เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 8 ตอนที่ 10-14
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 10 จดหมายจากทางไกล
นกพิราบกลุ่มใหญ่ที่มีกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ผูกติดอยู่ที่ขา มันโบยบินอยู่ท่ามกลางหุบเขา ข้ามผ่านหุบเขาแถบนี้ก็เป็นเรื่องที่ลำบากมากอยู่แล้ว แล้วยังมีพวกนกอินทรีและนกเหยี่ยวที่หิวโหยของดินแดนแห่งนี้ พวกมันบินได้สูงและเร็วกว่านกพิราบ เท้า กรงเล็บ และจะงอยปากก็มีแรงมากกว่า ในฐานะเจ้าแห่งน่านฟ้า สิ่งที่บินอยู่บนท้องฟ้าล้วนแต่เป็นอาหารของพวกมัน
แล้วนกพิราบจะรอดไปได้อย่างไร เพียงเพราะในตอนที่เจ้าแห่งน่านฟ้าล่าอาหารนั้น พวกมันจะไม่สนใจสิ่งที่ผูกติดอยู่กับขาของเหยื่อ รู้สึกเพียงว่ามันเกะกะ จึงจิกกัดกระบอกไม้ไผ่แล้วปล่อยให้มันร่วงลงไปในหุบเขาด้านล่างเท้า
เพื่อที่จะกลับบ้าน นกพิราบกระพือปีกบินกลับไปในเมืองที่มีสัตว์สองขาจำนวนมากแทน เมื่อพวกมันเห็นกำแพงเมือง นกพิราบสิบหกตัวก็เหลืออยู่เพียงแค่สามตัวเท่านั้น สองตัวบินเข้าไปในเมือง อีกตัวหนึ่งบินตรงกลับไปที่บ้านของตระกูลอวิ๋น
เหล่าเฉียนที่สีหน้าเศร้าหมอง ชี้ออกคำสั่งพวกคนรับใช้ให้เก็บเสบียงที่เอาออกมาตากแห้งกลับเข้าไป แล้วยังเงยหน้าขึ้นด่าท้องฟ้าที่เศร้าหมองเหมือนกับสีหน้าของเขาเป็นครั้งคราว
นกพิราบสีน้ำฟ้าตัวหนึ่งบินเซลงมาจากท้องฟ้า บินลงบนในกองเสบียงและจิกกินโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด สายตาของเหล่าเฉียนเป็นประกายขึ้นมาทันที จับนกพิราบตัวนั้นเอาไว้ ดึงกระบอกไม้ไผ่ออกจากขาของมัน หยิบแถบผ้าที่อยู่ข้างในออกมา มือไม้สั่น นกพิราบตกลงไปบนกองเสบียงอีกครั้ง คนรับใช้กำลังจะไล่นกพิราบออกไป สัตว์ชนิดนี้กินไปด้วยขี้ไปด้วย ทำให้เสบียงสกปรก แต่เหล่าเฉียนกลับตะโกนขึ้นมาว่า “ปล่อยให้มันกิน ปล่อยให้มันกิน ให้มันกินให้อิ่ม เตรียมน้ำสะอาดมาให้มันด้วย”
พูดเสร็จก็วิ่งไปร้องไห้โหยหวนเข้าไปข้างใน
“ท่านโหวมีข่าวคราวแล้ว ท่านโหวมีข่าวคราวแล้ว พระเจ้าช่วย ในที่สุดก็มีข่าวคราวสักที”
ที่ลานด้านใน ซินเย่วกำลังสั่งสอนน่ารื่อมู่ไม่ให้นางกินแต่เนื้อ ให้กินผักเยอะๆ พอได้ยินเสียงตะโกนของเหล่าเฉียน ได้ยินชัดเจนว่าเขาพูดว่าอะไร นางก็ขาอ่อนล้มลงกับพื้น
สามีไม่พูดลาสักคำก็หายออกจากบ้านไปกว่าสี่เดือน บอกแค่ว่าจะไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ ซินเย่วไม่เคยเชื่อ ผู้ชายของตัวเอง ตัวเองรู้จักเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่จริงๆ ก็จะต้องเชิญพวกเขามาที่บ้านก่อน ให้คนในครอบครัวได้รู้จัก จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วถึงจะออกเดินทาง ไม่มีวันที่จะทิ้งครอบครัวและออกไปเพียงลำพัง
นอกจากจะเจอกับอันตราย อันตรายที่รุนแรงเท่านั้น ถึงจะทำเช่นนี้ ซินเย่วไม่ค่อยรู้เรื่องข้างนอกของสามีตัวเองสักเท่าไหร่นัก และถึงแม้ว่าจะรู้ ก็รู้แค่เรื่องดีๆ สามีไม่เคยพูดถึงเรื่องอันตรายและความลำบาก ซินเย่วเองก็ไม่กล้าถาม ถึงแม้ว่านางจะดื้อมากแค่ไหนก็ไม่กล้าถามในเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยไม่ยอมบอก
ช่วงเวลาที่ผ่านมาซินเย่วให้แม่นมสองคนเป็นคนดูแลลูก ตัวเองดูแลเรื่องในจวนอวิ๋นด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าสามีจะไม่กลับมา นางก็จะต้องดูแลจวนนี้ให้สะอาดสะอ้าน เพื่อเตรียมส่งมอบให้แก่ลูกชายที่โตเป็นผู้เป็นคนแล้ว ถึงจะไปเจอกับสามีของตัวเอง
น่ารื่อมู่โยนถ้วยที่เต็มไปด้วยผักลงบนโต๊ะ อุ้มท้องที่กำลังป่องออกมาข้างนอก อวิ๋นเยี่ยยังไม่รู้เรื่องที่นางตั้งท้อง มันทำให้นางเสียใจเป็นอย่างมาก วันนี้มีข่าวคราวของเขา นางย่อมต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา
แย่งแถบผ้าออกมาจากมือของเหล่าเฉียน มองดูอยู่นานถึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่รู้จักตัวหนังสือ เอาแถบผ้าไปให้ซินเย่ว เบิกตามองซินเย่วรอให้นางบอกตัวเอง
ซินเย่วกลับมามีท่าทีของฮูหยินอีกครั้ง หยิบแถบผ้ามา เห็นว่ามันเขียนว่า “แคว้นหนานจ้าววุ่นวาย โต้วเยี่ยนซานก่อกบฏ เกิดการทำสงคราม ตอนนี้อวิ๋นโหวกำลังล่องแพหลบหนี”
ซินเย่วเข้าใจสาเหตุและผลที่ตามมาของเรื่องนี้ทันที สามีตกอยู่ในน้ำมือของโต้วเยี่ยนซาน ตอนนี้กำลังล่องแพไม้ไผ่หนีออกมา
นึกถึงสงครามที่ดุเดือด อวิ๋นเยี่ยกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอด น้ำตาเม็ดใหญ่ก็ไหลลงมา เจ็บปวดหัวใจราวกับโดนมีดแทง น่ารื่อมู่รีบดึงมือของนางอย่างกระวนกระวาย อยากรู้ว่าสามีอยู่ที่แห่งไหนกันแน่
เช็ดน้ำตาแล้วพูดกับน่ารื่อมู่ว่า “ท่านพี่อยู่ที่แคว้นหนานจ้าว กำลังทำภารกิจ ภารกิจเสร็จสิ้นก็จะกลับมา เขาบอกให้เจ้าเป็นเด็กดีฟังความ ไปทานผักในถ้วยให้หมดซะ”
สำหรับเรื่องของอวิ๋นเยี่ย น่ารื่อมู่ไม่แปลกใจ ผู้ชายที่ฉ่าวหยวนออกจากบ้านไปเป็นปีเป็นเรื่องปกติ ขอแค่กลับมาอย่างปลอดภัย ดูแลตัวเองให้ดี ถึงตอนนั้นคลอดลูกชายอ้วนท้วมให้เขา เขาจะต้องชอบเป็นแน่ คิดเช่นนี้ก็หยิบถ้วยผักขึ้นมากินอย่างมีความสุข
ซินเย่วเหลือบมองเหล่าเฉียน เหล่าเฉียนพยักหน้า โค้งคำนับและเดินออกไปทันที
ซินเย่วถือแถบผ้ามาที่ห้องพระ ตั้งแต่สามีหายตัวไป ท่านย่าก็เอาแต่คุกเข่าท่องคัมภีร์อยู่ที่ห้องพระทั้งวันทั้งคืน คัมภีร์บทหนึ่งท่องกว่าร้อยรอบ
ทันทีที่มาถึงประตูห้องพระก็ได้ยินเสียงของท่านย่าพูดว่า “เยี่ยเอ๋อร์มีข่าวคราวแล้วหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ เขาอยู่ที่แคว้นหนานจ้าว”
“บอกข้ามาให้หมด ย่าสูญเสียไปแล้วทั้งสามีทั้งลูกชาย รับรู้ถึงความโศกเศร้ามาแล้วมากมาย ข่าวร้ายข้าก็ทนฟังได้ บอกมาเลยอย่าปิดบัง”
“ท่านย่า ท่านพี่ตกอยู่ในน้ำมือของโต้วเยี่ยนซาน ถือโอกาสตอนที่แคว้นหนานจ้าวเกิดสงครามจึงได้หลบหนีออกมา เวลานี้กำลังล่องแพอยู่ในแม่น้ำ ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวอันใดเจ้าค่ะ”
ซินเย่วยื่นแถบผ้าให้ท่านย่า ท่านย่าหยิบมาดู มือที่ถือลูกปัดอยู่สั่นระริก แต่ก็กลับมาเป็นปกติในไม่ช้า พูดกับซินเย่วว่า “เยี่ยเอ๋อร์ไม่อยู่ เจ้าก็กลายเป็นเสาหลังของครอบครัว น่ารื่อมู่กำลังตั้งท้อง อย่าให้นางเป็นกังวล มีเรื่องอะไรเจ้าแบกรับไว้ก็พอ”
พูดเสร็จก็หลับตาท่องคัมภีร์ต่อ
หลี่ซื่อหมินเห็นแถบผ้า ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้เอาแถบผ้านั้นวางลงบนโต๊ะ แต่ก็ไม่พูดอะไรสักคำ หลี่เฉิงเฉียนที่อยู่ข้างๆ อยากจะเอ่ยถามแต่ก็ไม่กล้าถาม แม้จะรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก
“เย็นไว้ เจ้าเป็นรัชทายาท อย่าแสดงสีหน้าให้มันมากนัก อวิ๋นเยี่ยยังมีชีวิตรอด และออกมาจากน้ำมือของโต้วเยี่ยนซานได้แล้ว ไอ้เจ้านี่ทำได้ถึงเพียงนี้ ข้าต้องพูดว่าเขาทำได้ดี คิดไม่ถึงว่าเขาสามารถรอดออกมาจากแคว้นหนานจ้าวได้ พวกแคว้นหนานจ้าวสู้รบกับโต้วเยี่ยนซานอย่างสุดชีวิต ทั้งสองฝ่ายอำนาจเท่าเทียมกันไม่มีใครเหนือกว่าใคร ตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญหน้ากัน เพียงแต่อวิ๋นเยี่ยหลบหนีออกมาทางแม่น้ำเพียงลำพัง เป็นตายไม่อาจรู้ ไอ้เจ้านี่นี่นะจะอดทนอีกสักสองสามวันไม่ได้หรือไง เมื่อพวกโต้วเยี่ยนซานชนะสงคราม กองทัพของเขาก็จะกระจัดกระจาย ถึงตอนนั้นก็จะสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว”
หลี่ซื่อหมินตบๆ ที่ฎีกาและพูดอย่างช้าๆ
“ฝ่าบาท โต้วเยี่ยนซานไม่ยอมฆ่าอวิ๋นเยี่ย มันจะต้องมีอะไรเป็นแน่ ในเมื่อเขาจับคนของเราได้แล้ว แต่กลับปล่อยให้หลบหนีออกมา เห็นได้ว่าสถานการณ์ตอนนั้นตึงเครียดเป็นอย่างมาก เขาทนอยู่ต่อไม่ไหว”
