ลำนำบุปผาพิษ 799-806
บทที่ 799 อาบน้ำเหมือนยวนยางว่ายเคล้าคลอ
มองเห็นนางนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเสงี่ยม ดวงตาพริ้มลงนิดๆ ประกายแสงอ่อนจางวนเวียนรอบกาย และประกายแสงนี้ก็ชัดเจนขึ้นทุกวัน ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งอก
โชคดีที่นางไม่เห็นตัวเองยามฝึกฝน มิเช่นนั้นหากเห็นแสงเหลือบรุ้งพลายจางๆ โอบรอบอยู่รอบกายเช่นนี้ เกรงว่ายากนักที่นางจะไม่เกิดความสงสัยขึ้นมา!
การฝึกฝนชุดนี้เป็นวิธีฝึกเฉพาะของเขา มีผลกับร่างกายของ ‘เทพ’ เท่านั้น เขาไม่เคยถ่ายทอดให้ผู้ใดมาก่อน ตอนนี้นับว่าเป็นการถ่ายทอดให้ล่วงหน้า…
ดังนั้นอันที่จริงแล้วการสลับร่างครั้งนี้ถือว่าค่อนข้างมีประโยชน์ เนื่องจากร่างกายเล็กๆ ของนางเองยังไม่เคยฝึกฝนอย่างจริงจัง หากนางฝึกฝนด้วยร่างตน คาดว่าฝึกได้ไม่กี่ขั้นร่างนางก็คงระเบิดแล้ว! บางทีนี่ก็คงเป็นลิขิตจากสวรรค์กระมัง?
เขานั่งอยู่ตรงข้ามนาง สังเกตการเคลื่อวไหวของนางตลอดเวลา หลังจากเห็นว่านางฝึกฝนของนางราบรื่นมั่นคง เขาก้ตรวจสอบร่างกายเล็กน้อย ร่างกายน้อยๆ ของนางที่ได้รับการหล่อเลี้ยงจากจิตวิญญาณของเขา ก็เติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน แน่นอนว่าอาการบาดเจ็บก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย
หากพักฟื้นด้วยตัวนางเอง ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนนางถึงจะฟื้นฟูเป็นปกติ ใช้พลังยุทธ์ตามปกติได้
แต่ตอนนี้เมื่อเขาสลับมาอยู่ในร่างของนาง ระยะเวลาสั้นๆ เพียงห้าหกวัน อาการบาดเจ็บของนางก็ดีขึ้นเจ็ดแปดส่วนแล้ว พลังยุทธ์ก็ฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็วยิ่ง แม้กระทั่งพลังวิญญาณของร่างนี้ก็เพิ่มพูนขึ้นจนน่าตะลึง
ยามที่ยังไม่ได้สลับร่างนางอยู่ที่ขั้นห้ากับอีกเจ็ดส่วน ทว่ายามนี้อยู่ที่ขั้นหกแล้ว!
เพียงแต่สิ่งที่กู้ซีจิ่วไม่ทราบคือ ตี้ฝูอีใช้เวลาฝึกฝนพัฒนาร่างกายนี้ของเธอทั้งคืน ยามนั้นเธอวุ่นวายอยู่กับการฝึกยุทธ์ จึงไม่มีทางได้เห็น
ตี้ฝูอีก็ไม่ได้บอกเธอเช่นกัน เขาอยากให้สาวน้อยผู้นี้ประหลาดใจหลังจากกลับคืนร่าง…
ตี้ฝูอีมีนิสัยรักสะอาด เรื่องที่จะให้เขาไม่อาบน้ำเป็นเวลาห้าวันนั้นเป็นไปไม่ได้ ฆ่าเขาให้ตายเสียยังง่ายกว่า!
หลังจากเขาเจรจาต่อรองกับกู้ซีจิ่วไปรอบหนึ่ง ก็ได้รับข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายล้วนเห็นพ้องต้องกัน โดยทั้งสองจะไปแช่น้ำที่สระลึกแห่งนั้นทุกวันตามเวลาที่กำหนดไว้
เดิมทีกู้ซีจิ่วก็ไม่อยากแช่น้ำร่วมกับเขา การอาบน้ำที่เหมือนยวนยางว่ายเคล้าคลอเช่นนี้ เธอรู้สึกว่าไม่เหมาะสม
แต่ตี้ฝูอีบอกว่ากลัวเธอไม่วางใจ มิสู้ให้สองคนอาบพร้อมกัน ทั้งสองฝ่ายจะได้จับตามองอีกฝ่ายสะดวก…
ยามที่แช่ในสระลึก ทั้งสองคนล้วนใช้วิธีโคจรพลังยุทธ์ชนิดหนึ่ง พลังยุทธ์นั้นสามารถทำให้น้ำเดือดพล่านได้ แล้วให้คลื่นน้ำเคลื่อนผ่านรอบกายพวกเขาอย่างรวดเร็ว กระแสน้ำที่รุนแรงเหล่านั้นชำระล้างร่างกาย คราบสกปรกอันใดล้วนถูกชะล้างออกไปจนสิ้น…
เช่นนี้ก็นับว่าสะสางปัญหาการอาบน้ำได้แล้ว
เวลาผ่านไปว่องไวนัก ผ่านไปอีกสามวันแล้ว สามวันนี้สงบเงียบไร้คลื่นลมมาโดยตลอด กู้ซีจิ่วยังคงเข้าออกแทบจะพร้อมกับตี้ฝูอีอยู่เหมือนเคย ไม่รู้ว่ามีคนอิจฉาริษยามากน้อยเพียงใด
แน่นอนว่าเป็นไปตามที่คิด ฝูงชนล้วนมองหลงซือเย่ด้วยสายตาที่เจือด้วยความสงสาร
หลงซือเย่ชอบพอกู้ซีจิ่วเป็นความชอบที่เห็นได้ชัดเจนนัก เป็นเรื่องดูออกกันแทบทุกคน ยามนี้ต้องเห็นนางในดวงใจไปไหนมาไหนกับบบุรุษคนอื่นและถึงขั้นอาศัยอยู่ร่วมเรือนกัน ท่าทางคล้ายว่าใกล้จะมีเรื่องมงคล แล้วเขาจะไม่ผิดหวังได้อย่างไร?
เขาดูตรอมตรมไม่น้อย ต่อให้เข้าสอนลูกศิษย์ก็ใจลอยอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็บรรยายเนื้อหาสลับกลับหัวกลับหาง กลายเป็นที่น่าขบขันในหมู่ศิษย์
ศิษย์บางคนเห็นกับตาว่าเขาไปหากู้ซีจิ่วที่เรือนของตี้ฝูอี ผลคือถูกผู้คุ้มกันทั้งสี่ขวางไว้ แม้แต่ประตูใหญ่ก็เข้าไปไม่ได้…
ศิษย์บางคนเห็นเขาเดินเตร็ดเตร่อยู่นอกเรือนของตี้ฝูอีตั้งนานสองนาน
ยังมีอีกศิษย์บางคนเห็นเขาเป่าขลุ่ยอยู่ใต้แสงจันทร์ เงาหลังอ้างว้างเดี่ยวดาย…
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จึงทราบกันถ้วนหน้า เจ้าสำนักหลงผู้นี้ช้ำรักเสียแล้ว…
….
