เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 8 ตอนที่ 39-40
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 39 ทะเลสีครามที่โหยหา
กองทัพเรือมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ จากริมทะเลมองไปมีแต่ใบเรือกางเต็มไปหมด แต่มีปัญหาก็คือในเรือไม่มีอะไรเลย ซุนเหรินซือยิ้มอย่างชั่วร้ายและพูดออกมาว่าเขาฟังเพียงคำสั่งของฮ่องเต้เท่านั้น ฮ่องเต้บอกแล้วว่าให้อวิ๋นโหวเอาของใส่เรือให้เต็มแล้วล่องกลับไปที่เมืองซานตง เมื่อถึงเวลาก็จะมีกองทัพมารอรับเอง
ใส่อะไรล่ะ? จะใส่ก้อนหินก็คงไม่เหมาะ กลับไปจะต้องถูกหลี่ซื่อหมินเอาก้อนหินมาปาใส่หัวแน่ๆ ในปีนี้เมืองเหอหนานและเมืองเหอเป่ยเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่ดีนัก หลี่ซื่อหมินจึงได้ยกเว้นภาษีของทั้งสองเมืองนี้ไปแล้ว ตอนนี้กำลังตั้งตารออวิ๋นเยี่ยที่จะกลับมาพร้อมกับเสบียงอาหารและสมบัติอีกมากมาย การลงมืออย่างง่ายๆ นั้นที่แท้ก็ได้ผลเช่นนี้นี่เอง
ไม่หวังอะไรกับหลิ่งหนานแล้ว เฝิงอั้งส่งคนให้นำเสบียงอาหารหนึ่งแสนตันและสมบัติอีกหนึ่งลำเรือ แต่กลับถอยทัพไปอยู่ที่กว่างโจวไม่ยอมโผล่หัวออกมา หลบอยู่แต่ในบ้านรอสมน้ำหน้าอวิ๋นเยี่ย ในฐานะที่เป็นคนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อวิ๋นเยี่ยเป็นคนสุดท้ายที่รู้ว่าตัวเองไม่เพียงแต่จะต้องส่งผลผลิตของแต่ละตระกูลกลับไป แต่ยังต้องหาวิธีการรวบรวมเสบียงอาหารในพื้นที่เหล่านั้นด้วย
หลี่ซื่อหมินก็เป็นคนเช่นนี้ หากไม่ทำก็คือไม่ทำ หากจะทำก็ต้องทำให้ยิ่งใหญ่ รู้ว่าเขาต้องการจะเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดของหลิ่งหนานออกไปในคราวเดียวเพื่อซื้อเวลาให้ตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรก็ยังไม่สายเกินไปที่จะเตรียมการสำหรับผู้ยากไร้ในดินแดนหลิ่งหนาน
ในอดีตฮ่องเต้ได้ย้ายครัวเรือนที่มีฐานะร่ำรวยทั้งหมดมาไว้ที่ฉางอัน เพื่อให้เศรษฐกิจของเมืองเจริญรุ่งเรืองขึ้น อย่างเช่นฮ่องเต้ฮั่นอู่เองก็เคยทำเช่นนี้ แต่ตอนนี้ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว บ้านเมืองพึ่งจะเริ่มมั่นคง จะให้เกิดความวุ่นวายไม่ได้ เขาต้องการจะเป็นฮ่องเต้ที่มีความสามารถเลื่องลือโดยเร็วที่สุด พร้อมจะฆ่าศัตรูทั้งหมดที่อยู่รอบๆ เพื่อในอนาคตตัวเองจะได้กินอยู่และตายในวังหลังอย่างสงบ ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ได้อีกหลายปี แล้วจะไปเอาเงินมาจากไหน? โชคดีที่อวิ๋นเยี่ยบอกว่าที่หลิ่งหนานมีเงินและเสบียงเยอะแยะ และยังมีคนโง่อีกไม่น้อย เขาคิดขึ้นได้ว่าตัวเองเกือบจะลืมไปว่าที่ดินผืนนั้นเป็นของตัวเอง เพราะนอกจากจะส่งคนของทางการสองสามคนไปยังหลิ่งหนานแล้วก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเมืองนี้อีกเลย เขาหวังว่าจะได้ผลผลิตที่ดีในดินแดนแห้งแล้ง ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องเก็บเกี่ยวแล้ว
“จริงๆ เลย ตอนนี้ข้าขึ้นชื่อว่าเป็นคนปอกลอกไปแล้ว”
หลี่อันหลานรีบลูบหลังอวิ๋นเยี่ยเพื่อให้ใจเย็นลง เพราะกลัวว่าเขาจะโกรธ ตั้งแต่มาที่ทะเลกับอวิ๋นเยี่ยก็ไม่มีอะไรราบรื่นสักอย่าง บรรดาแม่ทัพที่มาจากต่างแดนต่างมารวมตัวกันในกระโจมใหญ่ คนนี้ก็ต้องการเสบียง คนนั้นก็จะให้ชดเชยให้ ยังมีอีกหลายคนที่บอกว่าเรือผุพังแล้วต้องการซ่อมแซม แล้วยังบอกอีกว่ามีหอยเกาะที่ท้องเรือมากเกินไป จำเป็นต้องดึงเรือขึ้นมาเพื่อขูดสาหร่ายและหอยออก และที่แย่ที่สุดคือพวกเขาแต่ละคนต่างก็มาด้วยหน้าตาอันห่อเ**่ยวน่าสงสาร หากจะบอกว่าเป็นทหารไม่สู้บอกว่าเป็นคนขอข้าวกินจะดีกว่า แม้ว่าเครื่องแบบทหารของต้าถังจะดูไม่ดี แต่ก็ยังดีที่สามารถห่อหุ้มร่างกายได้ แต่ก็หุ้มได้ไม่หมดทุกส่วน
