ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 795-797

 ตอนที่ 795 ศัตรูผู้แข็งแกร่ง

Ink Stone_Fantasy

เปลวเพลิงสีดำทอดยาวเป็นรอยทางสายหนึ่งกลางอากาศประหนึ่งปาดรอยแผลสีดำสนิทเส้นหนึ่งไว้กลางอากาศว่างเปล่า


ปีศาจอสูรประหลาดเห็นเช่นนี้ ในดวงตาทั้งสองข้างก็ทอประกายตื่นเต้น มันวิ่งบ้าคลั่งไปด้านหน้าต่อพร้อมกับอ้าปากพ่นลำแสงสีดำแดงสองสีสายแล้วสายเล่าออกมา


วิหคเพลิงสีดำร้องดังกังวาน ขณะที่ลำแสงหวุดหวิดจะโจมตีถูกมัน เสียงเปรี้ยงก็ดังขึ้น ตัวมันกลายเป็นเปลวเพลิงสีดำดวงแล้วดวงเล่าระเบิดออก


นาทีต่อมาเพลิงสีดำลูกแล้วลูกเล่าพลันลอยออกมาจากแผ่นหลังของปีศาจอสูรประหลาด หลังพวกมันหมุนติ้วรวมตัวกันที่จุดหนึ่งก็กลายเป็นวิหคเพลิงสีดำใหม่อีกครั้ง


วิหคเพลิงปรากฏตัวปุบ กรงเล็บแหลมคมสีดำมันปลาบดั่งปลายดาบคู่หนึ่งก็พาสายลมแรงดุดัน ตะปบเข้าใส่จุดสำคัญที่สันหลังของปีศาจอสูร


ปีศาจอสูรรู้สึกถึงเสียงลมด้านหลังพลันเหลียวกลับมาอ้าปากกว้าง พ่นลูกบอลแสงสีดำแดงขนาดเท่าศีรษะสิบกว่าลูกออกมาติดกันเป็นพรวนเข้าใส่วิหคเพลิง


ลูกบอลแสงเห็นชัดว่าเกิดมาจากเพลิงปีศาจ พ่นออกมาปุบ กลิ่นอายร้อนระอุสายหนึ่งก็พัดมาถึงก่อนในทันใด พลังไม่อาจดูแคลนได้


วิหคเพลิงสีดำไม่ยินดีรับตรงๆ กรงเล็บด้านหน้าทั้งคู่พลันถีบอากาศพร้อมกันนั้นปีกสองข้างก็โบกกระพือ ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งก็บิดร่างหายวับไป


เสียงพรวดดังขึ้นทีหนึ่ง!


วิหคเพลิงปรากฏตัวเบื้องหน้าปีศาจอสูรอีกครั้งประหนึ่งภูตผี เสียงวิหคแหลมสูงร้องดัง กรงเล็บคมตะปบเข้าที่หน้าอกของปีศาจอสูรอีกครั้ง


ในตอนที่ปีศาจอสูรหันศีรษะกลับมาพ่นเปลวเพลิงดวงหนึ่งอย่างเกรี้ยวกราด วิหคเพลิงสีดำพลันกระพือปีกหายวับไปกับอากาศอีกหน


เซียนหงส์ดำที่แปลงเป็นวิหคเพลิงเห็นชัดว่าไม่ยินดีปะทะตรงๆ กับปีศาจอสูรตัวนี้แต่วางแผนจะสู้ยืดเยื้อไปก่อน!


เป็นเช่นนี้เจ็ดแปดครั้งต่อเนื่อง ปีศาจอสูรตัวนี้ในที่สุดก็ถูกล่อหลอกจนหัวหมุนอยู่บ้าง ท้ายที่สุดมีครั้งหนึ่งหลบไม่ทัน พร้อมกับที่เสียงวิหคดังขึ้น มันก็ถูกวิหคเพลิงสีดำแทงกรงเล็บที่แหลมคมจนตัดโลหะได้คู่หนึ่งเข้ามาลึกในแผ่นหลังของมันแล้วชักออกไปอย่างรวดเร็ว


เลือดดำสายหนึ่งพุ่งกระจายออกมาจากบนแผ่นหลังของปีศาจอสูรในทันใด


ปีศาจอสูรประหลาดส่งเสียงคำรามโหยหวน มันหันร่างกลับมาอ้าปากกว้างพ่นลำแสงสีดำสลับแดงมหึมายิ่งกว่าก่อนหน้านี้มากสายหนึ่งออกมาใส่วิหคเพลิงสีดำที่ถอยไปห่างสิบจั้งกว่าอย่างบ้าคลั่ง


วิหคเพลิงสีดำเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ ครั้งนี้กลับไม่ได้หลบ แต่ประกายแสงในดวงตาไหววูบพักหนึ่งก็ส่งเสียงหงส์ร้องใสกังวานสายหนึ่งออกมา พลังปีศาจสีดำสนิททะลักออกมารอบร่างกลายเป็นเมฆทะมึนขนาดสิบจั้งกว่าเบื้องหน้า จากนั้นโถมกดดันไปด้านหน้าอย่างบ้าคลั่ง ประจันหน้ากับลำแสงสีดำแดงที่พุ่งเร็วรี่มาถึงพอดี


เสียงเปรี้ยงดังขึ้นทีหนึ่ง แสงสว่างสองสีปะทะเข้าหากัน เมฆดำส่งเสียงดังซือๆ จากนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้นหลายครั้ง ชั่วพริบตาถูกลำแสงสีดำแดงฉีกออกไปแถบหนึ่ง


ทว่าเมฆดำกลับโถมมาประหนึ่งน้ำหลาก ค่อยๆ กลบลำแสงสีดำไว้ข้างในจนมิด จากนั้นค่อยๆ เคลื่อนไปทางปีศาจอสูรต่ออย่างรวดเร็ว


ในดวงตาของปีศาจอสูรฉายแววหวาดกลัวจางๆ มันหมุนตัวบ่ายหน้าหนีทันที


ทว่าเวลานี้เองเมฆปีศาจสีดำสนิทพลันถักทอกลางท้องฟ้า ชั่วพริบตารวมตัวกลายเป็นหนวดสีดำสนิทสิบกว่าเส้นวาดข้ามระยะห่างสิบกว่าจั้งพร้อมกับเสียงแหวกอากาศ รัดพันร่างกายของปีศาจอสูรประหลาดอย่างที่มันคิดไม่ถึง หุ้มมันไว้จนกลายเป็นบ๊ะจ่างลูกใหญ่


ปีศาจอสูรประหลาดคำรามเกรี้ยวกราดไม่หยุด มันขยับร่างดิ้นรน ทว่าน่าเสียดายเป็นการกระทำที่เสียแรงเปล่า


นาทีต่อมาเงาดำร่างหนึ่งก็ไหววูบรวดเร็วประหนึ่งอสนีบาต เงาวิหคเพลิงสีดำพลันปรากฏตัวตรงหน้าปีศาจอสูรตัวนี้ อ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีทองหนาเท่าชามข้าวสายหนึ่งออกมาใส่มัน


เสียงฟู่ดังขึ้นพร้อมกับที่เปลวเพลิงสีทองรุนแรงร่วงใส่ร่างปีศาจอสูรแล้วลุกไหม้รุนแรงเผากระทั่งหนวดที่อยู่นอกร่างมันไปด้วย จากนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้น


แม้อสูรตัวนี้จะกรีดร้องไม่หยุดและสะบัดร่างกลางอากาศอย่างบ้าคลั่ง ทว่าเนื้อหนังบนร่างก็ยังคงหลุดลอกออกมาเป็นก้อนๆ กลายเป็นขี้เถ้าไหม้เกรียมกองแล้วกองเล่ากลางอากาศ


เวลานี้เซียนหงส์ดำถึงเก็บเมฆดำถาโถมไป จากนั้นพริบตาเดียวคืนกลับมาเป็นร่างมนุษย์ใหม่อีกครั้ง สองมือมีมีดสั้นวาววับคู่หนึ่งเพิ่มขึ้นมา


สายตานางเย็นเยียบ สองมือไขว้อยู่ตรงหน้าอก บนมีดสั้นเปลวเพลิงสีทองสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นในทันใด จากนั้นนางพลันกระทืบพื้น


เสียงฟึบดังขึ้นทีหนึ่ง!


