เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 8 ตอนที่ 34-35
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 34 หลักธรรมชาติแห่งสวรรค์
จะบอกว่าไม่กังวลเลยก็คงไม่ใช่ ในต้าถังไม่มีใครสามารถมองข้ามเฝิงอั้งได้ นึกถึงตอนที่เฝิงอั้งเข้ามาฉางอันตอนแรก ดูจากของรางวัลที่หลี่ซือหมินมอบให้เขาก็รู้ว่าเขามีอำนาจมากเพียงใด
ในแคว้นหลิ่งหนานแห่งนี้เขาคือคนที่มีอิทธิพล
พยายามคิดหาวิธีที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเฝิงอั้ง ถึงได้ใช้วิธีปีศาจดินปืนเช่นนี้ ผลักเรื่องราวทุกอย่างออกไป แต่ช่างน่าเสียดายที่คิดแล้วคิดอีกแต่ก็คิดพลาดไปจุดหนึ่ง ตระกูลเฝิงไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน แค่คำพูดคำสองคำก็เพียงพอแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะผิด แต่ตระกูลเฝิงก็จะทำให้มันถูกจนได้
ลูกชายของตัวเองน่าจะถูกอวิ๋นเยี่ยฆ่าตาย หรืออาจจะถูกอวิ๋นเยี่ยฆ่าตาย คงจะถูกอวิ๋นเยี่ยฆ่าตาย เช่นนั้นก็แสดงว่าถูกอวิ๋นเยี่ยฆ่าตายจริงๆ นี่คือหลักการของตระกูลเฝิง ทำเช่นนี้ที่หลิ่งหนานมาแล้วหลายปี เฝิงจื้อหย่งก็ใช้หลักการนี้มาเอาเรื่องกับหลี่อันหลาน เพียงแต่รู้สึกว่าอวิ๋นเยี่ยน่าสงสัยมากกว่า ก็เลยเปลี่ยนเป้าหมาย
สำหรับการคุกคามของคนในตำนานที่ยิงธนูแค่ลูกเดียวก็ทำให้เรื่องราววุ่นวายสงบลงได้ อวิ๋นเยี่ยต้องการวิธีรับมือที่ดีกว่านี้
บนโลกใบนี้ คนที่มีคุณสมบัติพอที่จะกอบกู้โลกได้ก็คือหลี่ซือหมินคนเดียวเท่านั้น หากเฝิงอั้งเป็นเสือที่ดุร้ายในป่าเขา หลี่ซือหมินก็คือมังกรที่บินอยู่บนสวรรค์ชั้นเก้า อวิ๋นเยี่ยในฐานะหมาป่า ตอนนี้จำเป็นจะต้องหาความช่วยเหลือ รับมือกับเสือร้ายที่กำลังโมโห ต้องหามังกรมารับมือจึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าหลี่ซือหมินเป็นหัวหน้าที่เข้าใจคนอื่นมากที่สุด ความสำเร็จอย่างหนึ่งของเขาก็คือเขาไม่เคยทำให้น้องชายของเขาผิดหวัง เมื่อตอนที่อวิ๋นเยี่ยเสแสร้งยิ้มและอยู่ไปราวกับว่าวันๆ หนึ่งนานนับปี ขณะเดียวกันเขาก็ส่งอู๋เสอให้เดินทางมาถึงยงโจวโดยที่ไม่ต้องบอกอะไร
ไม่ทันได้ทักทายปราศรัย ไม่ทันได้ดื่มน้ำจิบชา เรื่องแรกที่อู๋เสอทำก็คือตรวจสอบคลังสมบัติของค่าย เห็นสมบัติล้ำค่ากองเท่าภูเขา เขาถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก กลับมามีท่าทางเคร่งขรึมดังเดิมอีกครั้ง ระหว่างทำการตรวจสอบก็หยิบสิ่งของบางอย่างมาไว้ในแขนอย่างไม่รู้ตัว ยิ้มแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยกับหงเฉิงว่า “เป็นเช่นนี้ก็ดี เป็นเช่นนี้ก็ดี ข้านำพระราชโองการของฝ่าบาทมา ฉบับนี้ให้อวิ๋นโหว ฉบับนี้ให้แม่ทัพหงเฉิง อยู่ที่หลิ่งหนาน ข้าจะไม่ป่าวประกาศ เจ้าไปอ่านดูเอง ข้าต้องการหาที่พักผ่อน”
หงเฉิงที่โง่เขลาอยากจะให้ขันทีท่านนี้ไปพักผ่อนที่หอนางโลม นี่เป็นผลมาจากการถูกลาเตะสมองนับครั้งไม่ถ้วน อวิ๋นเยี่ยหลับตาลงทนเห็นไม่ได้ เสียงกรีดร้องที่ราวกับเสียงหมูถูกฆ่าของหงเฉิงดังเข้ามาในหู กรงเล็บนกอินทรีอันทรงพลังของอู๋เสอได้ทักทายกับข้อต่อทั่วร่างกายของหงเฉิง ล้วนแต่เป็นคนรับใช้ที่จงรักภักดีของฮ่องเต้ ความโง่ของหงเฉิงเป็นที่รู้กันไปทั่ว ไอ้หมอนี่อาศัยความจงรักภักดีตั้งแต่สิบขวบจนถึงอายุสามสิบก็ยังไม่ถูกตัดหัว ก็ถือว่าหลี่ซือหมินมีความเมตตามากพอแล้ว
