เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 8 ตอนที่ 36-38

[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 36 เสี่ยงตาย

 

“เฝิงกง คุณค่าของของชิ้นนี้ไม่ได้สูงอย่างที่เจ้าคิด” ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่อวิ๋นเยี่ยก็พูดประโยคนี้ออกมา หลี่อันหลานมองอวิ๋นเยี่ยด้วยสายตาประหลาดใจ เห็นว่าเขาไม่พูดอะไร นางก็เลยนั่งเป็นหุ่นอยู่บนเก้าอี้


 


“อวิ๋นเยี่ย ชีวิตนี้ข้าฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วน เห็นวีรบุรุษที่ต่อสู้ด้วยดาบและปืนมานับไม่ถ้วนเช่นกัน ข้าไม่เคยนึกกลัว แม้แต่ความตายบนน้ำมือของศัตรู ข้าก็จะตายด้วยรอยยิ้ม แต่ช่างน่าเสียดาย หลายปีที่ผ่านมา คนที่ได้รับชัยชนะมักจะเป็นข้า…”


 


เห็นท่าทางชีวิตที่โชกโขนของเขา ไม่เข้าใจว่าต้องการพูดอะไร ทว่ากลับเห็นเขาหยิบลูกธนูออกจากด้านหลัง แล้ววางไว้ในมือของอวิ๋นเยี่ย


 


ลูกธนูนี้หนาเท่านิ้วชี้ ยาวเกือบสามฟุต หางธนูมีขนสีดำ หัวธนูมีรูปร่างแปลกๆ หัวธนูของคนอื่นจะมีปลายแหลมบ้าง ปลายสามเหลี่ยมบ้าง แต่หัวธนูของเฝิงอั้งกลับเป็นพลั่วขนาดเล็ก ส่องแสงระยิบระยับ ความแรงของลูกธนูเช่นนี้ไม่แรงเท่าธนูเจาะเกราะ แต่การยิงธนูก็จะส่งผลไม่เหมือนลูกธนูทั่วไป


 


เฝิงอั้งไม่พูดไม่จา เดินมาที่กำแพง ขณะนั้นเองอวิ๋นเยี่ยถึงเพิ่งเห็นว่ามีคันธนูยักษ์พิงกำแพงอยู่ อวิ๋นเยี่ยไม่เห็นว่าเขาขยับตัวตอนไหนอย่างไร เห็นอีกทีธนูยักษ์ก็ถูกดึงออกมาเรียบร้อยแล้ว หัวธนูที่ส่องแสงแวววาวเล็งไปยังอวิ๋นเยี่ย


 


หลี่อันหลานร้องด้วยความตกใจ วิ่งมาบังธนูให้อวิ๋นเยี่ย ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยไม่มีอารมณ์สนใจลูกธนูที่หมายจะเอาชีวิตเขาได้ทุกเมื่อ แต่เขากลับก้มหน้าลงมองหลี่อันหลาน เห็นนางหลับตาแน่น ตัวสั่นไปหมด แล้วที่ตายังมีน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ปากสั่นเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็พูดไม่ออก


 


ตบที่ไหล่ของหลี่อันหลานเบาๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “ยัยโง่ ตัวเจ้าบังลูกธนูลูกนั้นให้ข้าไม่ได้หรอก ต่อไปหากอยากจะบังให้ข้า ให้ใส่ชุดเกราะก่อนแล้วคอยมาบัง” อยากจะผลักหลี่อันหลานออก แต่กลับเห็นว่านางกอดตัวเองไว้แน่น


 


“อวิ๋นเยี่ย ชีวิตนี้ข้าเดินมาจนถึงทุกวันนี้อย่างไม่เคยเกรงกลัวอะไร เมื่อครู่ ตอนที่เจ้าพูดถึงเรื่องโรคแผลเน่า ข้ากลัวแล้วจริงๆ หากคนอื่นเอาเรื่องนี้มาข่มขู่ข้า ข้าจะตัดหัวมันทันที มีเพียงเจ้า! ที่ข้าไม่กล้า! ตอนที่ลูกชายของข้า จื้อไต้ ได้เรียนการแพทย์กับซุนซือเหมี่ยว เคยได้ยินเขาพูดว่าเจ้ามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับโรคแผลเน่า หากบนโลกใบนี้มีเพียงคนเดียวที่สามารถรักษาโรคนี้ได้ เช่นนั้นก็คือเจ้า เจ้ารักษามันได้ นั่นหมายความว่าเจ้าเอาชนะมันได้ เจ้าบอกว่าเจ้าสามารถทำให้โรคนี้ระบาดที่หลิ่งหนาน ข้าคงไม่กล้าไม่เชื่อ


 


ในช่วงเวลาสามปีของฤดูใบไม้ร่วง บ้านสิบห้าหลังกลายเป็นบ้านของผีไป ผู้คนหลายสิบคนมีรอยแผลเป็นบนใบหน้า น่ากลัวยิ่งกว่าผี เร่ร่อนอยู่บนภูเขา ไม่กล้าออกมาพบปะผู้คน พวกเขาถูกเรียกว่าคนหน้าผี นี่คือเรื่องที่ข้าเห็นเองกับตา


 


หนึ่งปีก่อนในราชวงศ์สุย โรคแผลเน่าระบาดที่เกาโจว คนที่มีความเมตตาอย่างแม่ของข้า สั่งปิดเมืองเกาโจวด้วยตัวเอง ในเมืองตื่นตระหนกร้องไห้นานกว่าสามเดือน แม่ของข้ายืนอยู่บนแท่นสูง น้ำตาไหลดั่งสายเลือด เกิดความโกลาหล พึ่งจะขึ้นครองราชย์ได้เพียงสองปี แม่ของข้าก็ล้มป่วยจนตายที่กว่างโจว อนาถเช่นนี้ เจ้าจะให้ข้าไม่กลัวโรคแผลเน่าได้อย่างไร


 


อวิ๋นเยี่ย! เจ้าออกไปจากหลิ่งหนานเสียเถิด ออกไป ไม่เช่นนั้นข้าคงอดไม่ได้ที่จะฆ่าเจ้า ลูกชายของข้าตายไปแค่สามคน หากเจ้าฆ่าลูกชายของข้าทั้งหมด เจ้าลองดูว่าข้าจะขมวดคิ้วหรือไม่


 


ข้าเกิดที่นี่โตที่นี่ ถึงแม้ว่าหลิ่งหนานจะรกร้างและห่างไกล แต่มันก็คือดินแดนเพาะปลูกของบรรพบุรุษข้า เป็นดินแดนที่พวกเขาหลงเหลือไว้หลังจากผ่านการฆ่าฟันกับพวกสัตว์ป่า ต่อสู้กับพวกมังกร ตระกูลเฝิงของข้าก็ยังคงจะเติบโตที่นี่ไปหลายชั่วอายุคน เจ้าเป็นปีศาจ หลิ่งหนานไม่กล้าเก็บเจ้าไว้ หากเจ้าอยู่ที่นี่นานกว่านี้ ก็จะทำลายล้างที่นี่โดยไม่มีที่สิ้นสุด แค่เทพภูเขาตีกลองก็ทำให้คนกว่าสองร้อยของข้าต้องตายอนาถไม่เหลือซากศพ แค่สมบัติล้ำค่ามากมายของหลิ่งหนานก็ทำให้พวกขุนนางวิ่งไล่ตามกันมา สงครามข้ามช่องแคบไม่เคยหยุดพัก ออกไป ออกไปให้เร็วที่สุด เอาสมบัติล้ำค่า เสบียงอาหาร พวกทหารดุร้ายของเจ้ากลับไปด้วย แล้วก็อย่ากลับมาอีก ไม่เช่นนั้นข้าสาบานว่าจะฆ่าเจ้า!”


