หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 796-799

 บทที่ 796 สู่สงคราม!

 

เป็นภาพที่แปลกประหลาดยิ่งนัก เรือบินรบกองทหารสระน้ำทองคำครึ่งหนึ่งลอยเปล่งแสงสีม่วงอยู่กลางอวกาศ เหล่าผู้ฝึกตนที่อยู่บนเรือบินรบเหล่านั้นพยายามเข้าควบคุมแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เรือบินรบได้แปรเปลี่ยนมาเป็นกรงขังพวกเขาเองและ…กลายเป็นอาวุธของหวังเป่าเล่อไปเสียแล้ว!


 เรือบินรบจำนวนมากพร้อมตั๊กแตนกลับกลายมาอยู่ภายใต้การบัญชาการของหวังเป่าเล่อ รูปลักษณ์ที่เคยเป็นแมลงปอบัดนี้แปรเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์ มันดูคล่องแคล่วน้อยลง แต่ดุร้ายป่าเถื่อนขึ้น เสียงหึ่งๆ เหมือนมีอะไรถูกันไปมาดังออกมาจากด้านใน เป็นเสียงซึ่งทำให้ผู้ที่ได้ยินต้องตื่นกลัวไปถึงขั้ววิญญาณ


สถานการณ์พลิกผัน คมมีดที่กองทหารสระน้ำทองคำเคยหันใส่อีกฝ่ายบัดนี้ได้วกกลับเข้าสู่ตนเองแล้ว!


ผู้ฝึกตนกองทหารสระน้ำทองคำล้วนหายใจถี่รัวด้วยความตื่นกลัว หลายคนถึงกับส่งเสียงออกมา เหล่าผู้บัญชาการหน้าซีดเผือดทำอะไรไม่ถูก ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น กองทัพที่หายไปกว่าครึ่งทำให้พวกเขาตื่นตระหนก รีบหันไปมองอี้เหนียนจื่อด้วยสายตาวิงวอน


อี้เหนียนจื่อมีสีหน้าคร่ำเคร่ง เมื่อเห็นสายตาวิงวอนของเหล่าผู้บัญชาการก็เงียบไป เขาสามารถช่วยได้ก็จริง แต่ก็ต้องมีเหตุผลให้ช่วย โชคไม่ดีที่ตอนนี้ยังไม่พบเหตุผลใด


หลงหนานจื่อยังไม่ได้เปิดใช้งานโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา อีกฝ่ายใช้เพียงเรือบินรบในการต่อสู้แม้อี้เหนียนจื่อจะปล่อยการโจมตีออกไปในช่วงคับขันก็ตาม หลงหนานจื่อเล่นตามกฎเกณฑ์มาโดยตลอด!


หากเขาเข้าไปยุ่งตอนนี้จะต้องโดนตราหน้าว่าเป็นคนไปกลั่นแกล้งกดดันศิษย์น้องและถือเป็นการทำผิดกฎด้วยเช่นกัน หากเป็นคนอื่นคงจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่อีกฝ่ายดันเป็นหลงหนานจื่อ ชายที่ปรมาจารย์ชื่นชอบ หากทำอะไรไปจะถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสม


ใบหน้าของอี้เหนียนจื่อเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความคิดเหล่านั้นผุดขึ้นในหัว ภายในเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมา เขาเป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่สามารถจัดการคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย แต่คู่ต่อสู้คนนี้กลับวางสิ่งกีดขวางไว้ทุกครั้ง ดวงตาของอี้เหนียนจื่อผุดแววสังหาร เขาจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างลุ่มลึก ก่อนจะพูดขึ้นเสียงต่ำ “หลงหนานจื่อ ส่งอสูรคืนมา…เราจะประกาศว่าเจ้าเป็นผู้ชนะการท้าประลองนี้!”


“ขอโทษทีศิษย์พี่ ข้าจะรับมันไว้เป็นรางวัลจากการชนะสงคราม” หวังเป่าเล่อว่าพร้อมยิ้มบางให้ ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของอีกฝ่าย แต่ตนก็ไม่ได้มีไมตรีจิตให้อีกฝ่ายด้วยเช่นกัน ตอนนี้เขามีชัยเหนือกว่าและเล่นตามกฎเกณฑ์ เหตุใดจึงต้องยอมทิ้งโอกาสในการชนะครั้งนี้ไปด้วยเล่า


นอกจากนี้ นี่ยังเป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการมาก เมื่อมีตั๊กแตนในครอบครอง ถึงจะแพ้การท้ารบครั้งนี้และต้องเสียทรัพยากรจำนวนมากเป็นค่าชดเชยก็ยังถือว่าคุ้ม


อี้เหนียนจื่อไม่ได้แปลกใจกับคำตอบของหวังเป่าเล่อ เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้หลงหนานจื่อส่งตั๊กแตนมาให้ ถึงกระนั้นเขาก็ยังต้องถามออกไป อี้เหนียนจื่อพิจารณาหลงหนานจื่ออยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะหันหน้าหนีและกลับออกจากสนามรบไป


เนื่องจากเขาไม่มีเหตุผลในการเข้าร่วมต่อสู้จึงไม่มีเหตุจำเป็นอะไรให้อยู่ต่อ ความพ่ายแพ้ของกองทหารสระน้ำทองคำย่อมส่งผลต่อกองทหารปลาคุนสีเขียว แต่เขาก็ไม่ใช่ปรมาจารย์และเจ้าของเพียงผู้เดียวของกองทหารปลาคุนสีเขียว ถึงกระนั้น…อี้เหนียนจื่อก็พบกับความล้มเหลวหลายต่อหลายครั้งในการสำเร็จโทษหลงนานจื่อ เขาจะไม่มีวันยอมปล่อยเรื่องนี้ไป ขณะกำลังจะออกไปนั้น ชายวัยกลางคนก็เอ่ยขึ้น


“สมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวท ข้าไม่เคยเห็นเคล็ดวิชาปรสิตมาก่อน หากนำมาใช้อย่างชาญฉลาดก็จะสามารถพลิกสถานการณ์ขนาดใหญ่ได้ กองทหารสระน้ำทองคำพ่ายแพ้อย่างหมดรูปจริงๆ!” พูดจบ อี้เหนียนจื่อก็มุ่งหน้าหายไปในหมู่ดาวโดยไม่หันมามองกองทหารสระน้ำทองคำแม้แต่น้อย


ขณะที่กองทหารสระน้ำทองคำกำลังฝืนรับความขมขื่น หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลง คำพูดทิ้งท้ายของอี้เหนียนจื่อเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท เขาตั้งใจพุ่งเป้าไปที่เคล็ดวิชาปรสิต พยายามจะให้ทางสำนักชิงเคล็ดวิชาปรสิตไปจากตนเหมือนที่เคยชิงโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไป เขาอยากช่วงชิงไพ่ตายของหวังเป่าเล่อมา


หากทางสำนักได้เคล็ดวิชาไป กองทหารปลาคุนสีเขียวก็สามารถจัดหามาไว้ในมือได้อย่างง่ายดาย เมื่อมีเคล็ดวิชานี้ก็สามารถเรียกคือสิ่งที่เสียไปจากความพ่ายแพ้ของกองทหารสระน้ำทองคำกลับมาได้ และหากพวกเขาใช้เคล็ดวิชานี้อย่างชาญฉลาด กองทหารปลาคุนสีเขียวก็อาจสร้างผลประโยชน์เพิ่มเติมได้ด้วย


