ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 792-794
ตอนที่ 792 ต่างแสดงอิทธิฤทธิ์
Ink Stone_Fantasy
หลายชั่วยามให้หลังริมสระน้ำสีเงินที่สะท้อนแสงดาวระยิบระยับ
ค่ายกลเจ็ดกลุ่มดาวมังกรครามในบึงน้ำเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ มันถูกไอหมอกสีฟ้าหนาทึบปกคลุม ใต้ผิวน้ำแสงดาวดวงแล้วดวงเล่าหักเหฉายส่องทั้งสี่คนข้างบึงน้ำจนประหนึ่งตกอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว ชวนให้รู้สึกประหลาดลึกล้ำอย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิ สองตาจ้องเขม็งอยู่ตรงแสงดาวที่ไหลเคลื่อนเปลี่ยนผันไม่หยุด ส่วนมือทำท่ามืออันลึกลับท่าแล้วท่าเล่า
ทันใดนั้นเสียงครวญครางเบาๆ จนแทบไม่ได้ยินเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น กระบี่บินสีทองจางเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา
พร้อมกับที่เคล็ดกระบี่ที่มือชักนำ ตัวกระบี่บินฉับพลันระเบิดแสงดาราออกมาประหนึ่งดาวตกสีทองดวงหนึ่งพุ่งเข้าไปกลางค่ายกลเจ็ดกลุ่มดาวมังกรคราม จากนั้นพุ่งตัดด้านในนั้นเป็นเส้นทางประหลาดบางอย่าง
แสงดาวในค่ายกลกะพริบวูบวาบตรงนั้นตรงนี้ตามการเคลื่อนผ่านของกระบี่บินว่างเปล่าไม่หยุด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้สองตาก็ปิดสนิท จิตสัมผัสของเขารับรู้ถึงภาพสัญลักษณ์เจ็ดกลุ่มดาวมังกรครามที่รวมตัวขึ้นมาจากลวดลายดารานับหมื่นสายซึ่งกำลังคอยๆ ลอยเด่นชัดออกมา
บนใบหน้าหลิ่วหมิงเผยสีหน้ายินดีจางๆ อาศัยพลังแห่งแม่เหล็กดาราของกระบี่บินว่างเปล่า ในที่สุดเขาก็หาจุดที่ดวงตาค่ายกลของเจ็ดกลุ่มดาวมังกรครามพบ
เผิงเยวี่ยที่อยู่ไม่ไกลสีหน้าซีดขาว ตาจ้องดวงดาราที่ไหลเคลื่อนบนผิวน้ำไม่หยุดกลัวว่าจะพลาดรายละเอียดเล็กน้อยไป
เขาอาศัยความเร็วจากการเคลื่อนที่ของดวงดาว ระยะห่างระหว่างดวงดาวผนวกกับความสว่างยามสว่างและมืดของแสงดาว คาดคำนวนเส้นทางการเคลื่อนที่ของมหาค่ายกลดารากลางผืนฟ้าในใจ
สองมือของเผิงเยวี่ยขยับเร็วไวทำท่ามืออันลึกลับท่าแล้วท่าเล่าใส่ผิวบึงสีเงินเบื้องหน้า คัดลอกเส้นทางของดวงดาราที่วาดอยู่ในใจ เงามังกรครามชัดเจนราวกับของจริง ครึ่งร่างค่อยๆ ปรากฏบนผิวของบึงเบี้องหน้าเขา
โอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวอีกด้านหนึ่งนั่งเคียงข้างกัน
ในมือโอวหยางเชียนถืออาวุธจิตวิญญาณเป็นแผ่นกลมชิ้นหนึ่ง อีกมือหนึ่งขับเคลื่อนเคล็ดวิชาไม่หยุด ลำแสงสีน้ำเงินสายแล้วสายเล่าพุ่งจากแผ่นกลมเข้าไปกลางแสงดารา ทว่าเพียงกะพริบวูบหนึ่งก็หายไปไร้ร่องรอย
คิ้วงามของโอวหยางเชี่ยนขมวดเล็กน้อย!
