เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 8 ตอนที่ 15-17

[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 15 ศัตรูย่อมหนีกันไม่พ้น

 

นี่คือถ้ำที่มีคุณค่าแก่การวิจัยทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก เพียงแค่ดูเรื่องราวที่บันทึกไว้บนภาพวาดหินสีแดงก็รู้แล้วว่า ชนเผ่าสมัยโบราณเกิดขึ้นและดำรงชีวิตเช่นไร ถ้านักประวัติศาสตร์ได้มาเห็น พวกเขาคงจะปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก คงคิดว่าได้เห็นสมบัติอันล้ำค่า


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ เขาเลยไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาสนใจแค่ว่าก่อนที่พายุฝนจะมาถึง ตัวเองจะหาฟืนและเสบียงอาหารมาตุนไว้ได้มากกว่านี้หรือไม่


 


 


ไม้แห้งริมทะเลสาบกระจัดกระจายอยู่บนพื้นทราย ทุกครั้งที่อวิ๋นเยี่ยเก็บฟืนได้กองหนึ่ง เขาก็จะมัดมันด้วยเถาวัลย์สีขาวแล้วเอาไปวางไว้บนหลังของวั่งไฉ จากนั้นตัวเองก็แบกอีกหนึ่งกอง คนหนึ่งคนกับม้าหนึ่งตัวกลายเป็นรถขนส่งระหว่างถ้ำกับทะเลสาบ


 


 


ในแอ่งน้ำมีปลาอยู่ แต่น้ำในแอ่งตื้นเกินไป พวกมันกำลังพ่นฟองให้กันและกัน ถ้าคืนนี้มีพายุฝน การยืนหยัดของพวกมันก็จะได้การตอบแทน พวกมันจะได้กลับไปมีชีวิตที่อิสระในแม่น้ำอีกครั้ง


 


 


แต่น่าเสียดายที่อวิ๋นเยี่ยเจอพวกมันเข้าแล้ว คนที่ถูกความหิวโหยข่มขู่อยู่ตลอดเวลาไม่มีทางคิดอะไรมากมาย เขากระโดดลงไปจับปลาในแอ่งน้ำ จับได้ตัวหนึ่งก็โยนขึ้นไปบนพื้นทราย ผ่านไปไม่นาน บนพื้นทรายก็เต็มไปด้วยฝูงปลาที่ดิ้นรนร้องขอชีวิต จับใส่ตาข่ายทีละตัว ในตาข่ายเต็มไปด้วยปลาตัวเล็กตัวใหญ่ แม้แต่ตัวที่เล็กเท่านิ้วมือก็ไม่เว้น สนใจแค่ผลประโยชน์ระยะสั้นจริงๆ


 


 


หลังจากตระเวนตรวจสอบดูรอบๆ แน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตราย เขาถึงได้เดินออกไป วั่งไฉชอบกินดอกผู่กงอิงเป็นที่สุด ไม่ว่าจะแก่หรืออ่อนมันก็ชอบ ถุงตาข่ายห้อยอยู่ใต้คอ อวิ๋นเยี่ยขุดออกมาต้นหนึ่ง มันก็แอบกินจากถุงตาข่ายต้นหนึ่ง ขุดอยู่ตั้งนาน อวิ๋นเยี่ยหันไปดู เห็นว่าในถุงตาข่ายเหลืออยู่แค่สองสามต้น


 


 


โทษมันไม่ลง ทำได้แค่ขุดเอาใหม่ แต่ครั้งนี้แขวนถุงตาข่ายไว้ที่คอของอวิ๋นเยี่ย ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในป่าเขาก็คือมักจะมีเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจอยู่เสมอ เมื่อกี้ยังมีความสุขที่ได้เจอดอกผู่กงอิง ผ่านไปไม่นานก็เจอหน่อไม้จำนวนมากอยู่ใต้กอไผ่


 


 


หาไม้แข็งๆ มาเกลี่ยทรายออก หน่อไม้ที่อ้วนท้วนอยู่ตรงหน้า ใครต่างก็ชอบความรู้สึกของการมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยว มันอยู่ในกระดูกของเราไปแล้ว ไม่เกี่ยวกับนิสัย ไม่เกี่ยวกับฐานะ และก็ไม่เกี่ยวกับยศถาบรรดาศักดิ์


 


 


เมื่อหลังของวั่งไฉเต็มไปด้วยหน่อไม้ อวิ๋นเยี่ยถึงได้ยั้งมือ จำเป็นต้องยั้งมือจริงๆ สายฟ้าแลบรูปร่างราวกับช้อนส้อมผ่าผ่านเมฆสีดำ ตรงกลางของหน้าผายังมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ทันใดนั้น ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นก็ถูกฟ้าผ่ากลายเป็นคบเพลิงในทันที


 


 


รีบเรียกวั่งไฉเข้ามาในถ้ำ อวิ๋นเยี่ยใช้เถาวัลย์สีขาวมัดแพติดกับต้นไม้ใหญ่อย่างแน่นหนา เพื่อความปลอดภัย เขามัดมันตั้งเจ็ดแปดครั้ง


 


 


ฟ้าผ่าบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ผ่าไปตั้งนานกว่าจะมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ดี มันบ่งบอกว่ามีเมฆฝนขนาดใหญ่ ฝนจะตกหนักไม่หยุดง่ายๆ


 


 


วั่งไฉยืนรออวิ๋นเยี่ยอยู่ที่ปากถ้ำ ในถ้ำมืดสนิทจนมันไม่กล้าเข้าไป ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามปกติ อวิ๋นเยี่ยผูกเส้นไหมไว้ที่ปากถ้ำอย่างหนาแน่น แน่ใจว่าจะไม่มีตัวอะไรคืบคลานเข้ามา ในแคว้นหนานจ้าวถ้าไม่มีกำมะถันคงจะไม่มีชีวิตรอด ที่นี่คือสรวงสวรรค์ของพวกแมลง แมลงที่ไม่เคยเห็นก็คือเจ้าป่าของที่นี่ โชคดีที่ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยต้นการบูร ยุงไม่กล้าเข้ามา แม้แต่งูก็ไม่อยากเข้าใกล้ต้นการบูร เช่นเดียวกับที่คนเราที่จะออกห่างจากยาพิษโดยธรรมชาติ


 


 


อวิ๋นเยี่ยยังคงโปรยกำมะถันก้อนใหญ่ไว้ที่ปากถ้ำ โยนกำมะถันลงไปในกองไฟด้วย หวังว่ามันจะสามารถไล่แมลงที่ซ่อนอยู่ตามร่องออกไปให้หมด


 


 


เป็นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด ควันไฟที่โขมงอยู่ในถ้ำ มีแมลงจำนวนมากคลานออกมา พากันหนีออกไปนอกถ้ำด้วยความตื่นตระหนก หนึ่งในนั้นมีตะขาบสีแดงยาวเกือบหนึ่งฟุตที่เด่นชัดที่สุด ถูกอวิ๋นเยี่ยใช้ไม้ไผ่เขี่ยลงมา ตกลงมาที่พื้นมันก็หดตัวเป็นก้อน สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ซุนซือเหมี่ยวโปรดปรานที่สุด เขามักจะพูดเสมอว่าพิษของตะขาบในเมืองมีความรุนแรงไม่เพียงพอ


 


 


นอกจากนั้นยังมีแมงมุมขนาดใหญ่เท่ากำปั้น อวิ๋นเยี่ยไม่กล้าแตะต้องมัน ภาพใบหน้าคนบนหลังของแมงมุมทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้ว่า นี่คือแมงมุมหน้าคนในตำนาน ถ้าถูกมันกัด อวิ๋นเยี่ยก็คงต้องพิจารณาที่จะตัดแขนตัดขาของตัวเอง


 


 


