เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 8 ตอนที่ 18-19

[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 18 แขกจากทางไกล

 

ทองหัววัวเป็นตำนานที่รู้จักกันมานานในบรรดาคนขุดทอง เมื่อเห็นของสิ่งนี้ ก็จะรู้ได้ทันทีว่าต้องมีเข็มขัดทองและสมบัติมากมายกองอยู่ นักขุดทองที่มีประสบการณ์สูงจะสามารถอนุมานปริมาณของแร่โดยพิจารณาจากเครื่องประดับทองคำ เป็นสิ่งที่อัศจรรย์เป็นอย่างมาก เนื่องจากการเปลี่ยนรูปพรรณของทองคำตามธรรมชาติจะต้องใช้ปัจจัยหลายอย่าง ดังนั้นผู้ที่ได้ครอบครองทองคำธรรมชาติก้อนใหญ่จะได้รับความโชคดี ทองหัววัวจะทำให้เป็นใหญ่ทั่วหล้า ทองหัวสุนัขจะทำให้สร้างรากฐานครอบครัวได้ นี่เป็นความเชื่อที่สืบสานต่อกันมาหลายรุ่นของนักขุดทองในพื้นที่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ


 


การเดินทางในถิ่นทุรกันดาร สิ่งของที่ไม่จำเป็นยิ่งน้อยยิ่งดี นี่คือกฎของการเอาตัวรอด แต่อวิ๋นเยี่ยไม่คิดจะปล่อยทองทิ้งไว้แน่ สิ่งที่พระเจ้าให้ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับไว้ ของที่เป็นของตัวเอง ถึงแม้จะเป็นไม้จิ้มฟันก็จะไม่ยอมปล่อยไป


 


เคยได้ยินเรื่องราวที่บอกว่าจมน้ำตายเพราะแบกสมบัติเยอะเกินไป คนมากมายคิดว่าห่วงเงินแต่ไม่ห่วงชีวิตตัวเองเป็นการเลือกที่โง่มาก ประโยคนี้ช่างไร้เหตุผล บนโลกนี้ไม่มีเงินที่ได้มาง่ายๆ ขอเพียงแค่มีความหวังเส้นบางๆ ใครจะยอมปล่อยไป บางทีชีวิตก็ไม่ได้สำคัญเท่าทรัพย์สินเงินทอง


 


อย่างเหล่าเฉียน เพื่อเงินเค่สิบเหรียญเขายังยอมขายตัวเองเป็นทาส พูดง่ายๆ ว่าอวิ๋นเยี่ยใช้เงินซื้อชีวิตของเหล่าเฉียนมา หากอวิ๋นเยี่ยไม่ให้เหล่าเฉียนเป็นพ่อบ้าน แต่กลับเอามาฆ่าแกงเล่น เช่นนั้นชีวิตของเหล่าเฉียนก็มีค่าเพียงสิบเหรียญ เพื่อรักษาภรรยา ระหว่างเงินกับชีวิตของตัวเอง แน่นอนว่าเหล่าเฉียนเลือกเงิน


 


มีเพียงเศรษฐีพวกนั้น ที่จะยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำดูพวกที่เลือกหอบเงินทองจนถูกความหนักของเงินทองทำให้ต้องจมลงสู่ก้นแม่น้ำด้วยสมเพช เพื่อเงินแล้วเอาชีวิตมาแลกมันไม่คุ้ม แสดงให้คนยากจนเห็นว่าตัวเองนั้นฉลาด


 


วั่งไฉแบกของหนักมานาน บนคอห้อยหน่อไม้สามสี่หน่อ อวิ๋นเยี่ยดึงผ้าห่มออกมาหนึ่งผืน เอามาห่อทองไว้แล้วมัดไว้บนตัวของตัวเอง หนทางยังอีกไกล ไม่มีเงินไม่ได้ สำหรับเรื่องในราชสำนัก อวิ๋นเยี่ยยังไม่อยากเป็นกังวล อยากจะหนีจากความเป็นจริงที่โหดร้ายเช่นนี้มานานแล้ว ตอนนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสม ไม่ว่าราชสำนักจะต้องเผชิญอันตรายหรือไม่ เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่สนใจ เขาอยากจะพักผ่อนอย่างสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเป็นประเทศของตัวเอง ในตอนนี้สิ่งเหล่านี้อยู่ห่างไกลจากตัวเขามาก


 


เลือกใช้ชีวิตอย่างอย่างเรียบง่าย อยากจะนอนกลางดินกินกลางทราย นี่คือชีวิตของข้า ข้าจะเป็นคนเลือกเอง


 


การตายของโต้วเยี่ยนซานกระทบต่อจิตใจของอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก การตายขององค์หญิงทั่นเกอทำให้อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถดีใจได้อีก หากจะบอกว่าครั้งนี้ถูกโต้วเยี่ยนซานจับตัวมา ไม่สู้บอกว่านี้เป็นช่วงเวลาที่ลำบากจากการเนรเทศตัวเองออกมาจากเมือง ยิ่งเข้าใกล้ต้นกำเนิดของเรื่องราวมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น อิจฉาโต้วเยี่ยนซานในอุดมคติของเขา อิจฉาองค์หญิงทั่นเกอที่เลือกความตายได้ด้วยตัวเอง อิจฉาชวีจั๋วที่ได้พัฒนาความสามารถของตัวเอง อิจฉาคนอื่นๆ บนโลกที่ได้เลือกใช้ชีวิตด้วยตัวเอง จากการที่เริ่มต้นด้วยตัวเองทำให้รู้ผลของตอนจบว่าจะเป็นไปทิศทางใด สำหรับอวิ๋นเยี่ยแล้วนี่เป็นความทรมานอย่างหนึ่ง การที่มีหน้าที่ต้องคอยแก้ไขความผิดพลาดของคนอื่น อวิ๋นเยี่ยไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย


 


ทองหนักมาก เขาที่แหลมคมจิ้มอยู่ที่หลังของอวิ๋นเยี่ย รู้สึกเจ็บใจที่ไม่ได้จัดตำแหน่งของทองไว้ให้ดี แต่ความเจ็บปวดเช่นนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยมีสติตลอดเวลา ไม่ทำให้เขาเข้าสู่ห้วงของจินตนาการ


 


ความทรมานมาจากชีวิต มาจากสมอง มาจากการที่ตัวเองคิดมากเกินไป ตอนนี้อยากจะเป็นคนที่ไม่ต้องคิดอะไรมากมายปล่อยสมองให้โล่ง อยากจะเป็นคนที่มีความสุข โต้วเยี่ยนซานยืนหยัดมานานถึงเพียงนี้ก็ยังต้องมาตายเพียงเพราะจระเข้ตัวเดียว ไม่สนใจแล้ว ตัวเองได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ในเมื่อสวรรค์ให้ชีวิตมาแล้ว เช่นนั้นก็ต้องใช้มันให้เต็มที่


 


เดินท่ามกลางฝนตกปรอยๆ ใช้มีดถากถางหญ้าที่ขวางทางไปเรื่อยๆ ไม่ทันเห็นงูที่เลื้อยพันอยู่บนกิ่งไม้ แล้วก็ไม่ทันเห็นดอกไม้ยักษ์ที่กำลังกลืนกินกระต่าย นี่คือเส้นทางที่นำเขาไปสู่ความตาย แต่อวิ๋นเยี่ยไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย…


 


เหมือนได้พบแสงสว่างอยู่ข้างหน้า ทางข้างหน้าเป็นป่ากล้วยพื้นที่กว้างใหญ่ มีสัตว์มากมายกำลังกินกล้วย โดยเฉพาะฝูงช้าง หูใหญ่ๆ ของมันสะบัดไปมา มีงาที่ยาวมาก งวงของมันดึงต้นกล้วยขึ้นมาแล้วโยนไปข้างหลัง ฝูงช้างน้อยใช้งวงดึงเครือกล้วย ไม่ว่าจะเป็นสีเขียวหรือเหลืองก็เอาเข้าปากไปหมด


 


ลิงกำลังกิน แพะกำลังกิน หมีแพนด้ากำลังกิน หมูป่าก็กำลังกิน ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงตัดสินใจกิน นี่เป็นการสร้างความสามัคคีในสังคม สัตว์ทั้งหมดกินกล้วยอยู่ข้างหลังช้าง


 


วั่งไฉกัดกล้วยดิบไปหนึ่งลูก อวิ๋นเยี่ยรีบดึงกลับมา กินกล้วยดิบแบบนี้ปากยังจะมีรสชาติกินอย่างอื่นได้อีกเหรอ เอากล้วยสุกปลอกเปลือกให้มันกิน ในตอนนี้ทั้งคนทั้งม้ากินกล้วยอย่างมีความสุข พอเริ่มมืด มีช้างพลายตัวใหญ่ที่งาหักไปครึ่งหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าอวิ๋นเยี่ย ในแววตาเปล่งประกาย งวงยาวของมันลูบไปที่หัวของอวิ๋นเยี่ย มองดูดีๆ อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะรู้สึกตัวว่าตัวเองอยู่ใกล้กับช้างมากๆ


 


รีบเอาเครือกล้วยสุกส่งไปให้มัน หวังว่ามันจะไม่ทำอันตรายตัวเอง บางทีช้างพลายตัวนี้อาจคิดว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ได้มีอันตรายอะไรเหมือนกับพวกแพะจึงยื่นงวงไปเอากล้วยจากอวิ๋นเยี่ยอย่างรวดเร็ว ยอมรับในตัวของอวิ๋นเยี่ยแล้ว


 


วั่งไฉวิ่งไปคุกเข่าประจบช้างพลายตัวนั้น ในตอนนี้พวกสัตว์ทั้งหลายคงจะพูดเป็นภาษาเดียวกันแล้ว ช้างโขลงใหญ่อึไว้ที่พื้น ยังคงสดๆ ร้อนๆ อยู่ วั่งไฉใช้ขาหน้าของมันเหยียบลงไปอย่างไม่ลังเล


 


ช้างพลายสะบัดหางสั้นๆ ของมันแล้วเดินจากไป หรือว่านี่เป็นวิธีให้การยอมรับของมัน? ทำไมวั่งไฉถึงรู้วิธีนี้ ม้าที่ใช้ชีวิตในผืนป่าตะวันตกเฉียงเหนือไม่มีทางเคยเจอช้างมาก่อน


 


นี่คงเป็นประเพณีอย่างหนึ่งจริงๆ ไม่ได้มีเพียงแค่วั่งไฉที่เหยียบอึช้าง ลิงเหล่านั้นก็เอาอึช้างขึ้นมาถูบนตัวด้วย พวกหมูป่าก็วิ่งกุลีกุจอมาเกลือกกลิ้ง


 


ไม่ทำ ให้ตายอย่างไรก็ไม่ทำ อวิ๋นเยี่ยปฏิเสธวิธีนี้อย่างแข็งกร้าว ข้าเป็นคนถือเป็นสัตว์ประเสริฐ ให้ตายอย่างไรก็ไม่ทำเรื่องหน้าอายเช่นนี้ ดีที่บนตัววั่งไฉมีกลิ่นแรง มีมันคอยเป็นเกราะกำบังก็พอแล้ว


