เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 8 ตอนที่ 29-30

[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 29 ผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ของตู้หร...

 

 


 


เห็นตู้หรูฮุ่ยเดินออกไปจากตำหนัก สีหน้าของหลี่ซื่อหมินก็ยิ้มสดใส เขาพูดกับตัวเองว่า “อวิ๋นเยี่ยไอ้เจ้านี่ถึงแม้ว่าจะเจ้าเล่ห์ไปหน่อย แต่ก็ไม่เคยทำเป็นเล่นต่อหน้าเรา สถานการณ์ในหลิ่งหนานที่เขาพูดถึง เราจะไม่รู้ได้เช่นไร ช่วงสองสามวันนี้เรื่องที่กังวลมากที่สุดก็คือเรื่องนี้ หากทุกคนล้วนแต่เป็นเศรษฐีกันหมด เรายังจะเป็นฮ่องเต้ที่สูงส่งได้เช่นไร ดูเหมือนว่าจะต้องปิดข่าวของหลิ่งหนานเสียแล้ว”


 


 


หลังจากเข้าใจเหตุการณ์ หลี่ซื่อหมินก็รู้สึกอยากอาหารขึ้นมา เรียกสาวใช้เตรียมอาหารให้ตัวเอง เห็นลิ้นจี่สองสามลูกที่วางอยู่บนโต๊ะ เขาก็ปอกเปลือกออกลูกหนึ่ง มองดูเนื้อสีขาวราวกับหิมะ ถอนหายใจ กินเข้าไปในปาก ลิ้มรสอย่างระมัดระวัง


 


 


จั่งซุนออกมาจากผ้าม่านด้านหลัง หยิบลิ้นจี่ขึ้นมาปอกเปลือกให้หลี่ซื่อหมินแล้ววางไว้ในจาน มองดูลิ้นจี่สี่ลูกแล้วพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อหลิ่งหนานมีสมบัติมากมายเช่นนี้ เหตุใดราชวงศ์ถึงได้มองข้าม”


 


 


“นี่เป็นเรื่องของวิสัยทัศน์และจิตใจ สองสิ่งนี้เป็นตัวกำหนดว่าประเทศชาติจะเดินไปได้ไกลเพียงใด เจ้าดูเรื่องที่ฉินอ๋องกับฮั่นอู่ตี้ทำเจ้าก็จะเข้าใจ สองคนนี้พยายามพัฒนาหลิ่งหนานอย่างสุดความสามารถ สู้รบปรบมือมาแล้วหลายครั้ง ถึงได้ทิ้งรากฐานเช่นนี้ไว้ให้คนรุ่นหลัง คิดดูแล้วเราก็ถือว่าได้สืบทอดความเมตตาจากพวกเขา ในตอนนี้ถึงเวลาที่หลิ่งหนานจะต้องเริ่มสร้างผลผลิตแล้ว แผนการของอวิ๋นเยี่ย ก็แค่เร็วกว่ากำหนดเพียงไม่กี่ปี หลังจากที่เราได้กำจัดศัตรูที่ทรงอำนาจทางตอนเหนือไปหมดแล้ว ถึงแม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะไม่ทำ แต่เราก็จะบุกเบิกที่ดินผืนใหญ่ของเจียงหนานและหลิ่งหนาน ปล่อยให้รกร้างเช่นนั้นไม่ได้”


 


 


ป้อนลิ้นจี่ให้จั่งซุนคำหนึ่ง หลี่ซื่อหมินก็หลับตาลงและฮัมเพลงเบาๆ รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก


 


 


ซินเย่วเดินผ่านพวกขุนนางอีกครั้ง ขันทีเจ็ดแปดคนถือของรางวัลที่ฮองเฮามอบให้นางเดินตามมาทางด้านหลัง อวิ๋นเยี่ยยังไม่เคยได้เสวยสุขกับของพวกนี้แต่นางกลับเสวยสุขคนเดียว


 


 


สวมเสื้อแพรกลับบ้านเกิด ซินเย่วก็เช่นเดียวกัน รถม้าทรงพลังห้าหกคันเต็มไปด้วยข้าวของ แล่นผ่านตลาดตะวันตกอย่างโลดโผน ขุนนางบางคนที่อยากจะเอาใจซินเย่ว เปล่าประกาศให้คนนอกรู้ว่าตระกูลอวิ๋นได้รับของรางวัลจากฮ่องเต้และฮองเฮา นายท่านของตระกูลอวิ๋นตอนนี้อยู่ที่แคว้นหลิ่งหนาน เมื่อเสร็จภารกิจก็จะกลับมา


 


 


จางเลี่ยงได้ยินเช่นนี้ก็เตรียมที่จะเคลื่อนไหวสักหน่อย ปล่อยมันไปเถอะ ไม่เช่นนั้นเมื่ออวิ๋นเยี่ยกลับมา สองตระกูลอาจจะได้สู้รบปรบมือกันอีก เห็นได้ชัดว่าราชวงศ์ไม่ได้สนับสนุนตัวเอง อย่าหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองจะดีกว่า


 


 