ควันไฟสลายไป อวิ๋นเยี่ยกับวั่งไฉที่กำลังหดตัวอยู่ที่ปากถ้ำ ใช้ผ้าลินินเปียกพันรอบปากและจมูกก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นับจากนี้ไป ถ้ำนี้ถือว่าเป็นบ้านของพวกเขาอย่างแท้จริง


 


 


เอาเถาวัลย์สีขาวพันรอบผนังหินทั้งสองข้าง ที่นั่นมีเสาหินอยู่ ใช้แรงผูกให้เป็นเปลได้พอดี ทำเป็นแนวนอน เอากิ่งไม้ที่ตัดมาไปวาง ปูพรมไว้ด้านบน เตียงใหญ่ที่แสนสบายก็สร้างเสร็จแล้วเรียบร้อย


 


 


ถึงแม้ว่ากลิ่นของกำมะถันจะฉุนมาก แต่อวิ๋นเยี่ยก็พอใจแล้ว เขาวางแผนที่จะเผามันเป็นครั้งเป็นคราว นึกถึงแมงมุมที่น่ากลัวตัวนั้น เหม็นนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ในยุคหลัง อาหารที่ทำจากกำมะถันมีตั้งมากมายก็กินได้ไม่เห็นเป็นอะไร ตอนนี้ยังจะมาพิถีพิถันอะไร มีชีวิตรอดก็เป็นบุญมากโข


 


 


อวิ๋นเยี่ยล้างทำความสะอาดปลาทั้งหมดแล้วเสียบไม้เอาไปย่างบนกองไฟ จากนั้นเขาก็กินเนื้อ เครื่องปรุงรสมีแค่เกลือ แต่เพียงเท่านี้ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกขอบคุณทั่นเกอและพระเจ้าอีกครั้ง


 


 


เอาไข่จระเข้ให้วั่งไฉเติมกำลัง ช่างน่าสงสารเสียจริง พึ่งจะผ่านไปไม่กี่เดือน ก็มองเห็นกระดูกซี่โครงแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนม้ามากขึ้น แต่อวิ๋นเยี่ยก็ชอบวั่งไฉที่อ้วนท้วมสมบูรณ์มากกว่า วั่งไฉในตอนนั้นหน้าตามีความสุข ใครเห็นใครก็ชอบ


 


 


คนหนึ่งคนกับม้าหนึ่งตัวนอนเบียดกันเฝ้าดูสายฝนอยู่ที่ปากถ้ำ แต่ฝนกลับไม่ยอมตกสักที มีแต่ฟ้าร้อง สายฟ้าแลบไม่มีรูปร่างคล้ายช้อนส้อมอีกแล้ว รูปร่างแปลกๆ บิดไปบิดมา


 


 


นี่คือแบบฉบับของคนทั่วไปที่กินอิ่ม คนเราเมื่อไม่ต้องกังวลอะไร ตัวเองยืนอยู่บนที่สูง ก็ล้วนแต่ชอบมองดูบ้านคนอื่นโชคร้าย อย่างเช่นหัวข้อคลาสสิกในเมืองฉางอัน ไม่รู้ว่าขุนนางที่ถูกหมากัดจะเจ็บหรือไม่เจ็บ แต่แค่เขาทำให้คนทั้งฉางอันมีความสุข ก็รู้แล้วว่าขาที่ถูกกัดไปนั้นมีค่ามากแค่ไหน


 


 


ฝนไม่เริ่มตกสักที อวิ๋นเยี่ยไม่มีอารมณ์เฝ้าดูสายฟ้าแลบอีกต่อไป กำลังจะกลับไปนอนที่เปล ก็ได้ยินเสียงดังก้องขึ้นมา เขารีบยื่นหน้าออกไปดู ถึงได้เห็นว่าฝนเริ่มตกแล้ว ไม่ถึงสองวินาที หัวของอวิ๋นเยี่ยที่ยื่นออกไปก็เปียกโชกไปหมด แม่งเอ๊ยนี้มันไม่ใช่ฝนตก แต่เป็นน้ำที่สาดมาจากท้องฟ้า


 


 


สายตาสามารถมองทะลุออกไปได้ไกลสองเมตร ภูเขาที่อยู่ห่างไกลหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำได้เพียงจินตนาการ โลกอันยิ่งใหญ่ ช่างน่ามหัศจรรย์


 


 


ฝนตกราวกับน้ำตกไหล ในแคว้นหนานจ้าวแห่งนี้มีอะไรที่ปกติไหม มองจากข้างนอกน้ำตกอาจจะดูงดงาม แต่เมื่อมองจากข้างใน มันอาจจะไม่ได้งดงามมากนัก ไอน้ำเย็นไหลย้อนเข้ามาในถ้ำ ทำอะไรไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยก็เลยเอากิ่งไม้บางส่วนไปปิดไว้ที่ปากถ้ำ อย่างน้อยก็พอจะกั้นไอน้ำได้


 


 


นอนตื่นขึ้นมา ข้างนอกยังคงมืดมน ในถ้ำมีเพียงแสงไฟกระจัดกระจายเพียงเล็กน้อย แสงสีแดงกะพริบเป็นครั้งเป็นคราว ยังไม่เช้าอีกเหรอ ดูจากการเผาไหม้ของฟืน มันผ่านไปนานมากแล้ว อาจจะผ่านไปเป็นวันแล้ว เพราะฟืนที่ใหญ่เท่าขาคนต้องใช้เวลามากกว่าจะถูกเผาไปจนหมดเช่นนี้ รวมทั้งท้องที่หิวโหยเป็นอย่างมาก อวิ๋นเยี่ยเลยมีความคิดที่จะนอนทั้งวันทั้งคืนเสียเลย


 


 


จุดไฟในถ้ำอีกครั้ง ในถ้ำสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ วั่งไฉกะพริบตาโต ดูเหมือนมันจะยังปรับตัวไม่ได้ จุดไฟอีกครั้ง ความหนาวเย็นในถ้ำก็หายไปทันที


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่มีหม้อและไม่มีถ้วย มีเพียงกระบอกไม้ไผ่ที่มีข้อต่อสองอัน ข้างในมีข้าวที่สุกแล้ว แต่ตอนนี้มันหมดไปแล้วหนึ่งกระบอก อวิ๋นเยี่ยเอากระบอกไม้ไผ่ตวงน้ำจากปากถ้ำ เอาข้าวฟ่างใส่เข้าไป วางไว้บนกองไฟ เตรียมที่จะทำข้าวต้ม


 


 


ปอกเปลือกหน่อไม้ออกให้เห็นข้างใน ป้อนให้วั่งไฉกิน ดูจากเปลือกหน่อไม้ที่กระจัดกระจายเต็มพื้น ก็รู้ว่ามันกินไปแล้ว ส่วนดอกผู่กงอิงนั้นไม่เห็นแม้แต่เงา


 


 


เอาปลาไปย่างบนกองไฟหนึ่งตัว ผ่านไปไม่นาน ทั้งถ้ำก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของปลาย่าง ข้าวต้มในกระบอกไม้ไผ่กำลังเดือดปุดๆ วั่งไฉกำลังแทะหน่อไม้อย่างเอร็ดอร่อย ถ้าไม่มีเรื่องที่ต้องกังวล ชีวิตเช่นนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว


 


 


กับความระวังตัวของหลี่ซื่อหมิน ทั้งที่เขาไม่เคยสนใจความเกลียดชังของขุนนางพวกนั้นเลยสักนิด อย่างมากก็แค่ไม่ต้องออกหน้าออกตา หลบซ่อนตัวก็พอแล้ว สุดท้ายคนที่โจมตีอวิ๋นเยี่ยอย่างหนักก็คือหม่าโจว ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง ยอมทิ้งมิตรภาพของอาจารย์กับลูกศิษย์ มิตรภาพของเพื่อนร่วมชั้น ก่อเรื่องร้ายแรงเช่นนี้