 


อวิ๋นเยี่ยอยากจะหาร่องรอยคนของที่นี่ แต่น่าเสียดายที่มีหญ้าขึ้นรก มีเพียงป่ากล้วย คิดไม่ถึงว่าในกล้วยจะมีเมล็ดที่เป็นสีดำเนื้อแข็ง กินเข้าไปไม่มีทางย่อยได้แน่ๆ ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่กินกล้วยแล้วต้องคายเมล็ด นี่เป็นกฎที่แย่อย่างหนึ่งของธรรมชาติ


 


ช้างเป็นเครื่องมือเปิดทางโดยธรรมชาติ ร่างกายที่มีขนาดใหญ่ทำให้มันมองไม่เห็นอันตราย ผิวหนังที่หนาหนึ่งนิ้วทำให้มันไม่สนว่าจะโดนงูพิษฉก เห็นทางก็เปิดทาง เห็นต้นไม้ก็ดึงออก แข็งแกร่งไม่มีใครเทียบได้


 


ได้เห็นแรดในทวีปเอเชีย ทำให้อวิ๋นเยี่ยมึนงงไปหมด ดูให้แน่ใจอีกครั้ง นั่นคือแรดจริงๆ สัตว์ชนิดนี้มีอยู่มานานแล้ว มีวิวัฒนาการคือผิวหนังหนาขึ้น ไม่ใช่สมอง นอที่อยู่ด้านหน้าไม่มีอะไรน่ากลัว ยืนขวางอยู่กลางทาง เท้าตะกุยดินเตรียมพุ่งมาหาช้างพลาย


 


ช้างพลายมีปฏิกิริยาที่เร็ว มันใช้งวงเข้ารัดที่คอแรด งายาวๆ เสียบเข้าไปที่ท้องของแรดทำให้แรดถูกแขวนอยู่บนงาช้าง ตอนนี้แรดทำได้เพียงแค่หายใจ


 


นักรบที่ไม่มีประสบการณ์ในการรบสามสิบครั้งทำให้เจอกับความตายได้ในเพียงพริบตาเดียว แรดผู้น่าสงสารถูกแทงเข้าทะลุหัวใจแล้ว สี่ขาดิ้นทุรนทุราย ร้องอย่างเจ็บปวดและเสียใจกับการกระทำของตัวเอง เจ้าแรดกว่าจะคิดได้ก็ช้าไป อวิ๋นเยี่ยหมดคำจะพูด


 


ขณะที่แรดพึ่งจะตายไป อวิ๋นเยี่ยใช้แรงขุดเอานอแรดออกมาทั้งเล็กทั้งใหญ่ก็ไม่ปล่อยไว้ ในตลาดฉางอันนอแรดถูกแบ่งขายทีละหยิบมือ มีราคาสูงเสียดฟ้า


 


กินอิ่มแล้วก็ต้องดื่มน้ำ ชีวิตของช้างก็เป็นเช่นนี้ หากฟ้ามืดแล้วยังไปไม่ถึงริมแม่น้ำ คืนนี้ก็ต้องนอนพักอยู่ในป่า วั่งไฉแบกใบกล้วยมากองหนึ่งหวังว่าจะใช้กันยุงได้


 


เดินตามรอยเท้าช้างออกจากภูเขา ทางเรียบและปลอดภัย เมื่อช้างมาถึง เสือและหมาป่าต่างหลบหนี งูและแมลงต่างพากันซ่อนตัว ในภูเขาลูกใหญ่แห่งนี้ ช้างคือเจ้าของบ้านที่แท้จริง


 


น่าเสียดาย ไม่มีแรดตัวอื่นอีกก็เลยไม่มีรายได้เพิ่ม สายน้ำที่หลั่งไหลอยู่ตรงหน้าอวิ๋นเยี่ย ทำให้รู้สึกมีความหวัง


 


การเดินทางในตอนนี้สำหรับอวิ๋นเยี่ยเหมือนการมาเยี่ยมชมมากกว่าคนที่หนีเอาตัวรอด


 


แม่น้ำสายยาวราวกับเข็มขัดหยก คดเคี้ยวราวกับงู ช้างลงไปอาบน้ำในแม่น้ำอย่างมีความสุข ช้างพังใช้งวงดูดน้ำแล้วพ่นใส่ช้างน้อย ช้างน้อยใช้งวงเล็กๆ ดูดน้ำแล้วพ่นไปทั่ว ไม่ทันระวังพ่นไปโดนช้างพลายที่มีงาข้างเดียว ช้างพลายร้องคำราม ช้างน้อยรีบเข้าไปหลบอยู่ใต้ท้องแม่ช้างไม่กล้าออกมา


 


บอกลาฝูงช้าง อวิ๋นเยี่ยพาวั่งไฉเดินไปตามทางแม่น้ำ ทิศทางการไหลของแม่น้ำส่วนใหญ่ไหลไปทางทิศตะวันตก และแน่นอนว่ามีการเปลี่ยนทิศทางไหลไปทางเหนือได้เช่นกัน


 


แม่น้ำตื้นมาก สูงไม่ถึงหัวเข่า ทำให้อวิ๋นเยี่ยคิดถึงแม่น้ำตงหยาง สถานที่สวยถึงเพียงนี้ไม่มีคนได้เช่นไร เมืองปากั๋วไปไหนเสียแล้ว เมืองเย่หลางกั๋วไปใหนเสียแล้ว ดูตามบันทึกประวัติศาสตร์ เมืองเหล่านั้นควรจะอยู่ที่นี่


 