ความคิดทั้งหมดนี้ผุดขึ้นในหัวหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว เขานึกระแวงอี้เหนียนจื่อมากขึ้น นอกจากอี้เหนียนจื่อจะเก่งกาจด้านการควบคุมอารมณ์แล้ว พลังชั่วร้ายของเขาก็เป็นสิ่งที่ต้องระวัง ชายหนุ่มคิดเรื่องนี้ไว้อยู่แล้วตอนตัดสินใจลงมือ เขาเตรียมพร้อมมาตลอด ทำให้แม้จะยังระแวดระวังอี้เหนียนจื่ออยู่แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด


ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ กองทหารสระน้ำทองคำต้องยอมจำนนกับความพ่ายแพ้ หลังจากชนะการท้ารบอย่างองอาจ หวังเป่าเล่อก็รีบรวบรวมข้อมูลเคล็ดวิชาปรสิตคร่าวๆ และส่งไปให้เทพธิดาหลิงโยว


เขาส่งข้อความผ่านเทพธิดาหลิงโยวไปยังผู้ดูแลกิจการสวี แจ้งว่าจะนำเคล็ดวิชานี้ไปมอบเป็นของขวัญให้ปรมาจารย์


ชายหนุ่มไม่ได้ขออะไรเป็นการแลกเปลี่ยน เพียงแค่มอบให้เป็นของขวัญเท่านั้น!


การให้ของขวัญครั้งนี้มีผลประโยชน์อย่างหนึ่ง นั่นคือได้การยินยอมจากปรมาจารย์ให้สามารถจัดการกับของที่ชิงมาได้จากการทำสงครามตามความเหมาะสม ซึ่งหมายความว่ากองทหารสระน้ำทองคำไม่มีทางเอาสิ่งที่สูญเสียไปแล้วกลับคืนไปได้ นอกจากนี้ พวกเขายังต้องยกทรัพยากรจำนวนมากให้เพื่อเป็นค่าชดเชย อันดับของพวกเขา…ตกลง อันดับสิบเก้าตกเป็นของกองทหารผ่าวิญญาณ!


การท้ารบครั้งนี้เรียกความสนใจได้ไม่น้อย หวังเป่าเล่อและกองทหารผ่าวิญญาณเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาจากการท้ารบทั้งสองครั้ง การท้ารบครั้งล่าสุดทำให้พวกเขาได้ไปยืนอยู่ในอันดับสิบเก้า ทั่วทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ให้ความสนใจชายหนุ่มมากทีเดียว ศิษย์ส่วนใหญ่ในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็เริ่มให้ความเคารพยำเกรงเขา


กองทหารและผู้ฝึกตนบางส่วนในสำนักเริ่มสงสัยว่ากองทหารผ่าวิญญาณจะเล็งอันดับใดต่อไป ขณะที่พวกเขากำลังนึกสงสัย หวังเป่าเล่อก็ตรวจดูของที่ได้มาและแบ่งทรัพยากรส่วนใหญ่ไปให้ตั๊กแตน หลังจากหลอมกองเรือบินรบขึ้นใหม่ เขาก็ไม่ได้ไปท้ารบกับใคร


ตอนนี้ชายหนุ่มตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างตนเองและกองทัพอื่นๆ ที่มีอันดับสูงกว่า คงจะเป็นการดีกว่านี้ถ้าเขาไม่ได้ส่งมอบเคล็ดวิชาปรสิตไป ถึงข้อมูลที่ให้สำนักไปจะแค่เล็กน้อย แต่ก็หวังพึ่งพาเพียงเคล็ดวิชานี้ไม่ได้ กระบวนการทำงานของเคล็ดวิชาจะเป็นที่ประจักษ์หากใช้ไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มพิจารณาอย่างละเอียดและสรุปว่าคงจะไม่ดีเท่าไหร่หากใช้เคล็ดวิชานี้ต่อไป


เขาควรเพิ่มพูนพลังและสร้างรากฐานที่มั่นคงมากกว่า ในการท้าสู้ครั้งต่อไปควรเล็งที่สิบหรือห้าอันดับต้น หรืออาจจะสูงกว่านั้น ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย แต่จากสถานการณ์ของหวังเป่าเล่อในปัจจุบัน การจะหาทรัพยากรจำนวนเท่านั้นในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถแต่อย่างใด


เหมือนว่าข้าต้องออกเดินทางอีกแล้ว เดินตามวิถีของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…แล้วมาดูกันว่าจะไปเจออารยธรรมกลายพันธุ์เหมือนรอบก่อนหรือไม่… หวังเป่าเล่อพิจารณาตัวเลือกสักพักก็ตัดสินใจไม่ทำอะไรในทันที ชายหนุ่มใช้เวลาสองสามวันในการตรวจประเมินกองทหารและวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้


กองทหารของข้าจะแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยทรัพยากรที่จำเป็น นอกจากนี้ข้ายังต้องการโอกาสในการพัฒนาขั้นการฝึกตน… ใบหน้าของชายหนุ่มฉายแววเด็ดเดี่ยว หวังเป่าเล่อตัดสินใจออกเดินทางจึงไปตามหาเจ้าลาและเจ้าอู๋น้อยที่ได้สร้างความสนิทสนมกันในช่วงเวลานี้ ทั้งสองเหมือนจะสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกว่าสายสัมพันธ์ซึ่งมีต่อหวังเป่าเล่อเสียอีก หลังจากถูกชายหนุ่มเรียกตัว ทั้งสองก็นั่งเคียงข้างกันบนเรือบินรบเวท จากนั้นพวกเขาก็มุ่งหน้าออกจากกองทหารผ่าวิญญาณบนดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณไป


กองทหารพุ่งทะยานผ่านห้วงอวกาศ ออกจากเขตแดนในอาณัติของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไป ภาพตั๊กแตนและเรือบินรบนับหมื่นของกองทหารผ่าวิญญาณในเขตพื้นที่สาธารณะดูน่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง ผู้ฝึกตนที่ผ่านไปมาต่างตะลึงงัน รีบหลีกทางให้อย่างรีบร้อน กองทหารของสำนักอื่นๆ ต่างก็จับตามองอย่างระแวดระวังเมื่อได้เห็นกองทหารผ่าวิญญาณ


“นั่นหลงจอมคลั่งนี่!”


“ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนเพียงคนเดียวของกองทหาร แต่กลับแข็งแกร่งจนขึ้นมาอยู่ในอันดับสิบเก้าของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์แม้จะยังไม่ได้ลงมือจริงจัง ถ้าเขาตัดสินใจลงมือแล้วละก็ อาจจะขึ้นไปอยู่ในสิบอันดับต้นเลยด้วยซ้ำ!”


“ใครไปหาเรื่องเจ้าบ้านี่เข้าต้องจบไม่ดีแน่ เราอย่าไปยุ่งกับเจ้านั่นเลยดีกว่า!”


การเดินทางของหวังเป่าเล่อเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางสายตาระแวดระวังของฝูงชน ค่าหัวที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำตั้งไว้เหมือนจะหมดความน่าสนใจไป กองทหารมังกรหยดหมึกที่เป็นคนตั้งค่าหัวก็ล้มเลิกการตามล่าตัวชายหนุ่มไปแล้วเช่นกัน หวังเป่าเล่อมาถึงดวงเนตรหมื่นปีศาจ ดารานิรันดร์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อย่างปลอดภัย!