 


พึ่งจะพูดเสร็จ ลูกธนูขนาดใหญ่ก็พุ่งออกมาเฉียดผ่านหูของอวิ๋นเยี่ย ทะลุห้องออกไป ไม้ไผ่ที่ใหญ่เท่าแขนถูกยิงแตกเป็นสามส่วน กิ่งหนาของต้นไม้ก็หักตกลงบนพื้นทันที


 


หลิวจิ้นเป่าถือโอกาสวิ่งเข้ามา ยืนอยู่ระหว่างอวิ๋นเยี่ยกับเฝิงอั้ง ขอแค่อวิ๋นเยี่ยออกคำสั่ง เขาก็จะกระโจนเข้าใส่ทันที อู๋เสอก็ยืนอยู่ที่หน้าหน้าต่างเงียบๆ


 


“ไสหัวออกไป!” อวิ๋นเยี่ยและเฝิงอั้งชี้ด่าหลิวจิ้นเป่า หลิวจิ้นเป่าก็เลยเก็บมีดลงอย่างน้อยใจ และเดินออกไปตามมุมกำแพง ไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังเล่นอะไรกัน อู๋เสอก็หายไปออกจากหน้าต่างเช่นกัน


 


“เหล่าเฝิง เจ้าบ้าไปแล้ว กล้ายิงธนูใส่ข้า รู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่ผมของข้าขาดไปแล้วกี่เส้น เจ้าชดใช้ให้ข้าได้หรือ เจ้าคิดว่าข้าชอบมาดินแดนที่แม้แต่นกยังไม่ขี้ใส่แห่งนี้หรือ ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ของข้าก็คือการที่ได้ตายอยู่ที่เขาอวี้ซัน ฝังอยู่กับหลุมศพของบรรพบุรุษ ฟังให้ดี ข้าถูกโต้วเยี่ยนซานจับตัวมาที่แคว้นหนานจ้าว หลังจากที่ฆ่าโต้วเยี่ยนซานได้แล้วถึงมาที่หลิ่งหนาน มาหาลูกของตัวเอง ผิดตรงไหน


 


ลูกชายสารเลวสามคนของเจ้ากล้าคิดอะไรกับเมียของข้า ถูกฆ่าตายแล้วจะทำไม เพราะว่าไว้หน้าเจ้าถึงได้ใช้เรื่องเทพภูเขาตีกลอง หากไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ข้าคงไม่ทำเช่นนี้ กระดูกของอวิ๋นโจวก็หักไปตั้งนานแล้ว หากข้ายักคิ้วหลิ่วตากับเมียของเจ้า คิดอะไรไม่ดี เหล่าเฝิง เจ้าก็คงยิงลูกธนูใส่ข้าไปนานแล้ว ยังจะคิดไว้หน้าข้าหรือ


 


หากข้าไม่มา ลูกของเจ้าก็คงจะกลายเป็นพ่อของลูกข้า เจ้าก็จะกลายเป็นพ่อของข้า? ไม่ชำระความแค้นครั้งนี้ ข้ากลับไปฉางอันก็คงจะถูกหัวเราะเยาะจนตาย จะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน


 


เจ้าไม่ต้องมาไล่ข้า หากไม่ใช่เพราะลูกข้าเมียข้าอยู่ที่นี่ ข้าก็ไม่อยากจะอยู่สถานที่ผีสิงเช่นนี้ สมบัติล้ำค่า ข้าเอากลับไปแน่ แล้วหกส่วนของตระกูลเจ้า เอาออกมาให้ข้า เป็นพระราชโองการของฝ่าบาท ไม่ใช่ข้าอยากได้ เสบียงอาหารข้าก็จะเอากลับไปด้วย เพราะกองทัพกำลังต้องการ คนของข้า ข้าจะให้อยู่ที่นี่หนึ่งพันคน ข้าจะได้แน่ใจว่าถูกชายของเจ้าจะไม่มาคิดไม่ซื่อกับเมียของข้าอีก


 


เหล่าเฝิง นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบหนึ่งพันปี ความเจริญรุ่งเรืองกำลังจะมาถึง ทหารม้าต้าถังของข้าถูกสั่งให้เดินทางผ่านภูเขาแม่น้ำมาแล้วนับพัน เจ้าจะหดตัวอยู่ในหลิ่งหนานได้เช่นไร สร้างเรือใหญ่สักสองลำเจ้าจะตายเหรอ เอาแต่เป็นวีรบุรุษบนดิน แน่จริงเจ้าก็ลงทะเลไปเอง เจ้าไม่ไปข้าไปเอง ตอนเด็กๆ ข้าฝันอยากเป็นโจรสลัดมานานแล้ว”


 


ตอนที่พูดประโยคพวกนี้ หลี่อันหลานบีบแขนของอวิ๋นเยี่ยอย่างสุดชีวิต โดยเฉพาะตอนที่พูดถึงเรื่องคิดไม่ซื่อ นางบีบอย่างไม่คิดชีวิต


 


“ขอแค่เจ้าไสหัวไป ข้ากับองค์หญิงคุยกันได้ ฝ่าบาทส่งซุนเหรินซือมาแล้วไม่ใช่หรือ ถึงว่าเจ้าปีกกล้าขาแข็งขึ้นไม่เบา คำสองคำก็เหล่าเฝิง คำสองคำก็ข้า อยากจะเป็นลูกของข้า ต้องไปถามพ่อของข้าก่อน เขาเป็นคนมีความสามารถราวกับเสือดุร้าย แม่ของข้าก็เป็นคนมีความกล้าหาญ แน่จริงเจ้าก็ไปถาม ข้าก็อยากจะเห็นเช่นกัน


 


ลงทะเล เจ้าจะรู้อะไร ออกไปใกล้ๆ ก็ไร้ประโยชน์ ออกไปไกลก็ออกไปตาย ตายเป็นลำๆ ข้าก็แปลกใจเหมือนกันว่าเหตุใดคนบนเรือของเจ้าไม่ตาย เพราะเหตุใดกัน หากเจ้าบอกข้ามา ลูกชายของข้าทั้งสามคนเจ้าก็ไม่ต้องชดใช้”


 


อวิ๋นเยี่ยเดินไปที่สวน เด็ดส้มสีเขียวโยนให้เฝิงอั้งแล้วพูดว่า “นี่คือโรคชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่าโลหิตเป็นพิษ เกิดจากการที่ร่างกายขาดแคลนบางสิ่งบางอย่าง เจ้าไม่ต้องถาม พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ รู้แค่ว่ากินส้มก็สามารถสร้างสิ่งนั้นขึ้นมาได้ แล้วกินถั่วงอกทุกวัน เช่นนี้เมื่อลงทะเลเจ้าก็จะไม่มีปัญหา กินส้มวันละหนึ่งถึงสองลูก บำรุงร่างกาย!”


 


เหล่าเฝิงผู้ยิ่งใหญ่นั่งคิดบนเก้าอี้สักพักแล้วพูดว่า “เรื่องเช่นนี้ก็ควรที่จะฟังเจ้า ลูกชายทั้งสามคนของข้าก็ถือว่าตายบนเรือไปแล้ว ต่อไปไม่ให้ใครพูดถึงเรื่องนี้อีก เจ้าต้องการหกส่วนของข้าที่หลิ่งหนาน หรือว่าที่ฝั่งตรงข้ามของช่องแคบ พูดให้ชัดเจน”


 


“แน่นอนว่าต้องเป็นหกส่วนที่ตรงข้ามช่องแคบ หากเป็นหกส่วนที่หลิ่งหนาน ตระกูลของเจ้ายังมีเหลืออยู่อีกหรือ”


 


“ถึงแม้ว่าเจ้าจะเลวทราม แต่เจ้าก็ถือว่าเป็นคนตรงไปตรงมาคนหนึ่ง ไม่ได้คิดที่จะเอากิจการที่ตระกูลเฝิงของข้าสั่งสมมาหลายร้อยปี ทำชั่วแต่ก็ทำถูก คนเช่นนี้ยังพอพูดคุยกันได้ ไอ้จางเลี่ยง คราวนี้เล่นงานทุกคนอย่างหนัก ต่อไปข้ากลับไปฉางอัน ทำอาหารให้ข้ากินถือว่าเป็นการไถ่โทษ ที่นี่ก็ช่างมันเถอะ เจ้ารีบไปทำเรื่องของเจ้า แล้วรีบไสหัวออกไปจากหลิ่งหนาน ต่อไปก็ไม่ต้องมาหาลูกเจ้าบ่อยนัก หากคิดถึงก็ส่งคนมารับเขาไปฉางอัน แล้วเมียของเจ้า หากชอบมากนักก็เอากลับไปด้วย ข้ารับประกันว่าที่ดินของนางจะปลอดภัย”


