เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 8 ตอนที่ 20-21

[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 20 สอดแนม

 

เมื่อกลับมายังหอจู๋โหลว ท่านผู้เฒ่าบดรากโสมซานชีแล้วเอาโปะลงบนขาของอวิ๋นเยี่ยทั้งสองข้าง ถึงแม้ใบหน้าจะดูยิ้มแย้ม แต่นัยน์ตาลึกข้างในกลับมีความกังวลเป็นอย่างมาก ชีวิตที่มีความสุขได้ผ่านพ้นไปแล้ว ที่เหลือก็ต้องมาคิดว่าจะใช้ชีวิตในความหิวที่ยาวนานนี้ได้อย่างไร ชาวเหลียวมักจะใช้ชีวิตให้มีความสุขก่อน จากนั้นค่อยเผชิญหน้ากับความลำบากทีหลัง หนุ่มสาวทั่วไปในหมู่บ้านไม่มีใครใส่ใจเรื่องนี้ พวกเขามักคิดว่าท่านผู้เฒ่าจะใช้ความฉลาดของเขาจัดการปัญหาทุกอย่างได้ 


 


 


น่าเสียดายที่คราวนี้ท่านผู้เฒ่าไม่ได้เผชิญหน้ากับถู่อ๋องผู้ใสซื่อที่จะปฏิบัติตามกฎเดิมๆ เมื่อก่อนนั้นสามารถใช้วิธีหลอกล่อต่างๆ เพื่อไม่ให้ถู่อ๋องดึงหมู่บ้านของตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมาถู่อ๋องจะแต่งงานกับพี่สาวหรือน้องสาวของตัวเอง สืบต่อเนื่องมาหลายปี พอถึงถู่อ๋องในยุคสมัยนี้ ท่านผู้เฒ่าสามารถต่อกรกับถู่อ๋องได้อย่างสบาย ไม่จำเป็นต้องออกแรงอะไรมาก 


 


 


ถู่อ๋องบางทีอาจเป็นเพียงแค่สุนัขโง่ๆ ตัวหนึ่ง ขอเพียงแค่มีอาหารอยู่ในปากก็ไม่จำเป็นต้องเห่า แต่ว่าคนตระกูลเฝิงนั้นไม่เหมือนกัน ชื่อเสียงของเฉี่ยนฮูหยินกึกก้องไปทั่วหล้า ความกล้าหาญของเฝิงอั้งไม่มีใครเทียบได้ มีฉายาว่าครอบครองภูเขาทั้งลูกเพียงแค่ธนูดอกเดียว ทั้งหลิ่งหนานมีใครบ้างไม่รู้ ถึงแม้เขาจะมีลูกชายมากมาย แต่ล้วนมีความสามารถกันทุกคน หากจะใช้วิธีขี้โกงแก้ไขปัญหา ก็คงไม่มีทางเป็นไปได้ เสบียงอาหารในที่เก็บของก็มีเหลือไม่มากแล้ว ใครจะไปรู้ว่าพึ่งจะเก็บเกี่ยวผลผลิตแท้ๆ แต่ก็ยังต้องทนหิวอีก 


 


 


ท่านผู้เฒ่าฝีมือดีมาก ใบไม้ใหญ่สองใบมัดอยู่บนขาของอวิ๋นเยี่ยเหมือนกับมีสนับขาสีเขียวสองอัน ดูสวยและมีประโยชน์ ชาวเหลียวเรียนรู้การสร้างสรรค์สิ่งที่สวยงามจากธรรมชาติ และเปลี่ยนพวกมันเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ไม่มีตัวอักษร แต่กลับออกแบบเป็นลวดลายที่สวยงาม ลวดลายนี้มีอยู่ทุกที่ บนเสื้อผ้า เครื่องประดับที่อยู่บนหัว บนโอ่งใส่น้ำ บนชามไม้ใส่ข้าว และบนหน้ากากงิ้ว 


 


 


ก็เหมือนกับภาษาที่ไม่ใช่วิธีสื่อสารที่ดีที่สุด แต่เป็นรอยยิ้มต่างหาก ลวดลายเหล่านี้ก็คือรอยยิ้มของพวกเขา ดึงเด็กคนไหนมาก็ได้หนึ่งคน เขาสามารถบอกได้ว่าลวดลายเหล่านั้นมีความหมายเช่นไร 


 


 


ท่านผู้เฒ่าแบกของขวัญที่อวิ๋นเยี่ยให้แก่หมู่บ้านไปที่เมืองยงโจว จัดการภาระหน้าที่ในหมู่บ้านเสร็จแล้วก็รีบออกเดินทาง รอไม่ได้แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว การนำเสบียงกลับมาเป็นเรื่องสำคัญ เมืองยงโจวเป็นเมืองที่ถู่อ๋องของต้าถังได้ตั้งชื่อให้เมื่อปีที่แล้ว เมื่อก่อนทุกคนเรียกว่าเมืองผู่ซิ่ง แล้วยังนำป้ายหยกเล็กๆ ไปด้วย ตัวอักษรที่แกะสลักอยู่บนป้ายหยก ท่านผู้เฒ่าไม่รู้จัก เขาได้เรียนรู้ภาษาจีนกลางพร้อมๆ กับถู่อ๋องที่วัดซิ่งหงหลูตอนที่ไปส่งส่วยให้ราชวงศ์สุยในปีนั้น ถู่อ๋องเรียนไม่เก่ง ในฐานะผู้นำที่ฉลาดที่สุดอย่างท่านผู้เฒ่านั้นไม่มีปัญหา ภายในเวลาหนึ่งปีก็สามารถเรียนรู้ภาษาที่ยากที่สุดบนโลกนี้ได้แล้ว เสียดายที่ไม่รู้ตัวอักษร และเขียนไม่เป็น หากเขารู้ตัวอักษร ก็จะเห็นว่าตัวอักษรที่แกะสลักอยู่บนป้ายหยกคือคำว่าผู้นำตระกูลอวิ๋น 