เมื่อกลับไปถึงบ้าน ซินเย่วดึงน่ารื่อมู่ที่นอนเพ้อฝันอยู่บนกองอัญมณีขึ้นมา เอาอัญมณีให้นางสองเม็ด ไล่นางไปไกลๆ ตัวเองเริ่มคิดหาวิธีแจกจ่ายอัญมณีที่เหลือ


 


 


สีม่วงเอาไปทำเครื่องประดับให้ท่านย่า ตัวเองชอบอัญมณีสีเหลือง เอาอัญมณีสีเขียวให้น่ารื่อมู่สองเม็ด แม่นั่นชอบสีเขียวที่สุด เอาสีฟ้าให้รุ่นเหนียง ปีหน้าตระกูลฉินก็จะมารับตัวนางแล้ว ไม่มีเครื่องประดับสวยๆ ไม่ได้ ต้ายาโตเป็นสาวแล้ว ยักคิ้วหลิ่วตากับซ่านอิง ดูเหมือนว่าคงจะอยู่บ้านได้อีกไม่นาน แต่ซ่านอิงมีฐานะยากจนเกินไป ตอนนี้ยังติดหนี้ท่านพี่อยู่ตั้งมาก แต่ก็ช่างเถอะ ท่านพี่คงไม่เอาคืน คิดเช่นนี้ก็จัดเตรียมอัญมณีให้ต้ายาสักสองเม็ด


 


 


ที่เหลือก็ให้พวกสาวๆ คนละเม็ด รวมทั้งซือซือและเสี่ยวอู่ ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดครอบครัวของเสี่ยวอู่ดูเหมือนจะลืมว่ามีเสี่ยวอู่อยู่ ไม่สนใจนางเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เข้ามาอยู่ที่บ้านแล้ว ก็ดีเหมือนกัน หญิงฉลาดและหน้าตาดีใครๆ ก็ชอบ ต่อไปน้องชายของท่านพี่คงต้องเพิ่มค่าสินสอดให้ แต่ไม่เป็นไรตระกูลอวิ๋นจ่ายได้


 


 


เมื่อเทียบกับการฆ่าฟันในวันก่อนๆ ที่ผ่านมา ซินเย่วชอบการคิดคำนวณเช่นนี้มากกว่า มองดูอัญมณีหลายสิบเม็ดที่กองอยู่ นางบอกให้สาวใช้ตามพวกผู้หญิงในบ้านมาให้หมด


 


 


ผู้หญิงในห้องเอาแต่เอะอะโวยวายเถียงกันไม่หยุด เสี่ยวยาแอบอยากได้เพิ่มอีกสองเม็ด แต่ถูกซินเย่วตีก้นไปสองที ถึงได้วางอัญมณีลงอย่างน้อยใจแล้วพูดว่า “รอพี่ชายกลับมาข้าจะฟ้องเขา”


 


 


ซินเย่วไม่สนใจนาง ถืออัญมณีสีชมพูเทียบไปมาที่หัวของเสี่ยวตง เด็กผู้หญิงที่มีเครื่องประดับสีชมพูมักเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น


 


 


ท่านย่าหัวเราะดูพวกเด็กๆ เอะอะโวยวาย หลังรู้ข่าวว่าหลานชายปลอดภัย ท่านย่าก็กราบไหว้พระโพธิสัตว์อีกครั้ง ข้าวมื้อเย็นของวันนั้นยังกินเพิ่มอีกถ้วยหนึ่ง ขอแค่หลานชายปลอดภัย นางก็อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหน่อย หากหลานชายเป็นอะไรไป นางคงผิดหวังต่อโลกใบนี้เป็นอย่างมาก คงไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์อีกแล้ว


 


 


คนรับใช้ของจวนอวิ๋นต่างพากันดีอกดีใจ ช่วงเวลาที่ผ่านมาช่างลำบากยากเย็น ใบหน้าของนายท่านทุกคนไม่มีใครยิ้มแย้มแจ่มใส คนที่ซุกซนที่สุดอย่างเสี่ยวยายังมัดฮันฮันเอาไว้ ไม่ให้มันออกไปทำร้ายคนอื่น ตอนนี้ดีขึ้นมามาก ท้องฟ้าสดใส แสงอาทิตย์สอดส่องบ้านที่สวยงามของตระกูลอวิ๋นอีกครั้ง


 


 


ตระกูลอวิ๋นชื่นชมยินดี ตระกูลตู้เศร้าโศกเสียใจ นายท่านกลับมาจากพระราชวังก็ถอนหายใจยาว ตู้หรูฮุ่ยที่คอยหาแพะรับบาปมาตลอดชีวิต ตอนนี้ตัวเองกลับกลายมาเป็นแพะรับบาปเสียเอง แถมเรื่องในครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เขาไม่กล้านึกถึงวันข้างหน้าในเมืองฉางอัน สายตาเกลียดชังเหล่านั้น แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว หลี่ซื่อหมินไม่ได้เรียกหาฝางเสวียนหลิงก็แสดงว่าเขาเป็นแพะรับบาปที่เหมาะสมที่สุด ขัดขวางทางรวยก็ราวกับฆ่าพ่อฆ่าแม่ ความแค้นครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่


 


 


โทษอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ เขาอยากจะให้ฮ่องเต้เป็นแพะรับบาป แต่แผนการคล้อยตามแสนสวยงามของฮ่องเต้ได้ผลักเขาเข้าไปแทน จะระมัดระวังมากแค่ไหนก็หนีไม่พ้น คนอย่างอวิ๋นเยี่ยเป็นคนที่ใครๆ ก็สามารถมองข้ามได้เช่นนั้นหรือ


 


 


มองพระอาทิตย์ที่อยู่นอกหน้าต่าง เขาอยากจะเอาเชือกเส้นยาวไปมัดพระอาทิตย์ที่อยู่บนท้องฟ้าเอาไว้ ให้เวลาหยุดเดิน ถอนหายใจอย่างไร้หนทาง นั่งอยู่ในห้องหนังสือ ในหูจะได้ยินเสียงกลองดังขึ้นเรื่อยๆ ตู้หรูฮุ่ยที่เพียงแค่คืนเดียวก็แก่ขึ้นเป็นอย่างมากบอกให้คนรับใช้เตรียมน้ำล้างหน้าให้ตัวเอง เตรียมตัวไปราชสำนัก ยื่นหัวออกไปก็ถูกตัด หดหัวเข้ามาก็ถูกตัด หลบไม่ได้ ไม่สามารถหลบหนีได้


 


 


ภรรยาของเขาแต่งตัวให้เขาด้วยความกังวลใจ นัยน์ตาเต็มไปด้วยน้ำตา ท่านพี่เล่าให้นางฟังแค่เรื่องความเก่งกาจ รู้ถึงความยากลำบาก นางก็เสียใจแทนสามีที่เป็นขุนนางมาทั้งชีวิต ฮ่องเต้ใจร้าย ตู้หรูฮุ่ยรู้ นางก็รู้…


 


 


ทุกคนในบ้านล้วนแต่พากันมาส่งนายท่านออกไปข้างนอก แม้แต่ตู้เหอที่ดื้อรั้นมาตลอดก็ยังดูเรียบร้อย ทำตามกฎระเบียบยืนส่งพ่อออกไปจากบ้านอยู่ด้านหลังพี่ชาย


 


 


ตู้หรูฮุ่ยมองไปที่คนในบ้าน กระตุ้นจิตวิญญาณและก้าวออกจากประตู เขารู้ว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปตระกูลตู้จะค่อยๆ สูญหายไป ใครก็ช่วยไม่ได้


 


 


เป็นสมุหนายกมาตั้งหลายปี ยอมตายดีกว่าต้องเสียหน้า ข้า ตู้หรูฮุ่ย ตัดสินใจแล้วตัดสินใจเลย ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องกัดฟันเดินต่อไป ตู้หรูฮุ่ยบอกให้ม้าที่ตัวเองขี่อยู่วิ่งออกไป


 


 


ราชสำนักใหญ่ยังคงเหมือนเดิม กองทัพแต่ละกองทัพมารวมตัวกันตามเส้นทางที่กำหนดไว้ จัดหาอาวุธให้แต่ละฝ่าย เจ้ากรมการคลังดูเหมือนจะถูกบังคับให้กระโดดลงไปในแม่น้ำ กองทัพสามทางรวมเป็นจำนวนสามแสนสามหมื่นคน เตรียมพร้อมที่จะเข้ายึดครองชนเผ่าเซวียเหยียนถัวและเกาชัง หลี่จิ้งขอเสบียงอาหาร โหวจวินจี๋ก็ขอเช่นกัน หลี่จิ้งส่งจดหมายจากแนวหน้าไปถามเขา ตำหนิเขาอย่างแรงว่าเขายักยอกเสบียงอาหารที่ควรให้กองทัพใช่หรือไม่


 


 


จั่งซุนอู๋จี้อยากจะร้องไห้แบบไม่มีน้ำตา ในฐานะเจ้ากรมการคลัง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเตรียมเสบียงอาหารให้เพียงพอในเวลาอันสั้นที่สุด


 


 


พึ่งบอกเหตุผลไป ก็มีขุนนางถามว่าครั้งก่อนที่ยึดครองเเดนเติร์กตะวันตกก็ไม่มีปัญหาอะไรไม่ใช่หรืออย่างไร เหตุใดตอนนี้ถึงมีปัญหา เกิดจากการไร้ความสามารถของเจ้าใช่หรือเปล่า


 


 


จั่งซุนอู๋จี้อยากจะส่งไอ้โง่คนนี้ไปเรียนวิชาภูมิศาสตร์อีกครั้ง ให้เขาดูว่าเเดนเติร์กตะวันตกตั้งอยู่ตรงไหน และชนเผ่าเซวียเหยียนถัวกับชนเผ่าเกาชังตั้งอยู่ตรงไหน ความแตกต่างของทั้งสองแห่งมากกว่าหนึ่งพันไมล์ จำนวนคนมากกว่าครั้งก่อน ระยะทางไกลกว่าครั้งก่อน ความยากลำบากเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว กรมคลังก็มีอยู่แค่นั้น แม้แต่เทพเจ้าก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้หรอก


 


 


เกิดการดุด่ากันในที่ประชุม ถึงแม้ว่ากรมการคลังจะยังพอมีสิ่งของอยู่บ้าง แต่จะสนใจแค่ผลประโยชน์ตรงหน้าไม่ได้ สนใจแต่การสู้รบปรบมือ หากเกิดภัยพิบัติในประเทศขึ้นมา ใครกล้ารับผิดชอบกันล่ะ หากไม่สนใจประชาชนในประเทศ การล่มสลายของราชวงศ์สุยคือบทเรียนความล้มเหลวของรุ่นก่อนอย่างไรล่ะ