ส่วนอวิ๋นชิงหลัวหลายวันมานี้ทำตัวดีไม่น้อย ท่าทางคล้ายหนูเฒ่าข้ามถนน กระวีกระวาดมาเรียนทุกวัน หลังเลิกเรียนก็รีบร้อนกลับเรือนตนไป
————————————————————————————-
บทที่ 800 ‘ตี้ฝูอี’ หายไปแล้ว
เนื่องจากร่างกายอวิ๋นชิงหลัวบาดเจ็บ ดังนั้นกู่ฉานโม่จึงไม่ได้มอบหมายภารกิจใดๆ ให้นาง เพียงให้นางสงบใจพักฟื้นก็พอ
ความรักเป็นเรื่องที่ทำให้คนชอกช้ำระทมยิ่ง หนนี้อวิ๋นชิงหลัวบาดเจ็บยับเยินจริงๆ ทั้งรักทั้งชังตี้ฝูอี แต่ก็ทราบว่าชีวิตนี้ตนยังคงสิ้นหวังเช่นเดิม และบางทีนางอาจไม่มีวาสนากับเขามาตั้งแต่แรกแล้ว…
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้นางกังวลที่สุดไม่ใช่เรื่องนี้ เรื่องที่ทำให้นางกังวลที่สุดคือ ‘ตี้ฝูอี’ ของนางหายไปแล้ว!
หุ่นที่อยู่เป็นเพื่อนข้างกายนางมาตลอดตัวนั้น หุ่นที่คอยปลอบประโลมนางมาตลอดนับครั้งไม่ถ้วนหายไปจากถุงเก็บของของนาง!
ดังนั้นหลายวันมานี้นางจึงระทมยิ่ง ตัวคนร้อนรนดั่งมดที่เดินบนหม้อร้อนลวก วิตกอย่างยิ่ง
เกรงว่าหุ่นตัวนั้นของนางจะถูกตี้ฝูอีพบเข้า…
หากถูกพบเข้า นางต้องตายแน่นอน!
ราตรีนี้ นางนอนอยู่บนเตียงเพียงลำพังขณะที่กำลังนอนไม่หลับด้วยความกระสับกระส่ายที่เปี่ยมล้นอยู่ในใจ ประตูก็เกิดเสียงเบาๆ เปิดออกดังเอี๊ยดอ๊าด คนผู้หนึ่งแทรกกายเข้ามา
เกศาดำอาภรณ์ม่วง หน้ากากบดบังใบหน้า
อวิ๋นชิงหลัวลุกพรวดขึ้นมา “เจ้า!” นางไม่สนใจร่างกายที่บาดเจ็บของตน พุ่งเข้าไปคว้ามืออีกฝ่ายไว้ “หลายวันมานี้เจ้าหนีไปที่ไหนมา?! ไม่สิ เจ้าหนีออกไปเองได้ยังไง?!”
คนผู้นี้คือหุ่นที่หายไปของนาง
นางรีบร้อนกระโจนเกินไป สั่นสะเทือนถึงบาดแผล จนต้องงอกายด้วยความเจ็บปวด
คนผู้นั้นถอนหายใจเบาๆ โอบเอวนางขึ้นมา วางลงบนเตียงอีกครั้ง “เจ้ายังบาดเจ็บอยู่ ไม่ระวังถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?” น้ำเสียงอ่อนโยนเช่นที่เคยเป็นมา
อวิ๋นชิงหลัวเดือดดาล กระชากคอเสื้อเขา “พูด! เจ้าหนีออกไปเองได้อย่างไร?”
ทว่าคนผู้นั้นกลับฉวยโอกาสทาบทับนาง จุมพิตลงไป
ร่างกายอวิ๋นชิงหลัวสะท้านเล็กน้อย โอบคอเขาไว้ เสียงสั่นพร่านิดๆ “เจ้า…” พริ้มตาลง ครางเสียงแผ่ว “ฝูอี…”
ดวงตาคนผู้นั้นมีประกายแสงวูบไหวแวบหนึ่ง ขณะที่จุมพิตอย่างเร่าร้อนก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออกทันที เผยให้เห็นเรือนร่างอรชรขาวสล้างปานแกะขาว นิ้วมือเคลื่อนไหวอย่างเหิมเกริม…
เห็นได้ชัดเจนยิ่งนัก ว่านี่คือเรื่องกระทำร่วมกับนางเป็นประจำ ดังนั้นคนผู้นี้จึงทำได้ช่ำชองยิ่ง
ร่างอวิ๋นชิงหลัวสะท้านอีกครา หยาดน้ำตาหลั่งรินมากขึ้น ทว่ามิได้ขัดขืน เพียงครวญครางนามของตี้ฝูอีออกมาไม่หยุด…
ราวกับคนที่กระทำเรื่องนี้กับนางคือคนในใจของนางผู้นั้น
คนผู้นี้หลุบตามองนาง มุมปากหยักยิ้มอ่อนโยน ทว่าก้นบึ้งดวงตากลับฉายแววรังเกียจออกมาแวบหนึ่ง เขาใช้มือส่งนางขึ้นสู่ ‘สรวงสวรรค์’
อวิ๋นชิงหลัวหวนคืนจากสรวงสวรรค์กลับสู่ความเป็นจริง นางมองหุ่นที่อยู่เบื้องหน้าหัวใจบังเกิดความรังเกียจ ผลักเขาออกไป “เจ้าไสหัวไปนะ! เจ้าไม่ใช่เขา! ไม่ใช่! อย่าทำให้ข้าแปดเปื้อน…”
ในอดีตยามที่นางผลักเขาออกเช่นนี้ เขาจะถอยไปอยู่ด้านข้างอย่างสงบเสงี่ยมทุกครั้ง รอให้นางเก็บเขาใส่ถุงเก็บของอีกครั้ง
แต่คราวนี้กลับมิใช่เช่นนั้น หลังจากเขาถอยหลังไปก้าวหนึ่งก็เข้ามาใกล้อีก บีบไหล่ข้างหนึ่งของนางไว้ ยิ้มบางๆ “อวิ๋นชิงหลัว เจ้าจะหลอกตัวเองเช่นนี้ไปถึงเมื่อไหร่?!”
ไหล่ของอวิ๋นชิงหลัวถูกเขาบีบจนรู้สึกเจ็บ แต่กลับเบิกตามองเขาอย่างตกตะลึง “เจ้า…”
คนผู้นั้นนั่งลงข้างกายนาง มือลูบไล้ทรวงอกนาง ออกแรงกดอย่างเฉียบพลัน กดลงบนจุดที่กระดูกหัก อวิ๋นชิงหลัวเจ็บจนหยาดเหงื่อเย็นเฉียบผุดซึมออกมาทั่วร่างทันที ขัดขืนเขาตามสัญชาตญาณ…
แต่คนผู้นั้นเรี่ยวแรงมหาศาล อีกทั้งนางบาดเจ็บอยู่ ใช้ไม่มีเรี่ยวแรงสักเท่าไหร่ จึงถูกคนผู้นั้นกักไว้ในอ้อมแขนอย่างสมบูรณ์ ดิ้นรนไม่ได้
คนผู้นั้นยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเดิม “ชิงหลัว เจ้าบาดเจ็บจนกลายเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่เกลียดแค้นบ้างหรือ?”