 


พูดเสร็จก็ไม่รอให้อวิ๋นเยี่ยออกไปส่ง แบกธนูและถือหูเครื่องแก้วกระต่ายเดินออกไปเอง


 


ทันทีที่เฝิงอั้งเดินออกไป อวิ๋นเยี่ยก็โล่งอกอย่างมาก เหงื่อแตกราวกับฝนตก เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปหมด ขาอ่อนจนขยับก้าวเดินไม่ได้ การเผชิญหน้าเมื่อครู่ทำให้เขาแทบจะหมดเรี่ยวแรง ตอนที่ถูกเฝิงอั้งเอาลูกธนูเล็งมา อวิ๋นเยี่ยคิดว่าตัวเองตายไปแล้ว โชคดีที่ฝึกฝนมาหลายปี ไม่เช่นนั้น เขาคงจะฉี่รดกางเกงเหมือนตอนที่ถูกฟ้าผ่าบนตำหนักไท่จี๋ เมื่อคนคนหนึ่งถูกความโมโหอันทรงพลังล็อกเอาไว้ ความรู้สึกในช่วงเวลานั้น ยากที่จะลืมไปได้


 


“พยุงข้ากลับห้องนอนที ขาอ่อน เดินไม่ไหวแล้ว”


 


ผู้หญิงคนนี้ช่างโง่เขลา อวิ๋นเยี่ยแทบจะทรุดตัวลงกับพื้นอยู่แล้ว แต่นางยังคงทำหน้าโมโห ได้ยินเสียงเรียก ถึงได้เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ปกติ รีบพยุงเขาเอาไว้ พาเดินกะเผลกไปยังห้องนอน


 


ทันทีที่เข้ามาในห้อง อวิ๋นเยี่ยก็ถอดเสื้อผ้าออก เหนียวตัวจนอึดอัดไปหมดแล้ว เมื่อเห็นเขาถอดเสื้อ หลี่อันหลานก็รีบกระโดดไปอยู่อีกฝั่ง คิดว่าเขาจะทำอะไรกับตัวเอง


 


“กลางวันแสกๆ ไม่ได้ เมื่อถึงกลางคืน ก็แล้วแต่เจ้า”


 


“ฝันไปเถอะ ข้าตกใจจนตัวสั่นไปหมด ใครจะมีอารมณ์สนใจเจ้า รีบไปเตรียมน้ำให้ข้าอาบ เหงื่อเต็มไปหมด ลูกธนูของเฝิงอั้งช่างน่ากลัว คนที่ขี้ขลาดตาขาวคงจะตกใจตายไปแล้วด้วยซ้ำ”


 


“ข้าก็ถูกลูกธนูเล็งเหมือนกัน เหตุใดถึงไม่ตัวสั่นล่ะ”


 


“เจ้าถูกเล็งไปข้างหลัง ข้าถูกเล็งข้างหน้า แล้วอีกอย่างเจ้าเอาแต่คิดที่จะตายเพื่อความรัก แต่ข้ากลับคิดว่าจะทำเช่นไรให้มีชีวิตรอด แน่นอนว่าต้องไม่เหมือนกัน” อวิ๋นเยี่ยหยิบเสื้อผ้า เช็ดที่รักแร้กับที่ใต้สะโพกสองสามที แล้วค่อยเอาเสื้อผ้าโยนออกไปไกลๆ


 


“หากเราตายด้วยกัน เราจะได้ฝังด้วยกันไหม แล้วเจ้าจะดีใจไหม”


 


“เจ้าโง่เหรอ จะตายอยู่แล้วใครจะดีใจ ต่อไปอยากตายเจ้าก็ไปตายเอง เอาลูกไว้ให้ข้า ข้ายังอยากจะดูเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นฝั่งเป็นฝา ยังไม่ได้ลิ้มรสชาติต่างๆ บนโลก จะตายได้อย่างไร หากเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว เข็มขัดของข้าอยู่ตรงนั้น เอาห้อยคอ เดี๋ยวก็ตาย หลังจากที่ข้าฝังเจ้าแล้ว ข้าก็จะท่องบทสิบปีแห่งชีวิตและความตาย ประโยคสั้นยาวที่น่าจดจำ จากนั้นก็จะหัวเราะอย่างโศกเศร้า พาลูกชายกลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่ฉางอัน”

 

 

 


[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 37 กองทัพเรือ

 

อวิ๋นเยี่ยอาบน้ำอุ่นอย่างมีความสุข อุณหภูมิของน้ำแทบจะถอนขนหมูได้ทั้งตัว ถูกต้มเหมือนกุ้งตัวใหญ่ มีความสุขเหลือเกิน ชำระล้างสิ่งสกปรกจากภายในสู่ภายนอก


 


 


ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าความสมเพชตัวเองในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ที่แท้ก็เป็นผลมาจากความกดดัน ความรู้สึกผิดของหัวใจ หลังจากที่ฆ่าคนไป


 


 


ความรู้สึกผิดกับการฆ่าคนเป็นแนวคิดสองแนวคิด บนโลกใบนี้ในคนที่รู้สึกผิดไปด้วยและไล่ฆ่าฟันคนไปด้วยมีถมไป เพิ่มอวิ๋นเยี่ยมาอีกสักคนจะเป็นอะไรไป หลี่อันหลานยังคงไม่หลุดพ้น ทำหน้าบูดหน้าเบี้ยวนอนอยู่บนเตียง และแน่นอนว่า ข้างนอกอากาศสดใส


 


 


แม่ครัวของตระกูลซึ่งตามมายังหลิ่งหนานด้วยทำโจ๊กไข่เยี่ยวม้าใส่เนื้อไม่ติดมันชามใหญ่ให้ท่านโหว แค่กระเทียมดองก็กินอย่างเอร็ดอร่อย นึกถึงหลี่อันหลานที่ยังนอนอยู่บนเตียง ก็เลยบอกให้หลิงตังตักไปให้องค์หญิงชามหนึ่ง บอกว่าท่านโหวทำเองกับมือ


 


 


ลูกชายรังเกียจกลิ่นกระเทียมดองในปากของอวิ๋นเยี่ย ไม่ให้หอม หันหน้าไปซ้ายไปขวาไม่ยอมให้อวิ๋นเยี่ยจับ ช่างเถอะ เด็กดี เมื่อกี้ยังโยนส้มลงในชามของพ่อ อยากให้พ่อบำรุงร่างกายอยู่เลย


 


 


วั่งไฉที่หล่อเหลา ตอนนี้ไม่มีอะไรทำ มันมักจะชอบไปดมก้นของม้าตัวเมีย ตีไปสองทีก็ช่วยอะไรไม่ได้ คนขี้ม้าบอกว่าวั่งไฉคิดถึงแม่ของมัน


 


 


เหมือนภาคใต้กำลังลุกเป็นไฟ อากาศร้อนยังไม่พอ คนก็อารมณ์ร้อนไปด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวั่งไฉที่กลายเป็นม้าวิ่งเร็ว อารมณ์ร้อนอย่างไฟ แต่ปัญหาของตัวเองยังแก้ไขไม่ได้จึงไม่สนใจวั่งไฉที่น่าสงสาร ตอนนี้เจ้านั่นเจอควายก็ยังเข้าไปดม ช่างน่าสงสาร


 


 


ช่วงสองสามวันนี้หงเฉิงทำงานหนักจนแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน ทหารใต้บังคับบัญชาของเขาถูกเขาใช้งานราวกับลาที่ตื่นตระหนก ขี่ม้า ฟาดแส้ เรียกเก็บเงินไปทุกหนทุกแห่ง


 


 