 


 


ตอนนี้เขาน่าจะตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ถูกคนหลายพันคนสาปแช่ง นั่นคือคนโง่ที่อยากจะก่อเรื่อง ประชาชนของต้าถังจะมีหรือไม่มีที่ดินมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า ถึงขั้นต้องทำให้ตัวเองหมดหนทางเชียวหรือ


 


 


ปลาย่างเกรียมหมดแล้ว มองดูปลาที่ย่างเกรียมครึ่งตัว ครึ่งหนึ่งย่างจนดำ เขายิ้มอย่างขมขื่น ไม่กล้าสิ้นเปลืองเสบียงอาหาร ด้านที่เกรียมยังพอกินได้ คิดไม่ถึงว่าข้าวต้มที่ทำจากข้าวฟ่างจะอร่อยเช่นนี้ รวมทั้งปลาย่าง อวิ๋นเยี่ยกินข้าวต้มในกระบอกไม้ไผ่จนหมดเกลี้ยง…


 


 


ไม่ได้ยินเสียงฝนตกจากข้างนอกถ้ำแล้ว เสียงคำรามของน้ำตกก็เบาลง มีแสงส่องทะลุกิ่งไม้เข้ามาในถ้ำ อวิ๋นเยี่ยบิดขี้เกียจและเตรียมจะออกไปนอกถ้ำ


 


 


ฝนค่อยๆ ตกปรอยๆ แพไม้ไผ่หายไปแล้ว ต้นการบูรก็ล้มไปคนละทิศละทาง กระแสน้ำที่พัดกระหน่ำวันก่อนก็ไหลกระจายไปยังที่ที่ไม่ไกลจากถ้ำ มีต้นไม้ใหญ่จำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ริมฝั่ง บางต้นใหญ่เท่าขา ฝั่งตรงข้ามดูเหมือนจะถูกน้ำซัด แม้แต่ปลาตัวใหญ่ยังกระโดดเกยตื้นขึ้นมาบนฝั่งก็มี


 


 


ทันใดนั้นอวิ๋นเยี่ยก็ได้ยินเสียงของคน ไม่ผิดแน่นอน เป็นเสียงของคนจริงๆ เสียงที่กำลังต่อว่าสวรรค์ด้วยความเศร้าโศก


 


 


“พระเจ้า ตระกูลโต้วของข้าไปทำอะไรให้ท่าน เหตุใดท่านถึงได้เกลียดข้ามากถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงได้ทรมานข้าเช่นนี้ ทำให้ข้ามีความหวัง แล้วก็ทำให้ข้าผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เหตุใดกันเล่า”


 


 


ในเสียงที่สิ้นหวังมีร่องรอยของความบ้าคลั่งอยู่ เสียงนี้ช่างคุ้นเคยเป็นอย่างมาก นอกจากโต้วเยี่ยนซาน ก็ไม่มีใครสามารถคร่ำครวญเช่นนี้ได้อีก


 


 


ในกองทัพมีสายลับจำนวนนับไม่ถ้วน แต่โต้วเยี่ยนซานกลับยังสามารถรอดชีวิตมาถึงที่นี่ได้ โชคดีจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าเขาสู้กับกระแสน้ำได้เช่นไร อวิ๋นเยี่ยอยากรู้เป็นอย่างมาก


 


 


ต้นไม้ใหญ่ลอยลงมา ต้นไม้ใหญ่เช่นนี้ ดูจากลำต้นที่แข็งแรงของมันแล้ว น่าจะมีอายุหลายร้อยปี


 


 


โต้วเยี่ยนซานนั่งอยู่บนลำต้นของต้นไม้ใหญ่ ถือมีดอยู่ในมือ แทงไปที่รอบๆ ต้นไม้ มีคนนอนอยู่บนต้นไม้ มีลูกธนูแทงอยู่บนไหล่สองดอก ดูไม่ออกว่าตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่


 


 


โต้วเยี่ยนซานเห็นน้ำตกอยู่ข้างหน้า เขารีบลากคนที่กำลังบาดเจ็บคนนั้นไปฝั่งตรงข้าม ทักษะการว่ายน้ำของเขาดีมาก ว่ายไปถึงฝั่งอย่างรวดเร็ว ไม่หยุดพักเลย เมื่อแบกคนที่กำลังบาดเจ็บคนนั้นขึ้นไปบนฝั่ง จากนั้นเขาก็มองกลับไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ไหลไปตามน้ำต้นนั้น ซึ่งมุ่งหน้าไปทางน้ำตก

 

 

 


[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 16 สังหารมังกร

 

 


 


โต้วเยี่ยนซานเห็นปลากำลังอ้าปากพะงาบๆ จึงเอามีดสับหัวของปลา เขาไม่รอช้าที่จะเอามือฉีกเนื้อปลาทั้งที่ยังมีเกล็ดแล้วเอาเข้าปาก ได้ยินเสียงคร่ำครวญของพ่อบ้านจึงหยุดกินปลา ลังเลอยู่สักพักจึงเอาเนื้อปลาให้พ่อบ้านกิน


 


 


เห็นพ่อบ้านค่อยๆ กินอาหารได้บ้างแล้ว ท่าทางความเป็นเจ้านายผู้สง่างามของเขาก็กลับมาอีกครั้ง หยิบมีดเล่มเล็กออกมาจากเอว ค่อยๆ หั่นเนื้อปลาเป็นชิ้นๆ แล่หนังปลาแยกก้างออกจากเนื้อปลา ใช้มีดจิ้มเนื้อปลาป้อนให้กับพ่อบ้าน แล้วตัวเองค่อยกินทีหลัง พ่อบ้านกินปลาด้วยความตื้นตันใจจนน้ำตาไหลออกมา คิดว่าชีวิดนี้คุ้มมากแล้ว ในเวลาแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกชายแท้ๆ ก็ยังไม่แน่ว่าจะทำเช่นนี้


 


 


“นายท่าน ท่านเองก็กินเยอะๆ สะสมแรงไว้ จะได้มีแรงเดินออกจากเขาคนป่าเถื่อนนี่ ข้าคงไม่ไหวแล้ว ไม่อยากเป็นภาระของท่าน”


 


 


“ลุงซาน เจ้าเลี้ยงข้ามาตั้งแต่เล็ก ตอนนี้ข้าเหลือเจ้าคนเดียวที่เป็นเหมือนญาติ พวกคนเลวที่เมืองฉางอันพวกนั้น ไม่สมควรใช้นามสกุลโต้ว ครั้งนี้เป็นเพราะข้าโลภมาก อยากได้เหมืองทองคำ เมื่อมีเงินก็อยากจะมีข้าทาสบริวารและม้า แต่ลืมคำนึงถึงความอันตรายที่ซ่อนอยู่ข้างใน ฮ่องเต้ตระกูลหลี่คิดที่จะฆ่าข้าตลอดเวลา จะยอมให้ข้าผูกมิตรกับวีรบุรุษไปทั่วโดยไม่แยแสได้เช่นไร นี่เป็นความผิดข้าที่ปล่อยโอกาสดีๆ เช่นนี้หลุดมือไป


 


 


เจ้าต้องดีขึ้นแน่นอน อย่างไรข้าก็จะแบกเจ้าออกจากเขาคนป่าเถื่อน เมื่อครู่ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าบาดเจ็บไม่มากนัก พักสักหน่อย ข้าจะดึงธนูออกให้ พวกเราอยู่ไกล ลูกธนูสองดอกนี้จึงมีแรงไม่มากนัก เพียงแค่ทะลุเข้าเนื้อเท่านั้นไม่ถูกส่วนสำคัญอะไร


 


 