เมื่อเห็นสภาพของทหาร อวิ๋นเยี่ยก็หัวเราะออกมา ต้าถังพึ่งจะสร้างรากฐานได้หลังจากที่รบไปเป็นร้อยครั้ง ทหารจึงมีความยากลำบากอยู่บ้าง แต่ทักษะการฆ่าคนยังมีอยู่ในตัว พึ่งจะเปลี่ยนเครื่องแบบให้ทหารไปไม่กี่คน ทหารเหล่านั้นก็เอามือทุบอกแล้วบอกว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับอวิ๋นโหว
ผ้าลินินที่เอามาหลอกชาวพื้นเมืองตอนนี้ได้กลายเป็นเสื้อผ้าของเหล่าทหารหมดแล้ว เสบียงอาหารหนึ่งแสนตันที่เฝิงอั้งส่งมาก่อนหน้านี้ได้กลายเป็นอาหารของเหล่าทหารไปแล้ว ซุนเหรินซือบอกกับอวิ๋นเยี่ยหลังจากที่นับจำนวนคนแล้วว่าตอนนี้เขาเป็นผู้บัญชาการที่มีกำลังทหารมากถึงสองหมื่นคนแล้ว
จากการฝึกฝนในระยะเวลาหนึ่งเดือน ชีวิตที่ยากลำบากในหลิ่งหนานทำให้อวิ๋นเยี่ยกลายเป็นชาวบ้านที่ผิวดำคล้ำ เหลือเพียงแค่ฟันที่มีสีขาว
รอต่อไปไม่ได้แล้ว ในอีกหนึ่งเดือนก็จะเริ่มมีลมมรสุมอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยเหลือเวลาอยู่ที่นี่อีกไม่นานแล้ว เสบียงอาหารที่ปล้นมาจากเมืองหงเฉิงยังคงอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของช่องแคบทางทะเล ตามที่บอกมามีราวๆ ห้าแสนตัน แต่ว่านี่ก็เป็นจำนวนที่ไม่แน่นอน เขาไม่ได้เหลือคนไว้ดูแล เพราะหากเหลือคนไว้มากเกินไปก็จะไม่มีกำลังพลในการบุกเข้าโจมตี แต่ถ้าหากเหลือไว้น้อยก็จะถูกชาวเมืองโจมตีจนแตกกระจาย ดังนั้นจึงไม่รู้จำนวนที่แน่นอนว่าจะเหลือคนไว้เท่าไหร่ ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยต้องการรวบรวมเสบียงใหม่ทั้งหมด
ให้หลี่อันหลานรออยู่ที่นี่ เพื่อเตรียมข้าวของที่จำเป็นแก่กองทัพในการเดินทางกลับ ส่วนตัวเองออกมากับกองทัพเรือเพียงลำพัง กระโจนข้ามช่องแคบเหมือนกับตั๊กแตน
สองวันที่เดินทางมานี้ ท้องทะเลสีครามช่วยทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกสบายใจ ข้างหน้ายังมีปลาโลมาคอยว่ายเปิดทางให้ ข้างหลังก็มีฝูงนกนางนวลบินตาม น้ำทะเลที่ใสสะอาดทำให้มองเห็นปลานานาชนิดแหวกว่ายไปมา
หลิวจิ้นเป่าใช้เชือกผูกลูกธนูแล้วยิงไปที่ปลา แต่ว่ากลับไม่ได้ผลดีเท่าไหร่ รู้สึกโกรธจึงมองหาปลาตัวใหญ่เพื่อลองยิงใหม่อีกครั้ง แต่อวิ๋นเยี่ยไม่ยอมให้เขาฆ่าปลาโลมา
ตงอวี๋ที่กำลังเดินตามอวิ๋นเยี่ยมองหลิวจิ้นเป่าด้วยความสมเพช จากนั้นก็กระโดดลงไปในทะเล เด็กคนนี้ว่ายน้ำเร็วกว่าปลาในน้ำเสียอีก มุดดำลงไปในน้ำแล้วโผล่ขึ้นมาพร้อมกับปลาที่คาบอยู่ในปากและที่กำอยู่ในมืออีกสองข้าง โยนปลาขึ้นมาบนเรือ จากนั้นตัวเองก็ดึงเชือกเพื่อปีนขึ้นเรือมู่หลาน แล้วหัวเราะเย้ยหลิวจิ้นเป่า
เดินเรือไปตามแนวชายฝั่งของทะเล ป่าโกงกางเติบโตเขียวชอุ่ม สีเขียวมรกตและสีน้ำเงินอมฟ้าเป็นเส้นแบ่งของสองฝั่งอย่างชัดเจน ช่างสวยงามยิ่งนัก ในยุคปัจจุบันคงไม่มีทางได้เห็นอะไรแบบนี้
หลังจากที่เรือได้ล่องผ่านช่องแคบทางทะเล อวิ๋นเยี่ยจึงได้รู้ว่าเมืองเจียวโจวก็มีผู้บัญชาการเช่นกัน เป็นถึงระดับถันกั๋วกงมีนามว่าชิวเหอ ไม่เคยได้ยินชื่อของคนคนนี้มาก่อน เมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของเจียวโจวมีถึงสิบเมือง มีคนหนึ่งที่ต่อต้านเขา คนผู้นั้นมีนามว่าหลี่เจี่ยวเป็นผู้ดูแลเมืองรื่อหนานโจว เขาขึ้นมานั่งบนเรือและยื่นฎีกาให้สองฉบับ ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกงงไปหมด
“อวิ๋นโหว ชิวเหอถูกลงโทษให้ประพฤติในศีลธรรมอยู่สี่ปีจึงได้กลับเข้าสู่ราชสำนัก หลี่เจี่ยวก็พ่ายแพ้ให้กับพวกเราแล้ว ในอนาคตฮ่องเต้คงจะถามข้าว่าภาษีของสิบกว่าปีนี้หายไปไหน ทำไมไม่เห็นลงอยู่ในบัญชีของกรมคลัง”
ซุนเหรินซือหัวเราะแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ย
“เช่นนั้นก็หมายความว่าเราสามารถขอเสบียงอาหารได้อย่างเป็นทางการเช่นนั้นหรือ”
“แม่ทัพทั้งสองคนที่พ่ายแพ้จะต้องก้มหัวภายใต้บารมีของท่านโหวอย่างแน่นอน เอาล่ะ ข้าไม่กล้าพูดอะไรมาก ทหารสองหมื่นนายของพวกเราท่านก็ได้บุกฝ่าเข้ามาถึงจนได้ หากไม่มีคำอธิบายที่น่าพอใจเห็นทีว่าคงไม่ได้ อย่างไรเรือสามร้อยกว่าลำนี้ก็ต้องถูกบรรจุให้เต็มลำ”
“เหล่าซุน ข้าใช้วิธีการเดาความคิดของคนมาตลอด ดังนั้นข้าก็มักจะคิดตลอดว่าสิ่งของที่ได้รับมามักจะเป็นของข้าเสมอ ไม่รู้ว่ากองทัพของเจ้าจะช่วยข้าควบคุมพวกเขาได้หรือไม่ ข้าไม่ต้องการให้พวกเขาขัดขืนได้ สิ่งที่ข้าต้องการข้าก็จะไปเอามันมาด้วยตัวเอง เมื่อได้มามากพอแล้วก็กลับบ้าน เจ้าคิดเห็นอย่างไร”
“ท่านโหวฉลาดมาก ข้าคิดว่าในอนาคตหากฮ่องเต้ต้องการเอาทุกอย่างไปจากเจียวโจว ข้าคิดว่าอย่างไรเสียก็คงต้องบุกไปตามแนวชายฝั่งไล่ไปตั้งแต่เมืองเจียว เมืองเฟิง เมืองอ้าย เมืองเซียน เมืองยวน เมืองซ่ง เมืองซือ เมืองเฉี่ยง เมืองเต้า และเมืองหลง ทั้งหมดสิบเมือง และยังมีเขตที่อยู่ภายใต้การปกครองของเจียวโจว อย่างเช่นเจียวจื่อ หวยเต๋อ เมืองหนานติ้ง และเมืองซ่งผิง สถานที่มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์เช่นนี้จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด” เมื่อได้ฟังคำอธิบายของซุนเหรินซือ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
อำนาจที่ยิ่งใหญ่ทำให้เมืองเจียวโจวเปิดประตูเมืองให้เข้าไปทันที หลังจากที่รับประกันว่าจะไม่ละเมิดทรัพย์สินของชิวเหอ ถันกั่วกงผู้นี้ก็สั่งเปิดดินแดนทั้งหมด เงินและเสบียงอาหารที่ถูกเก็บไว้ในเมืองหงเฉิงก่อนหน้านี้ถูกขนขึ้นเรือรบ ตอนนี้คลังเก็บเสบียงและสมบัติจึงว่างเปล่าจนหนูสามารถออกมาวิ่งเล่นได้
เห็นลักษณะของเมล็ดข้าวแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็เอาแต่สาปแช่งเทพเจ้าไม่หยุด มีเมล็ดข้าวที่ไหนมีลักษณะแย่ยิ่งกว่าเมล็ดวัชพืชเสียอีก การปลูกข้าวแล้วได้ผลเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกโมโหเป็นอย่างมากตลอดมา แต่ที่นี่เพียงแค่กำข้าวที่พร้อมปลูกแล้วหว่านลงบนดิน พอผ่านไปสามเดือนก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว เหล่าทหารที่เคยมาจากครอบครัวชาวนากอดกระสอบข้าวไว้ไม่ยอมปล่อย เพราะรู้ว่านี่คือสมบัติอันล้ำค่า
คนพื้นเมืองที่นี่คิดว่ากองทัพของอวิ๋นเยี่ยมาเพื่อจับตัวผู้หญิงไปจึงได้ให้ภรรยาและลูกสาวของตัวเองไปหลบอยู่ในป่า หากทหารของต้าถังยังไม่กลับไปก็ไม่อนุญาตให้ออกมา แต่แล้วได้พบว่าพวกเขาไม่ได้สนใจผู้หญิงเลย เอาแต่ขนเสบียงอาหาร ชาวบ้านมองตาปริบๆ ดูทหารของต้าถังท่าทางมีความสุขในการใช้กระสอบขนข้าวฟ่างออกไปจนหมด และตอนนี้ข้าวที่อยู่ในนาก็เริ่มจะแก่แล้ว
หนูตกถังข้าวสารก็คือความรู้สึกของทหารต้าถังในตอนนี้
ชิวเหอก็รู้สึกเช่นนั้น เมืองเจียวโจวไม่เคยขาดแคลนเรื่องเสบียงอาหาร ท่านโหวหนุ่มขี้ระแวงผู้นั้นไม่จำเป็นต้องกักขังตัวเองไว้ ฤดูเก็บเกี่ยวครั้งใหม่ใกล้มาถึงแล้ว เมล็ดข้าวในคลังเสบียงจะเต็มอีกครั้งในปีหน้า หรือว่าต้าถังอยู่ในจุดที่ขาดแคลนเสบียงอาหารเป็นอย่างมาก?
นี่เป็นครั้งแรกที่ทหารของต้าถังมาเหยียบแผ่นดินเจียวโจว หากอำนาจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มีไว้สำหรับข้า เช่นนั้นแคว้นหลินยี่ที่ใฝ่ฝันก็คงจะได้มาอย่างง่ายๆ?