รุ้งยาวสีทองยาวเจ็ดแปดจั้งพุ่งออกมา ทะลุผ่านร่างกายมหึมาของปีศาจอสูรในพริบตา ทิ้งรูเลือดใหญ่หนึ่งจั้งกว่ารูหนึ่งไว้ตรงท้อง


ปีศาจอสูรตัวนี้ทันเพียงร้องเสียงดังทีหนึ่ง ร่างกายก็ถูกเปลวเพลิงสีทองสายแล้วสายเล่าที่ระเบิดออกมาจากในร่างกะทันหันหุ้มไว้ หลังโซเซไม่กี่ทีก็กลายเป็นลูกบอลเพลิงยักษ์ลูกหนึ่งร่วงกระแทกพื้นหนักหน่วง จากนั้นก็แน่นิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น


ในเวลาเดียวกัน ไอหมอกสีเทาที่ค่อนข้างหนาทึบสายหนึ่งก็ลอยออกมาจากเปลวเพลิงสีทองบนพื้น ทยอยมุดเข้ามาในโซ่โชคชะตาของเซียนหงส์ดำ


“ฮ่าฮ่า ไม่เลว! วิชาเฉพาะตัวของน้องเล็กเหมือนจะมีพลังเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ไม่น้อย” บุรุษชุดดำปรบมือแล้วขยับวูบมาถึง จากนั้นแย้มรอยยิ้มนิดๆ เอ่ยชม


“ท่านพี่ชมเกินไปแล้ว พลังของปีศาจตัวนี้พอดีถูกพลังเฉพาะตัวของข้าข่มเท่านั้น พวกเรารีบเก็บสมุนไพรจิตวิญญาณที่นี่กันเถอะ อย่าให้มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น” เซียนหงส์ดำเก็บมีดสั้นทั้งสองไป จากนั้นหัวเราะเบาๆ ตอบกลับ


“น้องเล็กพูดถูกต้องที่สุด พวกเราลงมือกันเถอะ” บุรุษชุดดำได้ยินก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


จากนั้นทั้งสองคนก็หมุนตัวบินไปยังทิศทางที่มาอีกหน ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนรีบร้อนจึงเพียงมองแดนจิตวิญญาณผืนนี้คร่าวๆ ทีหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้สำรวจชนิดของสมุนไพรจิตวิญญาณเหล่านั้นอย่างละเอียดจริงๆ


ไม่นานนักทั้งสองคนก็สำรวจสมุนไพรจิตวิญญาณทั้งหุบเขาคร่าวๆ เสร็จประหนึ่งสายฟ้าแลบ พวกเขาฉับพลันตื่นตะลึงระคนยินดียิ่งนัก


“นี่คือผลอัคนี เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำแล้ว อย่างน้อยก็อายุสองพันปี มอบให้อาจารย์จูในตระกูลต้องหลอมออกมาเป็นโอสถอัคนีระดับพสุธาได้แน่!” เซียนหงส์ดำโฉบทีหนึ่งไปปรากฏตัวหน้าต้นไม้เตี้ยที่ออกผลประหลาดสีแดงก่ำคล้ายเลือดผลหนึ่งที่มุมหุบเขาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น


“ดูจากระดับความเข้มข้นของปราณจิตวิญญาณธรรมชาติที่สวนแห่งนี้ สมุนไพรทั่วไปเติบโตอยู่ที่นี่หนึ่งร้อยปีเทียบได้กับมากกว่าสองร้อยปีด้านนอก ผนวกกับแดนลึกลับแห่งนี้กว้างขวางไร้ขอบเขต แล้วยังเปิดออกแปดร้อยปีครั้ง มีสวนสมุนไพรธรรมชาติเช่นนี้ก็ไม่น่าแปลก” บุรุษชุดดำดูนิ่งกว่ามาก เขาปรามความยินดีในหัวใจแล้วเอ่ยตอบ


“หญ้าวาตพิรุณอายุพันปี!”


“ดอกอสรพิษสีชาดอายุหนึ่งพันห้าร้อยกว่าปี!”


ทุกครั้งที่เซียนหงส์ดำก้าวมาถึงหน้าหญ้าจิตวิญญาณแถบหนึ่ง เพียงกวาดสายตาเล็กน้อยก็เอ่ยชื่อหญ้าจิตวิญญาณหายากไม่ธรรมดาเหล่านี้ออกมาได้ทันที


พลังจิตวิญญาณของสมุนไพรเหล่านี้ไม่มีต้นไหนไม่เกินหนึ่งพันปี ทำให้สตรีผู้นี้ดวงตาเปล่งประกาย


ขณะที่ทั้งสองคนเตรียมจะลงมือเก็บอย่างระมัดระวังนั่นเอง สีหน้าของเซียนหงส์ดำพลันเปลี่ยนไปในฉับพลัน สองตามองไปด้านนอกหุบเขา


“ท่านพี่ ข้ารู้สึกว่ามีคนมา จากกลิ่นอายน่าจะมีมากถึงหกเจ็ดคน”


“อืม เมื่อครู่ข้าก็สัมผัสได้แล้ว เพียงแต่ไม่ใช่คนพิเศษพวกนั้น คนอื่นก็เป็นแค่คนที่เอาโชคชะตามามอบให้พวกเราเท่านั้น” บุรุษชุดดำยิ้มเล็กน้อย เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจสักนิด


สิ้นเสียงพูด เสียงแหวกอากาศจากที่ไกลก็ดังขึ้น ลำแสงนานาสีสันหลายสายแหวกอากาศมาจากปากหุบเขา วูบไหวไม่กี่หนก็ร่อนลงเบื้องหน้าเซียนหงส์ดำกับพี่ชาย หลังแสงรัศมีดับหายไปก็เผยชายหนุ่มที่สวมชุดสีม่วงเจ็ดคนออกมา


ชายฉกรรจ์ร่างกายประหนึ่งหอคอยเหล็กผู้หนึ่งที่เป็นหัวหน้าก้าวออกมาข้างหน้าหลายก้าว หลังสายตากวาดบนสมุนไพรเหล่านั้นใกล้ๆ ก็เผยสีหน้าตื่นตะลึงระคนยินดีอย่างที่สุดออกมาทันที


“สวนสมุนไพรธรรมชาติแห่งหนึ่ง ฮ่าฮ่า ดูท่าครั้งนี้พวกเรานับว่ามีโชคไม่เลว”


ชายฉกรรจ์รูปร่างดั่งหอคอยเหล็กกลั้นไม่ไหวหัวเราะลั่น คนอื่นที่เหลือบนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีหน้าตื่นเต้นและละโมบเช่นกัน


มูลค่าของสวนสมุนไพรธรรมชาติที่เต็มไปด้วยสมบัติแห่งฟ้าดินแห่งหนึ่ง ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ย่อมไม่มีใครไม่รู้


คนเหล่านี้หันไปถกชื่อของสมุนไพรใกล้ๆ ในทันใด พวกเขาแยกสมุนไพรไม่น้อยออกทันที ทันใดนั้นพวกเขาก็ยิ่งยินดีขึ้นอีก ทำเหมือนมองไม่เห็นเซียนหงส์ดำกับพี่ชายที่ยืนอยู่ในหุบเขา


พี่ชายของเซียนหงส์ดำเห็นเช่นนี้ก็ไม่รีบร้อน เพียงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองเจ็ดคนตรงหน้า เซียนหงส์ดำด้านข้างสีหน้าฉับพลันบึ้งตึง แต่เห็นพี่ใหญ่ของตนไม่เอ่ยวาจาจึงฝืนกดโทสะไว้ชั่วคราว


หลังเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ชายฉกรรจ์รูปร่างดั่งหอคอยเหล็กที่เป็นหัวหน้าถึงเคลื่อนสายตามองมาหาเซียนหงส์ดำกับพี่ชาย


“อ้อ! นี่ไม่ใช่พี่เซวี่ยเยวี่ยหรือ ท่านนี้คิดว่าคงเป็นเซียนหงส์ดำน้องสาวของท่านสินะ เสียมารยาทแล้วจริงๆ แต่สมุนไพรจิตวิญญาณที่นี่ พวกเราขอรับไว้อย่างไม่เกรงใจ พวกท่านทั้งสองหากไม่มีธุระอื่นใดก็เชิญตามสบายเถิด พวกเราไม่ส่ง!” ชายฉกรรจ์รูปร่างดั่งหอคอยเหล็กคล้ายรู้จักมู่หรงเซวี่ยเยวี่ยพี่ชายของเซียนหงส์ดำ เขาหัวเราะแกนๆ สองสามทีคล้ายไม่เห็นตระกูลมู่หรงหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่นี้อยู่ในสายตาสักนิด


“ท่านพี่ ท่านจะลงมือหรือให้ข้าลงมือ?” เซียนหงส์ดำได้ยิน ชั่วพริบตาสีหน้าก็เย็นชาอย่างที่สุด นางเอ่ยถามบุรุษชุดดำด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“แม้ข้าไม่รู้จักความเป็นมาของคนเหล่านี้ แต่ในเมื่อกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ต่อหน้าข้า คิดว่าน่าจะมีเบื้องหลังอยู่บ้าง เจ้าไปพักด้านข้างก่อนสักครู่ ข้าจะได้ลองทดสอบสมบัติชิ้นนั้นที่พกมาจากในตระกูลสักหน่อย”


มู่หรงเซวี่ยเยวี่ยกลับส่ายศีรษะยิ้มลึกลับพร้อมกันนั้นก็ยกมือขึ้น แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกมาจากในแขนเสื้อ บินร่อนเป็นวงรอบตัวเขา


“ได้เลยเจ้าหนู สุราคารวะไม่ดื่มจะดื่มสุราลงทัณฑ์! ถ้าเช่นนั้นก็อย่าโทษพวกเราไม่ไว้หน้าตระกูลมู่หรง!” ชายฉกรรจ์ผู้มีรูปร่างดั่งหอคอยเหล็กเห็นเช่นนี้ แววตาฉับพลันทะมึนขึ้นหลายส่วน มือข้างหนึ่งสะบัดไปด้านหน้า ชายหนุ่มชุดม่วงไม่กี่คนหลังร่างพากันทะยานออกมา ในมือเรียกอาวุธจิตวิญญาณออกมานานแล้วเป็นสามง่ามบินที่หน้าตาเหมือนกันเล่มแล้วเล่มเล่า บนตัวสามง่ามวงแหวนแสงสีม่วงสายแล้วสายเล่าส่องสว่าง


ตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ แสงสีม่วงตอบสนองกัน การเคลื่อนไหวที่เดิมทีดูเหมือนตามใจเมื่อครู่ กลับเรียงตัวเป็นค่ายกลอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เห็นชัดว่าเป็นวิชาโจมตีประสานที่คนกลุ่มนี้ชำนาญ


ชายฉกรรจ์ผู้มีรูปร่างดั่งหอคอยเหล็กเวลานี้พลิกมือเรียกสามง่ามบินสีม่วงเล่มหนึ่งออกมาเช่นกัน ปากก็เริ่มท่องมนตร์


คนอื่นที่เหลือรีบหมุนร่าง พากันเดินโดยมีชายฉกรรจ์ผู้รูปร่างดั่งหอคอยเหล็กเป็นศูนย์กลาง


มู่หรงเซวี่ยเยี่ยหัวเราะหยันขณะที่มือใช้เคล็ดวิชา หลังแสงสีดำหมุนติ้วหยุดนิ่งกลางอากาศก็กลายเป็นพัดขนนกที่ส่องแสงสีดำขมุกขมัวเล่มหนึ่ง


บนพัดขนนกลวดลายจิตวิญญาณสภาพเหมือนเส้นด้ายทองคำเส้นแล้วเส้นเล่าเห็นได้ชัดเจน นอกจากนี้ก็มีมากถึงสามสิบหกเส้น อีกทั้งยังวาดเป็นภาพสัญลักษณ์รูปนกยูงสีทองที่งามประณีตอย่างยิ่งตัวหนึ่ง


“พัดนกยูงดำ ตระกูลถึงกับมอบสิ่งนี้ให้พี่ใช้เชียว” ในดวงตาของเซียนหงส์ดำฉายแววประหลาดใจจางๆ หลุดปากเอ่ยถามออกมา


บุรุษชุดดำกลับไม่คิดจะตอบ มือข้างหนึ่งกวักเรียก หลังพัดขนนกสีดำหมุนรอบหนึ่งก็บินพุ่งกลับมาในมือเขา เขารับไว้พลางใช้สองมือลูบไล้แผ่วเบา


หลังแสงสีดำสว่างวูบหนึ่ง พัดขนนกพริบตาก็กลายเป็นขนาดห้าหกฉื่อ ภาพสัญลักษณ์รูปนกยูงสีทองด้านบนยิ่งขยับวูบไหวเองประหนึ่งมีชีวิต


ตอนที่ 796 ความสามารถของเซียเอ๋อร์

Ink Stone_Fantasy

เวลานี้เองบุรุษชุดม่วงหกคนที่เดิมทีเดินไม่หยุดอยู่ฝั่งตรงข้ามก็พากันชะงักฝีเท้า ชายฉกรรจ์ผู้รูปร่างดั่งหอคอยเหล็กที่อยู่ตำแหน่งตรงกลางฉับพลันตวาดลั่น สามง่ามบินเจ็ดเล่มยกขึ้นพร้อมกันลำแสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายแหลม ชั่วพริบตารวมกันเบื้องหน้าชายฉกรรจ์ผู้รูปร่างดั่งหอคอยเหล็กอย่างพร้อมเพรียง


เสียงเปรี้ยงดังขึ้นหนึ่งหน ลำแสงมหึมาหนาเท่าถังน้ำเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมาจากตรงที่ชายฉกรรจ์อยู่


มู่หรงเซวี่ยเยวี่ยเห็นภาพนี้ ดวงตาพลันฉายแววโหดเหี้ยม มือหนึ่งกำด้านพัดของพัดขนนกสีดำ พัดไปด้านหน้าอย่างรุนแรง


เสียงฟู่ดังขึ้นหนึ่งหน!


เปลวเพลิงดำสนิทสายหนึ่งโถมออกมาจากบนพัด ต่อจากนั้นเปลวเพลิงพลันรวมตัวอยู่ตรงกลางกลายเป็นหงส์เพลิงสีดำขนาดหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่ง หลังมันโต้ลมก็ขยายขึ้นจนใหญ่สิบกว่าจั้ง ลากขนหางยาวสองเส้นประจันหน้าเข้าใส่ลำแสง


…….


เวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยให้หลัง บุรุษชุดม่วงเจ็ดคนล้วนหายตัวไปไร้ร่องรอย จุดที่พวกเขาเคยยืนอยู่ปรากฏรอยไหม้สีดำสนิทขนาดมหึมาราวหนึ่งหมู่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งจุด


เซียนหงส์ดำมองรอยไหม้ที่อยู่ไกลๆ แล้วอ้าปากเล็กน้อย บนหน้ายังคงหลงเหลือสีหน้าตกใจอยู่ มู่หรงเซวี่ยเยวี่ยด้านข้างยกแขนขึ้นเล็กน้อย ไอหมอกสีเทาขมุกขมัวสายแล้วสายเล่าไหลเข้าไปตรงข้อมือของเขา ทำให้ผิวของโซ่เส้นน้อยสว่างขึ้นหลายส่วนในทันใด


งานประตูสวรรค์ดำเนินมาจนถึงตอนนี้ ผู้ฝึกฝนของแต่ละนิกายแต่ละสำนักล้วนสั่งสมโชคชะตามาได้ไม่น้อยแล้ว ความขัดแย้งระหว่างกันยิ่งมากขึ้นทุกทีจนกลายเป็นบ่อยครั้งอย่างที่สุด สืบเนื่องจากเรื่องนี้ชื่อที่หม่นแสงหายไปจากบนป้ายศิลาโชคชะตานอกแดนลึกลับก็ยิ่งมากขึ้นจนหายไปเกือบหนึ่งในสองส่วนแล้ว


…….