 


 


ตู้หรูฮุ่ยรู้ว่าตัวเองจะต้องออกหน้าแล้ว หลี่ซื่อหมินมองมาที่เขามากกว่าหนึ่งครั้ง ยังไม่ทันได้ก้าวออกไป ก็มีชายสวมเสื้อคลุมสีม่วงเดินออกไปก่อน เดิมทีคิดว่าเขาคนนี้ก็คงจะโจมตีจั่งซุนอู๋จี้เช่นกัน ใครจะไปคาดคิดว่าเปิดปากพูดก็ทำให้ตู้หรูฮุ่ยตกใจ อดไม่ไหวที่จะกอดหอมเขาสักสองสามที ในโลกนี้ยังมีคนดีเช่นนี้หลงเหลืออยู่ เขาเป็นคนช่วยตระกูลตู้เอาไว้ เบ้าตาของเหล่าตู้แดงไปหมด


 


 


“ฝ่าบาท ข้าวของเหล่านั้นในคลังของประเทศไม่เหมาะนำมาใช้งานจริงๆ กระหม่อมคิดว่าหากพวกกระหม่อมสามัคคีกัน ไม่พูดถึงความลำบากเล็กๆ น้อยๆ กระหม่อมยอมบริจาคเสบียงอาหารด้วยความสมัครใจ เมื่อก่อนเคยได้ยินหลานเถียนเซี่ยนโหวอวิ๋นเยี่ยพูดว่าได้ทรัพย์สมบัติมากมายจากแคว้นหลิ่งหนาน นี่ก็เป็นปีแล้ว คิดว่าน่าจะเก็บสะสมเสบียงได้ไม่น้อย กระหม่อมจึงจะบริจาคเงินทั้งหมด เพื่อช่วยบรรเทากองทัพของประเทศชาติ ไม่เพียงแค่นั้น กระหม่อมสมัครใจออกไปประจำการที่หลิงโจว ไปเป็นกองหลังคอยสนับสนุนกองทัพ หวังว่าฝ่าบาทจะเห็นด้วย”


 


 


ทุกคำพูดของจางเลี่ยงทำให้ตู้หรูฮุ่ยซาบซึ้ง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบนโลกใบนี้จะมีคนที่ใจกว้างอย่างจางเลี่ยง ไม่สนใจผลประโยชน์ของตัวเอง แล้วยังทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น


 


 


จั่งซุนอู๋จี้ที่ถูกโจมตีจนอับอายก็พูดขึ้นมาว่า “กระหม่อมก็ได้รับทรัพย์สมบัติจากแคว้นหลิ่งหนานเช่นกัน เพื่อกองทัพของประเทศชาติ กระหม่อมก็ยอมที่จะบริจาค”


 


 


ทั้งสองคนพูดเช่นนี้ ฝางเสวียนหลิงในฐานะสมุหนายกก็ทำได้แค่ยืนขึ้นตอบรับการบริจาค จากนั้นก็ถึงตาของตู้หรูฮุ่ยแล้ว ณ เวลานี้ ตู้หรูฮุ่ยที่ไร้ความกดดันทางจิตใจก็ต้องคล้อยตามไปอย่างแน่นอน เพียงแค่พิจารณาแทนตระกูลแต่ละตระกูล ไม่ปล่อยให้บรรดานายพลที่ไปหลิ่งหนานทำไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาตัดสินใจบริจาคหกส่วน ส่วนที่เหลือจะแบ่งให้กับนายพลประจำตระกูล ต่อไปจะได้มีคนดูแลแต่ละตระกูล แล้วก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีสำหรับราชสำนัก


 


 


หลี่ซื่อหมินมองไปที่ตู้หรูฮุ่ยอยู่นาน จากนั้นก็มองไปยังจางเลี่ยง ตู้หรูฮุ่ยยิ้มแล้วส่ายหน้าให้ฮ่องเต้ บอกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไร เขากระโดดเข้าไปเอง


 


 


หลี่ซื่อหมินนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มให้จางเลี่ยง เขาไม่สนใจว่าใครเป็นคนเสนอขึ้นมาก่อน ขอแค่เป้าหมายของตัวเองสำเร็จก็พอ ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ ตัวเองรนหาที่ตายเอง อย่าโทษคนอื่น


 


 


“ในเมื่อทุกท่านเห็นพ้องต้องกัน ปรารถนาดีเราก็ขัดไม่ได้ องครักษ์ของเราบางคนก็อยู่ในหลิ่งหนาน เช่นนั้นก็ทำตามที่ตู้หรูฮุ่ยบอก เราก็บริจาคหกส่วน หลานเถียนเซี่ยนโหวอวิ๋นเยี่ยก็อยู่ที่หลิ่งหนาน สั่งให้เขารับผิดชอบหกส่วน ส่งกลับมาที่ฉางอันโดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ช่วยบรรเทาความจำอย่างเป็นเร่งด่วน”


 


 