อู๋เสอมาแล้ว ปัญหาทั้งหมดก็ควรตกเป็นของหลี่ซือหมิน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ลูกชายสามคนของตระกูลเฝิงถูกสัตว์ป่าฆ่าตาย ถึงแม้ว่าลูกชายทั้งหมดของตระกูลเขาจะถูกสัตว์ป่าฆ่าตาย เฝิงอั้งก็ควรคิดที่จะมีลูกชายเพิ่มอีกสักสองสามคน ไม่ใช่คิดที่จะมาหาเรื่องใครเช่นนี้
เมื่อเรื่องราวเลวร้ายผ่านพ้นไปจึงพาอู๋เสอมาที่จวนองค์หญิง เขาควรที่จะอยู่ที่บ้านของเจ้านายตัวเอง อู๋เสอพอใจเป็นอย่างมาก โค้งคำนับองค์หญิง เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากการพลัดพรากจากกันไป ทั้งสองคนพูดคุยพลางหัวเราะกันอย่างมีความสุข
มีองครักษ์ฟรีๆ มาถึงที่ จะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร ห้องที่จัดไว้ให้อู๋เสออยู่ติดกับห้องของหลี่อันหลาน อู๋เสอรู้ดีว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยถึงทำเช่นนี้ เมื่อเห็นว่าอนาคตตัวเองยังต้องกลับไปอยู่ที่สำนักศึกษา ก็ไม่ได้ปฏิเสธ คอยดูแลรักษาความปลอดภัยของพวกหลี่อันหลานสองแม่ลูกด้วยความสมัครใจ
กลับมาที่ห้อง เปิดดูพระราชโองการของหลี่ซือหมิน ทั้งหมดเต็มไปด้วยคำว่าเงิน สองล้านเหรียญเป็นตัวเลขของสมุหนายกซึ่งได้รับการคำนวณมาอย่างละเอียดโดยเจ้ากรม ทว่าหากมีน้อยกว่านี้ หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยกลับไปเขาจะต้องถูกส่งตัวไปยังแนวหน้าในฐานะเสบียงอาหารของเหล่าทหารกองทัพ นี่มันตบหัวแล้วลูบหลังชัดๆ บอกอวิ๋นเยี่ยว่าขุนนางทุกฝ่ายเห็นพ้องตรงกันว่าจะบริจาคเงินหกส่วนให้กับหลิ่งหนาน เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาของราชสำนัก ให้อวิ๋นเยี่ยขนส่งทรัพย์สมบัติกลับเมืองหลวงโดยเร็ว เหล่าขุนนางกำลังรอเงินเดือนกันอยู่
รู้สึกดีตอนเห็นคำที่บอกว่าให้ตัดสินใจด้วยตัวเองมากที่สุด หลี่ซือหมินรู้ดีว่าอวิ๋นเยี่ยต้องการตำแหน่งขุนนางระดับล่างจำนวนมาก เขาจึงให้กรมมหาดไทยมอบตำแหน่งว่างห้าร้อยตำแหน่งให้แก่อวิ๋นเยี่ย แต่ที่มีประโยชน์ต่อแคว้นหลิ่งหนานจริงๆ ก็มีผู้บัญชาการหนึ่งคน แม่ทัพสี่คน พร้อมทหารใกล้ชิดอีกหนึ่งร้อยนาย ต่อไปพวกเขาจะเป็นผู้ควบคุมแคว้นหลิ่งหนานในอนาคต สำหรับการควบคุมขุนนาง หลี่ซือหมินไม่เคยยืดหยุ่น ถึงแม้ว่าจะเป็นดินแดนที่เป็นพิษเป็นภัยอย่างหลิ่งหนาน นี่คือหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เขากลายเป็นฮ่องเต้ที่ประสบความสำเร็จ
ด้วยสังคมกองทัพทหารของอวิ๋นเยี่ย เขาไม่เคยได้ยินชื่อเเม่ทัพไหวฮว่าระดับสี่คนนี้ คนต้นแบบของเมืองหลวง หน้าเหลี่ยม คิ้วหนาตาโต ไว้หนวดสั้น แขนยาวขายาว ร่างใหญ่ เดินไปไหนก็มีท่วงท่าสง่างาม ดูรู้ทันทีว่าเป็นแม่ทัพผู้กล้าหาญ กระเป๋าเก็บของของหลี่ซือหมินดูเหมือนจะไม่สามารถคาดเดาได้
“แม่ทัพซุนเหรินซือคารวะอวิ๋นโหว เรื่องกองทัพที่หลิ่งหนาน ยังต้องการคำแนะนำจากอวิ๋นโหว” คนอายุสี่สิบกว่าโค้งคำนับให้ชายหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบแล้วขอคำแนะนำ จิตใจไม่คับแคบเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นคนใจกว้าง