ในแดนลึกลับ หน้าหอคอยศิลามหึมาที่ด้านนอกดูเก่าแก่แห่งหนึ่ง บนศิลายักษ์ขาวสะอาดไร้ตำหนิก้อนหนึ่ง ค่ายกลขนาดใหญ่หนึ่งจั้งกว่าค่ายกลหนึ่งถูกแสงสีเงินจางๆ ล้อมไว้ รอบด้านค่ายกลมีช่องว่างขนาดเท่าไข่ไก่สี่ช่องที่ส่องแสงจิตวิญญาณจางๆ อยู่


ที่แห่งนี้เห็นชัดว่าคือดินแดนมรดกแห่งหนึ่งเช่นกัน เพียงแต่ดูแล้วขนาดไม่ใหญ่นัก


รอบด้านค่ายกลบนศิลายักษ์ บุรุษผู้ปกปิดหน้าตา สวมชุดยาวสีเขียวปักภาพสัญลักษณ์งูยักษ์สีแดงฉานสองคนกับชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ผู้เปลือยท่อนบน ท่อนล่างพันหนังอสูรสองคนกำลังถือเศษชิ้นส่วนมรดกที่ทอประกายสีเงินชิ้นหนึ่งอยู่ในมือ ยืนกระจายกันอยู่ ไม่ไกลจากพวกเขาศพที่เลือดเนื้อเละเทะสิบห้าสิบหกร่างทอดนอนนิ่งสงบ สภาพการตายอนาถจนทนดูไม่ได้


“เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้อุปสรรคถูกกำจัดแล้ว เช่นนั้นก็รีบเปิดมรดกเถอะ เวลาเหลืออยู่ไม่มากแล้ว” บุรุษผู้สวมชุดอสรพิษคนหนึ่งเอ่ยเสียงเข้มด้วยเสียงแหบพร่าอย่างยิ่ง


“จำไว้ล่ะว่าต้องทำตามที่พวกเราสองนิกายตกลงก่อนหน้านี้ มรดกที่ได้ แบ่งกันสามส่วนเจ็ดส่วน พวกเรานิกายสามพนาได้เจ็ดส่วน พวกเจ้านิกายภูตพรายได้สามส่วน!” ชายฉกรรจ์เคราเฟิ้มเท้าเปลือยเปล่าผู้หนึ่งอ้าปากเอ่ยด้วยเสียงกังวานประหนึ่งระฆัง


“รู้แล้ว เข้าไปก่อนค่อยว่ากันก็ไม่สาย!” บุรุษผู้ปิดบังใบหน้าเสียงแหบพร่าคนหนึ่งฝั่งตรงข้ามได้ยินก็รีบร้อนทนรอไม่ไหวอยู่บ้าง


ขณะที่ทั้งสี่คนโยนเศษชิ้นส่วนในมือไปในค่ายกล เงาเลือนรางที่ถูกแสงสีแดงหุ้มไว้ร่างหนึ่งพลันพุ่งเร็วรี่ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งใกล้ๆ ชั่วพริบตาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าคนทั้งสี่ ในเวลาเดียวกันแสงสีแดงแถบหนึ่งก็ส่องออกมาจากร่างพุ่งออกไปสี่ด้านแปดทิศ


เสียงชือๆ ดังขึ้นกลางอากาศ แสงเรืองรองสีแดงฉานประหนึ่งสายฟ้าแลบแล่นผ่านบนร่างทั้งสี่คนไป


บุรุษผู้ปิดบังใบหน้าสวมชุดอสรพิษสองคนรวมถึงชายฉกรรจ์เท้าเปล่าอีกคนหนึ่งไม่ทันป้องกัน ปราณแกร่งคุ้มครองร่างถูกแสงแดงฉานฟันทีเดียวสลาย ล้มโครมลงไปกับพื้นพร้อมกัน ตรงลำคอเลือดสดไหลทะลัก เห็นชัดว่าถูกฟันทีเดียวขาด


โซ่แห่งโชคชะตาบนข้อมือของพวกเขาแตกสลายตาม ไอหมอกสีเทาหลายสายลอยออกมาทยอยม้วนเข้าไปในแสงสีเลือด


ชายฉกรรจ์เคราเฟิ้มผู้นั้นในชั่วเส้นยาแดงผ่าแปดเร่งเคลื่อนร่างหลบแสงสีแดงพ้นอย่างหวุดหวิด แต่บนใบหน้าก็ทิ้งรอยฟันเล็กยาวรอยหนึ่งไว้ ด้วยความตกตะลึงและเกรี้ยวโกรธเขารีบเคลื่อนพลังเวทในร่าง สร้างเกราะป้องกันสีแดงฉานอันหนึ่งรอบร่างแล้วตวาดเกรี้ยวกราดเสียงดัง


“ผู้ใดกล้าลอบโจมตีข้า…”


ผลปรากฏว่ายังไม่ทันสิ้นเสียง แสงเรืองรองสีแดงฉานประหลาดก็ซัดมา แล่นผ่านตรงลำคอของชายฉกรรจ์เคราเฟิ้มด้วยความเร็วที่เร็วยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ เกราะป้องกันที่ล้อมร่างเขาประหนึ่งไม่มีอยู่ถูกโจมตีทีเดียวทลายอีกหน


เสียงเปรี้ยงดังขึ้น!


บนใบหน้าของชายฉกรรจ์เคราเฟิ้มเต็มไปด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ เขาอ้าปากเอ่ยวาจาฟังไม่ชัดสองสามคำในลำคอ จากนั้นหงายล้มตึงไปกับพื้น


เวลานี้เสียงถอนหายใจแผ่วเบาก็ดังออกมาจากแสงสีแดง ชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาผู้หนึ่งเดินออกมาช้าๆ


“ขออภัยทั้งสี่ท่านด้วย แม้ผู้แซ่หลี่ไม่มีความแค้นใดๆ กับพวกท่าน แต่เพื่อความรุ่งเรืองของตระกูลในภายภาคหน้าก็ได้แต่เอาชีวิตของพวกท่านแล้ว” ชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาประสานมือคำนับศพของพวกเขาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้านิ่งสงบ


เวลานี้ค่ายกลที่ใส่เศษชิ้นส่วนมรดกสี่ชิ้นเข้าไปแล้วฉับพลันก็เปล่งแสงสีเงินสว่างจ้า สายใยสีเงินสายแล้วสายเล่าพุ่งขึ้นมาจากตรงกลางรวมตัวกลายเป็นลูกบอลหมอกสีเงินขนาดหนึ่งจั้งกว่าลูกหนึ่งกลางอากาศเหนือศิลายักษ์ ลูกบอลหมอกกะพริบวิบวับสองสามหนก็บินไปยังประตูใหญ่ของหอคอยศิลาจากนั้นจมหายไปในประตูใหญ่ในทันใด


นาทีต่อมาลวดลายจิตวิญญาณสีเงินรูปร่างคล้ายอสรพิษนับไม่ถ้วนบนประตูก็ส่องสว่าง จากนั้นเสียงเปรี้ยงดังสนั่นก็ดังขึ้นหนึ่งหน ประตูใหญ่เปิดออก


ชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาเห็นเช่นนี้ มือข้างหนึ่งก็ยกขึ้น หลังแสงสีแดงฉานสายหนึ่งเก็บยันต์เก็บของและของอื่นๆ ของทั้งสี่คนไป เขาก็กลายเป็นเงาสีแดงพร่ามัวเงาหนึ่งพุ่งเร็วรี่เข้าไปในประตูใหญ่ของหอคอยศิลา


…….


