เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 8 ตอนที่ 1-3

[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 1 โลกนี้ช่างเเคบ

ได้ยินเสียงทักทายอันนุ่มนวลของโต้วเยี่ยนซาน อวิ๋นเยี่ยส่ายหน้า มองดูชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่รอบๆ ตัว ก่อนจะฝืนยิ้ม ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “จากกันไปเป็นปี ข้าน้อยสบายดี แต่ดูเจ้าผอมลงไปมาก” 


 


 


โต้วเยี่ยนซานหัวเราะคำพูดของอวิ๋นเยี่ยอยู่นานกว่าจะหยุดลงได้ เดินมาจับมืออวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “สหายอวิ๋นเป็นผู้ดีมีตระกูล แน่นอนว่าดูดีมีสง่าราศี ไม่เหมือนข้าที่เร่ร่อนเอาชีวิตรอดไปวันๆ ในชีวิตที่ลำบาก ยังมีบุญได้เจอกับสหายอวิ๋น นับว่าข้าโชคดีเป็นอย่างมาก ไม่ขออะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยสะบัดมือออกจากโต้วเยี่ยนซาน พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “วันนี้ข้าตกอยู่ในน้ำมือของเจ้า ข้าไม่ขออะไรมาก ให้ข้าตายอย่างสมเกียรติจะได้หรือไม่” 


 


 


สายตาของโต้วเยี่ยนซานดูมีความสุขอย่างปกปิดไม่อยู่ พูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “สหายอวิ๋น เจ้าพูดอะไรของเจ้า เราสองสหายได้เจอกัน ก็ต้องมีเรื่องคุยกันหน่อย เหตุใดมาพูดถึงเรื่องความตายเช่นนี้ ข้าได้รับการดูแลจากองค์หญิงทั่นเกอที่แคว้นหนานจ้าว มีพื้นที่เล็กพอได้อาศัย แล้วองค์หญิงทั่นเกอยังเอื้อเฟื้อเสื้อผ้าและอาหารให้แก่ข้าอีกด้วย รู้ตัวอีกทีข้าก็อยู่ที่นั่นมาได้ปีกว่าแล้ว เริ่มรู้สึกเบื่อ คิดถึงเพื่อนเก่ามากมายที่ฉางอัน จึงกลับมาที่ฉางอันเพื่อเยี่ยมเยือนเพื่อนเก่า คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับสหายอวิ๋นที่นี่ ข้ารู้สึกโชคดีเป็นอย่างมาก ขอเชิญสหายอวิ๋นไปอยู่ที่แคว้นหนานจ้าวกับข้าสักช่วงเวลาหนึ่งจะได้หรือไม่” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยเงยหน้ามองฟ้า ตอนนี้ถึงเวลาที่นกจะต้องกลับรังแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่านกที่อ่อนล้าอย่างตัวเองจะยังมีโอกาสได้กลับรังหรือไม่ 


 


 


“หากให้ข้าเดา องค์หญิงทั่นเกอที่เอื้อเฟื้อเสื้อผ้าและอาหารให้แก่เจ้า ตอนนี้คงตายไปแล้ว การมาของสหายโต้ว ใช่ว่าคนอย่างองค์หญิงทั่นเกอจะรับได้ ตอนนี้การต้อนรับของเจ้าที่อยู่ตรงหน้าข้า ข้าเกรงว่าไม่เหมาะที่จะปฏิเสธ ก็ดีเหมือนกันได้ยินมานานว่าแคว้นหนานจ้าวมีทิวทัศน์ที่สวยงาม ออกผจญภัยไปกับพี่โต้วสักหน่อยจะเป็นไรไป เพียงแค่อนุญาตให้ข้าเขียนจดหมายส่งไปให้คนที่บ้านจะได้หรือไม่ พวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” 


 


 


โต้วเยี่ยนซานขมวดคิ้วพร้อมกับยิ้มแล้วตอบตกลง ลูกน้องของโต้วเยี่ยนซานขูดเปลือกไม้จนเห็นเนื้อสีขาวของเยื่อไม้ แล้วเอาพู่กันให้กับอวิ๋นเยี่ย โต้วเยี่ยนซานยืนมองอยู่ข้างๆ 


 


 


เห็นอวิ๋นเยี่ยเขียนเสร็จ โต้วเยี่ยนซานแกล้งทำเป็นถ่อมตนแล้วพูดว่า “เจ้ากับข้าเป็นสหายกัน เหตุใดจึงเรียกข้าว่าญาติผู้ใหญ่ สหายอวิ๋นก็พูดเกินไป” 


 


 


“เจ้าคงไม่อยากให้มีทหารเต็มไปทุกพื้นที่ ทำให้ตัวเองยากแก่การเคลื่อนไหวไม่ใช่หรือ” 


 


 


โต้วเยี่ยนซานไม่พูดอะไรมาก ออกเดินนำไปก่อน พวกเขาเดินไปทางเล็กๆ ข้างในป่า ไม่นานก็มาถึงริมแม่น้ำป้าเหอ ที่ริมแม่น้ำมีเรือลำใหญ่จอดอยู่ บนเรือมีโคมไฟสีแดงแขวนอยู่ เดินมาถึงริมแม่น้ำ อวิ๋นเยี่ยลูบหน้าวั่งไฉ บอกลามัน หวังว่าเจ้าม้าที่เห็นแก่กินตัวนี้จะจำทางกลับบ้านได้ 


 


 


ผู้คนทยอยขึ้นเรือ คนบังคับเรือใช้ไม้ไผ่ดันเรือออกจากฝั่ง เรือใหญ่ค่อยๆ ออกห่างจากฝั่งไปตรงกลางน้ำ 


 


 


วั่งไฉเห็นคนจากไปกันหมด ทิ้งตัวเองให้อยู่ตัวเดียวบนฝั่ง รีบวิ่งไปตามริมฝั่งอย่างกระวนกระวาย ร้องตามอย่างไม่หยุด เห็นว่าเรือลำใหญ่ยังไม่มีท่าทีว่าจะจอด จึงกระโดดลงน้ำ ในแม่น้ำที่ลึก วั่งไฉลอยคอพยายามจะว่ายไปที่เรือลำใหญ่ 


 


 


ช่วยไม่ได้ เรือได้ชักใบไปแล้ว ลอยไปตามสายน้ำเรื่อยๆ ไม่ว่าวั่งไฉจะพยายามอย่างไรก็ตามเรือใหญ่ไม่ทัน ทั้งแม่น้ำได้ยินแต่เสียงมันร้องอย่างกระวนกระวายใจ 


 


 


อวิ๋นเยี่ยน้ำตาไหลอาบใบหน้า หากวั่งไฉกลับบ้านจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่มันกลับเอาแต่รนหาที่ตาย 


 


 


“โต้วเยี่ยนซาน หยุดเรือเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะได้แต่ร่างไร้วิญญาณของข้ากลับไป” 


 


 


โต้วเยี่ยนซานมองดูวั่งไฉที่ตะกุยตะกายอยู่ในแม่น้ำอย่างน่าขัน แล้วหันมามองอวิ๋นเยี่ยที่กำลังร้องไห้ โต้วเยี่ยนซานหัวเราะแล้วพูดว่า “สหายอวิ๋น มันก็แค่ม้าตัวเดียว ข้ากล้าพนันว่ามันจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งก้านธูป เจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไร” 


 


 


“หยุดเรือเดี๋ยวนี้!” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยเค้นเสียงออกมาจากในลำคอ ขาข้างหนึ่งยืนอยู่ขอบเรือ หากโต้วเยี่ยนซานยังไม่หยุดเรือ เขาก็พร้อมที่จะจบชีวิตตัวเอง ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมโต้วเยี่ยนซานยังไม่ฆ่าตัวเองในตอนนี้ แต่ในเมื่อไม่ฆ่า เช่นนั้นตอนนี้ชีวิตของเขาก็ยังมีประโยชน์ ตอนนี้ชีวิตเป็นข้อต่อรองเดียวที่อวิ๋นเยี่ยมี 