จั่งซุนเดินออกมาจากหลังม่าน ถือแถบผ้าอยู่ในมือ แต่บนแถบผ้าเขียนตัวหนังสือเต็มไปหมด ไม่เหมือนกับแถบผ้าของตระกูลอวิ๋นที่มีแค่ไม่กี่ตัวหนังสือ
“ฮองเฮาพูดถูก อวิ๋นเยี่ยมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากแล้ว หากเราตกอยู่ในน้ำมือของโต้วเยี่ยนซาน เห็นหน้าเขาเราคงจะไม่พูดอะไรสักคำ รีบตัดหัวตัวเองออกจากบ่าก่อนเลย”
จั่งซุนปิดปากหัวเราะเบาๆ และเอ่ยว่า “ไม่แปลกหรอกเพคะ ใครๆ ก็รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นคนที่หาได้ยาก จะฆ่าเขาก็ต้องคิดให้ดีก่อน หากอวิ๋นเยี่ยมีอายุมากขึ้น เจอกับเขาตอนที่ท่านกำลังจะครอบครองโลกใบนี้ ถึงแม้ว่าท่านจะโกรธแค้นเขามากเพียงใด ท่านก็คงจะหาโอกาสโน้มน้าวใจเขา ท่านดูพวกขุนนางของท่าน มีสักกี่คนที่ติดตามท่านมาจากจิ้นหยาง ท่านก็เก็บตามข้างทางมาตลอด โต้วเยี่ยนซานกำลังทำตามท่านอยู่”
หลี่ซื่อหมินหัวเราะเสียงดังขึ้นมา ผ่านไปสักพักถึงได้หยุดหัวเราะแล้วพูดกับรัชทายาทว่า “เจ้าดูสิ โต้วเยี่ยนซานเป็นคนทะเยอทะยาน อยากจะก่อตั้งประเทศของตัวเองในแคว้นหนานจ้าว เขามีจิตใจมุ่งมั่นมากกว่าพ่อและปู่ของเขา แต่น่าเสียดายที่ได้มาเจอกับอวิ๋นเยี่ย หากเขาสามารถสงบสติอารมณ์ ใช้เวลาสิบปีในการวางรากฐาน เขาอาจจะประสบความสำเร็จ น่าเสียดายที่ไปหลงใหลในเหมืองทองคำของอวิ๋นเยี่ย เหมืองทองคำเหมืองนั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไร แต่กลับเป็นการฝืนกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ รวดเร็วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
เฉิงเฉียน เจ้าจงจำเอาไว้ ตอนนี้ต้าถังต้องการความมั่นใจ ไม่จำเป็นต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว การเกิดสงครามทุกครั้งจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน อย่างเช่นครั้งนี้ เป้าหมายของเราคือการบุกเบิกช่องทางการค้าขาย ทำให้ต้าถังได้ติดต่อกับประเทศที่อยู่ห่างไกล แผนที่ของอวิ๋นเยี่ยนั้นแม่นยำ แม่นยำมาก อย่างน้อยพื้นที่ในต้าถังก็แม่นยำ พ่อค้าชาวเปอร์เซียพวกนั้นยังยืนยันความถูกต้องที่ตั้งของภูมิภาคตะวันตก โลกกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ เราดูถูกวีรบุรุษบนโลกใบนี้เกินไป
ที่แท้ยังมีภูเขาอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขา ยังมีทะเลอยู่อีกด้านหนึ่งของทะเล เราเอาแต่ให้ความสำคัญกับที่ราบตอนกลาง ช่างเป็นเรื่องน่าขัน ในเมื่อสายตาของเราเปลี่ยนไปแล้ว เฉิงเฉียน จิตใจก็ต้องตามให้ทัน ในเมื่อมีดินแดนไร้ขอบเขตให้เราได้ครอบครอง เราก็ต้องกวาดล้างดินแดนอันกว้างใหญ่ไว้ให้คนรุ่นหลัง
ตอนนี้หม่าโจวมีชีวิตอย่างโดดเดี่ยว หลี่กังไล่เขาออกไปจากสำนักศึกษา แล้วยังเผาบัตรศิษย์สำนักศึกษาของเขา คิดว่าเขาเป็นความอัปยศของสำนักศึกษา เขาป่าวประกาศว่าถึงแม้ว่าจะตายไปแล้วก็จะตามไปสาปเขาในนรก
ได้ยินมาว่าหม่าโจวคุกเข่าที่หน้าประตูสำนักศึกษาสามวัน ไม่กินไม่นอน สุดท้ายก็เป็นลม แต่สำนักศึกษาก็ไม่ให้อภัย ที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อต้องการให้ราชสำนักยุติการยึดครองที่ดิน ไม่ใช่เพราะความเห็นแก่ตัว แค่เพียงขาดความรู้ รวมถึงได้รับการสนับสนุนจากเราถึงทำให้เขาต้องตกสู่ความตาย เจ้าออกไปรบครั้งนี้พาเขาไปด้วย ชีวิตนี้เขาคงจะกลับมาที่ราบตอนกลางไม่ได้อีกแล้ว ถือว่าเป็นค่าตอบแทนเล็กน้อยจากราชวงศ์”
หลี่ซื่อหมินไม่ค่อยได้พูดกับหลี่เฉิงเฉียนมากเช่นนี้ มักจะเล่าข่าวคราวสั้นๆ ให้หลี่เฉิงเฉียนฟังเท่านั้น
พ่อกับลูกชาย คนหนึ่งอบรบสั่งสอน อีกคนหนึ่งตั้งใจฟัง จั่งซุนนั่งอยู่ข้างๆ มองไปยังหลี่ซื่อหมินแล้วก็มองไปยังเฉิงเฉียน สายตาของนางเต็มไปด้วยความสุขและความภาคภูมิใจ
“คำสั่งสอนของเสด็จพ่อ ลูกจะจดจำไว้ในใจ เปิดตาเปิดใจให้กว้าง เรียนรู้ทักษะให้มาก การออกไปรบครั้งนี้ ลูกจะมองให้มาก ฟังให้มาก ลงมือทำให้มาก พูดให้น้อย ตั้งใจเรียนรู้ความสามารถของพวกแม่ทัพ เรียนรู้ให้เชี่ยวชาญ เรียนรู้อย่างละเอียด ครั้งนี้ได้รับการตักเตือนจากหลี่จิ้งผู้งดงามแล้ว ทำให้ลูกรู้ข้อบกพร่องของตัวเอง ลูกมีความภาคภูมิใจและความมั่นใจในตนเองอย่างแน่นอน แต่ลูกออกไปรบอย่างน้อยก็ปีกว่าถึงจะได้กลับมา เสด็จพ่อกับเสด็จแม่จะต้องดูแลสุขภาพให้ดี กินข้าวให้ตรงเวลา เมื่อเข้าฤดูหนาวต้องสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆ อย่าให้ลูกที่ทางไกลกังวลใจเป็นห่วง”
หลี่เฉิงเฉียนคุกเข่าลงบนพื้น โค้งคำนับให้หลี่ซื่อหมินและจั่งซุนด้วยความเคารพ จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินออกจากพระราชวัง
ตอนนี้คนของตระกูลอวิ๋นจะต้องกังวลมากเป็นแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องส่งข่าวเรื่องความปลอดภัยของอวิ๋นเยี่ยให้ตระกูลอวิ๋นรู้ให้ได้ ถึงแม้ว่าจะขัดขืนคำสั่งเมื่อสองเดือนก่อนของเสด็จพ่อก็ตาม
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 11 ซินเย่วแสดงอำนาจบารมี (หนึ่ง)
ข่าวคราวที่มาจากฉ่าวหยวนไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เนื่องจากข่าวการหายตัวไปของอวิ๋นเยี่ยแพร่ไปถึงฉ่าวหยวน มักมีบางคนมีความคิดไม่ดีเกิดขึ้น สำหรับพวกเขาแล้ว การหายตัวไปก็ไม่ต่างอะไรกับตายไปแล้ว รายงานการหายตัวไปที่สนามรบ ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือหากลับมาได้แค่กระดูก พวกเขาคิดว่าเจ้านายคนปัจจุบันของตระกูลอวิ๋นยังเป็นทารกที่ยังไม่หย่านม ไม่จำเป็นต้องใช้ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่กว้างใหญ่ขนาดนั้น และอยากเพิ่มที่ดินให้กับที่บ้านของตัวเองอีกสักหน่อย สมาชิกในบ้านของตัวเองมีมาก ข้าวก็ไม่ค่อยจะพอกิน ล้วนแต่เป็นชายชาติทหารเช่นเดียวกัน ใช้ตะเกียบคีบเนื้อในถ้วยของเจ้ามาให้ข้า ก็เป็นเรื่องที่สหายช่วยกันรับผิดชอบ
ตอนแรกคนที่คิดเช่นนี้มีมากมาย ถูกหลี่จิ้งที่ถูกขับไล่ให้มาอยู่ที่ฉ่าวหยวนทุบตีอย่างอนาถ แล้วดูเหมือนว่ายังจะถูกเหล่าเฉิง เหล่าหนิวฆ่าไปแล้วสองสามคน เฉิงฉู่มั่วยังเอาหัวของพวกเขามาเตะเล่นเป็นลูกบอล สุดท้ายตำแหน่งนายพันกลายเป็นนายพล พาคนสิบคนลาดตระเวนไปทั่วทั้งวัน แล้วยังพูดจาข่มขู่ออกไปว่าหากใครกล้าคิดที่จะทำอะไรกับตระกูลอวิ๋น เขาเตรียมที่จะจุดไฟเผาบ้านของพวกนั้นให้หมด
ข่าวคราวที่แพร่กระจายในฉ่าวหยวนจึงหยุดลง ทำให้แม้แต่ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของตระกูลอวิ๋นคนพวกนั้นก็ไม่กล้าเหลือบมอง แค่มองไปทางนั้น เฉิงฉู่มั่วก็คิดว่าเขามีความคิดที่ไม่ดี ต้องได้รับการสั่งสอน ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของตระกูลอวิ๋นก็เลยถือโอกาสนี้ เก็บวัวและแกะจำนวนมากมาจากบริเวณรอบๆ ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ก็เจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆ
ฮ่วนเหนียงบอกน่ารื่อมู่ไว้อยู่แล้วว่าไม่ต้องไปสนใจเรื่องของทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ดูแลลูกในท้องของตัวเองให้ดี เพียงแค่มีลูก ของพวกนั้นช้าเร็วก็กลับมา น่ารื่อมู่ก็เห็นด้วย เพียงแต่รู้สึกอยากกลับฉ่าวหยวน แต่คลอดลูกที่ฉ่าวหยวนนั้นอันตรายเกินไป ซินเย่วไม่อนุญาตให้นางกลับ และปลูกหญ้าผืนใหญ่บนเนินเขาด้านหลังของหมู่บ้าน เอาแกะให้นางสิบกว่าตัวด้วย หากอยากจะต้อนแกะก็ไปต้อนที่นั่นได้ทั้งวัน
สาวเลี้ยงแกะที่สวยงาม ร่ำรวย แถมยังร้องเพลงเป็น บนโลกนี้ก็มีแค่น่ารื่อมู่คนเดียว เมื่อคิดถึงอวิ๋นเยี่ยก็ไปร้องเพลงกับลูกแกะตัวน้อยบนทุ่งหญ้า เมื่อไหร่ที่น่ารื่อมู่ร้องเพลง ซินเย่วก็จะแอบร้องไห้ในห้อง ทว่าเมื่อเดินออกไปก็จะกลายเป็นฮูหยินที่สง่างามน่าเกรงขาม
