เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 8 ตอนที่ 27-28
ตอนที่ 27 ความทรงจำที่มีความสุข
หลังจากส่งเฝิงจื้อหย่งออกไปแล้ว หลี่อันหลานรู้สึกว่าขาของตัวเองกำลังอ่อนแรง ที่จริงแล้วอวิ๋นเยี่ยไม่ใช่ไม่สนใจนางกับลูก แต่เขายังเดินทางมาตั้งไกลเพื่อมาเยี่ยมตัวเองและลูกที่หลิ่งหนาน ถึงแม้นางจะรู้สึกว่าอวิ๋นเยี่ยต้องการมาหาลูกมากกว่ามาหาตัวเองร้อยพันเท่า แต่นางก็ไม่อยากยอมรับเรื่องนี้ คิดว่าอวิ๋นเยี่ยอยากมาหาตัวเองอย่างดื้อรั้น
ถึงแม้ว่านางจะหมกมุ่นอยู่กับสิทธิและเสรีภาพ แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนการเป็นผู้หญิงคนหนึ่งของนางได้ นึกถึงเรื่องอดีตในพระราชวัง นางก็หน้าแดงขึ้นมา ทำเรื่องไร้สาระเช่นนั้นต่อหน้าพวกขันทีและพวกหญิงรับใช้ในวัง แต่นางกลับไม่รู้สึกเสียใจ ไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่วินาทีที่อวิ๋นเยี่ยรุกรานเรือนร่างของนาง นางรู้สึกตื่นเต้นด้วยซ้ำ
ตอนนี้เขากำลังจะมา มาหานางจากทางไกล ข้าต้องเผชิญหน้ากับเขาด้วยท่าทีแบบไหน เย็นชาหรืออ่อนโยน ไม่รู้ว่าเขาจะค้างคืนหรือไม่
ชุดสีแดงไม่สวย เขาชอบสีฟ้าอ่อนๆ ก็คงจะไม่ชอบสีสดใสเป็นแน่ หรือสีดำเทาดี แต่ข้าไม่ใช่แม่ม้ายสักหน่อย สีม่วงล่ะ แพงเกินไป เขาไม่ชอบ สีขาวดีหรือไม่ สีของลูกกตัญญู แต่ว่าใส่แล้วเหมือนผี…
หลิงตังเบิกตากว้างมองดูองค์หญิงรื้อหาชุดในตู้เสื้อผ้า เสื้อผ้ากระจัดกระจายเต็มพื้น องค์หญิงใส่แค่ชุดชั้นใน เปลือยขาทั้งสองข้าง ลองชุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลองจนหมดทั้งตู้แล้ว แต่ก็หาชุดที่เหมาะสมไม่พบสักชุดเดียว นั่งฟุบอยู่ในกองเสื้อผ้า สายตาเต็มไปด้วยเสื้อผ้าหลากสี แต่กลับไม่รู้ว่าอันไหนเหมาะสม
“องค์หญิง ท่านกำลังหาชุดอยู่หรือคะ” หลิงตังยืนถามหลี่อันหลานอยู่ตรงนั้น องค์หญิงไม่เคยสนใจว่าตัวเองจะใส่ชุดอะไร บางครั้งแม้แต่ชุดของผู้ชายนางก็ใส่ มัดหางม้าก็สามารถออกไปเดินเล่นได้ทั้งวัน วันนี้เกิดอะไรขึ้น แก้มแดงระเรื่อ หัวใจสั่นไหว ครั้งก่อนที่ตัวเองคิดถึงอวิ๋นเยี่ยตอนอยู่บนเรือองค์หญิงพูดเช่นนี้ ตอนนี้นางก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ
หลี่อันหลานดึงหลิงตังมากอด หน้าอกที่อวบอิ่มวางอยู่บนหน้าอกของหลิงตัง หน้าของหลิงตังแดงไปหมด จมูกได้กลิ่นหอมอ่อนๆ เขินอายจนอยากจะผลักนางออก
“ยัยเด็กโง่ ยังจะมาเขินอาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านพี่กำลังจะมา คราวนี้ถือว่าเขามีจิตสำนึก ยังรู้จักมาเยี่ยมเรา”
“ใคร? ใครจะมาเยี่ยมเราหรือคะ เราไม่มีเพื่อนที่ไหน” หลิงตังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเป็นอวิ๋นเยี่ย แต่เมื่อนึกถึงสถานะของเขา นางก็รู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะออกไปไหนก็ได้ตามอำเภอใจ ส่วนคนอื่น นางไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ใครจะมาก็ไม่เกี่ยวกับนาง
