หมอดูยอดอัจฉริยะ 794-797
ตอนที่ 794 กรงขัง
“จริงสิ ประธานอู๋ครับ ตึกทางด้านขวาเป็นโรงหลอมเหรอครับ?”
เยี่ยเทียนพบว่า เหมืองทองคำและโรงหลอมแห่งนี้ของอู๋เต๋อหลินตั้งอยู่ติดกัน พอขุดหินขึ้นมาจากในเหมืองได้แล้ว ก็ใช้สายพานส่งตรงเข้าไปในโรงหลอมได้เลย
เยี่ยเทียนเคยฟังเฉินสี่ฉวนอธิบายการหลอมทองคำ เขาใช้โซเดียมไซยาไนด์กับอัลคาไลน์เหลว น้ำที่มีโมเลกุลทองคำอยู่จะไหลเข้าไปในถังซึ่งใส่ถ่านกัมมันต์ผ่านรางน้ำ ทำให้ทองคำถูกดูดซับโดยถ่าน รอจนกว่าโมเลกุลของทองคำไหลจนหมดหรือถ่านดูดซับจนเต็มแล้ว ค่อยเอาถ่านออกเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
หลังจากผ่านขั้นตอนเผาถ่านแล้ว ก็จะสามารถเห็นทองคำได้ด้วยตาเปล่า แต่ว่าวิธีหลอมทองแบบนี้ในปัจจุบันไม่ค่อยนำมาใช้เท่าไหร่แล้ว อู๋เต๋อหลินควรจะใช้วิธีบดกวนแล้วสกัดออกมาด้วยความร้อนสูง ซึ่งจำเป็นต้องใช้เครื่องเผานั่นเอง
“ใช่แล้วล่ะ ทางนั้นฉันสามารถหลอมทองคำบริสุทธิ์ 99.99% ได้เลยทีเดียว เสี่ยวจ้าว ถามทำไมหรือ?”
อู๋เต๋อหลินพยักหน้า ว่ากันโดยทั่วไป สถานที่หลอมทองคำล้วนเป็นแหล่งเก็บความลับสูงสุดของแต่ละเหมือง รอบด้านโรงหลอมของอู๋เต๋อหลิน มีเวรยามสะพายอาวุธสงครามอยู่ทุกด้าน คนงานทั่วไปจึงไม่สามารถเข้าใกล้ได้แม้แต่นิดเดียว
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เยี่ยเทียนจึงถามขึ้นตามธรรมชาติ และอู๋เต๋อหลินก็ตอบกลับไปอย่างนั้น พูดออกไปแล้วถึงได้รู้ว่า ตนเองไม่ได้คุ้นเคยกับอีกฝ่ายถึงขั้นนั้นนี่นา?
“ประธานอู๋ครับ อาคารหลังนี้ของคุณตกแต่งไม่ค่อยดีนัก รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทำให้รังสีที่แผ่ออกมาจากถ้ำเหมืองระเหยออกไปได้ยาก ส่งผลกระทบต่อพนักงานอย่างใหญ่หลวง”
เยี่ยเทียนเองก็ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยหรือเปล่า จึงพยายามเรียบเรียงคำพูดของตนเอง แล้วกล่าวต่อ “หากพูดถึงเรื่องฮวงจุ้ย พื้นที่สี่เหลี่ยมบวกกับมีรูปร่างเป็นอักษรคน ก็จะกลายเป็นกรงขัง ประธานอู๋ครับ หากถามนักโทษที่ถูกคุมขัง เขาจะได้รับโชควาสนาดีหรือเปล่า?”
คำพูดนี้ของเยี่ยเทียนไม่ได้ข่มขู่อู๋เต๋อหลิน เขาเองก็สามารถมองออกว่า เมื่อก่อนอาคารหลังนี้เป็นทรงกลม แต่เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้ดีขึ้น จึงได้เปลี่ยนจากทรงกลมมาเป็นทรงสี่เหลี่ยม อาการผิดปกติของร่างกายอู๋เต๋อหลิน เกรงว่าจะเริ่มขึ้นนับตั้งแต่ตอนนั้น
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง เสี่ยวจ้าว นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะรู้เรื่องฮวงจุ้ยด้วย? งั้นดูให้ฉันหน่อยสิ ว่าเรื่องนี้จะแก้ไขอย่างไรดี?”
โต๊ะทำงานของอู๋เต๋อหลิน สามารถมองเห็นทั้งอาคารผ่านกระจกได้พอดิบพอดี เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนี้ เขาจึงรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับนักโทษที่ถูกคุมขังในตะรางขึ้นมาจริงๆ จนนั่งไม่ลงขึ้นมาทันที
ด้วยเหตุนี้การทำนายดวงชะตาจึงถูกจัดประเภทให้เป็นความเชื่อเหลวไหลในยุคศักดินาเป็นระยะเวลายาวนาน นั่นเป็นเพราะการกระทำเช่นนี้ ส่งผลร้ายต่อสังคมอย่างใหญ่หลวง คำพูดของเหล่านักทำนายดวงชะตาที่ไร้ซึ่งความสามารถใดๆ สามารถทำให้คนแบกรับความหนักอกหนักใจได้อย่างแน่นอน
เนื่องจากคำพูดของนักทำนายดวงชะตาก่อให้เกิดบ้านแตกสาแหรกขาด มีคนล้มตายมาไม่น้อย ตอนที่เยี่ยเทียนท่องเที่ยวในยุทธภพ ยังเคยพบนักทํานายดวงชะตาคนหนึ่งทํานายวันเดือนปีเกิดให้คน บอกว่าภรรยาของเขาคนนั้นมีดวงกินผัว เวลานั้นเหมาะเจาะตอนที่ฝ่ายชายทำการค้าล้มเหลวพอดี จึงนำเอาสาเหตุนี้ไปกล่าวโทษฝ่ายภรรยา หลังกลับบ้านไปก็ทะเลาะกับภรรยา จนถึงขั้นใช้มีดทำอาหารฟันภรรยาจนเสียชีวิต
ดังนั้นไม่จำเป็นว่านักทำนายดวงชะตาจะพูดได้ถูกต้องหรือไม่ เพียงแค่พูดออกไป ก็กลายเป็นแรงกดดันให้คนฟังแล้ว และจะมีผลยิ่งขึ้นต่อคนมีเงิน อู๋เต๋อหลินก็ไม่ใช่ข้อแม้ เวลานั้นเขาลืมไปสนิทว่าเยี่ยเทียนเป็นเพียงแขกที่เข้ามาเยี่ยมชมเหมืองทอง กลับลุกขึ้นขอคำชี้แนะอย่างจริงจัง
“เถ้าแก่ครับ ข้างล่างกำลังจะมีการผลัดกะ จะให้ใครลงไปครับ?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะพูด คนผู้หนึ่งก็เคาะเปิดประตูห้องทำงานเข้ามา แวบแรกที่มองเห็นหวาจวินก็ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าหนุ่ม เห็นเถ้าแก่คุยง่าย เลยพาคนมาที่นี่ทุกรอบเลยหรือไง?”
หวาจวินสนิทสนมกับคนที่เข้ามาอย่างมาก หลังจากได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ก็ยิ้มแหะๆ ตอบว่า “พี่ปิน ผมก็แค่ทำการโฆษณาให้เหมืองของพวกเราเท่านั้นเอง คนที่เคยมาแอฟริกาใต้ ใครบ้างจะไม่รู้ว่าที่เคปทาวน์มีเหมืองทองที่ชาวจีนอย่างพวกเราเป็นคนลงทุน!”
“พูดจาได้ดีนี่ วันนี้จะลงไปข้างล่างไหมล่ะ?” คนที่มาชื่อว่าเฉินปิน เป็นคนที่ติดตามอู๋เต๋อหลินมาเป็นกลุ่มแรกๆ นับว่าเป็นคนเก่าคนแก่ในเหมือง จึงใช้คำพูดอย่างเป็นกันเอง
“ข้างบนร้อนตับแตก ข้างล่างก็หนาวแทบตาย ผมไม่ลงไปดีกว่า” หวาจวินส่ายหน้ารัว ๆ เขาเป็นไกด์ภาคพื้นดินมาสามสี่ปี ยังเคยลงไปถ้ำใต้เหมืองแค่สองสามครั้งเท่านั้น บรรยากาศข้างล่างนั่นไม่ค่อยโสภาเท่าไหร่จริงๆ
“เอาเถอะ อาปิน ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จัก คนนี้คือคุณจ้าว เดี๋ยวเขาจะตามลงไป”
อู๋เต๋อหลินโบกมือ ตัดบทสนทนาของคนทั้งสอง ยิ้มขออภัยไปทางเยี่ยเทียน บอกว่า “เสี่ยวจ้าว ต้องขอโทษด้วย เชิญเธอพูดต่อได้เลย ต้องทำอย่างไรถึงจะแก้ไขอักษรคุมขังนี่ได้?”
จิตวิทยามนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ปกติไม่คิดเป็นเรื่องอะไร แต่พอถูกคนทักเข้า ก็กลับกลายเป็นเรื่องในใจ อู๋เต๋อหลินมองตึกของตนเองเป็นเหมือนกรงขังเข้าทุกที จึงไม่สนใจสายตางงงันของเฉินปิน หันไปขอคำชี้แนะจากเยี่ยเทียนอย่างถ่อมตน
เยี่ยเทียนยิ้ม ตอบว่า “ประธานอู๋ครับ จะแก้ไขเป็นเรื่องง่ายมาก ว่ากันตามความสัมพันธ์ของปัญจธาตุ ไฟสามารถข่มโลหะ คุณแค่ต้องขยายตำแหน่งหลอมแร่มาทางอาคารนี้สักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว”
พื้นที่ฮวงจุ้ยแห่งนี้ของอู๋เต๋อหลิน ความจริงไม่นับว่าซับซ้อนอะไร ขอเพียงเป็นคนที่มีความรู้ด้านฮวงจุ้ยสักเล็กน้อยก็สามารถขจัดปัดเป่าได้ เพียงแต่ดินแดนแอฟริกาใต้อยู่ไกลปืนเที่ยง ไม่มีนักทำนายดวงชะตาคนไหนยอมข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อมาหาเงินต่างชาติ ไม่อย่างนั้นสถานที่นี้ก็คงมีคนมองออกและแก้ไขไปนานแล้ว ไหนเลยจะต้องตกถึงมือเยี่ยเทียน?