บนทุ่งหญ้ากว้างซึ่งมองไปไร้ที่สิ้นสุด ท้องฟ้าสีครามสะอาด เมฆขาวก้อนแล้วก้อนเล่า มองจากที่สูงทำให้คนรู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง


มุมหนึ่งของทุ่งหญ้าอันเงียบสงบแห่งนี้ เงาคนที่แบ่งเป็นสองกลุ่มอย่างชัดเจนสิบกว่าร่าง ประจันหน้ากันอยู่ไกลๆ บรรยากาศตึงเครียดอย่างที่สุด


ฝั่งหนึ่งคือคนห้าหกคนที่ศีรษะสวมขนนก ร่างห่มชุดหนังสัตว์ แต่งกายประหนึ่งเผ่าหมาน อีกฝั่งหนึ่งเป็นผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจสิบคนที่ไอปีศาจท่วมท้น หน้าตาแตกต่างกันไป


“สหายทั้งหลาย พวกเราฝั่งนี้มีถึงสิบคน พวกเจ้ามีเพียงหกคนเท่านั้น ในงานประตูสวรรค์เวลาล้ำค่ายิ่งนัก จะสู้เอาเป็นเอาตายกับพวกเราให้ได้จริงหรือ?” ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจด้านนี้ เผ่าปีศาจที่หน้าตาดั่งหนูไว้เครายาวเอ่ยขึ้นอย่างคุกคาม


“เหอะ! หากสั่งสมโชคชะตาได้อันดับรั้งท้ายในงานประตูสวรรค์นี้ เผ่าของพวกเราจักต้องพบภัยครั้งใหญ่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไม่สู้ตัดสินเป็นตายที่นี่เสียก่อน แย่งโชคชะตากลับไปเพิ่มขึ้นหน่อย เช่นนี้ความรุ่งเรืองร้อยปีของเผ่าเราถึงจะเริ่มต้นขึ้นตรงนี้ได้”


ชายหนุ่มบึกบึนเผ่าหมานผู้เป็นหัวหน้าแค่นเสียงหยันตอบกลับ ต่อจากนั้นมือข้างหนึ่งก็ตบเอวอย่างไม่รีรอสักนิด แสงสีเทาสามสายม้วนออกมาจากข้างเอวแปลงกายกลายเป็นหมาในสีเทาขนาดสองสามจั้งสามตัว เขี้ยวยาวเผยออกมาด้านนอก ดวงตาสีเขียวเรืองๆ จ้องเผ่าปีศาจฝั่งตรงข้ามเขม็ง


เผ่าหมานคนอื่นเห็นเช่นนี้ก็พากันสะบัดแขนเสื้อปล่อยอสูรเลี้ยงนานาชนิดออกมาด้วย หนอน อสรพิษ เสือ เสือดาวล้วนมีทั้งสิ้น รวมเข้าด้วยกันมีมากถึงสามสี่สิบตัว เมื่อรวมกันแล้ว อำนาจน่าหวั่นเกรงยิ่งนัก


“ฮ่ะๆ เล่นอสูรเลี้ยงต่อหน้าพวกเรา น่าขำจริงๆ ในเมื่อสุราคารวะไม่ดื่มจะดื่มสุราลงทัณฑ์ ถ้าเช่นนั้นก็อย่าโทษข้าไม่เตือนเจ้า พี่น้องทั้งหลาย พวกเราบุก!”


เมื่อเห็นว่าเจรจาล้มเหลว เผ่าปีศาจหน้าหนูก็ไม่สิ้นเปลืองคำพูดอีก รอบร่างไอปีศาจสีเทาพวยพุ่งออกมาฉับพลันกลายร่างเป็นหนูตะเภายักษ์ขนาดสิบกว่าจั้งตัวหนึ่ง สองตาทอประกายแดงฉาน โถมไปด้านหน้าพุ่งเข้ากัด


ด้านหลังร่างเขาไอปีศาจนานาสีสันผุดขึ้นตามต่อกัน ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่เหลือเก้าคนพากันกึ่งกลายร่างเป็นปีศาจหรือเผยร่างเดิม พุ่งเร็วรี่เข้าใส่หกคนเบื้องหน้าตามหนูตะเภาไปติดๆ เช่นเดียวกัน


ชั่วขณะหนึ่งบนท้องฟ้าเหนือทุ่งหญ้าเวิ้งว้างที่เดิมทีเงียบสงบ หมอกแสงนานาสีสันพุ่งขึ้นฟ้า เสียงดังสนั่น เสียงเข่นฆ่า เสียงกรีดร้องสะเทือนฟ้าดังลอยล่องออกไปไกลโพ้นไม่ขาด


……


ลึกเข้าไปในเขาวงกตอุโมงค์หินเขียว หลิ่วหมิงเข้ามาในเขาวงกตแล้วสองชั่วยาม


หลิ่วหมิงเวลานี้ยังคงหาทางออกจากเขาวงกตไม่พบ ถึงขั้นที่ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกร้อนรนจิตใจไม่สงบ


เขาวงกตทั้งหมดแรกเริ่มยังนับว่าธรรมดา เขาอาศัยพลังจิตอันแข็งแกร่งกับความเร็วอันว่องไว ดันทุรังจดจำทางแยกก่อนหน้าแล้วตัดออกทีละอันๆ ก็คล้ายจะแก้เขาวงกตไปได้ค่อนครึ่งแล้ว


ทว่าต่อมาเมื่ออุโมงค์หินเขียวปรากฏขึ้นมากขึ้นทุกที แม้จิตสัมผัสของเขาจะแข็งแกร่งก็ไม่ไหวเช่นกัน


ตอนนี้เขายืนพักเท้าอยู่ตรงอุโมงค์ทางแยกสามทางแห่งหนึ่ง สีหน้าเริ่มย่ำแย่อยู่บ้าง


จากความทรงจำในสมองของเขา เบื้องหน้าสมควรมีทางแยกคดเคี้ยวสองทางถึงจะถูก


“เป็นอย่างที่คิด เขาวงกตแห่งนี้ทุกช่วงเวลาหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตลอด” หลิ่วหมิงพึมพำแล้วยิ้มเจื่อนๆ


อยู่ต่อหน้าเขาวงกตที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความจำของเขาดีขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์


“นายท่าน ไม่สู้ให้เซียเอ๋อร์ลองดูเถิด บางทีข้าอาจหาทางออกจากเขาวงกตนี้พบ!”


ขณะที่หลิ่วหมิงลังเลอยู่นั่นเอง ในถุงหนังถุงหนึ่งข้างเอวพลันมีเสียงใสกังวานรื่นหูของหญิงสาวดังออกมา


“อ้อ เซียเอ๋อร์ เจ้ามีวิธีดีๆ อันใด?” หลิ่วหมิงได้ยิน สองตาพลันเป็นประกาย


“นายท่าน ท่านลืมเสียแล้วหรือว่าตอนนี้ข้ามีพลังควบคุมพลังงานธาตุดิน ในเมื่อที่นี่อยู่ลึกลงมาใต้ดิน สัมผัสของข้าจึงเฉียบคมยิ่งกว่าปกติมาก บางทีใช้ประโยชน์จากจุดนี้อาจหาทางออกพบ ก่อนหน้านี้เซียเอ๋อร์อยู่ในถุงจึงไม่อาจสำแดงพลังนี้ได้เต็มที่” เซียเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ เอ่ยบอก


“ในเมื่อเจ้าเชื่อมั่นในตนเองเช่นนี้ เช่นนั้นตอนนี้ก็ลองดูก่อนเถิด” หลังหลิ่วหมิงครุ่นคิดชั่วครู่ก็พยักหน้า มือข้างหนึ่งตบข้างเอว ไอหมอกสีดำสายหนึ่งม้วนออกมาหมุนติ้วเบื้องหน้าร่างจากนั้นรวมตัวกันเผยสตรีชุดตาข่ายสีดำรูปร่างเพรียวระหงคนหนึ่งออกมา