คนไม่เพียงพอ ซุนเหรินซือเอาไปสองพันนาย ไม่รู้ว่าไปหาทหารใหม่มาจากไหนตั้งสามพันนาย เพื่อฝึกอบรมทหารใหม่ให้แข็งแกร่งขึ้น ทหารเก่าสองพันนายจึงยังกลับมาตอนนี้ไม่ได้ ต้องรอจนกว่าทหารใหม่กลายเป็นทหารเก่าก่อนถึงจะสามารถเดินทางกลับฉางอันได้


 


 


ที่เป๋ยไห่มีท่าเรือธรรมชาติท่าเรือหนึ่ง เรือที่ตระกูลอวิ๋นสร้างขึ้นมาจอดรวมกันอยู่ที่นี่ตรงบริเวณน้ำลึก บนเรือเป็นพวกข้าวเปลือก แต่น่าเสียดายที่เรือเล็กเกินไป ขนส่งเสบียงอาหารพวกนั้นไม่ได้หมด กองทัพเรือของราชสำนักก็จอดอยู่ที่นั่น เตรียมที่จะขนส่งเสบียงอาหารไปยังซานตงโดยเร็วที่สุด ที่จริงราชสำนักไม่ได้คาดหวังอะไรกับพวกเขามากนัก รู้สึกว่าเอาชะตาชีวิตผูกไว้กับเป้ากางเกงของเทพเจ้าคงไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่


 


 


คนที่ขับเรือคือหลิวเหรินย่วน เห็นผู้ชายคนนี้อวิ๋นเยี่ยก็นึกอยากจะตีเข้าให้ อยากจะตีตั้งแต่หนึ่งปีก่อนแล้ว ลูกศิษย์ที่ไหนเรียนหนังสืออยู่ดีๆ ก็ไม่เรียนซะแล้ว ทั้งสำนักศึกษาก็มีแค่เขาคนเดียว ได้ยินอวิ๋นเยี่ยโม้เรื่องกับตันแจ็คโจรสลัดแห่งแคริบเบียน เขาก็หลงใหลในผู้ชายที่สวมผ้าโพกหัวสีแดง ในมือถือดาบ โจรสลัดตาเดียว ไม่มีแขนซ้าย พร้อมกับสมบัติรูปมังกรแปดตัวและตะขอฟีนิกซ์


 


 


จะออกไปหาน้ำพุอมตะในทะเลอย่างไม่คิดอะไร และถือโอกาสจับไซเรนมาเลี้ยงในถังน้ำ ให้นางร้องเพลงให้ฟัง พ่อของเขาหลิวต้าจวี้ก็ตามใจลูกชายตัวเองเป็นอย่างมาก จ่ายเงินก้อนโตเพื่อให้ลูกชายได้มาเป็นกัปตันเรือ นายพันจื้อกั่วระดับเจ็ด หากอยากเป็นระดับหก จ่ายเงินหมดตระกูลก็ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เป็นแค่กัปตันเรือไม่ใช่ปัญหา ต้าถังไม่ค่อยสนใจกัปตันเรือสักเท่าไหร่


 


 


เพียงแค่เขาขับเรือรบใหญ่อยู่บนทะเล ก็เพียงพอที่จะถลกหนังเขาออกเป็นชิ้นๆ เพราะเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยจึงใช้แส้ฟาดเขาอย่างไม่รู้สึกผิดอะไร


 


 


“มีคนอย่างเจ้าอยู่ที่สำนักศึกษาช่างเป็นเรื่องที่น่าอายของสำนักศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ขับเรืออยู่บนทะเล แล้วยังเอาเรือรบออกมาด้วย พายุคลื่นทะเลเล็กๆ ก็สามารถพาเจ้าตกลงไปที่ก้นทะเลได้ เจ้าตายไม่เป็นไร พ่อของเจ้ามีเงิน แต่ชีวิตของคนอื่นๆ บนเรือเจ้าก็ไม่สนใจหรือ มีนายพันจื้อกั่วเช่นเจ้า มีแม่ทัพเลวทรามเช่นเเม่ทัพหนิ่งหย่วน อยากจะฆ่าเจ้าให้ตาย ข้าจะฟ้องแม่ทัพเลวทรามคนนั้นต่อราชสำนัก เห็นชีวิตของพวกทหารเป็นแค่เรื่องเล่นๆ ไม่ส่งเขาไปต้อนแกะที่เป๋ยไห่ข้าไม่ยอมเป็นแน่ ให้เขาน่าสงสารเสียยิ่งกว่าซูอู่เป็นสิบเท่า”


 


 


หลิวเหรินย่วนไม่กล้าขัดขืน โชคดีที่ตัวเองสวมชุดเกราะอยู่ ถูกแส้ฟาดสองสามทีไม่รู้สึกเจ็บรู้สึกคัน แต่เมื่อได้ยินท่านอาจารย์บอกว่าแม้แต่เจ้านายของเขาก็ไม่เว้น ฮ่องเต้ยังไม่เคยปฏิเสธฎีกาของท่านอาจารย์ เจ้านายของตัวเองคือลุงแท้ๆ ของตัวเอง หากถูกส่งตัวไปยังเป๋ยไห่ ดินแดนแห่งนั้นตอนนี้เป็นของชาวทูเจวี๋ย ไปอยู่ที่นั่นคาดว่าแม้แต่กินหญ้าก็ยังเป็นเรื่องที่ลำบาก


 


 


“ถูกใส่ร้าย ข้าถูกใส่ร้าย นั่นไม่ใช่เรือรบใหญ่ ราชสำนักไม่อนุญาตให้สร้างเรือรบใหญ่อยู่แล้ว ศิษย์ออกแบบเองเล็กน้อยเพียงเท่านั้น หากเอาเรือรบใหญ่ขับไปบนทะเลจริงๆ ศิษย์คงจะถูหถลกหนังออกเป็นแผ่นๆ ตั้งนานแล้ว”


 


 


อวิ๋นเยี่ยได้ยินที่เขาพูด ก็หยุดฟาดแส้ มองไปที่เรือสิบกว่าลำที่ลอยอยู่บนทะเลด้วยความสงสัย ที่จุดสูงของดาดฟ้าเรือ ข้างบนปรากฏห้องโดยสาร และสิ่งที่โมโหที่สุดคือมีปืนใหญ่อยู่ที่หัวเรือ เสากระโดงเรือสูงขึ้นไปบนฟ้า นี่ไม่ใช่เรือรบที่ใช้ในแม่น้ำแยงซีเกียงแล้วมันคืออะไร


 


 


โมโหเป็นอย่างมาก ขว้างแส้ลงและมองหาค้อนแทน หากวันนี้ไม่ได้สั่งสอนไอ้กัปตันลวงโลกคนนี้ มันคงจะผิดต่อความพยายามในการสั่งสอนลูกศิษย์ของตัวเอง


 


 


ถูกตีเบาๆ ต้องอดทน ถูกตีแรงๆ ต้องวิ่งหนี นี่คือสิ่งที่สำนักศึกษาสอนลูกศิษย์มาโดยตลอด กลัวแค่ว่าท่านอาจารย์ท่านนั้นจะถูกลูกลูกศิษย์ที่ไม่เต็มบาทยั่วโมโหเข้าให้และตีลูกศิษย์จนตาย เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ ตอนนี้ลูกศิษย์ย่อมควรจะวิ่งหนีได้แล้ว


 


 


หลิวเหรินย่วนวิ่งเป็นวงกลมอยู่ข้างหน้า อวิ๋นเยี่ยถือค้อนไล่ตามเขาอยู่ข้างหลัง วิ่งได้ไม่ถึงสองรอบ อวิ๋นเยี่ยก็วิ่งต่อไม่ไหวแล้ว วันนี้ใช้พลังงานแก้แค้นองค์หญิงไปหมดแล้ว ขาทั้งสองข้างสั่นไปหมด ถือค้อนยืนหอบอยู่ตรงนั้น


 


 


