อยากกินไหมล่ะ 795-796

 บทที่ 795 รางวัลสำหรับภารกิจงั้นเหรอ?

เมื่อได้รับคำรับรองว่าหยวนโจวจะไม่ขอลาหนุด บรรดาลูกค้าทุกคนต่างรู้สึกโล่งอกโล่งใจและเตรียมตัวเพลิดเพลินกับอาหารอร่อยด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ


แน่นอนว่ายังมีลูกค้าอีกหลายคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยวิดีโอการทำอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีของหยวนโจว ถึงอย่างไรหลิงหงก็บอกแล้วว่าประธานโจวจะต้องตอบตกลงให้หยวนโจวอย่างแน่นอน


บรรดาลูกค้าพวกนี้อยากเห็นหยวนโจวออกทีวีมากซึ่งมีความน่าดึงดูดใจมากกว่าการถ่ายทำการทำอาหารที่จัดทำขึ้นอย่างคร่าวๆเสียอีก


อย่างน้อยหยวนโจวก็ไม่ต้องใช้เทคนิคพิเศษระหว่างการถ่ายทำ เขาคงไม่ยอมให้อาหารดีๆกลายเป็นอาหารที่มีบรรจุภัณฑ์ชุดพิเศษอย่างเคเอฟซีเป็นแน่


แต่หลังจากปล่อยวิดีโอของจี้อี้ออกมาแล้ว เวลาอาหารกลางวันที่แต่เดิมก็สั้นอยู่แล้วก็ยิ่งสั้นลงไปอีก


ดังนั้นใช้เวลาเพียงสักพักหนึ่งเวลาอาหารกลางวันก็สิ้นสุดลงหลังจากคำพูดปิดท้ายตามความเคยชินของหยวนโจว


“เวลาอาหารกลางวันสิ้นสุดลงแล้ว ไว้เจอกันใหม่คราวหน้านะทุกคน” หยวนโจวที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ตัวยาวมองลูกค้าของเขาแล้วกล่าวออกมาอย่างจริงจัง


ทันทีที่เขากล่าวออกมาเช่นนั้น บรรดาลูกค้าต่างก็ทยอยออกไปกันทีละคนๆ ไม่นานหลังจากนั้นก็เหลือโจวเจียแค่เพียงคนเดียวกับหยวนโจวอยู่ในร้าน


“ไว้เจอกันตอนค่ำนะคะเถ้าแก่” โจวเจียกล่าวพลางยิ้ม


“อืม ดูแลตัวเองด้วยล่ะ” หยวนโจวพยักหน้า


จากนั้นโจวเจียก็หันหลังเดินจากไป ในตอนนี้ไม่มีอะไรที่เธอสามารถทำได้อีกแล้วนอกจากรอให้ถึงช่วงเวลาอาหารค่ำ


แต่หลังจากโจวเจียจากไปแล้วก็เหลือหยวนโจวอยู่เพียงคนเดียวในร้าน


“เวลาต้องกล่าวอำลาใครสักคนรู้สึกอึดอัดชะมัดเลย” หยวนโจวมองไปยังตำแหน่งที่คุณเฉิงยืนอยู่ในยามปกติแล้วจู่ๆก็กล่าวขึ้นมา


หยวนโจวอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้ไปล้างมือในทันทีเพื่อเตรียมที่จะแกะสลักในช่วงกลางวัน แต่เขากลับแหงนมองขึ้นไปที่ชั้นสองของตึกฝั่งตรงข้ามถนนแทน หน้าต่างปิดสนิทอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีใครอยู่ในห้องเลย


“ฉันไม่คาดว่าเจ้าบ้านี่จะกลับมาช้ากว่าฉันเสียอีก” แน่นอนว่าหยวนโจวย่อมหมายถึงอู๋ไห่


ใช่แล้วล่ะ คุณเฉิงออกเดินทางไปเวียดนามแล้ว ส่วนอู๋ไห่ที่ออกเดินทางราวๆเวลาเดียวกันกับเมื่อตอนที่หยวนโจวออกเดินทางไปประเทศไทยยังไม่กลับมาเลย ถึงแม้ว่าเขาจะกลับมาได้สองสามวันแล้วก็ตามที


