางดอกไม้ ถูกชั้นวางดอกไม้ล้มทับก็ร้องไห้กองอยู่กับพื้น
“หยุด…เดี๋ยวนี้ มีเรื่องอะไร ก็มาลงที่ข้า สุภาพบุรุษอะไรรังแกผู้หญิง”
เซี่ยวชังเซิงเกาะอยู่ขอบโอ่ง ลูบน้ำบนใบหน้า พูดอย่างติดๆ ขัดๆ
อวิ๋นเยี่ยคายมะปรางทิ้ง ผลไม้ชนิดนี้กินมากจะทำให้ปากมีรสขม เช็ดมือแล้วนั่งลงถามเซี่ยวชังเซิงว่า “ได้ยินบทกวีนั้นมาจากที่ไหน”
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 42 คู่รักอลวน
เซี่ยวชังเซิงหาวอย่างขี้เกียจแล้วพูดว่า “นี่เป็นบทกลอนที่ข้าอ่านจากหนังสือของห้าตระกูลในหลิ่งหนาน มีความโดดเด่นและสนุกสนาน เพียงแต่ว่าตัวอักษรบนโลกใบนี้มองดูแล้วน่าเบื่อ ดูประหลาด อย่างเช่นประโยคที่ว่า ‘ข้าเป็นคนบ้าที่ร้องเพลงเยาะเย้ยขงจื๊อ’ เจ้าเองก็เป็นคนมีการศึกษา เจ้าคิดว่าเป็นเช่นไร”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็คิดว่าหากเขาเป็นคนแต่งประโยคนี้ขึ้นมาเองสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก หลี่ไป่ได้เขียนประโยคนี้ในบทกลอน ‘ท่องเขาหลูซาน’ ใครพูดประโยคนี้ออกมาก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก ยกเว้นคนหลอกลวงที่อยู่ตรงหน้านี้ อวิ๋นเยี่ยยิ้มแล้วกลับไปนั่งบนเบาะ พร้อมกับป้อนขนมอีกชามให้กับวั่งไฉ
ตงอวี๋ยิ้มแล้วเอามือคว้าผมของเซี่ยวชังเซิงไว้เตรียมจะกรอกน้ำใส่ปากเขา ไอ้เจ้านี่ยังดูไม่ออกว่าตัวเองอยู่ในสถานะอะไร จนถึงตอนนี้ยังจะกล้าหลอกท่านโหวอีก นี่เป็นสิ่งที่ตงอวี๋ทนไม่ได้ ตั้งแต่เขาติดตามอวิ๋นเยี่ยมา ก็มีอาหารให้กิน มีเสื้อผ้าให้ใส่ แล้วตัวเองก็ยังพอหาเงินเก็บได้บ้าง เมื่อกลับไปที่ซานตงก็จะเอาเงินให้ภรรยาไว้เลี้ยงลูก เขาพร้อมที่จะติดตามอวิ๋นเยี่ย เพราะดูแล้วว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นเจ้านายที่ดี
เมื่อก่อนที่ไม่ชอบพวกขุนนางก็เพราะว่าตัวเองมักจะถูกกดขี่ข่มเหง แต่ตอนนี้สถานะของตัวเองดีกว่าเดิมตั้งสองเท่าก็เลยเลือกที่จะลืมเรื่องความยากลำบากทั้งหมดไป ร่วมมือกับพวกคนพาลพวกนั้นอย่างไร้จิตสำนึก และยังโหดร้ายยิ่งกว่าขุนนางพวกนั้น หากลงมือแล้วจะไม่มีคำว่าเมตตา นี่คือความจริงที่น่าเศร้า
เซี่ยวชังเซิงกำลังจะอ้าปาก แต่ตงอวี๋กลับกดหัวเขาลงไปในน้ำไม่ให้โอกาสเขาได้พูด มือของเขาทั้งสองข้างจับปากโอ่งไว้แน่น พยายามจะดันตัวลุกขึ้นมาแต่กลับไม่ได้ผล
ฮวาเหนียงเริ่มร้องไห้อีกครั้ง นางคิดว่าเซี่ยวชังเซิงถูกกดน้ำจนตายไปแล้ว
เมื่อเซี่ยวชังเซิงถูกหิ้วตัวขึ้นมาอีกครั้งเขาก็สลบไปแล้ว ตงอวี๋โยนเขาลงกับพื้นแล้วเหยียบบนท้องของเขาพร้อมกับถ่มน้ำลายออกมา…
“ต้าถังไม่มีผู้นำคนไหนที่มีอำนาจแต่ไร้ชื่อเสียง และไม่มีสามัญชนคนไหนที่จะมายิ่งผยองกับคนชั้นสูงได้ ในเมื่อเจ้าท่องกลอนล่อให้ข้ามาที่นี่ คาดว่าเจ้าคงจะมั่นใจในความสามารถของตัวเอง กลอนประโยคนั้นดึงดูดความสนใจของข้าได้ ถือว่าเจ้าทำสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ขอเพียงแค่เจ้ากล้าแสดงออกเหมือนกับที่เจ้ากล้าท่องกลอนเมื่อครู่ ข้าก็ไม่ลังเลที่จะแนะนำเจ้าต่อราชสำนัก”
เซี่ยวชังเซิงพลิกตัวอยู่บนพื้นอย่างยากลำบาก กองอยู่กับพื้นอย่างหมดสภาพ
“กลอนประโยคนั้นสลักอยู่บนหน้าผาของเขากงซิ่วซานที่เยว่โจว พวกชาวบ้านไม่รู้ว่าคืออะไร หลังจากที่ข้าได้เห็นมันจึงบอกทุกคนว่าข้าเป็นคนทำขึ้นมา อวิ๋นโหว ข้าเพียงแค่ยืมบทกวีประโยคนี้เพื่อหาโอกาสในหน้าที่การงาน ในเมื่อท่านมองออกแล้ว เหตุใดต้องทำให้ข้าอับอายถึงเพียงนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็สบายใจ เพราะว่าเวลาที่คนสมัยก่อนไม่มีอะไรทำก็มักจะไปแกะสลักข้อความลงบนหิน ตอนนั้นวรรณกรรมของแคว้นฉู่นั้นเป็นที่นิยม ไม่ได้สนใจในลัทธิของขงจื๊อมากนัก พวกเขาปลดปล่อยความมีเสน่ห์ไว้ในภูเขาและแม่น้ำ การที่พวกเขาจะทิ้งประโยคดีๆ ไว้บนก้อนหินก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“เซี่ยวชังเซิง เจ้าอย่าโทษที่ข้าลงไม้ลงมือกับเจ้า สาเหตุก็เพราะว่าเจ้าสมควรโดนจริงๆ ชื่อของเจ้าเพียงแค่คนได้ยินก็อยากจะต่อยเจ้าแล้ว วันๆ เจ้าไม่ทำการทำงานเอาแต่เดินเที่ยวอยู่ในหอนางโลมทั้งวัน ได้ยินเหลาเป่าจึบอกว่าเจ้ายังต้องให้คนรักของเจ้าคอยเลี้ยงดูเจ้า เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ ผู้ชายที่แม้แต่ตัวเองก็ยังเลี้ยงดูไม่ได้ เจ้าคิดว่าต้าถังจะอยากได้เจ้าไปทำไม
ตัดตอนเอาบทความมาใช้ อ่านหนังสือตลอดชีวิต อยู่แต่กับกองหนังสือไม่สนใจโลกภายนอก ใช้ทักษะความรู้หลอกลวงคนอื่นไปทั่ว ถือเป็นการดูหมิ่นคนอื่น เซี่ยวชังเซิงในเมื่อเจ้าเลือกที่จะใช้วิธีนี้เจ้าก็ต้องเตรียมพร้อมรับความอับอาย คิดจะใช้กลอนประโยคเดียวเพื่อให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เจ้าฝันไปเถอะ”