“ยัยเด็กโง่ เราก็มีเพื่อนอยู่แค่คนเดียว ยังถือได้ว่าเป็นคนรัก ข้ากับเขาถึงขั้นมีลูกด้วยกันแล้ว เขามาเยี่ยมพวกเราก็ไม่ผิดอะไร ใครกันที่ยืนตะโกนอยู่ข้างเรือว่าพี่อวิ๋น ตะโกนจนข้าปวดใจ ใครกันที่ฝันแล้วเอาแต่พูดว่า พี่อวิ๋นไม่ต้องการข้า ไม่ต้องการข้า เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าในฝันเขาทำอะไรกับเจ้า”
หลิงตังจะตายแล้ว หน้าแดงราวกับเลือดจะไหลออกมา หลี่อันหลานจูบที่ติ่งหูของนางอีกครั้ง ร่างกายนางอ่อนแรงไปหมด หลี่อันหลานปล่อยหลิงตังออกแล้วยิ้มอย่างมีความสุข เด็กคนนี้อ่อนไหวถึงเพียงนี้ แค่นี้ก็อายแล้วหรือ
หลังจากเลือกอยู่นาน ในที่สุดก็หาชุดที่ถูกใจเจอ ใส่เสร็จเรียบร้อยก็ตกตะลึงไปเลย ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยยังไม่มา หากพวกหลิวจิ้นเป่ารู้ พวกเขาควรจะได้รับจดหมายแล้ว เดินทางจากฉางอันมาหลิ่งหนานต้องใช้เวลากว่าสามเดือน ตอนนี้เขายังมาไม่ถึง
มองหลิงตังที่กำลังเขียนคิ้วด้วยความเสียใจ จิตใจปวดร้าว ยัยเด็กโง่ เขียนคิ้วก็ไม่เป็น ยิ่งเขียนยิ่งดูน่าเกลียด ตอนนี้ดูเหมือนมีแมลงสองตัวเลื้อยอยู่บนหน้า
นางเช็ดออกแล้วจึงเขียนให้หลิงตังใหม่ ครั้งก่อนอวิ๋นเยี่ยก็เช็ดเครื่องสำอางที่แต่งเหมือนตูดลิงออกให้ ตอนนี้ตัวเองใช้ความพยายามไม่น้อย ผ่านไปพักหนึ่งก็เขียนคิ้วให้หลิงตังเสร็จ เลือกหยิบเครื่องประดับลายเปลวไฟชิ้นหนึ่งออกจากกล่อง ใส่ให้นางอย่างระมัดระวัง กอดหลิงตังและกระซิบว่า “ยัยเด็กโง่ เขาจะมาไม่มามันก็เป็นเรื่องของอีกสามเดือน เราดีใจกันเร็วเกินไป”
หลิงตังที่กำลังตื่นเต้นก็หยุดตื่นเต้นทันที ก้มหน้าและร้องไห้ “องค์หญิง ข้าคิดถึงพี่อวิ๋นจริงๆ บนโลกใบนี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่ดีกับข้าที่สุด ข้าขโมยกินขาไก่ของเขา เขาไม่เพียงแต่ไม่โกรธ แถมยังช่วยข้าปกปิด ข้าขโมยอาหารของรัชทายาท เขาก็บอกว่าเขาเป็นคนกินเอง ลูกสุนัขติดอยู่ในพุ่มไม้ เขาก็บอกให้คนไปช่วยมันออกมา เขายังยืนส่งพวกเราอยู่บนฝั่ง ส่งหลิวจิ้นเป่าให้มาคอยปกป้องพวกเรา ฆ่าถู่อ๋องคนนั้นแทนพวกเรา มิเช่นนั้นข้าคงจะตายไปนานแล้ว เห็นพี่อวิ๋นยืนอยู่บนโขดหินตามลำพัง ตอนนั้นข้าอยากจะกระโดดลงไป ว่ายไปอยู่ข้างๆ เขา แต่ข้าว่ายน้ำไม่เป็น หากจมน้ำตาย พี่อวิ๋นคงจะเสียใจยิ่งกว่า องค์หญิง ข้าคิดถึงเขาเหลือเกิน ฮือๆ”
หลี่อันหลานตกใจ ที่แท้อวิ๋นเยี่ยทำแทนตัวเองมากมายเช่นนี้ ยังมีอีกเยอะที่หลิงตังไม่รู้ หากให้นางนับ นางคงจะพูดมากกว่านี้ ตอนนี้ตัวเองได้เพลิดเพลินกับชีวิตอิสระ ล้วนแต่ต้องขอบคุณผู้ชายคนนี้ แต่สิ่งที่ตัวเองทำกับเขา มีเพียงการทำร้ายและการหลอกลวง มีผู้ชายเช่นนี้คอยปกป้องตัวเองอยู่เบื้องหลัง หลี่อันหลานก็รู้สึกว่าตัวเองมีพลังขึ้นมามาก ไม่มีอะไรสามารถบังตานางได้ ไม่แปลกใจที่ซินเย่วจะหวงผู้ชายของตัวเอง เขาไม่เหมือนคนอื่นๆ ไม่เหมือนกับผู้ชายทุกคนในต้าถัง เขาเป็นคนอบอุ่น มีความอดทนและมีความสามารถหลากหลาย แม้แต่ฝีมือการทำอาหารที่คนส่วนใหญ่คิดว่าต่ำต้อย เขาก็ยังเชี่ยวชาญถึงขั้นปรมาจารย์ มีผู้ชายเช่นนี้คอยปกป้อง เป็นครั้งแรกที่หลี่อันหลานรู้สึกว่าพระเจ้ายุติธรรมกับตัวเอง พระเจ้าไม่ทิ้งนางไปไหน แต่เป็นนางที่ละทิ้งพระเจ้า