อวิ๋นเยี่ยวุ่นวายอยู่กับการนับจำนวนเสบียงจนไม่สามารถพักได้ ลูกคิดที่ทำขึ้นมาใหม่ถูกเขาใช้นิ้วเขี่ยจนกลายเป็นเสียงเพลง คนอื่นได้ฟังจะบอกว่าหนวกหู แต่อวิ๋นเยี่ยกลับชอบเสียงนี้มาก ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงลูกคิดกระทบกันนั่นหมายความว่ามีเสบียงอาหารขึ้นมาบนเรือเป็นจำนวนมาก
“ไม่มีเวลาไปเจอกับถันกั๋วกงหรอก ตอนนี้ข้าแทบจะต้องแยกร่างอยู่แล้ว ใครจะมีเวลาไปสนทนากับเขา”
“ท่านโหว เขาบอกว่ายังมีอีกที่หนึ่งที่ท่านยังไม่ได้ไป หากท่านไป อย่าว่าแต่เสบียงอาหารอีกเลย แม้แต่สมบัติก็จะเติมเรือรบของท่านด้วย” หลิวจิ้นเป่านำความมาบอกให้กับอวิ๋นเยี่ย
อวิ๋นเยี่ยคิดอยู่สักพัก วางงานในมือลง เอนหลังพิงเบาะนุ่มแล้วพูดว่า “สิ่งที่เขาจะขอก็ไม่พ้นเรื่องการขยายดินแดน ตอนนี้ทางด้านทิศใต้ของเขามีหลี่เจี่ยวคอยขวางทางอยู่ หากจะขยายไปทางทิศตะวันตกก็มีแคว้นหลินยี่ ดังนั้นเขาก็แค่ต้องการใช้อำนาจของพวกเราเพื่อบรรลุเป้าหมาย ข้าไม่อยากให้เขาหลอกใช้ ถึงแม้ว่าการถูกหลอกใช้ก็แสดงว่าพวกเรามีค่าพอให้หลอกใช้ แต่ว่าข้าอยากรู้มากว่าเขาจะจ่ายไหวหรือไม่ ไปบอกเขาว่าทองสองหมื่นชั่งคือราคาที่จะให้ข้าช่วยโจมตีแคว้นหลินยี่ แต่หลี่เจี่ยวเป็นข้าราชบริพารของต้าถัง ข้าจะไม่ลงมือกับเขา” พูดเสร็จอวิ๋นเยี่ยก็ยุ่งอยู่กับการคำนวณของเขาต่อ
เมื่ออำนาจอยู่ในมือก็นำคำสั่งมาใช้ให้เป็นประโยชน์ นี่คือจุดเด่นของอวิ๋นเยี่ย หากไม่เปลี่ยนอำนาจเล็กๆ ให้กลายเป็นอำนาจยิ่งใหญ่ ก็ถือว่าตัวเองบกพร่องในหน้าที่ กองทัพเรือของต้าถังต้องขาดแคลนเสบียงอาหารถึงเพียงนี้ แม้แต่เทพเจ้าก็รับไม่ได้
ต้าถังที่ตั้งอยู่ดินแดนที่ราบสูงเหลืองอร่าม ได้ละเลยความโหยหาที่มีต่อท้องมหาสมุทรสีคราม ตอนนี้ได้เวลามองไปที่ทะเลแล้ว
คิดถึงเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็วางปากกาในมือลง หากจะเป็นโจรก็ต้องเป็นให้ถึงที่สุด นำกองทัพที่แข็งแกร่งส่งให้ไปอยู่ในมือของหลี่ซื่อหมิน คาดว่าจะมีประโยชน์เป็นอย่างมาก เพราะเขาคือโจรอย่างแท้จริง
ชิวเหอหาทองสองหมื่นชั่งมาไม่ได้ แต่เขาบอกว่ามีอยู่ที่เมืองหลินยี่ เพียงแค่กองทัพบุกเข้าไปที่เมืองหลินยี่จะต้องรวบรวมทองคำได้มากแน่ๆ ได้ยินมาว่าตำหนักของฮ่องเต้พวกเขาประดับไปด้วยทองคำ
ซุนเหรินซือ หลิวเหรินย่วน และบรรดาแม่ทัพอีกมากมายเริ่มตาลุกวาว แต่น่าเสียดาย เหอชิวบอกช้าเกินไป มรสุมกำลังจะมาแล้ว ต่อให้อวิ๋นเยี่ยจะเสียดายแค่ไหน แต่ก็ต้องกลับบ้านแล้ว มิฉะนั้นสิ่งที่รอเขาอยู่คือการถูกลงโทษอย่างร้ายแรง
ตอนมาถึงมาตัวเปล่าแต่ตอนจะกลับมีข้าวของเต็มไปหมด เมื่ออวิ๋นเยี่ยออกคำสั่ง เสบียงอาหารจำนวนมากก็ถูกวางไว้ที่ชายฝั่ง ชิวเหอโกรธและผิดหวังมากจึงโยนหยกในมือเข้าไปในกองเสบียงอาหาร หลังจากนั้นก็เดินทางกลับเมืองเจียวโจวโดยไม่หันกลับมามองอีก
ข้าวสวย โจ๊ก ข้าวหลาม ข้าวปั้น เค้กข้าว วิธีการกินพวกนี้ได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในกลุ่มคนเดินเรือ ข้าวกับปลาเค็มทำให้พวกเขาประทับใจไม่รู้ลืม มองไปที่ขบวนเดินเรือที่ใหญ่ที่สุด หัวใจของหลิวเหรินย่วนรู้สึกเหมือนโดนคลื่นลูกใหญ่ซัด เรือรบที่แข็งแกร่งสามารถทำให้เมืองอื่นยอมจำนน แล้วยังนำความมั่งคั่งกลับมาอีกนับไม่ถ้วน สิ่งนี้นับว่าเป็นตำนาน
ซุนเหรินซือกำลังคิดถึงชีวิตที่อาศัยอยู่ในเมืองเจียวโจว เต็มไปด้วยความภูมิใจอยู่เต็มอก มองดูลูกน้องที่กำลังทำความสะอาดดาดฟ้าอย่างวุ่นวาย เมื่อคิดถึงเมืองที่เต็มไปด้วยทองคำ จากนั้นก็พูดออกมากับตัวเองโดยไม่รู้ตัวว่า “สิ่งนั้นมันเป็นของข้า”