เดินผ่านเข้าไปในป่าไผ่ เดินข้ามร่องน้ำ มองไปทางด้านทุ่งดอกคาโนลาที่เหลืองอร่ามได้เห็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ไกลๆ ในหมู่บ้านนั้นเงียบสงบ มีเพียงไก่ไม่กี่ตัวที่กำลังคุ้ยหาอาหารอยู่ในป่าหญ้า สุนัขสีน้ำตาลที่คนในเขามักจะพบเห็นได้บ่อยก็กลับไม่เห็นแม้แต่เงา


 


ประตูไม้ถูกเปิดไว้ ในบ้านยังมีผ้าที่ตากไว้ไม่ได้เก็บ เสื้อผ้าเป็นสีครามทั้งหมด มีลวดลายตัดผ่านเป็นสีอ่อนๆ ชามมีลักษณะเหมือนดอกเบญจมาศบาน นี่คือการย้อยสีอย่างนั้นหรือ


 


นอกหมู่บ้านมีเสียงเคาะของกลองหนัง ในตอนที่พระอาทิตย์ตกดิน มีเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสู่อากาศ แทนที่ความอบอุ่นของพระอาทิตย์ ใครกันที่ไปจุดไฟในที่ที่สูงขนาดนั้น


 


พาวั่งไฉเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ถึงได้เห็นว่าผู้คนทั้งหมดมาอยู่ที่ลานกว้างแห่งนี้ บนเสื้อสีครามปักลายลูกไม้สวยงาม บนหัวโพกด้วยผ้าลินินหนาๆ ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ตรงกลางโพกผ้าที่หัวหนาเป็นพิเศษ ดูจากเส้นผ่าศูนย์กลางแล้วคงมีความหนาประมาณครึ่งเมตร ไม่รู้ว่าหัวของเขารับน้ำหนักไว้ได้อย่างไร


 


“แขกผู้มีเกียรติ เจ้ามาจากแดนไกล ขอให้เจ้านำคำอวยพรที่มาจากแดนไกล ส่งให้แก่ทุกคนที่อยู่ที่นี่” ท่านผู้เฒ่าเห็นอวิ๋นเยี่ยปรากฏตัว จึงเดินออกมาจากกลุ่มคน ผายมือออกสองข้าง ยิ้มแล้วทักทายอวิ๋นเยี่ย ถึงแม้จะพูดภาษาจีนกลางได้คล่องแคล้ว แต่ก็ยังมีสำเนียงของฉางอันปนมาบ้าง


 


ห่างกันสามลี้วัฒนธรรมจึงมีความแตกต่าง ห่างกันสิบลี้สำเนียงการพูดจึงไม่เหมือนกันเป็นธรรมดา ในเขาของคนป่านี้สามารถเจอกับคนที่พูดภาษาจีนกลางได้ถือเป็นความโชคดีของอวิ๋นเยี่ย ยกสองมือขึ้นคำนับ อวิ๋นเยี่ยพูดตามภาษาของท่านผู้เฒ่าว่า “ข้าเป็นแกะตัวหนึ่งที่หลงทางมา บังเอิญเห็นกองไฟที่ท่านจุดขึ้น ความอบอุ่นและแสงสว่างนำพาข้ามาที่นี่ ท่านอาวุโสที่เคารพ ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้พักผ่อนที่นี่ หวังว่าท่านจะเห็นแก่สวรรค์อนุญาตให้ข้าค้างที่นี่สักคืน”


 


“ภูเขาลูกนี้เป็นของทุกๆ คน พวกเราเป็นเพียงแค่ผู้ที่มาก่อน ข้าจะเทน้ำร้อนไว้ให้ท่าน จัดเตรียมอาหารการกินเล็กน้อย ถือเป็นเกียรติแก่พวกเรา”


 


ท่านผู้เฒ่ายิ่งพูดยิ่งดูน่าสนใจ ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีโอกาสแสดงความรู้ของตัวเองต่อหน้าผู้คนในเผ่า ตอนนี้ได้พบชาวฮั่นจึงพูดคุยกับอวิ๋นเยี่ยด้วยน้ำเสียงที่สง่างามตามบทกวี


 


เพียงแค่มองดูคนในเผ่าที่ท่าทางมึนงงของเขาก็พอรู้แล้วว่าพวกเขาฟังไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยกับท่านผู้เฒ่ากำลังพูดเรื่องอะไรกัน


 


ก็เหมือนกับชนเผ่าทั่วไป ที่คนฉลาดที่สุดมักจะได้เป็นผู้นำ ส่วนคนที่มีความกล้าหาญมากที่สุดมักจะได้เป็นผู้ปกป้องชนเผ่า สำหรับคนที่ทั้งฉลาดทั้งกล้าหาญ ทั่วไปแล้วมักจะพิจารณาว่าตัวเองจะสามารถรวบรวมดินแดนได้หรือไม่

 

 

 


[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 19 ข้าคือโอดิสซีย์?