ผู้หญิงสองคนกอดคอพูดคุยกัน ตั้งแต่วันที่พวกนางได้รู้จักกับอวิ๋นเยี่ย หลี่อันหลานมีความสุขที่ได้พูดถึงเรื่องที่ตัวเองต่อยอวิ๋นเยี่ยจนกลายเป็นหมีแพนด้า รู้สึกโมโหเมื่อพูดถึงอวิ๋นเยี่ยตอนที่เขาใส่ร้ายนางต่อหน้าท่านอาจารย์ แต่หลิงตังจำได้แค่ว่าอวิ๋นเยี่ยทำอาหารอร่อยๆ ให้นางกินตั้งมากมาย ตอนนั้นนางราวกับอยู่บนสวรรค์
หลิวจิ้นเป่าอุ้มนายน้อยเข้ามาที่ห้องด้านในสุด อวิ๋นเยี่ยรับลูกชายมาทันที ลูกน้อยยังพูดไม่เป็น เห็นว่าคนที่มีกลิ่นตัวหอมเข้ามากอดตัวเองอีกครั้ง เขาก็กระโดดโลดเต้นอยู่ในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ย ร่าเริงสดใสราวกับลูกเสือตัวน้อย
อวิ๋นเยี่ยเห็นเด็กคนนี้ครั้งแรกเขาก็มั่นใจว่านี่คือสายเลือดของตระกูลอวิ๋น หน้าตาเหมือนตัวเองตอนเด็กมาก เหมือนลูกชายของตัวเองในยุคหลังเป็นอย่างมาก เขาถึงขึ้นสามารถวาดภาพเด็กคนนี้ตอนอายุตั้งแต่หนึ่งขวบถึงสิบห้าขวบได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่อะไร เพราะว่าในโทรศัพท์มีรูปถ่าย
เห็นเด็กคนนี้เขาก็รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองได้ขยายออกไปอีก เมื่อก่อนเป็นเพียงความฝัน แต่ตอนนี้มีเด็กคนนี้ ในที่สุดอารมณ์ที่คลุมเครือเหล่านั้นก็ถูกล้างออกไปจากสมองของเขา
หลิวจิ้นเป่าเช็ดน้ำตาแล้วก็เปิดประตูเดินออกไป เขาไม่กล้าจะจินตนาการว่าท่านโหวต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในป่ามากถึงเพียงใด ทั้งๆ ที่สามารถปฏิเสธ แต่กลับเลือกที่จะมาหลิ่งหนาน คำพูดที่คนพิการคนนั้นพูด นั่นอาจจะเป็นประสบการณ์ตรงของท่านโหวเลยหรือเปล่า
ตอนนี้พ่อลูกได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ก็ถือว่าพระเจ้าได้ชดเชยให้กับท่านโหว มาถึงคอกม้า วั่งไฉที่ตัวอ้วนท้วนได้กลายเป็นม้าที่รูปร่างแข็งแรง กล้ามเนื้อบนตัวเห็นได้อย่างชัดเจน ยืนขึ้นทีก็สูงกว่าม้าตัวอื่นๆ แต่มันชอบนอนมากกว่า เตะเท้าใหญ่ไปมาสองสามที นอกจากไขมันบนตัวที่หายไป วั่งไฉยังคงเป็นม้าที่มีคุณธรรม เห็นหลิวจิ้นเป่าเดินเข้ามา มันเห็นว่าเขาไม่ได้พกหม้อข้าวมาด้วย ก็เอาหน้าวางลงบนหญ้าแห้งเหมือนเดิม ส่งเสียงเบาๆ มันไม่ค่อยคุ้นชินกับอากาศชื้นของที่นี่
จากที่เมื่อก่อนวั่งไฉไม่เคยกินขนมหวาน แต่ตอนนี้กลับกินอย่างเอร็ดอร่อย เห็นได้ชัดว่ามันต้องเจอกับอะไรมาบ้าง ท่านโหวมักจะพูดว่าตัวเองสุขสบายดี แต่รอยด้านที่มือไม่สามารถปกปิดได้ ตอนที่แม่บ้านเหออาบน้ำให้ท่านโหว ตรวจสอบดูทั่วร่างกาย ไม่มีรอยแผลอะไร แต่ตรงเท้ามีรอยด้านที่หนามาก ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านโหวต้องเดินทางไกลถึงเพียงไหน ถึงได้เป็นเช่นนี้
แม่บ้านเหอมาเอานายน้อยไป เห็นท่าทางเสียใจของอวิ๋นเยี่ย หลิวจิ้นเป่าก็รู้สึกโมโห เรื่องเลวร้ายเหล่านั้นทำให้ตอนนี้ท่านโหวแค่อยากจะใช้เวลาอยู่กับลูกให้นานกว่านี้ก็ไม่ได้ เช่นนั้นเย็นวันนี้ข้าจะออกไปจัดการไอ้พวกนั้นให้หมด
“จิ้นเป่า เก็บกลิ่นอายความอาฆาตของเจ้าสักหน่อย ไม่อนุญาตให้ออกไปหาเรื่องคนพวกนั้น พรุ่งนี้จะต้องตื่นเต้นมากกว่านี้แน่นอน คอยดูเรื่องสนุกเถอะ หากตระกูลของเรารู้จักแค่การฆ่าฟัน มันคงทำให้ข้าผิดหวังเป็นอย่างมาก”