 สิทธิ์ที่กองทหารผ่าวิญญาณได้รับทำให้เขามีสิทธิ์การเข้าถึงที่จำเป็น ชายหนุ่มยกมือขึ้นโบก ส่งกองทหารมุ่งหน้าตรงไปยังดารานิรันดร์ พริบตาต่อมา…กองทหารผ่าวิญญาณก็หายวับไปจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์โดยสมบูรณ์!


ทั้งหมดปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง…ท่ามกลางหมู่ดวงดาราในห้วงอวกาศ!

 

 

 


บทที่ 797 สมรภูมิเลือด!

 

ที่แห่งนี้ดูโล่งตา ไม่มีอะไรอื่นนอกจากเศษสะเก็ดดาว ไม่ต้องหวังว่าจะพบดาวเคราะห์เพราะไม่มีแม้แต่เศษซากหรือสิ่งมีชีวิต


มีแสงริบหรี่อยู่โดยรอบ และห้วงอวกาศก็มืดสนิท


อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ช่างเหมือนฝูงตั๊กแตน ใครจะรู้กันว่าพวกเขาออกปล้นอารยธรรมโดยรอบ…ไปกี่หนกันแล้ว หวังเป่าเล่อมองไปรอบๆ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ แต่ก็อดถอนหายใจไม่ได้อยู่ดี


ข้าต้องไปให้ไกลกว่านี้… หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบ หางตาเหลือบไปเห็นเจ้าลาที่จ้องมองด้านในของเรือบินรบเวทตั๊กแตนด้วยดวงตาเป็นประกาย มันเลียริมฝีปากไม่หยุด น้ำลายเริ่มหยดย้อยลงพื้น…


เจ้าอู๋น้อยนั่งอยู่ข้างเจ้าลา มองออกไปในห้วงอวกาศ เหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด หวังเป่าเล่อเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่


ชายหนุ่มไม่สนใจเจ้าอู๋น้อย เขาหันไปจ้องเจ้าลาโดยไม่ต้องเอ่ยพูดอะไร แค่สายตาติเตือนก็เพียงพอ เจ้าลาได้รับสารที่เขาสื่อ มันก้มหน้าจ๋อย แลบลิ้นเลียกองน้ำลาย…


พอเห็นเจ้าลาสำเหนียกตัวเอง หวังเป่าเล่อก็เลิกมองมันด้วยแววตาข่มขู่ เขาสร้างผนึกฝ่ามือ กองเรือบินรบมารวมตัวรอบชายหนุ่มในทันใด ก่อนจะหายวับเข้ากำไลคลังเวทไปทีละลำ เหลือเพียงตั๊กแตนที่ยังมุ่งหน้าท่องอวกาศออกไปไกล


จุดที่เขาเลือกเคลื่อนย้ายมานั้นเป็นคนละจุดกับที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เลือก หวังเป่าเล่อคุ้นกับเส้นทางของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์มากกว่า แต่บริเวณนั้นถูกปล้นไปหมดแล้ว ทำให้ชายหนุ่มเลือกเสี่ยงดวงในจุดอื่นแทน


หวังเป่าเล่อมีแผนที่ดวงดาวของบริเวณนี้ แต่ก็ใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เพราะมันบอกเพียงขอบเขตที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้ออกสำรวจแล้ว ด้วยความเร็วของตั๊กแตน พวกเขาจึงมาถึงขอบสุดของบริเวณที่ผ่านการสำรวจมาแล้วภายในสองสัปดาห์ ถึงตอนนี้แผนที่ดวงดาวก็กลายเป็นของไร้ประโยชน์ในทันที


เขตแดนข้างหน้าเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ถูกบันทึกไว้ในแผนที่ แต่ก็เป็นไปได้ที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะเคยบุกปล้นไปแล้ว แต่ยิ่งไปไกลเท่าไหร่ โอกาสที่จะมีคนเคยบุกมาก็ยิ่งน้อยลง… หวังเป่าเล่อตื่นเต้นขึ้นมา รีบคุมตั๊กแตนมุ่งหน้าตรงไปเรื่อยๆ


ทว่า…โชคกลับไม่เข้าข้างหวังเป่าเล่อในการออกสำรวจครั้งนี้ สองสัปดาห์ผ่านไป อวกาศรอบๆ ก็ยังมีแต่ความมืดดำ ไร้ซึ่งแม้ดาวเคราะห์สักดวง


หวังเป่าเล่อหงุดหงิดใจ เจ้าลาเลียด้านในเรือบินรบเวทช้าลงเมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ฉุนเฉียวของเจ้านาย ถึงกระนั้น ทุกครั้งที่เห็นมันน้ำลายหกเมื่อไหร่ ชายหนุ่มก็จะหันมาถลึงตาใส่ทันที


“อู๋น้อย!”


“ขอรับ ท่านบิดา!” เจ้าอู๋น้อยที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดมาตลอดหนึ่งเดือนสะดุ้งลุกยืนพร้อมตะโกนตอบเมื่อได้ยินเสียงหวังเป่าเล่อ


“ข้าจะมอบภารกิจให้เจ้า จับตาดูเจ้าลาไว้ อย่าให้มันทำน้ำลายสอและห้ามมันกินอะไรสักอย่าง!”


เจ้าอู๋น้อยแทบขาดใจเมื่อได้ยินคำสั่ง เขารู้รสนิยมการกินอาหารของเจ้าลาดีและรู้ว่าไม่มีอะไรในโลกที่มันกินไม่ได้ จริงๆ แล้วเด็กหนุ่มถึงกับแอบคิดว่าเจ้าลาอาจหันมายิงเขี้ยวใส่ตนก็ได้ถ้ามันหิวจัดขึ้นมา…


เขาถึงขนาดคิดไปว่าถ้าอะไรๆ เข้าที่เข้าทาง เจ้าลาอาจเขมือบทั้งอาณาจักรพิภพทมิฬเลยก็เป็นได้…


เขาหันมองเจ้าลาสลับกับหวังเป่าเล่อ ก่อนจะพึมพำขึ้นด้วยสีหน้าน่าสงสาร “ท่านบิดา ข้าห้ามเจ้านายลำดับสองไม่ได้ เขาถือเป็นศิษย์พี่…”


“ข้าจะกัดเจ้าตามจำนวนครั้งที่มันกัดอะไรเข้า!” หวังเป่าเล่อมองตาขวาง เจ้าอู๋น้อยสั่นกลัวเมื่อเห็นเช่นนั้นเพราะมั่นใจว่าผู้เป็นนายสามารถทำตามที่พูดได้แน่ ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นทันใด ก่อนจะร้องตอบเสียงดัง


“ไม่ต้องเป็นห่วง ท่านบิดา ข้าจะห้ามไม่ให้เจ้านายลำดับสองทำอะไรที่ไม่สมควร!”