แม้นางจะรู้จักค่ายกลเจ็ดกลุ่มดาวมังกรคราม ทว่าก็เคยเห็นเพียงในตำราเท่านั้น ไม่เคยศึกษาฝึกฝนจริงๆ เวลานี้จึงไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรอยู่บ้าง
มือของสาวน้อยชุดเขียวด้านข้างถือพู่กันหยกสีเขียวหยกด้ามหนึ่งขยับวาดกลางอากาศสองสามหนเป็นระยะ ใบหน้านางเผยสีหน้าเคร่งขรึม คล้ายกำลังใช้จิตสัมผัสไปพลาง วาดบางอย่างไปพลาง
ทันใดนั้นโอวหยางเชี่ยนก็เก็บอาวุธจิตวิญญาณแผ่นกลมไป นางพลิกมือเรียกมุกกลมสีแดงเม็ดหนึ่งออกมาอีก ขณะที่ปากท่องมนตร์ มือข้างหนึ่งก็โยนออกมา ไข่มุกกลมสีแดงฉับพลันส่องแสงสีแดงสว่างจ้ากลายเป็นแสงสีแดงสายหนึ่งบินเข้าไปในค่ายกล
ครั้งนี้แสงดาราบนผิวน้ำไหวเป็นระลอกพักหนึ่ง
โอวหยางเชี่ยนเห็นเช่นนี้ ในที่สุดบนใบหน้าก็เผยสีหน้ายินดีจางๆ
ขณะที่เผิงเยวี่ยรวมถึงสองพี่น้องโอวหยางยังตรากตรำบรรลุอยู่นั่นเอง ธงค่ายกลสิบกว่าคันก็ลอยขึ้นรอบร่างหลิ่วหมิงจากนั้นเรียงตัวเป็นรูปค่ายกลเจ็ดดาวเหนือ
นิ้วของเขาชี้ไปยังธงค่ายกล ทันใดนั้นแสงสิบกว่าเส้นก็พุ่งออกมาจากธงค่ายกลรวมตัวกลายเป็นลำแสงหนาสายหนึ่งพุ่งตรงเข้าไปกลางแสงดาวบนผืนน้ำ
เสียงมังกรคำรามดังออกมา แสงดาวของค่ายกลเจ็ดกลุ่มดาวมังกรครามฉับพลันสว่างเจิดจ้า เงามังกรครามมหึมาตัวหนึ่งพุ่งแหวกผืนน้ำสีเงินประหนึ่งรุ้ง บินร่อนเป็นวงในห้องศิลา ครู่หนึ่งให้หลังจึงร่อนกลับลงในบึงน้ำอีกหน
พี่น้องโอวหยางกับเผิงเยวี่ยได้ยินเสียงมังกรคำรามต่างได้สติ พากันเงยศีรษะมองไป ในดวงตาเต็มไปด้วยแววตาไม่อยากเชื่อ
บนหน้าหลิ่วหมิงปรากฏสีหน้ายินดีอย่างยิ่ง ขณะที่มือทำท่าประหลาดท่าแล้วท่าเล่า เคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าก็ร่วงจมลงไปในบึงน้ำ ผิวน้ำสีเงินพลันโถมคลั่งม้วนรัดร่างของหลิ่วหมิงลากเขาลงไปในบึงน้ำ
ครู่ต่อมาค่ายกลที่ส่องแสงสีเงินจางๆ ในบึงน้ำพลันส่องสว่างวูบหนึ่ง จากนั้นเงาร่างของหลิ่วหมิงก็หายไปในนั้นอย่างไร้ร่องรอย
เผิงเยวี่ยกับพี่น้องโอวหยางเห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้มองหน้ากัน
หลิ่วหมิงรู้สึกว่ามิติรอบร่างสั่นไหวอย่างรุนแรง แสงเรืองรองสีเงินที่สะท้อนเข้ามาเต็มม่านตาค่อยๆ สลายไป ทันใดนั้นภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไป เขาปรากฏตัวขึ้นในห้องศิลาห้องหนึ่ง
“ฟู่!”
หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ตอนนี้ถึงถอนหายใจยาวออกมา
พูดไปแล้วเมื่อครู่ที่เขาบรรลุการเปลี่ยนผันของค่ายกลเจ็ดกลุ่มดาวมังกรครามได้ ที่จริงอาศัยโชคอย่างที่สุด หากไม่มีพลังแห่งแม่เหล็กดาราของกระบี่ว่างเปล่าช่วยให้ค้นพบเงื่อนงำของค่ายกลเจ็ดกลุ่มดาวมังกรครามแล้ว และใช้ค่ายกลเจ็ดดาวเหนือทำให้มันเผยดวงตาค่ายกล เกรงว่าเวลานี้เขาก็คงไม่อาจมาโผล่ที่นี่ได้
หลังหลิ่วหมิงสงบจิตใจลงบ้างแล้ว เขาก็เริ่มสำรวจห้องศิลาเบื้องหน้า
ห้องศิลาแห่งนี้มีสีเขียวเทาทั้งห้อง รอบด้านล้วนเป็นกำแพงศิลาแกร่งสีเขียวเทาที่มืดหม่นอย่างยิ่ง สภาพเหมือนปิดตายมาเนิ่นนาน ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงประตูศิลาต่ำเตี้ยบานหนึ่งเชื่อมไปด้านนอก
หลิ่วหมิงเชยตามอง ตรงกลางห้องศิลาแท่นศิลาสีดำแท่นหนึ่งตั้งอยู่ ด้านบนวางถุงผ้าสีเทาไม่สะดุดตาถุงหนึ่งอยู่
เมื่อเห็นสิ่งนี้สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปวูบหนึ่ง เขายื่นมือกวักทีหนึ่ง ปราณดำสายหนึ่งพลันม้วนถุงผ้าสีเทาลอยมาหาเขา
ถุงผ้าใบนี้ร่วงลงในมือปุบ หลิ่วหมิงก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักในมือ
ของสิ่งนี้แม้ดูเล็กแต่หนักถึงร้อยชั่ง
แน่นอนน้ำหนักเหล่านี้สำหรับเขาแล้วไม่เป็นปัญหาอย่างสิ้นเชิง
หลังหลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็แกว่งถุงผ้าเบาๆ ได้ยินเสียงเม็ดทรายละเอียดกระทบกัน
สองตาของเขาเปล่งประกาย จากนั้นเขาก็เปิดปากถุงออกทันทีอย่างไม่ลังเล ผลึกละเอียดสีเงินที่ตุงอยู่ด้านในปรากฏโฉมออกมา
แต่ละเม็ดประหนึ่งดวงดาวบนฟากฟ้าราตรีส่องประกายแวววาววิบวับ
“ทรายธารดาราจริงๆ!” หลิ่วหมิงยกยิ้มตรงมุมปาก เขาผู้มีสีหน้านิ่งเฉยเสมอไม่ว่ายินดีหรือเกรี้ยวกราดยังอดไม่ได้ยิ้มกว้างออกมา
ทรายธารดารานี้เม็ดเดียวยังหายาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเต็มหนึ่งถุง มูลค่าสูงกระทั่งเกรงว่าผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ก็ยังต้องหวั่นไหวเพราะมัน!
หลังหลิ่วหมิงตรวจสอบผลึกทรายในถุงเล็กน้อยก็เก็บทรายธารดาราเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงฝืนปรามอารมณ์ยินดีในหัวใจ หลังสายตากวาดไปรอบด้านอีกหน ทันใดนั้นแขนก็ขยับดีดนิ้ว
เสียงฟึบๆ ดังขึ้นหลายหน แสงกระบี่สีทองสายแล้วสายเล่าซัดออกมา ทั้งหมดโจมตีบนกำแพงหินสีเขียวเทา
