ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 798-799

 ตอนที่ 798 ด่านจิตใจ

Ink Stone_Fantasy

เผิงเยวี่ยย่อมรู้ว่าตนสู้สองพี่น้องโอวหยางไม่ได้จึงเป็นฝ่ายยกคัมภีร์เล่มนี้ให้แทน


“คิกคิก นับว่าสหายเผิงผู้นี้รู้จักสถานการณ์ ประหยัดเวลาพวกเราแล้ว” สาวน้อยชุดเขียวเห็นเช่นนี้ ในที่สุดก็สงบอารมณ์ท้อใจที่ยังเหลือในหัวใจได้แล้วหัวเราะเบาๆ เอ่ยขึ้น


โอวหยางเชี่ยนก็ยิ้มน้อยๆ เช่นเดียวกัน นางก้าวแผ่วเบาไปด้านหน้าต่อกันหลายก้าว ถือคัมภีร์เล่มนั้นขึ้นมาแล้วเริ่มเปิดอ่าน


มาดินแดนแห่งมรดกครั้งนี้พวกนางสองพี่น้องคล้ายจะได้แต่หยุดอยู่เท่านี้ แต่หลังมีคัมภีร์เล่มนี้ ก็นับว่าไม่ได้กลับไปมือเปล่า นอกจากนี้รอหลังออกจากที่แห่งนี้ไปก็ยังมีโอกาสมากมายตามหามรดกอื่นที่ซ่อนอยู่ในแดนลึกลับอีก


ดังนั้นโอวหยางเชี่ยนจึงมีท่าทางสบายๆ ไม่รีบร้อนอยู่ตลอด


……


ในลานหินเขียวอีกด้านหนึ่ง หลังพวกหลิ่วหมิงแปดคนก้าวเข้ามาในค่ายกล แสงสีทองรอบด้านค่ายกลก็ผนึกรวมกันเป็นม่านสีทองจางๆ ตั้งตรงชั้นหนึ่ง


มองจากไกลๆ ประหนึ่งเสากลมสีทองขนาดมหึมาต้นหนึ่งอยู่กลางลานหินเขียว


ผู้ที่ยืนหยัดเดินมาถึงที่แห่งนี้ได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา!


พวกเขาทุกคนทำเสมือนไม่เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบด้าน ทยอยนั่งลงบนพื้น ตาสองข้างหลับลงนั่งทำสมาธิสงบจิตใจ


ในเวลานี้เองพื้นดินตรงกลางค่ายกลพลันมีเสียงดนตรีดังก้องไปทั่วทั้งม่านแสงอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงในหูเจ็บแปลบวูบหนึ่ง ดวงจิตสะท้าน ทันใดนั้นก็รู้สึกจิตใจกระสับกระส่ายนั่งไม่ติด นอกจากนี้ประหลาดยิ่งนักที่สลัดไม่หลุดสักนิด


หลิ่วหมิงตกตะลึงฉับพลันลืมตาทั้งสองข้างขึ้น เขารู้สึกว่าเบื้องหน้าขาวโพลนไปหมด หลังดวงจิตเลื่อนลอยวูบหนึ่งก็เหมือนกลับมาอยู่บนเกาะมฤตยู ทั้งยังกลายเป็นเด็กอายุไม่กี่ขวบไปกะทันหัน ผ่านฉากที่พบอาเฉียนรวมถึงความทุกข์ทรมานนานัปการหวุดหวิดเสี่ยงตายอื่นๆ บนเกาะเมื่อตอนนั้นใหม่อีกหน


เวลาชั่วครู่สั้นๆ เขาผ่านประสบการณ์สิบกว่าปีบนเกาะมฤตยูจบอีกครั้งแล้วปรากฏตัวหน้าประตูนิกายปีศาจอีกหน ภาพพิธีเปิดจิตวิญญาณยังคงน่าตื่นตาตื่นใจ


ครู่ต่อมาภาพก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาปรากฏตัวขึ้นในแดนลึกลับแห่งการทดสอบเมื่อครั้งนั้นอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุอีกหน หลังภาพตรงหน้าพร่าเลือนวูบหนึ่ง ฝ่ามือมารค้ำฟ้าข้างนั้นก็ไล่ตามดังหวีดหวิวมา


ภาพน่าหวาดกลัวภาพแล้วภาพเล่านี้แล่นผ่านตรงหน้าหลิ่วหมิงไปอย่างเร็วไว ทำให้เขาไม่มีเวลาครุ่นคิดอะไรได้เลย


หลิ่วหมิงฉับพลันเคร่งเครียด จิตมารในกายคล้ายเริ่มขยับนิดๆ


เขาตกตะลึง พลังเวททั้งร่างไหลเข้าไปยังโซ่ตรวจสะกดวิญญาณ ทันใดนั้นความเย็นสบายสายหนึ่งก็แผ่ไปทั่วร่าง คลื่นความปั่นป่วนที่ผุดขึ้นในใจฉับพลันสงบลงใหม่อีกครั้ง


ทว่าหลังความรู้สึกนี้หายไป เบื้องหน้าเขาก็พร่าไปวูบหนึ่ง เขาผ่านเหตุการณ์ที่ถูกจิตปีศาจยึดครองร่างครั้งแรกเมื่อตอนนั้นใหม่อีกครั้ง