 

 


 


 


คิดมาตลอดว่าภาษาเป็นวิธีการสื่อสารที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้ค้นพบแล้วว่ารอยยิ้มถือเป็นการสื่อสารที่ดีที่สุด เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าพวกเขากำลังพูดอะไร แล้วก็ไม่จำเป็นต้องสนใจที่เด็กน้อยดึงผมของเจ้ามาดูด้วยความประหลาดใจ เพียงแค่มีรอยยิ้มบนใบหน้า ก็ทำให้กินข้าวปั้นกับเค้กข้าวร่วมกันได้อย่างเอร็ดอร่อยแล้ว มีผู้หญิงตาโตให้ผลไม้หวานแก่เจ้าจากนั้นก็รีบวิ่งออกไป ทันใดนั้นก็มีกลุ่มเด็กน้อยวิ่งมาหาเจ้าพร้อมกับยิงฟันแยกเขี้ยวผสมกับความอ่อนโยน ตบลงเบาๆ ที่ไหล่ของชายหนุ่มที่มีความแข็งแรงเหมือนกับลูกวัวและสนทนากันไปเรื่อยๆ 


 


 


ไม่มีปัญหาเลย พี่สาวในหมู่บ้านเป็นเหมือนพี่สาวของเจ้า น้องสาวก็เป็นน้องสาวของเจ้า หากเจ้าชอบ พวกหญิงม่ายที่กำลังจะพากลับไปพักที่บ้านก็เป็นของเจ้าเช่นกัน เพียงแค่นึกอยากจะดื่มสักสองจอก น้ำสีดำๆ ที่อยู่ในไหไม่รู้ว่าเป็นเหล้าอะไร มีรสชาติเปรี้ยวต่อด้วยหวานตบท้าย ผู้คนมากมายล้อมไหเหล้านี้แล้วใช้ลำต้นอ้อดูดเพื่อดื่มสุรา รู้สึกว่าจะไม่ค่อยสะอาดสักเท่าไหร่ 


 


 


แต่จะไปสนใจทำไม ขอแค่วันนี้มีความสุขก็พอ ใครจะไปสนใจเรื่องของวันพรุ่งนี้ เป็นคนหลอกลวงมาหลายปี ยังจะไม่อนุญาตให้ข้าได้ปล่อยวางสักครู่หนึ่งหรือ ทำเรื่องที่เป็นความจริงบ้าง 


 


 


กองไฟร้อนระอุทำให้ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง พระจันทร์ดวงใหญ่ได้โผล่ขึ้นมาแล้ว ท่านผู้เฒ่ายิ้มอย่างอบอุ่น ตบที่ไหล่ของอวิ๋นเยี่ยเบาๆ ไปเรื่อยๆ แล้วเอ่ยชมวั่งไฉที่กำลังแย่งดื่มเหล้าว่าเป็นม้าดี 


 


 


พวกสาวๆ ล้อมรอบเป็นวงกลม ถือกลองหนังงูพร้อมกับเต้นรำ มันง่ายมาก แค่ย่ำเท้า ก้าวไปข้างหน้า แล้วส่ายหัว หนุ่มๆ พากันรำวูซูอยู่รอบนอกควบคู่ไปด้วย ขากางเกงค่อนข้างกว้างจึงเต็มไปด้วยลม ดูเหมือนกับหัวไชเท้าที่มีขนาดใหญ่สองอัน อวิ๋นเยี่ยจึงเรียกมันว่าระบำหัวไชเท้า การเต้นรำของชายชาวฮั่นที่บิดเอวและสะบัดแขนเสื้อเป็นเรื่องที่ไม่นาดูในตอนนี้ นั่นคงไม่ใช่การเต้นรำแบบของผู้ชาย 


 


 


หลังจากเสียงร้อง โย โย พวกผู้หญิงก็จะดึงผ้าพันผมออก และสะบัดผมอย่างบ้าคลั่ง ผมยาวๆ ก็เหมือนกับคลื่นทะเล หนุ่มๆ เต้นรำหมุนไปมาอย่างสนุกสนาน กระโดดลอยตัวกลางอากาศทำท่าทางต่างๆ อย่างชำนาญจึงทำให้ดูสง่างามทีเดียว 


 


 


ท่านผู้เฒ่าลูบหนวดเครา ชี้ไปที่ดวงจันทร์แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “บุรุษน้อย ทำไมเจ้าก้มหน้าขมวดคิ้วเช่นนั้น ดวงจันทร์สวยเพียงนี้ ในวันไหว้พระจันทร์ทำไมไม่ลุกขึ้นไปเต้นรำ ตรงนั้นมีสาวงามอยู่” 


 


 


ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็คะยั้นคะยอให้อวิ๋นเยี่ยไปเต้นรำ เด็กหนุ่มไม่กี่คนพากันยกตัวอวิ๋นเยี่ยไปได้อย่างสบาย คนกลุ่มหนึ่งเต้นรำล้อมรอบเขา อดพูดไม่ได้เลยว่าการเต้นรำของเขาดูดั้งเดิมและสวยงามเป็นอย่างมาก อวิ๋นเยี่ยพยายามรำวูซู แต่กระโดดหมุนตัวได้ไม่สูงและสง่างามเหมือนกับคนอื่นเขา ดูแล้วไม่เหมือนกับนกอินทรีย์ แต่เหมือนคางคกที่ถูกโยนทิ้งมากกว่า 


 


 


ผู้คนต่างหัวเราะเขา หนุ่มน้อยหัวเราะจนตกลงมาจากที่สูง สาวๆ ก็หัวเราะจนตัวงอ ท่านผู้อาวุโสทั้งหลายกลั้นหัวเราะจนเหล้าพุ่งออกมา อวิ๋นเยี่ยก็กำลังหัวเราะอยู่ ตีเครื่องทองแดงอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ตอนที่ตีจนหมดแรงแล้วก็ยังคงนอนหัวเราะอยู่บนพื้นจนน้ำตาไหล 


 


 


สาวๆ ผู้มีจิตใจดีพากันพยุงเขาขึ้นมา ตำหนิเด็กหนุ่มที่ยังคงหัวเราะเสียงดังอยู่ แล้วยังแกะผมของอวิ๋นเยี่ยออก ให้เขาเต้นรำสะบัดหัวกับพวกตัวเอง 


 


 