“แม่ทัพเกรงใจเกินไปแล้ว ข้ากำลังกังวลเรื่องที่ทำให้เฝิงกงไม่พอใจ พอคิดว่าเฝิงกงจะต้องมาเอาเรื่องข้า ข้าก็นั่งไม่ติด คิดไม่ถึงว่าแม่ทัพจะมาถึงที่นี่ ข้าโล่งใจไม่น้อย นักฆ่าข้างนอกที่อยากรับตำแหน่งพวกนั้น ให้เจ้าเป็นคนจัดการจะดีกว่า ข้าจะได้นอนหลับสักตื่น”
ส่งมอบอำนาจกองทัพทหารออกไปให้เร็วที่สุดเป็นวิธีปฏิบัติของต้าถัง เจ้าสามารถยืดเวลาออกไปได้ เพียงเพื่อผลประโยชน์ จัดการต้นสายปลายเหตุให้เรียบร้อย ทุกคนต่างเข้าใจ หรือยืดเวลาสักสิบวันครึ่งเดือนทุกคนก็ยังคงหัวเราะ ไม่มีใครว่าอะไร แต่อำนาจทางกองทัพทหารไม่ใช่เรื่องง่าย แม่ทัพคนใหม่มาแล้ว หากเจ้ายังไม่ยอมปล่อยมือ เจ้าต้องการทำอะไร
“อวิ๋นโหวเกรงใจเกินไปแล้ว ตอนที่ข้าเดินทางมา ฝ่าบาทบอกว่าดินแดนทุรกันดารย่อมมีกฎระเบียบของดินแดนทุรกันดาร แนวทางปฏิบัติของเมืองหลวงอาจจะใช้ในหลิ่งหนานไม่ได้ ดังนั้นข้ายังต้องฟังคำแนะนำจากอวิ๋นโหว”
“ไม่ได้มีอะไรมาก ก่อนหน้านี้ข้าจัดการไปแล้วนิดหน่อย เพียงแต่เฝิงอั้งคิดว่าข้าเป็นคนฆ่าลูกชายสามคนของเขา ตอนนี้กำลังขี่ม้าเร็วมาเอาเหตุผลจากข้า เรื่องนี้จะปล่อยปละละเลยไม่ได้”
“ข้าได้ยินมาว่าลูกชายทั้งสามของเขาถูกสัตว์ป่าฆ่าตาย เหตุใดถึงได้มาลงที่อวิ๋นโหวได้ คาดเดาเหตุการณ์เหลวไหลไม่ใช่พฤติกกรรมของเฝิงกง”
ไอ้เจ้านี่ดูเหมือนจะติดต่อกับคนของตัวเองที่หลิ่งหนานอยู่แล้ว คงรู้เรื่องอะไรแล้วบ้าง เมื่อครู่ในคลังสมบัติ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังฝืนยิ้ม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลี่ซื่อหมินเอาทรัพย์สมบัติของตระกูลเขาไปแล้วเท่าไหร่
“เรื่องนี้ต้องโทษข้า ว่างไม่มีอะไรทำก็เลยขึ้นไปตีกลองบนภูเขา ใครจะรู้ว่าสัตว์ป่าในหลิ่งหนานตกใจตื่น พากันวิ่งไปตามถนนบนภูเขา ลูกชายสามคนของตระกูลเฝิง แล้วยังมีพวกคนที่ไม่ชอบต้าถังอีกกว่าร้อยคนถูกสัตว์ป่าพวกนั้นเหยียบตาย ท่านชายที่หกของตระกูลเฝิงก็เลยมาเอาเรื่องที่จวน บอกว่าต้องการคำอธิบายจากข้า ตอนนี้แม้แต่เฝิงกงก็ตื่นตระหนกไปด้วย ต้องการมาคิดบัญชีกับข้า”
ล้วนแต่เป็นคนฉลาด หากต้องการให้เขารับผิดชอบแทนก็จะต้องอธิบายเรื่องราวให้ชัดเจนเสียก่อน ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เขาไม่พอใจ กลายเป็นหาศัตรูให้ตัวเองโดยใช่เหตุ เมื่อหลี่ซือหมินส่งเขามา แสดงว่าเห็นถึงความสามารถและความจงรักภักดีของคนคนนี้ การปิดบังเป็นเรื่องที่โง่เขลาที่สุด
“ที่แท้ก็ไม่ใช่เทพภูเขาตีกลอง ต้องเรียกว่าอวิ๋นโหวตีกลองถึงจะถูก คนไม่รักดีตายไปไม่กี่คน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อยู่ที่หลิ่งหนาน เรามีคนอยู่ไม่กี่คน ไม่เชือดไก่ให้ลิงดู จะรอให้พวกเขาขึ้นมาขี่คองั้นหรือ เฝิงกงมาครั้งนี้ ข้าออกไปต้อนรับเอง ล้วนแต่เป็นชายชาติทหารด้วยกัน ทำร้ายความรู้สึกกันมันไม่ดี เฝิงกงมีลูกชายตั้งมากมาย ตายไปสักสองสามคนไม่ใช่ปัญหา มีเพิ่มอีกก็ได้” เมื่อพูดจบตัวเองก็รู้สึกตลกขบขันจึงหัวเราะชอบใจกับอวิ๋นเยี่ยสองคน
“เหล่าซุน ข้าต้องไปแล้ว พระราชโองการของฝ่าบาทเร่งรัด เมื่อขนเสบียงอาหารขึ้นเรือเรียบร้อย ข้าก็จะต้องออกเดินทางแล้ว ซึ่งตามกฎแล้ว เรื่องทรัพย์สมบัติพวกนี้ก็ต้องมีที่มาที่ไป”