เซี่ยวชังเซิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สองเดือนมานี้เขาคอยวนเวียนอยู่ที่หน้าจวนองค์หญิงทุกวัน เพื่อที่จะหาโอกาสแนะนำตัวเองกับท่านโหวที่มาจากเมืองหลวง หวังว่าจะยืมอำนาจของเขาพาตัวเองออกจากดินแดนทุรกันดารอย่างหลิ่งหนาน เคยได้ยินว่าคนตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองฉางอันชอบบทความของจวนหัวเป็นที่สุด ประโยคที่เขียนถึงความอันตรายและดูแปลกใหม่ล้วนเป็นที่นิยมชื่นชอบ บางคนอาศัยกวีเพียงประโยคเดียวก็สามารถเลื่อนขั้นในหน้าที่การงานได้ วันๆ เอาแต่เฉลิมฉลอง ตัวเองเจอกลอนประโยคนี้โดยบังเอิญ คิดว่าพระเจ้ากำลังอวยพรให้ ใครจะไปรู้ว่าการพูดประโยคนี้ออกมาผลกลับไม่เหมือนกับที่ตัวเองจินตนาการไว้เลย มีแต่คำดูถูก
เดิมทีตัวเองเป็นลูกชายของชาวประมง ไม่ชอบอาชีพการงานของบรรพบุรุษ จึงหวังจะอาศัยการจำอักษรไม่กี่คำมาทำให้ชีวิตดีขึ้นกว่าเดิม แต่ที่แท้ทุกอย่างก็เป็นแค่ฝันกลางวัน
“อวิ๋นโหว เซี่ยวชังเซิงเข้าใจแล้ว แต่เดิมข้าเป็นลูกชาวประมง มีความใฝ่ฝันที่จะก้าวไปให้สูงกว่านี้ หากข้าทำอะไรผิดไปก็ขอให้ท่านอภัยให้ข้าด้วยเถิด ข้าจะกลับบ้านไปหากองทัพเดินเรือ วาดแผนที่ทะเลเพื่อหาเงินมาไถ่ตัวให้กับฮวาเหนียง สองสามวันที่ผ่านมานี้หากไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้ช่วยข้าเอาไว้ ไม่แน่ข้าอาจจะตายไปแล้ว ที่นางโวยวายไปเมื่อครูก็ขอให้ท่านโหวอภัยให้นางด้วย อย่าถือสาเอาความกับผู้หญิงเต้นกินรำกินเลย หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไปมันจะไม่ดีต่อชื่อเสียงของท่านโหว”
เมื่อคนคนหนึ่งกลับมาเป็นตัวเอง มันทำให้มองเห็นภาพลักษณ์ที่ชัดเจน ดูไม่จอมปลอม ไม่ดูอวดรู้ มีเพียงแค่ความซื่อตรง ดังนั้นตงอวี๋จึงได้ปล่อยเขาไป มองดูเขาดันตัวเองออกมาจากโอ่งเนื้อตัวเปียกชุ่มไปหมด แล้วยกชั้นวางของขึ้น ตามด้วยช่วยฮวาเหนียงลุกขึ้นมา
“ฮวาเหนียง ข้าจะจดจำบุญคุณของเจ้า รอให้ค่าตั้งเนื้อตั้งตัวได้แล้วข้าจะตอบแทนเจ้าเป็นร้อยเท่า แต่ตอนนี้ข้าล้มเหลว ข้าไม่ได้ทำได้ทุกอย่างอย่างเจ้าคิด ต่อไปข้าก็อาจจะยังเป็นคนจนคนหนึ่ง หากเจ้าไม่รังเกียจข้าจะหาเงินมาไถ่ตัวให้เจ้า ชาตินี้เราสองคนใช้ชีวิตร่วมกันเถอะ”
ฮวาเหนียงร้องไห้สะอึกสะอื้น พวกผู้หญิงชั้นสองที่มองดูเหตุการณ์อยู่ก็น้ำตาไหล แม้แต่เหลาเป่าจึก็เช็ดน้ำตาไม่หยุด หลิวจิ้นเป่าเผลอยิ้มออกมา ตงอวี๋ก็กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เรื่องราวดีๆ ใครๆ ก็ชอบกันทั้งนั้น แม้ว่าตอนจบของการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างมีความสุขจะไม่เป็นที่น่าพึงพอใจมากนัก เซี่ยวชังเซิงไม่ได้มีชุดแพรสวยงามมาสู่ขอฮวาเหนียง แต่ว่าความรักของชายผู้มีฐานะต่ำต้อยคนนี้ทำให้คนอื่นรู้สึกประทับใจ ในตอนนี้มีใครบ้างที่จะไม่ยกย่องว่าเซี่ยวชังเซิงเป็นผู้ชายที่เชื่อมั่นในความรัก
มีเพียงอวิ๋นเยี่ยเท่านั้นที่รู้สึกโมโห เขาบอกกับตงอวี๋ว่า “จัดการไอ้หมอนี้อีกสักที น่าโมโหยิ่งนัก”
ตงอวี๋มองท่านโหวด้วยความลำบากใจ เห็นท่านโหวโมโหจนแทบจะลุกเป็นไฟก็ทนไม่ได้จึงรีบวิ่งออกไปดึงเซี่ยวชังเซิงไว้แล้วต่อยเข้าที่ท้องของเขา แต่เห็นว่าเขาน่าสงสารจึงได้ยั้งมือไว้ไม่ได้ใส่เต็มแรง แต่แค่นี้เซี่ยวชังเซิงก็ตัวงอเป็นกุ้งแล้ว ฮวาเหนียงพุ่งเข้ามาด้วยความโมโห นางส่งเสียงร้องกรี๊ดออกมา อ้าปากกำลังจะกัดตงอวี๋ แต่กลับถูกหลิวจิ้นเป่าดึงคอเสื้อเอาไว้
บรรยากาศในหอนางโลมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อกี้ผู้คนที่เฝ้าดูสถานการณ์ยังมีรอยยิ้ม แต่ตอนนี้กลับยิ้มกันไม่ออก เหลาเป่าจึอยากจะออกโรงอยู่หลายครั้งแต่ก็ถูกองครักษ์ห้ามไว้ ทำได้เพียงแค่มองอวิ๋นเยี่ยเหมือนกับนางโลมคนอื่นๆ และแขกคนอื่นๆ ในหอนางโลม ทำให้อวิ๋นเยี่ยนึกถึงภาพยนตร์ในยุคหลังที่คนคนหนึ่งถูกฝูงชนล้อเลียนหลังจากที่เขาทำชั่ว เพียงแต่ว่าครั้งนี้ไม่มีอัศวินผู้ชอบธรรมปรากฏตัวขึ้นมา มีก็แต่คนดูถูก คนไร้ประโยชน์ คนโมโหโกรธแค้น และคนขี้ขลาด
รู้อยู่แล้วว่าต้องจบเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ เตะก้นของเซี่ยวชังเซิงไปสองสามที จากนั้นให้ตงอวี๋พยุงเขาขึ้นมามองหน้าตัวเอง
“สารเลว เจ้าทำให้ท่านโหวอย่างข้ากลายเป็นคนชั่วในพริบตา เดี๋ยวก็ดื้อรั้นไม่ฟังใคร เดี๋ยวก็อ่อนโยนราวกับสายน้ำ เพื่อที่จะเสนอตัวเองให้กับราชสำนัก เจ้าก็ทำได้ทุกอย่างโดยไม่มีความละอายใจ ผู้หญิงที่น่าสงสารเช่นนี้เจ้าก็ยังหลอกใช้ประโยชน์จากนาง นางถูกหลอกจนหน้ามืดตามัวแต่ก็ยังคิดที่จะช่วยเจ้า เจ้ามันไม่มีความเป็นคน แสดงต่อหน้าทุกคนว่าเจ้านั้นมีความรักที่แท้จริงมอบให้แก่ผู้หญิงเต้นกินรำกินผู้นี้ แล้วยังทำให้ข้ากลายเป็นคนชั่ว เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่หรือไม่ เพื่อที่จะแก้แค้นข้า เจ้าลงทุนไปไม่น้อยเลยจริงๆ”