ตอนนี้ข้าแทบจะไม่เหลืออะไร มีเพียงเจ้าที่ค่อยเคียงบ่าเคียงไหล่กับข้า ข้าไม่ยอมให้เจ้าตายเด็ดขาด เจ้าต้องมีชีวิตรอด ในอนาคตต้องช่วยข้าเลี้ยงดูลูกเลี้ยงดูหลาน พระเจ้ามักจะเป็นศัตรูกับข้า ข้าจะอ่อนแอไม่ได้ และข้าจะไม่ยอมถอยเป็นอันขาด เมื่อผ่านอุปสรรคไปได้จะต้องมีสักวันที่เป็นของเรา”


 


 


พ่อบ้านพยักหน้ายิ้มทั้งน้ำตา นายท่านเพียงแค่โชคไม่ดี ไม่ได้ขาดความฉลาดหลักแหลม แค่พระเจ้าไม่ได้ให้โอกาสเขาเท่านั้น พ่อบ้านเชื่อมั่นในเจ้านายของตนเป็นที่สุด


 


 


โต้วเยี่ยนซานนำส่วนที่ดีที่สุดของปลาทั้งหมดให้กับพ่อบ้าน ตัวเองกินส่วนที่มีก้าง ปลาที่หนักหนึ่งกิโลไม่เพียงพอสำหรับให้ผู้ชายสองคนที่กำลังหิวโหย


 


 


ทั้งสองคนนอนพักสักครู่ โต้วเยี่ยนซานเอาไม้ไผ่ให้พ่อบ้านคาบไว้ แล้วฉีกเสื้อส่วนที่สะอาดของตัวเองออกมา ยิ้มแล้วพูดกับพ่อบ้านว่า “ลุงซาน อดทนหน่อยนะ ข้าจะดึงธนูออกมา ที่จุดไฟของพวกเราเปียกชื้นไปหมด จุดไฟไม่ได้แล้ว หากมีไฟมาลนแผลสักหน่อยคงจะดีกว่านี้”


 


 


พ่อบ้านพยักหน้าบอกโต้วเยี่ยนซานว่าตัวเองพร้อมที่จะอดทนต่อความเจ็บปวด


 


 


โต้วเยี่ยนซานใช้มือขวาจับก้านของลูกธนูแล้วดึงออกมา ลูกธนูหลุดออกมาพร้อมกับมีเลือดกระเซ็นออกมาด้วยเล็กน้อย โต้วเยี่ยนซานรีบเอาผ้ากดบาดแผลไว้ ตะโกนเสียงดังให้พ่อบ้านอดทนไว้ ผ่านไปสักพักใหญ่ ไม้ไผ่ที่พ่อบ้านคาบไว้หล่นลงมา หน้าซีดตัวสั่น แล้วพูดกับโต้วเยี่ยนซานว่า “นายท่าน ดึงก้านธนูที่เหลืออยู่ออกมาเลยทีเดียวเถิด ยิ่งเวลาผ่านไปนานข้าก็ยิ่งทรมาน”


 


 


โต้วเยี่ยนซานพยักหน้า เห็นเลือดไหลออกมาก็ไม่ได้กังวลมากแล้ว ปล่อยมือออกแล้วรีบดึงลูกธนูอีกดอกหนึ่งออกมาในขณะที่พ่อบ้านไม่ทันได้ตั้งตัว หลังจากนั้นก็รีบเอาผ้ามาพันแผลไว้ให้แน่น โต้วเยี่ยนซานถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก สองคนนายบ่าวหลังพิงกันแล้วหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าในสถานที่ที่ชื้นแฉะ


 


 


อวิ๋นเยี่ยรอโอกาสนี้มาตลอด เห็นสองคนนายบ่าวไม่ขยับไปไหน เขาก็เลยเสี่ยงว่ายน้ำข้ามไปฆ่าพวกเขา ในสถานการณ์เช่นนี้ หากไม่ลงมือก่อน เมื่อถึงเวลาคนที่ตายจะต้องเป็นตัวเขาเองแน่ๆ โต้วเยี่ยนซานทั้งฉลาดทั้งเก่งในด้านการต่อสู้ ไม่ใช่คนที่ตัวเองจะโค่นลงได้ง่ายๆ


 


 


เตรียมอาวุธครบมือ ผูกไหมไว้รอบเอว หากเกิดเหตุการณ์คับขันจะได้ดึงไหมว่ายกลับไป พึงจะลงน้ำว่ายได้ไม่เท่าไหร่ ก็ต้องรีบว่ายกลับมา อวิ๋นเยี่ยรีบขึ้นฝั่งเหมือนถูกลูกธนูจิ้มก้น มือไปตีโดนที่หัวของวั่งไฉที่ก้มหน้าลงมามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่ใช่ว่าอวิ๋นเยี่ยไม่อยากไปฆ่าโต้วเยี่ยนซาน แต่เป็นเพราะตอนที่ว่ายลงไปเขาเห็นบางอย่างลักษณะคล้ายท่อนไม้แห้งลอยอยู่


 


 


อวิ๋นเยี่ยดูไม่ผิดแน่ นั่นคือจระเข้กำลังว่ายน้ำ ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้น้ำเริ่มไหลช้าลง อวิ๋นเยี่ยเกือบจะมองไม่เห็นว่ามีจระเข้อยู่


 


 


หลบอยู่หลังต้นการบูรแอบมองว่าจระเข้จะไปทางไหนกันแน่ หากขึ้นทางฝั่งของตัวเอง อวิ๋นเยี่ยก็จะตัดสินใจพาวั่งไฉกระโดดลงไปทางน้ำตก ตกลงไปตายยังดีกว่าถูกจระเข้กิน คิดเสียว่าเป็นการสังเวยชีวิตให้แก่ลูกจระเข้


 


 


จระเข้ยักษ์ดูกังวลกับไข่ของมัน ขึ้นไปพื้นทรายฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ลังเล เอาหางปัดทรายออก เห็นว่าไข่ของตัวเองหายไป จระเข้อ้าปากคำรามโดยไม่มีเสียง มองหาศัตรูที่เอาไข่มันไป จู่ๆ มันก็หันหน้าไปอีกฝั่ง ตรงนั้นได้กินคาวเลือดอย่างแรง เป็นกลิ่นที่มันชอบมาก รีบคลานไปที่นั่น แล้วใช้หางยกแท่นขึ้นดูว่ามีอะไรวางอยู่ เจอสิ่งที่มันตามหาแล้ว จระเข้เห็นเศษของเปลือกไข่ที่อวิ๋นเยี่ยวางไว้อยู่บนฝั่ง


 


 


จระเข้ขู่ร้องตะเกียดตะกายเบียนขึ้นไปบนฝั่ง โต้วเยี่ยนซานได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรเคลื่อนไหวพอลืมตาขึ้นมองก็พบปากอ้ากว้างเต็มไปด้วยฟันอันแหลมคมกำลังจะงับเขา


 


 


ไม่เสียแรงที่เขาโตขึ้นมาท่ามกลางความยากลำบาก เพื่อเอาตัวรอด รอบตัวไม่มีอาวุธอะไรที่ป้องกันตัวเองได้ จึงผลักพ่อบ้านที่กำลังสลบอยู่ไปให้จระเข้ยักษ์แทน


 


 


จระเข้ไม่สนใจ ขอแค่ในปากมีอาหารมันก็จะงับอย่างสุดแรง ตัวของมันตกลงมาจากฝั่ง อวิ๋นเยี่ยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ยินเสียงร้องอย่างทรมาน


 


 


“นายน้อย ช่วยข้าด้วย!” พ่อบ้านถูกจระเข้คาบไว้ในปาก แขนขาทั้งสี่ข้างไม่มีแรงจะขยับ จระเข้ขบกัดจนได้ยินเสียงกระดูกหักอย่างชัดเจน ในตอนนี้สิ่งที่ขยับได้มีเพียงแค่ปากเท่านั้น


 


 