เมื่อครู่เป็นเรื่องของกองทัพทหาร ตอนนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ถึงอวิ๋นเยี่ยจะไม่ได้วางท่าทางแบบขุนนางระดับสาม ซุนเหรินซือก็ถอดหมวดเกราะออก โค้งคำนับ นั่งลงตรงข้ามกันและกันก่อนจะเริ่มดื่มเหล้า เหล่าซุนคนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว มีอารมณ์ขัน พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวในฉางอัน เรื่องแปลกๆ ของท้องตลาด เรื่องความลับของพวกขุนนาง เรื่องสาวงาม รู้ไปหมดทุกเรื่องทุกราว เวลาผ่านไปไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถึงเวลาพระอาทิตย์ตก
ดื่มเหล้ากินอาหารไปได้พอสมควรแล้ว ซุนเหรินซือสะบัดมือแล้วพูดว่า “บ้านของข้าล้มละลายไปแล้ว เดิมทีคิดว่าผลประโยชน์ที่ได้จากหลิ่งหนานจะสามารถช่วยเหลือตระกูลได้บ้าง ถูกไอ้จางเลี่ยงทำลายหมดแล้ว เมื่อครู่เห็นพวกสมบัติล้ำค่าที่อยู่ในคลัง มองแต่ละอันก็อยากจะฆ่าตัวตาย หกส่วน หกส่วนเลย เมื่อของพวกนั้นไปถึงลั่วหยางเมืองฉางอันแล้วแลกเป็นเงิน จะให้กองทัพรบไปถึงขอบฟ้าก็ยังทำได้ ยิ่งไปกว่านั้น ได้ยินมาว่ามีเสบียงอาหารอีกตั้งมากมายอยู่ตรงข้ามของฝั่งทะเล มันไม่จำเป็นต้องเอาถึงหกส่วน แค่สองส่วนก็เพียงพอแล้ว
เดิมทีในนี้มีส่วนของข้า แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว สหาย เจ้าเป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย แนะนำข้าหน่อย ชี้ทางรวยให้ข้าหน่อยสิ”
“ไม่ต้องสนใจพวกคนจนของดินแดนแห่งเหลียว ถึงแม้ว่าจะบีบเค้นออกมาจนหมดก็ไม่ได้อะไร ดินแดนที่ร่ำรวยอยู่ที่นี่ต่างหาก” อวิ๋นเยี่ยพาซุนเหรินซือมายังหน้าแผนที่ วางถ้วยเหล้าลงบนฝั่งตรงข้ามของอ่าวทะเล
“ที่นั่นยิ่งจะยากจนกว่าเดิม คนไม่แตกต่างอะไรจากลิง ตระกูลของข้าไม่ได้ขายเนื้อคนซะหน่อย”
แค่ได้ยินก็รู้ว่าเป็นคนโหดเ**้ยม อวิ๋นเยี่ยชอบใจเพราะเขาไม่มีความรู้สึกอะไรกับคนที่นั่นเลยแม้แต่น้อย หยิบไข่มุกออกมาจากแขน ขนาดเท่าเม็ดลำไย วางไว้บนพื้นทราย ยิ้มแล้วพูดว่า “สาวเก็บไข่มุก เจ้าเคยได้ยินไหม”
ซุนเหรินซือจ้องมองไข่มุกแล้วส่ายหน้า
“ไข่มุกเม็ดนี้คือไข่มุกที่สาวเก็บไข่มุกเป็นคนเก็บมา พ่อบ้านของข้าเอาน้ำตาลเป็นถุงไปแลกมา น้ำตาลตั้งครึ่งกิโล” อวิ๋นเยี่ยใช้มือวาดขนาดของถุงน้ำตาล
หยิบหยกสีเขียวมรกตออกมาจากแขนอีกครั้ง ข้างในนั้นราวกับว่ามีน้ำไหลอยู่ ซุนเหรินซือไม่เคยเห็นมาก่อน คิดโดยสัญชาตญาณว่ามันต้องเป็นของดี
“ของชิ้นนี้ยิ่งแล้วใหญ่ พ่อบ้านของข้าจนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกผิดไม่หาย คิดว่าทำให้ตระกูลต้องสูญเสีย เขาเอาหม้อเหล็กสิบห้าใบแลกกับของชิ้นนี้มา คิดว่าคนป่าเถื่อนบนเขาโกหกเขา”
“แม่ครัวของข้าตอนนี้ใช้ฟืนทำอาหารยังแคลงใจไม่ชอบใช้ไม้ฟืนที่ไร้กลิ่นหอม คิดว่าจะทำอาหารออกมาไม่อร่อย เครื่องเทศราคาแพงในฉางอันคือชีวิตของฟืนที่นี่ เหล่าซุน เจ้าคิดว่ายังจำเป็นต้องขอเสบียงอาหารจากชาวเหลียวพวกนั้นอีกหรือ ฝั่งอ่าวทะเล เก็บเกี่ยวเมล็ดข้าวสามฤดูต่อปี เยอะจนกินไม่หมด ของดีๆ เน่าเสียอยู่ตามพื้นก็ไม่มีคนเก็บ
แค่เมล็ดข้าวที่ผลิตในประเทศเล็กๆ ก็เกือบจะเท่าของต้าถังอยู่แล้ว!”