นิ้วมือไต่ไปถึงตำแหน่งที่ถูกกระบี่แทงทะลุ ตรงนั้นตกสะเก็ดแล้ว แต่เมื่อสัมผัสยังคงเจ็บปวดยิ่งนัก สุ้มเสียงคนผู้นั้นอ่อนโยน ทว่าการกระทำกลับไม่รักหยกถนอมบุปผาเลย ใช้มือแกะสะเก็ดแผลของนางจนเลือดอาบทันที…
บทที่ 801 จะเกิดอะไรขึ้น
“ชิงหลัว เจ้าไม่เจ็บตรงนี้บ้างหรือ?”
อวิ๋นชิงหลัวเจ็บจนสั่นสะท้าน หน้าผากมีเหงื่อเย็นเฉียบผุดซึมไม่ขาดสาย “หยุดมือ…หยุดมือ! เจ้าหยุดมือนะ…”
คนผู้นั้นถึงได้หยุดมือลง “รู้จักเจ็บแล้วหรือ?”
“ที่แท้…ที่แท้เจ้าเป็นใครกัน?! เจ้ามิใช่…มิใช่หุ่นเชิดของข้า!” แววตาอวิ๋นชิงหลัวหวาดผวา เมื่อครู่นางพยายามใช้วิชาหุ่นเชิดควบคุมเขา ผลคือไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเลย
“ชิงหลัว ข้าใช่” คนผู้นั้นถอนหายใจเบาๆ “เพียงแต่ข้ามีเจ้านายคนอื่นด้วย ชิงหลัว ข้าอยู่ข้างกายเจ้ามาสองปีแล้ว ซ้ำยังมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อเจ้าด้วย คนผู้นั้นถูกลิขิตไว้ว่าเจ้าจะมิได้มาครอง ไฉนไม่ทำให้ข้ากลายเป็นเขาจริงๆ เสียเล่า? เจ้าดูสิข้าปลอบประโลมเจ้าได้ ทำให้เจ้ามีความสุขได้ ทำให้เจ้าสุขสมได้ รูปลักษณ์ก็คล้ายคลึงเขา ด้อยกว่าเขาตรงไหน?”
อวิ๋นชิงหลัวหลับตาลง “แต่สุดท้ายแล้วเจ้าก็ไม่ใช่เขา! เจ้าเหมือนแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น อย่างอื่นไม่เหมือนเลยสักนิด! แม้แต่ผมสักเส้นของเขาเจ้าก็เทียบไม่ได้!”
ความขุ่นเคืองพาดผ่านดวงตาของคนผู้นั้นแวบหนึ่ง นิ้วแทงเข้าที่แผลของนางทันที!
ร่างอวิ๋นชิงหลัวดีดตัวดั่งมัจฉา เกือบจะกรีดร้องออกมา ทว่าถูกคนผู้นั้นอุดปากไว้ทันที
นางเจ็บจนร่างสั่นสะท้านปานเป็นไข้จับสั่น ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้าง มองหุ่นเบื้องหน้าที่เสมือนมารร้ายแปลงกายมาอย่างหวาดผวา
คนผู้นั้นมองใบหน้าไร้สีเลือดของนาง ถอนหายใจเบาๆ “อันที่จริงความเจ็บปวดนี้เป็นสิ่งที่เขามอบให้เจ้า มิใช่หรือ?”
มือของเขายังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ บาดแผลนาง ร่างกายของอวิ๋นชิงหลัวใกล้จะชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อแล้ว นางไม่กล้าต่อต้านอีก ได้แต่พยักหน้า
คนผู้นี้ดูเหมือนจะพอใจแล้ว ในที่สุดก็ปล่อยมือจากปากนาง เอ่ยถามอีกประโยค “เช่นนั้นเจ้าเกลียดเขาหรือไม่?”
อวิ๋นชิงหลัวพยักหน้าอีกครั้ง
“เช่นนี้ก็ดีแล้ว ชิงหลัว คนผู้นั้นถูกกำหนดไว้ว่ามิใช่ของเจ้า ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ ทำให้จิตใจที่ภักดีของเจ้าต้องผิดหวังอย่างสิ้นเชิง เหตุเจ้ายังอยากปล่อยให้คนเช่นนี้มีชีวิตอยู่บนโลกอีกเล่า? ในเมื่อเจ้าครอบครองเขาไม่ได้มิสู้ทำลายเขาไปเสีย! เจ้าว่าใช่หรือไม่? อย่างน้อยก่อนที่จะทำลายเขาก็ยังไม่ได้ตกเป็นของผู้ใด เช่นนั้นเจ้ามีข้า ก็เท่ากับมีเขาด้วย…”
อวิ๋นชิงหลัวหน้าซีดเผือด “เจ้า…เจ้าคิดจะให้ข้าสังหารเขาหรือ?”
นิ้วมือคนผู้นั้นปัดผ่านริมฝีปากจิ้มลิ้มของนาง “เจ้าไหนเลยจะมีความสามารถปานนั้น อีกทั้งเจ้าเข้าใกล้เขาไม่ได้แล้ว ต่อให้เข้าใกล้เขาได้เจ้าก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขาสังหารเจ้าได้เร็วกว่า”
“เช่นนั้น…เช่นนั้นที่เจ้าบอกให้ข้าทำลายเขา…ข้า…”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเอง เจ้าแค่ไปจัดการตามที่ข้าบอกก็พอแล้ว…” คนผู้นั้นเริ่มมอบหมายภารกิจให้นาง
ภารกิจนั้นไม่ซับซ้อน แค่แพร่กระจายคำวิจารณ์บางอย่างไปในหมู่ศิษย์เท่านั้น จากนั้นก็จับตามองบางคนไว้…
หัวใจอวิ๋นชิงหลัวสับสนว้าวุ่น ทวาบว่าหากตนก้าวไปตามเส้นทางนี้แล้ว ก็ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคนผู้นั้นอย่างสมบูรณ์ ยากนักที่จะหันกลับไปได้อีก
ดูเหมือนคนผู้นั้นจะมองความลังเลของนางออก พลันหัวเราะเบาๆ เอ่ยข่มขู่ประโยคหนึ่ง “อวิ๋นชิงหลัว เจ้าจะไม่ทำเรื่องนี้ก็ได้ แต่ข้าจะออกไปด้านนอก ทำให้ผู้อื่นพบเห็นการมีอยู่ของข้า จะป่าวประกาศเรื่องของเจ้ากับข้าในสองปีนี้…เจ้าว่า หากปล่อยให้ตี้ฝูอีทราบเรื่องเหล่านี้เข้า จะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากัน?”
อวิ๋นชิงหลัวหน้าซีด
นางหลับตาลง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วนางไม่มีหนทางล่าถอยใดๆ แล้ว มีแต่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของคนผู้นั้น…
….