แน่นอนว่าหยวนโจวย่อมไม่เป็นห่วงเจ้าคนหน้าไม่อายอย่างอู๋ไห่หรอก ในเมื่อเจิ้งเจียเว่ยไม่ได้มาขอความช่วยเหลือจากเขาก็แสดงว่าทุกอย่างน่าจะเป็นไปได้ด้วยดี ถึงอย่างไรเจิ้งเจียเว่ยก็เป็นห่วงอู๋ไห่มากทีเดียว


“ลืมมันไปเสียเถอะ ขอฉันดูหน่อยซิว่ามีภารกิจใหม่ๆอะไรบ้างนะ” หยวนโจวเหม่อมองไปสักพักแล้วจู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้ตรวจสอบภารกิจตำแหน่งเลย


“เจ้าระบบ ฉันขอรับภารกิจตำแหน่งก็แล้วกัน” หยวนโจวกล่าวในใจ


เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “รับภารกิจเรียบร้อยแล้ว โปรดตรวจสอบด้วยตัวเอง”


[ภารกิจตำแหน่ง] กลายเป็นเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีขั้นกลาง


(เคล็ดลับในการทำภารกิจ: สุดยอดเชฟที่ไม่อยากเป็นสุดยอดเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีไม่มีคู่ควรที่จะเป็นสุดยอดเชฟหรอกนะ ไปซะเจ้าหนุ่ม ประกาศให้โลกรู้เสียเลยสิว่าคุณคือเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลี)


[รางวัลในการทำภารกิจ] เลื่อนระดับเป็นเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีขั้นกลาง


(เคล็ดลับในการได้รางวัล: ตำแหน่งเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีขั้นกลางเพียงพอสำหรับเชฟขั้นกลางอย่างคุณแล้วล่ะ ไปซะแล้วก็ระวังตัวด้วยล่ะเจ้าหนุ่ม)


ภารกิจระบุเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว ทว่าหยวนโจวกลับยังคลางแคลงใจในระดับภาษาจีนของตนเองเมื่อเขาได้อ่านภารกิจที่เจ้าระบบแสดงออกมา แต่สืบเนื่องจากความมั่นใจในตัวเองของเขา หยวนโจวก็ยังคลางแคลงใจในความสามารถของเจ้าระบบที่แสดงออกมาด้วย


เนื่องจากหยวนโจวอ่านแล้วแต่กลับไม่เข้าใจสักนิด


“หมายความว่าไม่มีรางวัลที่สามารถจับต้องได้เลยงั้นเหรอ?” หยวนโจวสูดหายใจลึกๆแล้วตัดสินใจที่จะถามออกไปก่อน


เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “จะมีการเลื่อนตำแหน่ง”


“อืม แล้วไงล่ะ?” หยวนโจวถามต่อ


เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “อาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีทั้งหมดที่เชฟขั้นกลางสามารถทำได้ควรจะอยู่ในระดับเชฟ”


“อืม ฉันหมายถึงประโยคนั้นแหละ หมายความว่ายังไงกัน?” หยวนโจวกล่าว


เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “คุณจะได้รู้ความหมายหลังจากบรรลุภารกิจแล้วนั่นแหละ”


“โฮ่โฮ่ ขอฉันสบถหน่อยได้ไหม?” หยวนโจวหัวเราะพลางแสยะยิ้ม


เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ภาษาที่สุภาพเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมีในการกลายเป็นสุดยอดเชฟ”


“พูดเสียเป็นเรื่องเป็นราวเชียวนะ” หยวนโจวกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว


เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เปล่านะ”


“เอาล่ะ ถ้าไม่ให้ฉันสบถออกมา ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะ” หยวนโจวยักไหล่ เขาเคยชินกับการหลอกเป็นบางครั้งบางคราวของเจ้าระบบเสียแล้วล่ะ