เห็นจระเข้ยักษ์กำลังจะงับพ่อบ้านให้ขาดเป็นสองท่อนและกลืนกินลงไป ขาทั้งสองข้างของโต้วเยี่ยนซานก็สั่น เขาหันหลังจะวิ่งหนีไป แต่น่าเสียดายที่ข้างหลังเป็นหน้าผา


 


 


ไม่มีทางให้ไปแล้ว โต้วเยี่ยนซานกระโดดลงจากฝั่ง อย่าว่าแต่จระเข้ยักษ์เลย ต่อให้เป็นมังกรยักษ์ โต้วเยี่ยนซานก็จะโดดข้ามไปโดยไม่ลังเล


 


 


ลำตัวของพ่อบ้านถูกกัดจนขาด จระเข้กำลังกลืนขาเขาไปข้างหนึ่ง เห็นโต้วเยี่ยนซานกระโดดข้ามมา ก็รีบตะโกนบอกให้นายท่านรีบหนีไป เขาไม่รู้ว่านายท่านของเขาเป็นคนโยนเขาเข้าปากจระเข้


 


 


โต้วเยี่ยนซานกระโดดข้ามร่างของพ่อบ้านไป ฉวยโอกาสตอนที่จระเข้กำลังกลืนเหยื่อ ก็เอามีดปักลงไปที่คอของจระเข้ ความคมของมีดแทงลึกเข้าไปในเนื้อ จระเข้ได้รับบาดเจ็บ ขาคนที่คาบไว้ในปากก็ไม่สามารถคายออกมาได้ นอนเจ็บปวดอยู่บนพื้นทราย


 


 


โต้วเยี่ยนซานไม่มีมีดแล้วจึงหันหลังวิ่งหนีไป แต่รู้สึกเหมือนถูกอะไรตีเข้าที่ด้านหลัง ตัวลอยขึ้นมาตกลงบนฝั่ง ภายในพริบตาขาสองข้างของโต้วเยี่ยนซานก็ไม่มีความรู้สึกแล้ว ปากเขากระอักเลือดออกมา


 


 


ลมหายใจสุดท้ายของพ่อบ้าน ในแววตายังมีความเป็นห่วง ถึงแม้ว่าตัวเขาจะตายแต่ก็ไม่เสียดายความจงรักภักดีที่มีต่อเจ้านาย มีเพียงความเสียใจที่ปล่อยวางไม่ได้


 


 


โต้วเยี่ยนซานนอนอยู่บนฝั่ง ตามองไปที่จระเข้ยักษ์ที่ดิ้นไปดิ้นมาไม่หยุด มันใกล้จะตายแล้ว ถูกมีดแทงเข้าไปที่หัวใจ มีชีวิตอยู่อีกได้ไม่นานแล้ว โต้วเยี่ยนซานพยายามอดทน เขาไม่อยากหลับก่อนที่จระเข้ยักษ์นั้นจะตาย


 


 


ความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้คือการได้สังหารมังกร ใครจะคิดว่าจระเข้ยักษ์จะทำให้ความพยายามทั้งหมดที่มีต้องสูญเปล่า


 


 


จระเข้ยักษ์ไม่ขยับเขยื้อนแล้ว โต้วเยี่ยนซานยิ้มที่มุมปากเตรียมจะหลับตา เตรียมตัวดื่มด่ำกับความรู้สึกครั้งสุดท้ายในชีวิต ตอนมีชีวิตอยู่มีแต่ความยากลำบาก ตอนนี้ได้เวลาพักผ่อนแล้ว


 


 


ก่อนจะหลับเพียงครู่เดียวเขาเห็นอวิ๋นเยี่ยที่ไม่ได้ใส่เสื้อปีนขึ้นมาบนฝั่ง ได้เจอกับสหายเก่าอีกแล้ว โต้วเยี่ยนซานดีใจขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล อย่างน้อยก็มีคนเอาเรื่องที่ตัวเองสังหารมังกรไปเล่าให้คนอื่นได้ฟัง


 


 


“อวิ๋นโหว ไม่เจอกันไม่กี่วัน ยังดูสง่างามเหมือนเดิม ช่างน่ายินดียิ่งนัก” โต้วเยี่ยนซานรู้ว่าตัวเองสภาพแย่มาก ดังนั้นเขาจึงพยายามทำให้เสียงของตัวเองยังฟังดูดีอยู่


 


 


เห็นโต้วเยี่ยนซานเพียงพริบตาเดียว อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าช่วยไม่ทันแล้ว กระดูกสันหลังหักครึ่ง เห็นกระดูกสีขาวโผล่ออกมาถึงด้านนอก ยังมีชีวิตพูดคุยอย่างปกติก็ถือว่ามหัศจรรย์มากแล้ว


 


 


อวิ๋นเยี่ยโค้งคำนับแล้วพูดว่า “สหายโต้วมาไกลนับหมื่นลี้ ตัวข้าไม่มีอะไรติดตัว ต้อนรับไม่ดีต้องขออภัยด้วย”


 


 


“มีมังกรโผล่มาเป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่อาจคาดคิด ตัวข้าไม่ขอสิ่งอื่นใด”


 


 


“ที่ข้ามีไข่จระเข้หนึ่งใบ ไม่ทราบว่าสหายโต้วจะอยากลองชิมดูหรือไม่”


 


 


“ควรจะเป็นเช่นนั้น ข้าต่อสู้กับจระเข้ยักษ์ ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บ จระเข้ยักษ์ตายก่อน ข้ากินไข่ของมันแล้วก็คงต้องตาย เรื่องนี้ในภายหลังอวิ๋นโหวสั่งสอนลูกศิษย์อย่าลืมเล่าให้แก่ลูกศิษย์ฟังด้วย”


 


 


“คำขอของผู้กล้า ข้าทำให้ได้อยู่แล้ว ต่อไปในตลาดเมืองฉางอันจะต้องมีตำนานที่สหายโต้วต่อสู้กับจระเข้ยักษ์เลื่องลือไปทั่วฉางอัน เป็นวีรบุรุษผู้พิชิตสัตว์ดุร้าย ให้ฮ่องเต้และราษฎรทึ่งในความกล้าหาญของเจ้า”


 


 


โต้วเยี่ยนซานหัวเราะออกมาเสียงดัง ในปากกำลังเคี้ยวไข่จระเข้ยักษ์ที่อวิ๋นเยี่ยปลอกให้ พยายามกลืนลงไป โต้วเยี่ยนซานเลียปากแล้วพูดว่า “รสชาติเลิศล้ำ”


 


 


“สหายโต้ว ในตอนนี้เจ้ารู้สึกเสียใจหรือไม่”


 


 


“เหตุใดข้าต้องเสียใจ อวิ๋นเยี่ย เกิดเป็นชายหากตอนมีชีวิตอยู่ไม่ได้เป็นวีรบุรุษผู้กล้า ตายไปก็ต้องไปตกกระทะทองแดง ข้าเป็นคนที่บุญคุณต้องทดแทนแค้นต้องชำระ ต่อสู้กับความตายภายในสามก้าว ในตอนนี้แพ้แล้ว ก็เพียงแค่ต้องตาย ก่อนตายยังมีศัตรูมาส่ง เหตุใดจะต้องเสียใจ”


 


 


คำพูดฟังดูเรียบง่ายราวกับว่าทุกอย่างควรจะจบเช่นนี้ โต้วเยี่ยนซานไม่สนใจแม้กระทั่งชีวิตของตัวเอง เขาทำร้ายคนมามากมาย คนที่ตายด้วยน้ำมือเขาก็มีไม่น้อย แต่กลับมีจุดจบสมดั่งใจ แต่อวิ๋นเยี่ยที่อยากจะเป็นคนดีอย่างที่ตัวเองหวัง หากแต่ละก้าวช่างยากเย็นเหลือเกิน ตอนกลางคืนก็นอนไม่หลับ นี่สมเหตุสมผลเสียที่ไหนกัน