จันทราแขวนลอยกลางนภา ดวงจันทร์ที่อยู่ตรงนั้นกลมมนดั่งแผ่นจาน
เดือนเด่นดาวหมอง มีดวงดาวเพียงไม่กี่ดวงที่เจิดจรัสอยู่บนฟ้า
เสียงขลุ่ยดังขึ้นอย่างเอ้อระเหย ทำให้ใบเฟิงสีแดงสดโบกพลิ้วไปพร้อมกับเสียงขลุ่ย
หลงซือเย่สวมชุดขาวยืนอยู่ใต้ต้นไม้ เสียงขลุ่ยยังคงลื่นไหลออกมาจากปลายนิ้วของเขาไม่ขาดสาย ราวกับกำลังหวนคำนึงถึงอดีต อีกทั้งคล้ายรำพึงรำพันถึงช่วงเวลาอันงดงามที่เคยมี
————————————————————————————-
บทที่ 802 ฝาแฝดในเงามืด
ช่วงท้ายของบทเพลง เขามองดวงจันทร์อย่างเหม่อลอยอยู่พักใหญ่ แผ่นหลังนั้นเหงาหงอยยิ่งนัก
ในป่าเฟิงมีคนกระแอมไอดังขึ้น ดูเหมือนหลงซือเย่ไม่คาดคิดว่าก่อนว่าจะมีคนอยู่ในป่าเฟิงผืนนี้ จึงหันไปมองทันที
คนชุดฟ้าผู้หนึ่งก้าวออกมา คนชุดฟ้าผู้นั้นสวมหน้ากากไว้ มองไม่เห็นว่ารูปโฉมเป็นอย่างไร เห็นเพียงว่าเรือนกายคนผู้นี้สูงใหญ่นัก และหน้ากากที่สวมอยู่บนใบน้านั้นก็ดูคุ้นตายิ่งนัก!
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ตี้ฝูอี?!”
คนชุดฟ้าผู้นั้นถอนหายใจคราหนึ่ง “ท่านจำผิดแล้ว ข้าไม่ใช่เขา!” แม้แต่เสียงก็เหมือนตี้ฝูอียิ่งนัก
“เช่นนั้นเจ้าเป็นใคร?” หลงซือเย่กำขลุ่ยในมือแน่น “เหตุใดรูปโฉมเจ้าคล้ายคลึงกับเขาเช่นนี้?! เจ้าเกี่ยวข้องกับเขาอย่างไร?”
คนชุดฟ้าผู้นั้นเงียบไปพักหนึ่ง แล้วยิ้มบางๆ แวบหนึ่ง ทว่าภายใต้แสงจันทร์รอยยิ้มนั้นกลับดูชั่วร้ายอยู่บ้าง “ท่านลองเดาสิ?”
หลงซือเย่จ้องรอยยิ้มที่ฉาบตรงมุมปากของเขา จากนั้นเพ่งพิศเขาจากหัวจรดเท้าอีกสองครา “พี่น้องของเขา? ฝาแฝด?”
คนชุดฟ้าผู้นั้นถอนหายใจเบาๆ “ท่านเดาได้ใกล้เคียง นับว่าเป็นฝาแฝดได้กระมัง…”
หลงซือเย่ขมวดคิ้ว “นี่ไม่เคยได้ยินเขาเอ่ยถึงมาก่อน และไม่เคยได้ยินผู้อื่นเอ่ยถึงด้วยเช่นกัน”
คนชุดฟ้าหัวเราะเสียงเย็นคราหนึ่ง “ท่านย่อมไม่เคยได้ยินมาก่อน ข้าคือฝาแฝดในเงามืดของเขา…”
หลงซือเย่พินิจเขาอีกคราหนึ่ง ไม่พูดอะไร
คนชุดฟ้าผู้นั้นก้าวเข้ามา “อะไรกัน? ไม่เชื่อหรือ? ท่านก็นับว่ารู้จักเขาเช่นกัน เช่นนั้นท่านดูสิมือนี้ของข้า คางนี้ ดวงตานี้ ริมฝีปากนี้…เหมือนเขาทุกกระเบียดนิ้วเลยใช่หรือไม่?”
สายตาของหลงซือเย่กวาดผ่านตำแหน่งเหล่านั้นที่เขาบอกแวบหนึ่ง เหมือนตี้ฝูอีทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ ผิดเพี้ยนเลยสักนิด นอกจากจะเป็นฝาแฝด ก็ไม่มีคำอธิบายอื่นแล้วจริงๆ
แน่นอน หลงซือเย่ยังนึกถึงความเป็นไปได้อีกข้อหนึ่ง…ร่างโคลนนิ่งของตี้ฝูอี!
เขาจ้องมองใบหน้าของคนผู้นั้น “เหตุใดท่านไม่ถอดหน้ากากให้ข้าดูหน่อยเล่า?”
คนผู้นั้นทอดถอนใจนิดๆ “เขาสวมหน้ากากต่อหน้าผู้อื่นเสมอ เจ้าก็ไม่ทราบว่าใบหน้าที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไร ต่อให้ขาถอดหน้ากากออกแล้วอย่างไรเล่า? เจ้าสามารถแยกออกหรือ?”
แววตาหลงซือเย่วูบไหวเล็กน้อย ถอนหายใจเช่นกัน “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล เอาเถิด ข้าเองก็ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรเจ้า เลิกราเท่านี้แล้วกัน” พลางหันหลังก้าวจากไป
“เจ้าสำนักหลง ท่านอยู่ภายใต้เขาถูกเขาควบคุมมาเนิ่นนาน ยินยอมพร้อมใจนักหรือ?”
ฝีเท้าหลงซือเย่ชะงักนิดๆ เอ่ยเรียบๆ ว่า “วรยุทธ์ข้าสู้เขาไม่ได้ ฐานะเป็นรองเขาก็สมควรตามเหตุผลแล้ว มีอันใดต้องยินยอมไม่ยินยอมด้วยเล่า ท่าไม่จำเป็นต้องยุแยงตะแคงรั่วหรอก” หมุนกายก้าวต่อไป
“เช่นนั้นนางในดวงใจท่านเล่า? จะเบิกตามองนางถูกเขาฉกฉวยไปเช่นกันหรือ? ในใจมิมีความรู้สึกไม่ยินยอมสักนิดเลยหรือ?” คนชุดฟ้าผู้นั้นพูดจาก่อกวนอวัยวะเบื้องล่างผู้อื่นยิ่งนัก
หลงซือเย่หันกลับมาทันที ลมหายใจติดขัดอยู่บ้าง “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?!”
คนชุดฟ้าผู้นั้นแย้มยิ้ม นัยน์ตาหรี่ลง “เจ้าสำนักหลง ท่านเข้าใจดีว่าที่พูดหมายความว่ายังไง”
หลงซือเย่สะบัดหน้าจากไป
คนชุดฟ้าผู้นั้นก็ไม่ไล่ตามเช่นกัน เพียงเอ่ยไล่หลังอีกประโยคหนึ่ง “ข้ามีวิธีช่วยท่านชิงสตรีของท่านกลับมาได้นะ กระทั่งสามารถสังหารเขาได้ด้วยซ้ำ!”