ในฐานที่เป็นสุดยอดเชฟ เขาต้องอดทนเข้าไว้ แน่นอนว่าเงื่อนไขเบื้องต้นก็คือเจ้าระบบจะไม่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา มิฉะนั้นเขาก็ไม่สามารถรับรองได้เลยว่าดาบใหญ่ขนาดความยาว 40 เมตรจะไม่หล่นใส่เจ้าระบบ


เยี่ยมไปเลย เขามันช่างเป็นเจ้านายที่มีความอดทนแถมยังพูดจาสุภาพอีกต่างหาก


หลังจากระบายอารมณ์เสร็จแล้ว หยวนโจวก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ในช่วงเวลาสั้นๆ คราวที่แล้วเวลาเปิดร้านเกิดการเปลี่ยนแปลงตอนที่เขาได้รับตำแหน่งเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีขั้นต้น เขาไม่แน่ใจว่าคราวนี้เวลาเปิดร้านจะเปลี่ยนแปลงอีกหรือไม่หลังจากเขาเลื่อนขั้นเป็นเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีขั้นกลาง


“เจ้าระบบ เวลาเปิดร้านจะเปลี่ยนแปลงหลังจากเลื่อนตำแหน่งหรือเปล่า?” หยวนโจวถามตามตรง


เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “คุณจะได้รู้เนื้อหาหลังจากได้ตำแหน่งมาแล้ว”


“ก็ได้ๆ” เจ้าระบบไม่ตอบเขาและหยวนโจวก็ไม่ถามอะไรต่อไปอีก เขาหยุดคิดเรื่องวิธีการบรรลุภารกิจ


จะว่าไปแล้วความประทับใจแรกที่หยวนโจวหลงเหลือไว้ให้กับลูกค้าก็คือเขาเป็นเชฟที่ยอดเยี่ยมมากแถมยังทำอาหารอร่อยมากอีกต่างหาก ส่วนความประทับใจอื่นๆก็คือเขาเป็นเจ้าชายรูปงาม แต่กลับไม่มีใครเชื่อว่าเขาเป็นเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นจากข้าวสาลีเลยสักคนเดียว


แต่อันที่จริงแล้วหยวนโจวก็เป็นเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีด้วย


ฉันไม่อยากให้พวกเขาเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อตัวฉันเลยจริงๆ ถ้าเพียงแต่พวกเขารู้ว่าฉันไม่เพียงเป็นเชฟที่ยอดเยี่ยมแต่ยังเป็นเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีอีกด้วย หยวนโจวลูบคางตัวเองแล้วนึกถึงเรื่องนั้นอย่างจริงจังมาก


เมื่อนึกถึงอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีแล้ว หยวนโจวก็แทบจะนึกถึงเรื่องวิดีโอที่จี้อี้เอ่ยถึงเมื่อตอนกลางวันได้ในทันทีขณะที่เจ้าระบบแสดงภารกิจตำแหน่งออกมา


“เจ้าระบบดูเหมือนว่าแกจะแสดงภารกิจออกมาในเวลาที่แน่นอนไปเสียทุกครั้งเลยนะ” หยวนโจวถามด้วยความสงสัย


ถูกต้องแล้วล่ะ ส่วนมากการบรรลุภารกิจที่เจ้าระบบแสดงออกมาไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เมื่อไหร่ก็ตามที่เงื่อนไขเสร็จสมบูรณ์ เจ้าระบบก็จะแสดงภารกิจบางอย่างเกี่ยวกับฝีมือการทำอาหารออกมา


เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “.”