หลิวเหรินย่วนเห็นว่าท่านอาจารย์ไม่วิ่งตามแล้ว เขาจึงยืนขอโทษท่านอาจารย์อยู่ห่างๆ ขอโทษเสร็จก็ตะโกนใส่พวกทหารเรือ มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับห้องโดยสารบนเรือพวกนั้น ราวกับดอกโบตั๋นเบ่งบานในชั่วขณะ บานออกที่ละชั้น กลายเป็นดาดฟ้าแบบใหม่ท่ามกลางเสียงแตรของทหารเรือ รูปร่างเดิมหายไป ปืนใหญ่ก็ถูกแบ่งออกเป็นสองสามส่วน หน้าไม้รูปวัวแปดตัวยืนสง่าอยู่บนหัวเรือ


 


 


อวิ๋นเยี่ยโยนค้อนทิ้ง เดินไปสังเกตเรือพวกนั้นที่ชายหาดอย่างระมัดระวัง โชคดีที่ใบเรือที่แข็งราวกับกำแพงเปลี่ยนเป็นใบเรืออ่อนสามใบซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางลมได้ แต่ที่น่ากลัวก็คือใบเรืออ่อนแรงพวกนั้นมันคือผ้าไหม


 


 


หลิวเหรินย่วนอกผายไหล่ผึ่งยืนอยู่ข้างอวิ๋นเยี่ย ชี้ไปที่กองทัพเรือแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่าศิษย์เป็นคนโง่หรือ ศิษย์เชิญท่านอาจารย์กงซูออกแบบสิ่งเหล่านี้ให้ศิษย์ตั้งนานแล้ว ใบเรือผ้าไหมมีมาตั้งแต่สมัยสามก๊ก ศิษย์ก็เลยอยากจะเอามาใช้ในสมัยนี้ มีใบเรือผ้าไหมเหล่านี้ ศิษย์ก็จะสามารถใช้แรงลมได้มากที่สุด รถสามล้อของท่านก็ใช้วิธีนี้ไม่ใช่หรือ


 


 


สำหรับชั้นบน จะมีประโยชน์ในการต่อสู้บนแม่น้ำสายใหญ่ แต่บนทะเลก็ไร้ประโยชน์ เช่นเดียวกับที่ท่านบอกว่า ลมเบาๆ ก็สามารถพลิกเรือได้ ศิษย์ทำให้มันเคลื่อนไหวได้ กลับไปที่แม่น้ำก็ปล่อยมันขึ้นมา ลงทะเลก็เก็บมันไว้ และยังเสริมความแข็งแรงให้กับดาดฟ้า


 


 


ท่านอย่ามองศิษย์ด้วยสายตาเช่นนี้ ปัญหาเรื่องไม้ศิษย์ย่อมได้พิจารณาแล้ว ศิษย์ใช้วัสดุของเรือทะเลทั้งหมด ใช้ไม้ลิ้นจี่ ไม้การบูร และไม้อูหลานเป็นหลัก ศิษย์หาคนชำนาญการมาตอกตะปูเหล็กอย่างแน่นหนา ศิษย์เห็นเรือของท่านแล้ว ในด้านนี้ยังเทียบเรือของศิษย์ไม่ได้”


 


 


พูดคำเหล่านี้เสร็จ เขาก็มองไปที่อวิ๋นเยี่ยอย่างมีความคาดหวัง หวังว่าท่านอาจารย์จะชื่นชมตัวเองสักสองสามประโยค


 


 


“กระดูกงูล่ะ? ข้าถามเจ้าว่ากระดูกงูล่ะ? เรือของเจ้าได้ใช้กระดูกงูหรือไม่ หากไม่ได้ใช้ รีบขับมันกลับไปที่แม่น้ำเดี๋ยวนี้ อย่าขับไปทิ้งชีวิตไว้บนทะเล”


 


 


“ท่านอาจารย์ เรือทะเลของศิษย์ไม่จำเป็นต้องใช้กระดูกงูจริงๆ ตอนแรกก็ยังไม่เข้าใจ แต่ไปหาช่างที่มีฝีมือหลายคนถึงได้เข้าใจหน้าที่ของมัน ช่างที่มีฝีมือคนหนึ่งจับปลาใหญ่ได้โดยบังเอิญ ตอนที่เขากรีดเนื้อปลาเขาเห็นกระดูกงู ตระกูลของศิษย์ทำมาหากินทางน้ำมาโดยตลอด ศิษย์จำเรื่องราวที่ท่านเล่าให้ฟังได้ทุกเรื่อง ทุกครั้งที่ได้ยิน ก็จะบอกให้พ่อของศิษย์ทำการทดลอง และมอบให้กับลุงของศิษย์ ก็คือคนที่ท่านบอกว่าท่านจะส่งเขาไปต้อนแกะที่เป๋ยไห่ เมื่อได้รับผลการทดลองต่างๆ แล้ว สุดท้ายถึงได้มีเรือพวกนี้ขึ้นมา ศิษย์ถึงได้ไปโดยไม่ลา ไปสร้างเรือพวกนี้ เพื่อพวกมัน ตระกูลของศิษย์แทบจะล้มละลาย พ่อของศิษย์กินข้าวแค่วันละสองมื้อ ไม่ได้กินเนื้อมาสองปีแล้ว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความฝันที่อยากจะออกไปดูท้องทะเลของศิษย์ ตอนนี้…”


 


 


ตระกูลใหญ่โตแค่ไหนก็ทนทุกข์ทรมานขนาดนี้ไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยยังจำได้ว่าหลังจากที่หลิวเหรินย่วนหนีออกไปจากสำนักศึกษา พ่อของเขาคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนหลี่กังไม่ให้ไล่เขาออกจากสำนักศึกษา ให้ลูกชายของเขามีโอกาสหันหลังกลับ


 


 


หัวใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ หลี่กังทำไม่ลง เขาไม่ไล่หลิวเหรินย่วนออกจากสำนักศึกษา หากหลิวเหรินย่วนทำไม่สำเร็จ เขาก็ยังมีโอกาสกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง นี่ก็คือเหตุผลที่ทำไมอวิ๋นเยี่ยเจอหลิวเหรินย่วนก็ตีเขาอย่างไม่ถามไถ่


 


 


หลิวเหรินย่วนที่อายุยี่สิบสองปี เขาไม่ใช่ชายหนุ่มไร้เดียงสาของสำนักศึกษาตั้งนานแล้ว ไหล่ที่กว้างยาว รูปร่างสันทัด รวมถึงใบหน้าที่หยาบกร้านจากลมทะเล เขาได้กลายเป็นชายหนุ่มสง่างามเต็มตัวแล้ว


 


 


“ครั้งนี้กลับไปเมืองหลวงกับข้า กลับไปทำการบ้านที่เจ้ายังทำไม่เสร็จที่สำนักศึกษา เข้าร่วมการสอบใหญ่ในภาคฤดูหนาว มันสำคัญกับเจ้ามาก หากอยากให้ความฝันโบยบินได้สูงขึ้น เจ้าก็จะต้องมีจุดเริ่มต้นที่สูงขึ้นด้วย”


 


 


“ขอบคุณที่ท่านอาจารย์ยกโทษให้ข้า” หลิวเหรินย่วนโค้งคำนับอวิ๋นเยี่ย


 


 


อวิ๋นเยี่ยตบหลังของเขาเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ เรื่องอะไรก็รู้แค่ครึ่งๆ กลางๆ เจ้าสามารถสร้างเรือรบได้ แต่เจ้ากลับไม่รู้ระบบการใช้งานเรือรบเหล่านี้ในการออกไปเก็บรวบรวมทรัพย์สมบัติให้กับประเทศตัวเอง พ่อของเจ้าไม่ได้กินเนื้อมาตั้งสองปี ก็ล้วนแต่เป็นเพราะความโง่เขลาของเจ้า คนมีความรู้ชอบถ่อมตน คนโง่เขลากลับชอบอวดดี”


 


 


อวิ๋นเยี่ยวางมาดท่านอาจารย์อย่างเต็มที่ ก้าวลงไปบนเรือลำเล็ก หลิวเหรินย่วนพายเรือไปส่งอวิ๋นเยี่ยที่เรือลำใหญ่ กำลังจะดูว่าเรือลำนี้เป็นเช่นไรกันแน่ มีดีแค่ภายนอก หรือว่าใช้งานได้ดีจริงๆ ตอนนี้ไม่มีแม่แบบ ทุกอย่างต้องทำการทดลอง ต้องปรับปรุง และต้องมีคนตายอย่างต่อเนื่อง