“นายท่าน โปรดรอสักครู่”


หลังสตรีผู้งดงามยิ้มหวานให้หลิ่วหมิงก็ลงไปนั่งขัดสมาธิ หลับตาสองข้าง ปากเอ่ยท่องมนตร์


หลังจากนั้นครู่หนึ่งบนร่างของนางพลันปรากฏเพลิงปราณสีเหลืองจางๆ ชั้นหนึ่งเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ นิ่งสงบราบเรียบ แลดูเชื่องอ่อนโยนอย่างยิ่ง


พริบตาที่เพลิงปราณสีเหลืองปรากฏ หลิ่วหมิงก็เลิกคิ้วสองข้างขึ้น


เขาสัมผัสได้เลือนรางว่ามีคลื่นพลังเวทธาตุดินวงแล้ววงเล่าขยายออกมาจากเพลิงปราณสีเหลืองที่ไม่สะดุดตาสักนิดนี้


ชั่วครู่ให้หลังเซียเอ๋อร์พลันลืมตาสองข้างขึ้น ทันใดนั้นเพลิงปราณสีเหลืองอ่อนบนร่างก็ผนึกรวมหน้าร่างนางกลายเป็นเงาแมงป่องกระดูกสีน้ำตาลทองตัวหนึ่ง มันสูงถึงสามจั้ง แทบจะแตะถูกเพดานอุโมงค์


ในดวงตาหลิ่วหมิงฉายประกายประหลาด เขาเพิ่งเคยเห็นแมงป่องกระดูกใช้พลังเช่นนี้เป็นครั้งแรก ชั่วความคิดแล่นร่างกายเขาก็ไหววูบมาปรากฏตรงหน้าร่างเงาแล้วยื่นนิ้วออกมาจิ้ม


นิ้วจมลงไปในเงาอย่างง่ายดาย แตะไม่ถูกมวลสารอันใด ตรงปลายนิ้วสัมผัสความอบอุ่นจางๆ สายหนึ่งไหลผ่านไป


หลังเซียเอ๋อร์ผนึกเงาแมงป่องสีน้ำตาลทองตัวนี้ออกมา บนหน้าก็ฉายแววเหนื่อยล้าเล็กน้อย ดูแล้วกินแรงไปหลายส่วน


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ คิดก็ไม่คิดรั้งนิ้วกลับมา จากนั้นมืออีกข้างหนึ่งใช้เคล็ดวิชา สะบัดมือส่งพลังเวทบริสุทธิ์สายหนึ่งเข้าไปในร่างนาง


เมื่อได้ความช่วยเหลือของหลิ่วหมิง สีหน้าของเซียเอ๋อร์ก็นับว่าดีขึ้นอยู่บ้าง มือข้างหนึ่งแตะตรงกลางหว่างคิ้ว สองตาฉับพลันเปล่งแสงสีเหลืองขมุกขมัว


เงาแมงป่องกระดูกยักษ์คล้ายได้รับคำสั่ง ขาทั้งหกเคลื่อนพร้อมกันพุ่งดังฟึบไปยังทางแยกเบื้องหน้า


ตอนที่ 797 ผ่านด่าน

Ink Stone_Fantasy

ครู่ต่อมา เรื่องที่ทำให้หลิ่วหมิงตกตะลึงก็บังเกิด!


พริบตาที่แมงป่องยักษ์ตัวนี้พุ่งไปถึงทางแยก ทันใดนั้นมันก็พร่าเลือนวูบหนึ่งแล้วแบ่งร่างกลายเป็นเงาร่างที่เหมือนกันทุกประการแต่ขนาดหนึ่งในสามของก่อนหน้านี้สามตัว จากนั้นพุ่งต่อไปยังทางที่ต่างกัน ที่ทางแยกต่อไปก็แยกร่างออกเป็นอีกหลายตัวมุ่งหน้าต่อไปอีก


เป็นเช่นนี้จากหนึ่งเป็นสาม จากสามเป็นเก้า ไม่นานนักเงาแมงป่องทั้งหมดก็หายลึกเข้าไปในอุโมงค์ไม่เห็นร่องรอย


“ที่แท้เป็นแบบนี้เอง!”


ตอนนี้หลิ่วหมิงเพิ่งเข้าใจขึ้นมาบ้าง ในที่สุดบนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา


เซียเอ๋อร์ในเวลานี้ ดวงตาทางผลซิ่งเบิกโตจนกลม เพ่งมองเบื้องหน้าไม่กะพริบ ส่วนร่างกายก็นั่งหลังตรงนิ่งไม่กระดิกอยู่ที่เดิม พื้นดินใกล้ๆ มีแสงสีเหลืองอ่อนสายแล้วสายเล่าผุดออกมาแล้วจมลงไปในร่างนางเป็นระยะ


เวลาเคลื่อนผ่านไปทีละน้อย ใบหน้าของหญิงสาวซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ ปราณบนร่างก็เริ่มไม่มั่นคงอ่อนแรงเป็นพักๆ


หลิ่วหมิงอดไม่ได้เผยสีหน้ากังวลใจ


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดสตรีชุดตาข่ายสีดำก็ครางออกมาพลางหลับดวงเนตรงามลง ทั้งร่างสั่นระริกลุกขึ้นยืน เมื่อนางลืมดวงเนตรงามขึ้นอีกครั้ง บนใบหน้าซีดขาวผิดปกติก็ประดับรอยยิ้มยินดี


แทบจะในเวลาเดียวกัน เงาแมงป่องจิ๋วที่แยกร่างจนเหลือขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือทั่วทุกมุมของเขาวงกตทั้งหมดก็ระเบิดดังปังกลายเป็นปราณสีเหลืองก้อนแล้วก้อนเล่าสลายหายไปเช่นนี้


“นายท่าน ตามข้ามาเถิด ข้าหาทางออกพบแล้ว”


เสียงของหญิงสาวเพิ่งเอ่ยจบ ร่างกายก็ขยับไหวกลายเป็นเงาสีเหลืองกลุ่มหนึ่งเหาะไปยังอุโมงค์สายหนึ่งเบื้องหน้า


หลิ่วหมิงดีใจยิ่งนัก ตามไปติดๆ อย่างยินดี


ครึ่งเค่อต่อมาหลังเขาเลี้ยวไปเลี้ยวมาหลายหนตามที่เซียเอ๋อร์นำทางอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็เห็นสุดปลายอุโมงค์เส้นหนึ่งคือทางออกที่ส่องแสงสีขาว


“เซียเอ๋อร์ ครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้ว รีบพักผ่อนเถิด” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็ผ่อนคลายลง หันหน้าไปสั่งสตรีชุดตาข่ายสีดำด้านข้างคำหนึ่ง


เซียเอ๋อร์ขานรับเบาๆ คำหนึ่งก็กลายเป็นปราณสีดำสายหนึ่ง ลอยเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวหลิ่วหมิงอีกครั้ง


เวลานี้หลิ่วหมิงจึงเพ่งสายตาประเมินทางออกที่อยู่ไม่ไกลอีกหลายครั้งถึงก้าวยาวเดินเข้าไป


ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเบื้องหน้าเขาล้วนสว่างจ้า หลังจากนั้นเขาก็โผล่มายังลานกว้างมหึมาสักแห่ง


ลานแห่งนี้ค่อนข้างกว้างขวาง ขนาดราวหลายหมู่ นอกจากทางออกที่ตนออกมายังมีทางออกอีกสองทาง บนอุโมงค์ทั้งสามต่างมีสัญลักษณ์ เหนือทางออกด้านหลังร่างสลักภาพสัญลักษณ์ดวงดาราภาพหนึ่งไว้ อีกสองทางคือจันทราสว่างดวงหนึ่งกับพระอาทิตย์ดวงหนึ่ง