ได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้หลิวจิ้นเป่าถึงดึงสติกลับมาได้ ที่แท้ไอ้สารเลวคนนี้กำลังแสดงละคร เสียแรงที่ข้าแอบว่าท่านโหวอยู่ในใจ อยากจะพุ่งเข้าไปอัดไอ้สารเลวนี่ให้เละ เซี่ยวชังเซิงที่ดูทุกข์ร้อนเมื่อกี้กลับดิ้นหลุดออกจากมือขอตงอวี๋ไปได้ เขาวิ่งขึ้นไปบนหอ ยืนอยู่บนจุดที่สูงสุดแล้วพูดว่า “ท่านโหว แผนการของข้าครั้งนี้ถูกท่านมองออกจนได้ ข้าเพียงแค่อยากจะขอทำหน้าที่วาดแผนที่ทะเล ในเมื่อท่านมองออกแล้วเหตุใดไม่ตอบตกลง ข้าเป็นแค่คนผู้น้อย ท่านให้งานนี้แก่ข้าเถิด”
พูดเสร็จก็หันไปมองหลิวจิ้นเป่าและตงอวี๋ที่กำลังวิ่งตามขึ้นมา เซี่ยวชังเซิงตะโกนออกไปว่า “อย่าเข้ามา หากเข้ามาข้าจะกระโดดลงไป”
อวิ๋นเยี่ยโบกมือส่งสัญญาณว่าไม่ต้องบังคับเขา จากนั้นนั่งลงบนเบาะแล้วพูดว่า “เจ้าวาดแผนที่ทะเลได้จริงหรือ”
“ข้าวาดได้จริงๆ ข้าล่องเรือกับชาวหูมาเป็นเวลาสามปี การวาดแผนที่ทะเลไม่ใช่เรื่องยาก ข้ายังพูดภาษาของชาวหูได้อีกด้วย ท่านโหวข้าวาดได้จริงๆ หากไม่เชื่อท่านดูข้าวาดแผนที่ก็รู้แล้ว” พูดเสร็จก็หยิบกระดาษสาออกมาจากเสื้อพร้อมกับทำหน้าตาเศร้าสร้อย
“เจ้าหลอกข้าอีกแล้ว ชาวหูมักจะวาดแผนที่ทะเลลงบนหนังแกะ เจ้าคิดจะเอากระดาษสามาหลอกข้าอย่างนั้นหรือ” อวิ๋นเยี่ยคิดว่าการที่เขาเอาแต่ระแวงชายคนนี้มันเป็นเรื่องสมเหตุสมผลทีเดียว
“ท่านโหว เรื่องอื่นข้ากล้าหลอกท่าน แต่เรื่องแผนที่ทะเลหากวาดผิดอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ข้าไม่มีความกล้าเช่นนั้น กระดาษพวกนี้ข้าทำออกมาด้วยความตั้งใจ ท่านก็เห็นว่าข้ายากจนแค่ไหน จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อหนังแกะ กระดาษพวกนี้เป็นกระดาษที่ฮวาเหนียงแอบฉีกออกมาจากบัญชีของเหลาเป่าจึ”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็สบายใจ ขอเพียงแค่เจ้านี่มีความสามารถพอ เข้าไปในตระกูลอวิ๋นก็ยังค่อยๆ สอนได้ ตอนนี้พวกเหล่าเจียงคงว่างจนพากันเบื่อไปหมดแล้ว
พึ่งจะเงียบสงบลงก็ได้ยินเสียงร้องดังขึ้นมาที่ข้างหูแล้วต่อด้วยเสียงด่าทอ เห็นแต่เหลาเป่าจึท่าทางโมโห ใช้มือตีฮวาเหนียงไม่หยุด
“เจ้านี่มันจริงๆ เลย ตัวเองไปติดผู้ชายข้าก็ไม่ว่าอะไร แต่เจ้ายังกล้ามาฉีกสมุดบัญชีของข้า หากวันนี้ข้าไม่สั่งสอนเจ้า เห็นทีว่าจะไม่มีใครทำตามกฎของหอชุ่ยเฟิ่งโหลวแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยเห็นเซี่ยวชังเซิงเบือนหน้าหนี ทนไม่ได้ที่ต้องเห็นฮวาเหนียงเดือดร้อน จึงพูดกับตัวเองขึ้นมาลอยๆ “ไอ้นี่มันก็ไม่ได้ใจดำอำมหิตอะไร เมื่อครู่ก่อนเจ้าก็แสดงท่าทีทำเป็นรักฮวาเหนียง แล้วเหตุใดข้าจะไม่ส่งเสริมเจ้า เซี่ยวชังเซิง อย่างไรชาตินี้หากเจ้าไม่อยากความรักก็คงไม่ได้”
หลังจากบ่นพึมพำเสร็จ ก็รู้สึกว่าตัวเองคิดอะไรดีๆ ออก แล้วพูดกับเหลาเป่าจึว่า “เหลาเป่า ค่าตัวฮวาเหนียงเท่าไหร่ ข้าจะไถ่ตัวนาง”
เหลาเป่าจึยิ้มหน้าบานทันที ฮวาเหนียงอายุมากแล้ว ไม่มีแขกคนไหนเรียกหานางแล้ว ตอนนี้ท่านโหวต้องการซื้อนาง ถือว่าเป็นเรื่องดี จะได้ขายในราคาที่ดีได้
แววตาอันสดใสของฮวาเหนียงได้หายไปในทันที มองไปหาเซี่ยวชังเซิงที่อยู่ด้านบนด้วยน้ำตาและความสิ้นหวัง หวังว่าเขาจะช่วยขอร้องแทนนาง เซี่ยวชังเซิงอยากจะยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ออก ยื่นมือมากุมมือของฮวาเหนียงไว้แล้วพูดว่า “ฮวาเหนียงจะได้เข้าประตูมังกร นั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดี”
“เหลาเป่าจึ ค่าตัวฮวาเหนียงเท่าไหร่เจ้าก็ไปเก็บที่เถ้าแก่หลิว วันนี้ข้าขอยืมสถานที่แห่งนี้จัดงานมงคล งานต้องยิ่งใหญ่ ต้องมีแขกเหรื่อเยอะแยะมากมาย อาหารต้องอร่อย จะราคาเท่าไหร่ข้าไม่สน เจ้าไปเก็บกับเถ้าแก่หลิวเอง ข้าเพียงแค่อยากให้ฮวาเหนียงและเซี่ยวชังเซิงได้ครองรักกันตลอดไป ห้ามเลิกกันเด็ดขาด!” อวิ๋นเยี่ยกล่าวด้วยถอยคำที่หนักแน่น
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 43 ชาวต้าสือ
แสงอาทิตย์ในตอนเช้ามืดค่อยๆ ปรากฏขึ้น อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นจากที่นอนซึ่งมีหลี่อันหลานนอนอยู่ข้างๆ ทางกองทัพส่งข่าวสารมา ตอนนี้คลื่นทะเลได้ซัดเข้าฝั่งอย่างรุนแรง ลมมรสุมกำลังจะมา เขาไม่อยากนอนขี้เกียจอยู่บนเตียงจึงลุกขึ้นมาตรวจสอบสถานการณ์ของกองทัพเรือ
“นอนอีกหน่อยเถอะ เมื่อวานเจ้าตรวจเอกสารจนดึกดื่น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปสุขภาพของเจ้าจะแย่เอาได้ ตลอดทางเดินเรือมีคลื่นลูกใหญ่ซัดมาไม่หยุด เป็นเช่นนี้เจ้าจะยิ่งเหนื่อยมากกว่าเดิม” หลี่อันหลานขยี้ตาก่อนจะลุกขึ้นนั่งกอดผ้าห่มแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ย