 


 


เดินโซซัดโซเซมาจนถึงบนดาดฟ้า ชายหนุ่มเท้าเปล่าพวกนั้นจ้องมองด้วยสายตาที่ดูถูก ไม่เข้าใจว่าทำไมนายพันของตัวเองต้องเชิญคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นขึ้นมาบนเรือ แล้วยังมาตรวจดูความพร้อมของเรือราวกับเรือขนสมบัติ คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นอย่างเจ้าจะตรวจสอบอะไรกัน ยืนยังยืนไม่มั่นคง หรือว่ามาตรวจดูว่าเรือของตัวเองปีนขึ้นฝั่งได้หรือไม่


 


 


“เชือกม้วนไม่เป็นระเบียบ ไม่ผ่าน”


 


 


“หางเสือเป็นแท่งเหล็กสองแท่ง ใช้สมองทำให้มันเป็นแผ่นวงกลมไม่ได้เหรอ ใช้งานสบายกว่า ใช้งานง่ายกว่า ไม่ผ่าน”


 


 


“มัดเชือกก็ไม่สม่ำเสมอ ยุ่งเหยิงไปหมด ไม่ผ่าน”


 


 


“มุมแหลมเต็มห้องโดยสารไปหมด เจอคลื่นลมพายุมันจะแทงคนตาย ไม่ผ่าน”


 


 


“ของใช้จิปาถะก็มัดไม่แน่น วางถังน้ำไปทั่ว ตอนที่เจอคลื่นลมพายุมันจะไหลมาทับคนบาดเจ็บ ไม่ผ่าน”


 


 


“บนเรือมีหนู มันจะนำโรคมาติด ไม่ผ่าน”


 


 


“เรือเดินทางไกล แต่ไม่มีการเตรียมส้มและถั่วงอก นี่มันเป็นเรื่องที่โง่มาก ไม่ผ่าน”


 


 


“กลิ่นเหม็นเต็มไปหมด ไม่ได้สุขอนามัย ไม่ผ่าน”


 


 


ชายหนุ่มที่มีตาข้างเดียวได้ยินอวิ๋นเยี่ยบอกว่าไม่ผ่าน ไม่ผ่าน เขาก็โมโหขึ้นมาทันที อ้าปากส่งเสียง พอดูใกล้ๆ ถึงได้เห็นว่าลิ้นของเขามีครึ่งเดียว…

 

 

 


[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 38 เรือมู่หลาน

 

อวิ๋นเยี่ยหันกลับไปมองหลิวเหรินย่วน รอให้เขาอธิบายเกี่ยวกับคนพิการผู้นั้น แต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็นคนมีความอดทนสูงมาโดยตลอด ไม่ใช่เพราะสงสาร แต่เป็นเพราะปกติคนแบบนี้มักจะทำอะไรสุดโต่ง เขาพูดไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะพูดกับเขาอย่างไร ความโมโหทำให้ใจขุ่นมัว อาจจะทำให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นได้ง่าย เขาไม่อยากนั่งอยู่บนเรืออยู่ดีๆ แล้วถูกคนจับโยนลงจากเรือ


 


 


“อาจารย์ ตงอวี๋เป็นคนพิการ ขอร้องท่านอย่างได้ถือสาเขาเลย เขาเป็นกะลาสีที่ดีที่สุดในกลุ่มคนบนเรือลำนี้ ศิษย์จะให้เขาเงียบปากเดี๋ยวนี้”


 


 


เมื่อได้เห็นสีหน้าของหลิวเหรินย่วนก็รู้ได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดี อวิ๋นเยี่ยเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มที่ชื่อว่าตงอวี๋แล้วพูดกับเขาว่า “ลิ้นขาดไปครึ่งหนึ่ง แต่หูไม่มีปัญหาใช่หรือไม่”


 


 


เด็กหนุ่มส่ายหน้า อวิ๋นเยี่ยพูดอีกว่า “เป็นลูกผู้ชายขอแค่มีอันนั้นอยู่ก็เพียงพอแล้ว ข้าคิดว่าต่อให้อวัยวะส่วนอื่นถูกตัดไปก็ไม่มีปัญหาอะไร สงครามโม่เป่ย ข้าตัดนิ้วเท้า นิ้วมือ และหูด้วยตัวเองมานับไม่ถ้วน พวกคนเหล่านั้นไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะขอให้คนอื่นปฏิบัติต่อตัวเองแตกต่างจากคนปกติ แต่เหตุใดพอมาถึงกองทัพทหารเรือของเจ้าจึงกลายเป็นข้อยกเว้นไปเสียได้”


 


 


ชายหนุ่มผู้นั้นคำรามออกมา แทบจะกระโดดพุ่งข้ามตัวหลิวเหรินย่วนไป หลิวจิ้นเป่าได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างของเรือ เห็นคนไม่เคารพต่อท่านโหวจึงใช้มือดันตัวเองกระโดดข้ามขอบเรือขึ้นมา เท้าขนาดใหญ่ก้าวข้ามลำตัวของหลิวเหรินย่วน เตะเข้าไปที่ท้องของตงอวี๋อย่างแรง ชายหนุ่มผู้นั้นเซถอยหลังไปหลายก้าว ร้องคำรามออกมาเสียงดัง เหยียบขึ้นไปบนขอบเรือแล้วกระโดดพุ่งเข้ามา น่าเสียดาย หลิวจิ้นเป่าเป็นนักฆ่ามืออาชีพ ถึงแม้ว่าตอนที่อยู่ในน้ำ ต่อให้มีหลิวจิ้นเป่าสิบคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตงอวี๋ แต่ช่วยไม่ได้ที่ตอนนี้อยู่บนเรือ หลิวจิ้นเป่ายืนอยู่บนเสาเรืออย่างมั่นคง เพียงแค่ใช้มือเดียวก็กำรอบคอของตรงอวี๋ได้อยู่หมัด ที่ผิวของเขาดูเหมือนจะถูกทาด้วยน้ำมัน แค่ขยับตัวไปมาก็หลุดจากมือของหลิวจิ้นเป่าแล้ว


 


 


หลิวจิ้นเป่ากระแอมเบาๆ ปล่อยมือขวาที่จับเสาเรือไว้ พอกดสปริงอาวุธก็ได้ยินเสียงมีดพุ่งขึ้นมาจากปลอกมีด ดาบเล่มยาวสีขาวพุ่งไปปาดเข้าที่คอของตงอวี๋ หลิวเหรินย่วนตกใจเป็นอย่างมาก อยากจะร้องห้ามแต่ก็สายไปเสียแล้ว


 


 


มีดยาวของหลิวจิ้นเป่าเขี่ยอยู่บนคอของตงอวี๋ ร่างของตงอวี๋ตกลงมากองอยู่ที่พื้น เซลล์ในร่างกายยังคงกระตุกอยู่ แต่คนนั้นสลบไปแล้ว


 


 


“หลิวเหรินย่วน นี่หรือคือทหารที่ถูกฝึกมา เมื่อผู้บังคับบัญชากำลังตักเตือน ใครอนุญาตให้เขาบังอาจคำรามออกมา ในเมื่อกล้าล่วงเกินผู้บังคับบัญชา เหตุใดเขายังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้”


 


 


“ท่านโหว ตงอวี๋คือคนขับเรือที่เชี่ยวชาญซึ่งศิษย์หามาได้จากทะเลตะวันออก แต่เดิมเป็นชาวประมง ต่อมามีเรื่องขัดแย้งกับทางการจึงได้หนีออกทะเล ศิษย์ได้ช่วยชีวิตเขาบนเกาะแห่งหนึ่งในมหาสมุทร สงสารเขาที่ไม่เหลืออะไร แต่ยังพอมีฝีมืออยู่บ้าง จึงได้ดึงเข้ากองทัพ ขอท่านโหวได้โปรดเห็นใจ”


 


