เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 8 ตอนที่ 22-24
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 22 นายท่านตระกูลอวิ๋นผู้น่าสงสาร
หลิวจิ้นเป่าเห็นสายตาเย็นชาของอวิ๋นเยี่ยจึงรีบคกเข่าลง แต่ไหนแต่ไรมานายท่านไม่เคยใช้สายตาเช่นนี้มองผู้อื่น หรือจะบอกว่ายังมีเรื่องที่ตัวเองไม่รู้เกิดขึ้น?
อวิ๋นเยี่ยหยิบกล้วยเครือสุดท้ายมาจากใต้บันได ปอกเปลือกออก หั่นเป็นชิ้นๆ มีดเล็กขยับไปมาอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานกล้วยเครือนั้นก็ถูกหั่นเป็นชิ้นที่มีขนาดเท่ากัน เด็กสองคนนำกล้วยไปวางเรียงบนเสื่อไม้ไผ่ แล้วขนไปตากแดดข้างนอก
“หรงเอ๋อร์สุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่”
เมื่อครู่ก่อนอวิ๋นเยี่ยมีความรู้สึกไม่พอใจต่อชาวฉางอันที่อาศัยอยู่ในหลิ่งหนาน ไม่รู้ว่าความโกรธแค้นนี้มาจากไหน รู้แค่ว่าความโกรธกำลังลุกเป็นไฟอย่างไร้เหตุผล แต่จู่ๆ ก็คิดว่าตัวเองทำแบบนี้ช่างไร้เหตุผลเสียจริง หน้าที่ที่ตัวเองมอบให้แก่หลิวจิ้นเป่าก็คือดูแลปกป้องลูกชายของตัวเองให้ดี ส่วนเรื่องอื่นนั้นไม่เกี่ยวกับเขา ดังนั้นเมื่อครู่จึงได้หั่นกล้วยต่อเพื่อปรับอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลง
“เรียนนายท่านขอรับ นายน้อยร่าเริงแจ่มใสดีขอรับ ไม่เจ็บไม่ป่วย กินนมเยอะมาก องค์หญิงเพียงคนเดียวป้อนนมไม่ไหว จึงได้ให้แม่นมมาช่วยป้อน ถึงจะทำให้นายน้อยอิ่มได้ หากเป็นแบบนี้ไปอีกหลายวัน คาดว่าแม่นมเพียงคนเดียวก็คงเอาไม่อยู่”
หลิวจิ้นเป่ารู้จักนิสัยของนายท่านดี หากรู้สึกหดหู่ ขอเพียงแค่คิดได้ทุกอย่างก็จะดีขึ้น ดังนั้นจึงได้นำเรื่องดื่มนมของนายน้อยมาพูดเพื่อให้อวิ๋นเยี่ยดีใจ
มันได้ผล ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยเริ่มมีรอยยิ้มผุดขึ้น วางมีดในมือลง ตักน้ำออกมาจากโอ่งแล้วส่งให้หลิวจิ้นเป่า เพื่อให้เขาเทให้ตัวเองล้างมือ
“ท่านโหว ท่านมาถึงหลิ่งหนาน เหตุใดไม่พาองครักษ์มาด้วย หรือว่าพวกเหล่าจวงตายกันหมดแล้ว”
“เหลวไหล เจ้าคิดว่าข้าอยากจะมาที่หลิ่งหนานอย่างนั้นหรือ ข้าถูกคนจับพาตัวมาที่หนานจ้าวต่างหาก จากนั้นก็หาทางมาที่หลิ่งหนาน ต้องเผชิญความยากลำบากมากมาย เมื่อครู่ความโกรธก็เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ หากไม่ใช่เพราะเจ้าพูดเรื่องลูกทำให้ข้าดีใจ วันนี้เจ้าคงหนีไม่พ้นกำปั้นของข้าแน่”
หลิวจิ้นเป่าร่างกายกำยำ มีกล้ามเนื้อแน่นไปทั้งตัว กวาดสายตามองไปทั่วทั้งสี่ทิศ หวังจะหาคนร้ายที่ลักพาตัวท่านโหวของเขา
อวิ๋นเยี่ยเตะเขาไปหนึ่งครั้งแล้วพูดว่า “เทน้ำดีๆ หากข้ารอให้พวกเจ้ามาช่วย ป่านนี้คงกลายเป็นศพไปแล้ว จะมาแกล้งทำเป็นเดือดร้อนอะไรตอนนี้ พวกที่ลักพาตัวข้าตายกันหมดแล้ว ไม่มีรอดแม้แต่คนเดียว”
“ท่านโหว วิทยายุทธสุดยอด!”
ทันใดนั้นความชื่นชมของหลิวจิ้นเป่าที่มีต่อท่านโหวของเขาก็เหมือนกับเสียงเยินยอจากแม่น้ำที่พลุ่งพล่าน
ไม่ได้ยินคนพูดประจบมาหลายวันแล้ว เมื่อได้ฟังก็รู้สึกคุ้นเคยและดีใจ ความหดหู่ที่เกิดขึ้นจากการถูกลักพาตัวมาก็หายไปในทันที ยังคงเป็นคนในครอบครัวที่ดีต่อเขามากที่สุด
ท่านผู้เฒ่ายืนอยู่ด้านนอกห้อง มองเห็นเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้อง ผู้ที่ดูยิ่งใหญ่และสง่างามในเมืองยงโจว ท่านเป่าที่ปกติดูเย่อหยิ่งหากพออยู่ต่อหน้าแขกของตัวเองกลับดูว่านอนสอนง่ายเหมือนกับลูกหมา
สามารถดูออกได้ว่าแขกของตัวเองนั้นต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ หากความสัมพันธ์ของตัวเองและแขกนั้นกระชับขึ้นมาอีกสักนิด ไม่แน่หมู่บ้านของตัวเองอาจจะไม่ต้องมีเรื่องให้กังวล มองกลับไปด้านหลังที่ว่างเปล่าอย่างมีความสุข ที่ภูเขาลูกนั้น เสบียงอาหารที่องค์หญิงให้เป็นของขวัญคงเริ่มออกเดินทางแล้ว
“ท่านผู้เฒ่า ไม่ทราบว่าเครื่องบรรณาการที่ท่านนำไปมอบให้ครั้งนี้ได้ผลเป็นอย่างไรบ้าง” อวิ๋นเยี่ยยิ้มแล้วพูดคุยกับท่านผู้เฒ่าที่อยู่นอกรั้ว เขาชอบพูดคุยกับท่านผู้เฒ่า เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่รู้สึกน่าสนใจเป็นอย่างมาก
“องค์หญิงชอบทองก้อนนั้นที่ท่านให้ยืมเป็นอย่างมาก แล้วยังมอบเสบียงอาหารให้อีกมากมาย เช่นนี้พวกเราก็มีเสบียงอาหารพอกินแล้ว และมากพอที่จะให้ข้าหมักเหล้าได้อีกหลายไห คืนนี้ข้าของเชิญท่านมาร่วมดื่มด้วย”
“ดีเลย เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว อย่าลืมเรียกเหมิงหลู่มาด้วย พวกเราคุยกันถูกคอมาก”
“ท่านกับเหมิงหลู่? เหมิงหลู่พูดภาษาของชาวจงหยวนได้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ท่านผู้เฒ่า ท่านเป็นคนฉลาด หรือท่านไม่รู้ว่าการสนทนาไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด ยังมีวิธีอื่นๆ อีก” อวิ๋นเยี่ยภูมิใจกับการสร้างสรรค์รูปภาพมาใช้แทนการสนทนาของตัวเองเป็นอย่างมาก ภายหน้าหากได้พูดคุยกับคนชนเผ่าอื่นก็จะใช้วิธีนี้