แม้ทุกสิ่งนี้เป็นเพียงความทรงจำกระจัดกระจายจำนวนหนึ่ง แต่ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดซึ่งซ่อนอยู่ในหัวใจ


หลิ่วหมิงดูเหมือนนั่งขัดสมาธิไม่ขยับอยู่ในค่ายกล หลับตาทั้งสองข้างแน่น บนหน้าผากเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลรินลงมาไม่หยุด


แม้เขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงภาพลวงตา ทว่าในห้วงความสับสนเขาก็ต้องการกระโดดข้ามประสบการณ์น่าหวาดกลัวเหล่านี้ให้เร็วสุดกำลัง แต่ภาพที่เกี่ยวข้องกลับยิ่งชัดเจนขึ้นทุกที


เมื่อเขาเห็นหลิ่วหมิงในร่างแปลงปีศาจที่สีหน้าไร้อารมณ์นั้นอีกครั้ง จิตสังหารสายหนึ่งพลันเกิดขึ้นเองในก้นบึ้งหัวใจ ปากของเขาเปล่งเสียงหัวเราะประหลาดที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมออกมาโดยไม่มีสาเหตุ จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นโดยไม่อาจควบคุมตัวเองได้


เวลานี้เองศิลาหุนเทียนในทะเลจิตรับรู้ของหลิ่วหมิงพลันส่งเสียงครางดังขึ้นพักหนึ่ง


เขาฉับพลันได้สติ ในดวงตาฉายแววกระจ่างใส เขาตกตะลึงชั่วครู่ก็กัดปลายลิ้น ความเจ็บแปลบรุนแรงทำให้เขาหลุดออกจากภาพลวงตาในพริบตา สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ลุกขึ้นจากที่นี่ แต่อดไม่ได้เหงื่อกาฬไหลโชก


ชั่วความคิดแล่นหลิ่วหมิงรีบปล่อยจิตสัมผัสทะลุเข้าไปในร่างตน หลังสำรวจภายในจึงพบว่าจิตปีศาจถูกวิชาสายฟ้าสวรรค์สะกดไว้อย่างว่าง่าย ไม่มีวี่แววว่าจะดิ้นหลุดสักนิด


ความรู้สึกทั้งหมดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความรู้สึกลวงเท่านั้น!


เขาสูดหายใจลึกทันที รีบเคลื่อนพลังเวทในร่างถ่ายเทเข้าไปในโซ่ตรวนสะกดวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง ในเวลาเดียวกันก็ถ่ายเทพลังจิตของหนอนพลังจิตในอกเสื้อเข้าไปในทะเลจิตรับรู้ของตนอย่างไม่ลังเลสักนิด


ทันใดนั้นพลังเย็นสบายประหนึ่งเส้นผมก็ผุดออกมาจากในทะเลจิตรับรู้ต่อเนื่องไม่ขาดสาย ทั้งยังก่อตัวเป็นเกราะใสแน่นสนิทจนลมไม่อาจลอดชั้นหนึ่ง ปกป้องดวงจิตของตนไว้อย่างแน่นหนา


เช่นนี้ในใจหลิ่วหมิงถึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย


แต่ในตอนนี้เองทำนองประหลาดก็ดังก้องขึ้นในหูเขา จิตสัมผัสของเขาพร่าเลือนไปวูบหนึ่งหลังจากนั้นเขาก็ผ่านเหตุการณ์ที่สู้รบกับราชาปีศาจสมุทร ราชาโลหิตและผู้อาวุโสจินหมานทีละฉากๆ อีกหน


ครั้งนี้หลิ่วหมิงเคยฝึกฝนเผชิญหน้ากับสิ่งที่คล้ายคลึงกันในภาพมายาของห้องว่างเปล่าลึกลับมาแล้วจึงทำให้เขารับมือผ่านไปได้อย่างง่ายดาย สีหน้าบนใบหน้าค่อยๆ นิ่งสงบขึ้นมา


“ฆ่า! พวกเจ้าล้วนต้องตาย!” เสียงคำรามฉับพลันดังขึ้นจากด้านข้าง


หลิ่วหมิงตกใจหลุดจากภาพลวงตา สองตาเหล่มองทีหนึ่ง พบว่าเสียงมาจากชายหนุ่มอัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับ


ดวงตาสองข้างของเขายามนี้ถูกมีความบ้าคลั่งครอบงำ แม้ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นแต่สองมือกลับปัดไปมาอลหม่าน


ครู่ต่อมาชายหนุ่มอัปลักษณ์พลันแหงนหน้ากู่ร้อง ปราณดำรอบร่างทะลักออกมาล้อมร่างกายทั้งหมดของเขาไว้ด้านใน เสียงฟึบดังขึ้น เงาร่างสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าจากกลางปราณสีดำ มือขยับไม่หยุด ส่งเงาฝ่ามือสีดำขนาดแตกต่างกันฝ่ามือแล้วฝ่ามือเล่าไปสี่ด้านแปดทิศอย่างไร้จุดหมาย


เสียงฟู่ดังขึ้นทีหนึ่ง แสงสีทองสายหนึ่งม้วนขึ้นมาจากค่ายกลด้านล่างล้อมร่างของคนผู้นี้ไว้ด้านในอย่างรวดเร็ว มิติไหวเป็นระลอกหลังจากนั้นเขาก็หายไปจากในค่ายกลนี้อย่างไร้ร่องรอย