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 40 ผลกระทบจากข้อพิพาท
มองดูคนสองคนข้างๆ ที่กำลังใช้ความคิด อวิ๋นเยี่ยไม่มีทางบอกพวกเขาว่าเมืองแห่งทองคำที่ชิวเหอพูดถึงไม่มีอยู่จริง เมืองเจียวโจวเต็มไปด้วยคนป่าเถื่อน ไม่ได้เต็มไปด้วยทองคำ คิดว่ากลุ่มคนป่าเถื่อนที่กินผลไม้ป่าจะสร้างเมืองแห่งทองคำได้อย่างนั้นหรือ
อารยธรรมของที่นี่ล้วนมาจากชาวจงหยวนนำเข้ามา จนกระทั่งขบวนทัพของจิ๋นซีฮ่องเต้ได้ผ่านมาที่หลิ่งหนาน ทหารของกองทัพจิ๋นซีสามแสนคนได้เข้าสู่ดินแดนที่แห้งแล้งแห่งนี้ทำให้ที่นี่มีอารยธรรมอย่างแท้จริง อารยธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุคต่อมาเป็นเพียงแค่การสืบสานต่อจากอารยธรรมของชาวฮั่น แล้วยังมีศาสนาพุทธของอินเดียที่ค่อยๆ นำเข้ามา และศาสนาอิสลามที่ถูกเผยแผ่ไปทางทิศใต้ ทำให้วัฒนธรรมของทวีปนี้มีความรุ่งเรือง
ชิวเหอไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แม้ว่าจะต้องใช้วิธีหลอกลวงก็จะต้องให้กองทัพของต้าถังช่วยเขากวาดล้างเมืองหลินยี่ให้ได้ อย่างไรก็เป็นเพียงแค่แคว้นเล็กๆ ที่มีชาวฮั่นปกครองอยู่แล้ว จากนั้นจัดการหลี่เจี่ยวไปด้วยเลย เช่นนี้ทั่วทุกพื้นที่ป่าเขาก็จะอยู่ภายใต้การตัดสินใจของเขาเพียงคนเดียว
แม้ว่าความจริงจะถูกเปิดเผยในภายหลังก็ไม่มีอะไรต้องกลัว อย่างมากก็คงถูกทหารของต้าถังเข้าค้นพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การปกครองของตัวเอง พูดง่ายๆ ก็คือพวกเขาอาจจะเอาเสบียงอาหารหรือของจำพวกอัญมณีซึ่งเขาไม่ได้สนใจแม้แต่นิด
อวิ๋นเยี่ยไม่เคยคิดที่จะเชื่อคำพูดเหลวไหลของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เป้าหมายของตัวเองนั้นคือเสบียงอาหาร เมื่อได้เสบียงอาหารก็พอใจแล้ว นำกลับไปที่ฉางอันได้ก็ถือว่าภารกิจสำเร็จแล้ว จะไปสนใจสิ่งของอย่างอื่นอีกทำไม
มีอัญมณีมากไปก็เท่านั้น เมื่อกลับไปที่ฉางอันของพวกนี้ก็ไม่มีราคา ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยคิดว่าพวกเครื่องทองและอัญมณีนั้นมีมากพออยู่แล้ว จู่ๆ มีสมบัติล้ำค่าพวกนี้ขึ้นมามากมาย เจ้าจะไม่พิจารณาเรื่องความต้องการทางตลาดสักหน่อยหรือ
ตลาดที่ขายของหายากนั้นถือว่าเป็นตลาดที่ดี หากบนหัวของผู้หญิงทั้งเมืองฉางอันบนหัวประดับไปด้วยอัญมณีเต็มไปหมด เช่นนั้นจะยังเรียกว่าของล้ำค่าได้อีกหรือ เช่นนั้นก็คงกลายเป็นเพียงแค่ก้อนหินที่ส่องแสงได้เท่านั้นแหละ
ในเวลานี้เสบียงอาหารมีประโยชน์ยิ่งกว่าอัญมณีเสียอีก น่าเสียดายที่คนจนอย่างซุนเหรินซือไม่เข้าใจ คนที่มีความทะเยอทะยานสูงอย่างหลิวเหรินย่วนก็ไม่เข้าใจเช่นกัน พวกเขายังตามหาอัญมณีจำนวนมากมาไว้ในครอบครอง
ตอนนี้ตัวเองกำลังเดินทางข้ามอ่าว นั่นคืออ่าวตังเกี๋ยที่มีชื่อเสียงในยุคหลัง มีท่าเรือธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมและแหล่งตกปลาอันอุดมสมบูรณ์ แม่น้ำหลายสายมาบรรจบกันที่นี่แล้วไหลลงสู่ทะเล ทำให้มีทรัพยากรทางน้ำที่หลากหลาย ที่นี่ควรจะเป็นพื้นที่ที่ใช้ปลูกข้าวและเลี้ยงปลา แต่น่าเสียดายที่มีคนอาศัยอยู่น้อย
นี่เป็นการสิ้นเปลืองของขวัญจากธรรมชาติไปอย่างเปล่าประโยชน์ อวิ๋นเยี่ยมองดูเรือแคนูที่อยู่ระยะไกล เห็นคนเถื่อนถือหอกไม้ไผ่เพื่อแทงปลาก็รู้สึกเสียใจ ดินแดนกวนจงที่น่าสงสารถูกบุกเบิกมาแล้วนับหลายพันปีทำให้พื้นดินไม่มีความอุดมสมบูรณ์ แต่เป็นเพราะรักในดินแดนบ้านเกิดทำให้ผู้คนที่ขยันทำมาหากินเหล่านั้นยังคงเก็บเกี่ยวผลผลิตจากพื้นที่แห่งนี้