 


 


“อวิ๋นโหว ข้าจะต้องเดินทางไกลแล้ว เจ้ามีบทกลอนที่จะส่งข้าหรือไม่”


 


 


“เจ้าเห็นต้นสนบนหน้าผานั้นไหม ข้าจะใช้มันเป็นหัวข้อแต่งบทกลอนให้แก่เจ้า”


 


 


“ดีจริงๆ ช่วยเร็วๆ หน่อย ข้ากลัวว่าจะฟังไม่จบ เช่นนั้นข้าคงจะเสียใจแย่”


 


 


“โอบกอดภูเขาเขียวขจีไว้ไม่ยอมปล่อย เติบโตกลางรอยแตกหักของก้อนหิน ความลำบากนับหมื่นพันถาถมเข้ามายังคงตั้งอยู่ได้ ปะทะกับลมทั้งสี่ทิศ สี่ประโยคนี้แสดงถึงความยืนหยัดของเจ้ามาทั้งชีวิต คาดว่าเมื่อไปยังปรโลกก็ยังคงจะเป็นเช่นนี้ ข้ามีเพียงคำอวยพรให้เจ้ายืนหยัดต่อไป แต่หวังว่าเจ้าจะมีผู้กล้าเป็นบริวารหนึ่งแสนคนไปปราบยมราช”


 


 


โต้วเยี่ยนซานหัวเราะอย่างมีความสุข หัวเราะจนเลือดกระฉูดออกมา เส้นประสาทสัมผัสทั้งห้าแตก พูดออกมาหนึ่งประโยคว่า “มีความสุขเสียจริง” จากนั้นก็ไม่ขยับแล้ว

 

 

 


[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 17 ทองหัววัว

 

 


 


โต้วเยี่ยนซานตายแล้ว เขาก็เหมือนกับคนทั่วไป อย่างไรสักวันหนึ่งก็ต้องตาย หลังจากตายแล้วก็มีแมลงวันมาตอมมากมาย ไม่รู้ว่าแมลงพวกนี้ใช้ชีวิตเช่นไร ตรงไหนมีคาวเลือดก็จะต้องมีพวกมัน


 


 


แคว้นหนานจ้าวสภาพอากาศร้อนชื้น ในเวลาเพียงวันเดียวศพก็เต็มไปด้วยแมลงและหนอน ไม่ถึงสามวันเลือดและเนื้อของศพก็จะถูกแมลงพวกนั้นกัดกินจนหมด จะเหลือแต่เพียงกระดูกที่จะถูกลมและฝนพัดพาไป และสุดท้ายก็กลับคืนสู่ดิน


 


 


โต้วเยี่ยนซานตายแล้ว อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าตัวเองกลับไม่ได้รู้สึกดีใจ ภายในใจมีเพียงความรู้สึกว่างเปล่า แมลงวันพวกนั้นไล่อย่างไรก็ไล่ไม่ไป บินตอมอยู่ตามใบหน้าของเขาแล้วยังวางไข่ลงตรงบาดแผล เอาไม้ไผ่ไล่ตีตายไปหลายตัว แล้วยังตีโดนผิวหนังของโต้วเยี่ยนซานจนเละ อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจเพราะอย่างไรก็ตายไปแล้ว สำหรับคนรักสะอาดอย่างอวิ๋นเยี่ยแล้ว ถึงผิวหนังของโต้วเยี่ยนซานจะโดนตีจนเละ ก็ยังดีกว่าให้แมลงวันมาวางไข่บนตัวของเขา


 


 


อวิ๋นเยี่ยใช้ดาบของโต้วเยี่ยนซานขุดหลุม นี่เป็นดาบล้ำค่า บนดาบยังมีลายของดอกเบญจมาศ ดาบล้ำค่าเช่นนี้ไม่มีใครนำมันมาใช้ขุดหลุม มันจะถูกทาด้วยน้ำมันแล้ววางไว้บนชั้นวางอย่างดี ไม่มีอะไรทำก็จะเอาผ้าไหมนุ่มๆ มาเช็ดที่คมดาบ จนถึงตอนที่มันจะต้องเปื้อนเลือด


 


 


ดาบเล่มนี้ขุดดินได้ไม่ดีเท่าพลั่ว นี่เป็นความรู้สึกของอวิ๋นเยี่ย แต่เพื่อไม่ให้แมลงวันมาไข่บนตัวของโต้วเยี่ยนซานมากกว่านี้ อวิ๋นเยี่ยจึงพยายามขุดอย่างสุดแรง


 


 


โต้วเยี่ยนซานรูปร่างสูงใหญ่ สมกับมาตรฐานชายจีน ความสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรทำเอาอวิ๋นเยี่ยต้องขุดหลุมยาวสองเมตรเพื่อฝังร่างของเขา ตัวสูงก็ใช่ว่าจะเป็นผลดี เปลืองเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม กินก็มากกว่าคนอื่นเขา และที่มากกว่านั้นก็คือแม้กระทั่งหลุมศพยังเปลืองพื้นที่มากกว่าคนอื่น ไล่แมลงวันไปให้หมดแล้วลากขาของโต้วเยี่ยนซาน เอาเขามาไว้ที่ข้างหลุม แม้ตอนที่ลงมาจากแท่นหัวจะไปกระแทกกับก้อนหินจนเกิดเสียง แต่โต้วเยี่ยนซานก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้าน มุมปากยังคงยิ้มอยู่เหมือนเดิม


 


 


ไม่มีอะไรจะพูดกับเขาแล้ว ที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว กลอนของเจิ้งป่านเฉียว[1]ก็ท่องให้เขาฟังแล้ว ดูสิ เขาเป็นคนในราชวงศ์ถังที่ช่างมีความสุข


 


 


เอาเสื่อที่ทำจากไม้ไผ่มาห่มร่างของโต้วเยี่ยนซานแทนโลงศพ คิดว่าคนที่รักความสง่างามอย่างโต้วเยี่ยนซานคงต้องชอบแน่ๆ เหมือนกับที่ในหนังสือบอกไว้ว่า ยอมให้มื้ออาหารไม่มีเนื้อ แต่จะไม่ยอมให้ที่อยู่อาศัยไม่มีต้นไผ่ จัดแบบนี้ดูสง่างามเป็นอย่างมาก คนทั่วไปไม่ได้รับการดูแลเช่นนี้


 


 


ดินที่ขุดออกมาเยอะเกินไป ทำให้หลุมฝังศพมีขนาดสูงมาก ขอเพียงแค่ฝนไม่ตกเหมือนวันที่ผ่านมา หลุมศพนี้ก็คงจะรักษาให้คงอยู่ได้อีกนาน ข้างๆ มีแอ่งน้ำอยู่ อวิ๋นเยี่ยใช้ไม้ไผ่ดันร่างครึ่งตัวของพ่อบ้านลงไป กลิ่นอวัยวะข้างในของมนุษย์นั้นเป็นกลิ่นที่เหม็นมากแม้แต่หมูก็เทียบไม่ติด อวิ๋นเยี่ยยังไม่อยากอาบน้ำอีกรอบในฤดูฝนแบบนี้ เอาขาและก้นของเขาที่อยู่ในปากของจระเข้ดันลงไปด้วย ยืนอยู่ข้างหลุมศพนับดูชิ้นส่วนพบว่าขาดขาไปอีกข้าง เพื่อเป็นการเคารพผู้ตาย ในเมื่อทำได้ก็ควรจะช่วยเขาสักครั้ง อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจผ่าท้องของจระเข้เพื่อเอาขาอีกข้างออกมา


 


 