 


 


โต้วเยี่ยนซานพูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยความโมโหว่า “ข้าฝันถึงเจ้าบ่อยจนนับครั้งไม่ถ้วน แทบอดไม่ได้ที่จะฉีกเจ้าให้เป็นชิ้นๆ เดี๋ยวนี้ แต่พอข้าได้เจอกับเจ้า ข้ากลับลังเล ฆ่าคนอย่างเจ้าเท่ากับไม่เคารพสวรรค์ ดังนั้นข้าจึงพาเจ้ากลับแคว้นหนานจ้าว อยากจะรู้ว่าเจ้าจะอดทนต่อถิ่นทุรกันดารได้หรือไม่ เจ้าจะตายหรือไม่ตาย ข้าไม่สนใจ เพียงแค่อยากให้เจ้ารู้สึกถึงความทรมาน แค่นั้นใจของข้าก็รู้สึกสบาย อยากจะให้ข้าช่วยม้าของเจ้า ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยรีบเอาหยกออกมาจากเอว พูดกับโต้วเยี่ยนซานว่า “เมื่อมีหยกนี้แล้ว เจ้าสามารถนำไปรับทองห้าร้อยชั่งได้ที่คลังเมืองลั่วหยาง ช่วยม้าขึ้นมาแล้วข้าจะบอกความลับแก่เจ้า” 


 


 


ทุกคนบนเรือมองไปที่โต้วเยี่ยนซาน ดูจากสีหน้าของพวกเขา อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าพวกเขาไม่มีเงิน ขาดแคลนเงินเป็นอย่างมาก 


 


 


โต้วเยี่ยนซานรู้สึกละอายใจ จากลูกเศรษฐีกลายมาเป็นโจร ยากที่คนหยิ่งยโสอย่างโต้วเยี่ยนซานจะรับได้ 


 


 


ทุกคนล้วนมีจุดอ่อน โต้วเยี่ยนซานหยิ่งยโสได้ แต่ว่าคนใต้บังคับบัญชาของเขายังต้องการเสบียงอาหารและเสื้อผ้า ชีวิตที่ยากลำบากในสองปีที่ผ่านมาทำให้พวกเขาทุกคนมีความต้องการเงินทองเป็นอย่างมาก 


 


 


ทองห้าร้อยชั่ง แลกเพียงแค่การช่วยม้าหนึ่งตัว เห็นสายตาอ้อนวอนของพ่อบ้านผมหงอก โต้วเยี่ยนซานจึงโบกมือให้เรือหยุดอย่างช่วยไม่ได้ 


 


 


สมอเรือถูกหย่อนลงก้นแม่น้ำ เรือลำใหญ่ได้หยุดแล่น วั่งไฉเริ่มหมดแรงตะเกียกตะกาย สามารถจมน้ำได้ตลอดเวลา พอเห็นอวิ๋นเยี่ยรอตัวเองอยู่ข้างหน้าก็มีแรงขึ้นมาทันที ว่ายไปตามทางน้ำไหลจนถึงขอบเรือ ปากกัดเชือกที่อยู่ขอบเรือไว้แน่นไม่ยอมปล่อย 


 


 


คนเหล่านั้นเห็นแก่เงินจึงยอมช่วยเหลือ เอาเชือกผูกที่ท้องของวั่งไฉ แล้วใช้รอกดึงวั่งไฉขึ้นมา มีคนดึงบังเ**ยนจนวั่งไฉลิ้นจุกปาก อวิ๋นเยี่ยโกรธมากรีบเอาเท้าถีบเจ้าโง่คนนั้น คนรับใช้ก็คือคนรับใช้ รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นถึงท่านโหว ก็รีบคุกเข่าลงพื้นขอประทานอภัย แต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าในตอนนี้อวิ๋นเยี่ยเป็นเพียงแค่นักโทษ อยากจะถีบกลับคืนแต่ก็ต้องอดทนเอาไว้ หันกลับไปช่วยวั่งไฉขึ้นเรือต่ออย่างไม่พอใจ 


 


 


วั่งไฉขึ้นเรือมาได้ ทั้งตัวมีแต่น้ำแต่ก็ไม่สะบัดออก รีบมุดเข้าไปในอ้อมอกของอวิ๋นเยี่ย เหมือนกำลังบ่นอย่างน้อยใจว่าทำไมถึงทิ้งมัน 


 


 


โต้วเยี่ยนซานที่กำลังเชยชมหยกต้องตกใจเมื่อมีหยดน้ำกระเด็นมาโดน เงยหน้ามองอย่างโมโห ก็เห็นว่าวั่งไฉกำลังสะบัดน้ำบนตัวของมัน 


 


 


เขาไม่ถือสาสัตว์เดรัจฉาน เอาหยกเก็บเข้าไปในเสื้อ พูดกับอวิ๋นเยี่ยที่กำลังเช็ดตัวให้วั่งไฉว่า “สหายอวิ๋น หยกแบบนี้เมื่อก่อนข้าก็มีอยู่หลายอัน สุดท้ายก็เอามาแลกเป็นเสบียงจนหมด ถ้าไม่เลี้ยงดูครอบครัวก็ไม่รู้จักความยากลำบาก ครั้งนี้ในตระกูลเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถึงได้รู้ว่าการสร้างรากฐานขึ้นเองมันยากลำบากเพียงใด ข้าชื่นชมในวิธีการหาของเงินสหายอวิ๋นเป็นอย่างมาก ข้าว่าพวกเรามาพูดคุยกันเรื่องนี้เสียหน่อยดีไหม” 


 


 


เช็ดตัววั่งไฉให้แห้ง แล้วถอดเสื้อคลุมข้างนอกของตัวเองออกมาคุมให้มัน แล้วตอบโต้วเยี่ยนซานว่า “เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ข้าเป็นคนทำลายตระกูลเจ้า เรามีแค้นที่ใหญ่หลวงต่อกัน ไม่เคยมีใครแก้แค้นด้วยวิธีนี้อย่างเจ้า หากพูดคุยกันต่อไป เราอาจจะกลายเป็นเพื่อนที่รู้ใจกัน พ่อเจ้าที่ตายไปแล้วคงไม่มีวันยกโทษให้เจ้าเป็นแน่” 


 


 


“ฮ่าๆๆ” โต้วเยี่ยนซานหัวเราะขึ้นมา นั่งขัดสมาธิ มองริมฝั่งแม่น้ำที่มืดสนิท แล้วพูดออกมาว่า “เจ้าสำคัญตัวผิดไปแล้ว เจ้าคิดว่าการที่เจ้าปลุกระดมให้คนความก่อความวุ่นวายก็สามารถทำลายตระกูลโต้วที่มีตำนานมานานถึงพันปีได้เช่นนั้นหรือ ในกลุ่มคนก่อความวุ่นวายนั้น คนที่โจมตีตระกูลโต้วคือทหารของกองทัพต้องห้ามที่แฝงตัวอยู่กับคนพวกนั้น หากมีเพียงแค่คนก่อความวุ่นวาย องครักษ์ของตระกูลโต้วก็จะฆ่าแค่หัวโจกที่มีไม่กี่คน คนที่เหลือก็จะหนีหัวซุกหัวซุน ยังจะมีใครกล้าโจมตีตระกูลโต้วอีก ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะมีอำนาจพอที่จะสั่งทหารของกองทัพต้องห้ามได้ นั่นคืออำนาจของฮ่องเต้ ใครก้าวก่ายมีโทษถึงตาย ฮ่องเต้ต่างหากที่ต้องการทำลายตระกูลโต้ว เจ้าก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น ตระกูลอินขุดหลุมศพของตระกูลหลี่ ทำตัวเผด็จการในเมืองฉางอัน ขอแค่มีผลประโยชน์ต่อตระกูล ความแค้นระหว่างเจ้ากับข้ามันไม่ได้มีอะไรเลย บรรพบุรุษและพ่อของข้าจะต้องภูมิใจในความฉลาดของข้า” 