ตู้หรูฮุ่ยโค้งคำนับแสดงความยินดีกับพฤติกรรมที่ชาญฉลาดของฮ่องเต้ ขุนนางคนอื่นๆ ก็คุกเข่าคำนับตามอย่างงงงวย พึมพำในใจว่านี่ชาญฉลาดแล้วเหรอ สมบัติล้ำค่าในหลิ่งหนานจะบรรจุได้เต็มคลังของประเทศเชียวหรือ

 

 

 


[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 30 ใช้กำลังบังคับ

 

ตู้หรูฮุ่ยขี่ม้าไปด้วยยิ้มไปด้วย คนรับใช้ไม่เข้าใจว่าตอนเช้านายท่านยังร้องไห้อยู่เลย เหตุใดไปราชสำนักกลับมาเขาถึงได้มีความสุขเช่นนี้แล้วล่ะ 


 


 


นี่เป็นเรื่องโชคดีที่สุดในชีวิตของตัวเอง มีคนออกหน้าแทน แล้วยังไม่ต้องขอบคุณ ตัวเองเหลือไว้ให้พวกขุนนางสี่ส่วน ไม่จำเป็นต้องพูด เมื่ออวิ๋นเยี่ยขนสมบัติล้ำค่ากลับมาจากหลิ่งหนาน ทั้งเมืองฉางอันจะต้องรุกเป็นไฟอย่างแน่นอน ข้าเหล่าตู้จะเป็นคนเดียวที่พวกเขาจะต้องขอบคุณ แล้วก็อาจจะมีอวิ๋นเยี่ย ไอ้เจ้าเล่ห์คนนั้น คงไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะได้เป็นคนดีไปอย่างแน่นอน รู้จักกันมาตั้งหลายปีแล้ว ตู้หรูฮุ่ยก็พอจะเข้าใจอวิ๋นเยี่ยอยู่บ้าง 


 


 


ที่บ้านมืดครึ้ม ภรรยากำลังเตรียมที่จะอพยพคนในบ้าน ให้พวกเขากลับไปดูแลสุขภาพกายสุขภาพใจที่บ้านเกิดของตัวเอง ให้มีอนาคตที่ดีขึ้น 


 


 


ทั้งจวนตระกูลตู้เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ ได้ยินเหล่าตู้กลับมา ภรรยาก็ออกมาต้อนรับ เห็นสามียิ้มมาแต่ไกล เป็นไปได้ว่าเรื่องราวพลิกผันไปในทางที่ดีแล้วหรือไม่ 


 


 


“ให้พวกเขาไปทำในเรื่องที่ควรทำ อย่าร้องไห้เอะอะน่ารำคาญ หากชอบอยู่ฉางอันก็อยู่ฉางอัน ตระกูลของเราจะไม่ไปที่ไหนทั้งนั้น จะอยู่เช่นนี้ต่อไป รอผลประโยชน์ที่จะมาจากหลิ่งหนาน มีความสุขสักสองสามวัน ตอนนี้ไปเตรียมอาหารให้ข้า เอาเหล้ามาด้วย กินอิ่มแล้วข้าจะนอนหลับ” 


 


 


ภรรยายิ้มตอบตกลง ดูแล้วตระกูลของตัวเองน่าจะไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ไม่รู้ว่าท่านพี่ต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน ต้องบำรุงให้มากหน่อย อายุมากแล้ว ไม่ได้นอนทั้งคืน ไม่ดี ถือว่าทำร้ายร่างกาย 


 


 


เหล้าจิบหนึ่ง ข้าวคำหนึ่ง ทั้งร่างกายของตู้หรูฮุ่ยค่อยรู้สึกผ่อนคลายลง ครั้งนี้ฮ่องเต้ทำผิดต่อเขา ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะไม่ได้เป็นไปตามความหวังของฮ่องเต้ แต่ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมาย ไม่มีข้อผิดพลาดอะไร สำหรับตระกูลตู้นี่เป็นจุดจบที่ดีที่สุด ฮ่องเต้ยังคงติดหนี้บุญคุณเขาอยู่ 


 


 


หลังจากฟังที่ตู้หรูฮุ่ยเล่า ภรรยาของเขาก็หัวเราะจนน้ำตาไหล สองสามีภรรยากลั้นหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่ในบ้าน 


 


 


สองสามวันนี้อวิ๋นเยี่ยตระเวนรอบเมืองไม่หยุด มีหลิวฝูลู่ไปเป็นเพื่อนด้วย ทั้งสองคนตระเวนตามถนนทุกเส้น ตรอกซอยทุกตรอกจนเข้าใจแผนผังทั้งเมือง หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยเตรียมตัวพร้อมสรรพ เขาก็จะเริ่มลงมือเลย เพราะหากยังไม่ลงมือ มัวแต่รอให้ฮ่องเต้มีคำสั่ง ตัวเขาก็คงจะไม่มีโอกาสได้ลงมือแล้ว 


 


 


ไม่ว่าโลกนี้จะมีคนฉลาดสักกี่คน ทั้งๆ ที่รู้ว่าการเข้าไปขุดหาทองคำในป่าเป็นเรื่องที่อันตราย เมื่อเห็นคนอื่นตะโกนเข้าไปในป่าก็ไม่สามารถยับยั้งใจที่กระตือรือร้นของตัวเองได้ สุดท้ายก็ตามกองทัพม้าเข้าไปในป่า 