“เจ้าระบบ แกพังไปแล้วเหรอ? ทำไมถึงได้มีแค่เครื่องหมายจุดเองเสียเล่า?” หยวนโจวมองเครื่องหมายจุดเดี่ยวๆที่เจ้าระบบแสดงออกมาด้วยความประหลาดใจ


“เฮ้ เฮ้ เฮ้ หรือเป็นเพราะช็อตไปแล้ว? แกอยากให้ฉันส่งแกไปซ่อมไหม?” เมื่อหยวนโจวพบว่าเจ้าระบบไม่ตอบอยู่เป็นนาน เขาก็ถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง เขาไม่อาจปล่อยโอกาสเช่นนั้นให้หลุดมือไปได้เป็นอันขาด


แต่เจ้าระบบก็ยังคงเงียบและไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแต่อย่างใด


“ในเมื่อเจ้าสิ่งนี้ไม่ตอบสนองอยู่ตั้งนาน มันก็คงจะพังไปแล้วล่ะ” หยวนโจวนึกถึงข้อสรุปที่ดูสมเหตุสมผล


ตอนที่หยวนโจวคาดเดาถึงปฏิกิริยาตอบสนองโดยกะทันหันของเจ้าระบบในทุกทางที่พอเป็นไปได้และได้ข้อสรุปที่ไม่น่าเชื่อถือต่างๆ แล้วโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น


เป็นสายที่มาจากประธานโจวนั่นเอง


หยวนโจวรับสายทันที “ท่านประธาน”


“หยวนน้อย ทำงานอยู่งั้นเหรอ?” เห็นได้ชัดว่าโจวซื่อเจี๋ยคำนวณเวลาเอาไว้แล้วค่อยโทรมาหา


“อืม” หยวนโจวพยักหน้า


“ผมคุยกับซาลาเปาจี้แล้วให้เขามาถ่ายวิดีโอในตอนค่ำ แบบนี้เขาจะได้ไม่รบกวนการดำเนินธุรกิจของคุณด้วย” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวอย่างตรงไปตรงมา


“โอเค ขอบคุณครับ ท่านประธาน” หยวนโจวตอบ


“ไม่เป็นไร ยังไงเสียคุณก็เป็นเชฟที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งในบรรดาคนรุ่นเดียวกันและเป็นความภาคภูมิใจของวงการเราด้วย ดังนั้นอย่าไปคิดเรื่องเหลวไหลไร้สาระพรรค์นั้นให้มากนักเลย เป็นกิจการที่ยอดเยี่ยมของคุณต่างหากล่ะที่วิเคราะห์ฝีมือการทำอาหารได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน” โจวซื่อเจี๋ยพูดกับหยวนโจวอย่างตรงไปตรงมาซึ่งทำให้หยวนโจวรู้สึกขวยเขินนิดหน่อย


“อืม ได้ครับ” หยวนโจวตอบสนองต่อคำชมของโจวซื่อเจี๋ยด้วยการพยักหน้า


“แต่ก็อย่ากดดันตัวเองเกินไปล่ะ ถ้าหากคุณก้าวหน้าเร็วเกินไปจนเหนือกว่าเราแล้ว ผมก็ไม่มีตำแหน่งเหมาะๆให้คุณหรอกนะ ผมคงทำได้แต่ยกตำแหน่งของผมให้คุณเสียแล้วล่ะ” โจวซื่อเจี๋ยล้อเขาเล่นพลางอมยิ้ม


“คงอีกนานเลยล่ะครับ” หยวนโจวตอบอย่างถ่อมตัว


“เอาล่ะ ไม่ต้องมาถ่อมตัวหรอกน่า ฝีมือการทำอาหารของคุณเกือบจะเหนือกว่าผมอยู่แล้ว คนรุ่นใหม่เก่งกว่าคนรุ่นเก่าเสียอีก” โจวซื่อเจี๋ยกล่าว



บทที่ 796 เฝ้ารอผู้กำกับที่น่าอัศจรรย์

ในขณะที่กำลังพูดว่าคนรุ่นใหม่เก่งกว่าคนรุ่นเก่าอยู่นั้น จู่ๆโจวซื่อเจี๋ยก็รู้สึกว่าเขาแก่ตัวลงมากแล้ว


มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่จะมีความรู้สึกเช่นนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าหยวนโจว