เมื่อได้รู้ในวันนี้ว่าสามีของตัวเองยังมีชีวิตอยู่ก็มาที่ทุ่งหญ้าแต่เช้า เตรียมที่จะพูดคุยความในใจกับลูกแกะตัวน้อย นี่เป็นช่วงเวลาที่นางมีความสุขที่สุด
ทุ่งหญ้าด้านหลังหมู่บ้านติดกับที่ดินของตระกูลอื่น ได้ยินมาว่าเป็นที่ดินของตระกูลจางเลี่ยง ตระกูลของเขามีลูกบุญธรรมหลายคน หนึ่งในนั้นคนที่หล่อเหลาที่สุดชื่อว่าจางฮุ่ย สองสามวันนี้ไม่มีอะไรทำก็ออกมาเดินเล่นที่หมู่บ้านของตัวเอง ได้ยินคนรับใช้ของตระกูลบอกว่า มีผู้หญิงสวยคนหนึ่งชอบมาต้อนแกะที่ทุ่งหญ้าอยู่บ่อยๆ ดูเหมือนจะเป็นภรรยารองของตระกูลใหญ่โต
จางฮุ่ยเกิดมาพร้อมกับหน้าตาที่หล่อเหลา ได้รับความโปรดปรานจากพ่อบุญธรรมของตัวเองเป็นอย่างมาก เมื่อก่อนรู้ว่าแหย่อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ ก็เลยทำได้แค่ไปเล่นกับพวกผู้หญิงตระกูลเล็กตระกูลน้อยในเมืองฉางอัน
ตอนนี้รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยหายตัวไปจึงกล้าไปดูว่าผู้หญิงคนนั้นสวยงามเพียงใด เขาได้ยินมาว่าสาวเลี้ยงแกะคนนั้นมีสมบัติมหาศาลอยู่ที่ฉ่าวหยวนด้วย หากเขาต้องการนางก็ไม่มีใครห้ามเขาได้ พ่อบุญธรรมของเขาอาจจะนึกอยากถลกหนังของเขาออก แต่ถ้าหากทั้งสองฝ่ายต่างเห็นด้วย คนอื่นก็พูดอะไรไม่ได้ เขามั่นใจในหน้าตาของตัวเองเป็นอย่างมาก
เมื่อเอาความคิดไปบอกกับพ่อบุญธรรม พ่อบุญธรรมไม่ขัดข้องและไม่ได้เห็นด้วย เขาไม่พูดอะไรสักคำ
ไม่ขัดข้องก็เท่ากับเห็นด้วยล่ะสิ จางฮุ่ยคิดเช่นนี้ เมื่อเขาได้ยินคนรับใช้บอกว่าผู้หญิงคนนั้นออกมาต้อนแกะอีกแล้ว เขาก็สวมเสื้อคลุมสีชมพูอ่อน แขวนลูกปัดเรืองแสงไว้ที่เอว แล้วยังหวีจัดทรงผมอย่างเรียบร้อย ดึงเส้นผมออกมาปิดที่ตาข้างหนึ่ง พอส่องกระจก ชายหนุ่มรูปงามก็ปรากฏตัวขึ้นมาทันที
“ชายรูปงามเช่นนี้ ถึงแม้จะเป็นพานอันกับซ่งอวี้ก็สู้ไม่ได้” เป่าปากเตรียมตัวเดินออกไปที่ทุ่งหญ้า
ทันทีที่เดินออกมานอกประตูก็ถอนหายใจ สวรรค์เป็นใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กลีบดอกท้อโปรยปรายลงมาราวกับสายฝน เป็นภาพที่ดูสวยงามหมดจด สภาพอากาศเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องกางร่ม แต่จางฮุ่ยกลับกางร่มสีชมพูอ่อนราวกับหญิงสาว มองจากระยะไกล ราวกับดอกท้อที่เบ่งบาน
ค่อยๆ เดินช้าลง มุมที่เหมาะสมเช่นนี้ เป็นมุมที่สาวเลี้ยงแกะสวมชุดสีเขียวคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเขาพอดี รอยยิ้มที่อ่อนโยน ท่าทางสง่างาม จางฮุ่ยกำลังรอให้สาวเลี้ยงแกะตะโกนพูดกับตัวเขาเองว่า “ท่านชายเพคะ”
ประสบการณ์เช่นนี้เจอมามากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงตระกูลใหญ่โตหรือตระกูลเล็กๆ หากมีความกล้าหาญสักหน่อยก็ล้วนแต่จะพูดเช่นนี้ และสิ่งที่ผู้หญิงฉางอันไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือความกล้าหาญ
สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ สาวเลี้ยงแกะหน้าแดง เอามือกุมที่หน้าอกตัวเอง แต่สาวเลี้ยงแกะคนนั้นไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง ยังคงพูดคุยอยู่กับลูกแกะตัวน้อยที่อุ้มอยู่ในอ้อมแขน พูดอย่างตื่นเต้น แล้วยังใช้นิ้ววาดบนตัวแกะไม่หยุด น่าหลงใหลเป็นอย่างมาก
เพียงแค่โผล่ออกมาให้เห็นเพียงครึ่งหน้า ก็ทำให้จางฮุ่ยใจสั่น ปล่อยให้ผู้หญิงเช่นนี้มาต้อนแกะได้เช่นไรกัน อวิ๋นเยี่ยทำเสียของจริงๆ
จางฮุ่ยตัดสินใจเดินวนอีกรอบหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะมีชายแก่ไว้หนวดยืนอยู่ห่างจากสาวเลี้ยงแกะล่ะก็ เขาคงจะเข้าไปหานางตั้งนานแล้ว สาวใช้กำลังแอบมองเขาอยู่ จางฮุ่ยรู้ดีว่าสาวเลี้ยงแกะคงจะมีเรื่องบางอย่างในใจ มิเช่นนั้นก็คงจะเห็นชายหนุ่มรูปงานอย่างตัวเขาตั้งนานแล้ว
ไปๆ มาๆ เดินวนไปแล้วหกรอบ แต่สาวเลี้ยงแกะยังคงจมอยู่ในโลกของตัวเอง พูดคุยกับลูกแกะตัวนั้น ในสายตาของนางชายหนุ่มรูปงามอย่างจางฮุ่ยไม่สำคัญเท่าลูกแกะตัวนั้นเลยสักนิด
จางฮุ่ยหมดความอดทน เมื่อก่อนเขาหลอกล่อผู้หญิงพวกนั้นไม่เคยยุ่งยากเช่นนี้มาก่อน ประสบความสำเร็จอย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้กลับต้องมาเจอกับเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ ทำให้เขาสูญเสียเล่ห์เหลี่ยมของเมื่อก่อนไป
เดินเข้ามาคุยกับน่ารื่อมู่ว่า “แม่นาง เหตุใดถึงได้หน้าบึ้ง คนงดงามเช่นเจ้าควรจะได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า ที่นี่มีหญ้า มีดอกไม้ มีฝนดอกท้อ และยังมีข้าอยู่ที่นี่ด้วย ให้ข้าเป่าเพลง ‘หงส์ฟ้าหาคู่’ ให้เจ้าฟัง หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความทุกข์ใจของเจ้าไปได้บ้าง”
น่ารื่อมู่กำลังเล่าเรื่องที่ฉ่าวหยวนของนางกับอวิ๋นเยี่ยให้แกะน้อยฟัง จู่ๆ ก็ได้ยินเช่นนี้ นางถึงกับตกใจ เงยหน้าขึ้นเห็นเส้นผมที่มันเยิ้ม ใบหน้าที่ยิ้มแย้ม กลิ่นน้ำหอมโชยเข้าจมูก อดไม่ได้ที่จะกลัวและตะโกนว่า “ลุงเจียง ลุงเจียง”
เมื่อกี้เหล่าเจียงเดินไปฉี่ที่ด้านหลังเขา กลับมาได้ยินเสียงฮูหยินที่สองกำลังตะโกนเรียกตัวเอง มองไปก็เห็นชายคนที่เมื่อครู่ก่อนยังเดินเล่นอยู่นอกทุ่งหญ้ามายืนอยู่ข้างๆ ฮูหยินที่สอง อยู่บนที่ดินของตัวเองอยากทำอะไรก็ทำ ตอนนี้กล้าเข้ามาก่อความวุ่นวายในที่ดินของตระกูลอวิ๋น รนหาที่ตายชัดๆ
เช็ดมือที่เอว ค้อนที่ใหญ่เท่ากำปั้นก็ลอยออกไป จางฮุ่ยไม่เคยเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ ตัวเองเข้าไปทักทายกับผู้หญิงอย่างสุภาพ แต่กลับทำให้นางตกใจ กำลังจะอธิบาย ก็เห็นเงาดำปรากฏขึ้นมาต่อหน้าต่อตา เขาได้ยินเสียงกระดูกบนหน้าของตัวเอง สิ่งแรกที่เขากังวลไม่ใช่ชีวิต หากแต่กังวลว่าใบหน้าของตัวเองจะกลับสู่สภาพเดิมได้หรือไม่
ค้อนน้ำเต้าไม่เพียงทำให้ใบหน้าของจางฮุ่ยเสียโฉม ฟันของเขาก็ร่วงไปทั่วพื้น แม้แต่ส่วนลูกกะตาก็ยังสั่นสะเทือนไปถึงเบ้าตา มันช่างน่ากลัว สาวใช้ร้องกรี๊ดขึ้นมา ทรุดตัวนั่งลงที่พื้น กางเกงก็เปียกทันที ตอนอยู่ที่ฉ่าวหยวน น่ารื่อมู่เห็นคนตายมากกว่าคนเป็นเสียอีก เรื่องแค่นี้ไม่สามารถทำให้นางตกใจได้ ปล่อยลูกแกะแล้วลุกขึ้นยืน ใช้เท้าเตะจางฮุ่ยที่นอนหมดสติสองทีเพื่อบรรเทาความแค้น
ถึงแม้ว่านางจะไร้เดียงสาแต่นางก็ไม่ได้โง่ จางฮุ่ยปรากฏตัวขึ้นมานางก็เห็นแล้ว เพราะเขาปรากฏตัวจากมุมนั้น ไม่อยากเห็นก็คงไม่ได้ ตอนแรกคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แล้วยังรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้หล่อเหลาไม่เบา ถอนหายใจ แต่เห็นว่าเขาเดินไปเดินมาไม่รู้จักจบ นางก็รู้ว่าเขาคิดอะไร ฮ่วนเหนียงเคยบอกว่าในฉางอันมีคนประเภทนี้มากมาย ขายหน้าตาเกาะผู้หญิงกิน หากแปดเปื้อนชื่อเสียงของผู้หญิงก็จบกัน ชั่วร้ายเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าชื่อเสียงคืออะไร แต่ทุกอย่างของตัวนางเป็นของท่านพี่ จะเอาไปให้คนนอกไม่ได้ นี่คือสิ่งที่น่ารื่อมู่ยืนหยัด
“ลุงเจียง เอาร่างของพวกเกาะผู้หญิงกินเช่นนี้โยนออกไปจากที่ดินของตระกูลเรา หญ้าของเราจะได้ไม่สกปรก ตระกูลของเรากินแต่ข้าวสุก ไม่เกาะผู้หญิงกิน”
เหล่าเจียงยกนิ้วโป้งให้กับน่ารื่อมู่ หัวเราะและลากขาจางฮุ่ยโยนไปไกลๆ ถ้าเมื่อครู่ถูกค้อนทุบไม่ตาย ตอนนี้ก็คงจะตายแล้วจริงๆ
“ฮูหยิน หากมีใครถามให้บอกว่าเหล่าฮั่นเห็นเขามาบังอาจในพื้นที่ของเรา สุดท้ายถูกเหล่าฮั่นตีตาย อย่าพูดถึงตัวเองเด็ดขาด แพร่ออกไปมันจะไม่ดีต่อชื่อเสียงของท่าน”
เหล่าเจียงชำเลืองมองร่างที่นอนนิ่งของจางฮุ่ย น่ารื่อมู่ไม่รู้ แต่เหล่าเจียงรู้ดีว่าตรงข้ามคือที่ของตระกูลจางเลี่ยง ไอ้เจ้านี่คือเจ้านายคนต่อไปของตระกูล ได้ยินมาว่าจางเลี่ยงชอบลูกบุญธรรมคนนี้เป็นอย่างมาก เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาไม่ยอมเป็นแน่ ตอนนี้ท่านโหวไม่อยู่ ตระกูลของตัวเองต้องอดทน ไม่ได้จริงๆ ก็ชดใช้ชีวิตต่อชีวิต