 


 


องครักษ์ของตระกูลอวิ๋นมาครบหมดแล้ว อวิ๋นเยี่ยมัดกระบอกไม้ไผ่เป็นพวง หาที่ที่ไม่มีคนจุดไฟ ได้ยินเสียงดังลั่น นกบนภูเขาก็บินหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที บินขึ้นไปบนภูเขาด้วยความตื่นตระหนก 


 


 


องครักษ์ดึงหูที่กำลังอื้ออึง มองไปยังท่านโหวของตัวเองราวกับมองเทพเจ้า สองสามวันนี้ไม่ได้ทำอะไรนอกจากเอาถ่านดินประสิวและกำมะถันมาทำของสิ่งนี้ขึ้นมา เมื่อรู้ว่ามันมีประสิทธิภาพถึงเพียงนี้ตอนที่เห็นลำต้นหนาของต้นไม้ใหญ่ถูกระเบิด แต่ละคนก็อยู่ไม่สุขอีกต่อไป ตัวเองแบกระเบิดอยู่บนหลัง ท่านโหวไปเอาเทพระเบิดมาจากไหน 


 


 


“อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร คนที่พูดออกไปถึงแม้ว่าข้าจะไม่เอาความ แต่ก็จะถูกคนอื่นเอาความได้ ตระกูลของเราไม่ต้องการสิ่งของพวกนี้ สิ่งของพวกนี้เป็นอันตราย ในโลกอนาคตคนที่ตายเพราะสิ่งนี้มีเยอะจนนับไม่ถ้วน หลังจากวันนี้ ก็ลืมมันไปซะ จำไว้ จำไว้ให้ดี” 


 


 


องครักษ์ต่างพากันรีบตอบตกลง นี่เป็นอาวุธวิเศษของเทพเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะต้านทานได้ ครั้งนี้ที่ใช้ได้ก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว หากยังพูดมากอาจจะถูกเทพเจ้าลงโทษเอาได้ ท่านโหวไม่กลัว แต่ตัวเองระวังตัวไว้ดีกว่า 


 


 


ทหารพรานและวีรบุรุษในท้องถิ่นต้องถูกกำจัดจนหมด ไม่เช่นนั้นหลี่อันหลานไม่ต้องคิดที่จะครอบครองดินแดนแห่งนี้เลย อวิ๋นเยี่ยไม่อยากฆ่าคน แต่แค่ต้องการไล่สัตว์ร้ายในป่าและคนพวกนั้นไป 


 


 


ป่าดึกดําบรรพ์ของต้าถังอุดมไปด้วยสัตว์ป่าหลากหลายสายพันธุ์ มีสัตว์ป่ามากมายนับไม่ถ้วน มีสัตว์ร้ายอยู่บนภูเขาเกือบทุกลูก หลังจากเสียงระเบิดดินปืนดังขึ้น ก็คงเพียงพอที่จะขับไล่สัตว์ป่าพวกนั้นขึ้นไปอยู่บนภูเขา สัตว์ล้วนแต่เป็นสัตว์อ่อนไหว เสียงฟ้าร้องครั้งก่อนที่อยู่ในถ้ำยังทำให้สัตว์ร้ายต่างพากันตื่นตระหนก ไม่มีเหตุผลที่ระเบิดดินปืนของตัวเองจะเทียบเคียงเสียงฟ้าร้องไม่ได้ 


 


 


เมื่อจัดเตรียมเสร็จสิ้น อวิ๋นเยี่ยก็กลับเข้าไปในเมือง องครักษ์กลุ่มละสองคนเคลื่อนที่ไปตามเส้นโค้งรูปกระเป๋า ทุกๆ ครึ่งชั่วโมงก็ทำการจุดกระสุนปืนใหญ่ ทำให้สัตว์ร้ายพวกนั้นเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางข้างหน้าที่กำหนดไว้ 


 


 


ยังไม่ทันได้เข้าเมือง ก็มีเสียงฟ้าร้องดังมาจากด้านหลัง ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนกำลังจะตก แค่ฟังจากเสียงฟ้าร้องก็รู้แล้วว่าฝนกำลังจะตกหนัก 


 


 


หงเฉิงไม่รู้เรื่องพวกนี้ เขายังคงจมอยู่กับความสุขที่ได้สมบัติล้ำค่า การโจมตีครั้งนี้เป็นการหาสมบัติล้ำค่า ทหารทุกคนล้วนแต่มีพลังและจิตวิญญาณ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่พวกเขาก็ยังคงยิ้มได้ ขอแค่ประสบความสำเร็จก็จะได้รับเงินรางวัลจำนวนมาก ไม่มีการลำเอียง ไม่มีการได้รับสิทธิพิเศษ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกองทัพ ศพสองสามศพบนรถเหม็นหมดแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ คืนนี้จะเผาพวกเขาให้เป็นเถ้าถ่านแล้วเอาไปด้วย ตายแล้วก็ไม่มีอะไร ชีวิตหนึ่งจะได้เงินสามร้อยเหรียญ คิดอย่างไรก็ไม่ขาดทุน คนที่อายุห้าสิบกว่าแล้ว ตายไปก็ไม่ถือว่าเร็วเกินไป ทิ้งเงินไว้ให้ภรรยาและลูกๆ เป็นเรื่องสำคัญกว่า 