 


 


ตำหนักนอกเมืองขององค์หญิงอยู่ห่างจากที่นี่ออกไปสามร้อยลี้ อวิ๋นเยี่ยหยุดฝีเท้าของตัวเอง เขามองไปรอบๆ ก่อน ดูว่าความเป็นจริงกับสิ่งที่เขาคิดนั้นห่างไกลกันแค่ไหน หลิวจิ้นเป่าคอยดูแลลูกชายของตัวเองในตำหนักขององค์หญิง เรียกเขามาถามก็จะได้รู้ความจริงทุกอย่างมิใช่หรือ หากหลี่อันหลานหลงใหลในอำนาจ คิดว่าอาศัยตระกูลเฝิงแล้วจะสามารถแต่งตั้งตัวเองขึ้นได้ เช่นนั้นอวิ๋นเยี่ยก็จะพาลูกชายของตัวเองกลับฉางอันทันที คนของตระกูลอวิ๋นทั้งหมดจะต้องออกจากพื้นที่แห่งนี้ นางจะทำอะไรกับพื้นที่ในหลิ่งหนานก็ตามใจนาง ถือเสียว่าเป็นรางวัลที่มีลูกชายให้กับตัวเขา 


 


 


แต่หากยังมีเหตุผลอื่นๆ อวิ๋นเยี่ยคิดว่าหากเขาจะเป็นโอดิสซีย์สักครั้งก็ไม่ใช่ปัญหา ตระกูลเฝิงรังแกคนมากเกินไป เมื่อก่อนอวิ๋นเยี่ยคิดว่าการที่มือเปื้อนเลือดเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ตั้งแต่ถูกโต้วเยี่ยนซานกล่อม เขาก็ไม่เคยคิดว่าการฆ่าคนเป็นเรื่องที่ไม่ถูกอีกเลย ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอยู่ในยุคที่ยุยงให้คนฆ่าฟันกัน 


 


 


ทองหัววัวมีประโยชน์ต่อราชสำนักเป็นแน่ แต่ว่าไม่มีผลกับคนในหมู่บ้าน แต่เดิมอวิ๋นเยี่ยอยากจะเอามันมาอวดให้ท่านผู้เฒ่าประหลาดใจ แสดงความอิจฉา แต่สุดท้ายกลับได้รับแค่เพียงคำว่า “อ้อ” 


 


 


ความคิดเห็นเรื่องความร่ำรวยของเขานั้นแตกต่างจากอวิ๋นเยี่ยอยู่บ้าง ก้อนทองพวกนี้สำหรับวัว แกะ เสบียงอาหาร หรือแม้กระทั่งเด็กน้อยที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่ข้างนอกนั้นไร้ความหมายต่อพวกเขา หากไม่ได้ใช้เวลาอยู่ในเมืองฉางอันสักช่วงหนึ่ง เขาไม่มีทางยอมรับความร่ำรวยเหล่านี้ ในคำสั่งสอนของบรรพบุรุษและเทพเจ้า สิ่งของพวกนี้ไม่ใช่ความร่ำรวย เงินสีขาวระยิบระยับสามารถนำมาทำเป็นเครื่องประดับผมของหญิงสาวได้ สำหรับก้อนทองสีเหลืองเป็นของที่ไม่ได้มีประโยชน์มากนัก แต่ว่าการนำมันไปถวายให้องค์หญิง ก็จะสามารถแลกเสบียงมาให้ได้กินพอกันทั้งหมู่บ้าน สำหรับเรื่องนี้ทองก็พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง 


 


 


เหมิงหลู่พาสหายคนใหม่อย่างอวิ๋นเยี่ยไปที่ป่าสนเพื่อหาของกิน เผาเห็ดทรัฟเฟิลกินไปแล้วเป็นโล เหมิงหลู่กับเหมิงน่ามองอวิ๋นเยี่ยอย่างเห็นใจ แขกที่มาจากแดนไกลช่างน่าสงสาร รสชาติประหลาดเช่นนี้ มีเพียงหมูเท่านั้นที่ชอบกิน ก็ปล่อยให้เขากินอย่างน่าสงสาร เพื่อเป็นการปลอบใจแขก พวกเขาจึงหาเห็ดทรัฟเฟิลมาไว้เยอะๆ… 


 


 


พวกเขาไม่เคยไปที่ป่ากล้วย อวิ๋นเยี่ยหมดคำจะพูด ที่นั่นมีกล้วยเยอะอย่างกับมหาสมุทร หรือว่ากล้วยไม่ถือว่าเป็นของกิน? 