“ท่านโหว คนของตระกูลเรากำลังจะกลับมาแล้ว พี่หงเฉิงก็กำลังจะกลับมา ท่านจะกังวลอะไร จัดการพวกมันให้หมด ดูสิว่ายังจะมีใครกล้ามาหาเรื่องตระกูลของเราอีก ที่ดินแห่งนี้เป็นที่ดินของนายน้อย ปล่อยให้พวกมันก่อเรื่องไปทั่ว ข้าน้อยแค่มองดูยังรู้สึกเสียใจ ที่แห่งนี้กับหมู่บ้านของตระกูลเราแตกต่างกันเช่นไร”
“บอกให้เจ้าขยันเรียนหนังสือเจ้าก็ไม่ฟัง หากการฆ่าฟันกันสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้คงไม่ต้องให้เจ้าพูด ข้าไม่อยากทิ้งปัญหาไว้ให้กับผู้คนในดินแดนแห่งนี้ ดูจากหมู่บ้านของตระกูลเหมิงก็รู้แล้วว่าพวกเขาเป็นคนดี ไม่มีใครที่เลวร้ายขนาดนั้น ส่วนใหญ่ก็มีแค่คนแข็งแกร่งที่ต้องการให้คนของตัวเองได้กินอิ่มนอนหลับก็แค่นั้น พวกเขาไม่มีแนวคิดที่เป็นระบบแคว้น ไม่มีแนวคิดในการรับใช้ใครตามแบบแผน พวกเขาล้วนแต่สนับสนุนเรื่องของเสรีภาพ รักในความสนุกสนาน คนเช่นนี้ไม่ควรเรียกพวกเขาว่าคนป่าเถื่อน พวกเขามีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่โตของต้าถัง ดังนั้นความอดทนและการศึกษาจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ต้องได้รับคำแนะนำ ต้องทำให้พวกเขาเห็นว่าการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของต้าถังนั้นปลอดภัยและเจริญรุ่งเรือง เช่นนี้ถึงจะได้ครอบครองดินแดนแห่งนี้อย่างแท้จริง เมื่อได้รับความจงรักภักดีของพวกเขา พวกเขาก็จะเชื่อฟังแต่เรา ข้าถึงได้บอกว่าฆ่าคนฆ่าได้ แต่เจ้าต้องแบ่งเป้าหมาย อดทนเอาหน่อย ปล่อยให้พวกเขาร่าเริงอีกสักสองสามวัน เราควรจะใจกว้างกับคนที่กำลังจะใกล้ตาย”
หลิวจิ้นเป่าตอบตกลงแล้วก็เดินออกไป ดูจากพลังที่แรงกล้าของเขา อวิ๋นเยี่ยรู้เลยว่าสิ่งที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่มันไร้ประโยชน์
ม้าเร็วที่ไปส่งจดหมายออกเดินทางไปสามวันแล้ว ไม่จำเป็นต้องเร่งอะไร พวกเขาจะต้องรีบเดินทางไปโดยไม่หยุดพักอยู่แล้ว อวิ๋นเยี่ยบอกให้พวกเขาเอาลิ้นจี่ตะกร้าเล็กไปด้วย ไม่รู้ว่าพอถึงฉางอันมันจะเสียหรือไม่ ม้าวิ่งเร็วเห็นแค่เพียงควันและฝุ่นละออง ไม่มีใครรู้ว่ามีลิ้นจี่ แค่อยากทดสอบประสิทธิภาพม้าเร็วของตัวเอง ว่าจะเร็วกว่าบุรุษไปรษณีย์ของถังเสวียนจงหรือไม่ ถึงฉางอันเร็วขึ้นหนึ่งวัน พวกท่านย่าก็จะได้สบายเร็วขึ้น ซินเย่วก็จะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานเช่นนั้น ช่วงเวลานี้ที่บ้านคงจะไม่สงบสุขเป็นแน่ ในฉางอันมีพวกขุนนางที่มีเจตนาไม่ดีตั้งมากมาย หวังว่าซินเย่วคงรับมือกับมันไหว จะอ่อนแอไร้เดียงสาเห็นจะไม่ได้
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 28 แพะรับบาปที่แข็งแรง
ซินเย่วอุ้มลูกชายเข้ามาในพระราชวัง หากไม่มีถุงเครื่องรางของลูกชาย นางจะเข้าเฝ้าหลี่ซื่อหมินไม่ได้ แล้วยังจะถูกเฆี่ยนอีกต่างหาก ลูกชายมีตำแหน่ง ตำแหน่งองครักษ์ของของฮ่องเต้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังไม่โต แต่ก็สามารถเข้าเฝ้าฝ่าบาท ถึงแม้ว่าอายุยังน้อยแต่ก็มีคุณสมบัตินั้น