เวลานี้พวกเขาเพิ่งเข้ามาในค่ายกลได้เพียงครึ่งเค่อก็มีผู้ที่พลังไม่ธรรมดาคนหนึ่งกดจิตสังหารในใจไม่ไหวถูกเคลื่อนย้ายออกไปก่อนแล้ว


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจตะลึงไปชั่ววูบ


เห็นชัดว่าในด่านนี้ทดสอบขีดจำกัดในการรับแรงกดดันของพลังจิต ไม่ค่อยเกี่ยวกับความแข็งแกร่งอ่อนแอของพลังเฉพาะตัวมากนัก


หลิ่วหมิงกระตุ้นพลังจิตต่อต้านเสียงทำนองดนตรีประหลาดในหูอย่างต่อเนื่อง ในเวลาเดียวกันสายตาก็กวาดมองผู้คนรอบด้าน


เขาเห็นเหนือกระหม่อมของชายหนุ่มผมม่วงของหอเป๋ยโต่วมีระฆังทองแดงที่ลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงจางๆ แผ่เต็มใบหนึ่งลอยอยู่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร มันแกว่งเบาๆ ตามลม ส่งคลื่นไหวกระเพื่อมวงแล้ววงเล่าออกมาบนอากาศรอบด้าน ปกป้องรอบกายของเขาไว้


บุรุษผมม่วงนั่งตัวตรงอยู่ด้านใน ท่าทางนิ่งสงบผ่อนคลายคล้ายไม่ได้รับผลกระทบจากเสียงดนตรีประหลาดนั่นสักนิด


บุรุษชุดน้ำเงินของนิกายเทียนกงนั่งตัวตรงอยู่บนรถสีเงินนานแล้ว สองตาหลับลงเบาๆ ปากท่องมนตร์งึมงำฟังยากออกมาไม่ขาดสาย


หุ่นอาชาสีทองแปดตัวที่ลากรถสีเงินบนผิวเปล่งแสงเรืองรองสีทองออกมาแปดแถบล้อมตัวเขารวมถึงรถสีเงินไว้ด้วยกัน เห็นชัดว่าได้รับผลกระทบจากเสียงดนตรีประหลาดไม่มากนักเช่นกัน


สตรีชุดเขียวของสำนักเฮ่าหรานกลับนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม สองมือถือคัมภีร์โบราณที่ส่องแสงสีฟ้าอ่อนเล่มหนึ่งไว้ ตั้งแต่ต้นจนจบบนใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ สองตานิ่งสงบประหนึ่งไร้คลื่นลม ราวกับว่าไม่ได้ยินทุกสิ่งรอบด้าน เพียงจดจ่อพลิกอ่านหนังสือในมือเท่านั้น


หลัวเทียนเฉิงรวมถึงบุรุษหน้าเหยี่ยวจากหุบเขาปีศาจสวรรค์ผู้นั้นอีกด้านหนึ่งเห็นชัดว่าไม่ได้สบายเช่นสองสามคน


แม้หลัวเทียนเฉิงจะยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ แต่สองตาแทบจะถูกสีแดงฉานกลืนกิน เสียงตวาดต่ำดังออกมาจากปากไม่ขาด รอบตัวมังกรและพยัคฆ์สีเงินบินวนเวียนไม่หยุด สองแขนเส้นเอ็นปูดนูนขึ้นมา โจมตีพื้นดินดังสนั่นไม่ขาด


แต่ละหมัดล้วนทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนส่งเสียงดัง บนหมัดเลือดไหลโชก แม้บาดแผลทั้งหมดจะฟื้นคืนดังเดิมในชั่วพริบตา แต่คราบเลือดที่หลงเหลืออยู่ภายนอกก็ยังคงทำให้คนเห็นแล้วใจหนาวเหน็บอย่างที่สุด


ก็ไม่รู้ว่าพื้นหินเขียวนี้ที่แท้สร้างมาจากวัสดุใด เงาหมัดถี่รัวเช่นนี้โจมตีลงไปดังสนั่นกลับไม่ทิ้งรอยไว้สักนิด


หลัวเทียนเฉิงคล้ายกำลังฝืนอาศัยสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดผลาญพลังเวทในร่างไม่หยุดเพื่อบังคับให้ตนไม่ลุกขึ้นยืน


บุรุษหน้าเหยี่ยวผู้นั้นใบหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดง สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลลงมาจากหน้าผาก สองมือเปลี่ยนเคล็ดวิชาท่าแล้วท่าเล่าต่อเนื่องไม่หยุด เรียกมุกจิตวิญญาณสามสีเม็ดออกมาลอยอยู่ตรงหน้าอก


อักขระบนผิวด้านนอกของมุกจิตวิญญาณเม็ดนี้ไหลเคลื่อนเชื่องช้า ด้านในส่องแสงเรืองรองสีน้ำเงิน สีแดงและสีขาวสามสีพุ่งตรงเข้าไปกลางหว่างคิ้วของเขา คล้ายเป็นอาวุธจิตวิญญาณที่ป้องกันจิตใจชนิดหนึ่ง


ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจผู้เคยสังหารศิษย์หัวกะทิของนิกายยอดบริสุทธิ์สองคนได้ในคราวเดียวผู้นี้กลับดูแล้วอเนจอนาถดูไม่ได้มากขึ้นอีก


หลิ่วหมิงส่ายศีรษะ หลัวเทียนเฉิงอาจทนไหว แต่เผ่าปีศาจผู้นี้เห็นชัดว่าใกล้จะพังทลายแล้ว


ไม่ผิดจากที่เขาคิด เพียงเจ็ดแปดลมหายใจให้หลัง เสียงแตกดังกังวานเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น มุกจิตวิญญาณสามสีตรงหน้าอกบุรุษหน้าเหยี่ยวระเบิดออกในทันใด


หลังผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจคนนี้เสียอาวุธจิตวิญญาณที่ปกป้องดวงจิตไปก็ฝืนยืนหยัดได้แค่สองลมหายใจเท่านั้น จากนั้นก็คำรามเกรี้ยวกราดพุ่งขึ้นท้องฟ้า วาดมือวาดเท้ากลางอากาศ เพียงยกมือยกเท้าก็ใกล้จะคลุ้มคลั่ง


แสงเรืองรองสีทองสายหนึ่งซัดขึ้นมาจากค่ายกลบนพื้น ชั่วพริบตาล้อมบุรุษหน้าเหยี่ยวไว้ด้านใน เคลื่อนย้ายหายไปเช่นเดียวกัน


เมื่อผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจผู้นี้ฟื้นคืนสติอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็พบว่าตนอยู่ในห้องศิลาแปลกหน้าห้องหนึ่ง


บนโต๊ะศิลาตรงกลางวางคัมภีร์ขนาดเท่าฝ่ามือที่กลายเป็นสีเหลืองหน่อยๆ เล่มหนึ่งอยู่ ที่มุมไม่ไกลมีค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดเล็กสีขาวนวลอยู่ค่ายกลหนึ่ง


ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะศิลา ชายหนุ่มอัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับก็อยู่ที่นี่ด้วย เพียงแต่ทั้งร่างถูกแสงสีทองเรืองรองชั้นหนึ่งกักอยู่ ไม่อาจกระดิกตัวได้ชั่วขณะ


ทว่าพริบตาที่บุรุษหน้าเหยี่ยวปรากฏตัวขึ้น แสงสีทองฝั่งตรงข้ามก็ส่งเสียงเปรี๊ยะ แตกกระจายออก


หลังทั้งสองคนสบตากันก็แทบจะลงมือพร้อมกันโดยไม่ลังเลสักนิด สู้ศึกใหญ่กันในห้องศิลา


……


ในลานหินเขียว


หลังชายหนุ่มอัปลักษณ์กับบุรุษหน้าเหยี่ยวพากันตกรอบ ที่นั่นก็เหลือเพียงหลิ่วหมิง บุรุษผมม่วง ชายหนุ่มรถเงิน สตรีชุดเขียวกับหลัวเทียนเฉิงห้าคน


เวลาคล้ายจะผ่านไปเร็วอย่างน่าประหลาด หลังเวลาหนึ่งเค่อมาถึง เสียงดนตรีประหลาดสายนั้นก็หยุดลง ไม่ดังต่ออีก


หลิ่วหมิงลืมตาสองข้างขึ้น ในใจพรูลมหายใจยาวออกมา จากนั้นหยุดส่งพลังให้โซ่ตรวนสะกดวิญญาณกับหนอนพลังจิต


หลัวเทียนเฉิงสีหน้าซีดเผือดเหงื่อไหลซึมแผ่นหลัง สองหมัดแทบจะถูกคราบเลือดสีแดงดำหุ้มไว้อย่างสิ้นเชิง สภาพปราณเสียหายไม่เบา แต่เมื่อพบว่าตนเองทนจนผ่านด่านนี้แล้ว ในดวงตากลับเต็มไปด้วยแววตายินดี ลุกขึ้นยืนด้วยร่างกายที่สั่นเทาทันที


สตรีชุดเขียว บุรุษผมม่วงกับชายหนุ่มรถเงินก็เก็บอาวุธจิตวิญญาณไปแล้วลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกัน


ครู่ต่อมาพวกหลิ่วหมิงห้าคนพลันรู้สึกว่าค่ายกลใต้เท้าสั่นไหวเล็กน้อย เสียงแหวกอากาศดังขึ้น


ลำแสงสีทองหนาประหนึ่งถังน้ำห้าสายฉับพลันพุ่งจากใต้พื้นดินขึ้นไปบนฟ้า หอบทั้งห้าคนหายไปในค่ายกล



ตอนที่ 799 แท่นทองแดง

Ink Stone_Fantasy

ในมิติสีขาวขมุกขมัวแห่งหนึ่ง


มองไปรอบด้านไม่เห็นปลายทางสักนิด นอกจากนี้ไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตใด หมอกร้อนสีขาวชั้นแล้วชั้นเล่าลอยปกคลุมอยู่อย่างสิ้นเชิง


ใต้ไอหมอกร้อนผ่าวสีขาวเวิ้งว้างกลับเป็นทะเลเพลิงลุกโหมผืนหนึ่ง มีควันสีขาวสายแล้วสายเล่าลอยละล่องขึ้นมาจากทะเลเพลิงค่อยๆ ก่อตัวเป็นหมอกขาวร้อนผ่าวกลางอากาศ