ซุนเหรินซือทุบกำปั้นลงบนโต๊ะอย่างแรง โมโหอย่างมาก “ยังมีหลักธรรมชาติแห่งสวรรค์อยู่หรือไม่”
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 35 การข่มขู่ของอวิ๋นเยี่ย
สัจธรรมมีอยู่ในระยะของปืนใหญ่เท่านั้น ใช้ภาษาของต้าถังก็คือหมัดของใครใหญ่ คนนั้นมีสัจธรรม ซุนเหรินซือคิดว่าหมัดของตัวเองไม่เล็ก แข็งมากกว่าหินแกรนิตเสียอีก ช่วงอายุสามสิบปีคือช่วงอายุที่มีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ บวกกับการที่อวิ๋นเยี่ยเอาทรัพย์สมบัติออกมาล่อหน้าล่อตาเขาไม่หยุด เขาจึงยืนหยัดคิดว่าสิ่งของดีๆ ทั้งหมดควรเป็นของต้าถัง ดินแดนที่ดีก็ควรเป็นของต้าถังเช่นกัน ทำไมประชาชนที่ขยันขันแข็งของต้าถังทำมาหากินตลอดทั้งวันแต่ก็ยังกินข้าวไม่อิ่มท้อง แต่คนขี้เกียจพวกนั้นกลับแค่หว่านเมล็ดพืช รอสักสิบกว่าวันก็มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวได้แล้วล่ะ หลักธรรมชาติเเห่งสวรรค์อยู่ที่ไหน
เขาคิดว่าตัวเองสามารถแก้ไขความอยุติธรรมนี้ได้ด้วยตัวเอง มันคือเอกลักษณ์อันยิ่งใหญ่ที่สุดของแม่ทัพต้าถัง อดไม่ได้ที่จะบริหารจัดการกองทัพทหารให้ดีขึ้นในวันเดียว พรุ่งนี้ก็จะเริ่มต่อสู้กับความอยุติธรรมนี้แล้ว
เดินจากไปด้วยความโมโห เขาอยากจะร่ำรวยเต็มทีแล้ว…
หลี่อันหลานยกกาน้ำชาแล้วเปิดม่านเดินเข้ามา เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังหลับตา นางตบที่โต๊ะเบาๆ กำลังจะพูด แต่อวิ๋นเยี่ยก็สะบัดมือแล้วพูดออกมาก่อนว่า “อันหลาน อย่าพึ่งรบกวนข้า ข้าขออยู่เงียบๆ สักเดี๋ยว จิตใจข้าสับสนวุ่นวายไปหมด วุ่นวายมากทีเดียว หากจัดการกับเรื่องวุ่นๆ พวกนี้ไม่ได้ ข้าคงจะไม่สบายใจไปตลอดชีวิต”
หลี่อันหลานวางกาน้ำชาลง แต่กลับไม่ได้เดินออกไป ในห้องมืดสลัวเห็นเพียงเงาเลือนรางของคนสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ อีกคนพิงอยู่กับเสา
ฟ้ามืดสนิทแล้ว แต่อวิ๋นเยี่ยก็ยังออกมาจากโลกของตัวเองไม่ได้ ในโลกใบนั้น มีดดาบและง้าว ขวานตะขอและส้อม อาวุธกว่าสิบแปดชนิดกำลังฆ่าฟันกัน เสียงม้าร้องดัง โหดเ**้ยมอำมหิต ภายใต้ท้องฟ้าที่ราวกับทะเลเลือด มีแต่การฆ่าฟัน เดี๋ยวก็เป็นเหล่าเฉิง เดี๋ยวก็เป็นเหล่าหนิว สุดท้ายกลายมาเป็นซุนเหรินซือ ฟันของเขาเต็มไปด้วยเลือด กำลังร้องคำราม กำลังร้องประท้วง
ฆาตกรมีความชอบธรรมจริงหรือ อะไรคือศัตรู คนที่ไม่ดีต่อตัวเองคือศัตรู นี่คือคำที่เหล่าหนิวสอนตัวเขาเอง เด็กสองคนยืนเถียงกันเรื่องพระอาทิตย์หน้าดำหน้าแดง เพียงแต่ใครพูดถูกกันแน่ล่ะ พูดไม่ถูกสักคน ทั้งสองทางไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องเลย
โต้วเยี่ยนซานตายไปแล้ว แต่เขากลับคืนชีพในใจของอวิ๋นเยี่ย สิ่งที่ตัวเองทำอยู่ตอนนี้แตกต่างอะไรจากสิ่งที่โต้วเยี่ยนซานทำตรงไหน สองร้อยคนตายด้วยน้ำมือของตัวเองโดยไม่กะพริบตาเลยแม้แต่น้อย เหล่าหนิวฆ่าคน จนถึงตอนนี้ก็ยังปล่อยวางไม่ได้ ตัวเขาเองฆ่าคน แต่กลับต้องพึ่งพาพลังที่ยิ่งใหญ่กว่ามาปกป้อง แล้วยังหาข้อแก้ตัวที่ไร้สาระมาปกปิด ช่างน่าสงสาร…
ได้ยินเสียงคำรามของซุนเหรินซือ ก่อนจะเอาตัวเองออกมาจากทะเลเลือดที่ไร้ขอบเขต โยนตัวที่เปียกโชกลงบนฝั่ง อาเจียนเลือดที่กลืนลงไปในท้องออกมาทีละนิด ตัวเขาเองกลายเป็นคนโหดเ**้ยมอำมหิตเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าแท้จริงแล้วกระดูกของข้าคือคนโหดเ**้ยมใจคออำมหิตจริงๆ?