“เรื่องนี้สำคัญมาก จะละเลยไม่ได้น่ะ พ่อของเจ้ากำลังมีเรื่องขัดแย้งกับพวกขุนนางในราชสำนัก ในเวลานี้เขาต้องการสิ่งเหล่านี้มากที่สุด หากส่งถึงฉางอันได้อย่างราบรื่นข้าถึงจะสบายใจ”
“เจ้าไม่ใช่คนที่ขยันขันแข็ง ครั้งนี้เจ้าตั้งใจมากเพราะว่าเขาคือพ่อของข้า หรือว่าเป็นเพราะเขาคือฮ่องเต้กันแน่”
อวิ๋นเยี่ยรู้ว่านางอยากจะถามอะไร เขายิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร จูบที่หน้าผากของหลี่อันหลานเบาๆ จากนั้นก็เอาผ้าห่มมาห่มให้นางแล้วเปิดประตูเดินออกไป ได้ยินหลี่อันหลานพูดรางๆ ว่าคาดหวังให้ลมมรสุมจะไม่เกิดขึ้น
หน้าประตูใหญ่มีคนสองคนยืนอยู่ หญิงหนึ่งชายหนึ่ง ผู้หญิงใบหน้ายิ้มเบิกบาน ส่วนผู้ชายนั้นมีสีหน้าอมทุกข์ คนหนึ่งอ้วนคนหนึ่งผอมดูแล้วช่างน่าขันเสียจริง
“เซี่ยวชังเซิงไปริมทะเลกับข้า ส่วนฮวาเหนียงไปหาจางจูหวน ให้นางจัดที่พักและอาหารให้แก่เจ้า” อวิ๋นเยี่ยพูดออกมาโดยที่ทั้งสองคนยังไม่ทันได้โค้งคำนับ หลิวจิ้นเป่าให้ม้าเซี่ยวชังเซิงไปหนึ่งตัว ส่วนตัวเองก็จูงออกมาจากคอกอีกหนึ่งตัว จากนั้นคนกลุ่มใหญ่ก็พากันควบม้าไปที่ท่าเรือ
ช่วงนี้หงเฉิงกำลังแจกแจงทรัพย์สมบัติ ภายใต้การจัดการที่โหดร้ายทำให้พวกตระกูลที่ไม่อยากส่งมอบทรัพย์สมบัติตอนนี้ยอมบริจาคให้กับประเทศแต่โดยดีแล้ว ทั้งหมดมายืนอยู่ด้วยกันที่ริมทะเล ส่วนพวกทหารก็พากันขนทรัพย์สมบัติขึ้นไปบนเรือมู่หลาน เรือที่ลำใหญ่ที่สุด
ท่าเรือวุ่นวายไปหมด ทหารพากันแบก**บขึ้นเรือไม่หยุดไม่หย่อน เหมือนมดที่กำลังย้ายบ้าน ในบริเวณทะเลลึกมีเรือสำเภาจอดอยู่ห้าสิบหกลำและเรือมู่หลานอีกสิบลำ และเรือโคบุกซอนอีกเล็กน้อย มีไว้เผื่อป้องกันการโจมตีของเรือโจรสลัด
“เหล่าหง เรือบรรจุเต็มหรือยัง” อวิ๋นเยี่ยเดินมาอยู่ข้างหลังหงเฉิงผู้เศร้าสร้อยแล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อวิ๋นโหว เหลืออีกไม่ถึงหนึ่งส่วนก็จะบรรจุเต็มแล้ว คงใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงขอรับ” ตอนนี้หงเฉิงรู้สึกแย่เป็นอย่างมาก
“อวิ๋นโหว การที่เอามีดมาจ่อคอสหายที่เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะทำ”
เขาส่ายหัวอย่างแรง หวังจะเอาเรื่องที่ไม่สบายใจออกจากหัวให้หมด ช่วงนี้หงเฉิงฆ่าคนเยอะ ฆ่าอยู่ทุกวัน แล้วคนพวกนั้นก็เป็นเพื่อนทหารที่ร่วมรบกันในศึกสงครามมาก่อน ถูกเงินทองครอบงำจนหน้ามืดตามัว หกส่วนของทรัพย์สมบัติทั้งหมดต้องเป็นของฮ่องเต้ นี่เป็นมาตรฐานตายตัวห้ามเปลี่ยนแปลงเด็ดขาด พวกทหารเหล่านั้นเพื่อที่จะให้ครอบครัวของพวกเขาได้รับประโยชน์สูงสุดก็พากันขอร้องบ้าง ร้องไห้โวยวายบ้าง ข่มขู่บ้าง หรือติดสินบนบ้างก็มี
หลังจากที่มีคนใช้วิธีพวกนี้ก็ทำให้มีการขัดแย้งเกิดขึ้น ภายในคืนเดียวมิตรภาพก็มหายไป หงเฉิงเป็นคนเด็ดขาด ชิงลงมือควบคุมพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะลงมือ จับกุมหกสิบเจ็ดคนที่ไม่พอใจต่อแผนการแจกจ่ายทรัพย์สมบัติ หลังจากที่ย้ำเตือนหลายๆ รอบไปแล้วแต่คนเหล่านั้นก็ยังคงเฉยเมย ภายใต้การจัดการของอู๋เสอ พวกคนเหล่านั้นทั้งหมดจึงได้รับโทษประหารด้วยวิธีการตัดหัว
“เหล่าหง ก็ถือเสียว่าพวกเขาได้ตายในสนามรบที่หลิ่งหนาน เช่นนี้จึงจะจัดการได้ง่าย เพราะอย่างไรมันก็เป็นข้อเสนอของข้าเองที่ทำให้พวกเขาต้องจบชีวิต ครั้งนี้ก็นำรายได้ส่วนหนึ่งของตระกูลอวิ๋นชดเชยให้กับคนในครอบครัวของเขาซะ ข้าคิดว่าฝ่าบาทก็คงจะเห็นด้วย ทำตามแผนนี้ไปก่อน หากมีปัญหาข้าจะรับผิดชอบเอง”
ในกองทัพเรือทั้งหมดมีเพียงอวิ๋นเยี่ยคนเดียวเท่านั้นที่มีอำนาจในการแจกแจงทรัพย์สมบัติ เขาไม่อนุญาตให้แตะต้องในส่วนของฮ่องเต้ ในช่วงสำคัญที่ฮ่องเต้ต้องเผชิญหน้ากับพวกขุนนาง อำนาจของฮ่องเต้จะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม จะอ่อนแอไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
“ความมีเมตตาของอวิ๋นโหวผุดขึ้นมาอีกแล้ว พวกที่ไม่เคารพราชวงศ์สมควรถูกประหาร ภรรยาและลูกสาวจะต้องถูกส่งมาเป็นทาส บอกให้พวกเขารู้อย่างชัดเจนว่าการต่อสู้ขัดขืนต่อราชวงศ์จะต้องเจอกับอะไร”
อู๋เสอเหมือนผีที่ลอยไปลอยมาได้ จู่ๆ เสียงของเขาก็ดังอยู่ที่ข้างหูของอวิ๋นเยี่ย ทำเอาอวิ๋นเยี่ยเสียวสันหลังไปหมด
“อู๋เสอ คราวหลังช่วยเดินมาแบบให้สุ้มให้เสียงหน่อยได้หรือไม่ โผล่มากะทันหันแบบนี้บ่อยๆ สักวันข้าจะถูกเจ้าทำให้ตกใจตาย ข้าเคยถูกโต้วเยี่ยนซานทำให้ตกใจ แทบจะตั้งตัวไม่ทัน”
“อวิ๋นโหวไม่พอใจที่ข้าฆ่าคนอย่างนั้นหรือ”
“เหลวไหล! เป็นคนต้าถังด้วยกันทั้งนั้น พวกเขาถูกฆ่ามีหรือข้าจะไม่เสียใจ หากเป็นชาวเกาลี่ในแคว้นวอ เจ้าจะฆ่าทิ้งเล่นทุกวัน ข้าก็สนับสนุนเจ้า อู๋เสอข้าอยากจะบอกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ในกองทัพเรือนี้ข้าเป็นผู้บังคับบัญชาการสูงสุด หากไม่มีคำสั่งข้าเจ้าจะฆ่าใครไม่ได้ทั้งนั้น คอยอยู่บนเรือมู่หลานดูแลทรัพย์สมบัติให้ดี แล้วส่งมอบให้กับฝ่าบาทอย่างราบรื่น นี่คือเรื่องที่เจ้าควรทำ”