ร่างกายหลงซือเย่นิ่งงันอีกครั้ง เอ่ยขึ้นว่า “ข้ากับเขาเป็นสานุศิษย์สวรรคืเหมือนกัน จะกระทำเรื่องพรรค์นั้นได้อย่างไร?!” แล้วรีบร้อนจากไป
คนชุดฟ้าผู้นั้นมองแผ่นหลังของเขา มุมปากยกขึ้นนิดๆ แย้มยิ้ม เขามองออกว่าหลงซือเย่หวั่นไหวแล้ว แค่ต้องเติมเชื้อไฟอีกสักนิด…
วันต่อมาหลงซือเย่ค่อนข้างนั่งไม่ติดทั้งวัน จึงไปป้วนเปี้ยนอยู่หน้าประตูเรือนของตี้ฝูอีครู่หนึ่ง มองเห็นกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีจูงมือกันกลับมาพอดี ไม่รู้ว่าตี้ฝูอีพูดอะไรกับกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วผู้ถูกเย้าหยอกจึงหัวเราะคิกคักออกมา ซ้ำยังทุบตี้ฝูอีหมัดหนึ่ง
บทที่ 803 นอกในตีขนาบประสานกัน
จากนั้นสองคนนั้นก็เข้าไปในเรือน
ไม่รู้ว่าหลงซือเย่อยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางไร้วิญญาณเนิ่นนานเพียงใดแล้ว จากหลังก็หันหลังเดินโซเซจากไป
ป่าเฟิงยังเป็นเช่นวันวาน ตัวคนก็เช่นกัน
หลงซือเย่ยังคงพิงต้นไม้เป่าขลุ่ยเพียงลำพังเช่นเคย เพียงแต่หนนี้ท่วงทำนองโศกสลดร้านรานยิ่งกว่าเดิม ซ้ำยังแฝงความขุ่นเคืองไม่ยินยอมเอาไว้เต็มเปี่ยม
เมื่อบรรเลงจบ ในป่าก็มีเสียงคนปรบมือขึ้นมา “เจ้าสำนักหลงเป่าขลุ่ยได้ไม่เลวเลยจริงๆ!”
เป็นคนชุดฟ้าเมื่อคืน
หลงซือเย่มองเขาอย่างเยียบเย็น สูดลมหายใจเข้านิดๆ “เจ้ามาหัวเราะเยาะข้าหรือ? เจ้าอาศัยอะไรมายินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น?! เจ้าถึงขั้นใช้ชีวิตอยู่ในมุมมืดด้วยซ้ำ เทียบกับข้าไม่ได้เลย!”
บนร่างเขามีกลิ่นสุรา ถ้อยคำที่กล่าวออกมาก็รุนแรงร้ายกาจอย่างที่ไม่เคยป็นมาก่อน “เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอจะหัวเราะเยาะข้า!”
คนชุดฟ้าผู้นั้นถอนหายใจเบาๆ “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้มาหัวเราะเยาะท่าน อันที่จริงข้าน่าสงสารกว่าท่านเสียอีก ตัวท่านดีร้ายอย่างไรก็ยังเป็นเจ้าสำนักถามสวรรค์ ได้รับการสนับสนุนจากคนนับหมื่น ทว่าข้ากลับเป็นหุ่นเชิดตัวแทนที่ไม่เคยได้พบเห็นแสงสว่าง ไม่เคยมีใครทราบถึงการมีอยู่ของข้าเลย…ข้าชิงชังเขายิ่งกว่าท่านเสียอีก!”
หลงซือเย่จ้องมองเขาด้วยสงสัยอยู่เงียบๆ
คนผู้นั้นกล่าวต่อว่า “ตอนนี้ท่านสนใจฟังวิธีของข้าหรือยังล่ะ?”
สีหน้าหลงซือเย่ยังคงยโสเช่นเดิม ทว่าน้ำเสียงกลับอ่อนลง “เจ้าลองว่ามาสิ”
คนผู้นั้นกล่าวถึงวิธีการของเขา…
วิธีของเขาอันที่จริงไม่ซับซ้อนเลย
ด้านนอกสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มีเขตแดนอันร้ายกาจโอบล้อมอยู่ มีเพียงคนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ถึงสามารถเข้าออกอย่างอิสระได้ แน่นอน สานุศิษย์สวรรค์ทั้งหมดก็สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระเช่นกัน หากเขตแดนนี้ไม่พังทลาย คนนอกคิดจะบุกโจมตีสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ก็ยากเย็นเข็ญใจนัก
และภารกิจที่คนผู้นี้มอบหมายให้หลงซือเย่ก็คือหาโอกาสที่เหมาะสมทำลายเขตแดนนี้เสีย ปล่อยให้คนด้านนอกจู่โจมเข้ามาแล้วนอกในตีขนาบประสานกัน…
ถือโอกาสกำจัดหลงซือเย่ไปในคราวเดียวกัน!
เมื่อฟังจบหลงซือเย่ก็เอ่ยปฏิเสธอย่างเฉียบขาด “ข้าเป็นสานุศิษย์สวรรค์ และสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์คือหยาดเหงื่อแรงใจของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่มีทางทำลายสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ทั้งสำนักเพื่อประโยชน์ของตนเด็ดขาด!”
ดูเหมือนคนผู้นั้นจะเดาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเขาจะเป็นเช่นนี้ พลันถอนหายใจเบาๆ “วางใจเถิด พวกเราก็ไม่มีเจตนาจะทำอะไรคนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เหมือนกัน เป้าหมายคือทำลายทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเท่านั้น!”
หลงซือเย่ดูคล้ายจะหวั่นไหวแล้ว แต่ยังไม่เชื่อถือเท่าไหร่ “สรุปแล้วพวกเจ้าคือผู้ใด? ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นจริงหรือเท็จ? พอพวกเจ้าบุกโจมตีเข้ามาจริงๆ แล้วฉวยโอกาสโจมตีสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ด้วยจะทำอย่างไร? ข้าไม่คิดจะผลาญหยกล้างศิลา[1]หรอกนะ!”
คนผู้นั้นกล่าวว่า “เรื่องนี้ง่ายมาก อีกสามวันข้างหน้าบรรดาศิษย์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ต้องออกไปล่าสัตว์ครั้งใหญ่ เมื่อถึงเวลาส่วนใหญ่ทุกกลุ่มจะถูกส่งออกไปทำภารกิจ น่าจะเหลือคนอยู่ไม่มากนัก เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราค่อยลงมือกัน!”
หลงซือเย่เอ่ยขึ้น “…พวกเจ้าทราบเรื่องของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์กระจ่างแจ้งเหลือเกินนะ!”
สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จัดจัดกิจกรรมล่าสัตว์ครั้งใหญ่ขึ้นทุกปีจริงๆ ถือว่าเป็นการฝึกฝนเหล่าศิษย์
เมื่อถึงวันนั้น ศิษย์เกือบทั้งหมดของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ล้วนต้องออกไปล่าสัตว์ในสถานที่ที่กำหนดไว้ สถานที่ไม่ตายตัว ล้วนแตกต่างกันไปทุกปี
แน่นอน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ คณะอาจารย์ทั้งหมดก็ต้องไปด้วยเช่นกัน เมื่อถึงวันนั้นปกติแล้วสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จะกลายเป็นเมื่องร้าง…
เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับโจมตีจริงๆ!
เพียงแต่หลงซือเย่ยังคงกังวลอยู่ “หากตี้ฝูอีก็ตามไปด้วยเล่า?”
คนผู้นั้นยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง “ไม่มีทาง! กู้ซีจิ่วยังบาดเจ็บอยู่ อวิ๋นชิงหลัวก็บาดเจ็บอยู่ พวกนางคนหนึ่งเป็นสานุศิษย์สวรรค์ คนหนึ่งเป็นศิษย์เทพศักดิ์สิทธิ์ ตี้ฝูอีไม่อาจปล่อยปละละเลยพวกนางได้”
หลงซือเย่เงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าแค่อยากกำจัดตี้ฝูอีใช่ไหม? จะไม่ทำอันตรายผู้บริสุทธิ์ใช่หรือไม่? ข้าไม่ต้องการให้กู้ซีจิ่วเกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย!”
คนผู้นั้นยิ้มอย่างมีเลศนัยแวบหนึ่ง “ไม่ต้องห่วง จะไม่ทำให้แม่นางกู้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายเด็ดขาด ท่านวางใจได้เลย!”