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่อยากเป็นคนกินของคนอื่นฟรีๆ จึงนั่งลงกับพื้นแล้ววาดรูปกล้วยมากมาย หลังจากนั้นก็บอกพวกเขาว่าตอนก่อนจะมาที่นี่ได้ผ่านภูเขาลูกนั้นมา 


 


 


ใครจะคาดคิด สีหน้าของเหมิงหลู่ดูเป็นกังวล ดึงอวิ๋นเยี่ยขึ้นมาจะพาไปจากที่นี่ ในขณะที่อวิ๋นเยี่ยทำท่าทางวาดรูปแผนที่อยู่ที่พื้น จากแผนที่อวิ๋นเยี่ยจึงได้รู้ว่าที่ภูเขาลูกนั้นมีราชาปีศาจที่ชอบไล่แทงท้องคนจนเป็นรูปวงกลมขนาดใหญ่ น่าอนาถเป็นอย่างมาก ว่าแต่ทำไมปีศาจตัวนั้นถึงได้เหมือนกับแรด? 


 


 


เป็นอย่างที่ว่านายพรานคนหนึ่งได้ไปเจอแรดที่นอหายไปหนึ่งนอ ถูกแรดตัวนั้นใช้นอขนาดใหญ่แทงจนตายแล้วยังถูกเหยียบซ้ำอีก ตอนนี้แรดถูกช้างจัดการไปแล้ว ขอเพียงแค่ไม่ไปยั่วโมโหช้าง ตัดกล้วยพวกนั้นกลับมาก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร 


 


 


ผู้หญิงชอบหาเรื่องมาให้ เหมิงน่าก็เป็นหนึ่งในนั้น เห็นอวิ๋นเยี่ยหัวเราะเยาะนาง นางจึงรีบลากเหมิงหลู่ไปหาของกินในที่ที่มีราชาปีศาจอยู่ แล้วยังไปชวนหนุ่มสาวคนอื่นไปด้วยกันอีกด้วย ถึงแม้จะฟังไม่รู้เรื่องว่าพูดอะไร แต่ว่านางมีท่าทางตื่นเต้นเอามากๆ 


 


 


เหมิงหลู่เป็นผู้นำที่ดีจึงคิดถึงความปลอดภัยของทุกคน แต่ว่าถูกเหมิงน่าแย่งชิงอำนาจไป อยากจะไปเกลี้ยกล่อมเหมิงน่า แต่ก็กลัวว่าการแสดงออกที่ง้อเหมิงน่าจะทำให้อวิ๋นเยี่ยหัวเราะเอาได้ สุดท้ายเหมิงหลู่ก็ต้องยอมแพ้หลังจากที่โดนเหมิงน่าเตะไปหนึ่งที 


 


 


แต่ว่าก่อนออกเดินทางเหมิงหลู่ได้พูดออกมาหนึ่งประโยคด้วยสีหน้าจริงจัง ซึ่งแม้แต่ผู้หญิงที่เอาแต่ใจอย่างเหมิงน่าก็ยอมรับปากอย่างง่ายดาย จากนั้นเหมิงหลู่ได้หยิบธนูขั้นมาด้วยท่าทางที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด ที่เอวเหน็บมีดแล้วเดินนำอยู่ข้างหน้าสุด 


 


 


อวิ๋นเยี่ยดูเป็นคนที่ผ่อนคลายที่สุดในกลุ่ม หลังแบกตะกร้าไม้ไผ่ที่เต็มไปด้วยเห็ดทรัฟเฟิล ไม่หนักเลยแม้แต่น้อย แขนเสื้อกว้างของชาวฮั่นมีไว้เพื่อแสดงความสง่างาม ชุดสีครามของสำนักศึกษาถูกพวกลูกเศรษฐีที่รักความสง่างามแก้ไขไปหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน ในตอนนี้ได้ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ใส่เสื้อผ้าอย่างเรียบง่าย ที่หัวโพกผ้าลินินอย่างชาวเหลียว การที่จะทำให้ดูกลมกลืนนั้นเป็นเรื่องยาก แต่จากการเผชิญความลำบากมานับไม่ถ้วนทำให้เขารู้จักทำใจให้เย็นลง การใช้ชีวิตที่มียศถาบรรดาศักดิ์มาหลายปีทำให้เขามีความมั่นใจในตัวเอง แล้วยังได้รับการสอนที่ค่อนข้างสาหัสจากจั่งซุน ทำให้ท่าทางของเขาดูมีสง่าราศี 


 


 


สายตาของพวกสาวๆ แทบจะลุกเป็นไฟ ไม่ได้มีแค่คนเดียวที่เข้ามาพูดจาฉอเลาะอยู่ข้างอวิ๋นเยี่ย แล้วยังมีคนกล้าถึงขนาดลูบหน้าอวิ๋นเยี่ยอีกด้วย จากนั้นก็ทำท่าทางมีความสุขจนแทบจะเป็นลม เหมิงน่ารู้สึกผิดจึงเดินนำหน้าไป เพราะเมื่อคืนนางพึ่งจะเตะอวิ๋นเยี่ยไป แต่ดูก็รู้ว่านางก็อยากจะลูบใบหน้าขาวๆ ของอวิ๋นเยี่ยเช่นกัน 


 


 


ไม่รู้พวกสาวๆ ใช้เครื่องหอมอะไร แต่ละคนมีกลิ่นหอมฟุ้ง เดินไปหัวเราะไป ถึงแม้จะฟังไม่รู้เรื่อง แต่เล่าได้ออกรสออกชาติ อวิ๋นเยี่ยชอบวิธีการสนทนาเช่นนี้ ไม่ต้องแกล้งทำเป็นผู้ดี คำพูดห้วนๆ หลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย รู้สึกเป็นอิสระเหมือนกับว่าตัวเองอยู่บนก่อนเมฆ 


 


 