 


เหงื่อบนใบหน้าของหลิวเหรินย่วนหยดลงบนพื้น ไม่รู้จริงๆ ว่าจะอธิบายการกระทำของตงอวี๋อย่างไร การหาคนเข้ากองทัพโดยพละการก็ถือว่าเป็นโทษใหญ่อยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตงอวี๋เป็นกบฏว่าจะมีโทษใหญ่ขนาดไหน


 


 


ตงอวี๋ฟื้นขึ้นมาจากสลบไสล มองไปรอบๆ ด้าน พบว่าผู้นำของตัวเองกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นเพื่อขอความเมตตาให้กับตัวเอง แต่ท่านโหวผู้นั้นกลับเอามือไขว้หลังหันหน้าไปชมวิวมหาสมุทร


 


 


ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ เพียงแค่ไปมีเรื่องกับพ่อค้าที่บ้านเกิดของตัวเองก็ทำให้ตัวเองต้องหนีมาถึงเกาะกลางมหาสมุทรกลายเป็นคนเถื่อน ตอนนี้ดันมามีเรื่องกับคนที่มีตำแหน่งมากกว่าพ่อค้าอีก จะต้องตายอย่างอนาถเป็นแน่ ที่คอก็โดนสันมีดไปแล้วรอบหนึ่ง ตอนนี้ยังคงมีอาการเวียนหัวตาลายอยู่เลย ทั้งตัวเมื้อยล้าไร้เรี่ยวแรง ถอนหายใจเบาๆ ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอความตาย


 


 


“ตงอวี๋เจ้าไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของข้า เจ้าบอกข้าทีว่าตรงไหนที่ไม่เหมาะสม หากข้าพูดผิด เช่นนั้นโทษของเจ้าก็ถือว่าเจ๊ากันไป แต่หากข้าไม่ได้พูดผิด วันนี้ในปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของเจ้า”


 


 


ตงอวี๋เป็นผู้เชี่ยวชาญทางทะเล เหตุใดจะไม่รู้ว่าที่อวิ๋นเยี่ยพูดนั้นสมเหตุสมผล เพียงแค่ใต้จิตสำนึกของตัวเองไม่ชอบคนของทางการก็เท่านั้น คิดว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่กินอยู่อย่างสบายจนอ้วนพี แล้วเมื่อนึกถึงภรรยาและลูกของตัวเองที่บ้านเกิด ในใจก็รู้สึกโกรธเคือง กัดฟันไม่พูดอะไร อยู่ต่อหน้าคนของทางการยิ่งพูดก็ยิ่งผิด ไม่พูดจะดีกว่า หลับตาลงรอถูกตัดคอ


 


 


“หลิวเหรินย่วน จงนำทหารของเจ้าไปที่เรือฝั่งตรงข้าม ดูเรือมู่หลานและทำความเข้าใจสักนิดว่ากองทัพเรือที่เดินทางไกลควรมีลักษณะอย่างไร กองทัพของเจ้าเหมาะแค่ลอยอยู่ในอ่างน้ำเท่านั้นแหละ พาเด็กคนนั้นไปด้วย ข้าจะทำให้เขายอมแต่โดยดี”


 


 


ฝั่งตรงข้ามก็คือกองทัพเรือของอวิ๋นเยี่ย ซื้อมาจากหลี่เซี่ยวกงในราคาสูงลิบลิ่ว เรือที่ตัวเองสร้างนั้นยังคงเทียบอยู่ที่อู่ต่อเรือ รอเพียงเวลาใช้ล่องในน้ำ


 


 


ปีนขึ้นมาบนเรือมู่หลาน เรือลำนี้มีความยาวถึงสามสิบฟุต ทำให้หลิวเหรินย่วนอิจฉาเป็นอย่างมาก นี้คือเรือลำใหญ่ในตำนานที่สามารถบรรจุทหารได้เป็นพันนาย คลื่นน้ำด้านนอกกระทบตัวเรืออยู่เรื่อยๆ พอกระทบเข้ากับตัวเรือสีแดงเข้มก็แตกกระจายออก อวิ๋นเยี่ยที่เมื่อครู่ไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคงในเรือของตัวเอง ตอนนี้กลับยืนได้อย่างมั่นคงในเรือมู่หลาน ลูกชายของเหล่าเจียงเป็นผู้นำของกองทัพเรือตระกูลอวิ๋น ถึงแม้ว่าจะมีเรือเพียงลำเดียว แต่ก็เป็นเรือลำใหญ่ที่สุดในอ่าว


 


 


อวิ๋นเยี่ยตบที่ขอบเรือเบาๆ อย่างสบายใจ ตอนแรกคิดว่าราคาแปดพันเหรียญของหลี่เซี่ยงกงนั้นแพงเกินไป ตอนนี้ดูจากสิ่งที่ได้มาแล้ว ในที่สุดก็รู้ว่าราคาที่หลี่เซี่ยวกงต้องการนั้นถือว่าสมควรแล้ว ที่นี่เหมือนโลกแห่งไม้ ถึงแม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะเหลาทุกมุมที่แหลมคมให้กลมมน เพื่อให้คนบนเรือรู้สึกปลอดภัย แต่ว่ามุมที่หัวเรือนั้นถูกหุ้มด้วยทองแดงไม่สามารถเหลาได้ เขาบอกกับทุกคนว่าเรือลำนี้ยังสามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธในการสังหารได้อีกด้วย


 


 


“ท่านโหว ท่านอยู่ในเรือของพวกเราก็ดีอยู่แล้ว เหตุใดต้องไปใส่ใจกับคนงี่เง่าเหล่านั้น ล่องเรืออยู่ได้แค่ในอ่างน้ำ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท้องฟ้ากว้างใหญ่ข้างนอกนั้นเป็นอย่างไร มีเพียงแค่พวกเราเท่านั้นที่รู้ว่าคำแนะนำของท่านช่วยชีวิตคนมาแล้วเท่าไหร่ ตอนนี้กองทัพเรือหลวงก็กำลังเรียนรู้จากพวกเราเช่นกัน เสนาบดีของวังชั้นในได้เชิญข้าไปดื่มกับเขาอยู่หลายรอบ” พอขึ้นเรือมา หลิวจิ้นเป่าก็บอกเหตุการณ์ของเรื่องทั้งหมดแก่เจียงหยวน ได้ยินคำบรรยายของหลิวจิ้นเป่าแล้วเจียงหยวนมีท่าทีอยากจะกำจัดพวกงี่เง่าทิ้งให้หมด


 


 


หลิวเหรินย่วนก้มหน้าลง มองดูเรือของอวิ๋นเยี่ยว่ามีลักษณะอย่างไร เป็นแค่เรือที่ถูกประดับประดาสวยงามเท่านั้น หรือว่าเป็นเรือที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกันแน่ เรื่องพวกนี้ปิดบังเขาไม่ได้หรอก เขาไม่ใช่แค่รักการเดินทะเล แต่เรียกได้ว่าถึงขั้นคลั่งไคล้


 


 


สะอาดสะอ้าน เรียบร้อย วัตถุที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ทั้งหมดถูกมัดด้วยเชือกอย่างแน่นหนา เชือกถูกม้วนไว้อยู่บนเสาเรือ ส่วนที่พึ่งทาน้ำมันทำให้เรือทั้งลำดูมีความเก่าแก่ บนแผ่นวงกลมมีด้ามจับอยู่เจ็ดแปดอัน มีสิ่งนี้แล้ว ก็ไม่ต้องให้คนไปบังคับหางเสือทั้งสองด้านแล้ว ยืนอยู่ในห้องเล็กๆ ก็สามารถบังคับหางเสือได้ แน่นอนว่าสบายกว่าไปยืนอยู่ท้ายเรือ


 


 


ตงอวี๋หมุนพวงมาลัยสองครั้ง จากนั้นก็วิ่งไปที่ท้ายเรือเพื่อดูทิศทางของหางเสืออย่างอยากรู้อยากเห็น ตงอวี๋วิ่งไปวิ่งมาเพื่อทำความเข้าใจ ทำให้เขาลืมเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยจะตัดหัวเขาไปเสียสนิท