อุ้มลูกชายเดินอยู่บนถนนในพระราชวัง นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะลอยขึ้นมา ตั้งแต่ตอนที่ได้รับจดหมายจากอวิ๋นเยี่ย ความรู้สึกเหงาและทำอะไรไม่ถูกก็หายไปทันที อกผายไหล่ผึ่ง ขันทีคนหนึ่งถือร่มให้สองแม่ลูก ฤดูร้อนของฉางอันร้อนมาก นี่คือสิ่งที่ฮองเฮาจัดเตรียมให้เป็นพิเศษ พวกขุนนางน้อยใหญ่ที่เข้าๆ ออกๆ ต่างพากันเหงื่อแตก แลบลิ้นยืนตากแดดอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรง และแน่นอน ความรู้สึกของซินเย่วคือการได้ยืนอยู่ใต้ร่มย่อมแข็งแกร่งกว่าคนยืนตากแดดพวกนั้น เจ้าดูเหงื่อที่ไหลออกมาของชายอ้วนคนนั้น นั่นมันไม่ใช่เหงื่อ แต่เป็นน้ำมัน ช่างน่าสงสาร ยังคงต้องรอต่อไป
เหล่ตาไปมองพวกขุนนางที่กำลังรอเข้าเฝ้าคุญกระซิบกระซาบกัน ยืดหูออกไปฟังให้ตัวเองได้รู้สึกเป็นเกียรติสมใจมากขึ้นอีกสักหน่อย แต่น่าเสียดายที่คนพวกนั้นมืออาชีพเป็นอย่างมาก ไม่อาจได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกัน เมื่อมีขันทีตะโกนว่าอวิ๋นน้อยนายพันอี้ฮุยเข้าเฝ้า ท่ามกลางสายตาที่ประหลาดใจของพวกขุนนาง ซินเย่วอุ้มลูกชายเดินเข้าไปในตำหนักไท่จี๋ แม้แต่ตู้หรูฮุ่ยที่กำลังงีบหลับอยู่ใต้แสงแดดยังรู้สึกประหลาดใจ
ลมในตำหนักไท่จี๋พัดอ่อน ผ้าม่านที่ตกลงบนพื้นยังคงแกว่งไปมา ด้านบนยังวางแผ่นไม้ที่มีน้ำแข็งเต็มไปหมด หลี่ซื่อหมินไม่ชอบอากาศร้อนเป็นที่สุด หลี่ไท่ใช้ดินประสิวทำน้ำแข็งพวกนี้ขึ้นมา เอาให้ท่านพ่อท่านแม่ตัวเองใช้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
จั่งซุนเดินออกมา อุ้มอวิ๋นน้อยจากอ้อมแขนของซินเย่วไป หยอกล้อเล่นอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง แต่ไม่ได้พูดอะไร วันนี้ซินเย่วเข้าเฝ้าฝ่าบาทอย่างเป็นทางการ ไม่มีที่ว่างให้นางพูดแทรก
“อวิ๋นซิน มาหาเรามีเรื่องอะไร สามีของเจ้ามีข่าวคราวแล้วหรือ” หลี่ซื่อหมินวางปากกาในมือลง เงยหน้าถามซินเย่ว
“กราบทูลฝ่าบาท ท่านพี่ตอนนี้อยู่ที่แคว้นหลิ่งหนาน นี่คือฎีกาที่เขามอบให้ฝ่าบาท ต้องให้หม่อมฉันมอบให้ฝ่าบาทด้วยตัวเอง” นางถือถุงผ้าเล็กอยู่ในมือตลอดเวลา
ขันทีเอาถาดไม้มารับถุงผ้าไป เปิดดูด้วยความประหลาดใจ แล้วเอาถาดวางไว้บนโต๊ะของฮ่องเต้
หลี่ซื่อหมินถือถุงผ้าขึ้นมาดู เขย่าลิ้นจี่ในถุงออกมาสองสามลูก มีกระดาษแผ่นหนึ่งแล้วยังมีม้วนฎีกาที่ปิดผนึกไว้ หลี่ซื่อหมินไม่สนใจกระดาษและม้วนกีฏานั้น หยิบลิ้นจี่ขึ้นมาดู ดมกลิ่นดูอีกครั้ง เปลือกดำหมดแล้วแต่กลับไม่มีกลิ่นอะไรแปลกๆ เขาวางลิ้นจี่ลงและพูดกับซินเย่วว่า “ถือว่าเขามีจิตสํานึก รู้จักรายงานความปลอดภัยโดยเร็ว” จากนั้นก็สะบัดมือ ซินเย่วโค้งคำนับและเดินเข้าไปหลังผ้าม่านกับจั่งซุน ไปพูดคุยกันที่ตำหนักหลัง
หลี่ซื่อหมินหยิบกระดาษขึ้นมาดู จมูกของเขาแทบงอหมดแล้ว เห็นบนกระดาษเขียนสามตัวว่าขอลางาน