“อันหลาน ข้าควรตกนรกชั้นสิบแปด”
หลี่อันหลานกอดอวิ๋นเยี่ยมาจากทางด้านหลังแล้วพูดซ้ำๆ ว่า “ไม่มีทาง ไม่มีทาง เจ้าเป็นคนดี คนที่ตกนรกควรจะเป็นข้า ข้าทำร้ายเจ้า เป็นข้าที่ทำร้ายเจ้า หากไม่ใช่เพราะความทะเยอทะยานของข้า เจ้าก็ไม่มีทางฆ่าคน ไม่มีทางฆ่าใครสักคน”
“อย่าพูดจาเหลวไหล ในเมื่อเราเป็นคนจุดไฟ ถูกไฟเผาก็ต้องอดทน หากอยากได้รับมันมา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ลงทุน ข้ารู้สึกว่าข้าเหมาะสมที่จะเป็นลูกผู้ลากมากดี มีพัดเสียบอยู่ที่คอเสื้อ ในมือจูงสุนัขดุร้ายมากับทาสชั่วอีกสักสองคน เช่นเดียวกับหลิวจิ้นเป่า หยอกล้อสาวงามบนถนนเมืองฉางอัน รังแกพวกชาวนาแก่ๆ หรือหากจะลักพาตัวสาวงามกลับบ้านไปด้วยสักคนสองคน มันคงจะดีมาก”
“ไม่ได้นะท่านพี่ เจ้าจะถูกคนในฉางอันตีตายเอาได้ ตีไม่ตายก็อาจจะถูกขุนนางอย่างเว่ยเจิงจับตัวไป สุดท้ายอาจจะถูกขับไล่ออกไปแปดพันลี้ แล้งยังต้องมาทำลายล้างชาวพื้นเมืองที่หลิ่งหนานอีก”
“เจ้าบอกว่าฆ่าเป็นคนทำลายล้างใช่หรือไม่ ไปที่ไหนทำลายล้างที่นั่นใช่หรือเปล่า คนดีๆ อย่างซุนเหรินซืออยู่กับข้าแค่ชั่วโมงเดียว เขาก็กลายเป็นหงเฉิงอีกคน เจ้ารู้หรือไม่ว่าการฆ่าคนของเหล่ากองทัพมีประสิทธิภาพน้อยกว่าการรวมตัวคนสามพันคนเสียอีก ซุนเหรินซือแค่หาข้ออ้าง ถึงแม้ว่าลาตัวเมียของตระกูลตัวเองหายไปตัวหนึ่ง เขาก็จะไปถล่มประเทศอื่นเพื่อตามหา และแน่นอนว่าผลสุดท้ายก็คือหาลาตัวเมียไม่เจอ แต่เขากลับเอาควายของคนอื่นกลับมาตั้งหลายร้อยตัว บางทีเขาอาจจะผ่าท้องของกษัตริย์เพื่อหาดูลาตัวเมียของตัวเองก็ได้ หากหลิ่งหนานต้องการความสงบสุข คงต้องรอให้ประเทศเล็กๆ รอบข้างถูกกวาดล้างไปให้หมดเสียก่อน
ถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็จะสามารถเพาะปลูกตกปลาได้อย่างสบายใจ มีชีวิตที่สงบสุขในสถานที่ที่สวยงามแห่งนี้”
จู่ๆ หลี่อันหลานก็สงบลง ตบที่หน้าของอวิ๋นเยี่ยเบาๆ “ตื่นได้แล้ว เจ้าคือท่านโหวของต้าถัง ไม่ใช่ท่านโหวของแคว้นที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้น สถานะของเจ้าเป็นตัวกำหนดให้เจ้าคิดถึงได้แต่ต้าถังเท่านั้น ประชาชนของตัวเองยังกินอิ่ม ใครยังจะไปสนใจประชาชนของคนอื่น พวกเขาถูกรังแก ก็เพราะพวกเขาเป็นคนรนหาที่เอง พวกเราก็ใช่ว่าจะไม่เคยถูกรังแก เจ้าเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษา อย่าบอกว่าเจ้าไม่รู้เรื่องโศกนาฏกรรมของความโกลาหลทั้งห้าแคว้น ชาวฮั่นถูกฆ่าเกือบหมด เจ้าฆ่าครั้งหนึ่ง ข้าฆ่าครั้งหนึ่ง ตอนที่ท่านอาจารย์เซี่ยวอวี่เล่าเรื่องนี้ เขาร้องไห้จนพูดอะไรไม่ออกตั้งหลายครั้ง เจ้าจะมาเป็นคนดีอะไรที่นี่ รีบขนทรัพย์สมบัติกลับฉางอัน ช่วยเหลือประชาชน นี่คือเรื่องที่ท่านโหวต้าถังอย่างเจ้าควรจะทำ”
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกโมโห ตัวเองถูกลูกสาวของชาวหูสั่งสอน นี่คือเรื่องอัปยศอดสูอย่างยิ่ง ต้องแก้แค้น ไม่ลอบฆ่าคนสักร้อยกว่าคนคงจะชำระล้างความแค้นนี้ไม่ได้…
แก้แค้นเหนื่อยจะตาย โดยเฉพาะช่วงเอว คนที่จะถูกลอบฆ่าลุกออกจากเตียงด้วยรอยยิ้มในตอนเช้า ผู้ช่วยมือสังหารนวดเอวให้มือสังหาร นวดไปด้วยดูถูกมือสักหารไปด้วย “ร่างกายบอบบางเช่นนี้จะทำอะไรได้บ้าง เหตุใดถึงไม่ลอบฆ่าสักหนึ่งพันคน หม่อมฉันยังนับได้อยู่ นาทีสุดท้ายฆ่าไปได้แค่ห้าสิบคน คิดว่าข้านับเลขไม่เป็นหรือ”