เดินผ่านตรงที่แรดถูกช้างฆ่าตายอวิ๋นเยี่ยชี้ไปที่ซากแรด แล้วชี้มาที่ตัวเองเพื่อจะบอกว่าตัวเองเป็นคนฆ่าแรดตาย พึ่งจะได้รับการชื่นชมจากสาวๆ ก็ถูกเหมิงหลู่ที่อิจฉาจ้องตาเขม่น ดูท่าทางแล้วเหมือนต้องการจะท้าประลองกับอวิ๋นเยี่ย ตัวเองคอยเฝ้าระวังมาตลอดทางแต่กลับเทียบไม่ได้กับชาวฮั่นที่พูดจาฟังไม่รู้เรื่อง หากเจ้านี่รู้จักภาษาเหลียว สาวๆ ในหมู่บ้านจะยังมีเหลือให้ตัวเองอยู่หรือไม่ ตีให้ตายเขาก็ไม่เชื่อว่าคนที่แค่ให้ไปตักน้ำก็เหนื่อยจนจะเป็นจะตายจะสามารถฆ่าราชาปีศาจได้ แต่ว่าซากของราชาปีศาจที่กองอยู่กับพื้นดูจากซากแล้วก็น่าจะถูกฆ่าจริงๆ วีรบุรุษเช่นนี้จะไม่ท้าประลองสักตั้งได้อย่างไรกัน 


 


 


อวิ๋นเยี่ยยื่นมือออกมาเพื่อจะอธิบายให้เหมิงหลู่เข้าใจ ดังนั้นข้อมือของอวิ๋นเยี่ยจึงมีกำไลที่ร้อยจากเคี้ยวของสัตว์ป่าเพิ่มมาเจ็ดแปดเส้น คนที่อยากจะท้าประลองกับอวิ๋นเยี่ยไม่ได้มีเพียงเหมิงหลู่แค่คนเดียว การยื่นมือออกมานั้นหมายความว่ายอมรับคำท้า ชาวเหลียวรีบส่งของเดิมพันให้อวิ๋นเยี่ยด้วยความพึงพอใจ เนื่องจากอวิ๋นเยี่ยเป็นวีรบุรุษที่สังหารราชาปีศาจได้ เพื่อเป็นการให้เกียรติวีรบุรุษ พวกเขาจะบุกพร้อมกัน ในเมื่ออวิ๋นเยี่ยได้รับกำไลมาแล้วจึงไม่มีเหตุผลที่จะคืนให้ พูดง่ายๆ ว่าวีรบุรุษเมื่อมีความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งต่อสิบก็สู้ได้ 


 


 


ในนาทีนี้แม้แต่ในแววตาเหมิงน่าก็มีความเป็นห่วง คนที่ชาวเหลียวเคารพนับถือที่สุดก็คือวีรบุรุษผู้ที่กล้าประลองหนึ่งต่อสิบ หากฆ่าหมูป่าตายหนึ่งตัวถือว่าเป็นผู้กล้า เช่นนั้นการฆ่าเสือหรือหมีสีน้ำตาล ก็ถือว่าเป็นสมบัติของหมู่บ้าน ตอนนี้มีคนที่ฆ่าราชาปีศาจตายแล้วยังรับคำท้าประลองของคนอีกมากมาย นี่คือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ หากหญิงสาวผู้งดงามใช้ความรักทำให้เขาอยู่ที่หมู่บ้านต่อไป ก็จะเป็นผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหมู่บ้าน 


 


 


อวิ๋นเยี่ยผู้ไม่รู้อะไรยิ้มหน้าบาน ท่าทางกล้าหาญเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเมื่อครู่ไม่ได้รับการท้าประลอง แต่กำลังรับของขวัญ เก็บกำไลที่ร้อยจากเคี้ยวของสัตว์ป่าไว้ในเสื้อท่าทางมีความสุข แล้วชี้ไปที่ป่ากล้วยอันกว้างใหญ่ที่อยู่ข้างหลังพวกเขา 


 


 


เหมิงหลู่วางมีดและธนูลงกับพื้น ตะโกนร้องออกมาอย่างฮึกเหิม แล้วเดินข้าไปในป่ากล้วยเป็นคนแรก ในส่วนลึกของป่ากล้วยมีช้างอยู่สิบกว่าตัวกำลังกินกล้วยอย่างสบายใจ ไม่สนใจมนุษย์ตัวเล็กๆ ไม่กี่คนที่อยู่ห่างไกล เนื่องจากป่ากล้วยมีขนาดใหญ่มากเพียงพอกับที่ตัวเองจะกิน 


 


 


เหมิงน่าคุกเข่าอยู่ที่พื้นปิดหน้าร้องไห้ สาวๆ ก็เป็นเช่นนี้แหละ มีเพียงแค่หนุ่มๆ ที่วิ่งเข้าไปในป่ากล้วย ไม่พูดไม่จาเอาแต่เด็ดกล้วย ปอกเข้าปากตัวเอง 


 


 


พวกสาวๆ เริ่มได้สติ เหมือนกับคนขอทานค้นพบภูเขาที่เต็มไปด้วยทอง เดินผ่านตัวของอวิ๋นเยี่ยไป เมื่อครู่ก่อนใบหน้างามๆ ของพวกนางที่เหมือนไซซีกำลังอมทุกข์ หากพอได้เห็นกล้วยก็ลืมไปเลยทันทีว่ามีวีรบุรุษยืนอยู่ข้างๆ 


 


 