“งั้นก็ง่ายน่ะสิ แค่ย้ายตำแหน่งก็พอ”
อู๋เต๋อหลินฟังอยู่สักครู่ สีหน้าก็แสดงให้เห็นถึงความยินดี เดิมทีเขายังนึกกังวลว่าเยี่ยเทียนจะทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ โดยการปรับเปลี่ยนโรงหลอมอย่างสิ้นเชิง ถ้าหากแค่ย้ายตำแหน่งหลอมแร่ ก็นับว่าเป็นเรื่องง่ายดาย
“เอาเถอะครับ ประธานอู๋ ให้คุณจ้าวลงเหมืองเถอะครับ พี่ปินรอนานแล้ว”
อู๋เต๋อหลินเชื่อคำพูดของเยี่ยเทียน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเชื่อ หวาจวินออกจะรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ เขาเติบโตในต่างประเทศ ถึงแม้จะสามารถพูดภาษาจีนได้ แต่ระบบความคิดยังแตกต่างจากชาวจีนอยู่มาก จึงไม่เข้าใจคำพูดของเยี่ยเทียนแม้แต่น้อย
“ได้สิ อาปิน วันนี้ลำบากนายหน่อยนะ พาคุณจ้าวลงไปด้วยตัวเองที ดูแลให้ปลอดภัยล่ะ”
อู๋เต๋อหลินพยักหน้า หันหน้าไปมองเยี่ยเทียน กล่าวว่า “เสี่ยวเจ้า รอเธอขึ้นมาแล้วพวกเรามาดื่มกันสัก สองสามแก้ว วันนี้นับว่าเธอได้ช่วยเหลือฉันแล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ประธานอู๋เกรงใจเกินไปแล้ว”
ด้วยสถานะของเยี่ยเทียนในปัจจุบัน ไม่สามารถทํานายดวงชะตาให้คนเพื่อเงินได้อีกแล้ว เขาเพียงถูกชะตากับ อู๋เต๋อหลิน บวกกับชาวจีนสร้างเนื้อสร้างตัวในแดนโพ้นทะเลยากลำบาก จึงได้แนะนำไปตามสะดวก หลังจากพูดคุยกันตามมารยาทแล้ว เยี่ยเทียนก็ตามเฉินปินออกจากห้องทำงาน
“คุณจ้าวครับ ช่วยใส่ชุดนิรภัยด้วยครับ…”
เมื่อครู่เห็นความสนิทสนมของหัวหน้ากับเยี่ยเทียน อาปินจึงนอบน้อมต่อเยี่ยเทียน พูดจากับเขาอย่างเกรงอกเกรงใจขึ้นมาทันที
“อากาศร้อนขนาดนี้ ใส่ชุดแบบนี้ด้วยเหรอครับ?”
เห็นชุดนิรภัยผิวหนาเตอะบนพื้น เยี่ยเทียนก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ แม้ว่าหลังจากเขาปิดรูขุมขนแล้ว อุณหภูมิเย็นหรือร้อนก็ไม่อาจแทรกซึมเข้ามาในร่างกาย แต่หากร่างกายต้องคลุมอีกหนึ่งชั้นก็คงไม่สบายตัวนัก
อาปินได้ยินแล้วยิ้มออกมา ตอบว่า “คุณจ้าว ชุดนี้จำเป็นต้องใส่ครับ คุณแค่อดทนสักหน่อย ความจริงก็แค่ร้อนบนผิวดินเล็กน้อย พอลงไปข้างล่างแล้ว อาจจะรู้สึกหนาวก็ได้”
“ที่คุณพูดก็จริง ได้ครับ ผมจะใส่!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า อุณหภูมิบนผิวดินและใต้ดินแน่นอนว่าต้องแตกต่างกัน ในวังหรือบ้านของฮ่องเต้หรือผู้มีอิทธิพลทั้งหลายในสมัยโบราณมักจะขุดลึกลงไปใต้ดินหลายสิบเมตร แล้วแบ่งเป็นห้าหกชั้น แต่ละชั้นใช้ผ้าหนาหนาเป็นฉนวน เพื่อป้องกันอากาศร้อน
ช่วงหน้าหนาวก็นำน้ำแข็งที่กลายเป็นก้อนวางไว้ในห้องเก็บน้ำแข็งชั้นล่างสุด พอถึงหน้าร้อนจะไม่ละลาย นำมาใช้ทำหวานเย็นน้ำบ๊วยดับร้อนในได้ แน่นอนว่าคนที่สามารถหาความเพลิดเพลินใจได้ระดับนี้ ไม่มีใครที่ไม่มีอำนาจล้นฟ้าหรือร่ำรวยมหาศาล
“คุณจ้าว หมวกนิรภัยก็ต้องใส่ครับ นี่เป็นกฎเหล็กของเถ้าแก่ หากเป็นคนที่ลงไปในเหมือง จะต้องใส่ทุกคน” รอให้เยี่ยเทียนใส่ชุดนิรภัยหนาเตอะเสร็จแล้ว อาปินก็ส่งหมวกนิรภัยใบหนึ่งให้เยี่ยเทียน อู๋เต๋อหลินเคยทำงานในเหมือง จึงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นพิเศษ
หลังจากสวมใส่เสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็ตามหลังอาปิน เดินเข้าไปยังโครงสร้างทางเข้าออกเหมืองทอง
พื้นที่โครงสร้างนี้ใหญ่มาก ภายในกว้างขวางหลายร้อยตารางเมตร แบ่งได้เป็นหลายเขต แต่ละเขตล้วนมีคนงานกำลังง่วนอยู่ ตรงข้ามประตูเป็นลิฟท์แห่งหนึ่งที่สามารถขนคนได้ทั้งหมดยี่สิบคนในเวลาเดียวกัน ด้านข้างลิฟท์ เป็นสายพานสองสาย เครื่องจักรสั่นสะเทือนส่งเสียงดังอึกทึก ขนเอาแร่ทองคำดิบขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันจากใต้ดินขึ้นมาด้านบน
“เหมืองทองแห่งนี้ไม่เลวเลย!”
แร่หินทองคำที่อยู่บนสายพานส่วนใหญ่มีสีดำมะเมื่อม ขนาดที่ต่อให้เป็นคนในวงการมองแค่ลักษณะภายนอก ยังมองไม่ออก แต่ว่าคุณสมบัติของธาตุทั้งห้าที่แผ่ออกมาจากภายในทองคำ กลับไม่สามารถหลบหลีกญานสัมผัสของเยี่ยเทียนได้
“แน่นอนอยู่แล้วครับ เหมืองทองแห่งนี้สามารถจัดอยู่ในสามอันดับแรกของเคปทาวน์” เฉินปินยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ และในเวลานั้นเอง ลิฟท์ด้านล่างก็เคลื่อนขึ้นมาบนพื้นดิน คนงานยี่สิบกว่าคนเดินออกมาจากด้านใน
“คุณจ้าวครับ พวกเราลงไปกันเถอะ”
รอให้คนงานออกมากันจนหมดแล้ว เฉินปินก็เรียกให้เยี่ยเทียนเข้าไปในลิฟท์ ความจริงทีแรกพวกเขาจะต้องลงไปพร้อมกับคนงานเหมือง แต่ว่าอู๋เต๋อหลินฝากฝังเยี่ยเทียนให้เป็นแขกพิเศษ เฉินปินจึงไม่ปล่อยให้เยี่ยเทียนเข้าลิฟท์กับคนงานเหล่านั้น
“มิน่าล่ะเหมืองแร่ถึงเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายสุดๆ”
พอเข้าไปในลิฟท์ เยี่ยเทียนก็อดส่ายหน้าไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ จะติดตั้งลิฟท์ที่ใช้ในอาคารก็ทำไม่ได้ ลิฟท์ประเภทนี้ความจริงก็เป็นแค่กรงเหล็กขนาดใหญ่ใช้รอกดึงขึ้นมา อัตราความปลอดภัยจึงไม่สูงเท่าไหร่นัก
ขณะที่ลิฟท์เคลื่อนลงไป ลำแสงรอบด้านก็ค่อยๆ มืดสลัวลง ทุกๆ จุดที่ลึกลงไปสิบกว่าเมตร จะมีดวงไฟสีเหลืองหม่นเล็กๆ นอกจากเสียง “ครืดคราด” น่ารำคาญที่ได้ยินอยู่ริมหู ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย
เหมืองแห่งนี้อยู่ใต้พื้นดินร้อยกว่าเมตร เพียงขึ้นลิฟท์ใช้เวลาไม่กี่นาที ตอนลงมาถึงก้นเหมือง คนงานอีกกลุ่มที่เตรียมตัวจะขึ้นไปก็รออยู่ตรงนั้นแล้ว
“ไอโลหะเข้มข้นมากเลย!” พอมาถึงชั้นล่างสุดของเหมือง ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็มีสีหน้าอันตกตะลึง
ตอนที่ 795 เหมืองถ้ำใต้ดิน
แตกต่างจากความอึดอัดคับแคบในจินตนาการของเยี่ยเทียน โถงใหญ่ชั้นล่างเหมืองทองแห่งนี้กว้างขวางอย่างมาก โครงสร้างของมันล้อมรอบลิฟท์ มีความสูงถึงสิบกว่าเมตร รอบด้านสี่ทิศเต็มไปด้วยกำแพงเหมืองหินแร่โลหะสีดำมะเมื่อมสะท้อนแสงภายใต้ดวงไฟ
ตรงกำแพงหินเหล่านี้ เจาะขุดถ้ำทางเดินสิบกว่าเส้น เสียงก๊องแก๊งและเสียงกระหึ่มของเครื่องขุดเจาะดังออกมาจากถ้ำเหล่านั้นไม่หยุดหย่อน เห็นได้ชัดว่าภายในกำลังมีคนงานง่วนอยู่กับภารกิจของตนเอง
นี่เป็นเหมืองที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง ทองคำที่ถูกขุดออกมาในแต่ละวันมีมูลค่าสูงถึงแสนดอลลาร์อเมริกาขึ้นไป ดังนั้นอู๋เต๋อหลินผู้จ้างวานคนงานจำนวนมากสลับทำงานเป็นสามกะ จึงรับทรัพย์จำนวนมหาศาลจากเมืองทองแห่งนี้ตลอดทุกวินาทีไม่มีหยุด
“ไอโลหะรุนแรงไม่เบาเลย หากรวมตัวกันด้านบนเกรงว่าจะกลายเป็นไอโลหะร้าย มิน่าล่ะอู๋เต๋อหลินถึงได้รับบาดเจ็บ!”