ใจกลางทะเลเพลิงร้อนสีแดงฉานผืนนี้ ท่ามกลางหมอกสีขาวที่ปกคลุมชั้นแล้วชั้นเล่า แท่นทองแดงมหึมาโอ่อ่าสามแท่นลอยอยู่กลางอากาศ


แท่นทองแดงรูปสี่เหลี่ยมสามแท่นที่รอบด้านมีสนิมสีเขียวและปรากฏตัวอักษรประปรายลอยอยู่ห่างผิวทะเลราวยี่สิบสามสิบจั้ง แท่นทองแดงยาวราวหนึ่งร้อยจั้ง กว้างก็ราวหนึ่งร้อยจั้ง ทั้งสี่ด้านราบเรียบอย่างยิ่ง


เสียงชือๆ ดังขึ้นชั่วขณะ กลางอากาศเหนือแท่นทองแดงแท่นหนึ่งในนั้นก็มีคลื่นไหวกระเพื่อมระลอกหนึ่งเกิดขึ้น ค่ายกลที่ส่องแสงสีทองค่ายกลหนึ่งปรากฏออกมาจากกลางอากาศจากนั้นชั่วพริบตาพังทลายสลายไป เงาคนสีน้ำเงินร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากตรงกลาง


นั่นก็คือหลิ่วหมิงที่เพิ่งผ่านการทดสอบด่านก่อนหน้าแล้วถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่


หลิ่วหมิ่งร่วงดิ่งลงมาจากกลางอากาศ เสียงเปรี้ยงดังขึ้นทีหนึ่ง เขายืนมั่นคงอยู่บนแท่นทองแดง แล้วถึงลืมตาสองข้างขึ้นอีกครั้ง เขามองทุกสิ่งรอบด้านก่อนจากนั้นตะลึงเล็กน้อยก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมา


หมอกสีขาวรอบด้านแท่นทองแดงนี้รวมตัวกันหนาอย่างยิ่ง จิตสัมผัสของเขาไม่อาจทะลุผ่านไปได้แม้แต่น้อย


ส่วนเพลิงร้อนแรงในทะเลเพลิงด้านล่างก็คล้ายไม่ใช่เปลวเพลิงธรรมดา หลังจิตสัมผัสของเขากวาดผ่านไปกลับมีความรู้สึกร้อนระอุผิดธรรมดาส่งกลับมา เปลวเพลิงทั่วไปไม่มีทางทำเช่นนี้ได้เด็ดขาด


เวลานี้เองอากาศด้านบนก็ไหวกระเพื่อมขึ้นอีกครั้ง ค่ายกลที่ส่องแสงสีทองอีกค่ายกลหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า หลังส่องสว่างแล้วดับลง เงาคนสีเขียวร่างหนึ่งก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้า เสียงปังดังขึ้นทีหนึ่ง ร่างนั้นก็ยืนมั่นคงอยู่ไม่ไกลเบื้องหน้าเขา


หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไป เงาร่างสีเขียวนี้ไม่ใช่ใครอื่น นางคือสตรีชุดเขียวของสำนักเฮ่าหรานนั่นเอง


นางตั้งสติ จากนั้นมองหลิ่วหมิงนิ่งๆ ทีหนึ่งแล้วเริ่มหันหน้ามองไปยังไอหมอกสีขาวนอกแท่นทองแดงสีเขียว


ผลปรากฏว่านาทีต่อมานางก็ขมวดคิ้วงามน้อยๆ สังเกตเห็นความผิดปกติของที่แห่งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน


ทันใดนั้นหลิ่วหมิงกับสตรีชุดเขียวก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนรุนแรงกะทันหันที่ส่งออกมาจากแท่นทองแดงสีเขียวใต้เท้าพร้อมกัน


หลังแรงสั่นสะเทือนรุนแรงระลอกหนึ่ง สนิมทองแดงสีเขียวตรงขอบแท่นทองแดงรูปสี่เหลี่ยมที่ทั้งสองคนยืนอยู่ก็ค่อยๆ หลุดลอกออก เผยหน้าตาดั้งเดิมด้านใน


ขอบนอกรอบด้านแท่นทองแดงมหึมามีอักษรสีทองลี้ลับจารึกไว้มากมายถี่ยิบ พร้อมกับที่สนิมสีเขียวค่อยๆ หลุดลอก แสงลี้ลับสีทองแสบตาสายแล้วสายเล่าก็ส่องออกมาจากอักขระจารึกสีทองในทันใด


แสงสีทองชั่วพริบตาส่องสว่างไสวหมื่นจั้ง แสงสีทองระลอกแล้วระลอกเล่าพุ่งตรงไปยังชั้นเมฆ คลุมทั้งแท่นทองแดงสีเขียวอย่างรวดเร็ว


เมื่อแสงลี้ลับสีทองไหลเคลื่อนช้าๆ ดึงดูดหมอกสีขาวร้อนระอุกลางอากาศให้ค่อยๆ รวมตัวกันเข้าไปหาแสงสีทอง


หมอกทึบสีขาวเบี่ยงเข้าหาแสงลี้ลับสีทองไม่หยุด ค่อยๆ ก่อตัวเป็นเกราะแสงโปร่งใสรูปสี่เหลี่ยมสีทองขาวสองสีชั้นหนึ่งตามขอบของแท่นทองแดงรูปสี่เหลี่ยม


เกราะแสงชั้นนี้มีหมอกสีขาวเป็นพื้นกับเส้นด้ายสีทองสายแล้วสายเล่าที่ขยับไม่หยุด แลดูบางล่องลอยอย่างยิ่ง


หลิ่วหมิงตกตะลึง ทว่ามองผ่านเกราะแสงโปร่งใสออกไป แท่นทองแดงมหึมาที่เหมือนกันทุกประการอีกสองแท่นซึ่งห่างไปหลายร้อยจั้งก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน มีเกราะแสงสีทองขาวสองสีชั้นหนึ่งผุดขึ้นมาด้วย….