วีรบุรุษไม่สำคัญเท่าการกินให้อิ่ม ท่านผู้เฒ่าพูดไว้ว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เสบียงในหมู่บ้านไม่พอกินแล้ว เพื่อให้เสบียงอาหารพอประทังได้ไปถึงฤดูหน้า ทุกคนต้องกินในปริมาณที่จำกัด ตอนเช้ากินได้แค่สามทัพพี ตอนเย็นให้สี่ทัพพี พูดยังไม่ทันจบพวกหนุ่มสาวก็ไม่พอใจ แค่นี้ไม่พอกิน จากการที่เหมิงน่าพยายามต่อรองอย่างยากลำบาก ท่านผู้เฒ่าจึงรับปากอย่างช่วยไม่ได้ พวกหนุ่มสาวนั้นสำคัญมาก ต้องดูแลเป็นอย่างดี ตอนเช้าให้สี่ทัพพี ตอนเย็นให้สามทัพพี เช่นนี้จึงพอใจแก่หนุ่มสาวผู้ใจร้อนทั้งหลาย แค่คิดถึงท่าทางไร้ทางออกของท่านผู้เฒ่า เหมิงน่าก็รู้สึกภูมิใจในตัวเอง คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในกลุ่มวัยหนุ่มสาว 

 

 

 


[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 21 บทเพลงประกอบที่สวยงาม

 


 


 


เมื่ออวิ๋นเยี่ยได้ยินท่านผู้เฒ่าเล่าถึงวิธีจัดการกับหนุ่มสาวเหล่านี้ ก็หัวเราะจนท้องแข็ง คิดว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นคนที่ไร้เดียงสา ต่อมาถึงได้รู้ว่า ไร้เดียงสากับโง่นั้นแตกต่างกัน เพื่อที่จะสามารถขนกล้วยออกไปให้ได้มากที่สุดในครั้งเดียว อวิ๋นเยี่ยเฝ้ามองดูพวกเขาที่กำลังสร้างรถขนของ 


 


 


ขึ้นชื่อว่างานย่อมไม่มีความสบาย หากมีคนบอกว่าทำงานอย่างมีความสุข นั่นแปลว่าการมีจิตวิญญาณที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนจะทำให้ได้รับความสุข แต่ไม่ใช่ร่างกาย ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีความสุขมากแค่ไหนแต่ร่างกายก็จะบอกกับเจ้าว่าควรพักผ่อนได้แล้ว 


 


 


เหมือนกับร่างกายของอวิ๋นเยี่ยที่บอกว่าเขาต้องการการพักผ่อน แต่ว่าคนอื่นๆ กำลังทำงาน เหงื่อของเหมิงน่าไหลตั้งแต่ช่วงไหล่ลงไปจนถึงหลัง ชุดสีครามเปียกโชกไปหมด แต่ก็ยังขนกล้วยออกมาจากป่ากล้วยอยู่หลายรอบ กล้วยแต่ละเครือหนักมาก มีความยาวประมาณหนึ่งเมตร ตรงปลายยังมีปลีกล้วย เหมิงน่าไม่ให้ตัดออก บอกว่าจะเอากลับไป หากต้มกินกับเนื้อจะอร่อยมาก 


 


 


รอกที่สร้างขึ้นด้วยไม้ไผ่มีน้ำหนักมาก ข้างหลังเต็มไปด้วยกล้วย รถคันหนึ่งหนักประมาณห้าสิบถึงหกสิบกิโลกรัม รอกของพวกสาวๆ จะมีขนาดเล็กกว่านิดหน่อย ส่วนรอกของผู้ชายใหญ่กว่าเกวียนในยุคต่อมาอีกหลายเท่า 


 


 


รถของเหมิงหลู่ใหญ่เป็นพิเศษ มองดูเขาลากรถ รู้สึกว่านี่คือการผสมผสานกันระหว่างความแข็งแรงและความสง่างาม กล้ามเนื้อที่แข็งแรง ขาที่ล่ำใหญ่ ใบหน้าที่ดูมุ่งมั่นไม่ยอมใคร การก้าวที่เชื่องช้าแต่หนักแน่นแสดงให้เห็นว่านี่เป็นลักษณะชายหนุ่มที่ดีสมกับเป็นลูกผู้ชาย แล้วยังหันไปให้กำลังใจเหมิงน่าที่อยู่ข้างหลังเสมอ เขาไม่มีวิธีที่จะช่วยเหมิงน่าได้ ทำได้แค่ให้กำลังใจนางเท่านั้น 


 


 


หน้าอกของเหมิงน่าถูกหวายสำหรับใช้ลากรถรัดจนเห็นรูปร่างชัดเจน เสื้อผ้าที่มีขนาดใหญ่ บดบังรูปร่างที่งดงาม ที่แท้เด็กคนนี้นั้นรูปร่างดี 


 


 


บางทีอาจจะเป็นเพราะมีนิสัยดื้อรั้นมาตั้งแต่เกิด นางขนกล้วยให้เต็มคันรถเหมือนกับผู้ชาย รถที่อาศัยไม้ไผ่ชักรอกในการลากไปต้องใช้แรงมหาศาลในการเอาชนะแรงเสียดทาน หากหลี่ไท่อยู่ที่นี่จะต้องส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไร้สาระ” เป็นแน่ แต่ว่าสำหรับในป่าเขาแห่งนี้ไม่มีรถที่ใช้งานได้ดีเท่ารถลักษณะแบบนี้แล้ว 


 


 


สาวงามทำงานไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ โดยเฉพาะเวลาลากรถ ใบหน้าแยกเขี้ยวยิงฟันดูดุร้าย อวิ๋นเยี่ยเห็นเส้นเลือดที่คอของนางเหมือนกับไส้เดือน แล้วก็เห็นว่าขาของนางนั้นสั่นไม่หยุด นางคงจะเหนื่อยแล้ว แต่กลับไม่บ่นสักคำ มุ่งหน้าเดินต่อไปอย่างไม่ลดละ 


 


 


ไหล่ทั้งสองข้างโดนรัดด้วยหวายลากรถ พอโดนเหงื่อทำให้รู้สึกแสบร้อน นี่คือความรู้สึกของอวิ๋นเยี่ย คาดว่าคนอื่นก็คงจะรู้สึกเช่นกัน 


 


 


ที่จริงหาคนมาเยอะๆ ก็พอแล้ว แต่ว่าพวกคนงี่เง่าเหล่านี้ต้องการทำให้คนในชนเผ่าของพวกเขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก และเพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองนั้นมีความสามารถแค่ไหนจึงไม่ยอมไปหาคนมาเพิ่ม ทำเอาอวิ๋นเยี่ยก็ต้องมาลากรถกับคนพวกนี้ด้วย 


 


 


ถนนที่มีช้างเดินผ่านทำให้เป็นหลุมเป็นบ่อ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าพวกนี้กินไปลากไป บนทางเดินจึงเต็มไปด้วยอึช้างกองอยู่เต็มไปหมด เหมิงหลู่มักจะใช้ไม้ไผ่เขี่ยก้อนอึไปไว้ข้างทาง จากนั้นค่อยอนุญาตให้คนในขบวนลากรถผ่านไป แน่นอนว่าทำให้ลากรถได้ช้าขึ้น 


 


 


วั่งไฉมักจะมาปรากฏตัวในยามที่อวิ๋นเยี่ยลำบาก มันมีคุณสมบัติในการเป็นสหายที่ดี สองวันมานี้ได้ดื่มเหล้าก็ทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นเป็นร้อยเท่า หลังจากที่ตื่นมาไม่เห็นอวิ๋นเยี่ย มันก็ดมตามกลิ่นอวิ๋นเยี่ยมาตลอดทางจนกระทั่งมาถึงที่นี่จนได้ มันเข้าไปลากรถของอวิ๋นเยี่ยอย่างภูมิใจ เพียงครู่เดียวก็แซงเหมิงน่าไปได้แล้ว แน่นอนว่าเมื่อมีม้าดี ทำให้มีผู้หญิงติดตรึม อวิ๋นเยี่ยเอารถของเหมิงน่าเกี่ยวไว้ด้านหลังของรถตัวเอง 


 


 


เหมิงหลู่ที่ให้กำลังใจเหมิงน่ามาตลอดทางก็สู้กับพฤติกกรรมเล็กๆ น้อยๆ ของท่านชายตระกูลสูงศักดิ์ไม่ได้ เมื่อไม่ต้องแบกของหนักแล้ว เหมิงน่าดีใจมากจึงหอมแก้มอวิ๋นเยี่ยไปหนึ่งที การกระทำของเหมิงน่าทำให้เหมิงหลู่อิจฉาจึงลากรถไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง 


 


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มแล้วลูบที่แก้มของตัวเอง อวิ๋นเยี่ยนำหวายไปเกี่ยวรถของหญิงสาวที่ผอมที่สุดเพื่อที่จะช่วยนางลากรถ เหมิงน่าก็ไปช่วยคนอื่นลากรถเช่นกัน 


 


 


รู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย การลากรถต้องออกแรงโดยไม่พักเพื่อลากไปจนถึงจุดมุ่งหมายในทีเดียว หากหยุดพักกลางทางจะยิ่งทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า หากต้องรวบรวมเรี่ยวแรงขึ้นมาลากอีกครั้งนับเป็นเรื่องยากทีเดียว 


 


 


ในที่สุดก็มาถึงริมแม่น้ำ แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างเหมิงหลู่ยังต้องเอาหัวไปแช่น้ำเพื่อคลายร้อน ความจริงหลังจากที่ออกแรงไม่ควรจะใช้น้ำเย็นรดศีรษะทันที มิเช่นนั้นอาจจะทำให้ป่วยได้ 


 


 


อวิ๋นเยี่ยห้ามไม่ให้คนอื่นทำเช่นนี้ พักผ่อนก่อนสักพักให้อุณหภูมิของร่างกายเย็นลงแล้วค่อยไปดื่มน้ำจะดีกว่า ยุคปัจจุบันสอนให้เขามีความเคยชินที่ดี ทำให้แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยดื่มน้ำที่ไม่ผ่านการต้มเลย 


 


 


หยิบมีดขึ้นมาตัดไม้ไผ่ ก่อไฟต้มน้ำ หาก้อนหินที่สะอาดเพื่อนั่งลงดื่มน้ำอย่างช้าๆ 


 


 


เหมิงน่ามองเหมิงหลู่ที่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยกำลังนั่งอยู่ที่พื้นไม่พูดอะไรสักคำ แล้วหันไปมองอวิ๋นเยี่ยที่กำลังดื่มน้ำอย่างสง่างาม ในใจสับสนวุ่นวายเล็กน้อย 


 


 


ลากรถในน้ำทำให้รู้สึกเบาลงมาก เพียงแต่ต้องประคองไม่ให้รถคว่ำก็พอ แม่น้ำที่ไหลเอื่อยๆ จะพากล้วยไปส่งที่ประตูหมู่บ้านได้ 


 


 