เดิมทีไอจากธาตุทั้งห้าจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์ นั่นเพราะร่างกายทุกคนล้วนมีธาตุทั้ง 5 อยู่ในตัวบ้างไม่มากก็น้อย อีกทั้งธาตุทั้งห้าที่ล่องลอยอยู่ภายในอากาศล้วนสมดุลซึ่งกันและกัน หากดูดซึมมีแต่จะได้รับประโยชน์ต่อร่างกาย
แต่เวลาที่ไอธาตุทั้งห้าสูญเสียความสมดุล หลังจากหนึ่งในธาตุบริสุทธิ์ทั้งห้ากลับกลายแข็งแกร่งขึ้นมา ปราณวิเศษของธาตุนั้นจะกลับกลายเป็นปราณชั่วร้าย เช่นเดียวกับที่ไอโลหะแหลมคมแปรเปลี่ยนเป็นไอโลหะร้าย และหมอกควันพิษในหนองน้ำความจริงก็คือไอดินพิฆาต ล้วนทำให้เกิดอาการบาดเจ็บหนักในร่างกายมนุษย์
เยี่ยเทียนสามารถสัมผัสได้ว่า ไอโลหะแหลมคมแพร่กระจายออกมาจากถ้ำในเหมืองเหล่านั้นเป็นสาย รวมตัวกระจุกอยู่ตรงกลางห้องโถง เมื่อถูกพัดลมเป่าจะลอยตามช่องระบายอากาศขึ้นไปยังผิวดิน ด้วยอาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมที่อู๋เต๋อหลิน สร้างทำให้ไอโลหะแหลมคมเหล่านี้ระบายออก วันเดือนผ่านไป ก็กลายเป็นปราณโลหะร้าย
ด้วยสาเหตุนี้ ไอโลหะร้ายภายใต้เหมืองจึงได้รับการระบาย ทว่าคนที่โชคร้ายกลับเป็นอู๋เต๋อหลิน ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่มา อู๋เต๋อหลินแม้จะไม่เสียชีวิตอย่างกระทันหัน แต่อายุขัยที่เหลืออยู่อย่างมาก ก็คงไม่เกินห้าสิบปีแน่นอน
“ไอโลหะแหลมคมถึงขนาดนี้ หรือว่าข้างใต้จะมีสายแร่วิเศษอยู่?”
สัมผัสถึงปราณวิเศษภายในถ้ำเหมืองแล้ว เยี่ยเทียนก็อดสงสัยทิศที่อยู่ก่อนหน้านี้ขึ้นมาไม่ได้ ทันใดนั้นจึงถอยออกไปด้านข้าง ปล่อยให้คนงานพวกนั้นขึ้นบนลิฟท์ แล้วค่อยๆ ปล่อยญาณสัมผัสออกมา
“แปลกจัง ปราณวิเศษธาตุโลหะอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ แล้วทำไมถึงไม่มีสายแร่อยู่เลย?”
วินาทีหลังจากนั้น ใบหน้าเยี่ยเทียนก็มีสีหน้าประหลาดใจ นั่นเพราะญาณสัมผัสที่เขาปล่อยออกไปสำรวจใต้พื้นดินหลายร้อยเมตร กลับไม่พบเจอสายแร่วิเศษ อีกทั้งปราณวิเศษที่แผ่ออกมาจากใต้ดินยังเบาบางกว่าที่มีอยู่ในอากาศตอนนี้หลายเท่านัก
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า ปราณวิเศษของธาตุโลหะนี้ มีเพียงเฉพาะในทองคำเท่านั้นหรือเปล่า แต่ขอแค่เป็นธาตุโลหะ ล้วนสามารถกระจายปราณวิเศษประเภทนี้ แค่ปริมาณและคุณภาพจะไม่อาจเทียบเท่าปราณวิเศษในทองคำบริสุทธิ์เท่านั้นเอง
ปราณวิเศษที่แผ่ออกมาจากธาตุโลหะเหล่านี้ สุดท้ายจะหลอมละลายเข้ากับอากาศ กลยเป็นหนึ่งในธาตุทั้งห้า และกลายเป็นที่มาของลักษณะธาตุทั้งห้าแห่งฟ้าดินนั่นเอง
เงื่อนไขการก่อตัวของสายแร่วิเศษค่อนข้างเข้มงวด ใช่ว่าเป็นธาตุโลหะแล้วจะมีสายแร่วิเศษ ไม่อย่างนั้นติงหงผู้นั้นคงจะไม่จับตามองสายแร่วิเศษที่ไซบีเรีย จนเหมาะกับคำว่านกตายเพราะหาอาหารอย่างแท้จริง
“คุณจ้าว คุณจะเข้าไปดูส่วนลึกของเหมืองไหมครับ?” หลังจากรอคนงานเหล่านั้นขึ้นไปแล้ว เฉินปินก็ร้องเรียกเยี่ยเทียน
ได้ยินคำพูดของเฉินปินแล้ว เยี่ยเทียนก็เก็บญานสัมผัสกลับ ส่ายหน้าตอบว่า “ไม่ล่ะครับ ผมนึกว่าลงมายังถ้ำเหมืองแล้วจะสามารถเก็บทองคำแท้ได้ซะอีก สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ ข้างล่างนี้ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย”
จากการตรวจสอบโดยญานสัมผัสเมื่อครู่ เยี่ยเทียนจึงรู้สึกได้ว่า ปราณวิเศษที่แผ่ออกมาไม่ขาดสายนั้น ล้วนแผ่มาจากหินภายในถ้ำที่ยังไม่ได้ขุดเจาะ
แม้ว่าปริมาณของปราณวิเศษในหินแร่แต่ละชิ้นไม่ได้มีมากมายนัก แต่ก็ไม่อาจเทียบกับแร่ทองคำภายใต้พื้นดินทั้งหมด พอรวมกันแล้วจึงกลายเป็นเนืองแน่น เมื่อรู้ที่มาของปราณวิเศษอย่างชัดเจนแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่มีความสนใจจะอยู่ข้างใต้นี้อีกต่อไป
“หึๆ คุณจ้าว หินแร่เหล่านี้ยังไม่ได้ผ่านการหลอม จึงมองอะไรไม่ออก เดี๋ยวพวกเราขึ้นไปข้างบนกันเถอะครับ”
เฉินปินไม่รู้สึกว่าคำพูดของเยี่ยเทียนแปลกประหลาด ก่อนหน้านี้ก็มีแขกผู้มาเยื่อนสงสัยอยากลงมาในถ้ำเหมือง การแสดงออกของพวกเขาย่ำแย่ยิ่งกว่าเยี่ยเทียน อากาศขุ่นมัวและบรรยากาศอับทึบพวกนั้น แทบจะทำให้พวกเขาที่เพิ่งลงมาโวยวายอยากกลับขึ้นไปข้างบน
“ครับ งั้นผมขอพักสักครู่”
แม้ว่าปราณวิเศษที่นี่จะไม่เทียบเท่ากับค่ายกลรวมวิญญาณในฮ่องกง แต่โบราณว่าต่อให้แมลงเล็กแค่ไหนก็ยังเป็นเนื้อ เยี่ยเทียนจึงยืนโคจรลมปราณอยู่ตรงนั้น ทันใดบรรยากาศรอบตัวเขาก็เคลื่อนไหวโดยไร้รูปร่าง กระแสปราณวิเศษที่ล่องลอยอยู่ในอากาศจึงถูกเขาดูดซับเข้าสู่ร่างกายอย่างเต็มที่
ขณะที่อยู่ในห้องใต้ดิน มีคนงานทั้งหมดสองร้อยกว่าคนกำลังขุดเหมือง เวลานั้นกำลังเป็นเวลาเลิกงานพอดี รออยู่ประมาณสิบกว่านาที ลิฟท์ก็กลับลงมายังชั้นล่างของเหมืองอีกครั้ง แล้วเยี่ยเทียนกับคนงานอีกกลุ่มก็ขึ้นมายังผิวดินพร้อมกัน
“เสี่ยวจ้าว เป็นยังไงบ้าง ฉันไม่ได้โกหกเธอใช่ไหม?”