หากเป็นเมื่อก่อน อวิ๋นเยี่ยไม่มีทางทิ้งหนังและเนื้อของจระเข้ หนังของจระเข้เอาใช้เป็นวัสดุทำกระเป๋า ส่วนเนื้อของจระเข้เอามาทำเป็นยารักษาอาการไอ ตอนนี้เขาถือมีดผ่าไปตามรอยแผล อวัยวะภายในก็ถูกดันออกมา หลังจากที่เอาขาออกมาอย่างทุลักทุเลแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นองค์หญิงทั่นเกอ ถึงแม้จะเหลือแค่เพียงกระดูก แต่ว่าฟันกระต่ายสีเหลืองที่ทำให้คนเห็นรู้สึกยิ้มได้ นอกจากนางก็ไม่มีใครที่มีฟันยาวครึ่งนิ้วจนแทบจะเหมือนฟันสัตว์อีกแล้ว


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจขาของพ่อบ้าน หากหอบเอากระดูกมาไว้ที่ข้างแม่น้ำแทน ใช้น้ำล้างอย่างสะอาด ปกติก็ขี้เหร่อยู่แล้ว หากเปื้อนไปมากกว่านี้ก็ดูไม่ได้แล้ว


 


 


เป็นจระเข้ที่เอาองค์หญิงทั่นเกอมา หรือว่าเป็นองค์หญิงทั่นเกอที่เอาจระเข้มากันแน่ อวิ๋นเยี่ยไม่อยากสืบสาวเรื่องนี้ ทั่นเกอสู้โต้วเยี่ยนซานไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่เอาฝังไว้ด้วยกัน คนอย่างโต้วเยี่ยนซานพร้อมกับวีรบุรุษผู้กล้าหนึ่งแสนคนที่เตรียมไปปราบยมบาล ไม่ใช่เรื่องที่คนบอบบางอย่างองค์หญิงทั่นเกอจะไปยุ่ง


 


 


พออวิ๋นเยี่ยฝังหลุมศพให้พ่อบ้านแล้ว ก็ไปหาท่อนซุงมาสองท่อน เหลาจนเป็นแผ่นเห็นเนื้อไม้สีขาวแล้วใช้ดาบสลักชื่อลงบนแผ่นไม้เอามาปักไว้หน้าหลุมศพทั้งสอง งานฝังหลุมศพเป็นอันเสร็จเรียบร้อย เพียงแต่รู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง หลุมศพของตระกูลอวิ๋นมักจะมีของเซ่นไหว้ ถึงแม้ว่ามักจะถูกอวิ๋นเยี่ยขโมยกิน แต่ก็ยังคงมีวางอยู่ตลอดเวลาไม่ขาด หลุมศพสองหลุมนี้อนาถาไปหน่อย ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ไม่อยากจะเอาก้อนหินมาวางหลอกผี แม้แต่ศพขององค์หญิงทั่นเกอก็อยู่ที่นี่ พื้นที่ของแคว้นหนานจ้าวตรงนี้จึงกลายเป็นพื้นที่ไม่ค่อยจะเป็นมงคลเท่าไหร่


 


 


เก็บก้อนหินขึ้นมา โยนขึ้นไปใส่ลิงที่ยืนมองอยู่บนหน้าผา ไม่ได้การแล้ว ลิงฝูงใหญ่ใช้ผลไม้ป่าในมือโยนจู่โจมลงมาเยอะมากอย่างกับเม็ดฝน คราวที่แล้วพวกมันก็ทำแบบนี้กับจระเข้ยักษ์


 


 


ไม่รู้ว่ามะพร้าวพวกนั้นกินได้หรือไม่ ลิงกินได้ ถ้าเช่นนั้นคนก็คงไม่เป็นไร ถ้าดูจากยีนส์แล้วคนกับลิงก็ไม่ได้มีความแตกต่างมากนัก


 


 


ผลไม้ป่าสีเขียวถูกวางไว้หน้าหลุมศพทำให้ดูมีสีสันขึ้นมาทันที อวิ๋นเยี่ยนอนอยู่บนพื้นทรายอย่างเหน็ดเหนื่อย ปากก็กัดผลไม้ป่าไปหนึ่งคำจนได้รสความเปรี้ยวจึงดึงสติเขากลับมา ได้พบว่าที่จริงแล้วตัวเองนั้นยังอิ่มอยู่แต่กลับมาทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้


 


 


มือข้างหนึ่งชูดาบขึ้น อีกข้างหนีบกะโหลกขององค์หญิงทั่นเกอไว้ข้างตัว กระโดดลุยน้ำสองสามก้าวมาขึ้นฝั่งตรงข้าม รู้สึกไม่ปกติ วันนี้รู้สึกว่าตัวเองแปลกๆ ไป เหมือนกับลืมเรื่องอะไรไปบางอย่าง


 


 


เพื่อตรวจสอบดูว่าตัวเองผิดแปลกตรงไหน อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจย้อนกลับไปเดินข้ามแม่น้ำกลับมาใหม่ แต่เพียงแค่หันหลังไปก็รู้แล้วว่าอะไรที่ผิดปกติ


 


 


ไม่เห็นทะเลสาบลึกแล้ว มีเพียงแค่น้ำตื้นๆ ที่กำลังไหลย้อนกลับ มิน่าล่ะถึงมีความรู้สึกว่าไม่ได้ยินเสียงของน้ำตกแล้ว คนอย่างอวิ๋นเยี่ยที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเชื่อเรื่องเทพเทวดา แทบจะคุกเข่าลงกับพื้นขอขมาอภัยที่ตัวเองเคยไม่เคารพต่อเทพเทวดา


 


 


ต่อมานึกขึ้นได้ว่าตอนที่ตัวเองลอยคออยู่ในแม่น้ำได้เห็นถ้ำแห่งหนึ่ง เขาจึงรีบลุกขึ้นจากที่กำลังจะคุกเข่า ไม่น่ามีอะไรหรอก เพียงแต่ว่าแม่น้ำแห่งนี้กำลังจะกลายเป็นพื้นที่ใต้ดิน


 


 


เมื่อกี้กำลังกังวลว่าตัวเองจะออกไปได้อย่างไร ตอนนี้ไม่ต้องคิดแล้ว เดินตามทางแม่น้ำไปข้างหน้าก็พอแล้ว ไม่แน่อาจจะได้กลับไปที่ประเทศของทั่นเกอ ชวีจั๋วยังอยู่ที่นั่น บ้านของทั่นเกอตอนนี้ต้องกลายเป็นเมืองขึ้นของต้าถังแล้วแน่ๆ


 


 


วั่งไฉเห็นอวิ๋นเยี่ยกลับมาก็รีบวิ่งเข้ามาหาอย่างดีใจ อวิ๋นเยี่ยกอดที่หัวของมันแล้วลูบหัวเบาๆ เพื่อปลอบประโลมมันเล็กน้อย


 


 


วันนี้ออกไปไม่ได้แล้ว เตรียมตัวไว้ให้ดีเพื่อพรุ่งนี้จะได้เริ่มเดินทางออกจากที่นี่ เดินทางตอนกลางคืนอาจจะเป็นอันตราย หากไม่อยากกลายเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อ ทางที่ดีในตอนกลางคืนควรหาสถานที่ปลอดภัยเพื่อซ่อนตัวไว้


 


 


ผูกเส้นไหมไว้เรียบร้อย ทำอาหารกินนิดหน่อย ในยามพักผ่อนก็เอาเล็บของจระเข้มาสางขนให้วั่งไฉ ใช้ท่อนซุงไม้การบูรมาทำเป็นหมอนเตรียมตัวนอน หันไปเห็นหัวกะโหลกขององค์หญิงทั่นเกอกำลังยิ้มให้ตัวเองก็รู้สึกไม่ดีจึงโยนผ้าไปคลุมปิดหน้าของนางไว้จนมิด


 


 