ตอนที่เหมิงน่ายังอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน นางได้ส่งเสียงดังออกมา ทำให้สาวๆ ที่กำลังซักผ้าอยู่ริมแม่น้ำตกใจลุกขึ้นดู เห็นกลุ่มคนกำลังมุ่งหน้ามาทางหมู่บ้าน 


 


 


คนในหมู่บ้านออกมาต้อนรับหนุ่มสาวที่กลับมาพร้อมกับรถลากมากมาย พากันเดินลงแม่น้ำไปรับรถมาจากพวกหนุ่มสาว ยิ้มพร้อมเอากำปั้นต่อยที่ไหล่เบาๆ ลูบเนื้อตัวของหนุ่มสาวด้วยความเอ็นดู มีผู้อาวุโสหลายคนยืนยิ้มอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ พวกเด็กน้อยปีนขึ้นรถไปกินกล้วย มีหญิงสาวบางคนจับชายเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตา 


 


 


อวิ๋นเยียรับการแสดงความยินดีของคนเหล่านั้นอย่างตรงไปตรงมา ต่อยที่ไหล่เบาๆ แล้วสวมกอด ไม่ปฏิเสธผู้คนที่เข้ามาแตะเนื้อต้องตัว จู่ๆ เขาก็ค้นพบว่าตั้งแต่มายังต้าถัง เรื่องที่น่าประทับใจที่สุดกลับเป็นการลากรถขนกล้วยกลับมาที่หมู่บ้าน ตอนที่ได้รับการแต่งตั้งที่ตำหนักจินหลวนยังไม่รู้สึกดีเท่าตอนนี้ 


 


 


วั่งไฉยืดคอขึ้นอย่างภาคภูมิใจ เด็กๆ เหล่านั้นเริ่มเกาที่ท้องของมัน นี่เป็นช่วงเวลาที่มันชอบมาก 


 


 


เหมิงหลู่กำลังเหม่อลอย ถึงแม้คนทั้งหมู่บ้านกำลังดีใจแต่ว่าเขากลับรู้สึกเศร้า เหมิงน่าชอบอวิ๋นเยี่ยจริงๆ หรือ หากคนผู้นั้นเป็นคนหลอกลวง เหมิงหลู่จะไม่เอาเขาไว้แน่นอน แต่ว่าคนๆ นี้เป็นคนดีแล้วยังช่วยหากล้วยมากมายมาให้แก่คนในหมู่บ้าน เมื่อมีป่ากล้วยคนในหมู่บ้านก็จะไม่ต้องทนหิว แถมยังมีกินไปอีกหลายยุค เหมิงหลู่รู้จักตอบแทนคนตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะบุญคุณอันใหญ่หลวงเช่นนี้ และอีกอย่าง อวิ๋นเยี่ยมีหลายอย่างที่เก่งกว่าตัวเองมาก ได้ยินท่านผู้เฒ่าบอกว่าเขาเขียนหนังสือได้ นี่เป็นความสามารถที่เทียบไม่ได้ ท่านผู้เฒ่ายังเขียนไม่ได้เลย เขาจะต้องกลายเป็นผู้นำที่ฉลาดในอนาคตแน่นอน 


 


 


เหมิงหลู่ที่รักเหมิงน่าเป็นที่สุดกลับไปบ้านเตรียมเก็บกระเป๋าเดินทาง รอให้ฟ้ามืดก็จะแอบจากไปเงียบๆ คนเดียว ผู้แพ้หากยังอยู่ที่หมู่บ้านจะถูกหัวเราะเยาะเอา 


 


 


อวิ๋นเยี่ยมองเหมิงหลู่อยู่ตลอดเวลา ในฐานะมนุษย์เหมือนกันทำไมเขาจะมองความรู้สึกของเหมิงหลู่ไม่ออก ถึงแม้ว่าในใจจะแอบหัวเราะอยู่ก็ตาม เมื่อยิ้มทักทายกับคนทั้งหมดเสร็จแล้วจึงรีบตามเหมิงหลู่ไป 


 


 


คนที่รู้สึกว่าเหมิงหลู่มีท่าทางผิดปกติไม่ได้มีเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยคนเดียว ยังมีเหมิงน่าอีกคน นางมองพวกเขาสองคนจากที่ไกลๆ กังวลว่าพวกเขาจะทะเลาะกัน หากเหมิงหลู่โมโหขึ้นมา ใครก็เอาไม่อยู่ 


 


 


เหมิงหลู่กำลังเก็บเสื้อผ้าของตัวเองที่มีไม่กี่ตัวภายในห้อง เมื่อเก็บกระเป๋าเสร็จแล้ว จึงหันมองไปรอบๆบ้านของตัวเองก่อนจะจากไป แต่กลับเห็นอวิ๋นเยี่ยผลักประตูเดินเข้ามา ยิ้มทักทายเขา หยิบไหเหล้าขึ้นมาจากใต้เตียงของเขาอย่างคุ้นเคย แล้วหยิบหลอดต้นอ้อจากข้างหลังสองหลอด ทำตัวตามสบายเหมือนกับเป็นบ้านของตัวเอง 


 


 


เหมิงหลู่รู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเดิม เขาพึ่งนึกได้ว่าตอนนี้อวิ๋นเยี่ยอาศัยอยู่ในบ้านของเขา จริงๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เขาอยากจะใช้หอจู๋โหลวนี้แต่งงานกับเหมิงน่า ตอนนี้ไม้ไผ่ลายหยดน้ำนั้นหายากแล้ว กว่าจะเก็บไม้ไผ่จากหุบเขาได้มากพอเขาใช้เวลาตั้งครึ่งปี แต่อย่างไรตัวเองก็ไม่ต้องการแล้ว มอบให้อวิ๋นเยี่ยจะดีกว่า 