ในเวลานี้บนแท่นทองแดมหึมาสองแท่นก็มีเงาคนขยับไหวอยู่เลือนรางเช่นกัน


หลังหลิ่วหมิงเพ่งมองให้ละเอียดถึงเห็นชัดว่าแต่ละแท่นทองแดงเป็นหลัวเทียนเฉิงกับบุรุษผมม่วง ซึ่งกำลังประจันหน้าระวังกันอยู่


แท่นทองแดงอีกแท่นหนึ่งบุรุษรถเงินยืนอยู่เพียงลำพัง เขามองมายังแท่นทองแดงอีกสองแท่นผ่านม่านแสงล่องลอยสีทองขาวสองสีอย่างสงสัยใคร่รู้


ทันใดนั้นในอากาศตรงกลางของแท่นทองแดงสีเขียวทั้งสาม ไอหมอกสีเขียวครามสายหนึ่งก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาก่อตัวขึ้นเป็นอักษรแสงสีเขียวครามแถวแล้วแถวเล่าช้าๆ


“คนที่อยู่แท่นทองแดงเดียวกันต่างเป็นคู่ต่อสู้ของกันและกัน ไม่สนเป็นตาย ขอเพียงต่อสู้ชนะอีกฝ่ายจะเข้าด่านต่อไปได้ ผู้ที่ยอมแพ้หรือตายจะถูกเคลื่อนย้ายจากไปเอง คนที่เหลืออยู่จึงเป็นผู้ชนะของด่านนี้! หากผู้ใดไร้คู่ต่อสู้ถือว่าชนะทันที”


หลังตัวอักษรสีเขียวครามคงอยู่ชั่วครู่ก็ค่อยๆ กลายเป็นไอหมอกสายแล้วสายเล่าลอยล่องหายไป


เห็นเช่นนี้ แววตาของหลิ่วหมิงก็ทอประกายเล็กน้อย เขาเงยหน้ามองไปหาสตรีชุดเขียว สบตากับอีกฝ่ายพอดี


แววตาหลัวเทียนเฉิงก็ทอประกายเย็นเยียบมองไปหาบุรุษผมม่วงเช่นกัน พวกเขาเดินมาถึงตรงนี้ย่อมไม่มีทางมีคนเลือกถอย


ชายหนุ่มรถเงินเห็นเช่นนี้กลับหัวเราะเบาๆ


เห็นชัดว่าเขาคือผู้โชคดีที่ไม่มีคู่ต่อสู้คนนั้น


เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาไม่ต้องออกแรงเป่าฝุ่นก็เข้าสู่ด่านต่อไปได้อย่างง่ายดาย


หลิ่วหมิงเดาเรื่องนี้ได้ลางๆ ตั้งนานแล้ว หลังเขามองสตรีฝั่งตรงข้ามทีหนึ่งก็ยิ้มประสานมือเอ่ยว่า


“สหาย ดูแล้วครานี้ไม่ลงมือคงไม่ได้ ข้าได้แต่ล่วงเกินแล้ว!”


“ข้าได้ยินว่าสหายหลิ่วเป็นศิษย์รุ่นใหม่เพียงคนเดียวของนิกายยอดบริสุทธิ์ที่ฝีมือทัดเทียมกับหลัวเทียนเฉิง ได้ประจักษ์พลังสักเล็กน้อย เป็นเรื่องที่ปรารถนาอย่างยิ่ง!” สตรีชุดเขียวได้ยินก็ยิ้มน้อยๆ เอ่ยตอบ


บนใบหน้าหลิ่วหมิงไม่มีสีหน้าประหลาดแม้แต่น้อย แต่ในใจกลับสะท้านไหวเบาๆ


สตรีชุดเขียวรู้เรื่องที่เขากับหลัวเทียนเฉิงเคยประมือกันในนิกาย นี่เหนือความคาดคิดอยู่มาก ดูท่าสตรีผู้นี้จะเป็นผู้ที่มีความเป็นมาไม่ธรรมดา


เวลานี้เองหญิงสาวพลันกวักมือทีหนึ่งเรียกแท่นฝนหมึกหินหนาหนักสีเขียวหยกชิ้นหนึ่งออกมา


แท่นฝนหมึกหินนี้มีสีเขียวหยกทั้งแท่น หน้าตาเรียบง่ายยิ่งนัก ในช่องว่างยังมีหมึกสีดำเหลือบเขียวเรียบหรูหยดแล้วหยดเล่าติดอยู่คล้ายน้ำหมึกสีดำยังคงไหลเอื่อยอยู่ด้านใน แม้มีขนาดเท่ากำปั้น แต่เมื่อถืออยู่ในมือเรียวของหญิงสาวชุดเขียวแล้วกลับทำให้คนรู้สึกว่าหนาหนักอย่างยิ่ง


สตรีชุดเขียวสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่งโยนแท่นฝนหมึกหินสีเขียวหยกขึ้นกลางอากาศ จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ยกขึ้น เคล็ดวิชาสีเขียวสามสายพุ่งเข้าไปในแท่นฝนหมึกสีเขียวหยก


แท่นฝนหมึกสีเขียวหยกฉับพลันส่องแสงสีเขียวหยกออกมา มันหมุนติ้วกลางอากาศครู่หนึ่งก็ขยายใหญ่ขึ้นถึงสิบกว่าจั้งกลางอากาศ ทาบทับท้องฟ้าเหนือร่างทั้งสองคนไว้


“เท!”


สตรีชุดเขียวชี้ท้องฟ้าแล้วตวาดเสียงเบาออกจากปาก


หลังแท่นฝนหมึกสีเขียวหยกหนาหนักสั่นเบาๆ ทีหนึ่ง ปากแท่นฝนหมึกก็เอียงเล็กน้อย เทเงาน้ำหมึกสีดำเหลือบเขียวลงมาประหนึ่งน้ำตก


น้ำหมึกสีดำสายแล้วสายเล่านี้ผนึกรวมกันกลางอากาศชั่วพริบตากลายเป็นเงายอดเขาสีเขียวครามขนาดสิบกว่าจั้งสี่ห้าลูก ส่งเสียงครืนร่วงดิ่งลงมาประหนึ่งเขาไท่ซานถล่มทับเหนือศีรษะ พลังน่าพรั่นพรึงอย่างที่สุด


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับไม่ตระหนกสักนิด เขารู้ว่าพื้นที่จำกัดเช่นนี้ไม่อาจหลบได้ ทันใดนั้นร่างของเขาก็ลอบย่อตัวลงแล้วตวาดเบาๆ คำหนึ่ง ปราณดำเข้มข้นดวงแล้วดวงเล่าฉับพลันผุดออกมาจากในร่าง จากนั้นสองแขนพลับยกขึ้น ต่อยสองหมัดรุนแรงเข้าใส่ท้องฟ้า


เสียงฟึบๆ ดังขึ้นหลายหน


พยัคฆ์หมอกสีดำโหดเหี้ยมห้าตัวกับมังกรหมอกสีดำดุร้ายห้าตัวรวมตัวออกมาจากปราณดำพุ่งขึ้นฟ้าตามเงาหมัดมหึมาสองหมัดไปในทันใด


ทันใดนั้นกลางท้องฟ้าสูงเสียงดังสนั่นก็ลอยออกมา แสงรัศมีสีดำเขียวสว่างชั่วพริบตาระเบิดกลางอากาศ คลื่นปราณวงแล้ววงเล่าพุ่งออกมา


ท่ามกลางเสียงพยัคฆ์คำรามมังกรกู่ร้อง เงายอดเขาลูกแล้วลูกเล่าถูกเงาพยัคฆ์และมังกรฉีกกลายเป็นไอหมอกสีเขียวดำสายแล้วสายเล่าสลายหายไปในพริบตา


หลังเงาพยัคฆ์กับมังกรบินวนกลางอากาศรอบหนึ่งก็พุ่งชนเข้าใส่แท่นฝนหมึกสีเขียวหยกด้านบน


สตรีชุดเขียวเห็นเช่นนี้ก็แค่นเสียงหยันทว่าใบหน้างามเสียใจยิ่ง สิบนิ้วดีดรัวพร้อมกัน ทันใดนั้นเคล็ดวิชาสีเขียวสิบกว่าสายพลันบินพุ่งออกมาจมลงไปในแท่นฝนหมึกหินกลางอากาศ


แท่นฝนหมึกทั้งแท่นส่งเสียงครางแผ่วเบา แสงจิตวิญญาณสีเขียวหยกเอ่อล้นกว่าเดิมพร้อมกับมุมที่เท ฉับพลันเพิ่มขึ้นไม่น้อย เงาน้ำหมึกสีเขียวหยกเทลงมามากกว่าเดิม กลายเป็นเงายอดเขาสิบกว่าลูกกดลงมาหนักหน่วงอีกหน


เสียงเปรี้ยงดังสนั่นกึกก้องอีกครั้ง!


มังกรกับพยัคฆ์หมอกสีดำประจันหน้าเข้าใส่ขุนเขาอย่างอาจหาญไม่กลัวเกรง ทว่าเงายอดเขาต่อเนื่องไม่ขาดสายก็พุ่งเข้าชนจนพวกมันค่อยๆ ลางเลือนหายไปทีละตัวๆ เมื่อพวกมันพุ่งไปห่างจากแท่นฝนหมึกหินสีเขียวหยกไม่กี่จั้งก็เหลือมังกรหมอกสีดำเพียงตัวเดียว อีกทั้งร่างกายยังหม่นแสงอย่างที่สุดคล้ายจะสลายไปได้ตลอดเวลา


เวลานี้เองมังกรตัวนี้พลันอ้าปากกว้าง แสงสีทองจางๆ เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ยิงเร็วรี่ออกมา ชั่วพริบตาแล่นผ่านเงายอดเขาสองลูกไป


เสียงฟึบดังขึ้นหนึ่งหน!