ท่านผู้เฒ่าไปถามคนในชนเผ่าตัวเองอย่างงุนงงว่ากล้วยพวกนี้มาจากไหน กล้วยพวกนี้เป็นเสบียงอาหารที่ดี เมื่อตากแห้งแล้วนำมาต้มเป็นโจ๊ก ไม่เพียงแค่หอมหวาน แต่ยังช่วยให้อิ่มท้อง กล้วยพวกนี้หามาจากไหนกัน
อวิ๋นเยี่ยเดินเข้าไปในหอจู๋โหลว หลิวจิ้นเป่าเดินตามเข้ามาด้วย องครักษ์ของตระกูลอวิ๋นที่ติดตามมาด้วยเดินแยกตัวออกไปอย่างรู้งาน คอยเฝ้าระวังรอบๆ หอจู๋โหลว
“ออกมาครั้งนี้หวังว่าเจ้าจะไม่ได้บอกใคร” อวิ๋นเยี่ยเลิกคิ้วถามหลิวจิ้นเป่า เขาเป็นกังวลว่าหลี่อันหลานจะรู้ว่าตัวเองมาถึงหลิ่งหนานแล้ว เช่นนั้นจะไม่เป็นผลดีต่อตัวเองในสถานการณ์เช่นนี้
“ท่านโหวไม่ได้บอกให้ข้าน้อยบอกใคร เพียงแค่พูดว่าให้ข้าน้อยมาที่หมู่บ้าน แน่นอนว่าข้าไม่ได้บอกใครทั้งนั้น แม้แต่สหายที่อยู่ข้างล่างหอก็พึ่งจะทราบเมื่อสักครู่นี้”
“ดีมาก ในที่สุดเหล่าจวงก็สอนเจ้าออกมาได้ดีเช่นนี้ มีความเด็ดเดี่ยว ข้ามาถึงหลิ่งหนานก็ไม่มีใครรู้ ทั้งคนที่บ้านและคนในราชสำนักไม่มีใครรู้เลยสักคน บางทีฝ่าบาทอาจจะรู้ว่าข้าถูกโต้วเยี่ยนซานลักพาตัวมา แต่เขาคงคาดไม่ถึงว่าข้าจะข้ามภูเขานับหมื่นมาจนถึงหลิ่งหนาน”
“โต้วเยี่ยนซาน?” เส้นประสาทของหลิวจิ้นเป่ากระตุกขึ้นเมื่อเขาพูดถึงชื่อนี้ นี่คือบุคคลอันตราย เผาเมืองฉางอัน ลอบฆ่าฮ่องเต้ วางยาฮ่องเต้ ขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้าย ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว
“ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าเขาตายแล้ว ไม่เช่นนั้นท่านโหวของเจ้าจะมีอารมณ์อยากพักผ่อนในวันหยุดที่หมู่บ้านแห่งนี้ได้อย่างไร”
“ท่านเป็นคนฆ่า?”
คำพูดนี้ออกจากปากหลิวจิ้นเป่าทำให้รู้สึกแย่ เมื่อครู่ตัวเองพึ่งจะสรรเสริญว่าท่านโหวนั้นกล้าหาญไม่มีใครเทียบได้ ฆ่าโจรตายไปหลายคนราวกับบี้มดตายไปหลายตัว ดังนั้นเมื่อพูดคำนี้ออกไป ก็แสดงว่าคำพูดพวกนั้นช่างไร้สาระ
ถูกเตะไปหนึ่งที หลิวจิ้นเป่าจึงได้วางใจ ท่านโหวเตะคนได้ แสดงว่าคงไม่เป็นอะไร
“ท่านโหว ทองหัววัวนั้นเป็นสมบัติที่หายาก เหตุใดท่านไม่เก็บเอาไว้เพื่อเพิ่มความเป็นสิริมงคล เหตุใดจึงมอบให้องค์หญิง สิ่งของมีค่าควรจะเป็นของตระกูลเราทั้งหมด ถึงแม้ว่าองค์หญิงจะเป็นแม่ของนายน้อย แต่มันก็ไม่เหมือนกัน”
“ทำไมจะไม่เหมือนกัน” อวิ๋นเยี่ยถามทั้งๆ ที่รู้
“นายน้อยเป็นคนของตระกูลเรา แต่องค์หญิงไม่ใช่ ไม่ว่าท่านจะให้อะไรแก่นายน้อยนั่นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่กับองค์หญิงนั้นไม่เหมือนกัน นางทุ่มเทให้กับการดูแลดินแดน นอกจากการเลี้ยงนายน้อยแล้ว นางก็ไม่เคยสนใจตระกูลอวิ๋นเลย กิจการของตระกูลเราที่หลิ่งหนานยังต้องเสียภาษีอีกด้วย แถมยังต้องจ่ายมากกว่าคนอื่นๆ อีก เถ้าแก่หลิวมาคุยกับข้าหลายรอบแล้ว ให้ข้าช่วยเกลี้ยกล่อมองค์หญิง ถึงแม้จะไม่ให้สิทธิพิเศษแก่ตระกูลอวิ๋น แต่อย่างน้อยก็ควรจะให้สิทธิที่เท่าเทียมกัน ท่านไม่คิดว่านางเอื้อให้แก่คนนอกมากกว่าหรอกหรือ”
“เจ้าช่างขี้บ่นเหมือนกับคนแก่เสียจริง ทองก้อนนั้นไม่ได้จะให้องค์หญิง เพียงแต่ให้คนพวกนั้นดู ไม่หลอกล่อพวกเขาแล้วจะบุกเข้าไปในหุบเขาได้อย่างไร หากไม่เข้าไปในหุบเขา ข้าจะจัดการพวกเขาได้อย่างไร หากไม่จัดการพวกเฝิงอั้งแล้วจะจัดการความคิดที่พวกเขาจะยึดครองหลิ่งหนานได้อย่างไร การที่องค์หญิงเก็บภาษีจากตระกูลอวิ๋นไปเยอะนั้นเป็นเรื่องสมควรแล้ว ที่จริงแล้วร้านค้าที่หลิ่งหนานมีไว้เพื่อหาเงินให้นาง นางคิดจะใช้อย่างไรก็แล้วแต่นาง ปัญหาเพียงแค่เรื่องเงินนิดเดียวก็ยอมไม่ได้ ช่างไม่ได้เรื่องเสียจริง”
ได้ฟังแผนการของท่านโหว หลิวจิ้นเป่ารู้สึกตื่นเต้น ใบหน้าเริ่มแดงขึ้นมา ตีที่หน้าอกแล้วพูดว่า “ท่านโหวต้องการให้ข้าทำอะไร สั่งมาได้เลย จะต้องจัดการพวกเขาให้ได้ ไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก”
หลิวจิ้นเป่าตื้นตันจนแทบจะร้องไห้ ในที่สุดท่านโหวของเขาก็รู้จักฆ่าคนแล้ว ในสายตาของเขา ท่านโหวที่ไม่เคยฆ่าใครคนนั้นไม่มีคุณสมบัติมากพอจะเป็นท่านโหว มีดล้ำค่าของตัวเองที่ไม่เคยได้เปื้อนเลือดย่อมไร้ประโยชน์ เหมือนไม่ได้ใช้ทักษะที่มีของตัวเอง ลุงเจียงเคยบอกว่าตัวเองนั้นเป็นนักฆ่าแต่กำเนิด สักวันจะต้องตายด้วยคมดาบ ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่ก่อนตายได้ฆ่าอย่างสะใจ ถึงแม้ตายก็ไม่เสียดาย
อวิ๋นเยี่ยถูกสายตาอำมหิตของหลิวจิ้นเป่าทำให้ตกใจ ในสมองของเขามีแต่ความคิดที่จะฆ่าคน ดูจากอารมณ์ของเขาในตอนนี้ดูเหมือนอยากจะหาคนมาฆ่า ทำไมเมืองที่สวยงามอยางกวนจงจึงได้มีคนโง่เช่นนี้