 


 


ลมหนาวจากแม่น้ำพัดมา เย็นเข้าไปถึงกระดูก อวิ๋นเยี่ยไม่มีกะจิตกะใจจะคุยกับผู้หยิ่งผยองที่ต้องการจะเป็นฮ่องเต้ วั่งไฉหนาวจนทนไม่ไหว เขาคิดว่าคุยกับวั่งไฉยังดีกว่าคุยกับคนบ้า 


 


 


“ห้องพักข้าอยู่ไหน เจ้าคงไม่ให้ข้านอนบนไม้กระดานหรอกนะ” 


 


 


“ไม่หรอก ข้าเตรียมห้องพักดีๆ ไว้ให้เจ้า” 


 


 


ห้องพักของอวิ๋นเยี่ยดีอย่างที่พูดไว้จริงๆ ใหญ่มาก ข้างในเต็มไปด้วยฟางแห้ง กลิ่นคาวตลบอบอวลระบายอย่างไรก็ไม่หมด ที่แท้ห้องนี้ก็เป็นที่พักของม้า 


 


 


วั่งไฉอยากดื่มเหล้า สองคนที่โต้วเยี่ยนซานส่งมาให้เฝ้าอวิ๋นเยี่ยกำลังดื่มอยู่ ได้กลิ่นหอมของเหล้า วั่งไฉจึงคาบถุงเงินส่งให้คนรับใช้ที่ดึงบังเ**ยนมัน อยากจะเอาไปแลกเหล้ามาดื่ม ม้าอย่างวั่งไฉแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยดื่มเหล้าใครฟรีๆ 


 


 


เหล้าก็ไม่ได้ดื่ม ถุงเงินก็ไม่มีแล้ว แถมยังโดนตีที่หัวอีก ถูกคนขโมยถุงเงินไป วั่งไฉทำได้แค่กลับไปนั่งที่กองฟาง แล้วเคี้ยวฟางทีละคำๆ 


 


 


“ม้าของเศรษฐียังมีถุงเงินเป็นของตัวเอง แถมเงินยังมีมากเสียด้วย อยู่ในป่ามาสองปี เราสองคนพี่น้องยังมีความเป็นอยู่ไม่ดีเท่าม้าเลย” 


 


 


“อย่าพูดมาก ช่วงนี้นายน้อยเครียดเรื่องเงินมาก ตระกูลเรามีเงิน แต่ว่าถูกซ่อนไว้ที่ฉางอัน เอาออกมาไม่ได้ ตอนนี้ที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางถูกปรับปรุงจนสวยงามเป็นอย่างมาก บ้านเราก็หาไม่เจอ เงินก็ไม่มี ไม่รู้ว่าไปทำกรรมกับไอ้บ้าที่ไหนไว้” 


 


 


ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยนอนอยู่บนกองฟางคิดถึงสถานการณ์ของตัวเองและวั่งไฉในตอนนี้ มีเรื่องราววุ่นวายติดต่อกันหลายวัน แทบจะลืมไปเลยว่าตัวเองยังมีครอบครัวรออยู่ 


 


 


พวกหลี่จิ้งและหม่าโจวฉีกความภูมิใจและความนับถือในตนเองของอวิ๋นเยี่ยออกเป็นชิ้นๆ แล้วตอนนี้ยังมีโต้วเยี่ยนซานเพิ่มมาอีก  


 


 


ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเผชิญอยู่กับสถานการณ์เช่นไร คำพูดของโต้วเยี่ยนซานแต่ละคำดูนุ่นนวลน่าฟัง แต่อวิ๋นเยี่ยก็สามารถรู้ถึงความแค้นภายในใจของเขาได้อย่างชัดเจน 


 


 


ทุกการกระทำและคำพูดของหลี่จิ้ง ทั้งหมดก็เพื่อให้กองทัพทหารได้รับชัยชนะ 


 


 


ต่อให้หม่าโจวต้องเอามีดแทงตัวเอง ก็ยอมที่จะหักหลังอวิ๋นเยี่ยและสำนักศึกษา เพื่อประโยชน์ของชาวบ้าน 


 


 


ทั้งหมดมีเหตุผล ทุกคนภูมิใจในการกระทำที่ตัวเองคิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว หรือว่าคนที่ผิดทั้งหมดจะเป็นข้า? 


 


 


ตอนที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทำไมไม่รู้จักห่วงชีวิตของตัวเอง ตอนนี้สิ่งที่อยู่ในหัวก็คิดวนเวียนถึงแต่พวกคนที่มีแผนการทรยศและหักหลัง 


 


 


จะใช้ชีวิตดีๆ บ้างไม่ได้เลยหรือ ทำไมต้องเอาแต่หาวิธีการเพื่อบรรลุจุดประสงค์ของตัวเอง นี่หรือที่เรียกว่าผู้มีปัญญา 


 


 


การแสดงออกของโต้วเยี่ยนซานทำให้รู้สึกรังเกียจ ไม่รู้ว่าหนทางในภายภาคหน้าจะเดินไปในทิศทางใด น่าเสียดาย ไม่สามารถเจอลูกชายของตัวเองได้อีกแล้ว 

 

 

 


[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 2 มาเยือนดินแดนที่คุ้นเคยอีกครั้ง

 

ทางบนภูเขาแห่งดินแดนเสฉวนยากที่จะปีนขึ้นไป ยากเสียยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์เสียอีก นี่คือคำตัดพ้อของหลี่ไป่ อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่บนทางแคบริมผา เงยหน้ามองไปบนหน้าผาดูเหมือนว่าจะมีก้อนหินด้านบนตกลงมา ส่วนด้านล่างก็เป็นแม่น้ำที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นแม่น้ำ ไม่รู้ว่าคือแม่น้ำอะไร รู้แต่ว่าคนรับใช้ตระกูลโต้วเรียกแม่น้ำนี้ว่าแม่น้ำแห่งความตาย ความหมายไม่ได้หมายถึงว่าแม่น้ำสายนี้มีคนจมน้ำตายบ่อยๆ แต่เป็นเพราะได้ยินมาว่าชาวบ้านในพื้นที่นี้จะนำคนตายมาทิ้งไว้ในแม่น้ำแห่งนี้ หวังว่าแม่น้ำสายนี้จะเชื่อมต่อกับเส้นทางสวรรค์แล้วพาบรรพบุรุษของตัวเองไปสู่สรวงสวรรค์


 


 


อวิ๋นเยี่ยพยายามจะหนีไปสองครั้งแล้ว แต่น่าเสียดายที่ถูกคนรับใช้แกะรอยตามจนเจอ ในตอนนี้รอยฟกช้ำที่มุมปากของเขายังไม่มีท่าทีว่าจะจางลง


 


 


มีการซื้อขายเกิดขึ้น ครั้งนี้ได้ทองมาหนึ่งร้อยชั่ง ทำให้คนรับใช้สองคนที่ตามมาด้วยเกิดความโลภ โต้วเยี่ยนซานมีแผนป้องกันไว้ก่อนแล้ว จึงตัดคอคนรับใช้ที่โลภมากสองคนนั้นแขวนไว้ท้ายรถเข็น


 


 


ทองของอวิ๋นเยี่ยช่วยโต้วเยี่ยนซานได้เป็นอย่างมาก รถเข็นสิบกว่าคันเต็มไปด้วยเสบียง เดินบนเส้นทางที่น่าหวาดเสียวทำให้รู้สึกน่ากลัว


 


 