ได้ฟังคำสอนของอวิ๋นเยี่ย อู๋เสอกลับไม่โกรธเลยสักนิด เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “การมีจิตใจดั่งพระโพธิสัตว์ไม่ใช่คุณสมบัติของการเป็นผู้บังคับบัญชา เมื่อไม่มีจิตใจอำมหิต โหดร้าย ก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะเป็นขุนนางที่ดีได้เช่นไร เกรงว่าแม้แต่ตอนที่เจ้าหายตัวไป ความสำคัญของตระกูลเจ้าที่มีต่อราชวงศ์ก็ไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย ตอนเจ้าไม่อยู่คนในตระกูลเจ้าได้รับความเดือดร้อน ภรรยาของเจ้ากล้าที่จะสวมชุดผู้บังคับบัญชาไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่ที่น่าแปลกก็คือฝ่าบาทกลับไม่รู้สึกแปลกใจอะไรเลย จางเลี่ยงเป็นถึงกั๋วกงยังต้องก้มหัวให้กับภรรยาของเจ้า ข้าไม่กล้าคิดเลยว่าหลังจากที่เจ้ากลับไป จางกั๋วกงจะยังมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่”
“ข้าจะตัดแขนขาของจางเลี่ยงออกให้หมด ทำเป็นเยี่ยงอย่าง”
อู๋เสอหัวเราะจนหายใจแทบไม่ทัน ควงแขนหงเฉิงที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยแล้วพูดว่า “ไม่ว่าคนคนนั้นจะโหดร้ายแค่ไหนแต่เขาก็หวังว่าจะมีเจ้านายที่มีจิตใจเมตตา ข้าน้อยก็เป็นหนึ่งในนั้น คาดว่าอีกหนึ่งปีข้าก็จะต้องออกจากพระราชวัง เมื่อถึงเวลานั้นก็จะย้ายไปอยู่ที่สำนักศึกษา หาลูกศิษย์ที่มีความสามารถสักสองสามคนมาอบรมสั่งสอน ลองใช้ชีวิตเป็นอาจารย์สักครั้ง เรื่องนี้เจ้าเคยรับปากข้าแล้ว อย่าคืนคำล่ะ”
สภาพของหงเฉิงเหมือนคนพึ่งตื่นจากความฝัน เหมือนอู๋เสอกำลังบอกกับเขาว่าอย่างไรคือวิธีการรักษาชีวิตได้ดีที่สุด ครั้งนี้ได้สร้างความขุ่นเคืองให้กับขุนนางมากมาย ไม่ว่าไปที่ใดก็จะต้องพบเจอกับการแก้แค้น มีเพียงอาศัยอยู่ในสำนักศึกษาจึงจะสามารถรักษาเงินทองและชีวิตไว้ได้
มองอู๋เสอด้วยความซาบซึ้งใจ จากนั้นก็หันไปโค้งให้กับอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “อวิ๋นโหวช่วยข้าด้วย!”
“หลังจากที่ข้ากลับไป หลิวเซี่ยนที่เป็นหัวหน้าสถานศึกษา ก็คงจะต้องไปรับตำแหน่งในกองทัพ หากเจ้าเก่งพอที่จะทำให้ฝ่าบาทยอมตกลงให้เจ้ามาอยู่ที่สำนักศึกษาได้ ข้าก็ไม่คัดค้านอะไร”
หงเฉิงและอู๋เสอมองหน้ากันแล้วยิ้ม จากนั้นก็วิ่งไปที่ริมฝั่งทะเลอย่างอารมณ์ดี แล้วตำหนิพวกทหารขี้เกียจเหล่านั้นด้วยเสียงอันดัง
ในมือของหลิวเหรินย่วนถือแผนที่อยู่หนึ่งฉบับ ในปากคาบไข่เยี่ยวม้า เขาแอบเอามันมาจากห้องของอวิ๋นเยี่ย ไม่รู้ว่าตระกูลอวิ๋นเปลี่ยนให้ไข่ไก่ให้มีลักษณะใสเหมือนแก้วได้อย่างไร แต่อย่างไรเสียรสชาติก็ไม่เลวเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะมีรสชาติของปูนขาว เมื่อครู่จึงได้ลองจิ้มจิ๊กโฉ่วกิน ปรากฏว่ารสชาติอร่อยเป็นอย่างมาก
เขาดูแผนที่ในมืออยู่หลายครั้ง รู้สึกนับถือคนเขียนแผนที่เป็นอย่างมาก กล่อง**บลักษณะแบบไหนควรวางไว้ตรงไหน พื้นที่ซ้ายขวาหน้าหลังถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อยทำให้มีพื้นที่ใช้สอยได้มากกว่าที่พวกเขาวางกองกันไว้มั่วๆ ทำให้ประหยัดพื้นที่และเวลาเป็นอย่างมาก สิ่งเหล่านี้ควรจะเรียนรู้ไว้
มีคนโง่คนหนึ่งให้คำแนะนำอวิ๋นเยี่ยว่าควรตอกตะปูเรือทั้งหมดเข้าด้วยกัน ไม้กระดานด้านบนก็จะไม่ถูกพายุซัด เมื่อพูดเสร็จก็ถูกหลิวเหรินย่วนต่อยจนฟันร่วงหมดปาก
หลังจากที่คนอวดฉลาดคนนั้นถูกต่อยแล้วก็ไม่มีใครอธิบายให้เขาฟังว่าทำไมจึงถูกต่อย สุดท้ายก็ไปถามเอากับนักปราชญ์ในกองทัพ นักปราชญ์ตอบเขาว่าโจโฉเคยทำเช่นนี้ สุดท้ายก็ถูกไฟไหม้จนไม่เหลืออะไรเลย ตอนนี้วิธีนี้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามในกองทัพเรือ
เริ่มมีเมฆลอยต่ำปกคลุมท้องฟ้า คลื่นซัดเข้าชายหาดดูสดใส ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะมองอย่างไรก็มองไม่ออกว่าคลื่นวันนี้กับคลื่นของวันก่อนๆ แตกต่างกันอย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเกิดฟองในทะเล
ตงอวี๋พยายามอธิบายให้อวิ๋นเยี่ยเข้าใจ ถึงขั้นตักน้ำในทะเลมาให้อวิ๋นเยี่ยดู แต่น่าเสียดายยิ่งเขาอธิบายอวิ๋นเยี่ยก็ยิ่งสับสน ช่างเถอะ เรื่องพวกนี้ควรมอบให้คนที่เป็นมืออาชีพดูแลจะดีกว่า ตัวเองคอยคุมอยู่ข้างหลังก็พอ
มีเพียงแค่วั่งไฉที่วิ่งตามคลื่นอยู่บนฝั่งอย่างมีความสุข แม้จะเจอเหตุการณ์ไม่ยุติธรรมมามากมายจนต้องเดินคอตก แต่ก็ยังคงมีความสุข วั่งไฉผู้น่าสงสาร มีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้มันได้ปลดปล่อยจิตวิญญาณที่แท้จริง