 


 


ในเมืองมีหอนางโลมใหญ่อยู่โรงหนึ่ง เดิมทีก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้ แต่ตั้งแต่ทหารพวกนี้มา มันก็เริ่มใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ โสเภณีจากทั่วประเทศต่างพากันมาทำมาหากินที่เมืองเล็กๆ อย่างยงโจว ดังนั้นอาคารหรูหราที่ใหญ่โตที่สุดในเมืองก็คืออาคารที่เรียกว่าชุ่ยเฟิ่งโหลว 


 


 


หลังจากผ่านการฆ่าฟันพวกทหารก็ต้องการที่ที่ปลอบประโลมร่างกายและจิตใจ ไม่มีใครจิตวิปริตเหมือนหลิวจิ้นเป่า ชอบฆ่าคน ถูกมีดบาดเข้าที่เนื้อเป็นใครก็ต้องกรีดร้อง ฆ่าคนเยอะเกินไปอาจจะกลายเป็นบ้าได้ หากไม่มีหอนางโลม พวกเขาก็คงจะทำเรื่องผิดศีลธรรมทุกอย่าง 


 


 


หงเฉิงไม่อนุญาตให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น ฆ่าคนได้ ปล้นทรัพย์ได้ ข้าก็ทำเรื่องเช่นนี้มาตลอด แต่จะมีการข่มขืนเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีแม้แต่กฎระเบียบข้อนี้ กองทัพนี้คงจะไม่ใช้กองทัพทหารอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นกองทัพสัตว์ร้ายทันที 


 


 


ไอ้คนที่ข่มขืนภรรยาของฮ่องเต้ครั้งก่อน ตอนนี้ทำได้แค่เฝ้าดูคนอื่นหยอกล้อเล่นกับโสเภณี ตัวเองได้สูญเสียความสามารถบางอย่างไป เมื่อรองเท้าหนังของหงเฉิงเหยียบอยู่ด้านบน ไข่ที่เป็นเหล็กก็แบนลีบลงไป หลังจากเหยียบตรงเป้ากางเกงไปแล้วตั้งสิบกว่าคนก็ไม่มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นในกองทัพอีกเลย สักครั้งเดียวก็ไม่มี พอเห็นสาวสวยต่างชนเผ่า เพื่อความปลอดภัยของสหาย พวกทหารเลือกจะถือดาบออกมาก่อนเป็นอันดับแรก ยิ่งสวยก็ยิ่งตายเร็ว 


 


 


หลังจากกองทัพเข้ามาในเมือง นอกจากคนที่คุ้มกันเงินทองและเสบียงอาหาร คนอื่นๆ ต่างพากันแยกย้าย เป้าหมายหลักก็คือผู้หญิงที่โบกผ้าเช็ดหน้าพวกนั้น 


 


 


หงเฉิงยิ้มและหันหน้าไปพูดกับพวกทหารที่เหลืออยู่ว่า “กลับไปนับให้เสร็จเรียบร้อย เราก็จะไปที่นั่นเหมือนกัน เหลาเป่าจือบอกแล้วว่าจะเหลือคนดีๆ ไว้ให้เรา” 


 


 


กลุ่มชายฉกรรจ์ที่มีหนวดเคราหัวเราะขึ้นอย่างน่าประหลาด รีบขับรถม้าเข้าไปในค่าย มีคลังเก็บของขนาดใหญ่อยู่ใต้ค่าย ตอนนี้มีความกังวลอยู่ว่าของจะมากเกินจนเก็บไม่พอ หงเฉิงเขียนจดหมายถึงฝ่าบาท แต่กลับไม่ได้รับจดหมายตอบกลับ มันทำให้เขาลำบาก คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาควบคุมยากขึ้นทุกวัน ออกมาปีกว่าแล้ว คนที่หาเงินก็หาพอแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดคือกลับบ้าน เปลี่ยนคนอีกกลุ่มหนึ่งมา ที่นี่เป็นคลังสมบัติธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของต้าถัง หากหมดลงแล้วก็แค่มาเอาใหม่ที่นี่ 


 


 


เมื่อเข้ามาในคลังเก็บของ หงเฉิงก็โมโหจนควบคุมไม่ได้ ในคลังเก็บของมีคนอยู่ได้อย่างไร เอามือไพล่หลังเพลิดเพลินกับการชื่นชมสมบัติล้ำค่า เห็นของที่มีค่าแล้วยังกล้าหยิบมาใส่กระเป๋าอีกต่างหาก 


 


 


ใครช่างกล้าบังอาจ? ไม่รู้ว่าทำเช่นนี้จะถูกถลกหนังหรอกหรือ เห็นไอ้เจ้านั่นเอาไข่มุกขนาดเท่าไข่ไก่ใส่ในแขนเสื้อ หงเฉิงก็ชักมีดออกมาทันที เขาตัดสินใจที่จะฆ่าเจ้านั่นซะ หากไม่ได้ฆ่าเขาสามวันสามคืน อย่ามาเรียกข้าว่าหงเฉิง 


 


 