วั่งไฉเป็นม้าที่เจ้าคิดเจ้าแค้น ยังไม่ลืมว่าคนรับใช้ตระกูลโต้วปล้นถุงเงินของตัวเองไป อวิ๋นเยี่ยมองดูวั่งไฉเอาก้นใหญ่ๆ ของตัวเองไปเบียดคนรับใช้ที่ขโมยถุงเงินของตัวเองไป คนรับใช้ที่กำลังเข็นรถล้อเดียวอย่างระมัดระวังก็ได้เสียการทรงตัว เสบียงเป็นสิ่งสำคัญ คนที่มีประสบการณ์หิวโหยอย่างทรมานจะรู้ว่าความหิวนั้นช่างน่ากลัว เขาพยายามควบคุมรถเสบียงอาหารที่กำลังจะคว่ำ เบี่ยงตัวเองไปทางซ้ายตามความเคยชิน แต่เขาลืมไปว่าด้านซ้ายเป็นหน้าผา


 


 


คนรับใช้ตะโกนร้องด้วยความตกใจจนมีเสียงสะท้อนก้องมาจากภูเขา ทุกคนยืนมองคนรับใช้ที่ตกหน้าผา ค่อยๆ เลือนหายไปจนตกลงไปในแม่น้ำ ทุกคนถึงดึงสติกลับมาได้


 


 


โต้วเยี่ยนซานมองอวิ๋นเยี่ยที่สองมือถูกมัดอยู่อย่างน่าสงสัย อวิ๋นเยี่ยชูสองมือที่ถูกมัดอยู่ขึ้น บอกเป็นนัยๆ ว่าตัวเองไม่มีทางผลักคนรับใช้ลงไปได้ คนรับใช้ที่จูงอวิ๋นเยี่ยอยู่ก็กล้าสาบานได้ว่าอวิ๋นเยี่ยไม่มีทางตุกติกใดๆ แต่เป็นเพราะเขาโชคร้ายเองที่เดินไม่ดีก็เลยตกลงไป ส่วนวั่งไฉที่ทำหน้าตาใสซื่อ ดวงตาโตเป็นประกาย กลับไม่มีใครสนใจมันเลย


 


 


โต้วเยี่ยนซานได้อธิษฐานให้แก่คนรับใช้ผู้จงรักภักดีของตัวเอง จากนั้นก็เริ่มเดินทางต่อ เสบียงอาหารไม่เสียหาย เสียไปก็แค่คนเท่านั้น นี่เป็นเรื่องโชคร้ายในความโชคดี


 


 


จัดขบวนใหม่อีกครั้ง โต้วเยี่ยนซานถือเชือกที่ผูกอวิ๋นเยี่ยไว้ด้วยตัวเอง เดินอยู่ข้างหน้าสุดในฐานะผู้นำ ไม่ว่าจะมองในมุมไหนโต้วเยี่ยนซานก็มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นผู้นำ


 


 


เส้นทางดินแดนเสฉวนในต้นฤดูใบไม้ผลิ เกิดความชื้นเพราะมีอากาศเย็น ทางเดินระหว่างหุบเขามีหมอกหนาเป็นปกติ ทำให้เสื้อผ้าเกิดความชื้น วั่งไฉไม่ชินกับสภาพอากาศหนาวเย็น มันมักจะเอาหัวมุดไปในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ยเหมือนบอกเป็นนัยๆ ว่าอยากกลับบ้าน เห็นได้ชัดว่ามันชอบอากาศแห้งสบายที่ฉางอันมากกว่า


 


 


แหวนหยกราคาหนึ่งร้อยเหรียญกลับแลกได้แค่ผ้าห่มที่มีกลิ่นอับชื้น โต้วเยี่ยนซานชอบเวลาเห็นอวิ๋นเยี่ยตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก โต้วเยี่ยนซานไม่ห้ามที่คนรับใช้จะรังแกอวิ๋นเยี่ย แต่ไม่อนุญาตให้หยิบของของอวิ๋นเยี่ยไป แต่จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากม้วนเส้นไหมนอกนั้นก็ไม่เหลืออะไรแล้ว


 


 


มีดพกของอวิ๋นเยี่ยถูกโต้วเยี่ยนซานเอาไปเหน็บไว้ที่เอวตัวเอง เขาชอบงานศิลปะของชาวดินแดนตะวันตกเป็นอย่างมาก การหยิบไปโดยไม่บอกไม่ใช่การกระทำของสุภาพบุรุษ นำมีดเหล็กขนาดสองนิ้วไปแลกกับมีดพกฝังอัญมณีของอวิ๋นเยี่ย


 


 


ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก หากไม่มีมีดพกจะอดตายได้ ดังนั้นโต้วเยี่ยนซานจึงให้เกียรติอวิ๋นเยี่ยเป็นครั้งสุดท้าย ให้เขาไม่ต้องถึงขั้นใช้มือและปากฉีกกัดอาหารของตัวเอง


 


 


เมื่อออกจากทางแคบริมหน้าผาก็มาถึงนครแห่งสวรรค์ อวิ๋นเยี่ยเข้าใจแล้วว่าทำไมเมืองเฉิงตูถึงถูกเรียกว่านครแห่งสวรรค์ ไม่ใช่เพราะมีความมั่งคั่ง แต่เป็นเพราะเมื่อออกมาจากทางที่แคบและยากลำบากแล้วได้เห็นที่ราบขนาดใหญ่ ไม่ว่าใครก็ต้องหลั่งน้ำตา คิดว่าถึงนครแห่งสวรรค์แล้ว


 


 


คิดแล้วก็อยากใช้มีดพกในการหลบหนีไปต่อหน้าต่อตาชายฉกรรจ์หลายสิบคน บางทีอาจจะมีคนสามารถทำได้ แต่คนๆ นั้นคงไม่ใช่อวิ๋นเยี่ย และถึงแม้จะถึงดินแดนเสฉวนแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสให้หลบหนีแม้แต่น้อย บางทีวิธีของวั่งไฉอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด


 


 


การรักการเรียนรู้เป็นข้อดีอย่างหนึ่งของอวิ๋นเยี่ย ตั้งแต่มาที่ต้าถังก็ได้เรียนรู้กับเฉิงฉู่มั่ว เหล่าเฉิง และหนิวจิ้นต๋า และต่อมาก็ได้เรียนรู้กับพวกหลี่กัง จั่งซุน และหลี่ซื่อหมิน เขาเรียนรู้ทุกอย่างแม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เคยมองข้าม ดังนั้นจึงกลายเป็นคนประหลาดเช่นนี้ หลี่เฉิงเฉียนมักจะพูดว่าวิธีการของอวิ๋นเยี่ยดูเหมือนจะเป็นวิธีที่เขารู้สึกคุ้นเคย แต่กลับบอกเหตุผลไม่ถูก นอกจากเขาจะเดินตามประสบการณ์ของอวิ๋นเยี่ยสักครั้ง ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่สามารถเข้าใจมันได้


 


 


ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยเตรียมที่จะเรียนรู้กับวั่งไฉ ในความคิดของเขาไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้


 


 


กลุ่มคนพวกนี้ใช้ชีวิตเหมือนหนู ออกหากินในเวลากลางคืน เมื่ออวิ๋นเยี่ยได้เห็ดแห้งมาจากในป่า ก็จะเอาต้มใส่น้ำทำเป็นซุปเห็ด ส่วนเห็ดที่มีดอกสีสวยงามที่หลบซ่อนอยู่ข้างในและมีรสชาติสดใหม่ อวิ๋นเยี่ยก็ทำเป็นมองไม่เห็น


 


 


ไม่มีใครให้หม้อกับอวิ๋นเยี่ย ทำได้แค่เพียงทำหม้อขึ้นมาเอง ดินแดนเสฉวนเต็มไปด้วยต้นไผ่ มีต้นไผ่บางชนิดสามารถนำมาหุงข้าวได้ แต่บางชนิดก็ทำไม่ได้ เขาใช้มีดดาบตัดไม้ไผ่เป็นท่อนๆ แล้วใช้มีดเจาะรูที่ลำไผ่ จากนั้นเอาข้าวสารกรอกเข้าไป ตามด้วยน้ำแล้วปิดรูไม้ไผ่ กระบอกไม้ไผ่ถูกกลบด้วยเถ้าถ่าน ไม่นานกระบอกข้าวก็ส่งกลิ่นหอมออกมาเสียแล้ว