“ไม่ใช่ซะหน่อย ลุงเจียง ขอแค่ท่านพี่ไม่คิดอะไร ใครจะสนพวกเขาพูดอะไร เมื่อกี้ข้าช่วยเจ้าด้วยนะ ข้าเตะไปสองที”
เหล่าเจียงหัวเราะขึ้นมา ตระกูลอวิ๋นไม่มีคนขี้โกง แม้แต่ผู้หญิงก็ยังมีความรับผิดชอบเช่นนี้ ทำงานในตระกูลเช่นนี้ สบายใจจริงๆ
สาวใช้ลุกขึ้นจากพื้น เมื่อครู่นางตกใจจนฉี่ราดกางเกง เดินหนีบขาตามหลังมาช้าๆ อย่างอับอาย นางคิดไว้แล้วว่า ถ้ามีคนถามจะบอกว่าเปียกน้ำฝน แต่ชายรูปงามคนนั้น ช่างน่าเสียดายนัก
เหล่าเจียงพาน่ารื่อมู่กับสาวใช้ต้อนฝูงแกะกลับบ้าน ชายสวมผ้าโพกศีรษะพุ่งออกมาจากในป่า จับที่หน้าอกของจางฮุ่ยเบาๆ แล้วใช้มีดแทงเจ็ดแปดที ฝีมือไม่ธรรมดา ไม่มีเลือดออกเลยสักนิด มองไปรอบๆ อีกครั้ง ไม่เห็นคนนอก จากนั้นก็กลับเข้าไปในป่าอย่างเงียบๆ
คราวนี้แม้แต่นกบนต้นไม้ก็ยังรู้สึกถึงกลิ่นอายของความตาย กระโดดไปมาบนกิ่งไม้ สะบัดหยดน้ำบนขนเป็นครั้งเป็นคราว ซ่อนตัวอยู่ใต้กิ่งไม้ไม่ยอมโผล่หัวออกมา
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ หยดน้ำเย็นๆ กลิ้งลงบนใบหน้าที่เปื้อนเลือดของจางฮุ่ย คราบเลือดต้องใช้น้ำเย็นล้างถึงจะล้างออก น้ำฝนเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน กลายเป็นหยดเลือดล้างผงสีขาวที่เขาทาไว้บนใบหน้าจนเป็นรอย ในเบ้าตาที่ว่างเปล่าไม่มีน้ำตา มีเพียงลูกกะตาที่อยู่ในเบ้าตามองไปบนท้องฟ้าที่มืดมน
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 12 ซินเย่วแสดงอำนาจบารมี (สอง)
สมกับเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของชายชาติทหาร ไม่เคยผัดวันประกันพรุ่ง น่ารื่อมู่กลับมาถึงบ้านก็เล่าต้นสายปลายเหตุให้กับซินเย่วฟัง แล้วยังบอกซินเย่วว่าเรื่องนี้นางเป็นคนบอกให้เหล่าเจียงจัดการ นางจะเป็นคนรับผิดชอบเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับเหล่าเจียง มีอะไรก็ให้มาลงที่นาง นางนักเลงพอ
พูดเสร็จ ลูกบุญธรรมคนที่สิบแปดของจางเลี่ยงก็แบกศพของจางฮุ่ยมาที่บ้าน มาเอาความผิดตระกูลอวิ๋นอย่างกระวนกระวาย ทุกคนต่างพากันสวมชุดเกราะ มือถือดาบ ล้อมอยู่ที่หน้าประตูบ้านของตระกูลอวิ๋น ถึงแม้ว่าจะถูกองครักษ์ของตระกูลอวิ๋นล้อมรอบ แต่เพราะว่ามีคนเยอะเลยไม่กลัวแม้แต่น้อย เอาแต่บอกว่าให้เรียกเจ้านายของตระกูลอวิ๋นออกมาให้คำตอบ มิเช่นนั้นจะบุกเข้าไปถามท่านย่าของตระกูลอวิ๋น นี่มันจะบังอาจมากเกินไปแล้ว
หลังจากที่น่ารื่อมู่ตั้งท้อง ซินเย่วก็ไม่เคยแตะต้องนางเลยแม้แต่ปลายนิ้ว อาหารที่บ้านก็ทำตามความชอบของนาง ตอนนี้น่ารื่อมู่ก็เลยไม่กลัวซินเย่วเลยสักนิด แต่ตอนเห็นสายตาที่แพรวพราวของซินเย่ว นางก็ก้มหัวลง ไม่กล้าสบตากับนาง
สั่งให้คนรับใช้เปิดประตูใหญ่ ซินเย่วยืนอยู่หน้าประตู ไม่มีการโค้งคำนับทักทายแล้วก็ไม่มีการตื่นตระหนก พูดกับจางเสินจี่เบาๆ ว่า “ศพของคนตายอยู่ที่ใด”
“ฮูหยิน ข้าเคารพนับถือท่านในฐานะฮูหยินชั้นสี่ และเป็นหญิงอาวุโส ศพของจางฮุ่ยน่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง หน้าตาเสียโฉม บนร่างกายยังมีรอบมีดแทงตั้งเจ็ดแปดรอย ฮูหยินอย่าดูเลยจะดีกว่า”
ซินเย่วเลิกคิ้วและพูดว่า “เจ้าเอาศพมาพูดลอยๆ ว่าคนของข้าฆ่าคน ไม่ดูให้ชัดเจนได้เช่นไร หากพรุ่งนี้ข้าเอาศพไปเอาความผิดที่จวนของตระกูลจาง พวกเจ้าก็จะไม่ดูศพกันหรือ”
จางเสินจี่หัวเราะเสียงดังขึ้นมาแล้วพูดกับซินเย่วว่า “ในเมื่อฮูหยินอยากดู ข้าจะไม่ยอมได้เช่นไร” พูดเสร็จก็โบกมือ คนรับใช้เปิดผ้าที่อยู่บนรถม้า ศพที่น่าสังเวชของจางฮุ่ยถูกเปิดเผยท่ามกลางแสงแดดตอนกลางวันแสกๆ เลือดบนหน้าก็ยังไม่ได้เช็ด พวกเขาจงใจทิ้งไว้ให้คนรังเกียจ
ซินเย่วเหลือบมองไปที่ศพสองสามครั้ง เห็นว่าเหล่าเจียงพยักหน้าให้นาง นางก็รู้ว่านี่คือตัวจริง
เงยหน้าขึ้นถามจางเสินจี่ที่อยู่บนหลังม้าว่า “ไม่ทราบว่าจางกงมีความคิดเห็นเช่นไร”
“พ่อบุญธรรมของข้าสงสารตระกูลของท่านที่ไม่มีลูกผู้ชายที่โตเป็นฝั่งเป็นฝา ขอแค่เจ้าชดใช้ให้ครอบครัวของจางฮุ่ยสักหน่อย ไปจุดธูปให้วิญญาณของเขา เราก็จะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก เพราะเห็นว่าเป็นชายชาติทหารด้วยกัน มิเช่นนั้นวันนี้เขาก็คงจะบุกมาที่ตระกูลอวิ๋นของท่านแล้ว”
ซินเย่วพยักหน้า สั่งให้พ่อบ้านเอาทองคำหนึ่งกิโลครึ่งมาวางไว้ตรงหน้าของจางเสินจี่ แล้วพูดว่า “ทองคำหนึ่งกิโลครึ่งก็ถือว่าชดใช้เพียงพอแล้ว เจ้ากลับไปซะเถอะ คิดซะว่าเจ้าไม่รู้กฎของตระกูลอวิ๋น ครั้งนี้ปล่อยเจ้าไปก่อน”
จางเสินจี่ยังไม่ทันได้พูดอะไร พวกทหารพากันชี้ไปที่ซินเย่วและพูดเสียงพึมพำ ชักดาบออกมา ดูเหมือนว่าแค่ออกคำสั่ง พวกเขาก็พร้อมที่จะฆ่าทันที
จางเสินจี่หันหลังไปพูดให้พวกทหารของเขาสงบสติอารมณ์ลงก่อน จากนั้นก็หัวเราะและพูดว่า “ตระกูลของข้ากับเจ้าก็ล้วนแต่เป็นตระกูลที่มีเกียรติด้วยกันทั้งคู่ รับใช้กองทัพทหาร ตัดสินถูกผิด สูญเสียชื่อเสียงมาด้วยกัน เรามาตัดสินตามกฎของกองทัพกันดีกว่า ผู้ที่แข็งแกร่งคือราชา หากตระกูลของเจ้าสามารถหาคนที่ฆ่าพี่ชายของข้าได้ พวกข้าก็จะยอมแพ้ เอาศพของจางฮุ่ยกลับไปทันที และจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่ถ้าหากพวกข้าชนะ ตระกูลอวิ๋นของเจ้าต้องเอาทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่เขาอินซานให้พวกข้าทันที”
ซินเย่วเข้าใจทันที ไม่ได้ทำเพื่อคนตายอย่างที่คิดไว้ คนที่มีแค่หน้าตาหล่อเหลาไม่คุ้มค่าที่จะให้ตระกูลจางต้องมาเอาเรื่องถึงที่นี่ ที่แท้เป้าหมายก็คือทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์
ซินเย่วหัวเราะและพูดกับจางเสินจี่ว่า “เอาตามที่เจ้าต้องการ แต่ข้าขอเพิ่มอีกหนึ่งเงื่อนไข หากพวกเจ้าแพ้ ทุกคนต้องถูกตัดขาคนละหนึ่งข้าง ไม่ต้องกังวลไป ตระกูลอวิ๋นมีหมอทหารมากมาย จะตัดขาของพวกเจ้าออกอย่างระมัดระวัง ไม่ทำให้พวกเจ้าต้องถึงกับตาย”
จางเสินจี่งงงวย เขาไม่เข้าใจว่าเป็นผู้หญิงแท้ๆ ทำไมถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้ การเดิมพันกันครั้งนี้ ทำให้เขาเกิดความสงสัย แต่ตอนนี้ไม่มีทางให้หันหลังกลับแล้ว จะดีหรือร้ายก็ต้องกัดฟันสู้เท่านั้น
ความแข็งแกร่งของซินเย่วได้มาจากคำพูดของสามีตัวเอง พละกําลังของซ่านอิงติดอันดับหนึ่งของโลกอยู่แล้ว คนที่เอาชนะเขาได้ มากสุดก็ไม่เกินสิบคน สิบคนนี้ส่วนใหญ่อยู่ในพระราชวัง ที่เหลือเป็นพวกแม่ทัพ อวี้ฉือกง ฉินฉยง หลี่จิ้ง ต้วนจื้อเสียนก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่แค่ไม่เคยได้ยินมาว่าจางเลี่ยงอยู่ด้วย นางถึงได้ไม่สนใจการเดิมพันครั้งนี้ ตระกูลอวิ๋นยอมทนมาแล้วตั้งหลายปี เนื่องจากสาเหตุเรื่องของสามี นางรอบคอบมาโดยตลอด ทำอะไรด้วยความระมัดระวัง แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว สามีเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ เรื่องนี้เป็นโอกาสดีที่ตระกูลอวิ๋นจะกลับมามีอำนาจอีกครั้ง ตัวเองเป็นผู้หญิง ก่อเรื่องอะไรก็ย่อมได้รับการให้อภัย ก่อเรื่องร้ายแรงแค่ไหน ก็ไม่มีทางกลายเป็นกำเริบเสิบสานต่อราชวงค์ไปได้
ซ่านอิงสวมหมวกสีเขียวปรากฏตัวตรงหน้าประตู ตั้งแต่อวิ๋นเยี่ยหายตัวไป เขาก็ระดมเพื่อนๆ ช่วยตามหา ตัวเองรอฟังข่าวอยู่ที่ตระกูลอวิ๋น ตั้งแต่รู้ข่าวของอวิ๋นเยี่ยเมื่อวาน เขาเตรียมตัวที่จะไปตามหาอวิ๋นเยี่ยที่แคว้นหนานจ้าวตามลำพัง เตรียมที่จะออกเดินทางแล้ว แต่ดันเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาเสียก่อน