“บอกข้ามาตามตรง เจ้าฆ่าคนในเมืองหลิ่งหนานตายไปมากแค่ไหน” ไม่ได้ถามว่าฆ่าไปกี่คน ดูจากกลิ่นอายของการฆ่าคนบนตัวเขาที่ล้างไม่ออก คนที่ตายด้วยน้ำมือของเขาเกรงว่าจะนับไม่ถ้วน
“ท่านโหว ข้าน้อยก็เพียงแต่แค่ติดตามท่านแม่ทัพไปที่ริมฝั่งมหาสมุทร มีคนในแคว้นเล็กๆ ไม่อนุญาตให้กลุ่มพ่อค้าของตระกูลเราใช้ช้อนเพื่อแลกอัญมณีและเครื่องหอม ดังนั้นเถ้าแก่หลิวจึงโกรธ ตระกูลเราแล้วก็มีคนขององค์หญิงที่รวมกันสามร้อยคนจึงจัดการคนพวกนั้น ท่านโหว ตอนนี้ทิศทางลมนั้นแปรปรวน นั่งเรือกลับไม่ได้ ไม่เช่นนั้นท่านก็จะได้พบกับเรือที่มีแต่สมบัติล้ำค่า อัญมณีสีเขียวมรกตที่ใหญ่เท่ากำปั้น และยังมีเพชรตาแมว เหล่าหลิวตั้งใจซ่อนอัญมณีชั้นเลิศไว้เป็นพิเศษ เตรียมไว้เอากลับไปให้ท่านย่า แล้วยังบอกอีกว่าสิ่งของของตระกูลเราน่าเสียดายถ้าจะให้องค์หญิง”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มออกมา เงาของซินเย่วโผล่มาตลอดเวลา หลี่อันหลานถูกต่อต้านจากเจ้าของร้านเพราะว่าเรียกเก็บภาษีจำนวนมาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าองค์หญิงต้องไม่ได้รับเงินในส่วนของตัวเองเป็นแน่ เทียบไม่ได้เลยกับน่ารื่อมู่
“เจ้าไม่ได้ให้เงินในส่วนของหรงเอ๋อร์ใช่ไหม”
“ท่านโหว นายน้อยจะขาดส่วนนี้ไปได้เช่นไร สมบัติทั้งสามห้องกองเต็มจนจะถึงเพดานแล้ว แม่บ้านเหอเป็นคนดูแลกุญแจ องค์หญิงขอหลายครั้งก็ไม่เคยให้ ทุกเดือนก็จะลงบัญชีกับเถ้าแก่หลิวหนึ่งครั้ง ข้าน้อยเป็นพยาน ไม่มีการโกงแม้แต่บาทเดียว วันนั้นเถ้าแก่หลิวและแม่บ้านเหอจัดงานต้อนรับ จัดงานเลี้ยงโต๊ะจีนที่เมืองยงโจวสามวัน ใครจะมาก็ได้ขอเพียงแค่มาอวยพรความเป็นศิริมงคลให้กับนายน้อยก็พอ จะกินอะไรก็ได้ แกะในพื้นที่รัศมีสามลี้ถูกฆ่าตายหมดแล้ว เถ้าแก่หลิวบอกว่าอาหารเรียบง่ายเกินไป คนก็มาน้อยไม่สมศักดิ์ศรีของนายน้อยเอาเสียเลย”
อวิ๋นเยี่ยอ้าปากค้าง นี่เรียกว่าเรียบง่ายหรือ แต่ก็จริง ตอนนี้หลิ่งหนานไม่มีอะไรน่ากิน อาหารทะเลที่ล้ำค่าคนกวนจงก็กินไม่ถนัด สิ่งของล้ำค่าในหุบเขาก็ไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด คนในราชวงศ์ถังไม่ชอบกินอาหารป่า เพราะว่าสัตว์ป่าที่เกิดตามธรรมชาตินั้นผอมมาก ไม่มีน้ำมัน เทียบไม่ได้เลยกับอาหารที่หลากหลายของตระกูลอวิ๋น ราษฎรที่อาศัยอยู่ในเมืองยงโจวอดตายไปแล้วกว่าสองพันคน เทียบไม่ได้แม้แต่เมืองเล็กๆ ของกวงจง แน่นอนว่ามีความทุรกันดารอยู่บ้าง
“พวกเจ้าผลักไสไล่ส่งองค์หญิงแล้วนางไม่โกรธหรือ ไม่ใช่ว่ามีคนในเมืองหลายคนมาขอนางแต่งงานหรอกหรือไง” อวิ๋นเยี่ยไม่เข้าใจว่าหลี่อันหลานคิดอะไรอยู่ หากเป็นซินเย่วงานเลี้ยงครบรอบหนึ่งร้อยวันของลูกชายตัวเองแต่ตัวเองกลับไม่มีสิทธิในการตัดสินใจ นางคงเผาห้องให้ลุกเป็นไฟ หญิงสาวที่แข็งแกร่งแห่งดินแดนเสฉวนไม่ใช่คนที่อ่อนแออย่างองค์หญิงจะเทียบได้
“เหตุใดองค์หญิงจะต้องคัดค้าน นายน้อยของพวกเรา พวกเราก็อยากจะจัดงานให้ยิ่งใหญ่ แล้วนางก็ไม่ต้องออกเงิน อีกอย่างพวกเราก็เป็นคนรับใช้ของนายน้อย ไม่ใช่ขององค์หญิง เถ้าแก่หลิวและแม่บ้านเหอพูดเรื่องนี้ไว้ชัดเจน หากไม่ใช่เพราะว่านายน้อยห่างจากแม่ไม่ได้ พวกข้าก็อยากจะสร้างห้องใหญ่ให้กับนายน้อย ตอนนี้อาศัยอยู่ในตำหนักเล็กๆ ขององค์หญิงเลยต้องลำบากนายน้อย คิดถึงบ้านของเราที่อยู่ในเมืองหลวง แล้วหันกลับไปดูที่ที่นายน้อยอาศัยอยู่ แม่บ้านเหอพูดไปก็ร้องไห้ไป”
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 23 องค์หญิงผู้น่าสงสาร
ในสายตาหลิวจิ้นเป่า นายน้อยที่น่าสงสารของตัวเองไม่ได้รับการปกป้องจากพ่อ ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในหุบเขาลึก วันๆ ดื่มแต่นม คนรับใช้ร่างผอมหลายคนคอยปกป้องนายน้อยของพวกเขาอย่างแน่วแน่ รอคอยสักวันหนึ่งเมื่อนายน้อยเติบโตขึ้นจะสามารถเป็นใหญ่เป็นโตได้ในอนาคต แม้แต่ตัวเขาก็ยังรู้สึกประทับใจในความคิดของตัวเอง แต่กลับทำให้อวิ๋นเยี่ยไม่พอใจ
จะเป็นใหญ่เป็นโตหรือไม่อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ หากยังรักไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้ ในอนาคตมีโอกาสสูงที่จะโดนประหารชีวิต การที่คนในตระกูลอวิ๋นเลี้ยงลูกชายให้กลายเป็นคนล้างผลาญสมบัติของตระกูลนั้นเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกเศร้าใจ
“ต่อไปนี้การอบรมสั่งสอนนายน้อยให้เป็นหน้าที่ขององค์หญิง นางเป็นแม่ นางมีสิทธิ์ในการเลี้ยงดู การเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดของคนที่มีเชื้อสายราชวงศ์เป็นสิ่งที่ดีมากด้วยซ้ำ ควรแทนที่การดูแลอย่างเอาอกเอาใจของพวกเจ้า เจ้าก็คงจะไม่ยอมให้นายน้อยของเจ้ากลายเป็นทายาทจอมล้างผลาญหรอกใช่หรือไม่”