“เนื่องจากกระหม่อมถูกโต้วเยี่ยนซานจับตัวมาจึงจำเป็นที่จะต้องบกพร่องในหน้าที่ ขอฝ่าบาทโปรดประทานอภัย ด้วยเหตุที่ไม่อาจต้านทานได้จึงไม่สามารถมาลาได้ด้วยตนเอง นี่เป็นความผิดของหน่วยข่าวกรองและหน่วยลาดตระเวน กระหม่อมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โต้วเยี่ยนซานทำการสู้รบมากกว่าสามร้อยครั้ง กระหม่อมถึงหลบหนีออกมาได้ ตอนนี้กระหม่อมเร่ร่อนอยู่ที่แคว้นหลิ่งหนานเพียงลำพัง โดดเดี่ยวเดียวดาย ฝ่าบาทโปรดเมตตาให้กระหม่อมได้หยุดงานสักหนึ่งปี กระหม่อมจะได้เดินทางกลับฉางอัน กระหม่อม อวิ๋นเยี่ย”
“สู้รบสามร้อยครั้ง? เหลวไหล! โดดเดี่ยวเดียวดาย? เหลวไหล! ปีหนึ่งถึงจะได้กลับมา? คิดว่าเราไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหรอ ไอ้เจ้านี่ อยากจะหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านเกิดอันอบอุ่นรึ ถือว่าเจ้ายังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงของอันหลานคือเหตุผลที่ทำให้เจ้าอยากจะอยู่ที่นั่นต่อใช่หรือไม่ ไหนเราดูซิว่าเจ้ายังมีความคิดอะไรอีกบ้าง หากทำให้เฝิงอั้งก่อกบฏ ข้าจะถลกหนังเจ้า!”
หลี่ซื่อหมินพึมพำหามีดสีเงิน หยิบครั่งออกมา เปิดดูม้วนฎีกาแล้วก็ตะโกนว่า “เรียกตู้หรูฮุ่ยเข้ามา!”
ขุนนางเก่าก็คือขุนนางเก่า ยืนตากแดดอยู่ตั้งนาน แต่หน้าผากกลับไม่มีเหงื่อออก ท่าทางยังคงเหมือนเดิม
“เอาน้ำซานจามาให้ตู้ชิงถ้วยหนึ่ง ไม่ได้ทำซุ้มไว้ให้พวกเจ้าแล้วหรือ เหตุใดถึงยังยืนตากแดด”
“ฝ่าบาทพูดไม่ถูกขอรับ เข้าเฝ้าฝ่าบาทจะต้องปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด นี่คือสิ่งที่ควรทำ จะสุขสบายชั่วขณะได้เช่นไร บกพร่องในหน้าที่ของขุนนาง อาจจะทำให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ กระหม่อมมิกล้าขอรับ”
ตู้หรูฮุ่ยให้ความสำคัญกับกฎระเบียบของราชสำนักเป็นที่สุด วันนี้เขาทำหน้าที่เป็นหัวหน้า จึงไม่มีขุนนางคนไหนกล้าไปยืนหลบแดดใต้ซุ้ม หากเป็นฝางเสวียนหลิง พวกขุนนางคงไปยืนอยู่ใต้ซุ้มตั้งนานแล้ว
“ไม่ทราบว่าอวิ๋นน้อยที่ฝ่าบาทเรียกให้เข้าเฝ้าเมื่อครู่คือใครกันขอรับ เหตุใดกระหม่อมถึงไม่เคยได้ยิน” เขาเป็นบุคคลที่อยู่อันดับสองของเหล่าขุนนาง ชื่อของขุนนางทั้งหมดบนโลกใบนี้ล้วนแต่อยู่ในหัวของเขา แต่อวิ๋นน้อยนายพันอี้ฮุยที่ถูกเรียกเข้าเฝ้าเมื่อกี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ขุนนางระดับเจ็ดขึ้นไปเขาควรที่จะรู้จัก
“นั่นคือลูกชายของอวิ๋นเยี่ย ยังไม่ได้ตั้งชื่อ จึงเรียกเขาว่าอวิ๋นน้อย ฮูหยินท่านนั้นเป็นภรรยาของอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นซินมาขอลางานให้สามี เจ้าดูสิ”
ตู้หรูฮุ่ยอ่านกระดาษแผ่นนั้น เขาโมโหมาก “เหลวไหลสิ้นดี ถูกโต้วเยี่ยนซานจับตัวไปเป็นเรื่องจริง แต่ที่บอกว่าสู้รบปรบมือกันสามร้อยครั้ง เร่ร่อนอยู่แคว้นหลิ่งหนาน ถึงแม้ว่าจะห่างไกล แต่ก็ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปี เวลาตั้งหนึ่งปีคลานมาก็ถึงฉางอัน ฝ่าบาท ขุนนางที่ไร้ยางอายเช่นนี้ ควรได้รับการลงโทษ สั่งให้เขากลับฉางอันโดยเร็ว จะผิดพลาดมิได้ขอรับ”
“ตอนแรกเราก็คิดเช่นนี้ แต่อ่านฎีกาม้วนนี้ เราก็เปลี่ยนใจ เจ้าอย่าพึ่งโมโห ดื่มน้ำก่อน อ่านฎีกาม้วนนี้แล้วค่อยตัดสินใจ”