ผลปรากฏว่าหลังเสียงหนักหน่วงไม่กี่หน แสงกระบี่ทั้งหมดก็ดีดกลับมาแล้วสลายไป แต่บนกำแพงสีเขียวเทาทิ้งไว้เพียงรอยกระบี่จางๆ ไม่กี่รอยเท่านั้น
“ศิลาแข็งนัก…”
หลิ่วหมิงอดประหลาดใจไม่ได้อยู่บ้าง เขาตรวจสอบห้องศิลาอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ได้มองข้ามสิ่งใดไปจึงก้าวเชื่องช้ามาถึงตรงหน้าประตูเตี้ย หลังผลักประตูศิลาเปิดอย่างระมัดระวังก็เดินออกจากห้องไป
นอกห้องศิลาไม่ใช่ท้องฟ้ากว้าง แต่เป็นอุโมงค์หินเขียวทอดยาวที่ไม่ทราบว่ามุ่งไปที่ใด
หลังหลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ เขาก็ได้แต่ยกเท้าก้าวเข้าไปในอุโมงค์อย่างระมัดระวัง
อุโมงค์เส้นนี้ไม่ตรงแต่คดเคี้ยวอยู่บ้าง พื้นดินก็เป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่เรียบแม้แต่น้อย
ผลปรากฏว่าหลังเขาเดินไปเช่นนี้เป็นเวลาราวจิบชาหนึ่งถ้วย ทางแยกก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
เขามองทางแยกทั้งสอง พวกมันล้วนเป็นอุโมงค์หินเขียวที่ไม่ทราบว่ามุ่งไปที่ใดเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้
ในใจเขามีลางสังหรณ์ไม่ดีนักผุดขึ้นมา หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เดินไปที่ทางแยกฝั่งซ้าย
ทว่าครึ่งเค่อหลังจากนั้น เขาก็ย้อนกลับมายังทางเส้นเดิมนี้อีกครั้ง สีหน้าเขาถมึงทึงอย่างยิ่ง
เมื่อครู่เขาพบทางแยกและทางตันอื่นอีกหลายครั้ง หลังเขาเดินผ่านทางแยกส่วนใหญ่จนครบแล้ว ตอนนี้ถึงมั่นใจว่าที่แห่งนี้คือเขาวงกตประหลาดแห่งหนึ่ง!
“ดูท่านี่คงเป็นการทดสอบต่อไป” หลิ่วหมิงพึมพำกับตนเอง แต่จะเดินผ่านเขาวงกตนี้ไปได้อย่างไร ในใจยังไม่มีเงื่อนงำสักนิด
หลังหลิ่วหมิงพิจารณาครู่หนึ่ง มือข้างหนึ่งก็ตั้งท่าเคล็ดกระบี่ ปากเอ่ยท่องมนตร์พักหนึ่ง กระบี่น้อยสีทองเรืองรองยาวหนึ่งชุ่นกว่าเล่มหนึ่งพลันลอยออกมาจากกลางหว่างคิ้ว
หลิ่วหมิงจี้ดัชนีใส่ความว่างเปล่า กระบี่น้อยสีทองก็บินวนกลางอากาศ แสงสีทองระยิบระยับผุดออกมาก่อตัวเป็นแสงกระบี่ยาวหลายจั้งสายหนึ่ง
“เร็ว!”
เขาตวาดเสียงเบาคำหนึ่ง แสงกระบี่สีทองก็พุ่งออกไปฟันลงบนกำแพงหินสีเขียวด้านข้างอย่างหนักหน่วงจนเกิดประกายไฟ
หลังประกายไฟกระจายหายไป บนกำแพงที่ถูกฟันก็กลายเป็นรอยกระบี่ลึกครึ่งนิ้วเส้นหนึ่ง ทว่าผิวของกำแพงหินส่องประกายแสงสีเขียววูบหนึ่งชั่วพริบตาก็ฟื้นคืนดังเดิม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ใบหน้าก็ย่ำแย่ขึ้นมาเล็กน้อย!