แสงสีทองทะลุผ่านใจกลางแท่นฝนหมึกหิน หลังวนรอบหนึ่งก็กลายเป็นกระบี่บินสีทองเล่มหนึ่งพุ่งเร็วรี่กลับมา โฉบจมหายเข้าไปในแขนเสื้อเขาไม่เห็นร่องรอย


หลิ่วหมิงลอบเรียกกระบี่ว่างเปล่าออกมาตั้งนานแล้วจากนั้นซ่อนไว้ในร่างของมังกรหมอกตัวหนึ่ง นี่ถึงโจมตีทำลายแท่นฝนหมึกหินสีเขียวหยกในหนึ่งการโจมตีอย่างเหนือความคาดหมายได้


แท่นฝนหมึกหินหม่นแสงกลับคืนสภาพเดิมร่วงหล่นลงมาทันที เงายอดเขาสองลูกด้านหลังก็ส่งเสียงปังๆ พังทลายสลายไปด้วย


สตรีชุดเขียวเห็นเช่นนี้ ดวงเนตรงามพลันมีแววตาคาดไม่ถึงปรากฏขึ้นแวบหนึ่งก่อนจะหายไป มือข้างหนึ่งกวักเรียก แท่นฝนหมึกสีเขียวหยกก็พุ่งกลับมา ในใจความรู้สึกเจ็บปวดจางๆ สายหนึ่งแล่นผ่านไป


ที่ก้นของแท่นฝนหมึกสีเขียวหยกในมือนางมีรูกระบี่รูหนึ่งเพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ตรงขอบตัดเรียบกริบ


แท่นฝนหมึกสีเขียวหยกชิ้นนี้เป็นถึงต้นแบบอาวุธเวทชิ้นหนึ่งที่อาจารย์ของนางมอบให้กับมือ สร้างมาจากศิลาหยกดำจากก้นทะเลลึกหมื่นจั้งของทะเลใต้ เรียกได้ว่าแกร่งประหนึ่งก้อนศิลา ตอนนี้กลับถูกอีกฝ่ายใช้กระบี่บินทำเสียหาย อยากซ่อมแซมคงไม่ใช่ทำได้ในชั่วข้ามวันข้ามคืน


ใบหน้างามของสตรีผู้นี้พลันถมึงทึง หลังเก็บแท่นฝนหมึกสีเขียวหยกไป สองมือพลันทำท่ามือประหลาดท่าหนึ่ง พร้อมกันนั้นปากก็ท่องมนตร์สำเนียงประหลาดออกมา


ภาพน่าตะลึงปรากฏขึ้น


ดวงเนตรแวววาวที่ตาขาวกับตาดำแบ่งชัดคู่นั้นพริบตากลายเป็นสีแดงฉาน ด้านในเริ่มปรากฏรอยร้าวเล็กละเอียดประหนึ่งน้ำแข็งเส้นแล้วเส้นเล่า ดูแล้วดุร้ายน่าหวาดกลัวนิ่งนัก


หลังจากนั้นสตรีผู้นี้ก็ท่องมนตร์ลี้ลับพิศวงออกมาไม่ขาด ดวงตาสีแดงฉานประหนึ่งน้ำวนเริ่มเคลื่อนไหว แสงเปลวเพลิงสีแดงฉานสายแล้วสายเล่าฉายออกมาเป็นระยะ


“วิชาเนตร!”


หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ในใจพลันสะท้าน ไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดร่างกายขยับวูบหนึ่งกลายเป็นเงาสีน้ำเงินจางๆ สายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกไป


เสียงเปรี้ยงดังขึ้นหนึ่งหน เปลวเพลิงสีแดงฉานลุกโหมดวงหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าตรงที่เงาสีน้ำเงินโฉบผ่านไป หวุดหวิดขาดอีกเพียงก้าวเดียวก็จะโจมตีถูก


สตรีชุดเขียวแค่นเสียงหยันคำหนึ่ง ปากท่องมนตร์เร็วขึ้นอีกหลายส่วน


ชั่วขณะนั้นเสียงเปรี้ยงๆ กลางอากาศดังขึ้นต่อเนื่อง เปลวเพลิงสีแดงฉานปรากฏขึ้นกลางอากาศแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ทุกครั้งห่างจากเงาคนสีน้ำเงินที่พุ่งตัดผ่านซ้ายขวาไม่อยู่นิ่งประดุจภูตผีร่างนั้นเพียงนิดเดียวเสมอ


ท้ายที่สุดสองลมหายใจให้หลัง เงาคนสีน้ำเงินพลันบิดโค้งทีหนึ่ง หลบเปลวเพลิงไม่กี่ลูกที่ระเบิดออกมาจากความว่างเปล่าใกล้ๆ จากมุมที่เหนือความคาดคิด พร้อมกันนั้นก็พุ่งไปใกล้ๆ ด้านหน้าหญิงสาว


เสียงพยัคฆ์คำรามดังขึ้น เงาหมัดมหึมาข้างหนึ่งพลันแปลงเป็นหัวพยัคฆ์สีดำมาถึงพร้อมเสียงดังสนั่น!


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)