สายตาของต้าถังยังคงจ้องมายังทั้งสองฝั่งของแม่น้ำใหญ่ แต่กลับไม่รู้ว่าแม่น้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยความเป็นปรปักษ์ต่อมนุษย์มานานแล้ว ต้าถังจะเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่จะได้ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำสายนี้ เมื่อราชวงศ์ถัดไปได้เริ่มขึ้น แม่น้ำสายนี้จะกลายเป็นเลือดและเริ่มคร่าชีวิตคน…
อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่บนหัวเรือและตั้งเตาย่างขนาดเล็กที่ใช้ย่างปลาขนาดใหญ่ไม่ได้ เนื้อปลาสีแดงถูกทาด้วยน้ำมันถั่วเหลืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า โรยด้วยเกลือเม็ดละเอียดและทาน้ำมันพริกเผา ไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องเทศอื่นอีก อวิ๋นเยี่ยไม่ได้สนใจพวกเครื่องเทศมากนัก รู้สึกไม่ชอบเสียด้วยซ้ำ รสชาติตามธรรมชาติของเนื้อปลาก็อร่อยอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะกลัวพยาธิเขาจะต้องชอบปลาดิบของต้าถังมากแน่ๆ
เนื้อปลาสุกแล้ว กลิ่นหอมกระจายไปทั่ว แม้แต่ซุนเหรินซือที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ก็ต้องน้ำลายไหล อวิ๋นเยี่ยกินเข้าไปหนึ่งคำพบว่ารสชาติไม่ดีเท่าไหร่จึงไม่กินต่อ ชี้ให้หลิวจิ้นเป่าดูเพื่อจะบอกเป็นนัยๆ ว่าให้เขากินได้
แน่นอนว่าซุนเหรินซือไม่กินของเหลือ แต่หลิวจิ้นเป่าและตงอวี๋ไม่คิดมากในเรื่องนี้ หยิบเนื้อปลาขึ้นมาคนละหนึ่งชิ้น เพลิดเพลินกับความสุขอย่างคนที่มีฐานะต่ำต้อย
ยื่นเหล้าให้ซุนเหรินซือหนึ่งจอก จากนั้นทั้งสองคนก็นั่งพูดคุยอย่างเป็นกันเองที่ขอบเรือ
“ท่านโหว ทั้งๆ ที่พวกเรายังมีเวลาอีกตั้งห้าวัน เหตุใดท่านจึงล้มเลิกการโจมตีแคว้นหลินยี่ ท่านก็รู้ว่าประเทศเล็กๆ แบบนั้นต่อต้านการโจมตีของพวกเราได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงอยู่แล้ว ข้าไม่เข้าใจเหตุใดท่านจึงได้ล้มเลิกเป้าหมายนี้”
“แม่ทัพซุน เป้าหมายที่ล่อตาล่อใจมากเกินไปมักจะเป็นของปลอมเสมอ สงบจิตสงบใจแล้วลองคิดดูให้ดีๆ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าในป่าจะมีเมืองที่ว่านั่นอยู่จริงๆ ถ้าหากมี เฝิงอั้งอยู่หลิ่งหนานมาหลายปี มีหรือที่เขาจะไม่รู้ จะเหลือมาถึงพวกเราได้อย่างไร เจ้าคงไม่คิดว่าเฝิงอั้งไม่สามารถโจมตีเมืองเล็กๆ แบบนี้ได้หรอกนะ”
“ชิวเหอกล้าดีอย่างไรมาหลอกพวกเรา ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่หรือไม่” หลังจากที่หายจากการถูกทองบังตา ซุนเหรินซือก็กลับมาเป็นคนฉลาดเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็สามารถเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้ทันที
“เหล่าซุน เจ้าเป็นแม่ทัพของต้าถัง ครั้งนี้พวกเรามาเพื่อขนเสบียง ไม่ใช่มาทำศึกสงคราม ถึงแม้ว่าพวกเราจะสามารถจัดการเมืองหลินยี่ได้อย่างเงียบๆ แต่หลังจากจัดการได้แล้วจะทำอย่างไรต่อ? ยอมให้ชิวเหอขึ้นเป็นใหญ่คนเดียวอย่างนั้นหรือ? ที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์มากแค่ไหนเจ้าก็เห็น พวกเราเอาเสบียงอาหารไป ไม่เกินสองเดือนพวกเขาก็จะมีเสบียงอาหารมากมายเช่นเดิม เขาหลอกพวกเราแล้ว พวกเราจะไปทำอะไรเขาได้ อย่างมากก็ทำได้แค่หาผลประโยชน์ อย่างไรก็ฆ่าเขาไม่ได้ ฝ่าบาทไม่มีทางอนุญาตให้เราทำเช่นนี้ เว้นแต่ว่าฝ่าบาทจะส่งทางการมารวบแผ่นดินแห่งนี้ เจ้าจึงจะสามารถกำจัดแคว้นหลินยี่ได้อย่างสบายใจ”
“ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ หากได้ครอบครอง อิทธิพลของต้าถังก็จะมีมากขึ้นทันที ไม่ต้องกังวลเรื่องเสบียงอาหาร สามารถส่งกองทัพออกรบได้ทั่วทุกแห่ง”