เห็นได้ชัดว่าเขาวงกตแห่งนี้ถูกพลังของชั้นจำกัดอันแข็งแกร่งควบคุมอยู่ จิตสัมผัสกับสมบัติธรรมดาไม่อาจทำลายได้สักนิด
เขาไม่มีวิธีอื่น ได้แต่ถอนหายใจดันทุรังเดินเข้าไปในทางแยกฝั่งขวา
ในตำหนักสีเหลืองทอง บุรุษผมม่วง หลัวเทียนเฉิงและชายหนุ่มอัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับทั้งสามคนกำลังนั่งขัดสมาธิ หลับตาสนิท ทุ่มเทใจบรรลุวิชาลับที่จารึกไว้บนกำแพงของตำหนักใหญ่
เวลานี้บนร่างทั้งสามคนมีวงแหวนสีทองจางๆ ชั้นหนึ่งลอยขึ้นมามากบ้างน้อยบ้าง แล้วยังมีอักษรสันสกฤตไหลวนผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในวงแหวนแสงไม่หยุด ทำให้คนรู้สึกศักดิ์สิทธิ์น่าเคารพ
เห็นชัดว่าทั้งสามคนบรรลุวิชาลับบนกำแพงบ้างแล้ว
หลัวเทียนเฉิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านซ้ายสุดคิ้วขมวดแน่น บนหน้าผากเหงื่อเม็ดใหญ่เท่าเม็ดถั่วไหลรินลงมาไม่หยุด ร่างกายส่งเสียงเปรี๊ยะๆ ดังออกมาเป็นระยะ กล้ามเนื้อทั้งร่างขยายจนแดงก่ำดั่งโลหิตประหนึ่งจะปริออกมา
วิชาลับสายพุทธนี้เห็นชัดว่าเป็นวิชาฝึกร่างอันสูงส่งวิชาหนึ่ง สำหรับเขาผู้เดิมทีฝึกฝนร่างอยู่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นโชควาสนาใหญ่อย่างที่สุดครั้งหนึ่ง
น่าเสียดายวิชานี้เห็นชัดว่าต้องเป็นผู้ฝึกร่างระดับแก่นแท้ถึงจะฝึกฝนได้ มิเช่นนั้นเป็นไปได้อย่างที่สุดว่าร่างจะระเบิดสิ้นใจเนื่องจากกายเนื้อแข็งแกร่งไม่พอ
แม้ว่าพลังของหลัวเทียนเฉิงจะเหนือกว่ารุ่นเดียวกันมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็อยู่ในระดับผลึกขั้นต้นเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะความร้ายกาจของร่างจิตวิญญาณตูเทียน เกรงว่าสิทธิ์จะบรรลุก็ยังไม่มี
แต่คนผู้นี้ก้าวเดินทีละก้าวจนมาถึงวันนี้ได้ไม่ใช่เพราะพึ่งร่างจิตวิญญาณอันร้ายกาจเพียงอย่างเดียว แม้ในสภาวะที่ร่างกายเจ็บปวดอย่างสาหัสเขาก็ยังอดทนต่อไปและบรรลุไปได้ค่อนครึ่งแล้ว ยามนี้ขาดเพียงบรรลุความลี้ลับสุดท้ายก็จะสำเร็จแล้ว
หลัวเทียนเฉิงคิดถึงสารีริกธาตุทองคำองค์นั้น ในใจมีความมุ่งมาดร้อนแรงลุกโหมขึ้นมาอีกหนอย่างห้ามไม่ได้
เวลานี้เองบุรุษผมม่วงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางพลันเบิกสองตาขึ้น ทันใดนั้นวงแสงสีทองที่ลอยอยู่บนร่างก็มีลำแสงสีทองแปดสายพุ่งออกมา ระเบิดท่วมท้นท่ามกลางแสงสีทองระยิบระยับ
มองจากไกลๆ ร่างกายของบุรุษผมม่วงประหนึ่งอาบอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีทองที่ลุกโชน
ทันใดนั้นระฆังยักษ์สีทองเหนือตำหนักใหญ่ก็ส่งเสียงดังขึ้นควบคู่กับเสียงภาษาสันสกฤต