ผมไม่ได้ยาวเท่าไหร่ ตอนสะบัดจึงต้องใช้แรง มือซ้ายและมือขวาจูงมือสาวๆ ไว้ ข้างหลังยังมีเด็กหนุ่มใจแคบที่พยายามจะแทรกตัวเข้ามา เต้นรำชนกันไปมาแน่นอนว่าดูไม่ดี แต่กลับสนุกเป็นอย่างมาก 


 


 


เสียงกลองหยุดลงจึงพากันหยุดเต้น ที่ทรุดลงกับพื้นไม่ได้มีเพียงแค่อวิ๋นเยี่ย สาวๆ มากมายก็นั่งทรุดตัวลงกับพื้นเช่นกัน พวกเด็กหนุ่มร้อนจนเหงื่อออก มีคนใจกล้าอุ้มสาวน้อยขึ้นมาแล้วก็วิ่งออกไป… 


 


 


ผู้อาวุโสทั้งหลายลากอวิ๋นเยี่ยมานั่งที่เก้าอี้ แล้วส่งจอกเหล้ามาให้ กระดกเหล้าเข้าไปอึกใหญ่ เหล้าไหลลงคอช้าๆ รู้สึกชุ่มชื่นไปทั้งหัวใจ 


 


 


ความครึกครื้นยังคงมีต่อเนื่อง พึ่งจะหยุดหอบ เสียงเพลงก็ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงเพลงจากภูเขามักจะดังกึกก้องออกไปไกล บทเพลง ‘ซิ่นเทียนโหยว’ แห่งดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ กับบทเพลง ‘บูชาภูเขา’ ของที่นี่มีความคล้ายกัน หากลูกคอไม่ดีก็จะร้องไม่ได้อารมณ์ของภูเขาและพื้นดินที่กว้างใหญ่ 


 


 


ว่ากันว่าในวันที่พระจันทร์เต็มดวงมักจะทำให้คนเกิดความรัก ก็เหมือนกับเหตุผลที่ว่าทำไมหมาป่าถึงชอบหอนในวันพระจันทร์เต็มดวง เสียงร้องเพลงของหญิงสาวไพเราะเหมือนกับเสียงของนกขมิ้น ราวกับนกร้องประสานเสียงกัน เสียงไพเราะสบายหู เสียงของเด็กหนุ่มเป็นเสียงสูงที่ฟังดูยิ่งใหญ่ เมื่อร้องเสียงประสานกัน ราวกับนกขมิ้นและเหยี่ยวมาบินอยู่บนท้องฟ้าร่วมกัน เหยี่ยวที่สง่างามบินวนขึ้นสู่ท้องฟ้า กับนกขมิ้นที่อ่อนโยนบินเคียงคู่กันไป 


 


 


เวียนหัวตาลายเป็นที่สุด จนมาถึงคราวที่อวิ๋นเยี่ยร้องเพลง ‘บูชาภูเขา’ ดูจากความหมายของเพลงก็รู้ว่าทุกคนต้องล้อมวงกันร้องเพลง ห้ามขาดแม้แต่คนเดียว อยากจะเดินออกจากวง แกล้งทำเป็นไม่รู้ แต่คนเดียวที่สามารถทำแบบนี้ได้มีเพียงแค่วั่งไฉ ตอนนี้วั่งไฉเมานอนหงายขาชี้ฟ้า ไม่มีทางเลือกอื่น สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่าตอนที่โต้วเยี่ยนซานเจอกับจระเข้ 


 


 


“อย่าได้ถามว่าข้ามาจากไหน บ้านเกิดของข้าอยู่ในดินแดนอันแสนไกล เหตุใดข้าจึงเร่รอนมาแสนไกล…” เสียงต่ำของบทเพลงที่เต็มไปด้วยความเศร้าได้ดังขึ้น ณ ที่ลานกว้างแห่งนั้นได้เงียบสงบลงทันที พวกเขาไม่เคยมีบทเพลงที่เกี่ยวกับความเศร้า มีเพียงบทเพลงที่เกี่ยวกับความรักหวานหยดย้อยดั่งน้ำผึ้ง 


 


 


อารมณ์ของอวิ๋นเยี่ยกำลังโบยบินกลับไปในสมัยที่เจริญรุ่งเรืองแล้วอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงไปของกาลเวลาที่ย้อนกลับมาในราชวงศ์ถัง ทำให้เขาต้องเรียนรู้จากศูนย์ใหม่อีกครั้ง ความฝันที่เขาไล่ตามมักมีอุปสรรค เขาไม่สามารถเข้ากับเมืองต้าถังได้ ไม่ว่าตัวเองจะพยายามเช่นไร พลังของโลกใบนี้ก็มักจะนำพาให้เขากลับไปสู่จุดเริ่มต้นเสมอ ความโกรธเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว จึงทำให้ความรู้สึกโกรธนี้แฝงอยู่ในเพลงที่ตัวเองร้อง  


 


 


“และยังมีความฝันที่จะสร้างความสามัคคี อย่าได้ถามว่าข้ามาจากที่ไหน บ้านเกิดของข้าอยู่ที่แดนไกล…” ประโยคนี้อวิ๋นเยี่ยร้องติดต่อกันมาสี่ห้ารอบ จนกระทั่งน้ำตาคลอสะอื้นร้องไม่เป็นเพลงจึงได้หยุดร้อง 


 


 


คนที่จิตใจดีมักจะเห็นใจผู้อื่น เด็กหนุ่มเงียบเสียงลง สาวๆ ร้องไห้ด้วยความเห็นใจ เหล่าผู้อาวุโสล้อมรอบอวิ๋นเยี่ยปลอบประโลมเขาเบาๆ ไม่มีใครโทษที่เขาทำงานไหว้พระจันทร์พัง ไม่มีใครไล่เขาออกไปเพียงเพราะเขาเป็นคนแปลกหน้า 