หลิวจิ้นเป่าอ้าปากกว้างจนสามารถยัดกำปั้นเข้าไปได้ สีหน้าดูเปล่งประกาย สายตามองไปทางอื่น ดูเหมือนจะบอกว่านายน้อยอาจจะไม่ได้เหมือนกับอวิ๋นเยี่ย
เพียงชั่วครู่อวิ๋นเยี่ยก็รู้ เตะขาของหลิวจิ้นเป่าไปหนึ่งทีแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นทายาทจอมล้างผลาญอันดับหนึ่งของฉางอัน ถึงข้าจะผลาญสมบัติ แต่ข้าก็สร้างกิจการครอบครัวได้ มีเงินใช้จ่ายได้ตามใจ เพียงครู่เดียวก็มีเงินกลับเข้ามาใหม่ นี่คือความสามารถ ความสามารถที่ยอดเยี่ยม ต่อให้ข้าล้างผลาญสมบัติอีก พวกเจ้าก็จะไม่อดตาย แต่ละคนอ้วนเป็นหมูหมดแล้ว”
หลิวจิ้นเป่าเอาแต่หัวเราะ คิดอยู่ครู่หนึ่งถึงได้พูดออกมาว่า “ท่านโหว พวกถู่อ๋องนั้นจัดการได้ไม่ยาก ท่านฆ่าตายก็สิ้นเรื่อง แต่ว่าคนในตระกูลเฝิงสามคนนั้นท่านจะจัดการอย่างไร พวกเขาทำให้การขอองค์หญิงแต่งงานในครั้งนี้เป็นข่าวดังไปทั่ว ตอนนี้ที่ตำหนักขององค์หญิงมีแต่เรื่องวุ่นวาย มีคนที่ไม่เกี่ยวข้องพากันเข้าๆ ออกๆ จนทำให้องค์หญิงรำคาญ”
“องค์หญิงคิดอะไรอยู่” อวิ๋นเยี่ยหัวเราะพร้อมกับถามหลิวจิ้นเป่า
“ช่วงนี้องค์หญิงให้แม่บ้านเหอไปรับใช้นางโดยเฉพาะ และไม่ต้อนรับแขกหลังจากฟ้ามืดแล้ว” หลิวจิ้นเป่าค่อยๆ อธิบายให้ฟังอย่างชัดเจน เพราะกลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะเข้าใจผิด
“คนอย่างหลี่อันหลานกลัวข่าวลือด้วยอย่างนั้นหรือ ก็ดี ในเมื่อเจ้ารักษาเนื้อตัวไว้ให้ข้า เช่นนั้นข้าก็จะกำจัดพวกแมลงวันเหล่านั้นให้กับเจ้า มอบดินแดนอันมั่งคั่งคืนให้กับเจ้า”
อวิ๋นเยี่ยมองพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินอยู่ข้างนอก เคาะขอบหน้าต่างไปเรื่อยๆ แล้วคุยกับตัวเอง นัยน์ตาของหลิวจิ้นเป่าเริ่มแดงเหมือนกับสัตว์ดุร้ายที่กำลังจะแหกกรง
ไม่นานมานี้ เมืองยงโจวได้มีราษฎรเพิ่มขึ้นมากมาย ข่าวการปรากฏขึ้นของทองหัววัวได้แพร่กระจายไปทั่วราวกับไฟป่า ทั้งเมืองเต็มไปด้วยผู้คนที่ถือดาบ และยังมีคนจากชนเผ่าอื่นๆ ที่แต่งกายแปลกๆ แม้กระทั่งชาวหูที่อยู่ไกลถึงกว่างโจวก็ยังมาถึงที่นี่ ไม่มีเหตุผลอื่น ทั้งหมดที่มาเป็นเพราะก้อนทองคำ เฝิงอั้งได้ส่งม้าเร็วให้นำจดหมายที่เขาเขียนด้วยตัวเองไปส่งให้กับหลี่อันหลานเพื่อถามว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่
ทองหัววัวถูกวางไว้บนโต๊ะหลี่อันหลาน หลังจากที่ล้างทำความสะอาดแล้ว สีเหลืองทองเปล่งประกายลบล้างความมืดมน หลี่อันหลานมองทองก้อนนี้อย่างครุ่นคิดอยู่นาน ทองก้อนนี้เป็นทองคำธรรมชาติจริงๆ นางชอบมาก และรู้ว่าเบื้องหลังต้องมีจุดประสงค์อะไรที่ไม่สามารถบอกให้คนรู้ได้แน่ๆ นางรู้สึกได้ถึงแผนการลึกลับ
หลิ่งหนานไม่ได้รกร้างเหมือนที่นางคิด ซ้ำยังมีหลายเมืองที่ค่อนข้างเจริญรุ่งเรือง อย่างเช่นเมืองกว่างโจว ที่มีจำนวนประชากรมากถึงหนึ่งแสนคน ในเมืองของตนเองก็มีประชากรอยู่หนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยสิบหกคน นี่คือจำนวนที่แน่นอนหลังจากที่นางได้รวบรวมจำนวนประชากรใหม่อีกครั้ง
มีหนังสือสรุปแผนการพัฒนาเล่มบางวางอยู่บนโต๊ะทำงาน นางแทบจะท่องได้หมดแล้ว หากตัวเองเป็นองค์ชาย เช่นนั้นก็จะไม่มีเรื่องน่าปวดหัวมากเช่นนี้ นางมีความมั่นใจที่จะปกครองดินแดนของตัวเองได้ดี เพียงแค่ทำตามวิธีของอวิ๋นเยี่ย นำคนเถื่อนออกจากภูเขาที่รกร้าง แบ่งที่ดินให้แก่พวกเขา ให้พวกเขาอาศัยอยู่บริเวณโดยรอบเมือง เมื่อผ่านไปยี่สิบสามสิบปี คนพวกนี้ก็จะไม่ใช่คนเถื่อนแต่จะกลายเป็นประชากรของตัวเอง มีจำนวนหนึ่งหมื่นกว่าคน รวมเด็กและผู้หญิงอีก ทั้งหมดไม่เกินห้าหมื่นกว่าคน นี่ไม่ไกลจากการประมาณไว้ในตอนต้นของอวิ๋นเยี่ย
การกำหมัดไว้แน่นทำให้รู้สึกมีพละกำลัง เมื่อเมืองของตัวเองเปลี่ยนเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว ตัวเองก็จะมีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น ไม่เหมือนตอนนี้ที่ต้องถูกเฝิงอั้งควบคุม
เสด็จพ่อที่ปรีชาสามารถไม่ยอมให้ใครขึ้นเป็นใหญ่เป็นโต แต่ให้เฝิงอั้งควบคุมอำนาจของหลี่อันหลานอีกที แต่กลับไม่ให้สิทธิ์นางในการควบคุมแคว้น สิ่งนี้ดูเหมือนจะขัดแย้ง อำนาจของเฝิงอั้งต้องสิ้นสุดลงเมื่ออยู่ต่อหน้าของหลี่อันหลาน และต้องไม่สามารถก้าวก่ายได้ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าล่วงเกินอำนาจ เพราะว่าอำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือของหลี่หรง เด็กน้อยอายุไม่ถึงหนึ่งปีต่างหากที่เป็นเจ้าของพื้นที่แห่งนี้ตัวจริง ในขณะที่เจ้าของยังไม่เติบโต หลี่อันหลานก็เป็นผู้ที่ดูแลจัดการแทน ช้าเร็วอำนาจก็ต้องถูกส่งมอบให้แก่ลูกชายของตัวเอง