หวังเป่าเล่อแค่นเสียงทางจมูกก่อนจะหันหนี เลิกสนใจเจ้าอู๋น้อยที่กำลังทำหน้าไม่สบายใจขณะเจรจาบอกเจ้าลาให้คุมความหิวกระหาย


เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ขณะหวังเป่าเล่อขี่ตั๊กแตนท่องห้วงอวกาศมืดมิด เขาท่องข้ามจักรพิภพแล้วจักรพิภพเล่าราวกับเป็นอสูรเดียวดาย ทุกแห่งนั้นว่างเปล่าเหมือนกันหมด ปราศจากแม้สัญญาณสิ่งมีชีวิตหรือเศษซากอารยธรรม


การเดินทางที่แสนน่าเบื่อและไร้ทิศทางทำให้ชายหนุ่มเริ่มไม่แน่ใจ เขาสงสัยว่าควรจะเลิกเสียเวลาและหันกลับไปทางอื่นดีหรือไม่ อะไรๆ อาจจะดีกว่านี้ก็เป็นได้


ขณะที่ความไม่มั่นใจเริ่มก่อตัวขึ้นภายใน ห้วงอวกาศเบื้องหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ตอนนี้มีแสงส่องสว่างอยู่ไกลๆ ไม่ได้มีเพียงความมืดมิดเหมือนก่อนแต่อย่างใด


แสงสว่าง! การค้นพบครั้งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกกระปรี้กระเปร่า เมื่อมีแสงก็แสดงว่าต้องมีดารานิรันดร์อยู่ที่ไหนสักแห่งภายในบริเวณนี้ เขาไม่รู้ว่าดารานิรันดร์ที่ว่ามีสภาพเป็นอย่างไร แต่ก็รู้ดีว่าดารานิรันดร์คือแก่นของทุกอารยธรรม ถ้ามีดารานิรันดร์ ก็มีโอกาสที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่สูง


การค้นพบนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเปลี่ยนทิศทาง เขามุ่งหน้าตรงไปยังจุดกำเนิดแสงด้วยความเร็วเต็มพิกัด ผ่านไปสิบวัน แสงก็เริ่มส่องสว่างมากขึ้น ชายหนุ่มเห็นเค้าโครงดารานิรันดร์ขนาดใหญ่อยู่ไกลออกไป!


ดารานิรันดร์ที่ว่านี้ใหญ่กว่าดารานิรันดร์ในอารยธรรมดวงเนตรปีศาจ แต่ไม่ได้ฉายแสงสุกสว่างเท่า เขาแทบไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นจากแสงเลย เหมือนมันจะผ่านการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างจนมีสภาพเป็นหินไปแล้ว


แต่แหล่งกำเนิดแสงจากแก่นในไม่ได้ดับหายไป แสงยังคงทะลุผ่านชั้นเปลือกหินของดารานิรันดร์ และส่องสว่างไปทั่วบริเวณ


หวังเป่าเล่อใจเต้นรัวเมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า เขาหยุดตั๊กแตนโดยไม่ลังเลใจ จากนั้นก็โบกมือขวาเรียกเข็มทิศออกมา


เข็มทิศนี้เป็นของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ใช้ในการตรวจสอบดินแดนอวกาศและสร้างแผนที่ดวงดาว กลุ่มผู้ฝึกตนที่ไปรุกรานสหพันธรัฐก็ใช้ของคล้ายๆ กันนี้ในการตรวจสอบระบบสุริยะเช่นกัน


เข็มทิศของหวังเป่าเล่อเหนือชั้นกว่าเข็มทิศของผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นมาก ทั้งในแง่ของความแม่นยำและขอบเขตในการตรวจสอบ มันเป็นของจำเป็นที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์มอบให้เหล่ากองทหาร


“แดง ส้ม เหลือง ฟ้า เขียว น้ำเงิน และม่วง แดงหมายถึงพลังระดับดารานิรันดร์ ส้มหมายถึงระดับดาวพระเคราะห์ เหลืองเข้มคือขั้นจิตวิญญาณอมตะ…เหลืองอ่อนคือขั้นเชื่อมวิญญาณ…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองขณะตรวจสอบเข็มทิศ ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังดาวเคราะห์ทั้งห้าดวงที่ปรากฏอยู่บนเข็มทิศ!


ดวงที่ใหญ่ที่สุดที่หวังเป่าเล่อกำลังมองอยู่คือดารานิรันดร์ สัมผัสของเขานั้นถูกต้อง พื้นที่ส่วนใหญ่ของดารานิรันดร์ได้กลายสภาพเป็นหินไปแล้ว ส่วนอีกสี่ดวงที่เหลือในจักรพิภพนี้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์และล้วนกลายเป็นหินไปทั้งสิ้น!


ทั้งสี่ดวงแปรสภาพเป็นหินมากกว่าดารานิรันดร์ เกือบจะกลายเป็นหินโดยสมบูรณ์ แทนที่จะเรียกว่าดาวเคราะห์ อาจมองได้ว่า…ทั้งสี่ดวงคืออุกกาบาตขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่กลางห้วงอวกาศ!


ส่วนสีของเหล่าดาวเคราะห์นั้น…แม้เข็มทิศจะไม่สามารถระบุสีของดารานิรันดร์ได้ แต่ก็ระบุได้ว่าดาวเคราะห์อีกสี่ดวงมีสีดำ ซึ่งหมายความว่าไม่มีสัญญาณของปราณวิญญาณบนดาวเคราะห์เหล่านี้ หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเมื่อพบเช่นนั้น


อารยธรรมกลายพันธุ์อีกแล้วหรือ หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ขณะบังคับตั๊กแตนมุ่งหน้าเข้าไปในจักรพิภพ เขาปลดปล่อยพลังปราณเพื่อเปิดใช้พลังเต็มขั้นของตั๊กแตน พร้อมที่จะเร่งความเร็วหรือตอบโต้เมื่อจับสัญญาณอะไรได้


ตั๊กแตนมุ่งหน้าเข้าไปใกล้จักรพิภพแห่งใหม่อย่างมั่นคงภายใต้การเฝ้าระวังของหวังเป่าเล่อ เมื่อเข้ามาในจักรพิภพ ใบหน้าของเขาก็ฉายแววตื่นตกใจ ตั๊กแตนหยุดชะงักทันใด!


ก่อนหน้านี้…ชายหนุ่มมองเห็นอะไรได้ไม่ชัดเจนเพราะอยู่ไกล นอกจากนี้ยังมีพลังประหลาดบางอย่างปกคลุมทั่วจักรพิภพทำให้เข็มทิศไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ละเอียดนัก ทว่าพอเข้ามาในจักรพิภพ ทุกอย่างก็เริ่มชัดเจนในสายตา…


ที่แห่งนี้คือสมรภูมิเลือด!


ศพมากมายลอยอยู่กลางอวกาศ พร้อมด้วยเศษซากเรือบินรบและสมบัติเวท ทุกอย่างลอยไปมาอยู่เต็มพื้นที่…ในระยะสายตาที่มองเห็นได้!


ข้าอยู่ที่ใดกัน! อาการตื่นกลัวฉายชัดบนใบหน้าของชายหนุ่ม ภายในรู้สึกอึดอัดเกินบรรยาย หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายที่คืบคลานมาจากรอบด้าน!

 

 

 


บทที่ 798 อารยธรรมวิญญาณศิลา!