“คุณก็ยังเด็กอยู่เลยนี่ครับ” หยวนโจวปลอบโยนเขา


วิธีการพูดของหยวนโจวช่างแสนตรงไปตรงมาและทื่อมะลื่อราวกับว่าเขาแค่พูดเรื่องจริงอย่างไรอย่างนั้น นั่นกลับทำให้โจวซื่อเจี๋ยรู้สึกดีขึ้นมาก เขาถือโทรศัพท์อยู่แล้วจู่ๆก็ระเบิดหัวเราะออกมา


“อืม ผมยังเด็กอยู่มากเลย ผมยังไม่ทันได้เห็นช่วงเวลาที่คุณไปถึงจุดสุดยอดของฝีมือการทำอาหารของคุณเลยนี่นา ใช่แล้วล่ะ จริงๆแล้วผมยังเด็กอยู่มากเลย” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวพลางอมยิ้ม ถึงแม้ว่าอาหารมากมายหลายอย่างที่หยวนโจวมีความเชี่ยวชาญต่างมาถึงขั้นสูงสุดแล้ว แต่เขาก็ยังมีหนทางอีกยาวไกลให้ก้าวเดินต่อไปในด้านชื่อเสียงหรืออาหารประเภทต่างๆที่เขามีความเชี่ยวชาญ


“อืม” หยวนโจวทราบเรื่องนั้นดีจึงทำให้เขาไม่มีทางชะล่าใจเกินไปนัก การเดินทางไปต่างประเทศเมื่อไม่นานมานี้ก็นับเป็นตัวอย่างที่ดี ร้านหยวนโจวไม่เป็นที่รู้จักในประเทศไทยเอาเสียเลยจริงๆ


พูดกันจริงๆก็คือมันยังเร็วเกินไปที่จะเอ่ยถึงประเทศไทย จากการประเมินอันเที่ยงตรงของเจ้าระบบ เขาแค่เป็นที่รู้จักในมณฑลเสฉวนเท่านั้นหาใช่ทั่วประเทศ


แต่หยวนโจวกลับเชื่อว่าเขากลายเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศโดยไม่ต้องสงสัยหลังจากเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนวิชาระหว่างจีนและญี่ปุ่นครั้งที่สองและมีชื่อเสียงไปทั่วชุมชนออนไลน์ แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครที่ทราบมาตรฐานการประเมินของเจ้าระบบจึงมีความเป็นไปได้ว่าเจ้าระบบกำลังแก้แค้นเขาอยู่ นี่คือสิ่งที่หยวนโจวแอบคิดอยู่


แต่หยวนโจวหาได้ต่อว่าเจ้าระบบในเรื่องนี้ ถึงอย่างไรเขาก็คงจะบรรลุเป้าหมายของตัวเองได้ในสักวันหนึ่ง


“ก่อนหน้านี้ผมได้ยินมาจากจงลี่ลี่ว่าคุณจับโจรที่ขโมยของบนถนนได้นี่ครับ” หยวนโจวเริ่มคุยเรื่องอื่น


เขายังจำได้ว่าทุกคนต่างพากันตกตะลึงตอนที่จงลี่ลี่เล่าเรื่องนี้ในร้านของเขา ตามที่จงลี่ลี่เล่ามา ตอนนั้นมีคนเจอหัวขโมยจึงร้องตะโกนไปตามถนน แต่กลับไม่มีคนไปตามจับหัวขโมยเลย ตอนที่หัวขโมยที่แต่งกายด้วยเสื้อฮู้ดสีดำกำลังจะหลบหนีไปนั้นเอง โจวซื่อเจี๋ยก็เขวี้ยงกระเป๋าสะพายของจงลี่ลี่ใส่หัวขโมยผู้นั้นในทันที


เอ่อ… ไม่ค่อยมีอะไรอยู่ในกระเป๋าสะพายของจงลี่ลี่มากนักหรอกอย่างเก่งก็มีแค่ขวดแล้วก็ขวดเครื่องสำอางอยู่ในขวดและภาชนะต่างๆ พอถูกกระเป๋าสะพายกระแทกใส่ เจ้าหัวขโมยในเสื้อฮู้ดก็ล้มลง จากนั้นโจวซื่อเจี๋ยก็จับหัวขโมยแล้วกำหราบเสียอยู่หมัด


ทุกการกระทำของเขาเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติและลื่นไหลราวกับเมฆาเคลื่อนคล้อยสายน้ำไหลริน แต่ทว่ากลับสร้างความตกใจแก่จงลี่ลี่อย่างแท้จริง โจวซื่อเจี๋ยอายุอานามก็ปาเข้าไปกว่า 50 ปีแต่กลับยังมีท่าทีดุเดือดอย่างน่าประหลาด ถ้าเกิดหกล้มหรือเจ็บตัวขึ้นมาจะทำอย่างไรกันเล่า? เมื่อตอนที่จงลี่ลี่กินอาหารอยู่ในร้านหยวนโจวแล้วเล่าเรื่องนี้อยู่นั้นดูค่อนข้างขุ่นเคืองมากทีเดียว แทนที่คนหนุ่มที่จะอยู่ข้างๆจะทำหน้าที่ผดุงความยุติธรรมกลับเป็นชายชราคนหนึ่งไปเสียได้


พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา โจวซื่อเจี๋ยกลับมีความคิดเห็นที่ค่อนข้างต่างออกไป เขาพูดทางโทรศัพท์ว่า “ผู้คนมักจะบอกอยู่เสมอว่ามีคนที่กล้าออกโรงปกป้องผู้อ่อนแอในสังคมน้อยลงเรื่อยๆ แต่ผมกลับไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ มีคนมากมายอยู่ในเหตุการณ์และทุกคนเชื่อว่าถึงผมจะไม่ทำเช่นนั้นก็ต้องมีคนอื่นมาช่วยอยู่ดีนั่นแหละ”


“ในความคิดเห็นของผม นั่นเป็นเรื่องที่มีเหตุผลทีเดียว ผมไม่คิดว่าเป็นเพราะความเพิกเฉยที่ระงับมิให้คนมากมายให้ความช่วยเหลือหรอกนะ คนเราต้องหัดมองด้านดีเข้าไว้ ถ้าหากพวกเราเอาแต่มองด้านไม่ดีก็ไม่น่าจะมีชีวิตที่ดีไปได้หรอก” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “นอกจากนั้นทุกวันนี้ผู้คนมากมายก็เอาแต่พูดเรื่องความแก่ชรา ผมก็แค่ทำสิ่งที่พอจะทำได้เพื่อเป็นปากเป็นเสียงแทนคนแก่อย่างเราๆก็เท่านั้นเองแหละ”


ส่วนเรื่องกำหราบหัวขโมยด้วยวัยกว่า 50 นั้น เอ่อ… ก็นับว่าเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่งที่สามารถทำได้เชียวล่ะ ยอดไปเลย


“เอาล่ะ เลิกคุยเรื่องนี้เถอะ บอกผมมาซิว่าคุณพอจะมีเวลาช่วงเย็นวันไหน ผมจะได้ไปขอให้ซาลาเปาจี้ไปจัดการเรื่องบางอย่างมาให้” โจวซื่อเจี๋ยยุติหัวข้อสนทนาเสียก่อนแล้วเริ่มคุยธุระ


“ช่วงที่ผับเปิดตอนกลางคืน ผมไม่ต้องเข้าไปจัดการครับ” หยวนโจวนึกสักครู่แล้วกล่าวขึ้นมา


“ถ้างั้นคุณก็ว่างหลังสองทุ่มครึ่งใช่ไหม?” โจวซื่อเจี๋ยกล่าว เขาแน่ใจเรื่องเวลาเปิดร้านของร้านหยวนโจวมากทีเดียว


“ครับ หลังสองทุ่มครึ่ง” หยวนโจวกล่าวยืนยัน


“โอเค คุณอยากจะพักผ่อนสักสองสามวันก่อนหรือว่าจะเริ่มถ่ายทำพรุ่งนี้เลยดี?” โจวซื่อเจี๋ยถามอย่างละเอียด