หลี่ซื่อหมินมั่นใจว่าหลานชายของเขาจะสามารถมีอำนาจควบคุมได้ในอนาคต เขามีแผนการชั่วร้ายเต็มหัวไปหมด เด็กคนนี้มีพ่อที่มีความสามารถมาก นางไม่กังวลว่าเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้จะไม่มีคนดูแล ตัวเองเพียงแค่ควบคุมพ่อของตัวนางเองได้ก็พอใจแล้ว นางมักจะจับประเด็นหลักได้ดีเสมอ
หลี่อันหลานรู้สึกอิจฉาขึ้นมา ตัวเองยอมทำทุกอย่าง แต่สุดท้ายกลับถูกเอาเปรียบด้วยเด็กทารกไม่รู้ความที่นอนอยู่ข้างๆ ตัวเอง
ได้ยินเสียงร้องมาจากในเปล ความรู้สึกนั้นได้หายไปในทันที ลูกรักของนางฉี่อีกแล้ว
หลิงตังเป็นคนที่มีความสุขที่สุด ตั้งแต่พบว่าที่นี่ไม่มีชนเผ่าที่กินคน นางก็หายหัวไปทั้งวันทั้งคืน หากกลับมาบ้านก็เป็นเวลากินข้าว เก็บก้อนหินที่มีลักษณะสวยงามมาจากริมลำธารจำนวนนับไม่ถ้วน กองไว้จนเต็มห้องไปหมด
ได้ยินองค์หญิงสั่งให้แม่บ้านเหอล้างก้นให้นายน้อยอยู่ในห้อง นางจึงเขย่งเท้าเตรียมจะย่องกลับห้องของตัวเอง พึ่งจะถึงหน้าประตู ก็รู้สึกว่าคอเสื้อถูกดึงไว้แน่น ที่แท้ก็ถูกองค์หญิงจับได้อีกแล้ว
“หลิงตัง วันนี้ทั้งวันข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว เจ้าก็ไม่ช่วยข้าจัดการเรื่องภายในบ้านเลยสักนิด พอมีเวลาว่างก็เอาแต่ออกไปข้างนอก ดูสิ เก็บก้อนหินมาเยอะแยะอีกแล้ว เจ้าจะเอาก้อนหินพวกนี้ไปทำอะไร”
หลี่อันหลานเสียใจที่ตัวเองเคยรับปากหลิงตังไว้ว่าเมื่อมาถึงหลิ่งหนานก็จะให้นางได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ แต่คิดไม่ถึงว่านางจะไม่สนใจเรื่องในบ้านเลยจริงๆ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ได้ผล
โชคดีที่สาวใช้ในวังอย่างจูหวนยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง ช่วยนางจัดการเรื่องเล็กๆ ในตำหนักได้ แต่ไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นอะไร อยากจะตั้งตัวอักษรจางไว้ข้างหน้าคำว่าจูหวน การเปลี่ยนชื่อของสาวใช้ในวังเป็นเรื่องยุ่งยาก ไม่ใช่ว่าจะไปแต่งงานเสียหน่อย เรียกว่าจูหวนมาหลายปี จู่ๆ จะมาเพิ่มนามสกุล มันน่าอึดอัดแค่ไหน รู้ว่านางอยากจะแสดงถึงสิทธิอำนาจอย่างหนึ่ง แต่หลี่อันหลานไม่สนใจ ตอนนี้ในแคว้นของตัวนางเองกำลังมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นพร้อมกัน ยิ่งมีอำนาจมากขึ้นก็ยิ่งวุ่นวาย นางไม่สนว่าใครจะอยู่หรือใครจะไป เพียงแต่ว่าจางจูหวนดูเหมือนจะกลัวแม่บ้านเหอเป็นอย่างมาก ช่างไร้เหตุผลเสียจริง
จางจูหวนอยู่ในห้องเดียวกันกับหลิงตัง ไม่ใช่ว่าไม่มีห้องให้นางอยู่ แต่ว่าหลิงตังกลัวค้างคาวที่บินเข้ามาจากหน้าต่างจะมาดูดเลือดของตัวเองจึงลากจางจูหวนมานอนด้วย หากค้างคาวมาจริงๆ เมื่ออยู่สองคนก็คงจะมีความกล้าขึ้นมาบ้าง
มีเพียงแค่สองคนนี้ที่หลี่อันหลานสามารถสั่งการได้ พวกขุนนางที่เคยประพฤติผิดที่อยู่ด้านนอก แต่ละคนดูเหมือนไม่มีชีวิตชีวา เหมือนกับว่าจะมาตายที่หลิ่งหนาน ไม่เคยปฏิบัติหน้าที่เลยแม้แต่ครั้งเดียว
หลิงตังนอนอยู่บนตักออดอ้อนหลี่อันหลาน จางจูหวนแอบปิดปากหัวเราะ หลี่อันหลานลากสองคนนั้นเข้าไปในห้อง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “พวกเจ้าสองคนช่วยใส่ใจหน่อยได้ไหม นี่คือที่พักพิงสุดท้ายของพวกเรา ในขณะที่ลูกข้ายังไม่เติบโต พวกเราจำเป็นต้องยึดมั่นในรากฐานนี้ อย่าให้ใครมาขโมยเอาไปได้”
“องค์หญิง ท่านคิดมากไปแล้ว นายน้อยมีพ่อที่เก่งกาจ หากนายน้อยถูกรังแกก็เรียกพ่อของเขามาจัดการพวกคนเหล่านั้น เขาต้องมีวิธีที่ดีแน่ๆ พวกเราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดีหรือไม่ พี่จูหวนเจ้าว่าอย่างไร”
“เรียกใหม่อีกรอบ ข้าชื่อจางจูหวน”
“รับทราบ พี่จูหวน”
หลี่อันหลานถอนหายใจ รู้สึกเหนื่อยใจ เด็กสองคนนี้ช่างไม่รู้อะไรเสียจริง ไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ส่งจดหมายกลับมาที่หลิ่งหนานครึ่งปีแล้ว ตัวเองส่งไปตั้งหลายฉบับ สุดท้ายก็เป็นซินเย่วที่ตอบกลับจดหมาย บอกเพียงแต่ว่าสามีของตัวเองออกไปผจญภัยไม่ได้อยู่บ้าน นี่มันใช่การออกไปผจญภัยเสียที่ไหน เป็นถึงท่านโหวจะบ้าถึงขนาดออกไปผจญภัยโดยไม่สนใจเรื่องราชการได้อย่างไร กฎของแคว้นข้อไหนอนุญาตให้เขาทำเช่นนี้ นี่เป็นข้ออ้างที่จะบ่ายเบี่ยง
คนใจร้าย หรือว่าเจ้าไม่สนใจพวกเราสองแม่ลูกแล้ว หลี่อันหลานตาแดงก่ำด้วยความเสียใจ สาวใช้สองคนไม่กล้าหยอกล้อเล่นด้วย จึงอยู่ข้างๆ หลี่อันหลานอย่างเงียบๆ
ความอ่อนแอของหลี่อันหลานเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ พอเงยหน้าขึ้นมาก็กลับมาเป็นองค์หญิงผู้สง่างามของต้าถังเหมือนเดิม เริ่มกลับมาคิดว่าทองหัววัวจริงๆ แล้วมีประโยชน์อะไร คนที่มอบทองหัววัวก็เป็นเพียงแค่ผู้นำคนเก่าแก่ของหมู่บ้าน หมู่บ้านที่มีคนอาศัยสองสามร้อยคนไม่ได้มีแผนการอะไรใหญ่หลวง ในวินาทีที่พวกเขาได้รับเสบียงอาหาร หลี่อันหลานก็รู้ได้ว่าเป้าหมายของท่านผู้เฒ่าก็คือเสบียงอาหารไม่มีจุดประสงค์อื่น