 

ต้องมีอะไรเกิดขึ้นที่นี่แน่… หวังเป่าเล่อไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามและตรวจดูรอบๆ โดยละเอียดก่อน เขาปลดปล่อยพลังปราณขั้นแสร้งอมตะของตั๊กแตนให้พัดไปทั่วบริเวณ พอมั่นใจว่าแถวนี้ปลอดภัยดี ชายหนุ่มก็หันไปมองเศษซากด้านหน้า


ชายหนุ่มไม่มีความรู้เกี่ยวกับที่นี่จึงไม่สามารถคาดคะเนยุคสมัยจากเสื้อผ้าของเหล่าศพได้ มีพลังประหลาดบางอย่างในจักรพิภพนี้ขัดขวางสัมผัสสวรรค์ของเขา พลังนี้เหมือนจะสามารถหยุดเวลาและรักษาสภาพศพก่อนตายเอาไว้ เสื้อผ้าและเครื่องประดับบนตัวศพก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกันจึงไม่มีร่องรอยการผุพังหรือย่อยสลายอยู่เลย


หวังเป่าเล่อนึกไม่ออกเลยว่าพลังชนิดใดกันที่ทำให้เกิดอะไรเช่นนี้ได้ ไม่รู้ว่ามันเกิดจากผู้ฝึกตนหรือเกิดจากพลังประหลาดที่อาศัยอยู่ในจักรพิภพแห่งนี้กันแน่


ว่ากันตามหลักการ ถึงจักรพิภพนี้จะอยู่ในที่รกร้างและห่างไกล แต่ก็น่าจะมีคนผ่านมาพบแล้ว ถ้าผ่านมาจริง…ก็ไม่สมเหตุสมผลเลยที่ศพและเศษซากพวกนี้ยังไม่ได้รับการแตะต้องใดๆ หวังเป่าเล่อหรี่ตา ยังคงระแวดระวังตัว เขาข่มความละโมบ ไม่ได้ตรวจสอบศพและเศษซากรอบตัวในทันที ชายหนุ่มกังวลว่าจะมีภัยอันตรายอื่นที่ไม่รู้หลบซ่อนอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้โดยที่เข็มทิศก็ไม่สามารถตรวจพบได้


เขาโบกมือส่งหุ่นเชิดนับหมื่นตัวกระจายออกไปรอบพื้นที่ ชายหนุ่มเริ่มตรวจสอบทั่วบริเวณอย่างละเอียดผ่านสายตาของหุ่นเชิด จากนั้นก็แยกสัมผัสสวรรค์ออกมาสิบกว่าส่วนและใส่เข้าไปในหุ่นเชิดเพื่อให้เห็นทุกอย่างได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น


หุ่นเชิดกว่าหมื่นตัวกระจายตัวออกไปรอบเรือบินรบ พวกมันพุ่งผ่านทะเลศพ ช่วยขยายวิสัยทัศน์ของหวังเป่าเล่อออกไป ครึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อหุ่นเชิดออกห่างไปได้ในระดับหนึ่ง ดวงตาของชายหนุ่มก็ฉายแสงวาบขึ้น


ท่ามกลางทะเลศพและเศษซากนับไม่ถ้วนมีศพบางศพที่แต่งกายต่างไป ศพเหล่านี้ไม่ได้เกาะกลุ่มอยู่ที่เดียว แต่กระจายตัวกันออกไป หวังเป่าเล่อพบศพเหล่านั้นประมาณเจ็ดถึงแปดศพในระยะวิสัยทัศน์ของตัวเอง


ศพพวกนี้ไม่ได้อยู่ในยุคเดียวกับศพอื่นๆ… การค้นพบครั้งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกระแวงมากขึ้นกว่าเดิม ความคิดและการคาดเดาต่างๆ ผุดขึ้นเรื่อยๆ ในหัวเห็นเป็นภาพกลุ่มผู้ฝึกตนจากอารยธรรมอื่นๆ ย่างกรายเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้ในอดีต พอเข้ามาในจักรพิภพนี้ก็พบความตายโดยไม่ได้คาดคิด


ศพที่เดิมทีอยู่ที่นี่อาจจะซ่อนอันตรายบางอย่างที่ไม่รู้เอาไว้ก็เป็นได้ หวังเป่าเล่อหรี่ตาประเมินสถานการณ์ เขาลังเลที่จะกลับออกไปจึงเรียกหุ่นเชิดออกมาอีกชุด และส่งข้ามทะเลศพไปยังดาวเคราะห์ทั้งสี่ดวง


เขาตั้งใจจะใช้หุ่นเชิดเหล่านี้ตรวจดูว่าดาวเคราะห์ทั้งสี่มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า จากนั้นจึงจะตัดสินใจว่าจะตรวจสอบสถานที่แห่งนี้ต่อไปดีหรือไม่


เมื่อวางแผนได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็ส่งหุ่นเชิดออกมาเรื่อยๆ เมื่อหวังเป่าเล่อปล่อยหุ่นเชิดออกมาได้สามหมื่นตัว หุ่นเชิดกลุ่มหนึ่งก็ไปถึงดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ดาวเคราะห์ดวงนี้มีสีดำสนิท มองไกลๆ ดูคล้ายสะเก็ดดาวขนาดใหญ่ เมื่อเหล่าหุ่นเชิดลงเหยียบบนดาวเคราะห์ก็ไม่เห็นสิ่งอื่นใดนอกจากสีดำสนิท


ไม่มีพืชหรือแหล่งน้ำ มีเพียงเทือกเขาและยอดเขามากมายขึ้นกระจายอยู่ทั่วดาวเคราะห์ ทั้งดาวเงียบสนิท การมาถึงของเหล่าหุ่นเชิดทำลายความเงียบไป แต่ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดโผล่มาต้อนรับ


หวังเป่าเล่อตัดสินใจเฝ้ารอแทนที่จะออกคำสั่งส่งพวกมันไปสำรวจดาวเคราะห์ หลังจากหุ่นเชิดที่เหลือลงเหยียบดาวเคราะห์อีกสามดวงแล้ว เขาจึงเริ่มตรวจสอบดาวเคราะห์ทั้งสี่ดวงพร้อมกัน ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างเมื่อเริ่มทำการค้นหา จากนั้นก็บังคับหุ่นเชิดตัวหนึ่งให้หันไปมองหน่อไม้สีดำที่ขึ้นอยู่บนเนินเตี้ยของดาวเคราะห์แห่งหนึ่ง!


ไผ่ต้นนี้แม้มีลักษณะคล้ายพืชแต่ลำต้นกลับเป็นหิน ใบของมันก็เป็นหินด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีของเหลวบางอย่างซึมออกมาจากผิวไผ่และหยดลงบนหน่อ


ไม่มีทั้งกลิ่นหรือพลังวิญญาณใดๆ จากไผ่ต้นนี้ ถึงกระนั้นหวังเป่าเล่อก็รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดเมื่อได้ค้นพบมัน หัวใจของเขาเต้นถี่รัว


ต้นไผ่ศิลา!


หวังเป่าเล่อไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง เขาเคยอ่านเจอสิ่งนี้ในบันทึกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ชื่อของมันอาจฟังดูธรรมดา แต่มูลค่านั้นมากมายมหาศาล ต้นไผ่ศิลาสูญพันธุ์ไปจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว การจะได้มาต้องไปรับจากอารยธรรมอื่นและต้องจ่ายราคาแพง


ต้นไผ่ศิลาเป็นส่วนประกอบหลักในการเสริมพลังเรือบินรบเวท เป็นของหายากมากและเป็นที่ต้องการสูง ไผ่ความยาวเพียงนิ้วมือก็ทำให้เกิดการต่อสู้สุดชีวิตได้ ส่วนต้นไผ่ศิลาที่อยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อตอนนี้…หากนำกลับไปก็คงไม่ได้สร้างสงครามระหว่างสองสำนักใหญ่ แต่ก็อาจทำให้เกิดความโกลาหลและความคลุ้มคลั่งในบางกองทหารได้


หวังเป่าเล่ออยากได้และคอยตามหาต้นไผ่ศิลาอยู่เช่นกัน เขามีตั๊กแตนที่มีพลังครึ่งหนึ่งของเรือบินรบเวท หากหลอมมันเข้ากับต้นไผ่ศิลาที่ได้ขนาดพอ ก็มีโอกาสสูงที่มันจะพัฒนาไปเป็นเรือบินรบเวทเต็มขั้น!