 


 


คนรับใช้ตระกูลโต้วไม่ชอบที่เห็นอวิ๋นเยี่ยและม้าของเขามีข้าวกิน ตัวเองก็เลยไปตัดไม้ไผ่บั้งใหญ่ๆ บ้าง ทำเหมือนอวิ๋นเยี่ยทุกอย่าง แล้วก็ได้กินข้าวสุกหอมๆ เช่นกัน เขามีความสุขมาก เพียงแต่ว่าวันต่อมาก็มีอาการไม่ดีเล็กน้อย ทั้งตัวเป็นจ้ำแดงๆ เต็มไปหมด รู้สึกคันจนต้องเกาเพราะทนไม่ไหว หลังจากนั้นก็มีตุ่มน้ำเหลืองขึ้นมาตามตัว


 


 


“อวิ๋นเยี่ย เกิดอะไรขึ้น เจ้าวางยาพวกเขาอย่างนั้นหรือ” โต้วเยี่ยนซานมีหม้อเป็นของตัวเอง ไม่ชอบใช้กระบอกไม้ไผ่หุงข้าว ดังนั้นจึงได้พ้นเคราะห์ในครั้งนี้


 


 


“นายท่าน เพราะเขาใช้ไม้ไผ่ผิดชนิด ไม่ใช่เพราะอวิ๋นเยี่ยวางยา” พ่อบ้านเป็นคนเก่าแก่ของดินแดนเสฉวน จึงมีความรู้เรื่องพวกนี้


 


 


“อวิ๋นเยี่ยก็กินข้าวที่หุงจากกระบอกไม้ไผ่เหมือนกัน ทำไมไม่เห็นเป็นอะไร”


 


 


พ่อบ้านยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “เพราะเขาโชคดี ในป่าไผ่นี้มีชาดแดง ท่านดูที่ไม้ไผ่จะมีรอยเส้นสีแดง นั่นคือพิษไฟลามทุ่ง เป็นเพราะคนรับใช้สะเพร่า ไม่ได้สังเกตความผิดปกติของไม้ไผ่ อวิ๋นเยี่ยมีวิชาแพทย์ติดตัว จึงไม่มีทางที่จะไม่รู้จักพิษชนิดนี้ ดังนั้นเขาจึงเลือกไม้ไผ่ที่ไม่มีลายเส้นสีแดง คนพวกนี้ถูกเขาเล่นงานเข้าให้แล้ว”


 


 


โต้วเยี่ยนซานมองอวิ๋นเยี่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจแล้วพูดว่า “เจ้าเห็นพวกเขาใช้กระบอกไม้ไผ่ที่มีพิษมาหุงข้าว เหตุใดเจ้าไม่เตือน”


 


 


“สหายโต้ว ข้าเป็นนักโทษ หากเป็นไปได้ ข้าก็หวังว่าพวกเขาทั้งหมดจะตาย หากท่านเป็นข้ามาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ท่านจะเตือนพวกเขาอย่างนั้นหรือ”


 


 


“อวิ๋นเยี่ย ตอนนี้เจ้าเป็นแหล่งขุมทรัพย์ของข้า ช่วยข้าคิดวิธีหาเงินเป็นทางเดียวที่จะทำให้เจ้ามีชีวิตรอด มิเช่นนั้น เจ้าจะต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน เห็นเจ้ามีอาหารให้ม้ากินเช่นนี้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เสบียงของเจ้าจะถูกลดไปครึ่งหนึ่ง”


 


 


ที่จริงเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ทุกคนต้องรับผิดชอบในเสบียงอาหารของตัวเอง ในขณะที่อวิ๋นเยี่ยประสบความสำเร็จในการทำให้ผู้คนล้มป่วย แต่เขาก็ต้องรับผิดชอบด้วยการลดเสบียงอาหารลงครึ่งหนึ่ง


 


 


การแบกเสบียงอาหารเดินขึ้นภูเขาถือเป็นความทรมานอย่างหนึ่ง ที่บนตัวของวั่งไฉแบกเสบียงอาหารไว้สองกระสอบใหญ่ๆ เป็นฝีมือของโต้วเยี่ยนซาน ทั้งๆ ที่พอลงจากเขาก็เป็นทางราบขนาดกว้าง แต่โต้วเยี่ยนซานกลับพาพวกเขาเดินในทางแคบ


 


 


เดินในถนนแคบๆ นี้มาแล้วทั้งคืน เหนื่อยล้าทั้งคนทั้งม้า โดยเฉพาะวั่งไฉที่ไม่เคยถูกคนใช้แรงงานมาก่อน แต่ตอนนี้ต้องแบกของหนักทุกวันขณะเดินขึ้นไปบนเขา แม้ว่าจะเคยแอบขี้เกียจนอนลงกับพื้น แม้ว่าจะเคยแอบให้กิ่งไม้ขูดถุงเสบียงจนรั่ว แต่สิ่งที่มันต้องเจอคือแส้หนังของโต้วเยี่ยนซาน


 


 


เห็นอวิ๋นเยี่ยตาแดงอยากจะเข้าไปเอาเรื่องเขา โต้วเยี่ยนซานก็ยิ่งใช้แรงเฆี่ยนม้ามากยิ่งขึ้น ในตาของวั่งไฉเต็มไปด้วยน้ำตา แม้ว่าซ่านอิงจะเคยบังคับมันให้ลดน้ำหนัก แต่ก็ไม่เคยทำร้ายมันแม้แต่ปลายเล็บ แต่ในตอนนี้ทุกครั้งที่ถูกแส้ตี เนื้อตัวสั่นไปทั้งตัวเหมือนเด็กที่ถูกลงโทษ


 


 


เมื่อฟ้าสว่าง อวิ๋นเยี่ยก็ไปหายาสมุนไพรในดงหญ้ามาทำยาให้วั่งไฉ น่าเสียดายที่มีเพียงแค่ดอกผู่กงอิง ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร อวิ๋นเยี่ยจึงดึงดอกผู่กงอิงขึ้นมาทั้งต้น โขลกจนละเอียด แล้วทาลงบนตัวของวั่งไฉ ยานี้ไม่ได้ช่วยอะไร เพียงแค่ปลอบใจได้เท่านั้น


 


 


วั่งไฉที่เคยอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่ตอนนี้กลับผอมลงอย่างรวดเร็ว อวิ๋นเยี่ยจะได้เสียงท้องมันร้องทุกวัน มันมักจะหิวตลอดเวลา ความหิวทำให้มันหมดสภาพจึงหาเล็มหญ้าอ่อนด้วยตัวเอง


 


 


เสบียงอาหารเป็นสิ่งที่ยิ่งแบกก็ยิ่งเบา กลุ่มคนและม้าแบกเสบียงอาหารที่ซื้อมาจากดินแดนเสฉวนมุ่งหน้าไปทางถนนใหญ่ ที่นี่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างดินแดนเสฉวนกับอาณาจักรน่านเจ้า กิจการของตระกูลโต้วที่มีมาหลายปีนี้ถือว่าได้ผล พ่อบ้านได้นำพวกเขาออกจากป้อมปราการสุดท้ายในฐานะพ่อค้า


 


 


โต้วเยี่ยนซานเห็นว่าคนของตัวเองเริ่มตายไปอย่างไร้เหตุผล คนแรกไปเหยียบกับดักเข้าทำให้ขาขาด มีคนถูกหนามทิ่มแทงจนกลายเป็นเม่น และยังมีอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่ จู่ๆ ก็เกิดบ้าขึ้นมา เริ่มทะเลาะกันเพียงเพราะพูดจาไม่เข้าหู ในตอนแรกมีแต่คนหัวเราะ ใช้ชีวิตท่ามกลางป่าเขามานาน ทำให้ทุกคนสะสมความไม่พอใจไว้เป็นอย่างมากเป็นเรื่องธรรมดา