เยี่ยเทียนเพิ่งจะถอดชุดนิรภัยออกมาจากทางเข้าเหมือง อู๋เต๋อหลินก็เข้ามาต้อนรับ หัวเราะเสียงดัง “ภายในถ้ำเหมืองนั่นไม่ใช่ที่ที่คนอย่างเธอจะอยู่ ไปกันเถอะ จระเข้น้ำแดงกับไข่นกยูงทอดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราไปดื่มกัน!”
ด้วยวรยุทธ์ปัจจุบันของเยี่ยเทียน ในโลกฆราวาสนับว่าได้กลับสู่เนื้อแท้แล้ว มองจากภายนอกอาจไม่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่ว่าคุณลักษณะอันสูงส่งเป็นเอกลักษณ์บนตัวของเยี่ยเทียนนั้นไม่อาจปกปิดได้ อู๋เต๋อหลินย่อมมองออก
“ครับ งั้นต้องขอบคุณ ประธานอู๋ ที่เลี้ยงอาหารแล้ว”
เห็นอู๋เต๋อหลินเชิญชวนอย่างจริงใจ เยี่ยเทียนก็ไม่เกรงใจอีก เดินตามหลังเขาเข้าไปยังห้องอาหารของเหมืองนี้
อู๋เต๋อหลินรู้จักวางตัวดีมาก ภายในห้องอาหารเหมืองแร่แห่งนี้ ในฐานะเถ้าแก่ อู๋เต๋อหลินยังนั่งกินข้าวที่เดียวกันกับเหล่าคนงานเหมือง กินอาหารชนิดเดียวกัน แต่ว่าวันนี้มีแขกมา อู๋เต๋อหลินจึงให้พนักงานออกจากห้องกินข้าวแยกชั่วคราว
“เสี่ยวจ้าว มา ชนแก้วหน่อย ลองชิมแล้วรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง? ในจีนคงหาเนื้อจระเข้กินไม่ได้ง่ายหรอก!”
คนที่นั่งอยู่ริมโต๊ะนอกจากเฉินปินแล้ว หวาจวินยังถูกอู๋เต๋อหลินลากตามมาด้วย นี่ก็เป็นจุดที่เขาวางตัวดีมากเช่นกัน ไม่เมินเฉยใส่หวาจวินเพราะเห็นว่าฐานะต่ำกว่า เพียงมื้อเดียวเท่านั้น ก็ทำให้หวาจวินพูดถึงแต่เรื่องดีงามของเขาต่อหน้าคนอื่น
“จระเข้รสชาติเฉยๆ แต่ไข่นกยูงไม่เลวเลยครับ”
ตอนเด็กๆ เยี่ยเทียนที่อยู่เหมาซานเคยทำอาหารจากสัตว์ป่ามาไม่น้อย จึงพูดได้ว่าไม่เลือกกิน หลังจากดื่มเบียร์หนึ่งแก้วก็กินเข้าไปคำใหญ่ เนื้อจระเข้นั้นออกจะเหนียวกัดไม่ค่อยลง แต่ว่ารสชาติไข่นกยูงไม่เลว จนเยี่ยเทียนกินพลางหยักหน้าติดต่อกัน
“เสี่ยวจ้าว เธอว่านอกจากโรงหลอมกับกำแพงนั่น ยังมีอะไรต้องเปลี่ยนแปลงอีกไหม?”
ก่อนหน้านี้อู๋เต๋อหลินไม่เคยเชื่อมโยงสุขภาพตนเองเข้ากับฮวงจุ้ยของโรงงานเลย แต่วันนี้พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนี้ ในใจเขาจึงลังเลขึ้นมา จนอดขอคำชี้แนะจากเยี่ยเทียนบนโต๊ะอาหารไม่ได้
“นอกจากสองตำแหน่งนั้น ก็ไม่มีอะไรจำเป็นต้องแก้ไขแล้วล่ะครับ”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง ยื่นมือไปเลื่อนกระเป๋าสะพายมาไว้ตรงหน้าอกหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาจากข้างใน บอกว่า “ประธานอู๋ คุณสัมผัสเหมืองแร่มาไม่น้อย ไม่ทราบว่าเคยเห็นของสิ่งนี้ไหมครับ?”
พูดพลาง เยี่ยเทียนก็เอาโลหะสีน้ำเงินขนาดพอๆ กับหัวแม่มือวางลงบนโต๊ะ
โบราณว่าคนเดียวหัวหายสองคนเพื่อนตาย เยี่ยเทียนรู้สึกว่าตนเองเข้าร่วมกลุ่มท่องเที่ยวทัศนศึกษาเพื่อหาสายแร่แล้วไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่ จึงนึกถึงการเปลี่ยนสภาพทองสีน้ำเงินในสายแร่โลหะวิเศษขึ้นมา
เหมือนกับสายแร่วิเศษ ทองสีน้ำเงินชนิดนี้เป็นวัตถุดิบสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งและพลังโจมตีให้กับอาวุธ และหายากอย่างยิ่ง โดยทั่วไปแล้วจะปรากฎอยู่รอบๆ สายแร่วิเศษเท่านั้น อาจพูดได้ว่า ในสถานที่ ที่มีสายแร่วิเศษไม่จำเป็นต้องมีทองสีน้ำเงิน แต่สถานที่ที่ปรากฎทองสีน้ำเงิน จะต้องมีสายแร่วิเศษอยู่แน่นอน
“นี่คือโลหะอะไรกัน?”
พออู๋เต๋อหลินรับทองคำสีน้ำเงินขนาดเท่าหัวแม่มือนั้นไปแล้ว ก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน
ถึงแม้อู๋เต๋อหลินจะมีความรู้ไม่มากนัก กระทั่งชั้นมัธยมต้นยังเรียนไม่จบ แต่ความรู้ความเข้าใจเรื่องแร่โลหะต่างๆ ของเขา เกรงว่าต่อให้เป็นศาสตราจารย์ด้านธรณีวิทยา ก็ยังไม่รอบรู้เท่าเขา
หินแร่ใดๆ ที่หยิบออกมานั้น อู๋เต๋อหลินล้วนสามารถเตรียมตัวระบุชนิดโลหะนั้นออกมาได้ แต่ทองสีน้ำเงินที่เยี่ยเทียนเอาออกมาชิ้นนี้กลับทำให้อู๋เต๋อหลินงงงัน เขาไม่เคยเห็นโลหะชนิดนี้มาก่อนเลย
“โลหะชนิดนี้มีจุดหลอมเหลวสูงมาก หลอมได้ยากเย็น เป็นสิ่งที่มาพร้อมกับเหมืองทอง”
เยี่ยเทียนนิ่งไปสักพัก แล้วพูดต่อ “ประธานอู๋ ผมขอฝากโลหะนี้ไว้ก่อน คุณช่วยสอบถามให้ผมหน่อย ดูว่ามีใครเคยเห็นบ้างไหมครับ?”
ทองสีน้ำเงินนี้ถึงแม้จะมีค่าสูง แต่เมื่อเทียบกับสายแร่วิเศษแล้ว ยังห่างไกลนัก อีกทั้งในมือเยี่ยเทียนยังมีอยู่หลายชิ้น ให้ทองสีน้ำเงินชิ้นเล็กสุดนี่ไป สำหรับเขายังถือเป็นเรื่องเล็ก
พินิจพิจารณาทองสีน้ำเงินอยู่นาน จนอู๋เต๋อหลินอดเอ่ยปากถามขึ้นไม่ได้ “โลหะนี่มีค่ามากหรือ?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ตอบว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ สำหรับคนทั่วไปไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่ว่าสำหรับผมนั้นสำคัญมาก หากสองวันนี้ประธานอู๋พอมีเวลาว่างล่ะก็ รบกวนช่วยใส่ใจให้ผมหน่อย”
“ได้สิ ไม่มีปัญหา เดี๋ยวฉันจะโทรศัพท์หาพวกเพื่อนเก่าเอง” อู๋เต๋อหลินพยักหน้า เพียงกระดิกนิ้วนิดเดียวก็สามารถคบหาเด็กหนุ่มไม่ธรรมดาคนนี้ได้ เขาย่อมตกลงเป็นธรรมดา
……
ขณะที่เยี่ยเทียนชนแก้วดื่มสังสรรค์กับอู๋เต๋อหลินอยู่นั้น ที่เมืองโจฮันเนสเบิร์ก ห่างจากเมืองเคปทาวน์กว่าพันกิโลเมตร บรรยากาศเหมือนคลื่นลมสงบ แต่แท้จริงแล้วมันคือคลื่นใต้น้ำอย่างลับๆ สาเหตุไม่ใช่เรื่องใดอื่น แต่เป็นเพราะองค์การอาชญากรรมระหว่างประเทศประกาศเตือนมาทางแอฟริกาใต้ ว่ามีกองทหารรับจ้างชื่อเสียงโด่งดังสองกลุ่มเดินทางเข้ามายังโจฮันเนสเบิร์ก
เรื่องนี้ทำให้ตำรวจแอฟริกาใต้ตื่นตัวขึ้นมาในทันที โจฮันเนสเบิร์กนับว่าเป็นเขตที่มีทองคำและเพชรปริมาณมากที่สุดแห่งหนึ่งในแอฟริกาใต้ ซึ่งทำรายได้ให้รัฐบาลแอฟริกาใต้อย่างมหาศาลในทุกๆ ปี พวกเขาจึงไม่มีทางยอมให้เหล่าทหารรับจ้างพวกนี้ก่อเรื่องขึ้นบนดินแดนนี้เด็ดขาด
แต่สิ่งที่ทำให้ตำรวจแอฟริกาใต้อับจนหนทางก็คือ หลังจากกองทหารรับจ้างสองกลุ่มนั้นเข้ามายังเมืองโจฮันเนสเบิร์กก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ทางฝ่ายแอฟริกาใต้รู้สึกเหมือนเจอหนูขโมยไข่แต่ทำอะไรไม่ได้
ตอนที่ 796 หกเหยาทำนาย
จากเคปทาวน์ถึงโจฮันเนสเบิร์ก เป็นระยะทางทั้งหมด หนึ่งพันสามร้อยกว่ากิโลเมตร โชคดีที่เมื่อในอดีตชาวอังกฤษลงทุนเป็นเงินจำนวนมหาศาลต่อการคมนาคม บวกกับแอฟริกาพื้นที่กว้างใหญ่ผู้คนเบาบาง หลังจากหยุดพักระหว่างทางชมเหมืองทองอีกสองแห่งแล้ว ก็มาถึงเมืองโจฮันเนสเบิร์กในเวลาย่ำค่ำของวันต่อมา
“พี่จ้าว มาเมืองโจฮันเนสเบิร์กเป็นครั้งแรกหรือเปล่าครับ?”