 


 


อาหารกลางวันกินกันบนเรือ อวิ๋นเยี่ยจะนั่งกินอยู่ข้างหน้าสุดของโต๊ะคนเดียว กับข้าวก็พิเศษกว่าคนอื่นๆ นี่คืออาหารของกัปตัน มีเพียงกัปตันเท่านั้นที่จะได้กินเช่นนี้ แต่เดิมมีเจียงหยวนคนเดียวที่ได้กิน แต่ตอนนี้มีเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยเท่านั้น เพื่อสร้างอำนาจขึ้นเป็นกัปตัน อวิ๋นเยี่ยทนลำบากมาไม่น้อย จึงไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ไป


 


 


หลิวเหรินย่วนถือจานไปรับอาหารที่ช่องหน้าต่าง เขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ที่โรงอาหารของสำนักศึกษาก็เป็นเช่นนี้ พ่อครัวชุดขาวตักอาหารให้เขาเต็มจาน สุดท้ายยังให้ส้มเขียวหวานครึ่งลูก และไวน์ส้มอีกหนึ่งชาม


 


 


ตงอวี๋งงไปหมด เดินไปหยิบจานข้าวตามผู้นำของตัวเองแล้วส่งให้พ่อครัว พ่อครัวโผล่หัวออกมาจากหน้าต่างมองดูรูปร่างของตงอวี๋ จากนั้นก็ตักอาหารให้เขามากมาย คนที่ดูแข็งแรง มักจะกินข้าวเยอะอย่างแน่นอน เห็นว่ามีเหล้า ตงอวี๋ก็ซดหมดภายในครั้งเดียว จากนั้นก็ยื่นชามกลับไป เพื่อที่จะให้พ่อครัวเทให้ตัวเองเต็มชาม พ่อครัวโยนชามของเขาออกมาทางหน้าต่าง งี่เง่า ที่นี่มีกฎให้ดื่มเหล้าได้แค่วันละหนึ่งครั้ง


 


 


ตงอวี๋โมโหมาก ฐานะที่ต่ำต้อยทำให้ความเคารพในตัวเองของเขานั้นลดลง ยกจานขึ้นมาเพื่อที่จะขว้างกลับไป แต่ว่าเสียดายอาหารจึงวางจานลง ร้องออกมาเสียงดังด้วยความโมโห หลิวเหรินย่วนรีบดึงเขาไว้ ชี้ไปที่ถ้วยเหล้าของตัวเองแล้วพูดว่า “ทุกคนก็ได้เพียงเท่านี้เหมือนกัน แม้แต่ท่านโหวก็ไม่มีข้อยกเว้น”


 


 


ตงอวี๋ยืดคอมองไปรอบด้าน พบว่าหลิวเหรินย่วนไม่ได้หลอกเขา รู้สึกละอายใจเล็กน้อยจึงยกจานอาหารของตัวเองกลับไปที่โต๊ะ กำลังจะนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อกินข้าว แต่กลับถูกคนที่นั่งอยู่ใช้สายตาจ้องมาที่เขาทั้งหมด จึงทำได้เพียงนั่งก้มหน้า


 


 


ช่างดีอะไรเช่นนี้ เมื่อเห็นกับข้าวตงอวี๋ก็ร้องออกมาอย่างดีใจ ที่บนสุดของข้าวมีน่องไก่อยู่หนึ่งชิ้น มีผักแล้วก็ยังมีเต้าหู้ ข้างล่างสุดคือข้าวสีขาวสวย


 


 


หยิบน่องไก่ขึ้นมาดม ถอนหายใจแล้วค่อยๆ เริ่มกินข้าว ไม่มีตะเกียบ มีเพียงช้อนหนึ่งคัน เขากินอย่างละเอียด เนื้อบนน่องไก่กินหมดแล้ว แม้แต่กระดูกก็เคี้ยวจนละเอียดแล้วกลืนลงไปจากนั้นก็เริ่มกินข้าว เขาชอบกินข้าวแบบนี้ นี่สิถึงจะเป็นกับข้าวที่คนกินกัน


 


 


เขาไม่ยอมกินข้าวคำสุดท้าย เหลือมันไว้อยู่ในจานอย่างนั้นราวกับเป็นเมล็ดพันธุ์เล็กๆ เวลาที่เขาได้กินของอร่อยตอนอยู่ที่บ้านเกิดของตัวเอง เขาจะไม่กินมันจนหมด จะเหลือไว้บ้างเล็กน้อย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าในภายภาคหน้าจะยังมีกินต่อไป


 


 


“ทำไมไม่กินให้หมด” มีทหารคนหนึ่งเดินมา ที่แขนเสื้อของเขามีปลอกสีแดงสวมอยู่ นี่คือความคิดของอวิ๋นเยี่ย เขามักจะนำสิ่งที่คุ้นเคยในยุคปัจจุบันมาใช้กับคนยุคนี้โดยมีรู้ตัว


 


 


“ที่บ้านเกิดของตงอวี๋ การทำแบบนี้เป็นสัญลักษณ์ว่าในปีหน้าจะยังมีเสบียงเหลืออีกมากมายน่ะ” หลิวเหรินย่วนตอบแทนตงอวี๋


 


 


“กินให้หมด คนเดินสมุทรจะเชื่อในเรื่องของราชามังกรทะเลเท่านั้น ไม่อนุญาตให้นำความเชื่อเรื่องอื่นๆ มาใช้บนเรือลำนี้”


 


 


ตงอวี๋ต้องกินข้าวคำสุดท้ายที่เหลือไว้อย่างจำใจ คิดว่าจากนี้ตัวเองคงไม่มีโชคได้กินอาหารดีๆ เช่นนี้อีกแล้ว หลิวเหรินย่วนถอนหายใจ เขารู้กฎของตระกูลอวิ๋นเป็นอย่างดี ในสำนักศึกษาก็มีกฎเช่นนี้ อย่างเช่นไม่อนุญาตให้ดื่มน้ำที่ยังไม่ผ่านการต้ม ไม่อนุญาตให้ขับถ่ายไม่เป็นที่เป็นทาง ไม่อนุญาตให้เหลือข้าวในจาน แต่หลี่ไท่ก็เคยแอบเทอาหารทิ้งหนึ่งครั้ง สุดท้ายถูกอาจารย์หลี่กังจับได้ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าเว่ยอ๋องได้รับโทษอย่างไร แต่ว่าหลังจากครั้งนั้นจานข้าวขององค์ชายสะอาดยิ่งกว่าสุนัขเลียเสียอีก


 


 


หลังจากกินข้าวเสร็จ ทุกคนก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงแค่อวิ๋นเยี่ย หลิวจิ้นเป่า หลิวเหรินย่วน แล้วก็ตงอวี๋


 


 


“หลิวเหรินย่วน ตอนนี้เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ว่าการเดินทางไกลต้องทำอย่างไรบ้าง เจ้ารู้หรือไม่ เมื่ออยู่บนเรือแล้ว ชีวิตของคนเหล่านี้ก็จะอยู่ในกำมือเจ้า ไม่ใช่ว่ามีเรือดีๆ สักสองสามลำแล้วจะสามารถออกผจญภัยในมหาสมุทรได้ เรือของเจ้าเล็กเกินไป ครั้งนี้ของที่เราต้องส่งนั้นมีมาก เพื่อให้ราชสำนักเชื่อมั่นในการขนส่งทางน้ำ ดังนั้นการเดินเรือครั้งนี้ต้องสำเร็จเท่านั้น จะล้มเหลวไม่ได้ เจ้าจะต้องค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ”


 


 


ไม่รอให้หลิวเหรินย่วนได้พูด ก็หันไปพูดกับตงอวี๋ว่า “เจ้าต่อต้านผู้บังคับบัญชาโดยไร้เหตุผล ไม่ฟังคำสั่ง แต่เดิมมีโทษประหารตัดหัว เห็นแก่ที่เจ้าทำผิดเป็นครั้งแรก ข้าจะลงโทษเจ้าโดยการเฆี่ยนสามสิบทีเพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)