 


 


เมื่อมีใครคนใดคนหนึ่งเอามีดแทงเข้าไปที่ท้องของอีกคน ผู้คนจำนวนมากจึงเห็นถึงความผิดปกติ อยากจะเข้าไปห้ามเพื่อนที่กำลังบ้าคลั่ง แต่กลับถูกเขาไล่ฆ่าจนต้องหนีกระเจิดกระเจิง


 


 


ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร โต้วเยี่ยนซานจึงใช้ธนูยิงคนที่กำลังบ้าคลั่ง เห็นเขากระอักเลือดออกมาแล้วยังส่งเสียงร้องเหมือนอย่างสัตว์ป่า ทำให้คนจำนวนมากที่เห็นรู้สึกเจ็บปวดในใจ


 


 


โต้วเยี่ยนซานค้นตัวอวิ๋นเยี่ยทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่พบยาพิษ ทั้งตัวของเขามีเพียงแค่ม้วนเส้นไหม ไม่มีอะไรนอกจากนี้ เป็นไปไม่ได้ที่อวิ๋นเยี่ยจะเป็นคนทำเรื่องนี้


 


 


อวิ๋นเยี่ยยอมให้ค้นตัวแต่โดยดี เขาบดเห็ดไปด้วย แล้วดูความครึกครื้นไปด้วย เห็นอวิ๋นเยี่ยดูท่าทางสบายใจ โต้วเยี่ยนซานขบฟันจนแทบหัก


 


 


อากาศค่อยๆ ร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งมีชีวิตในป่าก็ดูมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น อวิ๋นเยี่ยเห็นลิงปากแดงอยู่หลายตัว กำลังปีนป่ายระหว่างหุบเขาอย่างคล่องแคล่ว หรือว่าตัวเองจะมาถึงอาณาจักรน่านเจ้าแล้ว?


 


 


น้ำตกขนาดใหญ่ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน เสียงร้องคำรามดังก้องทำให้คนใจสั่น มีเพียงอวิ๋นเยี่ยที่รู้ว่าน้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกที่สวยงามแห่งหนึ่งบนโลกนี้ ในยุคปัจจุบันต้องอลังการมากกว่านี้เป็นแน่


 


 


สิ่งที่มองเห็นเป็นเรื่องจริง สิ่งที่ได้ยินเชื่อไม่ได้ น้ำตกหวงกั่วซู่ไม่สวยงามเท่ายุคหลังที่มีน้ำไหลเชี่ยวจากหน้าผาลงมา แลดูยิ่งใหญ่อลังการ


 


 


น่าเสียดายที่เพียงแค่ตกลงไปข้างล่างไม่กี่เมตรก็ถึงดินแล้ว แต่ในยุคหลัง หน้าผามีความลึกลงไปถึงเกือบเจ็ดสิบเมตร


 


 


“เป็นอย่างไรบ้าง อวิ๋นโหว ท่านคงเป็นขุนนางคนแรกของต้าถังที่มาที่แห่งนี้ คิดไม่ถึงละสิว่าถิ่นทุรกันดารจะมีทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้”

 

 

 


[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื...

 

ตอนที่ 3 ผู้ใดก็ล้วนแต่ต้องการฝึกนกอิ...

 

โต้วเยี่ยนซานเอามือไพล่หลัง หันหน้าไปทางลมที่พัดแรงในหุบเขา ผมปลิวไสว ราวกับไม่มีเรื่องอะไรให้รำคาญใจ


 


 


ชีวิตเป็นครูที่ดีที่สุด ความลำบากของช่วงสองปีที่ผ่านมาสอนให้โต้วเยี่ยนซานได้เติบโตขึ้นอย่างเต็มที่ พลาดเพียงครั้งเดียว อับอายจนต้องหลบหนีไปหลายพันลี้ ครั้งนี้ได้เจอกับอวิ๋นเยี่ยที่เมืองหลวงโดยบังเอิญ เขาเลยยกเลิกแผนเดิมทันที กลับไปที่แคว้นหนานจ้าวอย่างรวดเร็ว เพราะเขาคิดว่าเป้าหมายของเขาสำเร็จแล้ว


 


 


ความเกลียดชังเข้ากระดูกในตอนแรก ค่อยๆ สงบลงในเวลาต่อมา เขารู้อย่างชัดเจนว่าตัวเองต้องการอะไร ฉายาอวิ๋นเยี่ยเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง นี่คือสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด


 


 


ความมั่งคั่งของตระกูลโต้วได้ถูกราชวงค์ยึดครองไปแล้ว คนในแคว้นที่หลงเหลืออยู่บางส่วนก็ถูกโต้วจงซื้อตัวไปแล้ว สองสามครั้งที่ติดต่อกัน นอกจากให้เงินสนับสนุนจำนวนเล็กน้อยแล้วก็ไม่มีอะไรอีก ในสองสามครั้งนั้นถ้าไม่ใช่เพราะว่าโต้วเยี่ยนซานรู้ล่วงหน้าว่ามีบางอย่างผิดปกติ มีการเตรียมแผนไว้อยู่แล้ว ก็คงจะถูกคนในแคว้นของตัวเองจับส่งให้หลี่ซื่อหมินเพื่อเอาความดีความชอบตั้งนานแล้ว


 


 


ตอนนี้มองไปที่น้ำตกอันสวยงาม ปณิธานอันยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้น ขอแค่โน้มน้าวอวิ๋นเยี่ยได้ ตระกูลโต้วก็จะมีพื้นที่ให้ตั้งหลักปักฐานในแคว้นหนานจ้าวอันวุ่นวายอย่างแน่นอน


 


 


คนที่ตายไปอย่างลึกลับระหว่างทาง เขารู้ดีว่ามันเป็นฝีมือของอวิ๋นเยี่ย ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยทำอย่างไร แต่เขากลับเชื่ออย่างหนักแน่นว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นคนทำ


 


 


ตายไปสองสามคนไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร สิ่งที่โต้วเยี่ยนซานไม่ขาดแคลนมากที่สุดในตอนนี้ก็คือคน ไม่ใช่ว่าทุกคนบนโลกใบนี้จะชอบการปกครองของตระกูลหลี่ เขามีพันธมิตรมากมายนับไม่ถ้วน


 


 


ถ้าอวิ๋นเยี่ยไม่คิดที่จะฆ่าคนแม้แต่น้อย มันถึงทำได้โต้วเยี่ยนซานผิดหวัง


 


 


สามารถละทิ้งความเกลียดชังไปได้ไม่เป็นไร ถ้าอวิ๋นเยี่ยจริงใจที่จะร่วมมือกับเขาจริงๆ ร่วมกันก่อกบฏ ทั้งสองอาจจะกลายเป็นเพื่อนรักกันก็ได้


 


 


บางทีอาจจะมีแค่ศัตรูเท่านั้นที่รู้จักเราดีที่สุดในโลก อวิ๋นเยี่ยไม่ได้มักใหญ่ใฝ่สูงอะไร แต่กลับมีพรสวรรค์ คนที่มีนิสัยแปลกๆ เช่นนี้มีเพียงคนเดียว โต้วเยี่ยนซานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอวิ๋นเยี่ยจะร่วมมือกับเขา เขาเรียกกระบวนการนี้ว่าฝึกนกอินทรี


 


 


ตอนเด็กๆ เขาเคยเลี้ยงนกอินทรีตัวหนึ่ง มันเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุสามขวบจากท่านปู่ของเขา มันคือนกอินทรีน้อยที่กำลังจะโตเต็มวัย ท่านปู่บอกเขาว่าเขาจะต้องฝึกนกอินทรีตัวนี้ให้เชื่อง มันถึงจะเป็นของเขา มิเช่นนั้นจะฆ่านกอินทรีทิ้ง