————————————————————————————-
บทที่ 804 มิคล้ายเป็นวิสัยของนาง
หลงซือเย่ไม่พูดอะไรอีก คนผู้นั้นมองเขาแวบหนึ่ง “ท่านยังมีข้อกังวลอื่นอีกหรือไม่?”
คิ้วคมของหลงซือเย่ขมวดแน่น “ลูกน้องทั้งสี่ของเขาร้ายกาจนัก ต้านทานกองกำลังเรือนพันเรือนหมื่นได้…”
คนผู้นั้นหัวเราะเบาๆ “วางใจเถิด เจ้านายของบ้านข้ามีวิธีกันพวกเขาออกไป…”
….
ราตรีฤดูใบไม้ร่วงเยือกเย็นดั่งสายน้ำ
กู้ซีจิ่วโอบเอวตี้ฝูอีก้าวเข้าประตูเรือน (ตอนทั้งสองคนยังไม่ได้สลับร่างคืน ย่อมเป็นบุรุษโอบสตรี)
เมื่อประตูปิดลง กู้ซีจิ่วก็รีบชักแขนตัวเองกลับทันที สาวเท้าก้าวไปด้านหน้า
ความหม่นหมองพาดผ่านดวงตาของตี้ฝูอีแวบหนึ่ง ผ่านไปหลายวันแล้ว สถานการณ์ของนางและเขาดำเนินมาเช่นนี้หลายวันแล้ว!
เขานึกว่าผ่านไปวันสองวันนางจะคลายอารมณ์แล้ว เขาจะคุยเล่นเป็นกันเองกับนางได้อีกครั้ง ทั้งสองสมัครสมานกันเหมือนก่อนหน้านี้
นางตั้งใจทำหน้าที่มากจริงๆ เพื่อแผนการใหญ่ต่อหน้าผู้อื่นนางก็ร่วมมือเล่นละครแสร้งว่ารักใคร่เมตตาเขา แถมยังเล่นได้สมจริงยิ่งนัก ทำให้เขาเกือบเข้าใจผิดว่านางหลงรักตัวเองจริงๆ
แต่พอกลับถึงเรือนนี้ นางก็เหมือนนักแสดงที่ลบเครื่องประทินโฉมออก อารมณ์กลับสู่ภาพปกติอย่างยิ่ง
ก็ไม่ใช่ว่านางจะหมางเมินไม่หยอกล้อเย้าแย่อะไรเขาเลย นางก็สนใจอยู่ ถึงขั้นสามารถคุยเล่นกับเขาได้ด้วยซ้ำ อยู่ร่วมกันเหมือนสหายธรรมดา
มองออกเลยว่านางพยายามผลักไสเขาให้ออกห่างจากนาง
ตี้ฝูอีเคยใช้หลากหลายวิธีเพื่อกระชับความสัมพันธ์นี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาตามตื้อเด็กสาวผู้หนึ่ง เขาไม่มีประสบการณ์อันใดเลย
เขารอบรู้สารพัด สติปัญญาปราดเปรื่อง เพียงแต่ไขว่คว้าหัวใจสตรีไม่เป็น…
ในบรรดาสี่ทูตมู่อวิ๋นมีเสน่ห์ดึงดูดที่สุด และเรียกความนิยมจากหญิงสาวได้มากที่สุด ยามที่เจ้าคนผู้นี้ปะปนอยู่ด้านนอกจะมีฉายาว่าคุณชายหน้าหยก หญิงสาวที่เขาหมายตายังไม่มีคนใดที่ไขว่คว้ามาครองไม่ได้ นับยอดได้เป็นหมื่นคนแล้ว
ตี้ฝูอีเคยศึกษาจากเขาทั้งทางตรงทางอ้อม เขามีทฤษฎีตามตื้อสตรีบางอย่างที่มีประโยชน์มากจริงๆ
ในเมื่อผู้เป็นนายขอคำชี้แนะ มู่อวิ๋นย่อมถ่ายทอดให้อย่างไม่หวงวิชา เล่าสารพัดวิธีออกมาจนหมดเปลือก
ยกตัวอย่างเช่นสตรีดีงามจะหวั่นเกรงการพัวพันตอแย สตรีล้วนปากไม่ตรงกับใจ ไม่ถือสาที่จะพัวพันข้างกายนางก็มี
ตี้ฝูอีรู้สึกว่าข้อนี้ใช้ไม่ได้ เนื่องจากปัจจุบันนี้เขากับนางตัวติดกันแทบจะสิบสองชั่วยามแล้ว พัวพันจนไม่อาจพัวพันมากไปกว่านี้ได้แล้ว แต่ก็ไม่เห็นนางจะหวั่นไหวเลยสักนิด!
หรืออย่างเช่นสตรีล้วนชมชอบความอ่อนหวาน ชอบให้คนรักมอบดอกไม้ให้อะไรเช่นนั้น ตี้ฝูอีปฏิบัติตามข้อนี้ ยามที่ชมดอกไม้ในสวนดอกไม้หายากของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ เขาเก็บดอกไม้ช่อใหญ่มามอบให้นาง ผลคือนางมองเขาด้วยสายตาที่ใช้มองตัวประหลาด ถามว่าเขาแค้นเคืองอันใดดอกไม้เหล่านี้ เหตุใดต้องลงมือทำลายดอกไม้อย่างโหดเหี้ยมด้วย? ดังนั้นข้อนี้จึงล้มเหลว ทิ้งมันไปซะ!
หรืออย่างเช่นคือสตรีมีความรู้สึกลึกล้ำต่อความสัมพันธ์ครั้งแรก ขอเพียงได้รับครั้งแรกของนาง โดยทั่วไปแล้วนางจะยินยอมพร้อมใจติดตามท่าน
ข้อนี้ถูกตี้ฝูอีปัดทิ้งไปทันที ตอนนี้เขากับนางสลับร่างกันอยู่ เขาคงไม่อาจทำให้กู้ซีจิ่วข่มเหงเขาได้กระมัง?