“ท่านโหว มีชาวหูสองสามคนอยากจะพบท่าน” เซี่ยวชังเซิงที่หายหน้าไปนานได้ปรากฏตัวขึ้นจากฝูงชน พูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยท่าทางประจบประแจง
“พวกเขาต้องการจะทำอะไร หากจะขอติดเรือไปด้วยข้าไม่ตกลง นี่คือกองทัพเรือจะพาคนอื่นนั่งไปด้วยไม่ได้” อวิ๋นเยี่ยรู้สึกรำคาญเรื่องแบบนี้มาก ที่ปากของวั่งไฉมีปูเกาะอยู่ มันร้องด้วยความเจ็บปวด อวิ๋นเยี่ยจึงวุ่นวายอยู่กับการดึงปูออกให้มัน ใครจะมีเวลาไปเจอชาวหู
เซี่ยวชังเซิงตักน้ำจากทะเลเทลงกระดองปูอย่างชำนาญ ทำให้ปูตัวนั้นคลายก้ามออกแล้วตกลงบนพื้น วั่งไฉรีบหนีไปหลบอยู่ไกลๆ จ้องมองปูอย่างหวาดระแวง
“ท่านโหว ชาวหูเหล่านั้นมาจากดินแดนต้าสือสถานที่ที่เรียกว่าปาเก๋อต๋า อยากจะทำธุรกิจกับท่านโหว”
“ให้พวกเขาไสหัวไปตอนนี้ ข้าไม่ขาดแคลนพวกงาช้าง ไข่มุก อัญมณี ปะการัง คริสตัล กำยาน แล้วก็อำพันทะเล ต่อให้เป็นอินทผลัมข้าก็ไม่สนใจ กล้าดีอย่างไรมาหลอกข้า เซี่ยวชังเซิง เจ้าอย่ารับผลประโยชน์จากเขาแล้วรวมหัวกันมาหลอกข้า หากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะต้องตายอย่างอนาถ”
เซี่ยวชังเซิงรีบคุกเข่าลงแล้วพูดเสียงดังว่า “ท่านโหว ข้าน้อยไม่มีความกล้าขนาดนั้น ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้อยากได้สิ่งของเหล่านั้น แต่ถ้าหากเป็นม้าดีล่ะ ม้าศึกทะเลทรายอย่างดี ข้าเห็นว่าม้าทั้งหมดสิบสองตัว ทุกตัวล้วนสูงและแข็งแรง เป็นม้าที่มีลักษณะดีทั้งหมด”
ม้าดีเสียที่ไหนกันล่ะ ม้าในทะเลทรายมักจะมีปัญหาเรื่องการปรับตัวเมื่อไปอยู่ในทุ่งหญ้า ต่อให้เจ้าเอาม้าใหญ่และแข็งแรงมากแค่ไหน แต่ปรับตัวไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์
แต่ว่าพอมองไปยังวั่งไฉผู้น่าสงสาร ทันใดนั้นก็คิดว่าหากจะหาม้าอาหรับตัวเมียให้มันสักตัวก็ถือเป็นเรื่องดี
“บอกกับพวกเขาว่าข้าต้องการแค่ม้าตัวเมียไม่เอาม้าตัวผู้แม้แต่ตัวเดียว” พูดเสร็จก็ปลดคริสตัลรูปกิเลนที่อยู่บนเข็มขัดแล้วโยนให้กับเซี่ยวชังเซิง
เซี่ยวชังเซิงประคองกิเลนอย่างระมัดระวังเดินไปที่เรือของชาวต้าสือที่อยู่ไกลๆ หลิวจิ้นเป่าเดินตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่นานก็จูงม้าวิ่งกลับมาห้าตัวอย่างมีความสุข เซี่ยวชังเซิงถือหมวกตัวเองไว้แล้ววิ่งกลับมาด้วย
“ท่านโหว นี่สิคือม้าชั้นดี ท่านดูที่หัวและขาทั้งสี่ข้าง ขาหลังของมันดูเป็นม้าที่สมบูรณ์แบบ เซี่ยวชังเซิงทำได้ดีมาก เอาเครื่องประดับของท่านไปแลกม้าชั้นดีมาห้าตัว แล้วยังแลกกำยานสามก้อนมาให้ภรรยารองในตระกูลอีกด้วย เป็นของชั้นดีที่ใช้ในการฟื้นฟูร่างกายหลังคลอดบุตร”
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 44 มีโจรสลัดหรือ เช่นนั้นก็ดีเลย
อวิ๋นเยี่ยรับหมวกมาจากมือเซี่ยวชังเซิง ในหมวกใส่ยางไม้สีน้ำตาลไว้เจ็ดแปดก้อน มีกลิ่นหอมจางๆ โชยออกมา ยังไม่ทันได้สกัดออกมาก็ทำให้คนมึนเมาได้ หากสกัดเป็นน้ำมันออกมาคาดว่ากลิ่นคงจะเข้มข้นกว่านี้
“ท่านโหว นี่คือกำยานชั้นดีที่สุด ของแบบนี้มีผลิตแค่ที่ประเทศของคนผิวสีดำเท่านั้น”
“ก้อนจี้คริสตัลหนึ่งอันจะสามารถใช้แลกม้าชั้นดีห้าตัวได้หรือไม่?”
เซี่ยวชังเซิงชะงักไปครู่หนึ่ง เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีทาง ท่านโหว ก้อนจี้คริสตัลหนึ่งอันแลกม้าดีมากสุดได้เพียงแค่หนึ่งตัว พวกม้าชั้นดีที่ใช้ในศึกสงครามนั้นไม่มีทางแลกมาได้”
อวิ๋นเยี่ยคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดกับเซี่ยวชังเซิงว่า “เจ้าไปนำเครื่องประดับข้ากลับมา จากนั้นให้จูงม้าศึกที่เหลืออีกเจ็ดตัวกลับมาด้วย บอกพวกพ่อค้าเหล่านั้นว่าข้าจะรออยู่ที่ข้างก้อนหิน พวกเขามีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปในการพูดเกลี้ยกล่อมข้า”
อู๋เสอหัวเราะเสียงดังเหมือนอีกา หงเฉิงรู้สึกเหมือนตัวเองพึ่งจะรู้จักอวิ๋นเยี่ยเป็นครั้งแรก ชี้ไปที่เซี่ยวชังเซิงที่เดินจากไปไกล จากนั้นก็กลับมาชี้อวิ๋นเยี่ย แล้วลูบหัวตัวเองอย่างงงๆ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยถึงทำเรื่องไร้ยางอายได้อย่างเปิดเผยเช่นนี้ ทำเหมือนว่าพวกชาวหูเหล่านั้นเป็นคนเอาเปรียบพวกเรา
อู๋เสอตบที่บ่าของเขาเบาๆ แล้วพูดว่า “ตอนนี้เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมเขาถึงได้เป็นท่านโหว ส่วนเจ้าเป็นได้แค่ขุนนาง แล้วยังมักจะถูกฝ่าบาทสั่งให้ไปที่โน่นทีที่นี่ที ต้องฆ่าคนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อล่าแต้ม เทียบไม่ได้กับท่านโหวที่ได้รับทั้งรางวัลและทั้งซื้อใจคนได้ สุดท้ายราชสำนักก็ได้ผลประโยชน์ด้วยเช่นกัน คนแบบนี้มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้บังคับบัญชาโดยกำเนิด เจ้ากับข้าทำหน้าที่ทาสรับใช้ให้ดีก็พอ อย่าไปคิดอะไรซับซ้อนวุ่นวาย โลกใบนี้เป็นของพวกเขา ไม่เกี่ยวกับข้าและเจ้า”