ไม่สนใจนาง ข้าปวดเอว วันนี้ไม่เจอใครทั้งนั้น อวิ๋นเยี่ยห่มผ้าเตรียมตัวนอนตั้งแต่เช้าวันนี้จนถึงเช้าวันพรุ่งนี้
พึ่งจะงีบไปได้สักพัก หลี่อันหลานก็เข้ามาอีก ดึงผ้าห่มของอวิ๋นเยี่ยออก ยังเปลือยอยู่เลย นางจึงสวมชุดเครื่องแบบให้เขา
“เจ้าจะให้ข้าแก้ผ้าออกไปเจอแขกหรือ” นี่คือคนที่ไม่เคยดูแลใครมาก่อน แม้แต่กางเกงในก็ไม่ใส่ให้
หลี่อันหลานหากางเกงในออกมา เร่งอวิ๋นเยี่ยอยู่นั่น “เร็วเข้า เร็วเข้า เฝิงอั้งมาแล้ว อยู่ที่ห้องรับแขก บอกว่าอยากเจอเจ้า”
ต้องรีบหน่อย ยิ่งรีบก็ยิ่งใส่ไม่ได้ กว่าจะใส่เสื้อผ้าเสร็จ อวิ๋นเยี่ยก็สงบสติอารมณ์ลงได้ ล้างหน้าล้างตา จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินออกไปที่ห้องรับแขก
“ไอ๊หยา เฝิงกงมาถึงที่นี่ อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ออกมาต้อนรับ ขออภัย ขออภัย” เดินเข้ามาเห็นเฝิงอั้งกำลังจิบชาอยู่ก็เลยรีบพูดออกมาเช่นนั้น
เฝิงอั้งไม่ขยับไปไหน ไม่เงยหน้าขึ้น จิบชาอีกครั้งแล้วพูดว่า “ครั้งก่อนยังจิบชานี้อยู่ที่เมืองหลวง คิดไม่ถึงว่าอยู่ที่หลิ่งหนานก็จะมีโอกาสได้จิบ เป็นเพราะบารมีของอวิ๋นโหวแท้ๆ เพียงแต่บารมีอันน้อยนิดของลูกข้า แบกรับความปรารถนาดีของอวิ๋นโหวไม่ไหว ตายอย่างน่าอนาถบนเขาทุรกันดารเช่นนั้น อวิ๋นโหวจะไม่อธิบายให้ข้าฟังสักหน่อยหรือ”
“ข้าอยากจะบอกเฝิงกงว่าเทพเจ้าเป็นผู้ตีกลอง แต่เมื่อเจอกับเฝิงกง แค่โกหกท่าน ข้าก็รู้สึกละอายใจ เฝิงกง ลูกของท่านแย่งผู้หญิงของข้า แล้วยังจะมาเป็นพ่อของลูกข้า ข้าทนไม่ได้จริงๆ ข้าก็เลยไปตีกลองบนภูเขาสองสามที ท่านจะทำเช่นไร ข้าก็ยอมจำนน”
“ดี กล้าทำกล้ารับ ต้าถังของข้าไม่มีท่านโหวที่ไร้ประโยชน์ หากวันนี้เจ้ายังกล้าเอาเรื่องเทพภูเขามาหลอกข้า วันนี้ของปีหน้าก็จะเป็นวันครบรอบวันตายของเจ้า”
ชายเฒ่าตบลงบนโต๊ะอย่างแรงจนโต๊ะแตกออกเป็นชิ้นๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าบอกว่าเทพภูเขาเป็นคนทำ แล้วข้าจะบอกว่าเทพเจ้าเป็นคนทำบ้างไม่ได้หรือ เจ้าถูกเทพเจ้าฆ่าตาย นี่ก็ถือว่าเป็นข้ออ้างที่ดีเช่นนั้น”
คำพูดเพียงคำเดียวทำให้อวิ๋นเยี่ยเหงื่อไหลซึมออกมา เขารู้จักความไร้เหตุผลของชายเฒ่าคนนี้เป็นอย่างดี คิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าพูดเช่นนี้ออกมา
“ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้วก็ต้องแก้ไข ลูกของข้าตายไปสามคน ถือว่าพวกเขาเป็นฝ่ายทำผิดก่อน ให้เจ้าชดใช้เป็นเงินสามแสนคงไม่ถือเป็นการขู่เข็ญเจ้าเกินไปหรอกใช่ไหม”
เฝิงอั้งเป็นสุนัขจิ้งจอกเฒ่าจริงๆ ตัวเองมีลูกชายตั้งสามสิบกว่าคน ตายไปไม่กี่คนเขาไม่สนใจด้วยซ้ำ ลูกชายแต่ละคนทำเงินให้ตระกูลเป็นแสน ถือเป็นกิจการที่ดี
“โชคดีที่ข้าน้อยฆ่าไปแค่สามคน หากฆ่าลูกชายของท่านทั้งหมด ทรัพย์สินทั้งหมดในคลังของต้าถังก็คงชดใช้ให้ท่านไม่ได้” ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็เลยพูดออกไปให้ถึงที่สุด ไอ้อู๋เสอกับซุนเหรินซือก็ไม่รู้ว่าไปตายอยู่ที่ไหน ยังไม่มาช่วยอีก
“อย่าเอาชีวิตของจื้อไต้ที่เมืองหลวงมาขู่ข้า เจ้าพูดถูก ลูกชายของข้ามีเยอะแยะ ตายเพิ่มไปคนหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ศักดิ์ศรีของตระกูลเฝิงยังต้องรักษาไว้ เพื่อศักดิ์ศรีของตระกูลเฝิง ชีวิตของจื้อไต้ก็แค่นั้น”