หลี่จิ้นเป่าต้องรู้อะไรแน่ๆ แต่กลับปิดปากเงียบไม่พูดอะไร ยิ่งปกป้องนายน้อยมากขึ้นกว่าเดิม มีอยู่หลายครั้งที่ให้นมแก่ลูกน้อยในยามค่ำคืน ก็เห็นเงาของเขาสะท้อนอยู่บนหน้าต่าง ไม่ห่างจากนายน้อยแม้แต่ก้าวเดียว
นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้จิตใจของหลี่อันหลานรู้สึกมั่นคง หงเฉิงพาทหารสามพันคนที่มีลักษณะดูดุร้ายไปยืนประจำการตามแนวชายขอบของแคว้น การไปโจมตีประเทศอื่นทำให้ได้สมบัติกลับมากองเท่าภูเขา แม้กระทั่งลูกชายของตัวเองก็ได้ร้บมาไม่น้อย เงินปันผลของตระกูลอวิ๋นก็มอบให้แต่ลูกชายทั้งหมด ตัวเองเห็นยังรู้สึกอิจฉา เงินทองมากมายแต่กลับไม่มีในส่วนของนาง ไม่มีเงินค่าอาหารก็ไม่มีวิธีซื้อแรงคน เช่นนั้นก็จะไม่มีวิธีสร้างเมืองที่มีขนาดใหญ่กว่านี้ แผนที่ที่อวิ๋นเยี่ยให้ไว้ก็ยังคงอยู่เช่นนั้น
เพียงแค่ใช้บารมีของตระกูลเฝิงเพิ่มภาษีเล็กน้อยก็มีหมู่บ้านมากมายที่ไม่ยินยอม บอกว่าหากจ่ายไปตัวเองก็จะอดตาย ตระกูลเฝิงได้ส่งทหารม้าออกไปทั่วทำให้คนในหมู่บ้านตกใจ เพียงแค่ช่วยเหลือแค่นี้ก็หวังจะให้องค์หญิงแต่งงานด้วย สมองของเฝิงอั้งถูกลาถีบมาหรืออย่างไร นี่คือคำพูดที่อวิ๋นเยี่ยพูดอยู่บ่อยๆ
สาวใช้ทั้งสองเดินกลับมาที่ห้องเป็นเพื่อนหลี่อันหลาน ทองหัววัวยังคงวางอยู่บนโต๊ะ ก้อนทองคำมีความเย็น หลี่อันหลานมักคิดว่าหลิวจิ้นเป่าจะพูดจาเหน็บแนมเวลาที่ตัวเองมองทองหัววัว แม่บ้านเหอกำลังอุ้มนายน้อยอยู่ ใบหน้าดูสงบและผ่อนคลาย ไม่มีการบ่นเหมือนกับวันก่อนๆ
เหตุใดถึงมีเพียงแค่ตัวนางที่รู้สึกไม่สบายใจ
หันกลับไปมองแม่บ้านเหอที่กำลังอุ้มลูกชายตัวอ้วน เจ้าตัวน้อยน้ำลายไหล ดิ้นไปมาในอ้อมกอดของแม่บ้าน และยังยิ้มให้นาง
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 24 เกิดอะไรขึ้น
หลี่อันหลานอุ้มลูกน้อยมาจากแม่บ้านเหอ เด็กน้อยรีบมุดเข้ามาในอ้อมกอด มืออ้วนๆ ปัดไปมาอยู่บนใบหน้าของนาง หอมมือน้อยๆ ของลูกชายด้วยความรักใคร่ สองแม่ลูกพากันพูดภาษาต่างดาว หลิวจิ้นเป่ามองไปรอบๆ ห้อง จากนั้นก็เปิดประตูเดินออกไป ทั้งห้องมีแต่ผู้หญิง เขาอยู่ที่นี่เห็นจะไม่เหมาะสม
“แม่บ้านเหอ วันนี้เจ้าดูอารมณ์ดี รีบบอกข้ามาว่ามีเรื่องอะไรน่ายินดี จะได้แบ่งปันความสุขด้วยกัน” หลี่อันหลานถอดเสื้อเตรียมให้นมลูกพร้อมกับมองไปที่แม่บ้านเหอ
คนรับใช้ตระกูลอวิ๋นที่ถูกส่งมาดูแลนายน้อยที่หลิ่งหนานก็คือนาง เมื่อเด็กเกิดมา นางก็มีสิทธิ์ที่จะได้ดูแลเด็กโดยปริยาย ไม่ว่าหลี่อันหลานจะโวยวายอย่างไรก็ไม่ได้ผล หลังจากที่โดนเฆี่ยนไปสองทีก็ยังคงดื้อดึงจะดูแลเด็ก ไม่ยอมให้คนนอกที่หลี่อันหลานพามาแตะต้องตัวเด็กได้แม้แต่นิ้วเดียว
นางเป็นหญิงสาวชาวนา สามีจากไปนานแล้ว อาศัยนิสัยที่เด็ดเดี่ยวและร่างกายอันแข็งแรงเลี้ยงลูกทั้งสามคนมาจนโต ตอนนี้อายุสี่สิบปีเป็นช่วงเวลาที่จะสร้างฐานะให้มั่นคง ลูกชายของนางแต่งงานไปแล้วสองคน มีหลานแล้วหนึ่งคน ลูกคนเล็กมาที่หลิ่งหนานเพื่อเรียนรู้วิชาจากเถ้าแก่หลิว ด้วยความเป็นห่วงลูกคนเล็ก นางจึงอาสามาทำงานให้ตระกูลอวิ๋นที่หลิ่งหนาน
การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หากไม่ได้รับความเมตตาดูแลอย่างดีจากตระกูลอวิ๋น ก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร จะหาข้าวกินสักมื้อยังยาก ยังจะอยากแต่งงานมีลูกอีกหรือ นางจำได้เสมอว่าตอนที่ลูกชายคนโตของนางแต่งงาน ท่านย่าให้คนนำสร้อยไข่มุกมาส่งให้โดยเฉพาะ นี่คือของขวัญล้ำค่าที่สุดในชีวิตที่นางได้รับ
วันที่ลูกชายคนที่สองแต่งงาน ท่านโหวและฮูหยินมาดื่มเหล้าและรับประทานอาหารที่บ้าน ตอนที่ฮูหยินจะเดินทางกลับได้นำปิ่นปักผมจากบนหัวมอบให้แก่เจ้าสาว ทำให้ญาติฝ่ายเจ้าสาวที่ดูถูกครอบครัวแม่บ้านเหออิจฉาตาลุกวาว ท่านโหวยังเตะขาเจ้าบ่าวทั้งสองข้าง ให้เขารู้จักกตัญญูต่อแม่ ไม่ให้เป็นคนล้างผลาญสมบัติตระกูลแบบตัวเอง ทำให้คนที่มาร่วมงานพากันหัวเราะลั่น
นี่มันอะไรกัน? ลูกชายของหญิงแม่ม่ายแต่งงานกลับมีท่านโหวและฮูหยินมาร่วมแสดงความยินดีด้วย ปิ่นปักผมนั้นทำด้วยเงิน ข้างบนยังมีรูปของหงส์อีกด้วย หากชาวบ้านไปสั่งทำปิ่นลักษณะแบบนี้เอง ต้องโดนทางการลงโทษเป็นแน่
แม่บ้านเหอที่แข็งแกร่งมาตลอดชีวิตรู้สึกว่านางไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์ ลูกชายคนเล็กนั้นดื้อรั้นรักความอิสระ ไม่เหมาะกับการเป็นผู้นำในครอบครัว เขาอิจฉาผู้ดูแลตระกูลอวิ๋นที่ได้เดินทางไปทั่วเพื่อทำกิจการค้าขาย นางหาโอกาสขอร้องฮูหยินในตอนที่ช่วยฮูหยินปักผ้า คิดไม่ถึงว่าวันต่อมาฮูหยินก็ส่งคนมาพาลูกชายคนที่สามไป บอกว่าต้องเรียนรู้กฎในบ้านก่อน หลังจากนั้นจะส่งไปเรียนวิชา ลูกชายคนเล็กกอดขานางและร้องไห้ก่อนที่จะจากไป ทำให้นางรู้สึกภูมิใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน
บุญคุณของครอบครัวท่านโหวใช้ไม่หมดในชาตินี้ นายน้อยเป็นเลือดเนี้อเชื้อไขของท่านโหว เป็นคนตระกูลอวิ๋น ทุกครั้งที่นึกถึงว่านายน้อยใช้นามสกุลหลี่ นางก็ไม่พอใจองค์หญิงเป็นอย่างมาก ไม่ทำหน้าที่ภรรยาก็ไม่เป็นไร ท่านโหวก็ใช่ว่าจะไม่ยอมรับลูกชายของตัวเอง นามสกุลอวิ๋นดีถึงเพียงนี้แต่กลับไม่ให้ลูกชายของตัวเองใช้ ดันให้ใช้นามสกุลของแม่ นี่ก็เหมือนกับการทำให้ลูกถูกคนนินทาในอนาคตไม่ใช่หรือ
“กราบทูลองค์หญิง วันนี้ลูกชายคนเล็กมาที่จวน บอกว่าเขาได้เรียนรู้การใช้ลูกคิด เถ้าแก่หลิวแต่งตั้งให้เขาเป็นคู่หู ที่ข้ารู้สึกมีความสุขก็เป็นเพราะเรื่องนี้”
แน่นอนว่าแม่บ้านเหอรู้ว่าท่านโหวมาถึงหลิ่งหนานแล้ว อาศัยอยู่ในที่พักขององค์รักษ์ไม่ยอมออกมา เมื่อครู่ยังได้อุ้มนายน้อย หอมแก้มเด็กน้อยอย่างมีความสุข นายน้อยก็ชอบท่านโหวมากเช่นกัน ตอนแรกที่เจอยังไม่คุ้นเคย แล้วยังทำเอาผมของท่านโหวยุ่งไปหมด พ่อลูกเอะอะเสียงดังกันอยู่ครู่หนึ่ง นี่คือสิ่งที่นายน้อยควรจะได้รับ ท่านโหวโกรธพวกคนที่ต้องการจะกลั่นแกล้งนายน้อยเป็นอย่างมาก ครั้งนี้คนเหล่านั้นต้องถูกจัดการ
หลี่อันหลานเพียงแค่สงสัย คนรับใช้ตระกูลอวิ๋นดูเหมือนจะมีความสุขมากกว่าปกติ เดิมทีมักจะไม่พอใจที่องค์หญิงหาคนรับใช้เข้ามาใหม่ แต่ตอนนี้กลับไม่แม้แต่จะสนใจ
ยอมเป็นแค่แม่บ้านดูแลเด็กน้อย แต่ไม่ยอมเป็นหัวหน้าผู้จัดการเรื่องภายในบ้าน ในสายตามีแต่นายน้อย ไม่สนใจเรื่องอื่นอีก รับหลังยังแอบเรียกนายน้อยว่าท่านโหวน้อย ในสายตานางตำแหน่งองค์หญิงคงเทียบไม่ได้เลยกับท่านโหว
แต่ว่าก็ดีเหมือนกัน ที่มาของเด็กได้กลายเป็นความลับที่ถูกเปิดเผย การใช้อำนาจตระกูลอวิ๋นเพื่อครอบครองอาณาเขตนั้นถือเป็นผลประโยชน์อย่างมาก ถึงแม้ว่าทุกครั้งที่ขอเงินจากเถ้าแก่หลิว จะถูกเขามองด้วยใบหน้าคิ้วขมวด แต่ทุกครั้งก็ตอบตกลง
นึกถึงเรื่องพวกนี้ หลี่อันหลานก็กัดฟันโกรธ ไม่ใช่ว่ากิจการในหลิ่งหนานเป็นสวนของข้าทั้งหมดหรือ เหตุใดข้าไม่สามารถแตะต้องได้
“ลูกน้อย ตอนนี้แม่ไม่มีเงินแล้ว ให้แม่ยืมเงินของเจ้าใช้สักนิดจะได้ไหม” หลี่อันหลานมองไปที่ลูกชายที่กำลังดูดนมในอ้อมกอดของนาง แม่ยืมเงินลูกของตัวเองคงไม่ถือว่าทำเกินไปหรอก
คนที่ร่ำรวยที่สุดในหลิ่งหนานไม่ใช่เฝิงอั้งและไม่ใช้หลี่อันหลาน แต่เป็นลูกชายของตัวเองที่กำลังกินนมอยู่ แค่นึกถึงหลี่อันหลานก็รู้สึกภูมิใจ ในฐานะผู้ปกครองแผ่นดิน ไม่ว่าใครก็ต้องยอมให้แก่ลูกชายของตัวเอง หากมีใครไม่ยอมก็จะให้หลิวจิ้นเป่าฆ่าทิ้งทันที ช่วงเวลาก่อนหน้านี้รายได้ในราชวงศ์ไม่ได้ถูกแบ่งมาให้ หลิวจิ้นเป่าจึงไปขอหนังสือที่มีลายลักษณ์อักษรยืนยันจากฮ่องเต้หรือไม่ก็ฮองเฮา หากไม่มีจริงๆ ขององค์ชายก็ยังดี หากเอามาไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องเอาเงินมาให้แต่โดยดี หลิวจิ้นเป่าวางอำนาจบาตรใหญ่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คลังสมบัติของนายน้อยก็มีเงินทองหลั่งไหลเข้ามาราวกับสายน้ำ ราชวงศ์เอาชนะหลิวจิ้นเป่าไม่ได้ เวลาหลิวจิ้นเป่าไปบุกเมืองอื่นก็ไม่ได้ไปในนามของเมืองตัวเอง มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่ามีบางเมืองเล็กๆ ที่เจริญแล้ว เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ผู้ดูแลพระราชวังชั้นในต้องมอบของขวัญให้แก่ทารกน้อย เพราะว่าราชวงศ์ก็ต้องการมีหน้ามีตาเช่นกัน
ลูกน้อยได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวจึงหยุดดื่มนมแล้วส่งเสียงร้องเรียกแม่ จากนั้นก็ดื่มนมต่อ
หลี่อันหลานพยักหน้าอย่างพอใจ พูดกับแม่บ้านเหอว่า “ลูกเห็นด้วยแล้ว พรุ่งนี้เจ้าเตรียมเงินห้าพันเหรียญไว้ให้ข้า ข้าต้องการใช้มัน”
เดิมทีนึกว่าจะถูกปฏิเสธ คิดไม่ถึงว่าแม่บ้านเหอจะพูดว่า “นายน้อยเห็นด้วยแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา คืนนี้ข้าจะจัดเตรียมไว้ให้ท่าน ไม่ทราบว่าท่านต้องการทองคำหรือว่าเงิน ที่เมืองหลิ่งหนานของพวกเรา มีเหรียญทองแดงไม่ค่อยเยอะ หากเป็นห้าพันเหรียญทองแดงคงหามาให้ไม่ได้”
หลี่อันหลานมองแม่บ้านเหอที่กำลังยิ้มอยู่อย่างประหลาดใจ จากนั้นก็ก้มลงมองลูกชายของตัวเอง หากรู้ว่าขอเงินได้ง่ายเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ข้ามัวทำอะไรอยู่ ตอนนี้คำพูดของลูกข้าจะแปลเป็นอย่างไรก็ได้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เกิดอะไรขึ้น” เฝิงจื้อหย่งก็ถามคำถามนี้เช่นกัน ข่าวเรื่องทองหัววัวปรากฏขึ้น ตัวเองพยายามเป็นอย่างมากเพื่อปิดข่าวไว้ แต่ทำไมตอนนี้ทั้งถนนมีแต่คนพูดถึงทองหัววัว ตระกูลเฝิงอยากจะครอบครองเหมืองแร่ก็ต้องแอบลงมือจัดการ แต่ตอนนี้คนทั้งโลกได้รู้หมดแล้ว จะยังครอบครองเพียงคนเดียวได้อย่างไร ในตอนนี้ที่หลิ่งหนานไม่ได้มีตระกูลเฝิงเพียงตระกูลเดียวที่เป็นตระกูลขนาดใหญ่ คนฐานะใหญ่โตอาศัยอยู่ที่หลิ่งหนานมีเยอะแยะทั่วไป แทบจะพากันถือจอบไปขุดหาทองบนภูเขา ตระกูลเฝิงจัดการได้หนึ่งตระกูล แต่ก็จัดการไม่ได้ทั้งหมดอยู่ดี