แม่ทัพมักจะพิจารณาจากมุมมองของทหารเสมอ เมื่อมีเสบียงอาหาร อันดับแรกเลยก็คือสามารถนำไปเป็นเสบียงของทหารได้ การปฏิบัติงานให้สำเร็จนั้นเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับแผ่นดินที่ได้มานั้นจะทำอย่างไรต่อไป นั่นเป็นปัญหาของเจ้าหน้าที่พลเรือน เรื่องนี้อยู่นอกเหนือหน้าที่ของเขา
คุยเรื่องเศรษฐกิจการปกครองกับซุนเหรินซือทำให้อวิ๋นเยี่ยคิดว่าตัวเองคุยผิดคนแล้ว แม่ทัพก็เหมือนกับค้อนขนาดใหญ่ เขาปฏิบัติต่อศัตรูก็เหมือนกับเอาค้อนตอกตะปู ตอกครั้งเดียวไม่ลง เช่นนั้นจึงตอกสองครั้ง สามครั้ง จนกว่าจะตอกตะปูลงไปได้ ใช้ชีวิตแบบนี้มาเนิ่นนาน ตอนนี้มองอะไรก็ดูเหมือนเป็นตะปูไปซะหมด บางทีก็เผลอตอกตะปูแบบไม่รู้ตัว เมื่อมีค้อนแล้วเครื่องมืออื่นๆ ก็ไม่จำเป็น
ระหว่างที่ขนเสบียงอาหารกลับมา อู๋เสอยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ เดินไปดูเรือทุกลำด้วยตัวเอง ถึงแม้อากาศจะร้อนแต่ก็ลงไปที่ใต้ท้องเรือเพื่อตรวจสอบเสบียงอาหาร ข้าวเย็นของวันนี้ไม่ต้องจัดเตรียมให้เขาแล้ว เพราะว่าเขากำเมล็ดข้าวฟ่างจากเรือทุกลำมาแกะชิมเพื่อตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว รอเขาชิมเสบียงอาหารเสร็จคาดว่าก็น่าจะอิ่มพอดี
ห้องโดยสารเรือไม่ใช่สถานที่ที่ดีในการเก็บเสบียงอาหาร หากเปียกน้ำทุกอย่างก็จบ แล้วตอนนี้ฤดูฝนของหลิ่งหนานก็ใกล้จะมาถึงแล้ว จะต้องรีบออกจากที่นี่ก่อนฤดูฝนจะมาถึง ล่องไปตามลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดมาจากมหาสมุทรเพื่อแล่นไปตามแนวชายฝั่งอย่างช้าๆ อ้อมไปครึ่งเมืองต้าถังเพื่อเอาเสบียงอาหารไปส่งที่ซานตง จากนั้นก็ขนส่งทางบกไปยังเมืองจี้โจว เดินทางเลียบคูคลองขนาดใหญ่ส่งไปถึงเมืองฉางอัน
การเดินทางไกลแน่นอนว่าไม่มีทางราบรื่น การเดินทางครั้งนี้ซุนเหรินซือได้เตรียมการไว้นานแล้ว และดำเนินการอย่างรอบคอบ
คิดแล้วก็น่าเศร้า การขนส่งที่สำคัญเช่นนี้ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่พลเรือนทั้งราชสำนักแทบจะไม่มีใครสนใจเลย ปล่อยให้ข้าราชการเด็กๆ ไปจัดการแบบเดาสุ่มกันเอง อู๋เสอเก็บความลับลึกดังก้อนหินในมหาสมุทร ไม่รู้ว่าตอนนี้ที่ฉางอันเกิดอะไรขึ้น ผู้นำประเทศต่างก็พากันจับจ้องไปยังฉ่าวหยวน พวกเขาเลือกที่จะลืมเมืองซึ่งห่างออกไปทางตอนใต้
ไม่ใช่ว่าตัวเองไม่เจ็บปวด เขาถึงขั้นโมโหเสียด้วยซ้ำ หลี่ซื่อหมินเอากำไรจากพวกเขาไปถึงหกส่วน ถึงแม้ว่าคนจะมีเสื้อผ้าไว้ปกปิดร่างกาย แต่ก็ไม่สามารถปกปิดความจริงที่ว่าราชวงศ์นั้นคอยขัดขวางการเติบโตของตระกูลขุนนางได้
“ขนกลับมา อย่างไรก็ต้องขนกลับมา” จดหมายสั้นๆ ของหลี่ซื่อหมินทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกถึงความกดดันเป็นอย่างมาก ดูแล้วหลี่ซื่อหมินคงไม่ส่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่มาจัดการเรื่องนี้ ทหารเรือรับใช้ที่เคยมาจากที่นั่นก็จะรู้จักคำพูดที่ว่า ‘กลัวว่าเรือที่ให้มาจะเล็ก กลัวว่าเจ้าหน้าที่ที่ส่งมาจะอายุเยอะ กลัวว่าเงินเดือนที่ให้แก่ผู้นำทัพจะมากเกินไป’ ทั้งราชสำนักต่างใช้ประโยคนี้แสดงความไม่พอใจต่อหลี่ซื่อหมิน
เมื่อหลี่ซื่อหมินขึ้นครองบัลลังก์ เขาได้สร้างความร่ำรวยมั่งคั่งให้กับคนที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขา ไม่ทอดทิ้งคำปฏิญาณ ไม่มีการกบฏ หลายปีมานี้หลี่ซื่อหมินทำผลงานได้ดี การที่ให้รางวัลแก่เหล่าขุนนางทำให้เกิดการแบ่งชนชั้น แต่การแบ่งชนชั้นก็มีประโยชน์ในตัวของมันเอง แต่บางครั้งก็ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศ
หม่าโจวผู้น่าสงสารยังคงคิดว่าความคิดเห็นของเขาได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้แล้ว แต่ไม่รู้ตัวว่าหลี่ซื่อหมินกำลังใช้เขาเป็นสัญญาณให้กับขุนนางที่ไม่รู้จักพอเหล่านั้น หวังว่าพวกเขาจะหยุดความคิดเช่นนั้นลง แต่ผลกลับไม่ดีอย่างที่คิด หม่าโจวกลายเป็นบุคคลที่ถูกคนทั้งเมืองรุมสาปแช่ง นี่คือบุคคลที่ฮ่องเต้ยกย่อง แต่กลับถูกย่ำยีถึงเพียงนี้ ดูเหมือนจะไม่มีใครไว้หน้าฮ่องเต้แล้ว
ครั้งนี้จั่งซุนอู๋จี้อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับหลี่ซื่อหมิน ทำให้ความโกรธของฮ่องเต้ผู้โดดเดี่ยวพุ่งถึงขีดสุด
การที่อวิ๋นเยี่ยพเนจรมาจนถึงหลิ่งหนานทำให้เขาพอมีความหวังขึ้นมาบ้าง บางทีเด็กคนนี้อาจจะทำให้เขามีโอกาสฝ่าฝันอุปสรรคครั้งนี้ไปได้ การปรากฏตัวของโต้วเยี่ยนซานทำให้ฮ่องเต้แทบจะคิดว่าพระเจ้ากำลังช่วยเหลือตัวเองอยู่ มิเช่นนั้นก็ไม่มีวิธีที่จะอธิบายเหตุผลของการเกี่ยวข้องกันของเรื่องราวต่างๆ นี้ได้
หลังจากพิจารณาถี่ถ้วนแล้วหลี่ซื่อหมินก็ไม่ได้มอบพระราชโองการให้อวิ๋นเยี่ยเป็นครั้งที่สอง แต่เป็นการเขียนจดหมายในรูปแบบจดหมายครอบครัว เขาเชื่อว่าอวิ๋นเยี่ยจะเข้าใจความลำบากของเขาและทำทุกวิถีทางเพื่อนำเสบียงอาหารกลับมา
คลังเสบียงของฉางอันถูกนำไปใช้จนหมดด้วยเหตุผลต่างๆ ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ตอนนี้หลี่ซื่อหมินกำลังพนันว่าอวิ๋นเยี่ยจะสามารถนำทรัพย์สินทั้งหมดกลับมาได้เพื่อเติมเต็มให้กับคลังที่แห้งแล้ง
จดหมายจากฮองเฮาจั่งซุนให้กำลังใจเขาได้มาก จั่งซุนต้องการเพียงให้อวิ๋นเยี่ยพยายามอย่างเต็มที่เพื่อกลับมาอย่างปลอดภัย ไม่ได้พูดถึงเสบียงอาหารและสมบัติ ไม่มีแม้แต่คำเดียว แต่ว่าอวิ๋นเยี่ยได้เห็นความรีบร้อนสื่อออกมาจากตัวอักษรที่เขียน
ส่วนจดหมายของซินเย่วนั้นเรียบง่าย ไม่ได้เขียนอะไร มีเพียงรอยมือและรอยเท้าของอวิ๋นโซ่ว รอยเล็กๆ ทำให้อวิ๋นเยี่ยน้ำตาไหลดั่งสายฝน จดหมายของฮ่องเต้และฮองเฮาถูกโยนทิ้งไปทันที มองดูรอยมือรอยเท้าอย่างใกล้ชิดและละเอียด นี่คือลวดลายที่สวยงามที่สุดในโลก
“นี่คือรอยเท้าและรอยมือของโซ่วเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ?”
หลี่อันหลานเอาจดหมายมาดู ยกมือขึ้นมาทาบแล้วพูดว่า “มือและเท้าไม่ใหญ่เท่าหรงเอ๋อร์ ซินเย่วเลี้ยงลูกอย่างไรกัน กวนจงเป็นสถานที่ที่ดีในการเลี้ยงเด็ก แต่กลับไม่แข็งแรงเท่าเด็กที่ถูกเนรเทศมาเลี้ยงที่หลิ่งหนาน”
พูดเสร็จก็อุ้มลูกน้อยมาอวดอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยอุ้มลูกแล้วยกแขนอ้วนๆ ของลูกขึ้น ดูใต้รักแร้ จากนั้นก็สำรวจที่ก้นของลูกเพื่อดูว่ามีรอยผดผื่นหรือไม่ ที่หลิ่งหนานอากาศร้อนชื้นทำให้มีผลต่อผิวของเด็กเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผิวบริเวณข้อพับจะอับชื้นได้ง่าย หากไม่ระวังจะลามไปทั้งตัว ที่นี่ไม่มีแป้งฝุ่น ทำได้เพียงตรวจสอบบ่อยๆ อาบน้ำบ่อยๆ เอา
“เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ก็เหมือนเป็นชีวิตของข้า รีบโตเร็วๆ เข้าล่ะ หลี่อันหลาน เมื่อเจ้าไปเมืองหลวงจะต้องเอาลูกไปด้วย ท่านย่าเอาแต่พูดตลอดว่าอยากจะเจอหลานชายคนโต เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ ท่านย่าก็อายุมากแล้ว ครั้งนี้มีเรื่องเกิดขึ้นกับข้า บางทีมันอาจจะกระทบต่อจิตใจของท่านย่าเป็นอย่างมาก”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น