อวิ๋นจิ่วยืนกรานไม่ให้ซ่านอิงใส่เสื้อผ้าของตัวเองออกไป แล้วยังให้เขาใส่ชุดคนรับใช้ หลังจากถามซ่านอิงว่ามั่นใจแค่ไหนก็หาปืนที่เก่าแก่ที่สุดให้ตระกูลให้เขาไป เอาหางวัวมัดที่ปืน ถือว่าเป็นเครื่องประดับ และตั้งชื่อสุดเท่ให้เขาว่าอวิ๋นซานซือปา
อวิ๋นซานซือปาที่เพิ่งเปิดตัวออกมายืนอยู่หน้าประตู เขาถูกหัวเราะเสียงดังระงมไปหมด เพื่อที่จะได้ครอบครองตำแหน่งสูงสุดของศีลธรรม จางเสินจี่หยิบตราของจางเลี่ยงออกมาอย่างไม่ลังเล เชิญตระกูลเล็กๆ น้อยๆ ของเมืองฉางอันมาเป็นพยาน อยากจะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นข้อผูกมัดที่ทำให้ตระกูลอวิ๋นฟื้นตัวไม่ได้
ประตูของตระกูลอวิ๋นถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างพากันถือคราด พลั่วและจอบมาจากทุกหนทุกแห่ง สายตาเร่าร้อน แค่ซินเย่วออกคำสั่ง พวกคนของตระกูลจางก็จะถูกฝังในจวนอวิ๋นทันที
จางเสินจี่รู้สึกกังวล สถานการณ์ตอนนี้เกินกว่าที่เขาคิดไว้ เห็นได้ชัดว่าพวกชาวบ้านกล้าที่จะลงไม้ลงมือกับพวกเขาจริงๆ แผนการกอบโกยทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของพ่อบุญธรรมล้มแล้ว
ซ่านอิงยิ้มและพูดกับคนของตระกูลจางว่า “ข้าชื่ออวิ๋นซานซือปา เป็นคนกวาดพื้นของที่นี่ ข้าชอบการต่อสู้เป็นอย่างมาก ปกติแล้วข้าคนเดียวสู้กับคนเป็นกลุ่ม วันนี้ฮูหยินบอกแล้วว่า ต้องการขาของพวกเจ้าคนละข้าง งั้นก็เอามาซะดีๆ ไม่ต้องไปไหน”
ไม่รอให้จางเสินจี่ได้โต้ตอบ เขาก็พุ่งเข้าไป จางเสินจี่ไม่ใช่คนธรรมดา เห็นแสงลูกกระสุนกะพริบอยู่ข้างหน้า เขาก็ตะโกนขึ้นมา ขว้างมีดออกไป มีดหายไปแล้ว แต่จิตใจกลับรู้สึกไม่ค่อยดี เตรียมที่จะหนี แต่กลับเห็นเงาดำกลุ่มใหญ่ล้อมรอบตัวเองอยู่ คงจะหนีไม่ทันแล้ว มีดสั้นในมือซ้ายก็ขว้างออกไปแล้วอีก
ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะเบาๆ มีดสั้นกรีดเข้ามาที่เนื้อ ก็ยังคงหลบหนีการการโจมตีของเงาดำไม่ได้ เงาสีดำพุ่งเข้าใส่เขาอย่างแรง เขาตกลงมาจากหลังม้า
เมื่อเขากุมหัวลุกขึ้นยืนด้วยความมึนงง เขาก็เห็นคนรับใช้ที่น่ารังเกียจยืนอยู่ตรงหน้า แล้วที่ตัวเองใช้มีดแทงไปเมื่อกี้คือใครกัน
ก้มหน้าลงไปมองถึงได้เห็นว่าเป็นน้องชายของตัวเอง เลือดพุ่งออกมาจากปากอย่างมาก ที่ท้องยังมีมีดของตัวเองคาอยู่
“เจ้าเป็นใคร” ให้ตายจางเสินจี่ก็ไม่เชื่อว่าเขาเป็นคนรับใช้กวาดพื้น
“ข้าเป็นแค่คนรับใช้ ชื่อว่าอวิ๋นซานซือปา ข้าชอบการต่อสู้ แต่น่าเสียดายที่พวกเจ้าไม่มีความกล้าหาญเลยแม้แต่น้อย หากมีเวลา ข้าอยากจะลองประชันกับจางเลี่ยงดูสักหน่อย ดูว่าใครเก่งกว่ากัน”
เหล่าเฉียนไม่คำนึงถึงอะไรทั้งนั้น ให้คนรับใช้ยกมีดตัดหญ้าออกมา ทหารที่เคยอยู่ในสนามรบสองคน เคยได้ตำแหน่งไท่เป่า ไม่สนเป็นหรือตาย เอาขาวางลงใต้มีดตัด ทำท่าจะตัดขา เตรียมให้เกียรติการเดิมพัน
“ช้าก่อน ข้ามีเรื่องจะพูด” จางเสินจี่เป็นกังวลขึ้นมา ถึงแม้ว่าจางเลี่ยงจะมีลูกบุญธรรมห้าร้อยคน แต่ส่วนที่เป็นทหารไท่เป่ามีไม่ถึงหนึ่งร้อย นอกนั้นเป็นพวกศิษย์ไท่เป่า ไม่ได้เรื่องอะไร ใช้ชื่อเสียงของจางเลี่ยงอันธพาลไปทั่ว แทบจะเป็นภัยสาธารณะในฉางอัน ถ้าอีกสิบคนนี้ต้องเสียขาไปคนละข้าง ไม่ต้องคิดเลย พวกเขาคงถูกจางเลี่ยงทอดทิ้ง ต่อไปในอนาคตคงมีชีวิตที่น่าสังเวช จางเลี่ยงไม่เคยเลี้ยงดูคนไร้ประโยชน์ ถึงแม้ว่าคนๆ นั้นจะเรียกเขาว่าพ่อ
“อวิ๋นฮูหยิน จางเสินจี่ยอมแพ้ ขอร้องฮูหยิน ถือซะว่าเป็นชายชาติทหารด้วยกัน ปล่อยพวกเขาที่น่าสงสารไปเถิด ตัดขาของข้าคนเดียวได้หรือไม่”
“ข้าไม่สนใจ ข้าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ว่าข้างนอกพูดกันเช่นไร ในเมื่อเจ้ากล้ามาบังอาจกับตระกูลอวิ๋น เจ้าก็ต้องเตรียมใจให้พร้อม หากพวกเราแพ้ เจ้าจะยอมปล่อยพวกข้าไปหรือ ท่านพี่ของข้าเคยสอนข้าไว้ ตีงูไม่ตาย มันจะแว้งกัดเอาได้ เจ้าก็ยอมทนเอาเถอะ”
ได้ยินฮูหยินพูดเช่นนี้ พวกทหารก็กดมีดตัดลงไปอย่างมีความสุข หมอทหารที่อยู่อีกด้านหนึ่งเตรียมเหล็กที่เผาไฟไว้อยู่แล้ว ขาตกลงมา ก็เอาเหล็กกดขึ้นไป หลังจากเสียงร้องคำรามที่น่ากลัวเงียบลง กลิ่นของบาร์บีคิวก็อบอวลไปทั่ว หลายคนถึงกับอาเจียนออกมาทันที
สีหน้าของซินเย่วซีดเซียว พูดกับพวกที่มาเป็นพยานว่า “เบิกตามองไว้ให้ดี วันนี้ของพวกเขาก็คือพรุ่งนี้ของพวกเจ้า จะเลียแข้งเลียขาใครก็ดูดีๆ ทางที่ดีหาคนที่มีรากฐานแข็งแรงหน่อย อย่าถูกตัดขาได้ง่ายๆ”
ชายแก่นามสกุลหลิวที่เป็นหัวหน้า คุกเข่าก้มหัวอยู่ที่พื้น “ฮูหยินโปรดเมตตา พวกข้าไม่ได้อยากมา แต่พวกเขาเอาตราของซวินกั๋วกงมา พวกข้าไม่กล้าไม่มา”
ซินเย่วตัดสินใจใช้โอกาสนี้สร้างความน่าเกรงขามอีกครั้ง นางยอมถูกเรียกว่าเป็นหญิงโหดเ**้ยม แต่ก็ไม่มีทางยอม ถ้าหากสามีไม่กลับมา ตัวเองก็จำเป็นต้องเข้มแข็ง หลายร้อยชีวิตในตระกูลยังหวังให้นางเป็นเสาหลัก ทรัพย์สินที่สามีทิ้งไว้ ไม่ว่าใครต้องการแย่ง ซินเย่วจะสู้ให้ถึงที่สุด
มีคนขี่ม้าเร็วมาถึง กระโดดลงมาจากหลังม้า เห็นขาคนเก้าขาวางอยู่บนผ้าใบกันน้ำอย่างเรียบร้อย ข้างๆ มีคนขาพิการนอนอยู่เก้าคน บางคนร้องโหยหวน บางคนร้องไห้ และยังมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มด้วยความตื่นเต้นของพวกชาวบ้านที่อยู่ข้างๆ
คนที่มาก็คือจางเลี่ยง เดิมที่เขารอฟังข่าวดีอยู่ที่จวนของตัวเอง คิดว่าไม่นานตระกูลของตัวเองก็จะมีทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์อันกว้างขว้างเพิ่มขึ้นอีก แค่เลี้ยงวัวเลี้ยงแกะในทุกๆ ปีก็ทำเงินได้ก้อนใหญ่ ใครจะรู้ว่าจู่ๆ จะมีคนมาบอกข้าวร้าย ไท่เป่าของเขาสู้พวกคนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นไม่ได้ ตอนนี้กำลังจะถูกตัดขา
ถึงแม้ว่าลูกบุญธรรมจะเป็นเพียงสุนัขเฝ้าบ้านที่เขาเลี้ยงไว้ แต่ตอนนี้กำลังจะถูกคนอื่นฆ่าเสียหมด ก็ต้องเศร้าใจเป็นธรรมดา
จางเสินจี่ที่ถูกเอาขาวางไว้ใต้มีดตัดรีบร้องขอความช่วยเหลือ “ท่านพ่อช่วยข้าด้วย ท่านพ่อช่วยข้าด้วย” เหล่าเถียนที่เกิดมาในฐานะเพชฌฆาตไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ใช้แรงกดมีดเพื่อตัดลงอีกครั้ง
จางเลี่ยงโมโห ชี้หน้าซินเย่วแล้วพูดว่า “เจ้ามันหญิงโหดเ**้ยม”
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 13 ซินเย่วแสดงอำนาจบารมี (สาม)
ซินเย่วเดินไปทำความเคารพจางเลี่ยงแล้วพูดว่า “ข้าเป็นหญิงที่มีจริยธรรม ไม่รู้ว่าอะไรคือกฎระเบียบของมนุษย์ ข้ารู้เพียง ทรัพย์สินเงินทองที่ท่านพี่ทิ้งไว้ให้พวกข้า ข้าจะส่งมอบให้กับลูกของข้าอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าใครมาแย่งข้าก็ไม่ยอม สู้ไม่ได้ ตายไปข้าก็จะกัดเนื้อของมันไปด้วย จางกง ท่านเป็นถึงขุนนางเก่าแก่ของฝ่าบาท ท่านพี่เรียกท่านว่าผู้อาวุโส แต่วันนี้ท่านกลับทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้ ทำเช่นนั้นกับภรรยารองที่กำลังตั้งท้องของสามีข้า ใช้กลอุบายชายรูปงาม ท่านเป็นขุนนาง เป็นผู้อาวุโสประเภทใดกัน
ท่านกลับบอกว่าข้าโหดเ**้ยม หากท่านพี่ของข้ากลับมา ไปเอาเรื่องที่จวนของท่าน เป็นท่านพี่ของข้าไม่ใช่ท่าน เขาเพียงแค่ไปเยี่ยมผู้อาวุโสที่ราวกับเทพเซียนไม่กี่วัน พวกท่านก็ทนไม่ได้ที่จะกระโดดออกมาแย่งทรัพย์สินของตระกูลอวิ๋น พรุ่งนี้ข้าจะไปที่ราชสำนัก ไปถามว่าตำแหน่งที่ท่านพี่ของข้าใช้ชีวิตแลกมายังรักษาไว้ได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ ข้าจะพาท่านย่ากับลูกไปอยู่ในป่าเขาที่ลึกลับทันที และจะไม่ออกมาให้ท่านเห็นหน้าอีก”
จางเลี่ยงไม่เข้าใจว่าทำไมแผนการถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ไปได้ คนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นถือปืนจ้องมาที่ลำคอของเขา ราวกับว่าพร้อมที่จะยิงเข้ามาได้ทุกเมื่อ เขารู้ว่าไม่ว่าตัวเองจะหลบเช่นไร ก็ไม่มีทางหลบลูกกระสุนลูกนั้นได้