ถึงแม้เขาจะทำเรื่องไร้ขีดจำกัดล่างไปบ้าง แต่การต้องใช้ร่างสตรีที่เห็นอยู่ทนโท่ไปข่มเหงร่างของเขา ในใจเขาค่อนข้างมีเงามืดอยู่บ้าง ไม่อาจก้าวข้ามอุปสรรคด้านร่างกายได้
อีกอย่างเขาก็ไม่เชื่อว่ากู้ซีจิ่วจะเป็นสตรีประเภทนี้ ถูกผู้ใดครอบครองก็จะมอบกายถวายใจติดตามคนผู้นั้น นี่มิคล้ายเป็นวิสัยของนาง
อีกตัวอย่างกล่าวได้ว่าต้องเล่นบทจูบให้มากหน่อย สตรีบางคนเมื่อถูกจูบบ่อยเข้า ก็จะมีใจต่อท่านเอง…
ตี้ฝูอีรู้สึกว่าข้อนี้ก็ใช้งานไม่ค่อยได้เช่นกัน เนื่องตอนนี้กู้ซีจิ่วอยู่ในร่างของเขา พลังยุทธ์ก็ฟื้นฟูกลับมาแข็งแกร่งมากแล้ว ถึงแม้นางจะใช้วิชาของเขาไม่ได้เท่าไหร่ แต่ยังคงมีพละกำลังมากนัก หากเขาทะเล่อทะล่าเข้าไปจูบนาง มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่จะถูกนางต่อยจนชะงัก
————————————————————————————-
[1] ผลาญหยกล้างศิลา อุปมาถึง ทำลายทุกอย่างจนย่อยยับไปพร้อมกันโดยไม่แยกแยะดีชั่ว
บทที่ 805 หลงไหลในรสชาตินี้
ดังนั้นต่อให้ต้องการบังคับจูบก็ต้องรอหลังจากสลับร่างคืนแล้วค่อยว่ากัน ดังนั้นตี้ฝูอีจึงเก็บข้อนี้เอาไว้ก่อน
วิธีการดีๆ ของมู่อวิ๋นล้วนถูกตี้ฝูอีปัดทิ้งไปทีละข้อๆ เขาจึงคิดวิธีการอื่นไม่ออกชั่วขณะ
จวบจนถึงยามนี้…
พืชพรรณแผ่พุ่มหนา เงาจันทราเคลื่อนคล้อยลง
คนทั้งสองร่ำสุราใต้แสงแสงจันทร์
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ฝึกฝนจนพลังวิญญาณในร่างตี้ฝูอีกลับคืนมาหนึ่งในสิบแล้ว คืนนี้สามารถใช้วิชาที่ทำให้ทั้งสองคนสลับร่างคืนได้แล้ว เรื่องยุ่งเหยิงที่ใครก็คาดไม่ถึงนี้ในที่สุดก็ปิดฉากได้เสียที
กู้ซีจิ่วดูค่อนข้างมีความสุข ดวงตาส่องประกายเล็กน้อย
หลังจากทั้งสองคนกลับถึงเรือน ต่างคนก็ต่างกลับสู่นิสัยดั้งเดิมของตน ไม่ต้องแสดงละครอีก
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย วิชาที่ใช้คืนนี้จะประสบความสำเร็จแน่ๆ ใช่ไหม?” กู้ซีจิ่วต้องการคำยืนยันเรื่องนี้อีกครั้ง
“ใช่!” ตี้ฝูอีตอบกลับเธอคำเดียว
กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก ถึงแม้เธอจะอยากแข็งแกร่งมาก ถึงขั้นที่บางครั้งก็มีบุคลิกของผู้ชาย แต่เธอยังคงชื่นชอบความเป็นหญิง ร่างนี้ของตี้ฝูอีสูงส่งนัก ไปที่ใดก็ได้รับความเคารพมากมาย แต่เธอก็ไม่ชอบอาศัยอยู่ในร่างนี้ ร่างนี้ทำให้เธอรู้สึกแปลกแยกยิ่งนัก
เธอคิดถึงเจ้าหอยยักษ์ ลู่อู๋น้อยและเพรียกวายุของเธอ! เธอนึกถึงวันคืนที่จับกลุ่มร่วมประลองกับเชียนหลิงอวี่และหลานไว่หูแล้ว
ความผิดหวังของพวกเจ้าหอยยักษ์ในหลายวันมานี้ล้วนอยู่ในสายตาเธอ ความหดหู่เซื่องซึมของเชียนหลิงอวี่กับหลานไว่หูก็อยู่ในสายตาของเธอเช่นกัน
ขอเพียงเธอกลับคืนร่างได้ ก็สามารถสนิทสนมกลมเกลียวกับสัตว์เลี้ยงของเธอได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวอันใดแล้ว สามารถจับกลุ่มหารือกลยุทธ์การต่อสู้กับพวกเชียนหลิงอวี่ได้อีกครั้ง…
ทุกอย่างจะกลับสู่สภาพปกติ
เมื่อนึกถึงอนาคตอันงดงามนี้เธอก็ตื่นเต้นยินดีอยู่บ้าง เริ่มวางแผนอนาคตอยู่ในใจ
เมื่อถึงเวลานั้นสิ่งแรกที่ต้องทำย่อมเป็นการย้ายออกจากเรือนนี้ของตี้ฝูอี แยกจากเขา…
คงจะเป็นการแยกจากกันอย่างสมบูรณ์กระมัง? เธอรู้ว่าตอนนี้ตี้ฝูอีดีกับเธอมาก แต่เธอก็ทราบดีว่าตี้ฝูอีคิดยังไงกับเธอ…
ตอนนี้เธอเตรียมตอบรับหลงซือเย่แล้ว ย่อมไม่อาจโลเลไปมาระหว่างสองคนนี้ได้
เมื่อนึกถึงเวลาที่ต้องแยกจากตี้ฝูอี หัวใจเธอก็วูบโหวงขึ้นมาแวบหนึ่ง คล้ายจะอึดอัดตีบตันอยู่บ้าง แต่เธอก็โยนความรู้สึกเหล่านี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกบางอย่างถ้าตัดไม่ขาดจะเกิดความวุ่นวายขึ้นในภายหลัง…
เธอเป็นคนตรงไปตรงมาคนหนึ่ง ความสัมพันธ์ด้านความรักย่อมต้องตรงไปตรงมาด้วย! จะยืดเยื้อต่อไปไม่ได้อีก ดังนั้นไม่อาจพัวพันคลุมเครือกับตี้ฝูอีอีกต่อไป
โชคดีที่คนผู้นี้ก็น่าจะสนใจในตัวเธอเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น มิใช่ความรักจริงๆ หลังจากแยกกับตน ต่อให้เขารู้สึกผิดหวังก็คงไม่ผิดหวังนานนัก
เมื่อโอบอุ้มความคิดนี้ไว้ กู้ซีจิ่วจึงไม่ทำให้ตัวเองคิดมากเกินไปอยู่ตลอดได้ ตั้งอกตั้งใจทำเรื่องที่ตนเองอยากทำก็พอ
เธอยกชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ว่ากันตามจริง ชาบ้านตี้ฝูอีรสชาติดีจริงๆ ทำให้คนไม่ชอบดื่มชาแบบเธอหลงไหลในรสชาตินี้ได้
ต่อไปถ้าแยกกับเขาก็น่าจะไม่ได้ดื่มอีกแล้วสินะ?
กู้ซีจิ่วเลยดื่มไปอีกสองถ้วย
ตี้ฝูอีกลับดื่มสุราอยู่ จอกแล้วจอกเล่า ต่อเนื่องดั่งสายน้ำ
กู้ซีจิ่วค่อนข้างกังวล ในที่สุดก็ห้ามปรามอย่างอดไม่ได้ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านไม่ควรดื่มต่อแล้วกระมัง? หลังจากสลับร่างคืนแล้ว ข้าไม่อยากปวดหัวเพราะอาการเมาค้างหรอกนะ…”
“วางใจเถิด ข้ารู้ขีดจำกัดดี” ตี้ฝูอีดื่มเข้าไปอีกจอก
เอาเถอะ กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไรอีก
“ซีจิ่ว ร้องเพลงให้ข้าสักเพลงได้ไหม? เพิ่มบรรยากาศไง”
วันนี้กู้ซีจิ่วพูดง่ายยิ่งนัก “ได้ ร้องอะไรดีล่ะ? ท่านอยากฟังอะไร?”