 


 


โต้วเยี่ยนซานใช้เวลาสองเดือนในการฝึกนกอินทรีตัวนั้น ถึงแม้ว่ามือและไหล่ของเขาจะถูกนกอินทรีข่วนนับครั้งไม่ถ้วน ตาก็เกือบจะถูกจิกบอด แต่เมื่อเขาพานกอินทรีออกล่าครั้งแรก ได้ยินนกอินทรีส่งเสียงร้องดัง เห็นมันกางปีกบินอยู่บนท้องฟ้า เห็นมันใช้เล็บที่แหลมคมตะครุบเหยื่อ เขาก็ตื่นเต้นจนน้ำตาไหล


 


 


ในสายตาของเขา อวิ๋นเยี่ยคือนกอินทรีตัวใหม่ของเขา


 


 


ถ้าหลี่ซื่อหมินรู้ว่าโต้วเยี่ยนซานกำลังคิดอะไร เขาคงจะหัวเราะไม่หยุด อวิ๋นเยี่ยไม่ใช่นกอินทรีอะไร แต่เขาคือถั่วทองแดงที่ต้มไม่สุก ต้มไม่เละ ทุบจนเสียงดังลั่นก็ไม่แตก นี่คือการพูดที่มีวาทศิลป์ ถ้าจะให้หลี่ซื่อหมินอธิบายอีกแบบหนึ่งละก็ คงไม่มีคำไหนเหมาะสมไปกว่าคำว่าเนื้อดิบ


 


 


จั่งซุนล้มเลิกความคิดที่จะสั่งสอนอวิ๋นเยี่ย อยู่กับเขานานๆ นางรู้สึกว่าตัวเองต้องใช้วิธีที่ไร้ยางอายและน่ารังเกียจถึงจะควบคุมอวิ๋นเยี่ยเอาไว้ได้ นี่คือจุดที่จั่งซุนพัวพันมาโดยตลอด ความอ่อนโยนของนางถูกทำลายไปด้วยน้ำมือของอวิ๋นเยี่ย


 


 


หลี่จิ้งได้เริ่มการฝึกอบรมรอบใหม่เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีฝีมือโดดเด่น แต่เขาก็รู้สึกว่าตัวเองห่างไกลจากอวิ๋นเยี่ยมากขึ้นเรื่อยๆ ฝึกอบรมจนจะกลายเป็นศัตรูกันแล้ว


 


 


โต้วเยี่ยนซานหันหน้าไปทางน้ำตกด้วยความตื่นเต้น ลูกน้องของเขาต่างพากันเงยหน้าขึ้นมองท่าทางที่สง่างามของท่านชายตัวเองอย่างสะเทือนใจ แต่อวิ๋นเยี่ยกลับถอดรองเท้า ล้างเท้าอยู่ที่ริมน้ำตั้งนานสองนาน แล้วยังพาวั่งไฉ่มาด้วย ล้างคราบเหงื่อไคลบนตัวของมัน


 


 


มาถึงน้ำตกหวงกั่วซู่ก็หมายความว่าตัวเองได้มาถึงเมืองอันชุ่นของมณฑลกุ้ยโจวในยุคหลังแล้ว ที่นั่นมีแม่น้ำสายหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะสามารทะลุไปถึงแม่น้ำจูเจียงได้ ถ้าเดินไปตามทางน้ำไหล ก็จะได้พบกับหลี่อันหลานได้ ตัวเองสัญญากับหลิงตังไว้แล้วว่าจะไปเยี่ยมนาง ถือโอกาสไปเยี่ยมลูกชายของตัวเอง ไปดูว่าเขามีสุขภาพร่ายกายแข็งแรง สดใสร่าเริงหรือไม่


 


 


คิดเช่นนี้ ทันใดนั้นก็อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย นึกถึงเมื่อก่อนตอนที่มาน้ำตกหวงกั่วซู่ กินก๋วยเตี๋ยวชามเดียวราคาห้าสิบหยวน หันไปมองโต้วเยี่ยนซานที่กำลังยืนตากลมยิ่งทำให้รู้สึกเกลียดชังเข้าไปใหญ่


 


 


ให้ตายเถอะ ถ้าสักวันหนึ่งข้ามีอำนาจขึ้นมา ข้าจะถมน้ำตกหวงกั่วซู่เฮงซวยนี่ซะ ให้ไปไหลลงที่อื่น ไม่ใช่ว่ามีน้ำตกอยู่ข้างๆ ก็จะขายก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งห้าสิบหยวน ข้าจะทำลายเส้นทางทำมาหากินของเจ้า แอบซ่อนตัวอยู่ในภูเขาไปตลอดชีวิต


 


 


หลังจากที่โต้วเยี่ยนซานเหม่อลอยเสร็จ เขาก็เดินลงจากก้อนหินด้วยความพึงพอใจ น่าจะหนาวไม่เบา ตัวของเขาสั่นไปหมด


 


 


ออกเดินทางกันต่อไป ทันใดนั้นโต้วเยี่ยนซานก็ทำดีกับอวิ๋นเยี่ยมากขึ้น คืนมีดให้เขาแล้วยังเอาเสบียงให้เขา วั่งไฉ่ก็ไม่ต้องแบกถุงเสบียงที่หนักๆ อีกต่อไป


 


 


แต่กลับเป็นโต้วเยี่ยนซานที่แบกถุงเสบียงพวกนั้นด้วยตัวเอง กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นอกจากสายตาดูถูกของอวิ๋นเยี่ย คนอื่นๆ ก็ล้วนแต่กระปรี้กระเปร่า อยากที่จะแบกเองสักสองถุง


 


 


โต้วเยี่ยนซานไม่กลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะหลบหนีเลยแม้แต่น้อย เขาเห็นเสือดาวและสุนัขจิ้งจอกจำนวนนับไม่ถ้วนมาตลอดทาง หนีไปก็คงมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสองวัน ครั้งหนึ่งอวิ๋นเยี่ยเคยเห็นหมีแพนด้าไล่ฆ่าเสือดาวอย่างดุเดือด แข็งแกร่งและกล้าหาญอย่างเทียบไม่ได้ ยังไงก็ไม่น่าเชื่อว่านี่คือสัตว์น่ารักที่ซ่อนตัวอยู่ในร่างหมีแพนด้า


 


 


บ้านของคนในแคว้นหนานจ้าวตั้งอยู่ในหุบเขา มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่มีที่ดินเล็กๆ น้อย ๆ ให้พวกเขาได้ทำการเพาะปลูก ตอนนี้ก็สามารถมองเห็นพวกเขายุ่งอยู่กับการเพาะปลูก


 


 


ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ใช้ไม้ขุดรูที่พื้นดินแล้วโรยข้าวเปลือก ใช้เท้าเหยียบสักสองสามที อวิ๋นเยี่ยมั่นใจว่าพวกเขากำลังปลูกข้าว ไม่ได้ปลูกข้าวโพดอยู่


 


 


พระเจ้า ปลูกข้าวมันไม่ควรปลูกต้นกล้าหรอกหรือ ไม่เคยเห็นการโรยข้าวเปลือกเช่นนี้ เช่นนี้จะมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวได้อย่างไร


 


 


“น่าตลกใช่ไหม อวิ๋นโหว เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำไร่ทำนา เจ้าเคยเห็นการปลูกข้าวเช่นนี้หรือไม่”


 


 


โต้วเยี่ยนซานเช็ดเหงื่อตัวเอง เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยตกใจ ก็เลยหยุดพูดคุยกับอวิ๋นเยี่ย


 


 


“เหล่าโต้ว ปลูกข้าวเช่นนี้จะได้ผลผลิตได้อย่างไร” แล้วก็มองดูหญิงแก่หน้าอกเ**่ยว มีหนังสัตว์พันอยู่รอบเอวกำลังปลูกข้าว