เมื่อชายหนุ่มอัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับกับหลัวเทียนเฉิงได้ยินก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน ทั้งตกใจทั้งโกรธเกรี้ยวมองไปพร้อมกัน
ตอนที่ 793 ลำดับ
Ink Stone_Fantasy
ค่ายกลสีทองค่ายหนึ่งผุดขึ้นใต้เท้าบุรุษผมม่วงตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ เบาะกลมสีเหลืองทองที่เขานั่งขัดสมาธิอยู่สั่นครู่หนึ่งแล้วลอยขึ้นกลางอากาศ จากนั้นส่องแสงรัศมีเจิดจ้าประหนึ่งดอกบัวสีทองแย้มกลีบบาน ค่อยๆ หมุนไม่หยุด แผ่คลื่นแสงสีทองจางๆ วงแล้ววงเล่าไปรอบด้าน
จุดที่แสงสีทองผ่าน อักษรสันสกฤตสีดำตัวแล้วตัวเล่าพลันลอยออกมาจากความว่างเปล่า
หลัวเทียนเฉิงกับชายหนุ่มอัปลักษณ์เห็นสภาพนี้ล้วนสีหน้าย่ำแย่อย่างที่สุด ไหนเลยจะไม่เข้าใจว่าบุรุษผมม่วงชิงก่อนก้าวหนึ่งบรรลุวิชาลับสายพุทธบนกำแพงแล้ว
“ฮ่าฮ่า ผู้แซ่หลี่ว์ไร้ความสามารถ ขอไปรับสมบัติลับแห่งพุทธนั่นก่อน ทั้งสองท่านอยู่ที่นี่ค่อยๆ ฝึกฝนไปเถอะ!” บุรุษผมม่วงหัวเราะร่า ร่างกายค่อยๆ พร่าเลือนไปกลางค่ายกล ท้ายที่สุดหายวับไปไร้ร่องรอย
……
ในป้อมโบราณสีเงิน ไอหมอกจำนวนมากยังคงลอยอบอวล เพียงแต่เทียบกับหลายชั่วยามก่อนหน้านี้แล้วหนาทึบกว่าเดิมมาก ก่อตัวเป็นรูปชามยักษ์คว่ำอยู่เลือนราง นอกจากนี้กลางไอหมอกยังมีอักขระแวววาวนานาสีสันจำนวนหนึ่งสอดแทรกอยู่เลือนรางด้วย บ้างก่อตัวเป็นภาพสัญลักษณ์ประหลาด บ้างระเบิดเป็นระยะทำให้ทะเลหมอกทั้งหมดแลดูลึกลับยิ่งนัก
บุรุษหน้าเหยี่ยว เซวียผาน สตรีชุดเขียวกับชายหนุ่มรถเงินล้วนถูกขังอยู่กลางไอหมอก สองตาต่างเลื่อนลอยเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับเรียบเฉย เห็นชัดว่าตกอยู่ในภาพลวงตา
เงาร่างของทั้งสี่คนเดินวนเวียนไร้จุดหมายอยู่ท่ามกลางไอหมอกสีเงินประหนึ่งศพเดินได้ เพียงแต่ทุกช่วงระยะเวลาหนึ่งจะมีคนหนึ่งในนั้นดวงตากระจ่างใสขึ้นมาเล็กน้อยเป็นบางครั้ง ทว่าพริบตาเดียวก็หายไป
เมื่อสังเกตให้ละเอียดกลับพบว่า พร้อมกับที่เวลาเคลื่อนคล้อยจำนวนครั้งที่พวกเขาตื่นได้สติก็คล้ายจะเพิ่มขึ้นอยู่เลือนราง
ตอนที่ดวงตาชายหนุ่มรถเงินฟื้นกลับมากระจ่างใสอีกครั้ง ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เคร่งขรึม ร่างกายฉับพลันลอยขึ้นมา พุ่งเร็วรี่ไปยังทิศทางหนึ่ง ชั่วพริบตามาถึงตรงขอบหมอกสีเงิน
ทว่าขณะที่เขากำลังจะพุ่งออกไปรวดเดียวนั้น แววตาที่หม่นแสงลงกลับมาเลื่อนลอยอีกครั้ง ลำแสงฉับพลันเปลี่ยนไปยังทิศทางหนึ่งอีกหน
ไม่ใช่แค่เขา สามคนที่เหลือก็ล้วนเป็นเช่นนี้ คล้ายกับทุกครั้งที่กำลังจะบินออกจากหมอกสีเงินล้วนล้มเหลวก้าวหนึ่งก่อนสำเร็จอย่างน่าเสียดายทั้งสิ้น