ตี้ฝูอีคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ร้องตามที่สะดวกสักเพลงเถอะ ร้องอันที่เจ้าถนัด และไม่เคยร้องต่อหน้าผู้ใดมาก่อน” ความต้องการของเขาแตกต่างไม่มีใครเหมือน
————————————————————————————-
บทที่ 806 ให้ข้าตกรางวัลแก่เจ้าเถิด
กู้ซีจิ่วครุ่นคิดสักครู่ แล้วพยักหน้า “ได้!” ด้วยเหตุนี้เธอจึงร้องเพลงหนึ่งออกมา
ครั้งนี้เพลงที่เธอร้องคือ ‘แว่ววจี’ เนื่องจากเธอรู้สึกว่าเพลงนี้ค่อนข้างเหมาะกับเส้นเสียงในร่างปัจจุบันนี้ของเธอ
ทันใดนั้นดอกบัวผลิแย้ม
ลายเส้นชดช้อยแจ่มชัด
วาดผนังแต้มลายแด่ทวยเทพแดนสรวง
ทะเลทรายชายแดนเหลือเพียงกระดูกขาว
สุราขุ่นไหลสู่คอ
เวียนว่ายใช้บุญบาปมาหลายภพ
เสียงขลุ่ยแว่วครวญผ่านดั่งหยันข้า
ความรู้แจ้งเหตุแห่งกรรมพลันเสื่อมถอยทว่าผู้ใดเล่ามีจิตมาร
ละวางความยึดมั่น
แสงจันทรายังเลื่อนลอยเช่นกาลก่อน
ร่างนี้ของตี้ฝูอีเส้นเสียงไม่เลว ถึงขั้นที่เสียงดีกว่าร่างเดิมของกู้ซีจิ่วด้วยซ้ำ น้ำเสียงทุ้มต่ำแบบบุรุษ ยามร้องออกมามีเสน่ห์ดึงดูดเป็นพิเศษ
เธอเพิ่งจะร้องส่วนแรกไป ไม่ทราบว่าตี้ฝูอีหยิบพิณตัวหนึ่งออกมาจากที่ใด ดีดบรรเลงไปตามทำนองของเธอ
เสียงเพลงและเสียงพิณแว่วกังวานอยู่ในเรือน ท่ามกลางแมกไม้ที่พลิ้วไหว น่ารื่นรมย์ยิ่งนัก
นอกเรือน หลงซือเย่ก็นั่งฟังอย่างเหม่อลอยอยู่บนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เขาเม้นริมฝีปากบางนิดๆ กำกิ่งไม้ไว้จนนิ้วมือซีดขาว
นางในดวงใจครองคู่โบยบินกับชายอื่น ดีดพิณร่ายเพลง หวานชื่นสุขสันต์ เขากลับทำได้เพียงฟังอยู่นอกเรือน ไม่สามารถทำอะไรได้เลย…
“ตี้ฝูอี เจ้าแย่งชิงสตรีของข้า แค้นนี้ไม่อาจอยู่ร่วมโลกได้! ในเมื่อเจ้าไม่เมตตา ก็อย่าได้โทษที่ข้าไม่ปราณี!” เขาพึมพำเสียงแผ่ว
เขาฟังต่ออีกครู่หนึ่ง ดูเหมือนจะทนรับสิ่งนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ผุดลุกขึ้น หายแวบไปทันที
เขาเพิ่งแวบหายไปได้ไม่นาน บนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านข้างก็สั่นไหวสวบสาบ บนกิ่งของต้นไม้ต้นนั้นมีมนุษย์ตัวจ้อยสีเขียวผู้หนึ่งค่อยๆ ลุกขึ้นมา มนุษย์ตัวจ้อยนี้คือหุ่นกระบอกรูปร่างมนุษย์ มันลอยขึ้นมา พุ่งหายลับไปในอากาศ
อวิ๋นชิงหลัวยืนอยู่ในเรือนตน ริมฝีปากขยับขมุบขมิบ จรดนิ้วร่ายวิชา ผ่านไปครู่หนึ่ง หุ่นกระบอกสีเขียวตัวนั้นก้ลอยกลับมา ร่วงลงในมือนาง หุ่นกระบอกตัวน้อยพูดเจื้อยแจ้วกับนาง นางพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อหุ่นกระบอกตัวน้อยพูดจบ ก็ทำลายมันทิ้งทันที
จากนั้นก็กลับเข้าไปในห้องนอน แขนข้างหนึ่งยื่นมาโอบเอวนางไว้ วันนี้หุ่นของนางสวมเสื้อคลุมสีเขียวคราม ยิ้มน้อยพลางเอ่ยถามนาง “เป็นอย่างไรบ้าง?”
อวิ๋นชิงหลัวตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ทุกอย่างปกติ หลงซือเย่มีจิตคิดสังหารเขาจริง…”
คนชุดเขียวครามผู้นั้นพยักหน้าอย่างพอใจ อุ้มนางขึ้นมา เดินไปที่เตียงใหญ่ “ชิงหลัว ทำได้ดีมาก ให้ข้าตกรางวัลแก่เจ้าเถิด…” พลางฉีกกระชากเสื้อผ้านางออก
แรกเริ่มสีหน้าอวิ๋นชิงหลัวยังราบเรียบอยู่ แต่ทักษะการใช้มือของคนผู้นี้ช่ำชองนัก ในไม่ช้าก็ทำให้นางหายใจหอบถี่ โอนอ่อนผ่อนตาม
ดวงหน้าเฉิดฉันของนางแดงซ่าน เสียงสั่นพร่า “จะ…จะต้องลงมือพรุ่งนี้หรือ? ผู้คุ้มกันทั้งสี่ของเขา…”
“วางใจเถิด ผู้คุ้มกันสี่คนนั้นจากไปสามคนแล้ว เหลือเพียงมู่อวิ๋นที่รั้งอยู่ข้างกายเขา ไม่ควรค่าให้กังวลหรอก” การเคลื่อนไหวของคนชุดเขียวครามผู้นั้นป่าเถื่อน มอบใบหน้าเฉิดฉันที่แทบจะบิดเบี้ยวแหยเกของนาง ทราบว่าทั้งรังเกียจทั้งขาดเรื่องนี้ไม่ได้ ความปรารถนาของเขาก็พุ่งขึ้นมา ดวงตาของเขาแดงฉานเล็กน้อย ก้มหน้าลงไป ขบกัดใบหูของอวิ๋นหลัว กระซิบว่า “เด็กน้อย ยามที่เจ้าสร้างข้าขึ้นมาในคราแรกเหตุใดไม่มอบสิ่งสำคัญของบุรุษให้ข้าด้วยเล่า? มิเช่นนั้นตอนนี้ข้าคงทำให้เจ้าสุขสมได้ยิ่งกว่านี้…”
อวิ๋นชิงหลัวหลับตาลง เหตุผลที่นางไม่สร้างสิ่งนั้นให้หุ่นเชิดตัวนี้ เป็นเพราะนางแค่อยากให้มันกลายเป็นเครื่องปลอบขวัญเท่านั้น นางอยากเก็บพรหมจรรย์ของนางไว้มอบให้ตี้ฝูอี…
เพียงยามนี้ตัวนางตกสู่ขุมนรกแล้ว จะเพ้อฝันถึงสรวงสวรรค์อีกได้อย่างไร?
ในเมื่อร่วงหล่นแล้ว เช่นนั้นก็ร่วงหล่นลงไปให้ถึงที่สุดเลยแล้วกัน!
ในเมื่อครอบครองเขาไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำลายเขาทิ้งเสีย! จะดีที่สุดถ้าเขาตายด้วยน้ำมือนาง เช่นนั้นก็สมบูรณ์แบบแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น