“เริ่มพรุ่งนี้ตอนค่ำเลยเถอะครับ” หยวนโจวกล่าว เขาไม่อยากเลื่อนเวลาออกไป ถ้าหากมีบางอย่างที่เขายังทำไม่เสร็จก็จะทำให้รู้สึกไม่สบายใจเอาได้


“ดีล่ะ ผมจะได้ไปบอกให้ซาลาเปาจี้จัดการเรื่องนี้ให้ พอถึงเวลานั้นเขาจะไปหาคุณเอง” โจวซื่อเจี๋ยกล่าว


“ไม่มีปัญหาครับ แต่ผมไม่อยากให้มีคนอยู่ที่นี่เยอะเกินไป สถานที่มันเล็กน่ะครับ” หยวนโจวนึกอยู่สักครู่แล้วกล่าวขึ้นมา


“เจ้าเด็กบ้า แล้วทำไมถึงไม่เปลี่ยนสถานที่ให้มันใหญ่ขึ้นกันเล่า?” โจวซื่อเจี๋ยหัวเราะและด่าเขา


“ก็ที่นี่มันเงียบสงบดีนี่ครับ” หยวนโจวกล่าวอย่างสุภาพ


“เอาล่ะๆ ไม่ว่าคุณจะชอบแบบไหน ผมจะบอกให้พวกเขาพาคนมาที่นี่น้อยๆก็แล้วกันนะ” โจวซื่อเจี๋ยไม่พูดเรื่องร้านหยวนโจวอีกได้แต่ตอบรับคำขอของหยวนโจว


“ขอโทษที่รบกวนด้วยนะครับ ท่านประธาน” หยวนโจวกล่าวอย่างสุภาพ


“ไม่ต้องสุภาพขนาดนี้ก็ได้ แค่บอกผมตอนที่เสิร์ฟอาหารจานใหม่ก็พอ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าว


“ได้เลยครับ” หยวนโจวตอบ


“โอเค ผมจะหุบปากให้สนิทเลยเชียวล่ะ ไหนๆคุณก็เพิ่งจะกลับมาพักผ่อนเสียเถอะนะ” โจวซื่อเจี๋ยแนะนำ


“ลาก่อนครับ” หลังจากกล่าวเช่นนั้นออกมา หยวนโจวก็รอจนกระทั่งโจวซื่อเจี๋ยวางสายไปแล้วค่อยวางสายเช่นเดียวกัน


“เจ้าเด็กนี่ช่างได้รับความนิยมเสียจริงๆ” ท่าทางปีติยินดีและอึดอัดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโจวซื่อเจี๋ย


เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งแล้วเตรียมโทรหาจี้อี้เพื่อให้จัดการเรื่องถ่ายวิดีโอ


จะว่าไปแล้วโจวซื่อเจี๋ยก็ไม่เคยเปิดเผยออกมาเลยว่าวงการทำอาหารและวงการขนมต่างกำลังเฟ้นหาผู้มีพรสวรรค์ต่อหน้าหยวนโจว แม้แต่จี้อี้ก็ไม่เคยเปิดเผยเรื่องนั้นเช่นกัน


ถึงอย่างไรหยวนโจวก็ต่างไปจากผู้มีพรสวรรค์คนอื่นๆ เขาทำได้ยอดเยี่ยมทั้งสองวงการจึงไม่ต้องไปพะวงกับเรื่องเหลวไหลไร้สาระพรรค์นั้นเลย


ดังนั้นทั้งโจวซื่อเจี๋ยหรือจี้อี้จึงไม่ได้เฝ้าถามหยวนโจวว่าเขาจะเลือกวงการไหนแม้ว่าภายนอกพวกเขาจะต่อสู้กันอย่างดุเดือดเพื่ออัจฉริยะผู้นี้ก็ตามที


ถึงอย่างไรหยวนโจวก็ยังเด็กอยู่และสามารถก้าวหน้าได้อีกมากในอนาคต พวกเขาจึงไม่อยากเข้าไปขัดขวางความก้าวหน้าของเขาเพราะเรื่องเหลวไหลไร้สาระพรรค์นั้น