วั่งไฉรีบเดินวนรอบๆ ม้าตัวเมียทั้งห้าตัว แต่ม้าตัวเมียเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่สนใจมัน พึ่งจะวิ่งเข้าไปหา ม้าตัวเมียก็พากันวิ่งหนี วั่งไฉร้องเสียงดังอย่างกระวนกระวายใจ
“ท่านโหว เนื่องจากว่าม้าเหล่านี้เหนื่อยล้าจากการเดินทาง จนถึงตอนนี้ยังไม่ติดสัตว์ คาดว่าวั่งไฉน่าจะเสียแรงเปล่าแล้ว” ตระกูลอวิ๋นมีคนชำนาญการเลี้ยงม้า เพียงแค่สังเกตม้าตัวเมียพวกนั้นก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
พ่อค้าที่บนหัวมีผ้าโพกหัวสามคนเดินตามเซี่ยวชังเซิงมาเจออวิ๋นเยี่ย เอามือทาบอกเพื่อแสดงความเคารพ แล้วยังพูดออกมาหนึ่งประโยคอย่างรวดเร็ว
เซี่ยวชังเซิงฟังสักครู่แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านโหวที่เคารพ อาลาดินเพื่อนที่ซื่อสัตย์ของท่านขอแสดงความทักทายต่อท่าน ได้เจอกับท่านที่ริมทะเลแสนสวยงามแห่งนี้ นี่คือสิ่งที่อัลลอฮ์กำหนดไว้”
อาลาดินอ้วนมาก อ้วนมากจริงๆ เพียงแค่โค้งตัวลงคำนับก็สามารถทำให้เขาหอบได้แล้วไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน อวิ๋นเยี่ยมักจะรู้สึกดีต่อพ่อค้าที่อ้วนท้วนสมบูรณ์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเหอเซ่าหรือพวกพ่อค้าคนอื่นๆ เพราะมักจะรู้สึกว่าท้องอันใหญ่โตของพวกเขาแสดงถึงทรัพย์สินเงินทองจำนวนมาก
“ท่านโหวที่เคารพ แม่น้ำทั้งสองสายนี้เป็นของขวัญจากอัลลอฮ์ที่มอบให้แก่ชาวทะเลทราย ทุกปีหลังจากน้ำท่วมข้าวบาร์เลย์ก็จะงอกขึ้นมา ที่นั่นเป็นสวรรค์ที่เต็มไปด้วยน้ำผึ้งและนม และก็เป็นบ้านเกิดของอาลาดิน”
“อาลาดิน เจ้าเดินทางมาไกลนับหมื่นลี้จนมาถึงประเทศของพวกเรา เจ้าอยากได้อะไร? ตามที่ข้ารู้มาพ่อค้าจะไม่ลงทุนโดยไม่หวังผลตอบแทน เจ้าบอกมาเถอะ หากไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรข้าก็จะช่วยอำนวยความสะดวกให้เจ้า แต่แน่นอนว่าทุกอย่างจะต้องอยู่ภายในขอบเขตอำนาจของข้าเท่านั้น”
อาลาดินนั่งลงคำนับแทบเท้าของอวิ๋นเยี่ย จูบรองเท้าบูธของอวิ๋นเยี่ยอย่างสิ้นหวัง พูดติดๆ ขัดๆ ดูเหมือนจะเสียใจเป็นอย่างมาก
“ท่านโหวที่เคารพ ขอท่านได้โปรดช่วยอาลาดินผู้น่าสงสาร โจรสลัดได้ขโมยเรือของข้าไปสามลำ ลูกชายตัวน้อยที่น่ารักของข้าก็ถูกพวกเขาจับตัวไปเช่นกัน พวกเขาอยู่ในทะเลไม่ไกลจากที่นี่ พวกเขากำลังรอกองทัพเรือของท่านออกเดินทาง จากนั้นก็เตรียมปล้นกองทัพเรือของท่านในมหาสุมทร ตอนนี้ลมพายุของอัลลอฮ์ได้พัดขึ้นแล้ว ข้าได้นำเรือเพียงหนึ่งลำฝ่าฟันลมมรสุมของทะเลอย่างยากลำบากจนถูกพัดมาถึงที่นี่ นี่คือสิ่งที่อัลลอฮ์ได้กำหนดไว้ เพื่อให้ข้าได้มาบอกแด่ท่านว่ามีภัยที่น่ากลัวรออยู่”
อวิ๋นเยี่ยขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว โจรสลัดอาหรับมาถึงที่นี่แล้ว? หรือว่าเส้นทางแอฟริกาตะวันออกได้เปิดออกแล้ว มุฮัมมัดน่าจะเสียชีวิตลงแล้ว ตอนนี้เคาะลีฟะฮ์คงจะเป็นบุคคลที่โดดเด่นมากที่สุด หรือว่าพวกเขาต้องการจะสืบทอดความปรารถนาที่จะครอบครองที่ดินของมุฮัมมัด จึงได้ริเริ่มกระบวนการมือหนึ่งถือคัมภีร์อัลกุรอานอีกมือหนึ่งถือดาบตามปรัชญาของมิชชันนารีเพื่อเผยแผ่พระประสงค์ของอัลลอฮ์ไปทั่วโลก? เปอร์เซียยังไม่ดับสลาย พวกเขามีสิทธิ์อะไรกล้าคิดมาโจมตีต้าถัง
“อาลาดิน คนที่มาเป็นกองทัพทหารหรือว่าเป็นโจรสลัด”
“ท่านโหวที่เคารพ คนพวกนั้นเป็นทั้งกองทัพทหารแล้วก็เป็นโจรสลัด พวกเขายอมรับการปกครองของเคาะลีฟะฮ์ แต่กลับไม่ยอมรับการเกณฑ์ไพร่พลของเคาะลีฟะฮ์ อาศัยที่ว่าตัวเองมีพรรคพวกมากจึงทำการปิดกั้นช่องแคบ อาลาดินข้ามช่องแคบทะเลออกมาได้อย่างไม่คิดชีวิตจนถูกพวกเขาตามฆ่าตลอดทาง แต่เพราะมีอัลลอฮ์อวยพรทำให้มาถึงดินแดนจงหยวนอย่างปลอดภัย ทว่าเดิมทีเรือทั้งหมดมีสี่ลำเวลานี้เหลือเพียงลำเดียว ตอนนี้ลูกชายที่น่าสงสารของข้าต้องถูกนำไปขายเป็นทาสแน่แล้ว อัลลอฮ์ไม่มีทางจะปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมกับข้า ขอให้ท่านโหวผู้ยิ่งใหญ่ช่วยลูกข้าด้วย ข้ายอมมอบสินค้าทั้งหมดที่ข้านำมาให้แด่ท่าน”
“พวกเขามีทั้งหมดกี่คน มีเรือกี่ลำ แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“ท่านโหวที่เคารพ โจรสลัดพวกนั้นมีเรือทั้งหมดสิบห้าลำ บนเรือทุกลำมีคนทั้งหมดแปดสิบคน แล้วยังมีทาสรับใช้บนเรืออีกด้วย รวมกันเป็นหนึ่งร้อยสิบคน พวกเขาเฝ้าอยู่ที่ทางออกของอ่าว ที่นั่นมีเกาะเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง คอยเฝ้าปากอ่าวไว้ไม่ให้พวกเราออกมา”
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกโมโห พูดกับหลิวจิ้นเป่าว่า “เฝ้าพวกเขาไว้ให้ดี ไม่อนุญาตให้พวกเขาไปไหนทั้งนั้น หากใครออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ตัดหัวทันที!”