ตู้หรูฮุ่ยนั่งลง จิบน้ำซานจาสองอึก สงบสติอารมณ์ จากนั้นก็เริ่มอ่านฎีกาของอวิ๋นเยี่ย สิ่งที่อวิ๋นเยี่ยเป็นคนเขียน เขาจะต้องไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาโดยตลอด พยายามอุดช่องโหว่ทั้งหมดไม่ให้มีที่ว่าง นี่คือเรื่องที่ขุนนางเห็นพ้องต้องกัน บทเรียนที่เจ็บปวดของกรมโยธาคือบทเรียนความล้มเหลวของคนรุ่นก่อนจริงๆ ช่องโหว่เพียงเล็กน้อย เขาก็สามารถฉีกให้เป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่จนทำให้รถม้าวิ่งผ่านไปได้ สุดท้ายความสำเร็จของเขาสะท้อนให้เห็นถึงความไร้ความสามารถของพวกขุนนาง ครั้งสองครั้งก็เพียงพอแล้ว เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง มันจะทำให้พวกขุนนางรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่ ทำให้ขุนนางที่คิดว่าตัวเองฉลาดรู้สึกอับอาย
ในที่สุดก็สงบสติอารมณ์ลงได้ ตู้หรูฮุ่ยยังคงอ้าปากกว้าง ถามฮ่องเต้ด้วยความสงสัยว่า “ฝ่าบาท พวกเขาได้ทำลายแคว้นไปแล้วสี่แคว้นเลยหรือ”
หลี่ซื่อหมินเกาคางและพูดอย่างปวดหัวว่า “น่าจะเป็นเรื่องจริง หน่วยข่าวกรองก็มีรายงานเรื่องนี้ แต่ไม่ได้ละเอียดเท่าอวิ๋นเยี่ยบอก”
“สะสมสมบัติล้ำค่านับไม่ถ้วนอีกด้วยหรือ เครื่องเทศมากมาย เสบียงอาหารมีมากกว่าห้าล้านตันเชียวรึ” ตู้หรูฮุ่ยสูดหายใจแล้วอ่านฎีกาไร้สาระม้วนนี้ต่อไปอย่างปวดฟัน
“รวมตัวกันสามพันคน บุกเบิกไปได้ถึงพันไมล์? กระหม่อมดูแล้ว แคว้นที่จะต้องมาเยี่ยมเยียนฝ่าบาทในปีหน้าหายไปแล้วเป็นครึ่ง เจินล่า? พวกเขาไปทำอะไรที่นั่น แคว้นสิงโต? ฝ่าบาทท่านรู้จักแคว้นนี้หรือไม่”
อ่านฎีกาเสร็จ ฮ่องเต้กับขุนนางก็เงียบอยู่นาน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าที่ตัวเองพยายามโจมตีเซวียเหยียนถัว ถู่อวี้หุน และเเดนเกาชาง ผลประโยชน์ที่ได้รับยังดีไม่เท่าการรวมตัวกันสามพันคน เป็นไปได้อย่างไรกันที่ดินแดนห่างไกลอย่างหลิ่งหนานจะมีสมบัติล้ำค่าและเสบียงอาหารมากมายถึงเพียงนั้นได้ พวกเขาไปปล้นมาหรือเปล่า
“พูดจาเหลวไหล!” ฮ่องเต้และขุนนางมีมติต่อฎีกาของอวิ๋นเยี่ยอย่างเป็นเอกฉันท์
“ฝ่าบาท มิเช่นนั้นให้ราชสำนักลองส่งคนไปดูดีหรือไม่” ผ่านไปสักพัก ตู้หรูฮุ่ยถึงได้ถามหลี่ซื่อหมินด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ เพราะเรื่องที่ไม่มีอยู่จริงเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็ทำมาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง
จั่งซุนเดินเข้ามาจากทางด้านหลัง วางอัญมณีขนาดเท่ากำปั้นไว้บนฎีกาของหลี่ซื่อหมินแล้วพูดเสียงเบาว่า “นี่คือสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยเอามาจากหลิ่งหนาน เป็นของขวัญวันเกิดของหม่อมฉัน มีชื่อเรียกว่าหัวใจของทะเล” พูดเสร็จก็เดินกลับไป
สายตาของหลี่ซื่อหมินเป็นประกาย หยิบอัญมณีขึ้นมา สีน้ำเงินไม่มีตำหนิแม้แต่น้อย เขาหยิบขึ้นมาเคาะที่ฎีกา นี่มันไม่ใช่แก้ว หลี่ซื่อหมินมั่นใจ
สาวใช้เอาอัญมณีไปให้ตู้หรูฮุ่ยดู เหล่าตู้ก็หลงใหลในอัญมณีก้อนนี้ทันที ไม่มีที่ติแม้แต่น้อย นี่คือสมบัติล้ำค่าที่ไม่มีใครเทียบได้ บนโลกใบนี้มีแค่ชิ้นเดียว เป็นสมบัติของสรวงสวรรค์