หัวหน้าหมู่บ้านอย่างท่านผู้เฒ่าบอกเพียงแค่ว่าตัวเองได้ช่วยเหลือชาวฮั่นคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บ ชาวฮั่นผู้นั้นรู้จักตอบแทนบุญคุณ เห็นหมู่บ้านไม่มีอันจะกินจึงได้นำทองมอบให้แก่ผู้นำหมู่บ้าน ตอนนี้เขาได้รักษาตัวอยู่ในหมู่บ้าน หากอยากรู้ว่าทองนั้นอยู่ที่ไหนก็ต้องถามกับเจ้าตัวเอง แขกบอกมาว่ารอให้แผลของเขาหายดี ก็จะรีบมาที่เมืองยงโจว เขาเตรียมจะวาดแผนที่ที่อยู่ของเหมืองแร่ทองคำขายให้กับคนมีเงิน แขกของหมู่บ้านนั้นเป็นคนมีชื่อเสียง คำพูดที่พูดออกมานั้นเชื่อถือได้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนลงพื้นที่ก่อน ผู้คนทั้งหมดในเมืองจะต้องทำสัญญา นั่นก็คือรอให้คนคนนั้นปรากฏตัวเอง ใครก็ห้ามแอบลักลอบลงมือก่อน มิเช่นนั้นจะถูกโจมตี
เมืองยงโจวดูเหมือนจะเงียบสงบ แต่ราวกับมีคลื่นใต้น้ำกำลังพลุ่งพล่าน พวกนักรบพเนจรได้จัดตั้งพันธมิตรขึ้นมาเพื่อต่อต้านตระกูลที่ร่ำรวย ถึงแม้ว่าตระกูลเฝิงจะมีอำนาจใหญ่คับฟ้า แต่ก็ไม่มีวิธีจัดการคนพวกนี้ได้
ในห้องว่าราชการที่ผุผัง อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่ในห้องซึ่งมีกำแพงเหลืออยู่เพียงแค่ครึ่งเดียว เขาเลี้ยงน้ำชาเจ้าของบ้าน ไม่ใช่ว่าเจ้าของบ้านไม่อยากเลี้ยง หากแต่เลี้ยงไม่ไหว ด้านในกำแพงที่ผุพังอวิ๋นเยี่ยได้ยินเสียงร้องไห้ของหญิงสาว
“เล่าหลิว เจ้าก็นับว่าเป็นเสมียนคนหนึ่ง ตอนอยู่ที่เมืองหลานโจวก็ใช้ชีวิตอย่างดี สองปีก่อนยังได้ยินว่าเจ้าจะได้เลื่อนตำแหน่ง แล้วเหตุใดถึงได้เลื่อนมาอยู่ที่หลิ่งหนานเสียได้ ต้องเข้าร่วมกองทัพแล้วยังต้องมาเป็นเจ้าหน้าที่ที่แม้แต่ข้าวก็ยังไม่มีปัญญาซื้อกินอย่างนั้นหรือ”
ชายร่างผอมที่อยู่ตรงหน้านั้นคือผู้พิพากษาที่เคยอ้วนท้วนอยู่ดีกินดีอยู่ในเมืองหลานโจว เฉิงเหย่าจินเคยชมว่าเด็กคนนี้มีความสามารถ ไม่แน่ในอนาคตราชสำนักอาจจะมีตำแหน่งสำหรับเขา อวิ๋นเยี่ยจำประโยคนี้มาตลอด ตอนนี้มองดูหลิวฝูลู่ อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจว่าต่อไปนี้จะไม่เชื่อคำพูดของเหล่าเฉิงอีกแล้ว เช่นเดียวกับปากอีกา ชมใครคนนั้นก็จะโชคร้าย เมื่อนึกถึงตอนที่ตัวเองถูกเหล่าเฉิงชมนับครั้งไม่ถ้วนก็เหงื่อออกเต็มหลัง ที่ตัวเองต้องมาเผชิญกับวันเวลาที่ยากลำบากต้องเป็นเพราะคำชมของเหล่าเฉิงแน่ๆ
“ท่าน โหว ของ ข้า!” หลิวฝูลู่ตะโกนออกมาทีละคำ จากนั้นก็สำลักทำให้พูดไม่ออกอีก พวกคนโตพากันร้องไห้เหมือนกับเด็กหนึ่งเดือน นั่งเรียงกันอยู่ หากไม่ใช่เพราะทุกข์ใจถึงขีดสุดก็คงไม่เป็นกันเช่นนี้ กว่าจะรอเขาหยุดร้องไห้ได้ก็ไม่เหลือเวลาได้สนทนาแล้ว สั่งให้องครักษ์นำอาหารที่ซื้อมาวางไว้บนโต๊ะ หลิวฝูลู่หิวจนตาลายเหมือนเสือเพิ่งได้ลงจากเขา กินอย่างตะกละตะกลาม เมื่อกินไปได้สักพักก็หน้าแดง ยกอาหารที่อยู่บนโต๊ะเอาเข้าไปในห้องด้านหลัง ไม่นานก็เดินน้ำตาไหลออกมา
“ท่านโหว ทุกคำสั่งของท่าน ข้าจะทำมันด้วยชีวิต”
อวิ๋นเยี่ยไม่สบายใจที่เห็นหลิวฝูลู่เป็นเช่นนี้ อย่างไรก็ถือว่าเป็นสหายเก่า เห็นเขาเป็นทุกข์เช่นนี้ก็อดสงสารเขาไม่ได้ ทำผิดอะไรถึงต้องถูกส่งมาที่ดินแดนรกร้างว่างเปล่าเช่นนี้ เปลี่ยนชายอ้วนที่มีน้ำหนักหนึ่งร้อยกิโลให้ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มีเพียงแค่วั่งไฉเท่านั้นที่เคยมีประสบการณ์นี้
“เหล่าหลิว เจ้าทำเรื่องผิดศีลธรรมอะไรจึงได้ถูกลงโทษเช่นนี้ ฮ่องเต้เป็นคนมีเหตุผล คงไม่ลงโทษใครอย่างรุนแรงโดยไม่มีเหตุผล สถานการณ์ของเจ้าตอนนี้ดีกว่าถูกยึดทรัพย์สินฆ่าล้างโคตรแค่นิดเดียว”
“ข้ายอมถูกยึดทรัพย์สินฆ่าล้างโคตร แต่จะไม่ยอมให้คนในครอบครัวต้องมาใช้ชีวิตอย่างลำบากที่นี่ ท่านโหว ท่านเชื่อไหม ข้าแค่ยักยอกเงินสองร้อยเหรียญ เพียงแค่สองร้อยเหรียญ เพียงแค่นี้เอง ไม่ใช่การไปขูดเลือดเนื้อราษฎรมาเสียหน่อย ไปเอามาจากพ่อค้าชาวหูต่างหาก ใครจะไปคิดว่าตอนที่ข้ากำลังจะได้เลื่อนตำแหน่ง เรื่องมันก็แดงขึ้นมา ข้าก็เลยถูกส่งมาอยู่ที่นี่ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎของต้าถัง ไม่ได้เพิ่มโทษ แต่ก็ไม่ได้ละโทษ เพราะกฎหมายที่เยือกเย็นนี้ทำให้ข้าเป็นทุกข์จนเกินจะบรรยายได้ เมื่อก่อนอย่างมากก็เพียงแค่ถูกถอนออกจากตำแหน่ง คิดไม่ถึงเลยว่าพอมาถึงคราวของข้า ก็ถูกลงโทษให้มารับราชการในที่ที่ห่างไกล ไม่สามารถกลับไปบ้านเกิดได้อีก” เมื่อพูดจบก็เริ่มต้นร้องไห้อีกครั้ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น