หน่อไม้ศิลา… หวังเป่าเล่อใจเต้นแรง สัมผัสอันตรายที่กระจายอยู่รอบตัวทำให้เขานึกลังเลใจ ระหว่างที่กำลังลังเลใจอยู่นั้นเอง หุ่นเชิดที่ออกสำรวจดาวเคราะห์ทั้งสี่ก็พบต้นไผ่ศิลาผุดขึ้นมาจากพื้น ความจริงแล้วมีต้นไผ่ศิลากว่าพันต้นผุดขึ้นมาบนดาวเคราะห์ดวงที่สาม!


ส่วนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ มีต้นไผ่ศิลาผุดขึ้นเพียงสิบกว่าต้น ภาพที่เห็นทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นจนตาแดงและหายใจถี่รัว เจ้าลาและเจ้าอู๋น้อยไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นจึงไม่รู้ว่าชายหนุ่มเป็นอะไรไป แต่เจ้าอู๋น้อยก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาได้พบของมีค่าบางอย่าง


เจ้าลาไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อคิดอะไรอยู่ แต่จักรพิภพแห่งนี้ก็มีบางสิ่งยั่วยวนใจมัน เป็นสิ่งที่เย้ายวนไม่แพ้ความรู้สึกที่หวังเป่าเล่อมีต่อต้นไผ่ศิลา เพราะอย่างไรเสีย…สิ่งที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ ก็คือเศษซากและชิ้นส่วนสมบัติเวท ซึ่งถือเป็นของกินสำหรับมันทั้งสิ้น!


บางชิ้นดูน่ากินยิ่งนัก…


ทั้งหวังเป่าเล่อและเจ้าลาต่างหายใจถี่รัวพร้อมกัน เจ้าอู๋น้อยมองทั้งสองอย่างเกรงกลัว ความคิดในหัวแล่นไปมา เขาตัดสินใจทำตามน้ำและเร่งลมหายใจตัวเองขึ้น


มีต้นไผ่ศิลามากมายขนาดนี้ ต้องลองเสี่ยงดูแล้ว! หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็กัดฟันแน่นและตัดสินใจได้ เขาหยิบเข็มทิศออกมาและตรวจดูอย่างละเอียด ผลการตรวจสอบไม่พบสัญญาณสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ทั้งสี่ ชายหนุ่มเลิกลังเลใจ สั่งการให้เหล่าหุ่นเชิดเก็บต้นไผ่มา เขาเรียกเรือบินรบหลายพันลำออกมาและส่งไปที่ดาวเคราะห์แต่ละดวงเพื่อให้หุ่นเชิดขนต้นไผ่ใส่!


หวังเป่าเล่อลองเดิมพันดู เขาคอยเดินลมปราณเฝ้าระวัง ตั๊กแตนเองก็เปิดการใช้งานไว้เต็มที่ ตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ที่ขอบสุดของจักรพิภพ หากมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็มั่นใจว่าจะหลบหนีออกไปได้ทันเวลา


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ขณะที่ความกังวลคุกรุ่นอยู่ภายในระหว่างคอยเฝ้าระวัง เหล่าหุ่นเชิดได้รับภารกิจสุดหินในการขุดต้นไผ่ศิลาจากผืนดิน พวกหุ่นเชิดต้องขุดที่เดิมซ้ำๆ ถึงจะเซาะหินออกจากผืนดินได้เล็กน้อย ถึงหวังเป่าเล่อส่งหุ่นเชิดออกไปนับไม่ถ้วน แต่ผ่านไปเนิ่นนานก็ขุดต้นไผ่ศิลาส่งขึ้นเรือบินรบกลับมาให้หวังเป่าเล่อได้แค่ต้นเดียว


ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปก็ได้… ถึงจะรู้สึกเป็นกังวลใจอยู่มาก แต่ชายหนุ่มก็รู้ว่าช้าๆ จะได้พร้าเล่มงาม หากเกิดอะไรผิดพลาดอาจส่งผลไม่ดีได้ เขามองไปยังจักรพิภพเบื้องหน้าขณะปลอบใจตัวเอง


ทันใดนั้น ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งก็สั่นไหวเบาๆ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงแรงสั่นในทันที แต่ก่อนจะได้ตรวจสอบอะไร แรงสั่นก็ทวีความรุนแรงขึ้น ดาวเคราะห์อีกสามดวงก็เริ่มสั่นสะเทือนเช่นกัน แผ่นดินกำลังไหวรุนแรงราวกับมีงูเหลือมเลื้อยอยู่ใต้ดิน


ขณะที่แผ่นดินสั่นไหว พลังล้นเหลือก็ปะทุขึ้นจากกองหิน ยอดเขา และเทือกเขาบนดาวเคราะห์ ฟากฟ้าสั่นคลอน เมฆาหมุนวน ลมพัดกรรโชก ทั่วทั้งจักรพิภพได้รับผลกระทบ ในตอนนั้นเองกองหิน ยอดเขา และเทือกเขา…ก็ผุดยืนขึ้น!


พวกมันไม่ใช่กองหิน หรือยอดเขา หรือเทือกเขา พวกมันคือ…มนุษย์ศิลา…ที่มีขนาดแตกต่างกันไป!


ราวกับว่าเหล่าหุ่นเชิดได้ปลุกพวกมันจากการหลับใหล พวกมันดูท่าจะกำลังอารมณ์ไม่ดี เหล่ามนุษย์ศิลาเบิกตาสีชาดหันมองหุ่นเชิดรอบตัว จากนั้นก็เงยหน้าร้องคำรามดังลั่นจักรพิภพ!


หวังเป่าเล่อหน้าตื่นทันใด พยายามเรียกหุ่นเชิดกลับ แต่เสียงร้องคำรามของเหล่ามนุษย์ศิลาแข็งแกร่งเกินไป เป็นเหมือนพายุพัดไปทั่วพื้นที่ ส่งแรงระเบิดกัมปนาทพัดกระจายไม่หยุดหย่อน กองทัพหุ่นเชิดสามหมื่นตัวถูกพายุพัดทำลายไปกว่าครึ่งในทันใด!


ยังไม่จบแค่ไหน มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อ เจ้าลา และเจ้าอู๋น้อยตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว ขณะที่มนุษย์ศิลามากมายบนดาวเคราะห์ทั้งสี่ตื่นขึ้นจากการหลับใหล พลังขั้นจิตวิญญาณอมตะเจ็ดถึงแปดจุดก็ปะทุตื่นขึ้นจากแก่นดาวเคราะห์!


ล้อกันเล่นหรืออย่างไร หวังเป่าเล่อคร่ำครวญ เขารีบสั่งตั๊กแตนหันหลังกลับ เตรียมถอยหนีอย่างไม่ลังเลใจ

 

 

 


บทที่ 799 จักรพรรดิศิลา!