 


 


อวิ๋นเยี่ยตบที่ไหล่ของเหมิงหลู่เบาๆ บอกเป็นนัยๆ ว่าให้ตามเขามา เท้าเหยียบอยู่บนแท่น โต๊ะเหล้าวางอยู่ตรงกลางระหว่างเขาสองคน น่าแปลกที่มีแผ่นหินวางอยู่ตรงกลาง 


 


 


อวิ๋นเยี่ยดื่มเหล้าไปหนึ่งอึกแล้วดันไหเหล้าไปให้เหมิงหลู่ อวิ๋นเยี่ยใช้ก้อนถ่านวาดรูปสาวงามหนึ่งรูป รูปลักษณะคล้ายกลับซินเย่ว แต่ว่าวาดได้ไม่ดี จะดูอย่างไรก็ดูความสวยงามของซินเย่วไม่ออก 


 


 


เมื่อจิตใจเย็นลงก็เริ่มวาดได้ดีขึ้นมากกว่าเดิม คิ้วของซินเย่วเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกคิดถึงบ้านก็มีเพิ่มมากขึ้น อวิ๋นเยี่ยอยากจะรีบกลับฉางอันในทันที แล้วไปหลบอยู่ในเขาอวี้ซันไม่ออกมาอีก การทำการเกษตรถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด 


 


 


เหมิงหลู่มองภาพวาดสาวงามบนแผ่นหิน แล้วมองใบหน้าที่อ่อนโยนของอวิ๋นเยี่ย ดูเหมือนจะเข้าใจว่าอวิ๋นเยี่ยต้องการจะพูดอะไร หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้น 


 


 


อวิ๋นเยี๋ยหยิบถุงผ้าปักลายออกมาจากเสื้อ เปิดออกแล้วหยิบปรอยผมออกมาเป็นสัญลักษณ์ว่าแต่งงานแล้วให้เหมิงหลู่ดู แล้วใส่กลับไปในถุงผ้าแนบไว้ที่หน้าอก ตบที่หน้าอกเบาๆ ชี้ไปที่เหมิงน่าที่กำลังทำลับๆ ล่อๆ อยู่ที่หลังหอจู๋โหลว แล้วชี้มาที่เหมิงหลู่เอานิ้วชี้ทั้งสองข้างมาชิดกัน มองที่เหมิงหลู่แล้วหัวเราะออกมา 


 


 


ต่อให้โง่แค่ไหนก็ดูออกว่านี่หมายความว่าอะไร เหมิงหลู่กอดอวิ๋นเยี่ย ตบที่หลังเขาแล้วหัวเราะออกมา มีเพียงแค่เหมิงน่าที่แอบดูด้วยความงุนงง 


 


 


พวกผู้ชายมักจะมีเรื่องที่ดีใจอย่างไร้เหตุผลอยู่มากมาย ผู้ชายสองคนนี้ควรจะทะเลาะกันแต่กลับมานั่งกินเหล้าด้วยกัน แล้วยังหัวเราะเสียงดัง ตบไหล่กันและกันด้วยท่าทางดีใจ พวกเขาต่างฟังไม่รู้เรื่องว่าฝ่ายตรงข้ามพูดว่าอะไร มีเพียงคำว่าเหมิงน่าที่สามารถได้ยินอย่างชัดเจน หรือจะบอกว่าพวกเขากำลังปรึกษากันว่าจะจีบตัวเองอย่างไร แต่ว่าพวกเขานั้นมีกันสองคนนี่ 


 


 


หากเทพเจ้าหล่อหลอมหนุ่มชาวฮั่นกับเหมิงหลู่ให้เป็นคนๆ เดียวกันมันคงจะดี เหมิงน่ามองดูอย่างสับสนวุ่นวายใจ 


 


 


หลายวันต่อมา เป็นวันที่ผู้ชายในหมู่บ้านร่วมแรงร่วมใจกันขนกล้วยมากมายออกมาจากหุบเขา ทั้งหมู่บ้านอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมหวานอย่างแรง เสื่อไม้ไผ่เต็มไปด้วยกล้วยตากแห้ง มองไปเป็นสีขาวเต็มไปหมด และตอนนี้พื้นที่สีขาวได้เลยออกไปนอกหมู่บ้านแล้ว 


 


 


ตอนหลิวจิ้นเป่าได้พบอวิ๋นเยี่ย เขากำลังถือมีดเล่มเล็กหั่นกล้วย มีเด็กน้อยสองคนอยู่ข้างๆ คอยช่วยงาน นำกล้วยที่อวิ๋นเยี่ยหันเรียบร้อยไปว่าเรียงไว้บนเสื่อไม้ไผ่ เมื่อวางจนเต็มแล้วก็นำออกไปตากแดด ตอนนี้ที่พื้นมีกองเปลือกกล้วยขนาดใหญ่ อวิ๋นเยี่ยหั่นกล้วยด้วยความใส่ใจ ทุกชิ้นมีความหนาใกล้เคียงกัน ฝีมือดูเชี่ยวชาญ ท่าทางดูสง่างาม 


 


 


กำลังจะถามสารทุกข์สุกดิบ แต่อวิ๋นเยี่ยกลับต้อนรับเขาด้วยสายตาที่ดูเย็นชา หลิวจิ้นเป่ารู้สึกตกใจ คุกเข่าลงกับพื้น ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)