สัญลักษณ์เหล่านี้เห็นชัดว่าสอดคล้องกับอุโมงค์ทั้งสามที่เลือกตอนแรก


พื้นลานปูด้วยหินเขียวขนาดหนึ่งจั้งกว่าเหมือนเขาวงกตที่เดินทางผ่านมาก่อนหน้านี้ บนพื้นตรงกลางลานกว้างรางร่องสีทองอ่อนเส้นแล้วเส้นเล่าเห็นได้ชัดเจน มองไกลๆ เห็นชัดว่าวาดเป็นค่ายกลรูปวงกลมใหญ่ถึงสิบกว่าจั้งค่ายกลหนึ่ง


เวลานี้บนค่ายกลส่องแสงรัศมีครึ่งดำครึ่งขาว นอกจากนี้แสงสีดำกำลังค่อยๆ เจิดจ้าขึ้น ทำให้แสงสีขาวลดน้อยลงอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่ตาเปล่ามองเห็นได้


หลิ่วหมิงครุ่นคิดขณะจับจ้องค่ายกลและเผยสีหน้าใคร่ครวญ


ในเวลานี้เองเสียงฟึบก็ดังขึ้น ตรงทางออกที่มีสัญลักษณ์พระอาทิตย์เงาสีม่วงร่างหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกมา หลังกะพริบวูบหนึ่งก็หยุดไม่ไกลจากด้านข้างค่ายกล


หลังแสงสีม่วงดับลง คนข้างในกลับเป็นบุรุษผมม่วงแห่งหอเป๋ยโต่ว


“เจ้าเองหรือ? …ดียิ่ง ดียิ่ง”


บุรุษผมม่วงเห็นว่ามีคนออกจากเขาวงกตมาได้ก่อนหน้าเขาก็เผยสีหน้าคิดไม่ถึงออกมาในทันใด สายตากวาดมองสถานการณ์รอบด้านอย่างรวดเร็ว


หลังเขาเห็นว่าที่แห่งนี้มีเพียงเขากับหลิ่วหมิงสองคน ลูกตาก็กลอกไปมาเล็กน้อย เอ่ยพึมพำสองสามประโยคพร้อมกับที่บนใบหน้าเผยสีหน้าเหี้ยมเกรียมทันที ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ มีดสั้นสีม่วงยาวหนึ่งฉื่อกว่าที่แผ่ประกายเย็นเยียบจางๆ เล่มหนึ่งบินออกมา


“ที่แท้ท่านคิดจะประลองฝีมือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ผู้แซ่หลิ่วก็ยินดีเป็นคู่มือ” หลิ่วหมิงเห็นสภาพเช่นนี้ ไหนเลยยังไม่รู้ว่าบุรุษผมม่วงหมายสิ่งใด แม้ในใจหวั่นอยู่เล็กน้อย แต่บนหน้ากลับยิ้มไม่โกรธ


สายตาของเขาฉับพลันเย็นเยียบ กระตุ้นเคล็ดวิชาอย่างไม่เกรงใจสักนิด พลังเวทในร่างเอ่อล้นไม่ขาดสายออกมาจากผลึกหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ด จากนั้นแทรกเข้าไปในกระบี่บินว่างเปล่าที่ลอยอยู่ในทะเลจิตรับรู้


เสียงฟึบดังขึ้นทีหนึ่ง!


กระบี่เล็กสีทองเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางหว่างคิ้วของหลิ่วหมิงแล้วลอยนิ่งอยู่เบื้องหน้าร่าง


บุรุษผมม่วงเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง มือข้างหนึ่งชักมีดสั้นเบื้องหน้าร่างเสือกออกไปทีหนึ่ง


เสียงแหวกอากาศดังก้อง!


มีดสั้นพุ่งเร็วรี่ออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นรุ้งน่าตะลึงสีม่วงยาวสิบกว่าจั้ง ซัดเข้ามาหาหลิ่วหมิงอย่างทรงพลังดุดัน


จุดที่รุ้งน่าตะลึงพาดผ่าน กลางอากาศคล้ายถูกแช่แข็ง ส่งเสียงกรีดแหลมดังเปรี๊ยะๆ ออกมา


หลิ่วหมิงแค่นเสียงหยันคำหนึ่งแล้วใช้เคล็ดวิชาด้วยมือข้างเดียว กระบี่เล็กสีทองพร่าเลือนวูบหนึ่งกลายเป็นรุ้งสีทองยาวสิบกว่าจั้งประจันเข้าใส่อีกฝ่าย


เสียงเปรี้ยงดังขึ้นหนึ่งหน!


รุ้งบินสีทองกับรุ้งน่าตะลึงสีม่วงปะทะกันอย่างรุนแรง แสงสว่างสีทองกับสีม่วงสองสีส่องสว่างไม่หยุด ปราณจิตวิญญาณปะทะกันอย่างรุนแรงพักหนึ่ง พายุสีทองและสีม่วงลูกหนึ่งก็พัดหวีดหวิวพุ่งขึ้นฟ้า ด้านในแสงสว่างแสบตาพุ่งออกมาประหนึ่งอสรพิษแสงขนาดยักษ์สองตัวกำลังรัดพันขย้ำกันไม่หยุด


เสียงดังสนั่นดังขึ้นอีกหน!


พายุหมุนระเบิดออก มีดสั้นสีม่วงกับกระบี่บินสีทองต่างบินออกมาจากคลื่นปราณ พุ่งถอยกลับมาหาทั้งสองคน


การโจมตีนี้ทั้งสองเสมอกัน


บุรุษผมม่วงเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาอย่างอดไม่ได้!


“ก่อนหน้านี้ก็รู้แล้วว่ากระบี่บินพลังจิตวิญญาณของท่านไม่อาจดูแคลนได้ วันนี้นับว่าได้รับการสั่งสอนอย่างแท้จริงแล้ว ถ้าเช่นนั้นกระบวนท่าต่อไป ท่านลองรับดูอีกสักหน!”


บุรุษผมม่วงเอ่ยอย่างเย็นชา ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็ใช้เคล็ดวิชาอีก ลวดลายจิตวิญญาณประหลาดสีเหลืองกับสีดำสองสีปรากฏขึ้นบนใบหน้า แผ่นหลังส่งเสียงดังฟู่ทีหนึ่งก็ปรากฏเงาผีดุร้ายเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ร่างหนึ่งออกมา


เงาผีนี้สูงถึงสิบกว่าจั้ง สองขาลอยอยู่กลางอากาศประหนึ่งไร้กระดูก บนร่างสีเหลืองกับสีดำสองสีขนาบคู่กัน ตรงหน้าอกมีรูสีดำสนิมรูเบ้อเริ่มรูหนึ่งอยู่


นอกเหนือจากนี้ศีรษะผีก็มหึมาอย่างที่สุด ขนาดเท่ากับครึ่งร่าง ดวงตาสีแดงดั่งโลหิต ปากกว้างสีเลือดครึ่งอ้าครึ่งหุบ เขี้ยวยาวสีดำเผยออกมาข้างนอก ดูไปแล้วดุร้ายน่าหวาดกลัวยิ่งนัก


ผีดุร้ายเช่นนี้ หลิ่วหมิงเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ในใจไม่กล้าดูแคลนแม้สักนิด ไม่พูดพร่ำก็กระตุ้นวิชา ปราณดำบนร่างถาโถมพุ่งขึ้นฟ้า ชั่วครู่ผนึกรวมเป็นมังกรหมอกสีดำดุร้ายไม่ธรรมดาหลายตัวออกมา แต่ละตัวยาวเจ็ดแปดจั้ง พวกมันแยกเขี้ยวสะบัดกรงเล็บกลางท้องฟ้า บินวนเวียนพ่นหมอก พลังน่าตะลึงยิ่งนัก!