 

เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหนี…


การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะเจ็ดถึงแปดจุดจากดาวเคราะห์ทั้งสี่ทำให้เขาเกือบฉี่ราด นอกจากนี้ยังมีร่องรอยพลังขั้นเชื่อมวิญญาณมากมายและขั้นจุติวิญญาณอีกนับไม่ถ้วนปะทุขึ้นทันทีที่มนุษย์ศิลาทยอยตื่นขึ้นเรื่อยๆ


มนุษย์ศิลาขนาดเล็กที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในและขั้นรากฐานตั้งมั่นเริ่มร้องคำรามน่าหวาดผวา พวกมันโผล่ออกมาจากทุกทิศทาง เข้าล้อมหุ่นเชิดของหวังเป่าเล่อเอาไว้


พริบตาเดียว…หุ่นเชิดของหวังเป่าเล่อก็โดนรายล้อมด้วยกองทัพมนุษย์ศิลาจำนวนมากกว่า พวกมันไร้ซึ่งทางหนีรอดหรือแม้กระทั่งโอกาสในการตอบโต้กลับ จึงถูกทำลายกลายเป็นฝุ่นผงไป…


ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ดาวเคราะห์ที่เงียบงันก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยความบ้าคลั่ง หวังเป่าเล่อกลัวจนแทบจะลมจับ ภัยอันตรายร้ายแรงที่บังเกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เขารีบบังคับเรือบินรบเวทหนีออกจากจักรพิภพไปในทันที


เจ้าอู๋น้อยที่ยืนเบิกตากว้างอยู่ข้างๆ ตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว เจ้าลาเองก็ตะลึงงันไปเช่นกัน แม้มันจะมองมนุษย์ศิลาเป็นอาหาร แต่ถ้ามีจำนวนมากเกินไปก็ถือเป็นเรื่องน่ากลัว


ช่างเป็นกับดักที่ร้ายกาจเสียจริง! หวังเป่าเล่อเกือบจะร้องไห้ออกมา แต่นี่ไม่ใช่เวลามัวมาคร่ำครวญที่สูญเสียเหล่าหุ่นเชิดหรือกระหายอยากได้ต้นไผ่ศิลา เขารีบพุ่งความสนใจไปที่การบังคับตั๊กแตนหนีกลับสู้ห้วงจักรวาล


ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังพุ่งทะยานไปด้านหน้า พลังขั้นจิตวิญญาณอมตะกว่ายี่สิบตนก็พุ่งตามหลังมาติดๆ จนกลายเป็นดาวหาง พวกมันมุ่งหน้าออกจากดาวเกิด ข้ามหมู่ดวงดาราตรงไปหาหวังเป่าเล่อ


พลังล้นเหลือที่ปล่อยออกมานี้สามารถทำให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะต้องขนหัวลุกขณะก่นด่าความชักช้าของตนเอง แล้วนับประสาอะไรกับหวังเป่าเล่อ


หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง เขาเปิดใช้งานกลไกเคลื่อนย้ายของดวงเนตรหมื่นปีศาจอย่างไม่ลังเลใจ เพื่อจะหนีกลับไป อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์


 ขณะที่การเคลื่อนย้ายกำลังจะเริ่มต้นขึ้น จักรพิภพก็สั่นคลอนและพลังประหลาดก็จุติลงมาปกคลุมทั่วพื้นที่ ล้อมรอบตัวหวังเป่าเล่อไว้ พลังนั้นไม่อาจขัดขวางการเคลื่อนย้ายของหวังเป่าเล่อได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็ทำให้กระบวนการล่าช้าลงไปได้ สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาทีกลายเป็นต้องใช้เวลาชั่วนิรันดร์ อาจต้องใช้เวลาถึงสิบห้านาที ชายหนุ่มจึงจะสามารถเคลื่อนย้ายออกไปได้!


สถานที่เฮงซวยนี่มันอะไรกัน หวังเป่าเล่อเกือบจะร้องคำรามออกมา เขาไม่มีเวลาให้คิดอะไร รีบบังคับตั๊กแตนและพยายามหนีออกไปจากที่แห่งนี้อย่างไม่คิดชีวิต เขาตั้งใจว่าจะออกจากจักรพิภพนี้ให้ได้ก่อน จากนั้นจึงค่อยพยายามเคลื่อนย้ายอีกครั้ง


โชคดีที่หวังเป่าเล่อคอยระวังตัวอยู่ตลอดและไม่ได้เข้าไปสำรวจลึกด้วยตัวเอง เขาวางตำแหน่งตนเองไว้ที่ขอบของจักรภพ ดังนั้นเมื่อเร่งความเร็วเรือบินรบเวทและปลดปล่อยพลังขั้นแสร้งอมตะออกมา เรือบินรบเวทจึงสามารถพุ่งทะยานไปด้วยความเร็วสูงสุด มันพุ่งไปถึงขอบสุดของจักรพิภพในชั่วพริบตา อีกเพียงครู่เดียวก็จะออกจากจักรพิภพนี้ไปได้อย่างสมบูรณ์…


หวังเป่าเล่อยังไม่ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แม้จะมั่นใจในโอกาสว่าจะออกจากจักรพิภพไปได้ การมีมนุษย์ศิลาขั้นจิตวิญญาณอมตะยี่สิบกว่าตนไล่ตามมานั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย อย่างไรเสีย เขาก็มีโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาและเรือบินรบอยู่ ซึ่งจะช่วยให้เขามีเวลาเพียงพอที่จะทำการเคลื่อนย้ายอีกครั้ง เรื่องแย่ที่สุดที่ชายหนุ่มต้องเผชิญคือการเสียศักดิ์ศรีและต้องเดินทางอย่างเปล่าประโยชน์


ไม่อยากจะเชื่อว่าข้าจะโชคร้ายถึงเพียงนี้ ต้องเป็นความผิดของเจ้าอู๋น้อยแน่ ตอนที่ไม่มีเขา ข้าโชคดีกว่านี้มากนัก ชายหนุ่มหันไปจ้องเจ้าอู๋น้อยที่มองกลับมาด้วยสายตาสับสน ตั๊กแตนของหวังเป่าเล่อมุ่งหน้าต่อไปด้วยความเร็วเกินบรรยายขณะที่ดาวหางขั้นจิตวิญญาณอมตะกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหมือนว่าพวกเขากำลังจะหลบหนีออกจากจักรพิภพไปได้ในทุกเมื่อ


ทันใดนั้น… พลังประหลาดที่กระจายไปทั่วจักรพิภพก็จะจุติลงมาใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้กล้าแกร่งกว่าเดิม ทำให้ห้วงจักรวาลสั่นไหว ขอบจักรพิภพถูกปิดผนึก ราวกับประตูที่ปิดแน่นไร้ซึ่งทางออก!


เป็นเหมือนผนึก!


ในหัวหวังเป่าเล่ออื้ออึงไปหมดขณะที่หันกลับไปด้วยความตื่นตกใจ ศพและเศษซากที่ลอยอยู่รอบๆ เริ่มเคลื่อนที่เหมือนว่ากำลังโคจรรอบดารานิรันดร์ ตอนแรกพวกมันเริ่มเคลื่อนไหวไหลลื่นไปอย่างช้าๆ ก่อนจะเร็วขึ้นมหาศาล!


พวกมันดูเหมือนแม่น้ำที่ไหลวนรอบดารานิรันดร์ เป็นดังวังวนขนาดใหญ่ สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตกใจมากที่สุดไม่ใช่วังวน แต่เป็น…ดารานิรันดร์ที่กลายเป็นหินไปบางส่วน ขณะที่แม่น้ำกำลังหมุนวนอยู่รอบๆ ดารานิรันดร์เองก็เริ่มสั่นไหวด้วยเช่นกัน


กลุ่มดาวหางที่ไล่ตามหวังเป่าเล่อหยุดชะงักและแปลงกายกลับเป็นมนุษย์ศิลา ใบหน้าของพวกมันดูเคารพยำเกรง ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น เหล่ามนุษย์ศิลารีบหันไปทางดารานิรันดร์ที่กำลังสั่นไหว ก่อนจะคุกเข่าลงพร้อมเปล่งเสียงร้องคำรามสั่นสะเทือนไปทั่วอวกาศ


เหล่ามนุษย์ศิลาบนดาวเคราะห์ทั้งสี่ดวงเองก็มีท่าทีไม่ต่างกัน พวกมันเงยหน้าขึ้นฟ้า ตื่นตัวขึ้นทันใด ดวงตาเร่าร้อนจับจ้องไปทางดารานิรันดร์ ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นและร้องคำรามขึ้น!