แน่นอนว่าจี้อี้กับโจวซื่อเจี๋ยย่อมคิดเหมือนกัน ถ้าหากอยากจะต่อสู้กันคงได้แต่ออกไปข้างนอกกันแล้ว


วิดีโอไม่ยาวสักเท่าไหร่นัก แต่จำนวนของเจ้าหน้าที่กลับไม่สามารถลดลงได้ตามอำเภอใจ ตามคำขอของหยวนโจว จี้อี้บอกให้ผู้กำกับลดเจ้าหน้าที่ให้ได้มากที่สุดและเหลือไว้แค่บุคลากรที่จำเป็นเท่านั้น เมื่อรวมผู้กำกับเข้าไปแล้วก็มีทั้งสิ้นเจ็ดคน พวกเขาต่างพากันมุ่งหน้าไปร้านหยวนโจวด้วยความเร่งรีบ


อย่างที่กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ จี้อี้เป็นผู้วางแผนและดำเนินการจัดกิจกรรมนี้ขึ้นมา จุดประสงค์ก็เพื่อเฟ้นหาผู้มีพรสวรรค์จากคนธรรมดา ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ที่ได้รับเชิญให้มาถ่ายทำจึงต่างก็เป็นยอดเชฟกันทั้งนั้น


ผู้กำกับนามว่าต้าไห่เป็นผู้ที่สุดแท้จะหยั่งถึงราวกับมหาสมุทร แต่ขณะที่กำลังถ่ายทำเขากลับค่อนข้างมีความสามารถมากทีเดียว เมื่อตัดสินจากลักษณะท่าทางของเขาแล้ว เขาน่าจะยังชีพด้วยความสามารถของตัวเองเพียงเท่านั้นแหละ


ก่อนหน้านั้นเขาเพิ่งจะเสร็จสิ้นการถ่ายวิดีโอของเชฟอีกสองคน โดยที่คนหนึ่งมีฝีมือในการทำบะหมี่ไหมฟ้า สามารถกล่าวได้เลยว่าบะหมี่ไหมฟ้าของเขานับว่ามีความพิเศษไม่เหมือนใครจริงๆ


บะหมี่ไหมฟ้าที่ทำเองมีความบางมาก โดยหนึ่งรูเข็มสามารถบรรจุบะหมี่ได้ถึงสิบสองเส้น


แน่นอนว่าย่อมมีบางคนที่ไม่ทราบว่าหนึ่งในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ที่มีชื่อเรียกว่า “บะหมี่ที่บางที่สุดในโลก” เป็นผลงานที่เชฟจากมณฑลซานตงเป็นผู้รังสรรค์ขึ้นมา ในบันทึกนั้น บะหมี่ทั้งยี่สิบเส้นถึงกับสามารถลอดผ่านหนึ่งรูเข็มได้ แต่เมื่อตอนที่ต้าไห่ถ่ายทำอยู่นั้น ยอดเชฟผู้นี้ก็บอกเขาว่าความบางจะมีความสำคัญที่สุดก็ต่อเมื่อมีคนพยายามที่จะทำลายบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ แต่เนื้อสัมผัสก็มีความสำคัญเช่นกันเมื่อตอนที่กำลังจะกิน ถ้าหากบะหมี่บางเกินไป รสชาติก็จะไม่อร่อย ดังนั้นบะหมี่สิบสองเส้นจึงเป็นความบางที่พอเหมาะพอดีแล้ว


ในตอนนี้ยอดเชฟทั้งสองต่างสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้กำกับเข้าเสียแล้ว ดังนั้นต้าไห่จึงคิดว่าเถ้าแก่หยวนผู้มีชื่อเสียงคนนี้คงจะสร้างความตกตะลึงให้แก่เขาด้วยอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีระหว่างที่อยู่ที่นี่อย่างแน่นอน ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นผู้กำกับที่ผ่านโลกมานักต่อนักแล้ว… ในภาษาจีนคำว่าต้าไห่มีความหมายว่ามหาสมุทร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)