“เหอะ แค่วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬกระจอกๆ ก็คิดจะสู้กับข้า!” บุรุษผมม่วงมองวิชาที่หลิ่วหมิงใช้ออกทันที เขาคำรามหยันอย่างดูแคลน เคล็ดวิชาในมือเปลี่ยนไปทันทีกระตุ้นให้เงาผีด้านหลังลงมือ


ทว่านาทีนี้เองตรงปากอุโมงค์อีกอุโมงค์หนึ่งแสงสีเงินสายหนึ่งก็ฉายออกมา ด้านในหุ้มเงาคนเลือนรางร่างหนึ่งไว้ เห็นชัดว่าเป็นบุรุษหน้าเหยี่ยวของหุบเขาปีศาจสวรรค์


เขาปรากฏตัวปุบ หลังร่างพลันมีแสงสีทองอีกสายหนึ่งตามออกมาติดๆ แล้วหักเลี้ยวกะทันหันกลางทาง หยุดห่างจากบุรุษหน้าเหยี่ยวสิบกว่าจั้ง


ชายหนุ่มรถเงินของนิกายเทียนกงผู้นั้นนั่นเอง


ทั้งสองคนหยุดลำแสง เมื่อเห็นตรงหน้ากำลังจะลงมือใหญ่โตกันก็ล้วนตะลึงเล็กน้อย จากนั้นต่างทำสีหน้าประหลาด


ในดวงตาของชายหนุ่มรถเงินฉายแววระวัง ในมือฉับพลันลอบจับลูกบอลกลมของหุ่นหลายลูกไว้


บุรุษหน้าเหยี่ยวกลับหัวเราะแล้วไขว้มือไพล่หลัง ท่าทางรอชมเรื่องสนุก


“ฮ่ะๆ ในที่สุดก็มีคนมาอีกแล้ว ข้ากับสหายหลิ่วเบื่ออยู่บ้างจึงแลกเปลี่ยนฝีมือกันก่อนสักหน่อย”


บุรุษผมม่วงเห็นว่ามีคนมาอีก คิ้วก็ขมวด หลังจากมองดูหลิ่วหมิงฝั่งตรงข้ามอีกหน เขาก็กะพริบตาจากนั้นหัวเราะพลางกางสองแขนออก สลายวิชาไปเอง เงาผีมหึมาหลังร่างสลายกลายเป็นควันสีดำสายแล้วสายเล่าตามไปด้วย


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะเบาๆ ไม่เอ่ยตอบอันใด แต่เคล็ดวิชาที่มือเปลี่ยนไป มังกรหมอกที่บินวนอยู่เหนือศีรษะทั้งหมดระเบิดออกเองในพริบตา จากนั้นปราณดำก็ม้วนเก็บกลับมาในร่าง


 “ที่แท้เป็นเช่นนี้ แต่โชคดีที่ทั้งสองท่านสู้กันอยู่ที่นี่ พวกข้าสองคนถึงรับรู้คลื่นปราณจิตวิญญาณนำทางจนตามหาทางออกพบรวดเร็วเช่นนี้” ชายหนุ่มรถเงินเห็นเช่นนี้ แม้ในใจรู้กระจ่างว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นแต่ยังคงยิ้มเล็กน้อย หาวทีหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น


“ในเมื่อพวกเรามาถึงแล้ว คนอื่นก็น่าจะใกล้แล้วเช่นกัน” บุรุษหน้าเหยี่ยวเอ่ยเช่นนี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย


ทั้งสี่คนมองหน้ากันหนหนึ่งจากนั้นต่างคนต่างนั่งลงกับพื้นไม่เอ่ยวาจาอีก เริ่มรอคอยอย่างเงียบๆ


ไม่ผิดจากที่คาด เวลาหนึ่งก้านธูปให้หลัง ลำแสงสีดำกับสีเงินสองสายพลันแล่นออกมาจากทางออกพระอาทิตย์ หลัวเทียนเฉิงกับชายหนุ่มอัปลักษณ์นิกายปีศาจลี้ลับผู้นั้นนั่นเอง


เวลาผ่านไปอีกชั่วหนึ่งมื้ออาหาร ในอุโมงค์อีกเส้นหนึ่ง สตรีชุดเขียวของสำนักเฮ่าหรานก็ก้าวออกมา


มีเพียงอุโมงค์ด้านหลังร่างหลิ่วหมิงที่เผิงเยวี่ยกับสองพี่น้องโอวหยางไม่ออกมาเลย นอกจากนี้เซวียผานคนผู้นี้ก็ไร้ร่องรอยเช่นกัน


คิดแล้วก็ถูก ภาพสัญลักษณ์เจ็ดกลุ่มดาวมังกรครามนี้ไหนเลยจะเป็นสิ่งที่บรรลุกันง่ายดายปานนั้น หากไม่ใช่หลิ่วหมิงอาศัยพลังแห่งแม่เหล็กดาราเดาคลำทาง จะมาถึงที่นี่ได้หรือไม่ก็ยังไม่ทราบ


นอกจากนี้เซวียผานก็เห็นชัดว่าไม่อาจผ่านด่านแรกได้


เวลานี้ค่ายกลมหึมากลางลานกว้างกว่าครึ่งถูกสีดำปกคลุม ส่วนสีขาวเห็นชัดว่าเหลือเพียงไม่ถึงหนึ่งในห้าแล้ว


หลังรออีกราวจิบชาหนึ่งถ้วย ค่ายกลขนาดมหึมาก็ถูกสีดำปกคลุมทั้งหมด


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็ทอดถอนใจเล็กน้อย


ในเวลาเดียวกันนี้ ค่ายกลดำสนิทประหนึ่งหมึกฉับพลันแสงสีทองสว่างจ้า ทางออกของอุโมงค์ทั้งสามเส้นไหวเล็กน้อย จากนั้นหายวับไปกลางอากาศ


ตามมาด้วยท้องฟ้าเหนือค่ายกลพลันปรากฏแสงสีทองจุดแล้วจุดเล่าออกมา ผนึกรวมกลายเป็นอักษรตัวเล็กสีทองสองแถวอย่างรวดเร็ว


“หลังค่ายกลทำงาน ผู้ที่นั่งสงบด้านในเป็นเวลามากกว่าหนึ่งเค่อจะได้เข้าสู่ด่านต่อไป”


ขณะที่ทุกคนเงยหน้ามองอักษรสีทองบรรทัดนี้ บึงน้ำบางแห่งที่อยู่ในโถงใหญ่ฉับพลันก็ดำสนิท


พี่น้องโอวหยางรวมถึงเผิงเยวี่ยที่ยังคงตรากตรำบรรลุอยู่ริมบึงน้ำตกใจทันที พวกเขาต่างลุกขึ้นยืน


ในตอนนี้เองผิวน้ำใจกลางบึงแสงดาวก็สว่างจ้า ดวงดาราวิบวับนับไม่ถ้วนปรากฏออกมาจากข้างในส่องพี่น้องโอวหยางกับเผิงเยวี่ยสามคนประหนึ่งร่างกายตกอยู่กลางทางช้างเผือกบนท้องฟ้ายามค่ำคืน


ทั้งสามคนพร่าเลือนแล้วหายไปท่ามกลางแสงดาวระยิบระยับ


พวกนางเห็นเพียงภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนไป ชั่วขณะที่มึนงงก็มาโผล่ในห้องศิลาไม่ใหญ่สักแห่ง


ทั้งสามคนรีบร้อนกวาดสายตา


บนโต๊ะศิลาตัวหนึ่งตรงกลางวางคัมภีร์ที่เก่าแก่อยู่บ้างเล่มหนึ่งไว้


ส่วนในมุมด้านข้างมีค่ายกลเคลื่อนย้ายสีน้ำนมค่ายกลหนึ่งส่องแสงจิตวิญญาณจางๆ


เผิงเยวี่ยเห็นเช่นนี้ใจพลันสะท้าน หลังเหล่ตามองสีหน้าประหลาดที่ปรากฏบนใบหน้าสตรีทั้งสองนางแล้วเขาก็ยิ้มขมขื่น ก้าวยาวเดินไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ตรงมุมด้วยตัวเอง


หลังแสงสีขาวสว่างขึ้น เขาก็ถูกเคลื่อนย้ายจากไปอีกหน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)