หวังเป่าเล่อหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า เสียงร้องของเหล่ามนุษย์ศิลากลายเป็นท่วงทำนองสมานสามัคคีที่เปี่ยมไปด้วยพลังล้นเหลือ ศพและเศษซากยังคงลอยหมุนวนรอบดารานิรันดร์ ราวกับว่ากำลังมีพิธีอะไรบางอย่างและชายหนุ่มได้มาร่วมชมด้วย…


“เสร็จกัน จบเห่แล้ว! เรากลายเป็นของเซ่นไหว้ไปแล้ว!” เจ้าอู๋น้อยเริ่มโอดครวญขณะจ้องมองภาพเหตุการณ์เบื้องหน้า เจ้าลาเองก็ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาฉายแววตื่นกลัว


ของเซ่น… หวังเป่าเล่อลังเลใจที่จะยอมรับข้อสรุปนั้น แต่ดูอย่างไรก็เป็นดั่งที่เจ้าอู๋น้อยว่า ถึงกระนั้นเขาก็จะไม่ยอมนั่งรอความตายโดยไม่ทำอะไร แววดุดันฉายขึ้นในดวงตาของชายหนุ่ม เขาคิดจะระเบิดตั๊กแตนเรือบินรบเวททิ้งเพื่อดูว่าจะสามารถสร้างช่องทางในการหลบหนีได้หรือไม่


ทันใดที่คิดได้ดังนั้น ดารานิรันดร์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จนชายหนุ่มหน้าถอดสี…ใบหน้าของเขาซีดเซียวเสียจนเหมือนคนตาย


ขณะที่วังวนกำลังหมุนไปรอบๆ มนุษย์ศิลากำลังร้องคำราม ดารานิรันดร์ที่สั่นไหวอยู่…ก็ขยายตัวออกเป็นวงกว้าง!


หน้าผากที่มีขนาดกว้างใหญ่กว่าดาวเคราะห์ปรากฏขึ้นเป็นสิ่งแรก ตามมาด้วยแขนขาทั้งสี่ จนปรากฏออกมาเป็นยักษ์ศิลาขนาดมหึมา!


ข้างๆ ยักษ์ศิลาคือดารานิรันดร์ที่หดเล็กลงกว่าตอนแรกถึงครึ่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่า…ส่วนที่ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อคิดว่าเป็นดารานิรันดร์ แท้จริงแล้วคือร่างหินของยักษ์ตนนี้ ยักษ์ศิลาโอบดารานิรันดร์ไว้ในอ้อมแขนและขดตัวเป็นก้อนกลม เป็นเหตุให้…ดารานิรันดร์ดวงนี้ดูมีขนาดใหญ่


ตอนนี้เมื่อยักษ์ศิลาเหยียดแขนขาออก ดารานิรันดร์ที่แท้จริงจึงเผยออกมาให้เห็น!


ยักษ์ศิลาที่เหยียดแขนขาออกกว้างค่อยๆ ลืมตาตื่น ดวงตาทั้งสองข้างส่องแสงเจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์แฝด สาดส่องไปทั่วจักรพิภพในทันที!


พลังล้นเหลือเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนขั้นดาวพระเคราะห์แผ่ออกมาจากยักษ์ศิลาโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ พลังนั้นพุ่งผ่านจักรพิภพราวกับเป็นพายุรุนแรง! เข้าข่มทุกสิ่งที่อยู่ตามทางและพัดพาทุกอย่างให้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของมัน!


มือขนาดเท่าดาวเคราะห์ยกขึ้นสูง ดูด้วยตาเหมือนจะช้า แต่แท้จริงแล้วรวดเร็วมาก มือยักษ์ศิลาพุ่งแหวกจักรพิภพเข้ามาคว้าหวังเป่าเล่อ หมายจะบดขยี้เหมือนอีกฝ่ายเป็นเพียงยุงตัวหนึ่ง!


ให้เปรียบชายหนุ่มเป็นยุงก็ดูไม่เข้าที เพราะหากเทียบขนาดกับมือยักษ์แล้ว หวังเป่าเล่อนั้น…ไม่สมควรจะเป็นยุงเสียด้วยซ้ำ!


สายฟ้าฟาด ลมพัดกระหน่ำ มือขนาดมหึมาขวางกั้นทั้งจักรพิภพ ร่วงลงมาใส่หวังเป่าเล่อพร้อมพลังไร้เทียมทานและภัยร้ายถึงตาย ปิดทางหนีของชายหนุ่มไว้หมด!


ขณะที่ยักษ์ศิลาเปิดฉากโจมตี มนุษย์ศิลาน้อยใหญ่บนดาวเคราะห์และมนุษย์ศิลาขั้นจิตวิญญาณอมตะก็เริ่มคึกคะนอง พวกมันร้องคำรามอย่างเร่าร้อนขณะหมอบกราบ เหมือนดั่งว่ากำลังทำความเคารพจักรพรรดิกระนั้น!


ระดับดารา…นิรันดร์… หวังเป่าเล่อหน้าซีดเผือด นี่ไม่ใช่แค่ดวงไม่ดีธรรมดา แต่เป็นดวงกุดชะตาขาดเลยต่างหาก จักรวาลนั้นแสนกว้างใหญ่ ดูจากจำนวนผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ที่กระจายอยู่ทั่วจักรวาล คงเป็นเรื่องยากที่จะบังเอิญไปพบเข้าสักคน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ชายหนุ่มจึงได้มาประจันหน้าผู้ฝึกตนที่ว่าเอาได้…


จบแล้ว…ครั้งนี้จบเห่แน่… ในหัวชายหนุ่มขาวโพลนไปหมด วิสัยทัศน์ถูกมือมหึมาที่เคลื่อนตัวมาจากด้านบนพร้อมพลังล้นเหลือบดบังมิด เขามีเวลาทำอย่างหนึ่งทัน นั่นก็คือเก็บเจ้าลาเข้ากำไลคลังเวท แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยอะไรมันได้หรือเปล่า


นี่คือที่สุดแล้วที่เขาสามารถทำได้ ส่วนเจ้าอู๋น้อย…หวังเป่าเล่อไม่สามารถช่วยอีกฝ่ายได้ในตอนนี้ ชายหนุ่มทำหน้าเหยเก แต่ดวงตากลับไร้ซึ่งแววความสิ้นหวัง เขาปลดปล่อยพลังปราณของตัวเองและของตั๊กแตน ตั้งใจจะระเบิดทำลายตนเองเสีย


วิธีนี้คือหนทางเดียวที่คิดออกในการช่วยเจ้าลาและเจ้าอู๋น้อย ถ้าเขาระเบิดทำลายตนเอง ก็มีโอกาสที่จะรอดชีวิต เพราะหากยักษ์ศิลาเอื้อมมาคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ก่อน ก็คงไม่ต่างอะไรกับได้ตายไปแล้ว


แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะยอมรับโชคชะตาง่ายๆ เช่นนั้น ก่อนที่จะระเบิดทำลายตนเอง หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงดวง ชายหนุ่มตะโกนก้องขึ้นทันใด


“ท่านพี่ ศิษย์พี่ของข้าคือเฉินชิง ราชันสวรรค์ลำดับแรกของตระกูลไม่รู้สิ้น ข้าเป็นศิษย์น้องเพียงคนเดียวของเขาที่ยังมีชีวิตอยู่!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)