ยังมีบัณฑิตยืนอยู่ข้างหลังอีกหนึ่งคน ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร เพียงแค่ยืนอยู่ตั้งนั้น จางเลี่ยงสิ้นหวัง หากภรรยาของอวิ๋นเยี่ยต้องการฆ่าเขาจริงๆ เขาก็คงไม่มีทางรอด
ความรู้สึกเช่นนี้เคยเกิดขึ้นตอนที่เขาทำให้อวี้ฉือกงหงุดหงิด และรู้สึกได้ในตอนที่เท้าของเขาลอยขึ้นจากพื้น ตอนนั้นเขาคิดว่าอวี้ฉือกงต้องการจะฆ่าเขาจริงๆ
เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตระกูลอวิ๋นอยากจะฆ่าเขาจริงๆ ถ้าเขาไม่ใช่กั๋วกง มีดตัดอาจจะมาวางอยู่บนขาของเขาไปแล้วในวันนี้ มีเสียงกรีดร้องดังอยู่ข้างหู นั่นคือลูกบุญธรรมของเขาที่กำลังถูกตัดขา ทุกเสียงกรีดร้องทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว ผู้หญิงคนนี้ช่างโหดเ**้ยมเหลือเกิน
ผู้หญิงธรรมดาไม่สามารถทนอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ แต่เหตุผลที่ซินเย่วไม่เป็นลมก็เพราะว่านางท่องคำพูดของอวิ๋นเยี่ยอยู่ซ้ำๆ “มิเช่นนั้นไม่ต้องทำ ทำแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด มิเช่นนั้นไม่ต้องทำ ทำแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด” สามีเป็นคนที่มีการศึกษาสูงที่สุดในโลก คำพูดของเขาไม่มีทางผิด สามีเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก คำพูดของเขาไม่มีทางผิด
ซินเย่วท่องคำพูดนี้ซ้ำไปซ้ำมา พยายามดึงความแข็งแกร่งจากความคิดของอวิ๋นเยี่ย วิธีนี้เท่านั้นถึงจะทำให้นางบังคับตัวเองให้สงบลงได้
น่ารื่อมู่เดินออกมา จับมือซินเย่วแล้วพูดว่า “ท่านพี่ เจ้าไม่เคยอาศัยอยู่ที่ฉ่าวหยวน หากเจ้าไปที่ฉ่าวหยวน เห็นพวกเด็กๆ ทนหนาวเหน็บในฤดูหนาว เจ้าจะรู้ว่าเจ้าไม่ควรใจอ่อนกับศัตรู มิเช่นนั้น คนที่ถูกทำร้ายจะเป็นเรา ลูกๆ ของเรา ท่านย่าของเรา แล้วยังมีต้ายา เสี่ยวยา การตัดสินใจของเจ้าถูกต้องแล้ว หากศัตรูไม่ตายตอนนี้ คนที่ตายอาจจะเป็นญาติพี่น้องของเรา”
ในที่สุดซินเย่วก็เฝ้าดูจนจบ พูดกับจางเลี่ยงว่า “จางกง พรุ่งนี้เราไปเจอกันที่ราชสำนัก ข้ายอมถูกเฆี่ยนสามสิบทีเพื่อจะได้เจอกับฝ่าบาท เรามาปรึกษาเรื่องของวันนี้ต่อหน้าฝ่าบาท ฆ่าคนรับใช้ของเจ้าคนหนึ่ง ต้องจ่ายทองห้ากิโล ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตัดขาคนรับใช้ของเจ้า ก็แค่ต้องจ่ายทองสองกิโลครึ่ง ข้าให้พ่อบ้านนับเงินให้เจ้าตอนนี้เลยก็ได้ ตระกูลอวิ๋นไม่เคยติดหนี้ หนี้ใครก็ไม่เคยติด”
เหล่าเฉียนลุกขึ้นยืนอย่างชาญฉลาด หยิบทองแท่งออกมา ใช้สองมือยื่นให้จางเลี่ยงแล้วพูดว่า “ซวินกั๋วกง นี่คือทองหนักครึ่งกิโล เป็นทองคำบริสุทธิ์ ลูกของท่านตายไปสามคน พิการไปหกคน ตระกูลอวิ๋นควรชดใช้ทองให้แก่ท่าน ตามกฎของต้าถัง ฮูหยินของข้ามีตำแหน่ง สามารถลดลงครึ่งหนึ่ง ดังนั้นทองครึ่งกิโลนี้ ท่านเก็บไว้ให้ดี ถือโอกาสเขียนใบเสร็จให้ข้าด้วยก็ได้”
จางเลี่ยงสงบสติอารมณ์ลง ตำแหน่งขุนนางในหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะกวาดล้างความกล้าหาญของเขาไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ตกใจ ยังคงบังคับตัวเอง หยิบพู่กันออกมาจากถาด เซ็นชื่อแล้วโยนพู่กันในมือทิ้ง กวักมือเรียกคนรับใช้ที่พามาด้วย คนพวกนั้นก็รีบอุ้มไท่เป่าที่ถูกตัดขาขึ้นรถม้า จางเลี่ยงมองขาของพวกเขาที่กองอยู่ข้างๆ เขาลังเลไปพักหนึ่ง ถึงได้พูดกับซินเย่วว่า “ขาพวกนี้เอาคืนให้พวกข้าเสียเถิด ให้พวกเขาได้มีศพที่ครบสามสิบสอง”
“ไม่ได้ ขาพวกนี้จะถูกเอาไปห้อยไว้ที่หน้าหมู่บ้าน ให้ผู้คนเยี่ยมชม เป็นแบบอย่างให้คนรุ่นหลัง” ซินเย่วไม่ให้โอกาสจางเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย พูดเสร็จ ก็สะบัดแขนเสื้อ ชาวบ้านที่ขวางทางอยู่ก็พากับหลบให้จางเลี่ยงออกไป
ออกไปได้สักพัก จางเลี่ยงก็หันกลับมาตะโกนว่า “ตระกูลอวิ๋น เรื่องนี้มันจะไม่จบง่ายๆ พรุ่งนี้ที่ราชสำนัก ข้าจะรอเจ้า”
รอพวกเขาจากไปหมดแล้ว ซินเย่วก็โค้งคำนับให้กับชาวบ้านที่มาช่วยเหลือและตะโกนเสียงดังว่า “ขอบคุณทุกคนที่มาปกป้องตระกูลอวิ๋นของข้า ขอบคุณเป็นอย่างมาก”
พวกชาวบ้านก็ต่างพากับโค้งคำนับขอบคุณกันอย่างวุ่นวาย บางคนก็ยังชี้ด่า หัวเราะเยาะจางเลี่ยงที่จากไปแล้ว คนรับใช้เอาน้ำสะอาดมาสาดลงบนพื้น คราบเลือดที่แน่นหนาเมื่อกี้ ก็เบาบางลงทันที
น่ารื่อมู่ประคองซินเย่วกลับไปที่ห้องนอน ประตูพึ่งจะปิด ซินเย่วก็อาเจียนลงบนพรม อาเจียนอย่างแรงราวกับจะอาเจียนเอาหัวใจกับปอดออกมาด้วย
นี่คือประสบการณ์ที่ลูกผู้ชายควรมี ซินเย่วที่ได้รับการดูแลปกป้องอย่างดีจากอวิ๋นเยี่ย ในที่สุดก็ก้าวเข้าสู่การเป็นนายหญิงของตระกูล เพียงแต่ก้าวแรกนี้เร็วเกินไป รุนแรงเกินไป และโหดร้ายเกินไป
น้ำมูกน้ำตาไหลลงมา ร่างกายหดตัวเป็นลูกบอล เสียงร้องไห้กำลังจะดังออกมา แต่ก็ถูกมือของนางปิดเอาไว้ เหลือไว้เพียงเสียงที่คล้ายกับเสียงแมวร้องโหยหวน
น่ารื่อมู่กอดซินเย่ว ใช้มือลูบปลอบใจนางไม่หยุด ทั้งสองคนนั่งกอดกันบนพื้น ผ่านไปนาน ในห้องก็ค่อยๆ มืดลง ผ่านไปแล้วอีกวันหนึ่ง แต่กลางวันของวันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน
ใกล้จะถึงเที่ยงคืนแล้ว ซินเย่วก็ลุกขึ้นมานั่ง น่ารื่อมู่ขยี้ตาลุกขึ้นนั่ง ซินเย่วดันน่ารื่อมู่นอนลงบนเตียง ห่มผ้าให้นาง แตะที่หน้านางเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นคนโชคดี ตอนที่ท่านพี่อยู่ เขาก็รักเจ้า เอ็นดูเจ้า ตอนท่านพี่ไม่อยู่ข้าก็ดูแลเจ้า ใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาบ้านตลอดชีวิต ไม่ต้องออกไปฝ่าลมฝน ไม่ต้องออกไปสู้รบปรบมือข้างนอก ดีจังเลย
ถึงตอนนี้ข้าถึงได้รู้ว่าท่านพี่ต้องลำบากมากเพียงใด แกล้งทำตัวว่ามีความสุข หัวเราะสนุกสนานกับเราทั้งวัน การได้แต่งงานกับผู้ชายเช่นนี้ ถือเป็นบุญที่สะสมมาแต่ชาติปางก่อน เมื่อก่อนข้าเอาแต่ใจ ทำให้เจ้าไม่มีคืนเข้าหอที่ดี สิ่งที่ข้าติดเจ้าไว้ ข้าจะค่อยๆ คืนให้เจ้า”
เมื่อก่อนอวิ๋นเยี่ยต้องตื่นเที่ยงคืนเพื่อไปเข้าเฝ้าราชสำนักตอนเช้า ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ กินอะไรนิดๆ หน่อยๆ ซินเย่วป้อนนมลูกจนอิ่มแล้ว ถึงได้ขึ้นรถม้า มีอาจารย์หลี่์สือนั่งไปเป็นเพื่อน มุ่งหน้าสู่ฉางอัน
เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้วว่าในฉางอันไม่สามารถเก็บความลับอะไรได้ ซินเย่วลงจากรถม้าบนถนนจูเชวี่ย เดินไปหน้าประตูเมืองหลวง เหล่าฉินและอวี้ฉือกงรออยู่ตรงนั้นแล้ว เมื่อคืนที่ผ่านมาฉินฮูหยินและอวี้ฉือฮูหยินได้เข้าไปเยี่ยมซินเย่ว ผ่านไปไม่นาน ยังไม่ทันได้ออกจากจวน ธิดาแส้แดงก็มาด้วยเช่นกัน
หลังจากไปเยี่ยมชมขาของคนพวกนั้นที่จวนของตระกูลอวิ๋นเสร็จ ฉินฮูหยินกับอวี้ฉือฮูหยินก็พากันสวดมนต์ มีแค่ธิดาแส้แดงที่หัวเราะชอบใจ ตบที่ไหล่ของซินเย่วแล้วพูดว่า “ผู้หญิงเช่นเรา บางครั้งก็ต้องโหดเ**้ยมกันบ้าง มิเช่นนั้นไอ้พวกหัวขโมยก็ไม่มีทางให้เรามีชีวิตรอด เจ้าทำได้ดีมาก หากเป็นที่บ้านของข้า ข้าจะตัดหัวพวกเขาด้วยมือของข้าเอง ไม่ใช่แค่ตัดขา”
ซินเย่วรู้ดีว่าคำพูดของธิดาแส้แดงเชื่อไม่ได้ เพราะท่านพี่เคยบอกนางว่าสมองของธิดาแส้แดงไม่ปกติ ไม่รู้ว่าตอนนี้นางยังบ้าๆ บอๆ อยู่หรือไม่
“หลานสะใภ้ ได้ยินมาว่าเจ้าตัดขาไปตั้งสิบแปดคน? ทำดีมาก ขาที่เจ้าต้องการเพียงพอแล้วหรือไม่ หากเจ้ายังต้องการอีก ข้าจะไปตัดเอาที่บ้านของจางเลี่ยงมาให้เพิ่ม ยังไงซะลูกของเขาก็มีตั้งเยอะแยะ มีตั้งห้าร้อยคน”
อวี้ฉือกงมาถึงก็มาพูดล้อเล่นกับซินเย่ว เขาดูถูกคนขี้ประจบสอพออย่างจางเลี่ยงเป็นที่สุด ครั้งก่อนยังกล้ามานั่งทับที่ของเขา ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ
“เสี่ยวเย่ว เจ้าต้องเตรียมตัวไว้ให้ดี จางเลี่ยงไม่ยอมง่ายๆ แน่ ได้ยินมาว่าเขาได้ส่งข่าวไปให้พวกสนมในวังแล้ว ต้องการเป่าหูฝ่าบาท แต่ก็น่าจะไร้ประโยชน์ สนมในวังที่พูดอะไรได้ก็มีแค่ไม่กี่คน ฝ่าบาทไม่สนใจหรอก อย่างมากก็แค่พูดเหน็บแนมเจ้า เจ้าไม่ต้องไปสนใจ ทนเอาหน่อย มีพวกข้าคอยพูดแทนเจ้าอยู่แล้ว”
เมื่อขอบคุณความเมตตากรุณาของผู้อาวุโสทั้งสองอีกครั้ง ในเวลานี้เอง ประตูวังก็เปิดกว้าง มีขันทีคนหนึ่งเดินออกมา เปิดผ้าไหมสีเหลืองผืนหนึ่งแล้วตะโกนเสียงดังว่า “ฮองเฮามีคำสั่ง ตระกูลอวิ๋นรับคำสั่ง”
ซินเย่วรีบลุกขึ้น โค้งคำนับรับคำสั่ง “ตระกูลอวิ๋นมีศักดิ์ศรีและชาญฉลาด ละเว้นโทษทุกอย่าง รวมถึงการเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
ไม่มีต้นสายปลายเหตุ ท่องจบก็ยื่นให้ซินเย่วแล้วหันหลังเดินกลับไป ซินเย่วไม่ทันได้พูดขอบคุณสักคำ
จางเลี่ยงทำหน้ามืดเดินมาตรงหน้าซินเย่ว กำมือแล้วพูดว่า “อวิ๋นฮูหยิน จางเลี่ยงยอมแพ้ ขอร้องอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก ท่านก็ไม่ต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว ที่ดินที่อยู่ข้างหลังหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋น ข้ายกให้ตระกูลอวิ๋นไปเลย ถือว่าเป็นค่าชดใช้ที่ข้าบังอาจกับตระกูลอวิ๋น”
ซินเย่วหันไปขอคำแนะนำจากฉินฉยง นางนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าซวินกั๋วกงจะขอโทษตัวเองต่อหน้าขุนนางมากมายเช่นนี้ สำหรับจางเลี่ยงแล้ว นี่เป็นการลงโทษที่เจ็บปวดมากแล้ว
“เรื่องนี้ก็หยุดแค่นี้เถอะ กลับไปเจ้าก็ไปบอกให้พ่อบ้านไปเอาที่ดินผืนนั้นไว้ซะ เจ้าคงไม่รู้ ตอนนี้หากอยากได้ที่ดินที่อยู่ติดกับเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่าย ฝ่าบาทบอกแล้วว่า ต่อไประบบศักดินาจะมีอยู่แค่ในทุ่งหญ้าทะเลทรายหรือแคว้นหลิ่งหนานเท่านั้น ที่ดินในพื้นที่ราบตอนกลางจะถูกแจกจ่ายให้กับประชาชน ไม่ใช่ของพวกเราอีก”
อวี้ฉือกงพูดกับซินเย่วด้วยความชอบใจ นี่ต้องเป็นบทเรียนที่ฝ่าบาทอยากจะสั่งสอนจางเลี่ยงเป็นแน่ ถ้าก่อนที่จะเข้าเฝ้าฝ่าบาท จางเลี่ยงยังไกล่เกลี่ยกับตระกูลอวิ๋นไม่ได้ ผลลัพธ์ที่ไม่ดีกำลังรอเขาอยู่
จางเลี่ยงพยายามรักษาหน้าของตัวเอง ไม่เต็มใจจะยอมแพ้ คิดอยู่เสมอว่าการถูกเฆี่ยนสามสิบทีจะทำให้ซินเย่วยอมถอย นี่คือวิธีสุดท้ายของเขา ใครจะรู้ว่าจะถูกจั่งซุนทำลายทิ้งไปแล้วเมื่อครู่นี้
พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ซินเย่วนั่งรถม้ากลับบ้าน ในมือถือกล่องไว้กล่องหนึ่ง ข้างในคือที่ดินที่จางเลี่ยงชดใช้ให้กับตระกูลอวิ๋น นางลูบที่กล่องเบาๆ แล้วพูดว่า “ท่านพี่ ท่านรีบกลับมาเถิด ข้าแย่งที่ดินมาให้ตระกูลได้อีกผืนหนึ่งเชียวนะ”
[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...
ตอนที่ 14 สถานที่ที่น่ากลัว
แม่น้ำสายใหญ่ในแคว้นหนานจ้าวแตกต่างจากแม่น้ำสายใหญ่ของที่อื่น ในตอนแรกแม่น้ำอันกว้างใหญ่จะไหลไปเรื่อยๆ ก่อนจะกลายเป็นแม่น้ำที่มีน้ำไหลเอื่อยๆ ไปตลอดทาง อวิ๋นเยี่ยเห็นถ้ำขนาดใหญ่หลายแห่งกำลังกลืนกินน้ำในแม่น้ำ พยายามหลีกเลี่ยงทางเข้าของแม่น้ำใต้ดินพวกนั้นด้วยความกลัว ลักษณะภูมิประเทศของหินปูนหินอ่อนทำให้เกิดการตัดขวางของแม่น้ำใต้ดิน ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะเข้าไปสำรวจในถ้ำ ยังสามารถลอยอยู่บนแม่น้ำได้ก็ถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่งแล้ว
เสียงลิงร้องดังก้องกังวานตลอดสองข้างทาง และยังคงดังก้องอยู่ในหูด้วย แต่เรือกลับลอยข้ามผ่านภูเขาไปแล้ว นึกถึงบทกวีขึ้นมา อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะรู้ว่าแม่ของหลี่ไป่คือใครกัน ขณะนั้นเอง แม่น้ำเริ่มแคบลงเรื่อยๆ กระแสน้ำก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ แพไม้ไผ่ล่องไปอย่างรวดเร็ว ข้างหูได้ยินเพียงเสียงของสายลม หน้าผาทั้งสองข้างคดเคี้ยวราวกับกำลังบินถอยหลัง และยังมีเสียงดังอึกทึกดังมาจากข้างหน้า ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่าข้างหน้ามีน้ำตก พยายามออกแรงพายแพไปที่ชายฝั่ง แต่ท่ามกลางกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว แรงของอวิ๋นเยี่ยแค่คนเดียวมันแทบจะไม่ส่งผลอะไร
โชคดีที่จู่ๆ แพก็ล่องเข้าไปในทะเลสาบเล็กๆ แทน กระแสน้ำไหลช้าลง แต่เสียงน้ำตกกลับดังขึ้น ถือโอกาสสุดท้าย อวิ๋นเยี่ยพายแพไม้ไผ่ไปที่ริมฝั่งของแม่น้ำ
วั่งไฉที่นอนอยู่บนแพมาแล้วสองวัน รอเข้าฝั่งไม่ไหวแล้วจึงกระโดดลงน้ำ แล้วไปกลิ้งตัวลงบนพื้นทรายข้างฝั่ง อวิ๋นเยี่ยเอาแพมายึดไว้บนฝั่งแล้วก็เดินขึ้นฝั่งไป นอนหงายบนพื้นทรายอันอบอุ่น ได้ยินเสียงกระดูกสันหลังของตัวเอง ทนทุกข์ทรมานอย่างไร้มนุษยธรรมเป็นเวลาสองวันสองคืนเช่นนี้ สิ่งที่เขาปรารถนามากที่สุดก็คือการได้นอนหลับพักผ่อน
อวิ๋นเยี่ยนอนไม่หลับ แล้วก็ไม่กล้านอนหลับ ต้องหาที่นอนที่ปลอดภัยเขาถึงจะกล้านอนอย่างไร้กังวล หลังจากวนรอบทะเลสาบแล้วครึ่งรอบ อวิ๋นเยี่ยก็เห็นว่าที่ที่ตัวเองอยู่นั้นเป็นคุกของธรรมชาติ ทางเข้าทางเดียวก็คือแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว ทางออกทางเดียวก็คือน้ำตก ไม่รู้ว่าสถานการณ์ฝั่งตรงข้ามเป็นเช่นไร ในมุมมองของอวิ๋นเยี่ย ไม่จำเป็นต้องคาดหวังอะไรมากเกินไป
ปีนขึ้นมาบนฝั่ง ที่นี่สามารถมองเห็นแสงอาทิตย์ได้ แนวคิดเรื่องแสงอาทิตย์เป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่ง หนึ่งวันในหุบเขามองเห็นแสงอาทิตย์ไม่นานนัก
มีฝั่งที่โค้งเข้าไปด้านใน พอที่จะบังลมฝนได้บ้าง มองฝ่ามือที่เปียกน้ำจนขาวซีดของตัวเอง เขาก็ยิ้มอย่างขมขื่น แผนการหลบหนีที่สมบูรณ์แบบมักจะมีข้อบกพร่องอยู่เสมอ กฎข้อหนึ่งของการสำรวจป่าเขาในยุคหลังคือการเดินไปตามทางน้ำไหลก็จะสามารถกลับเข้าไปสู่โลกที่ศิวิไลซ์ได้ แต่อวิ๋นเยี่ยลืมไปว่าตอนนี้คือยุคโบราณ ไม่ใช่ยุคหลังที่มีประชากรกว่าหกพันล้านคน มีคนอยู่ทุกหนทุกแห่ง ตอนนี้ความน่าจะเป็นที่ได้เจอกับผู้คนต่ำเกินไป
ทั้งแคว้นหนานจ้าวมีคนไม่ถึงหนึ่งล้านคน ในแง่ของจำนวน บางทีคงเทียบกับหมีแพนด้าไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาส่ายหน้า ขับไล่สิ่งยุ่งเหยิงที่อยู่ในหัวออกไป ตัดไม้ไผ่ขนาดเล็กมาทำเป็นไม้กวาด กวาดพวกใบไม้แห้งและขี้นกสกปรกออก จากนั้นก็เอาผ้าห่มสองผืนมาปู ที่นี่เป็นบ้านชั่วคราวของเขาไปแล้ว ตอนนี้ยังกังวลอะไรมากไม่ได้ สิ่งที่ควรทำในตอนนี้คือรีบฟื้นฟูพลังงานของตัวเอง
ผูกเส้นไหมไว้รอบปากถ้ำอย่างแน่นหนา เตือนวั่งไฉว่าอย่าเผลอไปโดน มันเคยเจอฤทธิ์ของเส้นไหมมาแล้วก็เลยไม่กล้าเข้าใกล้เส้นไหม เว้นระยะห่างไว้ถึงสองฟุต
มองเห็นเสบียงอาหารในกระเป๋า ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกแย่ เสบียงอาหารพวกนี้ทั่นเกอเก็บเล็กผสมน้อยมาจากพวกชาวบ้านของนาง เพื่อเก็บเสบียงอาหารเอาไว้ อวิ๋นเยี่ยที่ทนหิวมาสองวันเต็มๆ ก็เลือกกินผักและเห็ดในป่าประทังชีวิตแทน
เมื่อรู้สึกถึงภาระอันหนักอึ้ง น้ำตาของอวิ๋นเยี่ยก็ไหลไม่หยุด ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องเป็นหนี้ชีวิตใคร เป็นหนี้เงินทองยังเบี้ยวได้ เป็นหนี้บุญคุณยังคืนได้ แต่ชีวิตของคนเรามีเพียงครั้งเดียว ใช้หมดแล้วก็หมดเลย ภาระนี้หนักหนาเกินไป
เมื่อข้าวสุก อวิ๋นเยี่ยยัดใส่ปากตัวเองสองสามคำ เอาให้วั่งไฉกินด้วย จากนั้นก็เก็บมันไว้ที่เดิม นอนหนุนท้องวั่งไฉแล้วหลับไป