หลังจากเห็นท่าทีของอู๋เต๋อหลินที่มีต่อเยี่ยเทียน หวาจวินเองก็สัมผัสถึงด้านที่ไม่เหมือนคนทั่วไปของเยี่ยเทียนด้วยเช่นกัน สองวันมานี้จึงมีท่าทีกระตือรือร้นต่อเยี่ยเทียนอย่างมาก ที่เคยเรียกว่าคุณเจ้าก็กลายมาเป็นพี่เจ้า แต่คนขับรถยังคงพูดจาไม่กี่คำตลอดเส้นทางเหมือนเดิม
เยี่ยเทียนมองบรรยากาศข้างนอกหน้าต่าง พยักหน้าแล้วตอบว่า “ใช่แล้วครับ ผมพึ่งเคยมาแอฟริกาเป็นครั้งแรก”
“งั้นพรุ่งนี้ผมจะพาพี่จ้าวเดินเล่นรอบๆ เมืองเอง เมืองโจฮันเนสเบิร์กมีจุดน่าดูหลายแห่งทีเดียว!”
หลังจากรถยนต์ขับเข้าสู่เส้นทางจราจรภายในเมืองแล้ว หวาจวินก็ชี้ให้ดูอาคารตึกสูงจำนวนมหาศาลสองข้างทาง กล่าวว่า “เมืองโจฮันเนสเบิร์กเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาใต้ครับ และเป็นใจกลางแหล่งผลิตทองคําที่ใหญ่ที่สุดของโลก จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทองคำ เมื่อเทียบกับที่นี่แล้วเมืองเคปทาวน์ก็นับว่าเป็นแค่เมืองชนบทเท่านั้น
คำพูดของหวาจวินแม้ว่าจะเกินเลยไปหน่อย แต่ที่ปรากฏตรงหน้าเยี่ยเทียน ก็เป็นภาพลักษณ์ของเมืองใหญ่ระดับนานาชาติอย่างแท้จริง ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำ ดวงไฟในเมืองส่องสว่าง หลอดไฟนีออนฉายแสงรูปทรงประหลาดอยู่บนโครงสร้างอาคาร ยิ่งเพิ่มบรรยากาศเมืองใหญ่ในยุคปัจจุบัน
“อืม ไม่เลวทีเดียว สถานที่แห่งนี้รุ่งเรืองมาก พอๆ กับนิวยอร์คเลย”
มองไปยังเมืองซึ่งยังอ่อนวัยอีกทั้งเต็มไปด้วยชีวิตชีวาแห่งนี้ เยี่ยเทียนก็พยักหน้า เขารู้ว่าตลาดหุ้นโจฮันเนสเบิร์ก ซึ่งเป็นตลาดการลงทุนระดับหนึ่งในสิบของโลกอยู่ที่เมืองแห่งนี้ ที่นี่จึงเป็นเมืองที่เศรษฐกิจรุ่งเรืองที่สุดในแอฟริกา
แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนประหลาดใจเล็กน้อยก็คือ ตามถนนหนทางที่แสงไฟส่องสว่างของเมืองนี้ กลับมีคนน้อยนิดอย่างมาก กระทั่งรถยนต์ยังมีน้อยเหลือเกิน บนถนนเส้นใหญ่ยังมีรถขับมาเพียงแค่สามถึงห้าคันเท่านั้นเอง
“เมืองประหลาด” เยี่ยเทียนส่ายหน้า แต่ไม่ถามไปทางหวาจวิน เมืองที่อยู่ต่างประเทศบางแห่งก็เป็นเช่นนี้ ทุกครั้งที่ตกกลางคืนจะกลับกลายเป็นเหงาหงอย ราวกลับคนทั้งเมืองหายตัวไปอย่างฉับพลัน
“พี่จ้าว พวกเราพักกันก่อน แล้วพรุ่งนี้ผมจะพาพี่ชมเหมืองร้างที่ใหญ่ที่สุดของโจฮันเนสเบิร์กนะครับ อยู่ที่นั่นแล้วพี่จะเข้าใจประวัติศาสตร์เหมืองทองทั้งหมดของแอฟริกาเลย!”
หวาจวินลงจากรถอย่างคล่องแคล่ว หลังจากก้าวไปยังหน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับของโรงแรมแล้ว ก็หยิบบัตรใบหนึ่งเดินมานั่งข้างเยี่ยเทียนที่โซฟาสำหรับต้อนรับลูกค้า บอกว่า “พี่จ้าวครับ ขั้นตอนการเข้าพักจัดการให้พี่เรียบร้อยแล้ว ผมกับพี่หลิวไม่รบกวนการพักผ่อนของพี่ล่ะ พรุ่งนี้จะมารับพี่แต่เช้าครับ!”
เนื่องจากผู้สนับสนุนเงินทุนโดยไม่ประสงค์ออกนามคนนั้น ออกเงินค่าท่องเที่ยวให้เยี่ยเทียนในครั้งนี้ เยี่ยเทียนจึงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี โรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมห้าดาวราคาแพงที่สุดในโจฮันเนสเบิร์ก มีแต่เยี่ยเทียนเข้าพักได้เท่านั้น ส่วนหวาจวินและพี่หลิวผู้มีฐานะไกด์นำเที่ยวและคนขับรถ จึงสามารถเข้าพักได้เพียงโรงแรมทั่วไปที่อยู่ไม่ไกลเท่านั้นเอง
“ตกลงครับ งั้นเราเจอกันพรุ่งนี้” เยี่ยเทียนคว้าเป้สะพายหลังขึ้นมา วันนี้เขาใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ รู้สึกเหมือนจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา กำลังคิดจะกลับไปทำนายที่ห้องอยู่พอดี
“เอ้อ พี่จ้าว มีเรื่องบางอย่างอยากจะบอกพี่ครับ”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจะเดินไป หวาจวินก็รีบร้องเรียกเขา บอกว่า “พี่จ้าว โรงแรมแห่งนี้พื้นที่กว้างขวาง เมื่อครู่ตอนที่พวกเราเข้ามา สิ่งอำนวยความสะดวกสองข้างทางล้วนเป็นของโรงแรมทั้งหมด มีทั้งคาสิโนและไนท์คลับ อยู่ที่นี่พี่จะเล่นอะไรก็ได้ทั้งนั้นครับ”
“ผมรู้แล้วล่ะ ทำไมเหรอ?” เยี่ยเทียนมองหวาจวินด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อย เรื่องพวกนี้จำเป็นต้องย้ำกับเขาซ้ำๆ ด้วยหรือไง?
หวาจวินส่ายหน้า ตอบว่า “พี่จ้าว ความหมายของผมก็คือ ตอนกลางคืนถ้าพี่อยากเที่ยว เที่ยวภายในขอบเขตของโรงแรมก็ได้ แต่อย่าออกไปข้างนอกเชียว”
“ทำไมล่ะ ความปลอดภัยของที่นี่แย่กว่าในเคปทาวน์อีกเหรอ?”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว เขาเคยเห็นผ่านกระจกจากห้องโรงแรมด้วยตาตัวเอง ว่าด้านล่างเกิดเหตุใช้ปืนก่อคดีปล้นชิงที่กระทำโดยเด็กหนุ่มผิวดำสองคน ไม่มีใครในพื้นที่รอบข้างไปหยุดเขา กระทั่งผู้หญิงคนนั้นที่ถูกปล้นก็ยังส่งกระเป๋าเงินของตัวเองให้โดยดี ทุกคนดูราวกับเคยชินจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว นั่นทำให้เยี่ยเทียนตกตะลึงพูดไม่ออก และนับว่าเข้าใจสภาพสังคมอันวุ่นวายของแอฟริกาใต้ขึ้นมา
“จะไม่แย่กว่าเคปทาวน์ได้ยังไงล่ะครับ? พี่จ้าว เมื่อครู่ตอนขึ้นรถ พี่ก็ถามนี่นาว่าทำไมไม่เห็นคนเดินถนนเลย?”