 


 


โต้วเยี่ยนซานรู้สึกชื่นชอบในชื่อเหล่าโต้วที่อวิ๋นเยี่ยเรียก และแน่นอนว่า มีแค่อวิ๋นเยี่ยเท่านั้นที่สามารถเรียกเขาเช่นนี้ เพราะทั่วทั้งแคว้นหนานจ้าวก็มีแค่อวิ๋นเยี่ยเท่านั้นที่มีฐานะเท่าเทียมกับเขา


 


 


“ปลูกเพียงให้พอได้ผลผลิตแค่นั้น ทุกปีล้วนมีผู้คนอดตาย เสบียงไม่เพียงพอ เหตุใดข้าถึงหลอกเอาเงินเจ้า ก็เพราะว่าไม่มีเสบียง ฤดูหนาวที่แล้วข้าก็เกือบจะอดตาย เจ้ารู้ไหม เมื่อข้ากลับไปที่ฮั่นเจี้ย สิ่งแรกที่ข้าทำก็คือรีบไปที่ร้านอาหารและสั่งเนื้อมาทานทั้งโต๊ะ ทานไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม ท้องอืดจนนอนไม่หลับทั้งคืน”


 


 


นึกถึงเรื่องราวที่น่าอนาถของตัวเอง โต้วเยี่ยนซานก็รู้สึกโศกเศร้า


 


 


โต้วเยี่ยนซานจะเป็นเช่นไรอวิ๋นเยี่ยไม่สนใจ ถ้าเขาไม่ทำให้คนกลายเป็นเทียนไข มันก็จะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาจะยังคงเป็นท่านชายที่อิสระและมีความสุขของเขาต่อไป


 


 


หลี่ซื่อหมินกวาดล้างผู้คนจำนวนมาก อวิ๋นเยี่ยรู้สึกได้ ใบหน้าที่เขาคุ้นเคยหายไปจากท้องพระโรง รู้สึกเสียใจ แต่ว่าตระกูลโต้ว เขาคิดว่าควรจะสูญหายไปจริงๆ หลี่ซื่อหมินทำถูกแล้ว ไม่รีบฆ่าหมาป่าชั่วร้ายที่มาคลุกคลีอยู่ในฝูงคน จะรอให้มันไปทำร้ายคนอื่นเพิ่มอีกหรืออย่างไร


 


 


ในที่ดินผืนเล็กๆ มีแต่ผู้หญิงกับเด็กเล็กที่ปลูกไร่ทำนา เด็กตัวเล็กๆ พุงป่อง เดินขุดรูตามแม่ของตัวเองอยู่ข้างหลัง อวิ๋นเยี่ยไม่ได้เห็นแค่ครั้งเดียว เด็กพวกนั้นขุดเมล็ดออกมาจากพื้นดิน ยัดเข้าปากพร้อมกับโคลนที่ติดอยู่ และแน่นอนว่าจะต้องถูกตี ถูกตีก็ยังไม่ร้องไห้ มองหาโอกาสที่จะขโมยเมล็ดมากินต่อไป


 


 


ท้องป่องไม่ใช่เพราะว่ากินอิ่มเกินไป อวิ๋นเยี่ยรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น หยิบข้าวปั้นที่ห่อด้วยใบไผ่ออกจากอ้อมแขน วางไว้ตรงหน้าเด็กแล้วก็เดินกลับไป เขาไม่อยากเห็นท่าทางการกินของเด็กๆ เพราะมันคงจะทำให้เขาเศร้าใจ แต่เขาคิดผิด ไม่เห็นยังจะเสียใจมากกว่าเห็นด้วยซ้ำ เสียงกินดังกึกก้องมาจากด้านหลัง ราวกับหมาป่าที่กำลังแย่งอาหาร กินอาหารพร้อมกับส่งเสียงขู่ร้องไม่ให้ใครมาแย่งอาหารของตัวเอง


 


 


“เหล่าโต้ว เจ้าอย่าบอกข้านะว่าผู้ชายที่นี่ถูกเจ้าฆ่าตายหมดแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าจะดูถูกเจ้า”


 


 


“ได้ยินมาว่าอวิ๋นโหวเด็ดขาดมาตลอด แค่คนพวกนี้ไม่กี่คน ก็สามารทำให้เจ้าโมโหได้? ข้าก็ไม่ได้ชอบฆ่าคน การฆ่าคนเป็นวิธีสุดท้าย และเป็นวิธีที่แสดงถึงความไร้ความสามารถ ข้ามีของดี ผู้ชายทุกคนต่างก็ชอบ แค่ได้ลิ้มลองรสชาติก็จะติดใจไปตลอด”


 


 


อวิ๋นเยี่ยเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ เขารู้ในทันทีว่าโต้วเยี่ยนซานใช้วิธีอะไร คำพูดติดอยู่ที่ปากอยู่นาน เขาถึงได้พูดเบาๆ ว่า “โต้วเยี่ยนซาน ดอกไม้ลืมทุกข์คืออะไรเจ้าก็คงจะรู้ หรือว่าเจ้าไม่กลัวบาปกลัวกรรม?”


 


 


“ความดีเป็นสิ่งมีค่า ตอนที่ข้าเป็นท่านชายอยู่ที่เมืองหลวงข้ามีจิตใจเมตตามาโดยตลอด เจอขอทานก็ให้เงิน เจอผู้หญิงที่อ่อนแอก็สงสาร ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เรื่องฆ่าคนไม่มีใครบอกข้าสักคน ท่านลุงที่สามของข้าตัดสินใจด้วยความโมโห พอข้ารู้ คนพวกนั้นก็ถูกเผาไปหมดแล้ว เจ้าปกป้องเผยอิง มิเช่นนั้นเขาอาจจะตายไปแล้ว เรื่องพวกนี้ไม่ได้มีแค่ที่ตระกูลโต้วของข้าเท่านั้น ตระกูลอื่นก็มีเช่นกัน คนรับใช้ถูกฆ่าตาย ถูกเอาไปย่างบนไฟ เอาเนื้อที่สุกแล้วยัดเข้าไปในคอ ให้พวกเขาทานเนื้อของตัวเอง อวิ๋นโหว เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนทำเช่นนี้”


 


 


อวิ๋นเยี่ยปิดหูของตัวเองไม่อยากฟัง เมื่อก่อนเคยรู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้ แต่มันคือนิทาน คือภาพยนตร์ แต่ตอนนี้เรื่องพวกนี้กลับมาเกิดขึ้นในชีวิตจริง มันได้ทำลายความคิดที่เขามีต่อมนุษย์ไปโดยสิ้นเชิง


 


 


“อวิ๋นโหว ข้าแน่ใจว่าที่เจ้าด่าตระกูลโต้วต่อหน้าหลี่หยวน มันออกมาจากใจของเจ้าจริงๆ เจ้ามีสิทธิ์ด่า เจ้าด่าได้ ความโหดร้ายที่สุดของเจ้าก็แค่ให้คนๆ หนึ่งลดตัวลงไปเป็นขันที แต่ว่าหากพูดถึงตระกูลหลี่ ความชั่วร้ายของตระกูลหลี่มีมากว่าตระกูลโต้วเป็นร้อยเท่า เหตุใดถึงได้ยืนโทษผู้อื่นอยู่บนศีลธรรมความดีกันล่ะ ความชั่วร้ายของตระกูลโต้วล้วนแต่เรียนรู้มาจากตระกูลหลี่ทั้งนั้น พวกคนเลว ฆ่าพี่ฆ่าน้อง เหตุใดถึงได้รับความจงรักภักดีจากเจ้า เป็นเพราะว่าเขาตบหัวแล้วลูบหลัง? หากข้าสามารถบรรลุเป้าหมายได้ ข้าต้องฉลาดและเมตตามากกว่าเขา อวิ๋นเยี่ย เจ้าเชื่อหรือไม่”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)