เช้าวันต่อมาอวิ๋นเยี่ยถูกกระแสน้ำเย็นในหุบเขาปลุกตื่น วั่งไฉหมุนตัวกระวนกระวายอยู่ในถ้ำ เขาเลยแกะเส้นไหมออก ปล่อยมันออกไป ตัวเองก็เดินไปที่ริมแม่น้ำ กวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าล้างตา น้ำในแม่น้ำที่กระจัดกระจายสะท้อนให้เห็นถึงรูปร่างที่บิดเบี้ยวของอวิ๋นเยี่ย เวลานี้อาจจะเป็นภาพที่แท้จริงของอวิ๋นเยี่ย เขาเป็นคนที่มีจิตใจบิดเบี้ยวมาโดยตลอด
ก่อนที่จะหาทางออกเจอ การกักตุนเสบียงอาหารให้เพียงพอคือการเอาตัวรอด เขาไม่กล้าสิ้นเปลืองเสบียงอาหารอีกต่อไป ถึงแม้ว่าวั่งไฉจะขอร้องอ้อนวอนก็ไม่ให้
ตัดต้นไผ่หักครึ่ง ตัดข้อต่อไม้ไผ่ออกให้หมด ใช้เชือกมัดเข้าด้วยกันทำเป็นกระบอกไม้ไผ่ จากนั้นก็ตัดอีกท่อนทำเป็นตาข่าย เอาไปติดที่ปลายกระบอกไม้ไผ่ กับดักจับปลาง่ายๆ ก็ทำเสร็จแล้ว ใช้ก้อนหินกดทับกระบอกไม้ไผ่อย่างระมัดระวัง ให้น้ำไหลเข้ามาในกระบอกไม้ไผ่ จากนั้นก็ไหลออกไปทางตาข่าย ถ้ามีปลาไหลผ่านเข้ามา มันก็จะถูกดูดเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ สุดท้ายตกลงไปในตาข่าย เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ อวิ๋นเยี่ยทำกับดักเช่นนี้สามอัน
ตัดไม้ไผ่ในมือทำเป็นหอก ตัดเป็นหอกสั้นๆ สองสามอัน ตัดรูส่วนหน้าของกระบอกไม้ไผ่ เอาทรายใส่เข้าไปให้เต็ม ให้มันมีแรงโน้มถ่วง ขว้างมันออกไปสองสามครั้ง ค่อนข้างแม่นยำ แต่แค่ไม่ถูกหัวปลา
กลับมาที่ริมแม่น้ำ วั่งไฉคาบอะไรกลมๆ มา ไข่ห่าน? ที่นี่มีไข่ห่าน? แต่เมื่อเห็นปากที่เหนียวเหนอะหนะของวั่งไฉก็รู้ว่ามันกินไปแล้ว ส่วนไข่ฟองนี้เหลือไว้ให้อวิ๋นเยี่ย
คิดไม่ผิดที่รักและเอ็นดูมัน อวิ๋นเยี่ยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา เช็ดปากวั่งไฉที่เต็มไปด้วยไข่ให้สะอาด ก่อนที่จะจัดการกับไข่ฟองนี้ กินแบบสุกได้ก็กินแบบสุก หาหินบางๆ วางไว้บนกองไฟ เตรียมที่จะทำไข่เจียว
ทุบครั้งหนึ่งไม่แตก ทุบอีกครั้งก็ยังไม่แตก อวิ๋นเยี่ยเกาหัว ไข่ฟองนี้ทำไมถึงได้แข็งขนาดนี้ เขาทุบอย่างแรงอีกครั้งหนึ่งไข่ถึงแตก เห็นน้ำไข่แข็งตัวบนแผ่นหิน เขาก็รู้สึกชอบใจ หักไม้ไผ่บางๆ สองอันทำเป็นตะเกียบ เมื่อไข่แดงกำลังจะแข็งตัวอวิ๋นเยี่ยก็ขยับแผ่นหินออก ใช้ปากดูดไข่แดง ไข่ที่ดูดเข้าไปเต็มปากทำให้อวิ๋นเยี่ยมีความสุขจนแทบจะร้องไห้ ถึงแม้ว่าจะคาวไปหน่อย แต่อยู่ในป่า ไม่ควรสนใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้มากเกินไป
เมื่อดวงอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือหัว ในที่สุดอวิ๋นเยี่ยก็รู้แล้วว่าตัวเองกินไข่ของอะไรเข้าไป จระเข้ที่ไม่นับส่วนหางก็ยาวกว่าสองเมตรกำลังคลุ้มคลั่งอยู่ริมแม่น้ำ สะบัดหางตีทรายฟุ้งกระจายไปทั่ว อ้าปากมองหาหัวขโมยที่ขโมยไข่ของมันไป แม้แต่พุ่มไม้ไผ่ก็ไม่ยอมปล่อย อ้าปากกว้างงับไม้ไผ่ที่ใหญ่เท่าขาคนหักในทันที พลิกตัวไปมาสองครั้ง หักไม้ไผ่จนหมดถึงได้สงบลง
อวิ๋นเยี่ยนอนบนถ้ำเฝ้าดูจระเข้ที่กำลังบ้าคลั่งอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง วั่งไฉหลบอยู่ไกลๆ ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงจมูกที่มันโปรดปราน ทำท่าทางไร้เดียงสาราวกับนักบุญ
ตัวเองก็กินไข่ไปแล้วเช่นกัน จะโทษวั่งไฉไม่ได้ แต่ปัญหาคือไอ้ตัวน่ากลัวที่กำลังจะมาเอาชีวิตอยู่ข้างล่างนั่น จะไล่มันออกไปอย่างไรดี
อวิ๋นเยี่ยไม่เคยคิดเรื่องการต่อสู้กับจระเข้ หากคึกคะนองก็คิดว่าเลือกเป็นฮีโร่สังหารมังกรน่าจะดีกว่า ไปยั่วยุนักฆ่าเช่นนี้ คงมีความเป็นไปได้สูงที่จะกลายเป็นกองขี้ของจระเข้ แต่อาวุธที่ทำจากไม้ไผ่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจระเข้แน่ๆ
จระเข้อ้าปากกว้างดึงเถาวัลย์สีขาวลงมา เถาวัลย์ที่เหนียวมากเช่นนี้ แน่นหนาพอที่จะแขวนอวิ๋นเยี่ยได้ตั้งสามถึงห้าคน แต่มันกลับถูกจระเข้ดึงออกมาอย่างง่ายดาย
ลิงตัวหนึ่งกลายเป็นแพะรับบาปของวั่งไฉ มันบังเอิญกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ตามลำพัง ต้นไม้ถูกจระเข้กัดจนหัก อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าจระเข้เคลื่อนไหวเร็วมาก แม้กระทั่งความเร็วของลิงที่ยังไม่ทันได้โต้ตอบก็ถูกมันงับเข้าไปทั้งกระดูก กลืนลงคอไปสองที ลิงทั้งตัวก็หายเข้าไปในปากของจระเข้
เสียงกรีดร้องของลิงตัวอื่นดังขึ้นมาในหุบเขา บางครั้งก็ตะโกนประท้วงกับจระเข้ การประท้วงของผู้อ่อนแอไม่มีความหมาย จระเข้แก้แค้นสำเร็จแล้ว แถมยังได้กินของหวาน คลานไปรอบๆ ด้วยความพึงพอใจ เห็นหางลิงที่ถูกกัดทิ้งบนพื้น เพื่อไม่ให้เหลือทิ้งก็เลยกลืนมันเข้าไปในท้องด้วย
พวกลิงพากันเขย่าต้นไม้อย่างบ้าคลั่ง ดูเหมือนต้องการข่มขู่จระเข้ แต่จระเข้ก็ขุดหลุมทรายอีกครั้งอย่างไม่สนใจ นอนวางไข่ที่นั่น เห็นจระเข้กำลังวางไข่ อวิ๋นเยี่ยกับวั่งไฉก็ตื่นเต้นขึ้นมา ใครๆ ก็ชอบอาหารอันโอชะ
หลังจากวางไข่เสร็จ จระเข้ก็คลานไปรอบๆ มองดูผลผลิตของตัวเอง และยังใช้คางแตะที่ไข่เบาๆ ท่าทางของความเป็นแม่ที่รักลูกช่างน่าขยะแขยง จากนั้นก็ใช้ขาหลังเกลี่ยทรายที่อุ่นๆ กลบบนไข่ แล้วยังทิ้งรอยเล็บไว้บนพื้นทราย ท่าทางเจ้าเล่ห์ที่ต้องการปกปิดไข่ของมันทำให้อวิ๋นเยี่ยอยากจะหัวเราะ
จระเข้ค่อยๆ คลานลงไปในแม่น้ำ กระดิกหางและว่ายทวนน้ำไป แม้แต่กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวก็ทำอะไรมันไม่ได้ โดยทั่วไปจระเข้ตัวเมียจะไม่ทิ้งไข่ของตัวเอง แล้วก็จะไม่ฝังไข่ของตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมจระเข้ตัวนี้ถึงทิ้งลูกของตัวเองไป ไปหาอะไรกิน หรือไปทำอะไร
หัวขโมยไข่ตัวจริงลงมาจากถ้ำ ขุดหลุมทรายท่ามกลางเสียงร้องของฝูงลิง เก็บไข่เจ็ดแปดฟองลงในตะกร้าอย่างระมัดระวัง วางไว้บนแพ เตรียมตัวออกเดินทาง อยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไป รอให้ถึงพรุ่งนี้จระเข้กลับมานับไข่ของตัวเอง เห็นว่าไม่เหลือสักฟอง ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บางทีมันอาจจะเฝ้าอยู่ข้างไข่ไม่ไปไหน ถึงตอนนั้นตัวเขาจะไม่อดตายได้อย่างไร
กับดักปลาทั้งสามอันไม่เลวเลยทีเดียว ล้วนแต่มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยว ข้างในมีปลาที่ยาวหนึ่งฟุตห้าตัว ตายไปแล้วสองตัว อีกสามตัวยังไม่ตาย เจาะเหงือกพวกมันมัดรวมกันวางไว้บนแพ รอให้วั่งไฉขึ้นไปบนแพก่อน อวิ๋นเยี่ยก็พายแพออกไปยังฝั่งตรงข้ามทันที ท้องฟ้ามืดครึ้ม ราวกับฝนจะตกหนัก
มาถึงฝั่ง อวิ๋นเยี่ยตบหัวตัวเองด้วยความรำคาญ เขาถูกนิสัยชอบไปทางขวาของตัวเองเล่นงานเข้าแล้ว พื้นที่ตรงนี้มีขนาดใหญ่กว่าที่อื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด มีต้นไม้จำนวนมาก แล้วยังเป็นป่าการบูร ไม่มีปลิงหรือสิ่งมีชีวิตอะไร สถานที่ที่มียาฆ่าแมลงตามธรรมชาติไม่ใช่ที่อยู่สำหรับพวกแมลงแน่นอน
ต้นส้มป่าสองสามต้น เติบโตอยู่ห่างจากป่าเขา วั่งไฉกินส้มอย่างมีความสุข สุดท้ายเปรี้ยวปากจนน้ำลายไหลไม่หยุด
ตอนนี้ไม่นึกสนใจวั่งไฉ หาที่หลบฝนก่อนค่อยว่ากัน ขึ้นทางลาดชันมาก็เจอถ้ำ ในถ้ำมืดจนมองไม่เห็นข้างในแม้แต่น้อย จุดฟืนแห้งโยนเข้าไปถึงได้เห็นว่ามันตื้นมาก ที่ข้างในดูมืดมิดนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพราะควันจากกองไฟ ในนั้นน่ามีคนอยู่?
พอจับดูถึงได้รู้ว่ากองไฟก่อมานานหลายปีแล้ว แม้แต่เถ้าถ่านสีดำยังติดอยู่บนหิน ที่ที่สะอาดสะอ้านตรงปากทาง มีเส้นผมยุ่งเหยิงอยู่กองหนึ่งกับภาพวาดที่เรียบง่าย งานพู่กันหยาบกระด้าง มีกลิ่นอายของยุคดึกดําบรรพ์ ถูกหลีสือเลี้ยงดูสั่งสอนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มองดูภาพวาดนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
ในเมื่อเคยมีคนมาถึงที่นี่ หมายความว่าจะต้องมีทางออกใช่หรือไม่ หัวใจของอวิ๋นเยี่ยก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น