“ตระกูลอวิ๋นไม่เหมือนกัน ตระกูลของข้ามีทายาทยากลำบาก จนถึงตอนนี้ก็มีเพียงแค่สองคน ขาดหายไปคนหนึ่งก็ไม่ได้ ไม่ว่าใครขาดหายไป ข้าก็จะเอาชีวิตของทุกชีวิตในหลิ่งหนานมาชดใช้ เฝิงกง เจ้าจะลองดูก็ได้”
ชายเฒ่าคนนี้จงใจพูดถึงจื้อไต้ก็เพื่ออยากจะบอกอวิ๋นเยี่ยว่าเขาก็มีลูกคนหนึ่งอยู่ที่หลิ่งหนาน หากเจ้าฆ่าลูกของข้า ข้าก็จะฆ่าลูกของเจ้า
“อวิ๋นเยี่ย ชีวิตของคนในหลิ่งหนานมีตั้งเป็นล้าน ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดได้อย่างไร”
“เฝิงกง เจ้าอาจจะเคยได้ยินว่าข้ามาจากสถานที่แปลกๆ ที่นั่นมีคนบ้ามากมาย หนึ่งในนั้นก็มีคนที่คอยศึกษาว่าทำเช่นไรถึงจะสามารถฆ่าคนทั่วโลกด้วยวิธีที่รวดเร็วและได้ผลมากที่สุด การศึกษาของพวกเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เท่าที่ข้ารู้มีอยู่สี่วิธี หนึ่งในนั้นคือวิธีที่ง่ายที่สุด ถึงแม้ว่าจะฆ่าคนทั้งโลกไม่หมด แต่ฆ่าคนทั้งหลิ่งหนานได้ แล้วภายในสามปี ใครที่เข้ามาในที่แห่งนี้ คนนั้นก็จะต้องตาย เฝิงกง เจ้าอยากจะลองดูไหม”
“เทพเจ้าสอนลูกศิษย์ของเขาเช่นนี้หรือ”
“ที่นั่นบ้าคลั่งเกินไป อาจารย์ของข้าถึงได้พยายามพาข้าออกมาจากที่นั่นอย่างสุดชีวิต น่าเบื่อเสียยิ่งกว่าการฆ่าคน เฝิงกง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องไข้ทรพิษ เจ้าไม่รู้ว่าอะไรคือไข้ทรพิษ แต่เจ้าต้องรู้แน่ว่าอะไรคือโรคแผลเน่า แค่เรื่องนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้หลิ่งหนานของเจ้าล่มสลายตลอดไป”
เฝิงอั้งลุกขึ้นมาทันที ชี้หน้าอวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ทำเรื่องเลวทรามเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าไม่กลัวเทพเจ้าลงโทษเลยหรือ”
“หากถูกบังคับ ข้ากล้าทำทุกอย่าง ใครแตะต้องลูกของข้า ข้าจะทำให้ตระกูลของมันตายให้เรียบ กวาดล้างทั้งหลิ่งหนานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทางที่ดีเจ้าควรจะอวยพรให้ลูกของข้าอายุยืนยาว มิเช่นนั้นเจ้าก็คอยดูว่าข้าจะกล้าหรือไม่กล้า”
สำหรับคนสมัยก่อน โรคแผลเน่าเป็นปีศาจที่น่ากลัว พูดถึงยังไม่ได้ แต่ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยพูดถึงเรื่องที่น่ากลัวนี้ขึ้นมาทำให้หนังหัวของเฝิงอั้งที่กล้าหาญชาไปหมด กลัวจนสั่น ไม่มีใครกล้าลองความเป็นไปได้ที่น่ากลัวเช่นนั้น
“อวิ๋นเยี่ย เจ้าฆ่าลูกของข้า”
“ใช่ ข้าเป็นคนฆ่า นอกจากชดใช้คืนด้วยชีวิตแล้ว เจ้าต้องการเงินข้าก็ให้ได้ แต่สามแสนกว่า ข้าไม่มีเงินมากขนาดนั้น เอาสมบัติตกทอดของตระกูลข้าไปแทนได้หรือไม่”
“จะต้องดูก่อนว่าเป็นสมบัติอะไร หากเป็นอัญมณีข้าไม่ต้องการ ตระกูลเฝิงไม่ได้ขาดแคลนของพวกนี้ หากเป็นเครื่องแก้วชั้นดีก็ยังพอพิจารณาได้” ทั้งสองคนกลับมาที่หัวข้อเดิมอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยไม่พูดถึงเรื่องไข้ทรพิษอีกต่อไป เฝิงอั้งก็ไม่พูดถึงเรื่องชีวิตคนอีกต่อไป
หลี่อันหลานถือเครื่องแก้วกระต่ายออกมาจากหลังบ้าน เอามาวางไว้บนโต๊ะ เฝิงอั้งมองไปที่กระต่ายตัวนั้นด้วยความโศกเศร้าราวกับกำลังมองดูลูกชายของตัวเองที่ตายไป…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น