ลิงโง่พวกนั้นเริ่มร้องขึ้นมาอีกแล้ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสุข พวกมันกำลังทารุณกรรมศพ ศพของจระเข้ยักษ์ตัวนั้นพอถึงพรุ่งนี้ตอนเช้าก็จะหายไป เพราะบางทีลิงก็กินเนื้อ…


 


 


เสียงอึกทึกครึกโครมดังอยู่นาน หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงแล้ว ราวกับว่าเข้าสู่ความฝันไปแล้ว


 


 


ในความฝันสามารถโบยบินในอากาศไปได้ไกล ที่นั่นอวิ๋นเยี่ยเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่าง เดี๋ยวก็เห็นความเจริญของสังคมยุคปัจจุบัน เดี๋ยวก็เห็นความงดงามของเพลงเต้นรำในหอเอี้ยนไหลโหลว เดี๋ยวก็เห็นรอยยิ้มของน่ารื่อมู่ เดี่ยวก็เห็นซินเย่วกำลังขมวดคิ้ว เดี๋ยวก็เห็นสาวน้อยท่าทางเขินอายที่มีใบหน้าไม่ชัดเจน เดี๋ยวก็เห็นตึกสูงใหญ่ เดี๋ยวก็เห็นสิ่งก่อสร้างในราชวังในขณะที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น ภาพวูบไหวตลอดเวลา…


 


 


ความเหงาเป็นบทลงโทษอย่างหนึ่ง เพื่อแสวงหาความสบายใจ อวิ๋นเยี่ยวิ่งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยระหว่างความฝันกับความเป็นจริง


 


 


ปัจจุบันและอนาคตยังคงกลับไปกลับมา เมื่อฟ้าสว่าง อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเหนื่อยมาก พักผ่อนมาทั้งคืน นอกจากจะไม่มีพลังขึ้นมาแล้วยังเสียพลังงานไปอีกต่างหาก


 


 


วั่งไฉหูตั้งไม่รู้จะบอกอวิ๋นเยี่ยอย่างไรว่าเมื่อคืนอวิ๋นเยี่ยใช้เท้าถีบมันทั้งคืน


 


 


ได้เวลาไปแล้ว เก็บข้าวของเรียบร้อย อวิ๋นเยี่ยหันไปมองถ้ำที่ให้ตัวเองได้พักอยู่ชั่วคราว พนมมือขึ้นสองข้าง ทำความเคารพบรรพบุรุษที่เคยอยู่ที่แห่งนี้ จากนั้นก็จูงวั่งไฉตามหาทางออก


 


 


ไม้ไผ่สีเขียวที่ถูกปักอยู่บนหลุมศพโต้วเยี่ยนซานยังคงเป็นสีเขียวสด โอนเอนไปมาท่ามกลางสายฝน เหมือนกับว่ากำลังบอกลาอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยโบกมือให้หลุมศพโต้วเยี่ยนซาน อวิ๋นเยี่ยจะจดจำพื้นที่แห่งนี้ หากเป็นไปได้ หวังว่าคนตระกูลโต้วจะมาที่นี่เพื่อเก็บเอากระดูกของเขาไป


 


 


“วีรสตรีชุดคราม อยู่บนท้องฟ้าอันสดใส โปรยดอกกล้วยไม้ลงมาให้คนหลงรัก…”


 


 


ชอบทำนองเพลง ‘ซิ่นเทียนโหยว’ เป็นที่สุด โดยเฉพาะในยามที่ฟ้ามืดครึ้ม ท่อนที่มีเสียงสูงของเพลง ‘ซิ่นเทียนโหยว’ สูงจนแทบจะทะลุท้องฟ้า อีกทั้งยังมีผู้ชมที่อบอุ่นอยู่ริมฝั่งหน้าผาทั้งสองข้างยืนดูอยู่ราวกับอวิ๋นเยี่ยเป็นดั่งชายรูปงามที่มีชื่อว่าพานอัน


 


 


อวิ๋นเยี่ยยกสองมือขึ้นคำนับ ขอบคุณความเป็นกันเองของผู้ชมทั้งหลาย เพื่อตอบแทนที่พวกเขาทิ้งก้อนหินลงมาให้สองก้อน อวิ๋นเยี่ยได้เริ่มร้องเพลงร็อคแอนด์โรล


 


 


“หนึ่ง สอง สาม สี่ เคยได้ยินมาก่อน แต่ไม่เคยเห็น…”


 


 


ร้องเพลงร็อค ท่องกลอน ได้รับผลไม้ แบกกระเป๋า ทำให้อวิ๋นเยี่ยเดินอย่างมีความสุขมาตลอดยี่สิบลี้ เมื่อครู่ก็เพิ่งจะหยุดเดิน เป็นเพราะว่าได้เห็นความมหัศจรรย์ของโลกใบนี้


 


 


เมื่อคลื่นน้ำไหลมาถึงตรงนี้ ก็ถูกปากดูดเข้าไปไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว ปากใหญ่นั้นมีแนวโน้มที่จะขยายออกอีกเรื่อยๆ หากยังเดินต่อไปข้างหน้า ก็มีโอกาสที่จะยุบลงไปด้วยเช่นกัน


 


 


จากที่อยู่กลางลำธารเขาจึงเดินเข้ามาหาฝั่ง ได้ยินเสียงน้ำตกซึ่งข้างหน้าเป็นหน้าผาลึกจนมองไม่เห็นพื้น เมืองกวนจงมีตำนานเล่าขานว่า มังกรแห่งแม่น้ำจิงเหอได้ดื่มแม่น้ำทั้งสามสายจนแห้ง หรือว่าที่นี่มีมังกรกำลังดื่มน้ำ?


 


 


นึกอยากเล่นสนุก จึงได้ปลดผ้าคาดเอวออก ฉี่ลงแม่น้ำอย่างสบายใจ พร้อมกับบอกแม่น้ำว่า ‘ข้าจะเพิ่มพลังให้กับแม่น้ำ’ พื้นเริ่มสั่นสะเทือนทันที มีรอยแยกของแผ่นดินมาจากไกลๆ ดีที่ข้ามมาได้ทัน อวิ๋นเยี่ยใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มรีบดึงวั่งไฉที่กลัวจนฉี่ราด ไม่กล้าหันกลับไปมองข้างหลัง เพียงแค่ฟังเสียงสนั่นหวั่นไหวของพื้นดิน เสียงแปลกประหลาดต่างๆ ดังอยู่ในหัว แต่ต้องร้องด้วยความตกใจเมื่อเดินสะดุด ลื่นล้มลงไปอยู่กับพื้น


 


 


หลับตารอความตาย ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จึงได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ไม่มีราชามังกร พื้นที่ข้างหลังเกือบสิบเมตร ตอนนี้มองไม่เห็นแล้ว กลายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่


 


 


ใจเต้นแรงจนเกือบทะลุออกมาเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าคำพูดของเฉาเชา[2]ในเกมส์แหกค่ายจะแม่นหรือไม่ เพียงแค่ตัวเองลบหลู่เพียงนิดเดียวก็ทำให้เกิดภัยพิบัติขึ้นทันที


 


 


เตะไปที่ก้อนหินที่ทำให้ตัวเองสะดุดล้มด้วยความโกรธ ก้อนหินไม่ขยับด้วยซ้ำไป อวิ๋นเยี่ยนั่งลง ค่อยๆ เช็ดโคลนออกอย่างระมัดระวัง จึงได้รู้ว่านี่คือสิ่งที่มีค่าที่สุดบนโลกนี้ แต่ว่าเป็นทองคำธรรมชาติที่ไร้ประโยชน์ที่สุด นี่คือทองหัววัวที่แท้จริง


 


 


 


 


——


 


 


[1] เจิ้งป่านเฉียว จิตรกรและนักกวีผู้มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ชิงของจีน


 


 


[2] เฉาเชา หรือ โจโฉ เป็นหนึ่งในตัวละครจากวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์จีนเรื่องสามก๊ก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)