ใบหน้าหวาจวินมีรอยยิ้มเจื่อน พูดอย่างจนใจว่า “นั่นเป็นเพราะเมืองนี้มีสถิติคดีอาชญากรรมสูงมาก ไม่มีใครกล้าออกจากบ้านตอนกลางคืนหรอกครับ ขนาดตำรวจยังถูกคนดักปล้นเลย…”
“แย่ขนาดนั้นเชียว?” ได้ยินคำอธิบายของหวาจวินแล้ว ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็มีสีหน้าตกตะลึง เมืองแห่งทองคำอะไรกันเล่า เรียกว่าเมืองแห่งอาชญากรรมยังเข้าท่าเสียกว่า
เยี่ยเทียนคาดเดาไว้ไม่ผิด ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้าจนตาพร่าในทิศใต้ของแอฟริกา ภายใต้ภาพลักษณ์อันเจริญรุ่งเรือง สิ่งที่โด่งดังพอๆ กับเมืองแห่งนี้ ก็คือสถิติอาชญากรรมสูงลิ่ว จนสามารถเทียบระดับสูงสุดในโลกได้เช่นเดียวกัน
เนื่องจากสถิติว่างงานในแอฟริกาใต้สูงถึง 40% คนส่วนใหญ่ในกลุ่มคนว่างงานเป็นคนดำที่ขาดแคลนทักษะ และการศึกษาต่ำ การปล้นชิงจึงเป็นหนทางหาเงินที่ได้มาอย่างรวดเร็วที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย การแพร่หลายของอาวุธปืนจึงยิ่งทำให้เหตุการณ์นี้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ความปลอดภัยที่ย่ำแย่ลงทำให้พบเห็นการจี้ปล้นได้บ่อยครั้ง อีกทั้งยังบ่มบรรยากาศความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ทำให้คนชนชั้นระดับกลางและสูงหรือบริษัทตัวแทนการลงทุนขนาดใหญ่ในแอฟริกาจำเป็นต้องอพยพไปสู่ชายแดนทางเหนือ และระบบต่างๆ ของเมืองก็ย้ายไปทางเหนือไม่หยุด
นอกเหนือไปจากนี้ เงินทุนต่างชาติที่เกรงกลัวความเสี่ยงเองก็ย้ายตามไปข้างนอกด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ร้านอาหารในเขตเมืองและไนท์คลับทั้งหลายต่างปิดกิจการตามๆ กันไป ทำให้เมืองแห่งทองคำที่แสนวุ่นวายจอแจแห่งนี้ กลายเป็นเมืองที่ถูกทิ้งร้างในเวลากลางคืน เฉกเช่นบรรยากาศเหงาหงอยที่เยี่ยเทียนเห็นก่อนหน้านี้
“ได้ครับ ผมเข้าใจแล้ว ตอนพวกคุณกลับไปก็ระวังตัวด้วยล่ะ”
สำหรับเรื่องความไม่สงบในแอฟริกาใต้นั้น เยี่ยเทียนกลับไม่นึกสนใจ เขาแค่ไม่ชื่นชอบเที่ยวคลับพวกนั้นเท่าไหร่ หากมีเวลาขนาดนั้นสู้นั่งสมาธิอยู่ในห้องหยั่งรู้ลิขิตฟ้าดีกว่า
นับตั้งแต่เข้ามาในขอบเขตเซียนเทียน เยี่ยเทียนก็มีความรู้สึกว่าการดูดซับปราณวิเศษมีความสำคัญโดยแท้จริง แต่การฝึกฝนขอบเขตจิตใจก็จำเป็นไม่น้อยไปกว่ากัน ทั้งสองอย่างต้องเติมเต็มซึ่่งกันและกันโดยขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้
“พี่จ้าว วางใจเถอะครับ ผมมีเจ้านี่มาด้วย”
หวาจวินยิ้มตบหน้าอก แล้วร่องรอยของปืนพกก็เผยออกมาให้เห็น แต่เขากลับไม่รู้ตัวเลยว่า ตั้งแต่ตอนที่เจอเขาครั้งแรก เยี่ยเทียนก็มองเห็นว่าเขาพกอาวุธมาแต่แรกแล้ว
หลังจากร่ำลาหวาจวิน เยี่ยเทียนก็มายังห้องที่อยู่บนชั้นแปดของโรงแรม เมื่อกดปุ่มห้ามรบกวนแล้ว เขาก็พุ่งตัวเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ พออยู่กับพวกหวาจวินแล้ว เยี่ยเทียนปิดรูขุมขนขับเคลื่อนลมหายใจภายในร่างกายโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นการเดินทางสองวันนี้จึงทำให้ตัวเขาส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวไปหมด
“เก็บกดมาหลายวัน ในที่สุดก็จะได้ลงมือเสียทีสินะ?”
หลังอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนก็เปลี่ยนใส่เสื้อผ้าสะอาด นั่งลงตรงโต๊ะน้ำชาของห้อง ปิดตารวบรวมสมาธิ คนโบราณก่อนที่จะเริ่มทำนายดวงชะตา มักจะชำระล้างร่างกายให้สะอาดเสมอ โดยอ้างว่าเป็นการเทิดทูนฟ้าดิน แต่ความจริงแล้วกลับแค่เป็นการปรับสภาพจิตใจตนเองเท่านั้น
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนจึงหยิบเหรียญทองแดงสามเหรียญรวมถึงเหรียญต้าฉีทงเป่าออกมา แม้ว่าวรยุทธ์ของเยี่ยเทียนจะพัฒนาขึ้นแล้ว แต่จนปัจจุบันเขาก็ยังไม่สามารถหาเครื่องรางพยากรณ์ได้ดีไปกว่าต้าฉีทงเป่าเลย
ระหว่างทางเมื่อสองวันก่อน เยี่ยเทียนก็ได้ลองเสี่ยงทายดู เพียงแต่คำทำนายที่ได้กลับไม่ชัดเจนนัก เวลาที่อยู่กับหวาจวินยิ่งไม่สามารถหยิบเหรียญทองแดงออกมาทำนายได้ เพราะเหตุนั้นจนถึงตอนนี้เยี่ยเทียนจึงจะมีเวลาทำนายให้ตนเองอย่างแท้จริง
ถูเหรียญทองแดงในมือเล็กน้อย แล้วเยี่ยเทียนก็โยนมันลงบนโต๊ะ จากนั้นก็โยนเหรียญทองแดงลงอีกครั้ง คราวนี้ทำซ้ำหกครั้ง เพราะใช้ศาสตร์โจวอี้ทำหกเหยาทำนาย คำทำนายในทุกครั้งล้วนถูกเขาบันทึกในใจอย่างมั่นคง
“กลับกลายสองเหยาหรือ? ให้ตายสิ พวกมันเตรียมวิธีการอะไรไว้กันแน่ ถึงได้สถานการณ์แบบนี้?”
หลังจากเยี่ยเทียนเสี่ยงทายแล้ว ใบหน้าก็มีสีหน้าตกตะลึง ปกติการทำนายจะใช้การเปลี่ยนแปลงของเหยาบนเป็นหลัก โดยปกติก็คือจะมีโชคดีหรือโชคร้ายพอๆ กัน
แต่ที่เยี่ยเทียนทำนายออกมาได้ครั้งนี้ บนและล่างทั้งสองเหยาล้วนทำนายว่าแย่ โดยเฉพาะเหยาบนเป็นอี๋กว้า(ซานเหลยอี๋) ไขอักษรหกเหยาทั้งสองครั้งแสดงให้เห็นว่าอนาคตอันใกล้จะมีเหตุรุนแรง ถูกผิดแยกกัน ผู้พลั้งพลาดประสบเคราะห์กรรมถึงตายได้
เยี่ยเทียนทำสัญลักษณ์มือข้างหนึ่ง ไขว้นิ้วท่องคาถาสองสามคำ มีคำทำนายก็ย่อมแก้ไขได้ เยี่ยเทียนจึงทำนายให้ลึกลงไปอีก พลันก็ตกตะลึงขึ้นมา เอ่ยปากพึมพำว่า “สูญสิ้นเมื่อพบทอง? เข้าใจแล้วล่ะ บังอาจคิดใช้เล่ห์กลที่นั่นเชียว?”
สองวันที่ผ่านมานี้ เยี่ยเทียนได้ลงไปเหมืองทองสามแห่ง ทุกเหมืองทองล้วนลงไปใต้ดินถึงร้อยกว่าเมตร ในบรรยากาศแบบนั้น ต่อให้เป็นเยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกอึดอัดไม่เป็นสุข นั่นเพราะหากเกิดเหตุเหมืองถล่มหรือภัยพิบัติขึ้นมา ต่อให้เป็นเทวดาก็เอาตัวไม่รอด
อีกทั้งหากเกิดภัยพิบัติที่ไม่อาจคาดเดาได้ในเหมืองทองร้างเหล่านั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้ยาก เพียงแค่ติดตั้งสารระเบิดบางอย่างก็สามารถฝังตัวเยี่ยเทียนเอาไว้ใต้ดินแล้ว และในดินแดนอย่างแอฟริกาใต้นี้ คงไม่มีใครขุดค้นหาสาเหตุภัยพิบัติในเหมืองหรอก
“บัดซบเอ๊ย ถ้าหากวันนี้ไม่ทำนายดวง มีหวังได้ทรมานแสนสาหัสแน่นอน!”
หน้าผากของเยี่ยเทียนผุดเหงื่อฉาบบางหนึ่งชั้น นักพยากรณ์ใช่ว่าจะทำได้ทุกสิ่งอย่าง พอเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับตัวเอง ก็มักจะถูกลิขิตฟ้าบังตาเอาไว้ ขนาดที่ต่อให้เยี่ยเทียนสามารถคาดเดาจากลางสังหรณ์ล่วงหน้าได้ แต่หากร่างกายอยู่ลึกใต้ดินเกรงว่าเขาเองก็คงไม่มีปัญญาทะยานกลับสู่ฟ้า
“อยากให้ฉันตาย ก็ต้องมาดูกันว่ามีปัญญาพอไหม!” เยี่ยเทียนหัวเราะเยือกเย็นออกมา ลดพลังลมปราณจากทั่วร่างลง ถึงแม้ตอนนี้วรยุทธ์ของเขาจะพัฒนาขึ้นทุกวัน แต่เยี่ยเทียนก็ยังคงให้ความเคารพ ไม่กล้าบังอาจทำนายดวงชะตาตนเองโดยไม่เกรงกลัวฟ้าดิน
“หืม? ใครโทรศัพท์มาหาเราตอนนี้?”