“ตู้ชิง เราส่งคนไปเยอะหน่อยเถอะ สิ่งเหล่านี้ควรนำกลับมาด้วยหรือเปล่า ด้านตะวันตกและตะวันออกล้วนแต่ต้องการเงิน”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ซื่อหมินไม่พูดเสียงดัง ถึงแม้ว่าความมั่งคั่งส่วนใหญ่จะเป็นความมั่งคั่งของเหล่าขุนนาง แต่ประเทศชาติต้องการ เจ้าต้องสนับสนุน ราชสำนักก็ไม่ได้ต้องการเอาทั้งหมด เพราะยังต้องเสียภาษีครึ่งหนึ่ง
“ฝ่าบาทกังวลมากเกินไป กั๋วกงทุกท่านต่างก็ทำหน้าที่เพื่อประชาชนและประเทศชาติ พรุ่งนี้ลองถามพวกเขาจะดีกว่า ว่าจะเอาของที่มาเพิ่มเติมในคลังเก็บของเท่าใด เช่นนี้ กระหม่อมจะได้นับสถิติดูว่าจะได้เงินเท่าใด เกรงว่ากั๋วกงทั้งหลายก็คงไม่รู้ว่าจะมีสมบัติล้ำค่าที่น่าทึ่งถึงเพียงนี้ พรุ่งนี้คงมีคำตอบที่ดี
หากฎีกาของอวิ๋นโหวเป็นความจริง ข้าคิดว่าเขาคงจะอยู่บันทึกข้อมูลอย่างละเอียดเพื่อเป็นรากฐานที่หลิ่งหนาน ฎีกาที่เขามอบให้ฝ่าบาท เกรงว่าความตั้งใจเดิมจะไม่ได้ตั้งใจบอกฝ่าบาทว่าหลิ่งหนานมีสมบัติล้ำค่ามากเพียงใด แต่กำลังหาวิธีเล่นงานตระกูลเก่าแก่ที่เคยเอาเปรียบเขา เขายอมให้ตัวเองล้มละลาย แต่ก็จะลากเศรษฐีตระกูลใหญ่โตพวกนั้นล้มละลายไปด้วย ไม่เกิดประโยชน์ต่อใครทั้งนั้น แล้วยังให้ฝ่าบาทเป็นคนแบกรับชื่อเสียงที่อื้อฉาว เขาตัดสินว่าราชสำนักไม่มีทางปล่อยเศรษฐีพวกนั้นไป ข้าคิดว่าไอ้สารเลวนี่กำลังหัวเราะชอบใจอยู่ที่หลิ่งหนานเป็นแน่”
ตู้หรูฮุ่ยยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าการคาดเดาของตัวเองอยู่ไม่ไกลจากข้อเท็จจริงมากขึ้นเท่านั้น เขาทุบโต๊ะด้วยความโมโห ตระกูลของเขาก็มีคนไปที่หลิ่งหนานก็ต้องได้รับผลผลิตจำนวนมากอย่างแน่นอน วันนี้ตัวเองได้รู้ความลับ พรุ่งนี้ก็จะเป็นแบบอย่างในที่ประชุม เมื่อนึกถึงสมบัติมากมายขนาดนั้นกำลังจะไหลเข้าสู่คลังของชาติบ้านเมือง จิตใจของเขาก็รู้สึกขมขื่นขึ้นมา นี่เป็นแผนการที่เปิดเผยของอวิ๋นเยี่ย ทำให้เขาต้องกัดฟันทำตาม แล้วยังพูดออกไปไม่ได้ หลี่ซื่อหมินเอาให้เขาดู ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อในสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยพูด แต่เพราะไม่ได้สงสัยเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นการบังคับให้ตัวเขาแสดงจุดยืน ให้ตัวเขากระโดดออกมารับผิดชอบแทนคนอื่น ฝ่าบาทก็ไม่ได้อยากทำให้ขุนนางทั้งหลายไม่พอใจในคราวเดียว ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือการหาแพะรับบาป เมื่อตู้หรูฮุ่ยนึกถึงการบริจาคอย่างใจกว้างของเหล่ากั๋วกงในที่ประชุมพรุ่งนี้ เขาก็บ่นตัวเองว่าเหตุใดต้องให้ซุนซือเหมี่ยวมารักษาโรคปอดให้หาย อวิ๋นเยี่ยแนะนำให้ไปหาหมอ หรือตอนนั้นเขาเตรียมที่จะให้ตัวเองมาเป็นแพะรับบาปที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงกันนะ
“เจ้าไม่ต้องกังวล ไอ้เจ้านั่นสารเลวจริงๆ เจ้าดูประโยคสุดท้ายของฎีกาก็รู้แล้วว่า วันดีๆ ของเฝิงอั้งที่อยู่ในหลิ่งหนานกำลังจะสิ้นสุดลง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น