เรียกขุนนางระดับผู้บัญชาการขึ้นไปมารวมตัวกันที่กระโจมเพื่อประชุม เตรียมคิดหากลยุทธ์ที่จะใช้ในการสังหารโจรสลัดเหล่านี้เพื่อกำจัดอุปสรรคในการเข้าอ่าว แต่ว่าพึ่งจะพูดจบในกระโจมก็เริ่มเกิดความวุ่นวาย
พอได้ยินข่าวว่ามีโจรสลัด เหล่าทหารก็รู้สึกครึกครื้นขึ้นมา มีหลายคนที่พากันขอบคุณเซี่ยวชังเซิงที่ส่งโจรสลัดมาให้พวกเขาจัดการ จากนั้นก็พากันรีบวิ่งไปยังเรือรบของตัวเอง เตรียมพร้อมเดินเรือ สวรรค์ทรงโปรด นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ยินข่าวว่ามีโจรสลัด
สองปีหรือว่าสามปี? นี่คือแหล่งขุมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของกองทัพเรือ ครั้งนี้มีเรือโจรสลัดถึงสิบห้าลำ และยังเป็นโจรสลัดที่พึ่งจะปล้นพ่อค้ารายใหญ่มา ในบรรดาพวกที่ถือหอกแทงปลาพากันกล้าที่จะโจมตีโจรสลัด ดูเหมือนว่าในสายตาของพวกเขามีเพียงเสบียงอาหารและประโยชน์ทางทหารอย่างนับไม่ถ้วนรออยู่ โจรสลัดพวกนี้เป็นสิ่งล้ำค่า เป็นผลประโยชน์ของกองทัพทหาร ราชสำนักเคยสรุปไว้ว่าจับหรือฆ่าโจรสลัดก็เท่ากับฆ่าศัตรู กองทัพเรือจะหาโอกาสทำผลงานได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งปีก็ได้แต่ล่องเรือไปตามแม่น้ำ ขนย้ายสิ่งของจากตะวันออกไปยังตะวันตก จากนั้นก็ขนสิ่งของจากตะวันตกไปตะวันออก อย่าว่าแต่ไม่ได้เจอโจรสลัดเลย แม้แต่โจรโง่ๆ ก็ยังเจอได้ไม่มากนัก ทหารที่มีอายุมากแล้วในกองทัพ เมื่อได้ยินข่าวครั้งนี้ก็เกิดความกระตือรือร้นขึ้นมา โอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง
จนคนทั้งกระโจมวิ่งออกไปหมดแล้วอวิ๋นเยี่ยถึงนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองนั้นยังไม่ได้ออกคำสั่ง หลิวเหรินย่วนเดินเข้ามาในกระโจมแล้วลากอวิ๋นเยี่ยวิ่งออกไปด้านนอกด้วยกัน “อาจารย์ ท่านยังรออะไรอยู่ พวกเราต้องรีบออกเดินทาง หากรอช้าจะไม่มีโอกาสแล้ว”
เดินขึ้นเรือด้วยความมึนงง อาศัยความมีสติออกคำสั่งให้ซุนเหรินซือพาทหารที่ชำนาญการทางน้ำจากแม่น้ำแยงซีเกียงมาเฝ้าสมบัติและเสบียงอาหารไว้ ส่วนตัวเองก็นั่งเรือของหลิวเหรินย่วนเพื่อออกเดินทาง มองดูซุนเหรินซือกำลังเกลี้ยกล่อมกัปตันเรือที่โกรธเกรี้ยวอยู่ไกลๆ
กองทัพเรือทั้งหมดในทะเลแล่นต่อตัวกันเป็นลูกศรสามดอกอย่างเป็นธรรมชาติ บนเรือกางใบเต็มลำ หัวเรือแหวกคลื่นพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว นี่เป็นกลยุทธหรือ อวิ๋นเยี่ยมองไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
“หลิวเหรินย่วน พวกเราบุกไปอย่างกลับผึ้งทั้งรัง หากติดกับจะทำเช่นไร”
“อาจารย์ ในทะเลไม่มีอะไรกั้นขวางได้ หากต้องการซุ่มโจมตีก็ต้องดูลักษณะของน่านน้ำ ผู้บังคับบัญชาการเหล่านี้แทบจะอยู่กินบนเรือเป็นเวลาหลายช่วงชีวิต พวกเขาคุ้นเคยกับการปกครองน่านน้ำมานานแล้ว ท่านไม่เห็นหรือว่าพวกเขาเตรียมการบุกโจมตีศัตรูไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีทั้งหน่วยสนับสนุนและกองปฐมพยาบาล ในการสู้รบกันบนน้ำมักจะเปรียบเทียบว่าเรือใครใหญ่กว่า เรือใครเยอะกว่า เป็นไปไม่ได้ที่ชาวหูจะส่งกองทัพเรือขนาดใหญ่มาที่ประตูของเรา เส้นทางไกลเกินไป จากที่นี่ไปถึงต้าสือ หากแล่นไปตามลมและสายน้ำก็ต้องใช้เวลาถึงเก้าสิบวัน ตอนนี้มีลมมรสุมถือว่าเป็นประโยชน์สำหรับพวกเรา หากพวกเขาจะหนีก็ต้องล่องไปตามลม เนื้อก้อนใหญ่ขนาดนี้หากไม่กินพระเจ้าจะโกรธเอาได้”
“แต่ว่าพวกเขาได้ฟังข่าวของศัตรูเท่านั้น ไม่ได้รับคำสั่งก็ออกกระทำการโดยพละการนี่ถือเป็นโทษใหญ่” อวิ๋นเยี่ยไม่ชอบพฤติกรรมที่ไร้ระเบียบวินัยของพวกเขา
“ท่านโหว ท่านจะออกคำสั่งอะไร ต่อให้ท่านออกคำสั่งก็จะถูกพวกเขาเปลี่ยนแปลงคำสั่งทั้งหมด ต้าถังของพวกเราตอนนี้ไม่ไปหาเรื่องคนอื่น พวกเขาจะแอบหัวเราะเยาะเอาได้ ในเมื่อกล้าวิ่งมาที่ประตูบ้านของพวกเรา แล้วยังจะมาปิดล้อมอ่าว พวกเราควรเป็นคนทำเรื่องพวกนี้ คอยไปรบกวนหน้าประตูบ้านของคนอื่นอย่างเช่นเมืองเกาลี่ เมืองชิลลา แต่ตอนนี้กลับเป็นคนอื่นที่ล้อมปิดประตูพวกเรา ตอนนี้มีเรือรบขนาดกลางเกือบร้อยลำไม่ได้ใช้งาน ท่านคิดว่าคนเหล่านี้จะทนได้หรือไม่”
ช่างเถอะ อวิ๋นเยี่ยนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดหนทาง ตงอวี๋ใส่ชุดของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ที่จริงก็แค่เอาเชือกหนึ่งเส้นมาผูกไว้ที่เอว ที่เชือกผูกเอวมีตะขอขนาดใหญ่แขวนอยู่ และยังมีเชือกที่ทำจากหนังปลาฉลาม เห็นได้ชัดว่าเขาเอาไว้ใช้ปีนขึ้นเรือคนอื่น ในมือยังถือมีดอันแหลมคม คาบมีดสั้นไว้ในปาก มีอาวุธซ่อนไว้ทั้งตัว คนที่ทำแบบนี้ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ข้างหลังยังมีชายไม่ใส่เสื้ออีกหลายคนช่วยกันเร่งให้เรือแล่นเร็วขึ้น
หลิวเหรินย่วนเดินไปเดินมาไม่หยุด ตะโกนออกมาเสียงดังให้เอาผ้าคลุมหน้าไม้สามขาออก ชายฉกรรจ์ห้าคนส่งเสียงดังสร้างความฮึกเหิมระหว่างลากหน้าไม้ยักษ์ไปประจำที่ ทันใดนั้นก็มีผู้ชายตอกลิ่มเข้าไปที่แผ่นกั้น หอกเหล็กสามอันวางอยู่บนช่องใส่ลูกศร ที่ท้ายด้ามหอกยังมีเชือกขนาดใหญ่ผูกไว้ด้วย
ทันใดนั้นชายที่ยืนอยู่บนเสาเรือก็ตะโกนขึ้นมาว่า “มีเรือ อยู่ทางด้านซ้าย สามลำ” ตะโกนแต่ละคำออกมาอย่างชัดเจน นี่คือผลจากการถูกฝึกฝนมาหลายปี
เรือในกองทัพสิบลำแล่นแยกออกจากกองทัพอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปทางเรือสามลำของชาวหูและขนาบลำเรือเข้าใกล้ทันที เรือสามลำนั้นเห็นกองทัพเรือขนาดใหญ่เช่นนี้ก็วางแผนที่จะหันหัวเรือเตรียมถอยแต่ทิศทางลมไม่เข้าข้างคนเหล่านั้น เรือของต้าถังตีวงล้อมเป็นวงกลมวงใหญ่ หากต้องการถอยลำกลับไปก็ต้องฝ่าเรือทั้งกองทัพออกไป
“เรือชาวหูไม่เห็นจะใหญ่เลย” อวิ๋นเยี่ยหันไปพูดกับหลิวเหรินย่วน
“ท่านโหว ชาวหูมีเรือแล่นในทะเลได้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว หากจะหวังว่าต้องมีเรือลำใหญ่คงเป็นไปไม่ได้ เรือสามลำนี้พวกเราคงไม่ได้ส่วนแบ่งแล้ว” มองดูเรือสิบลำของตัวเองแล่นเข้าใกล้เรือของชาวหูมากขึ้นเรื่อยๆ หลิวเหรินย่วนก็ทุบขอบเรืออย่างไม่พอใจ
ทันใดนั้นก็มีก้อนสีดำพุ่งออกมาจากเรือของศัตรูไปยังเรือของต้าถัง ส่วนใหญ่ตกลงในทะเล มีเพียงหนึ่งถึงสองก้อนที่ตกลงบนเรือ หัวใจของอวิ๋นเยี่ยเต้นถี่เร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น