หลังจากที่เยี่ยเทียนลดพลังลมปราณที่แผ่ไปทั่วร่างกลับมานั้น โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเป้ก็ดังขึ้นทันที ซึ่งเป็นหมายเลขที่เขาใช้ชั่วคราวในแอฟริกาใต้ มีเพียงพวกมาลาไกย์และไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้
ตอนที่ 797 เหมืองทองโจฮันเนสเบิร์ก
“คุณเยี่ย ผมเองมาลาไกย์!”
หมายเลขโทรศัพท์นี้ของเยี่ยเทียน มีน้อยคนนักที่จะรู้ เป็นตามที่คาด พอรับโทรศัพท์ เสียงของมาลาไกย์ก็ดังตามสายมา
“เหล่าหม่า มีอะไรเหรอ? ช่วงนี้คุณมีเรื่องกวนใจเยอะแยะนี่นา? ทำไมถึงนึกอยากโทรศัพท์หาผมล่ะ?”
พอได้ยินเสียงมาลาไกย์ เยี่ยเทียนก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เขามีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ที่ทำในรัสเซียนั้นอย่างมาก ถึงแม้จะผ่านมาสามสี่เดือนแล้ว แต่ว่ามาลาไกย์ก็ยังสลัดข้อสงสัยไม่พ้น เขาถูกหน่วยลับของรัสเซียไล่บี้จนแทบจะเป็นบ้าแล้ว
มาลาไกย์ตอบอย่างขุ่นเคือง “คุณเยี่ย คุณนี่ไม่ใจกว้างเลย ผมเอาเงินมาจากคุณแค่ยี่สิบล้านเท่านั้น แต่กลับมีเรื่องไม่หยุดหย่อนจนถึงวันนี้…”
“เอาน่า เหล่าหม่า มีธุระก็พูดมาเลย ผมยุ่งอยู่” เยี่ยเทียนออกปากตัดบทคำพูดของมาลาไกย์ เขายังทำนายดวงชะตาไม่เสร็จ จึงไม่มีเวลามาคุยไร้สาระกับมาลาไกย์
“ก็ได้ คุณเยี่ย คุณไปทำให้ใครไม่พอใจในแอฟริก้าใต้หรือเปล่า?” น้ำเสียงของมาลาไกย์ตึงเครียดขึ้นมาทันใด
“หืม? เหล่าหม่า ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ? คุณไปได้ยินอะไรมาหรือไง?” ใบหน้าของเยี่ยเทียนมีแววประหลาดใจออกมาเล็กน้อย สิ่งที่เขาระแคะระคายจากการทำนายเมื่อครู่ มาลาไกย์กลับล่วงรู้เสียแล้วหรือ
“บอสส์ คราวนี้คุณเล่นของสูงอีกแล้วนะ”
มาลาไกย์เปลี่ยนคำเรียกชื่ออันสนิทสนมเป็นบอสส์ หัวเราะเจื่อนๆ ตอบ “สามวันก่อน กองทหารรับจ้างหกกลุ่มถูกจ้างวานในอเมริกาและแอฟริกา พื้นที่เป้าหมายคือแอฟริกาใต้ บอสส์ นอกจากเอาไปรับมือคุณ ผมก็นึกไม่ออกว่าใครที่จำเป็นต้องใช้กองกำลังใหญ่ขนาดนี้…”
กองกำลังของคนอย่างมาลาไกย์ แม้ว่าต่อหน้าเยี่ยเทียนจะดูไม่ค่อยมีฝีมือมากอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่ากองทหารรับจ้างเล็กๆ ของเขา ก็เป็นที่เลื่องลือในวงการทหารรับจ้าง จริงอยู่ที่ศัตรูมีไม่น้อย แต่มิตรสหายก็อยู่ทั่วทุกพื้นที่เช่นกัน จึงไม่เคยขาดแคลนแหล่งข่าว
เพิ่งเมื่อวานนี้เอง ที่มาลาไกย์ได้รับโทรศัพท์จากนายหน้าวงการทหารรับจ้าง สอบถามว่าช่วงนี้เขามีเวลาหรือเปล่า อยากรับภารกิจจ้างวานที่แอฟริกาใต้งานหนึ่งไหม ทั้งยังอธิบายว่างานนี้เป็นหนึ่งในบัญชีดำ
ที่เรียกว่าทหารรับจ้าง ก็แค่ใช้คำให้ดูสวยหรูเท่านั้น ความจริงขอแค่มีเงินให้ จะงานคุ้มกันสถานที่หรือสังหารคนล้วนทำทุกอย่าง และเพื่อแยกแยะคุณสมบัติของงาน เหล่านายหน้ามักจะใช้คำว่างานขาวและงานดำสองคำมาแทนที่ แค่ฟังมาลาไกย์ก็เข้าใจได้ในทันที
ช่วงนี้มาลาไกย์ยังต้องรับมือกับหน่วยงานลับของรัสเซียไม่เลิก ไหนเลยจะมีเวลาไปรับภารกิจนี้ จึงปฏิเสธไปในทันที ทว่าก่อนวางสายเขาพลันนึกได้ว่าเยี่ยเทียนอยู่แอฟริกาใต้ จึงไต่ถามข้อมูลเพิ่มเติม
จากการสอบถาม ทำให้มาลาไกย์ถึงกับตกตะลึง เพราะกองทหารรับจ้างแม่ม่ายดำที่แยกย้ายกันไปแล้วกลับรับภารกิจนี้ และกองกำลังอื่นๆ นอกจากนั้น ก็ล้วนเป็นกองกำลังอันแข็งแกร่งระดับต้นๆ ในวงการทหารรับจ้าง มาลาไกย์รู้พลังทำลายล้างของพวกเขาดี ถ้าหากหกกองทัพนี้มารวมตัวกัน ก็เพียงพอจะล้มล้างรัฐบาลของประเทศเล็กๆ แห่งหนึ่งได้เลยทีเดียว
โดยเฉพาะกองทหารแม่ม่ายดำ เป็นกองทัพระดับนักล่าในวงการทหารรับจ้าง ถึงมาลาไกย์จะเชื่อมั่นในตนเอง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณสมบัติกองทัพหรือการทำงานเป็นทีม กองทหารของเขาก็ยังไม่สามารถเทียบเท่ากองทหารรับจ้างแม่ม่ายดำได้
“บอสส์ครับ พวกเขาจะไปจัดการคุณหรือเปล่า?”
พออธิบายสถานการณ์ที่ตัวเองเข้าใจแล้ว มาลาไกย์ก็พูดว่า “บอสส์ ผมรู้ว่าคุณมีฝีมือ แต่กองทหารรับจ้างพวกนี้น่ะเก่งกาจจริงๆ ผู้นำกองกำลังแม่ม่ายดำไม่เคยแพ้ในการสู้รบมาก่อนเลย คุณต้องระวังตัวนะ!”
คร่ำหวอดอยู่ในวงการทหารรับจ้างมาสิบกว่าปี มาลาไกย์ย่อมรู้ดี ว่าจิตวิญญาณแห่งกองทัพไม่ได้อยู่ที่คนมีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุดในกองทัพ แต่เป็นผู้นำกองกำลัง และฝ่ายวางแผน
และผู้นำกองกำลังที่มีประสิทธิภาพ จะสามารถคิดคำนวนหาหนทางที่ดีที่สุดตามระดับความยากง่ายของภารกิจ เพื่อสะสางภารกิจโดยจ่ายราคาให้น้อยที่สุด หากพูดถึงจุดนี้ มาลาไกย์ยังรู้ว่าตัวเองยังห่างชั้นจากผู้นำกองกำลังแม่ม่ายดำเยอะนัก
“เหล่าหม่า ขอบใจมาก ผมรู้แล้ว”
หลังจากฟังเหล่าหม่าอธิบายจนจบแล้ว เยี่ยเทียนก็พยักหน้า ตอบว่า “ถ้าช่วงนี้คุณอยู่ไม่เป็นสุขล่ะก็ ไปปักกิ่งก็แล้วกัน ผมจะให้คุณรับงานคุ้มครองครอบครัวผมก็ได้”
เยี่ยเทียนรู้สึกประทับใจต่อการติดต่อมาของมาลาไกย์ครั้งนี้มาก แม้เขาจะคาดเดาได้ว่าพรุ่งนี้จะมีภัยใหญ่ แต่เยี่ยเทียนก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฝ่ายศัตรูเลย ข่าวสารของมาลาไกย์ทำให้เขาพอจะเตรียมตัวล่วงหน้าได้บ้าง
“บอสส์ รับทราบครับ ถ้าผมไปไหนไม่รอดแล้วจริง ก็จะไปหาที่พักพิงกับคุณ คุณอยู่ลำพังระวังตัวด้วยล่ะ!”