หลังเป็นเช่นนี้ผ่านไปอีกราวครึ่งชั่วยาม แม้ทั้งสี่จะยังตกอยู่ในภาพลวงตา ทว่าสีหน้าบนใบหน้าคล้ายจะค่อยๆ สงบลง ช่วงเวลาที่ตื่นได้สติแต่ละครั้งก็ยาวขึ้นมากบ้างน้อยบ้าง
ดูท่าพวกเขาจะคลำพบหนทางทำลายค่ายกลมายานี้อยู่เลือนรางแล้ว
ผ่านไปไม่นานนัก เมื่อชายหนุ่มรถเงินสติกลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง เขากัดฟันอย่างแรง อ้าปากพ่นหมอกโลหิตผืนหนึ่งออกมา ต่อจากนั้นสองมือเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วพักหนึ่ง ปากท่องมนตร์งึมงำแผ่วเบาฟังไม่ชัดหลายประโยค
หมอกโลหิตแต่ละหยด รวมตัวกันกลายเป็นแสงโลหิตกลุ่มหนึ่งบินถอยหลังจมเข้าไปตรงหว่างคิ้วของเขา
นาทีต่อมาชายหนุ่มรถเงินพลันตวาดเสียงดัง หลังจากใบหน้าปรากฏไอโลหิตชั้นหนึ่งแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างก็ฟื้นกลับมากระจ่างใสโดยสมบูรณ์
ผลปรากฏว่าในใจเขายังไม่ทันได้ยินดี เกราะป้องกันสีเลือดที่เกิดมาจากวิชาลับโลหิตบริสุทธิ์ในทะเลจิตรับรู้ก็สั่นไหวอย่างรุนแรง เส้นด้ายสีเงินเส้นแล้วเส้นเล่าโจมตีเกราะป้องกันไม่หยุดเหมือนคิดจะครอบงำสติของเขาอีกครั้ง
ดูเชื่องช้าแต่ความจริงกลับรวดเร็ว เขาไม่สนใจใช้วิชาลับอันใดอีก ไม่พูดพร่ำคำที่สองร่างกายไหววูบกลายเป็นแสงอสนีบาตเส้นหนึ่งพุ่งไปด้านนอกของไอหมอกสีเงิน
ทว่าขณะที่เขาจวนเจียนจะบินถึงขอบไอหมอกแล้วนั่นเอง เสียงฟึบทีหนึ่งก็ดังขึ้น แสงแวววาวสีเงินเจิดจ้าอีกสายหนึ่งชิงบินออกจากทะเลหมอกสีเงินตัดหน้าบุรุษรถเงินไปอย่างหวุดหวิด
เมื่อแสงแวววาวดับลง นอกทะเลหมอกก็ปรากฏเงาร่างของบุรุษหน้าเหยี่ยว
ในมือคนผู้นี้ถือกระจกหกเหลี่ยมกระจิ๋วหลิวบานหนึ่งไว้ เขากำลังหอบหายใจถี่เร็ว หน้าอกพองขึ้นยุบลงประหนึ่งหีบลม บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ
เวลานี้เองเสียงเปรี้ยงแผ่วเบาพลันดังมาจากใต้ดิน เสาแสงกลมสีเงินขนาดเท่าปากบ่อต้นหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากพื้นใต้เท้าบุรุษหน้าเหยี่ยวแล้วล้อมตัวเขาไว้
เสาแสงสีเงินหมุนติ้วเพียงชั่วครู่ ด้านล่างก็ปรากฏค่ายกลแสงสีขาวค่ายหนึ่ง
ค่ายกลส่งเสียงฮึมดังขึ้นหนหนึ่งจากนั้นมิติพลันสั่นไหวระลอกแล้วระลอกเล่า บุรุษหน้าเหยี่ยวใบหน้ายิ้มหยันหายไปท่ามกลางแสงสีเงิน
เวลานี้ชายหนุ่มรถเงินจากนิกายเทียนกงเพิ่งหายวับรีบเร่งมาถึงตรงนี้ เขามองภาพเบื้องหน้าแล้วอดไม่ได้ยิ้มขมขื่น
……
ขณะที่ศิษย์แต่ละนิกายแต่ละสำนักต่อสู้เพื่อโชคชะตาอยู่ในแดนลึกลับของงานประตูสวรรค์ นอกแดนลึกลับที่ตีนเขาหิมะขาวโพลนแห่งนั้นคนก็ยังคงมากมาย เทียบกับตอนแดนลึกลับประตูสวรรค์เปิดออกมีแต่เพิ่มขึ้นไม่มีลดลง