 


 


มีเด็กหนุ่มผิวคล้ำพูดพึมพำเป็นประโยคยาวแต่ฟังไม่รู้เรื่อง ท่านผู้เฒ่าหัวเราะแล้วพูดว่า “เหมิงหลู่พูดว่าเจ้าน่าสงสารมาก ข้ายอมให้เจ้าตามจีบเหมิงน่าได้ ขอเพียงแค่เจ้ามีความสุข ผู้ชายขี้แงจีบเหมิงน่าไม่ติดหรอก ต้องคว้าโอกาสไว้ เหมิงน่าเป็นผู้หญิงที่มีเสียงไพเราะที่สุดแล้ว” 


 


 


“ท่านผู้เฒ่าที่เคารพ ขอให้ท่านบอกกับเหมิงหลู่ว่าเหมิงน่าเป็นเด็กสาวที่งดงาม มีเพียงชายที่กล้าหาญอย่างเขาเท่านั้นจึงปกป้องนางได้ ผู้ชายขี้ขลาดอย่างข้า ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะไปตามจีบเด็กสาวผู้งดงาม” อวิ๋นเยี่ยกระวนกระวาย หันไปยิ้มกับหญิงสาวที่มีเครื่องประดับอยู่บนหัวเยอะที่สุด หากอวิ๋นเยี่ยไม่พูดเช่นนี้ จะให้พูดเช่นไร 


 


 


ได้ยินท่านผู้เฒ่าแปลให้ฟัง เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก น่าแปลก ทำไมเด็กหนุ่มไม่เห็นว่าอะไร แต่หญิงสาวกลับเดินมาเตะที่หน้าแข้งของอวิ๋นเยี่ย เจ็บมาก ตั้งแต่ที่โดนโต้วเยี่ยนซานจับตัวมาที่แคว้นหนานจ้าว ความอดทนต่อความเจ็บปวดของเขาก็พัฒนาขึ้นมาก ถึงแม้ว่าอยากจะร้องไห้ อยากจะตะโกนเสียงดังก็ตาม รองเท้าไม้ส้นเตี้ยของหญิงสาวเตะเข้าที่กระดูกหน้าแข้ง ใครบ้างจะทนไหว นางคงจะใช้วิธีนี้บ่อยๆ เด็กหนุ่มสีหน้าเต็มไปด้วยความเห็นใจและความเกรงกลัวเล็กน้อย มือลูบที่หน้าแข้งของตัวเองโดยอัตโนมัติ ดูแล้วคงจะเคยโดนมาไม่น้อย 


 


 


ไม่เป็นไร ก็แค่โดนสาวน้อยเตะเท่านั้น ข้าทนไหว! ใบหน้าฝืนยิ้มด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น เพียงแต่หางตากระตุกเล็กน้อย หญิงสาวโกรธมาก แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครทำเฉยต่อการเตะของนางได้ แต่ดูอวิ๋นเยี่ยจะไม่มีความรู้สึกเจ็บ หญิงสาวที่อาศัยอยู่บนภูเขาไม่เคยเชื่อเรื่องของขลังมนต์ดำ ดังนั้นจึงเตะเข้าไปอีกที… 


 


 


อวิ๋นเยี่ยที่ขาทั้งสองข้างไม่ต่างอะไรจากคนพิการถูกพวกผู้เฒ่าช่วยกันแบกกลับมาอย่างรวดเร็ว ยกไหเหล้าให้เขาเพื่อเป็นการปลอบใจ เขายกไหเหล้าขึ้นมาดื่ม หลอดจากต้นอ้อเล็กเกินไปดื่มไม่สะใจ ถูกเตะไปสองที ถึงกับทรุดลงกับพื้น เจ็บจนแทบทนไม่ได้ ผู้หญิงแบบนี้มีเพียงคนโง่เท่านั้นแหละที่จะชอบ ความคับแค้นใจของอวิ๋นเยี่ยมีเพียงการร้องเพลงเสียงสูงและเหล้าถึงจะทุเลาความเจ็บลงได้ 


 


 


ดื่มยาแก้ปวดมากเกินไปก็จะมีสภาพเหมือนวั่งไฉ กองไฟที่อยู่บนภูเขาตอนนี้ได้ดับลงแล้ว กองไฟที่อยู่พื้นข้างล่างก็ดับลงเช่นกัน พวกหนุ่มๆ พากันอุ้มสาวๆ วิ่งออกไป เหล่าผู้อาวุโสและหญิงวัยกลางคนพากันส่ายหัวอย่างเอือมระอา ใช้เปลสองผืนแบกอวิ๋นเยี่ยและวั่งไฉกลับไปที่หมู่บ้าน… 


 


 


ลืมตาขึ้นมาในตอนเช้า ขาทั้งสองข้างยังคงมีความเจ็บปวด ถกขากางเกงขึ้นมาดู ขาสองข้างมีสีดำเหมือนรอยฟกช้ำ แม่นางผู้นี้เท้าหนักมาก เมื่อวานก็ยอมให้แล้วมิใช่หรือ หรือว่าเมื่อคืนข้าต้องอุ้มนางอย่างกล้าหาญแล้วพาไปที่ข้างหลังกองฟางถึงจะไม่โดนเตะ 


 


 


ไม่สนใจอะไรแล้ว เรื่องที่ควรทำตอนนี้คือหาสมุนไพรมารักษาต่างหาก ถึงแม้จะไม่ใช่แผลใหญ่ แต่เจ็บชะมัด! 