ในใจของมาลาไกย์เกิดระทึกขึ้นมานิดหน่อย เขาไม่รู้ว่าเมื่อกองทหารรับจ้างแม่ม่ายดำมาพบกับเยี่ยเทียน แล้วใครจะเป็นฝ่ายกำชัยชนะ แน่นอนว่า มาลาไกย์เข้าข้างเยี่ยเทียนที่บุกสังหารฝ่ากองทัพรัสเซียกว่าหมื่นนายออกมาได้มากกว่า
“เฉียนสามเชื่อมต่อ คุนหกตัดขาด หนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ หนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เราคว้าตรงกลางแล้วกัน”
หลังวางสายแล้ว สายตาของเยี่ยเทียนก็จับจ้องไปที่สัญลักษณ์กว้าอีกครั้ง ตอนนี้เขากำลังทำนายสถานที่ที่จะเกิดเรื่องขึ้นในวันพรุ่งนี้ โดยเปิดแผนที่ซึ่งหวาจวินทิ้งไว้ให้ เยี่ยเทียนเห็นตัวอักษรคำว่าเหมืองทองโจฮันเนสเบิร์กอย่างชัดเจนตรงตำแหน่งทางตะวันตกของเมือง
“บัดซบเอ๊ย ที่แท้คิดจะลงมือตรงนี้เองหรือ?” ดวงตาของเยี่ยเทียนเปล่งประกายเยือกเย็น ถ้าหากไม่ล่วงรู้จากคำทำนายเสียก่อน การเดินทางวันพรุ่งนี้คงจะกลายเป็นหายนะจริงๆ
แม้แหล่งทองคำในแอฟริกาใต้จะมีเหลือเฟือ แต่เหมืองทองคำอันอุดมสมบูรณ์ที่เปิดโล่งนั้นมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่ถ้ำเหมืองทองคำล้วนอยู่ลึกลงไปใต้ดินร้อยเมตร หากว่าอีกฝ่ายรอให้เยี่ยเทียนเข้าไปแล้ว ใช้สารเคมีระเบิดถล่มทำลายเหมือง ต่อให้เยี่ยเทียนมีเก้าชีวิตก็คงจะตายอยู่ใต้ดินนั่นเอง
“คิดคำนวณมาดีตามคาด…”
เยี่ยเทียนหัวเราะเสียงเยียบเย็น เผยจิตสังหารอันอำมหิตจากแววตา หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก็หยิบเอาเสื้อผ้าสีดำ มาเปลี่ยนแทนเสื้อฝึกวิชาสีขาว
สุภาษิตว่ามาถึงแต่ไม่เยี่ยมเยียนนับว่าไร้มารยาท เยี่ยตงผิงผู้เป็นพ่อเล่าตำนานของเหลยเฟิงให้เยี่ยเทียนฟังตั้งแต่เด็ก แต่เยี่ยเทียนไม่จดจำอะไรเลย คำพูดเดียวที่นำมาใส่ใจก็คือ “จงไร้เมตตาต่อศัตรู ราวกับสายลมปลิดใบในฤดูสารท”
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่รีบร้อนออกจากประตู แต่นั่งลงทำสมาธิภายในห้อง หลังจากสูดลมหายใจเข้าออกหลายครั้ง จิตใจก็เริ่มสงบกระจ่างขึ้นมา แล้วพื้นที่ครอบคลุมหลายตารางกิโลเมตรของโรงแรม ก็ถูกห่อหุ้มโดยญาณสัมผัสของเยี่ยเทียน
“ว่าแล้วเชียวว่ามีคนจับตาดูเราอยู่…”
ในสภาวะเช่นนี้ สติสัมปชัญญะของเยี่ยเทียนกลับกลายว่องไวขึ้นมาก เพียงมีความคิดที่มุ่งมายังเขา ก็จะถูกเขาจับได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยการตรวจสอบอย่างละเอียด เยี่ยเทียนจึงพบได้ในทันที ว่าดูเหมือนตึกของคลับที่อยู่ตรงข้ามโรงแรม มีกล้องส่องทางไกลอยู่สามจุด ซึ่งปลายทางนั้นก็คือห้องของเขานั่นเอง
ต้องบอกว่าพวกคนที่จับตามองเยี่ยเทียนอยู่เหล่านี้ฉลาดเฉลียวมากเช่นกัน พวกเขาไม่ได้ใช้ดวงตาสอดส่องในกล้องส่องทางไกล แต่ติดตั้งกล้องถ่ายรูปลงบนกล้องส่องทางไกล แล้วฉายภาพจากในนั้นลงบนหน้าจอโดยผ่านคอมพิวเตอร์
คนเหล่านี้ไม่ได้จับตาดูเยี่ยเทียนโดยตรง นั่นจึงทำให้เยี่ยเทียนไม่เกิดความรู้สึกว่าถูกจับตาดูอยู่ ดังนั้นตอนที่เข้ามาในโรงแรมหนแรก เขาจึงไม่ทันรู้สึก หากว่าเมื่อครู่ไม่ได้ทุ่มพลังจิตทั้งหมดสัมผัส เยี่ยเทียนก็คงไม่พบเล่ห์กลที่ซ่อนอยู่ในนั้นจริงๆ
“เหล่าหม่าพูดไว้ไม่ผิด คนพวกนี้ฝีมือสูงส่งจริงๆ!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า เมื่อวิทยายุทธของเขาเข้าสู่ระดับหลอมปราณสู่จิตแล้ว ก็สามารถสัมผัสภยันตรายและจิตอาฆาตจากลมปราณ ที่เยี่ยเทียนสามารถค้นพบตัวนักฆ่าหนึ่งในสามอันดับแรกของโลกที่เกาะฮ่องกง ก็มาจากการประเมินปราณชั่วร้ายบนร่างกายของเขา
หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ความสามารถนี้ของเยี่ยเทียนก็ถูกพัฒนาขึ้นเป็นร้อยเท่า ถึงขนาดที่ว่าหากมีคนเหลือบมองเยี่ยเทียนเพียงแวบเดียวจากในฝูงชน ก็จะสะท้อนออกมาในจิตใจของเขาหมด แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับสามารถวางกล้องส่องทางไกลถึงสามจุดอย่างเปิดเผยโดยไม่ถูกตนเองค้นพบ จึงเห็นได้ว่าความคิดของพวกเขาละเอียดรอบคอบ จนถึงขั้นคิดถึงจุดนี้ไว้แล้วล่วงหน้า
“เราประมาทไปจริงๆ!”
หน้าผากของเยี่ยเทียนผุดหยาดเหงื่อเม็ดละเอียดเป็นชั้น หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียน โดยเฉพาะหลังจากผ่านการสู้รบที่รัสเซีย นอกจากคนประเภทเดียวกับตนเองแล้ว ก็เกิดความจองหองขึ้นอย่างแท้จริง ไม่เคยเอาคนธรรมดาขึ้นมาเทียบชั้นกับตนเองเลย
“วอนหาที่ตายเอง ก็อย่ามาโทษคนแซ่เยี่ยล่ะ!”
เยี่ยเทียนลืมตา ยืดตัวลุกขึ้น หลังจากมองไปรอบๆ แล้วก็เลิกม่านเปิด ขณะเดียวกันก็ปิดดวงไฟใหญ่ในห้องทั้งหมด หลังจากผ่านไปประมาณสี่ถึงห้านาที ดวงไฟหม่นตรงหัวเตียงก็ดับลงเช่นเดียวกัน
ผู้คนที่จับตาดูเยี่ยเทียนเฝ้ารอสักพัก หลังจากนั้นค่อยส่งข่าวออกไป หน้าที่ของพวกเขาคือทำให้แน่ใจว่าเยี่ยเทียนไม่ได้ออกจากห้องโรงแรม ไม่อย่างนั้นแผนที่วางไว้สำหรับรับมือเยี่ยเทียนจะต้องปรับเปลี่ยนวางกันใหม่
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ในเวลาเดียวกันที่ดวงไฟหม่นดับลง เยี่ยเทียนก็ออกจากห้องโรงแรมโดยไร้สุ้มเสียง เขาไม่ได้ขึ้นลิฟท์ แต่ลงไปยังชั้นหนึ่งโดยทางหนีไฟ จากนั้นออกจากโรงแรมโดยทางออกของพนักงาน
แตกต่างจากภายในโรงแรมที่เต็มไปด้วยเสียงจอแจของผู้คน ทางเท้าในเมืองโจฮันเนสเบิร์กกลับเปลี่ยวเหงาอย่างน่าประหลาด ภายใต้แสงไฟส่องสว่างบนท้องถนนกลับเห็นเงาร่างไม่กี่คน ได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมาจากซอยลึกเป็นระยะ
ร่างของเยี่ยเทียนถูกห่อหุ้มอยู่ใจกลางม่านหมอกสีเทา ลอดผ่านตรอกซอยเล็กใหญ่ในเมืองโจฮันเนสเบิร์กราวกับภูตผี เนื่องจากวันนี้บนท้องฟ้าไม่ปรากฏเมฆแม้แต่นิดเดียว เยี่ยเทียนจึงไม่ได้ดึงวิชาเหินเวหาออกมาใช้
แต่ถึงแม้อย่างนั้น ความเร็วของเยี่ยเทียนก็ยังว่องไวหาใดเปรียบ ขณะที่ผ่านซอกซอย เขายังบดขยี้ลูกกระเดือกของใครบางคนที่ถอดกางเกงเตรียมกระทำการอนาจารไปหลายคน ถนนเส้นนั้นที่เยี่ยเทียนผ่าน เกิดสถิติอาชญากรรมต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
“เหมืองทองโจฮันเนสเบิร์ก!”
หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง เยี่ยเทียนก็ออกห่างจากใจกลางเมืองโจฮันเนสเบิร์ก มายังตำแหน่งสี่ถึงห้าสิบกิโลเมตรทางตะวันตกของเมือง หลังจากเลี้ยวขวาเข้าไปยังถนนใหญ่มีดวงไฟส่องสว่างแล้ว ประตูโค้งขนาดใหญ่ก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าเยี่ยเทียน
กำแพงเก่ารายล้อมและลวดตาข่ายไฟฟ้าสูงห้าเมตรด้านข้างประตูใหญ่ ล้วนแสดงให้เห็นว่าที่นี่เคยเป็นสถานที่ที่มีการป้องกันอย่างหนาแน่น
“นี่หรือคือเหมืองทองแห่งแรกของเมืองโจฮันเนสเบิร์ก?”
เยี่ยเทียนรู้ว่า นี่คือเหมืองทองที่ตัวเองจะต้องมาเยี่ยมชมในวันพรุ่งนี้ เหมืองทองแห่งนี้ดูราวจะอัดแน่นไปด้วยตำนานการขุดทองแห่งเมืองโจฮันเนสเบิร์ก นักท่องเที่ยวทั่วไปที่มายังโจฮันเนสเบิร์ก ล้วนต้องมาเยี่ยมชมที่นี่เป็นแห่งแรก
……………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น