ในคลังเก็บสมบัตินั้นมืดมาก คนอื่นๆ พากันยิ้มรอดูเรื่องสนุก พี่หงจะต้องให้พวกเขาได้เห็นฉากนองเลือดอย่างแน่นอน แต่ฉากตรงหน้าทำให้ลูกกะตาของพวกเขาแทบจะถลนออกมาแทน 


 


 


พี่หงก้าวไปสองก้าวด้วยความโมโห ทันใดนั้นก็วางมีดลงบนชั้นวางสมบัติ หาไข่มุกสีดำที่กลมและใหญ่กว่าอันนั้นออกมายื่นให้ชายคนนั้น ชายคนดังกล่าวก็พยักหน้าและเอามันใส่ในแขนเสื้ออีกครั้ง พูดอะไรบางอย่างกับหงเฉิง ทันใดนั้นพี่หงก็เงยหน้าหัวเราะ สั่นสะเทือนจนฝุ่นที่อยู่บนชั้นวางตกลงมากระจัดกระจาย 


 


 


ชายคนนั้นเตะพี่หงทีหนึ่ง แต่พี่หงก็ไม่สนใจ จับไหล่ของชายคนนั้นแล้วพูดอะไรก็ไม่รู้ พูดถึงเรื่องตื่นเต้นแล้วยังกอดกันอีกทีหนึ่ง 


 


 


ชายสองคนเดินออกมาจากคลังที่มืดมิด อวิ๋นเยี่ยตัวบวมไปหมด ทั้งร่างกายของเขาเต็มไปสมบัติล้ำค่า แล้วยังเอาแต่บ่นว่าทำไมตัวเองไม่เอาถุงผ้ามาด้วย 


 


 


“คารวะท่านโหว” พวกทหารต่างก็รู้จักอวิ๋นเยี่ย รู้ว่าครั้งนี้ที่พวกเขาร่ำรวยก็เพราะว่าพึ่งใบบุญของท่านโหวท่านนี้ เข้าใจทันทีว่าทำไมพี่หงถึงได้มีท่าทีเช่นนั้น 


 


 


“ลำบากพวกเจ้าแล้ว แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก ทุกคนต่างก็หากิจการให้ครอบครัวได้ หากใครที่อยากจะรับตำแหน่งขุนนางก็มาสมัครที่นี่ได้ สืบทอดได้สามรุ่น ตำแหน่งไม่ใหญ่โตมาก ตั้งแต่นายพันอวี้อู่ระดับแปด สืบทอดรุ่นหนึ่งลดลงหนึ่งระดับ แต่ว่าไม่มีที่ดีๆ ให้พวกเจ้าประจำตำแหน่งที่อื่นนะ มีแต่ที่หลิ่งหนาน หากอยากทำก็มาสมัคร ข้าจะส่งต่อให้พวกเจ้า อนุญาตหรือไม่ต้องรอคำสั่งจากฝ่าบาทอีกที แต่เพื่อพวกเจ้า ข้าได้เขียนฎีกาไปแล้ว คราวนี้จดหมายตอบกลับของฝ่าบาทกำลังเดินทางมา ไม่เกินสองสามวันก็คงถึง โอกาสดีดีกำลังจะตกลงมาจากท้องฟ้า กลุ่มนักฆ่าผู้โชคดี” 


 


 


“ท่านโหว ท่านบอกว่าพวกที่ไม่รู้จักตัวหนังสืออย่างพวกข้าก็เป็นขุนนางได้หรือ” ชายร่างท้วมถามอวิ๋นเยี่ยด้วยความระมัดระวัง 


 


 


“พวกเจ้าไม่ทำแล้วใครจะทำ ไม่รู้จักตัวหนังสือก็เป็นคนของต้าถังเช่นกัน พวกเจ้ากวาดล้างอาณาเขตใหญ่โตเช่นนี้ได้แล้ว ก็ต้องมีคนบริหารจัดการ ไม่สามารถส่งขุนนางในราชสำนักมาที่หลิ่งหนานได้ หรือจะให้ฝ่าบาทเชิญพวกชนเผ่ากลุ่มน้อยพวกนั้นมาจัดการดีล่ะ ในเมื่อกวาดล้างได้แล้วก็กลายเป็นดินแดนของต้าถัง ตอนนี้ที่ดินในกวนจงไม่เพียงพอที่จัดแบ่งแล้ว พวกเจ้าคลอดลูกอย่างกับเลี้ยงหมู ใครๆ ก็มีลูกตั้งสามสี่คน คนหนึ่งแปดสิบไร่ ที่นาอีกยี่สิบไร่ คลอดลูกคนหนึ่งก็พันไร่ จะเท่ากับคนที่เป็นโหวอย่างข้าอยู่แล้ว ฝ่าบาทจะเอาที่ดินเยอะแยะขนาดนั้นมาจากไหน ที่ดินในกวนจงเยอะก็จริง แบ่งให้ข้าแบ่งให้เจ้า ยังจะเหลืออยู่อีกได้อย่างไร 


 


 


ดินแดนที่นี่อุดมสมบูรณ์ ปลูกข้าวได้ปีละสามครั้ง เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ พวกเจ้าก็เห็นมาเป็นปีแล้ว ดีหรือไม่ก็คิดเอาเอง” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)