 


 


เดินกะเผลกลงมาจากหอจู๋โหลว วั่งไฉยังคงนอนหลับอย่างสบายอยู่บนกองฟาง ปากหนาๆ ของมันยังคงเคี้ยวไม่หยุด เหมือนกำลังลิ้มรสของเหล้า 


 


 


ตีวั่งไฉสักหนึ่งที ม้าขี้เกียจกลายสภาพเป็นเช่นนี้หาดูได้ไม่มากนัก มันยกหัวขึ้นมาอย่างยากลำบาก ทำตาปรือมองไปที่อวิ๋นเยี่ย ส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ จากนั้นก็สลบลงไปเหมือนเดิม แล้วยังเอาหูซุกเข้าไปในกองฟางอีก 


 


 


หวังพึ่งวั่งไฉไม่ได้แล้ว จึงไปหาสมุนไพรด้วยตัวเอง ยังไม่ทันได้ออกนอกหมู่บ้านก็เห็นท่านผู้เฒ่าแบกตะกร้าไม้ไผ่ในมือถือจอบเดินเข้ามา เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยก็หัวเราะแล้วพูดว่า “แขกจากแดนไกล เมื่อคืนเจ้านอนหลับดีหรือไม่ ที่เหมิงน่าเตะคงเป็นเพราะได้รับการถ่ายทอดมาจากแม่ เมื่อก่อนข้าก็โดนไม่ใช่น้อย ฮ่าๆ โชคดีที่พวกเรามียาสมุนไพร ไม่เช่นนั้นก็คงเจ็บไปหลายวัน” ขณะที่พูดก็หยิบพืชชนิดหนึ่งออกมาทั้งราก ทุกต้นจะมีกิ่งอยู่สามสี่กิ่ง ทุกกิ่งจะมีเจ็ดใบ หากนี่ไม่ใช้โสมซานชี แล้วมันคืออะไรได้อีก ดูเหมือนว่ามันจะมีอายุอย่างน้อยสิบปี 


 


 


สมุนไพรอันล้ำค่า โสมเป็นที่หนึ่งในเรื่องการบำรุงกำลัง ซานชีเป็นที่หนึ่งในเรื่องการบำรุงเลือด ส่วนผสมยามณฑลยูนนาน เมื่อมีมัน การทำยาให้มีชื่อเลื่องลือไปทั่วโลกก็เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก 


 


 


“ท่านผู้เฒ่า นี่คือยาสมุนไพรชั้นดี รักษาบาดแผลได้อย่างน่าอัศจรรย์ ขอเพียงที่นี่มียาสมุนไพรชนิดนี้ คนในหมู่บ้านนี้ก็จะใช้ชีวิตได้อย่างสบาย” 


 


 


ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจ สายหัวแล้วพูดว่า “การมีชีวิตที่สบายไม่ใช่เรื่องที่พวกเราหรือเจ้าพูดว่าจะสบายแล้วจะได้ความสบายจริงๆ เพียงแค่คำอวยพรไม่เพียงพอ แต่เดิมฮ่องเต้ของพวกเรา ป่วยตายที่ฉางอัน ราชากวังหมิงได้ให้ลูกสาวแต่งงานกับเขา แล้วยังมีองค์ชายที่น่ารักด้วยกัน แต่ว่าองค์หญิงผู้นี้ไม่ยุ่งเรื่องราชการ นางแบ่งงานทั้งหมดให้กับผู้ดูแลตระกูลเฝิงผู้โลภมาก เมื่อก่อนพวกเราจะมีงานไหว้พระจันทร์ทุกๆ เดือนตอนนี้ครึ่งปีถึงจะจัดขึ้นสักครั้งหนึ่ง พวกเขามักจะต้องการเสบียงอาหาร ครั้งนี้เสบียงอาหารพึ่งถูกส่งมา ก็ถูกพวกเขาเอาไปแล้วเกินครึ่ง คนในหมู่บ้านจะอดตายกันอยู่แล้ว ทุกคนมีความเห็นว่าก่อนจะหิวตายควรจะมีความสุขสักครั้ง จึงได้จัดงานไหว้พระจันทร์ครั้งนี้ขึ้น ได้ยินมาว่าคนตระกูลเฝิงกำลังขอพระราชทานงานแต่งกับองค์หญิง อยากจะเป็นพ่อขององค์ชายตัวน้อย ลูกชายสามคนของเขาแย่งที่จะแต่งงานกับองค์หญิง อยากจะเป็นฮ่องเต้ของพวกเรา” 


 


 


“ได้ยินว่าองค์หญิงมีองครักษ์ที่แข็งแกร่งมากมาย เหตุใดถึงยอมให้พวกเขาล่วงเกินได้ถึงเพียงนี้” 


 


 


“คนขององค์หญิงล่องเรือใหญ่ไปทางมหาสมุทร ตอนนี้เหลือเพียงทหารสองร้อยนาย ดังนั้นจึงไม่กล้าขัดขืน” 


 


 


“พวกเจ้าชอบองค์หญิงหรือไม่” 


 


 


“ชอบสิ พวกทหารที่มีอำนาจพวกนั้นมาเผาหมู่บ้านไล่ฆ่าฟันคนในพื้นที่แห่งนี้ ก็ได้องค์หญิงผู้จิตใจงดงามช่วยห้ามปราบพวกเขาเอาไว้ ส่งพวกเขาออกมหาสมุทรไป คนที่นี่จึงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข” 


 


 


“ท่านผู้เฒ่า ข้าว่าไม่นานพวกเจ้าจะมีชีวิตที่สงบสุข เจ้าเชื่อหรือไม่” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)