แต่ผู้นำของสี่ยอดนิกายใหญ่กับแปดตระกูลใหญ่กลับไปยังที่พำนักของแต่ละคนนานแล้ว
ทว่าเหล่าศิษย์ที่เหลือของแต่ละนิกายส่วนใหญ่กลับเลือกรั้งอยู่ด้านนอก
นอกจากนี้ที่ตีนเขายังมีศิษย์และคนของนิกายเล็กไร้ชื่อเสียงจำนวนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา พวกเขาไม่ได้รับเชิญจากวังสวรรค์ ทว่าวันนี้ทยอยมารวมตัว ณ ที่แห่งนี้เพื่อดูลำดับบนป้ายศิลายักษ์ครึ่งดำครึ่งขาวแผ่นนั้น
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่หวังจะคาดคะเนอำนาจและความรุ่งเรืองตกต่ำร้อยปีให้หลังของนิกายและตระกูลต่างๆ จากอันดับโชคชะตาบนป้ายศิลาเพื่อใช้สิ่งนี้เป็นการอ้างอิงว่าวันหน้าควรเลือกเข้าหาเพิ่ม หรือถอยหนีให้ห่าง
หากสำนักเล็กสำนักน้อยทั้งหลายเลือกที่พึ่งผิด อย่างเบาสำนักก็ไม่รุ่งเรือง อย่างหนักก็ประสบภัยร้ายสิ้นสำนัก
มีผู้ฝึกฝนอิสระมากมายมารวมตัวกันที่แห่งนี้ใจหมายจะชมดูเรื่องสนุกเช่นเดียวกัน พวกเขาจับกลุ่มสองคนสามคนกระซิบถกอะไรบางอย่างกันเป็นระยะ
บนป้ายศิลายักษ์ชื่อศิษย์ทุกคนที่เข้าทดสอบในแดนลึกลับสลักอยู่มากมายถี่ยิบ หลังชื่อแต่ละชื่อล้วนมีภาพโซ่เส้นน้อยหนึ่งถึงสิบเส้น หน้าตาเหมือนโซ่แห่งโชคชะตาที่ปรากฏอยู่บนข้อมือของทุกคนที่เข้าไปในแดนลึกลับทุกประการ
ภาพโซ่น้อยเหล่านี้หมายถึงจำนวนโชคชะตาที่ศิษย์ผู้เข้าทดสอบสะสมได้ มีทั้งหมดสามสีได้แก่สีทองแดง สีเงินและสีทอง เมื่อโชคชะตาสะสมจนเต็มโซ่น้อยเส้นหนึ่ง สีก็จะเปลี่ยนกลายเป็นสีทองแดง หลังจากนั้นด้านขวาของมันก็จะปรากฏภาพโซ่เส้นน้อยอีกเส้นหนึ่ง
หลังสะสมจนเต็มโซ่สีทองแดงสิบเส้น มันก็จะเปลี่ยนมาเป็นโซ่น้อยสีเงินเส้นหนึ่งด้วยตัวเอง ด้วยหลักการเดียวกันหลังสะสมโชคชะตาจนเต็มโซ่สีเงินสิบเส้นก็จะกลายเป็นโซ่น้อยสีทองเส้นหนึ่ง
ส่วนศิษย์เหล่านั้นที่โชคร้ายตายไปในแดนลึกลับ ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาสะสมโชคชะตาได้เท่าไร ชื่อของพวกเขาก็จะหม่นแสงร่วงตกไปยังอันดับสุดท้ายทันทีตามกฎของงานประตูสวรรค์ ภาพโซ่น้อยด้านหลังชื่อก็จะหายไปเช่นเดียวกัน โชคชะตาที่ได้มาก่อนหน้าจะไม่นับรวมอยู่ในโชคชะตารวมของแต่ละกลุ่มอำนาจ
เวลานี้โชคชะตาของหลิ่วหมิงมีเพียงโซ่เงินสามเส้นครึ่ง อยู่ลำดับที่สามสิบห้าบนป้ายศิลาอย่างหวุดหวิด ในหมู่ศิษย์ของนิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งหมดลำดับของหลัวเทียนเฉิงอยู่ในอันดับต้นๆ ที่สุด เขามีโชคชะตาเท่ากับโซ่สีเงินห้าเส้น แต่ก็ยังอยู่แค่อันดับที่สิบสามเท่านั้น
หลงเหยียนเฟยจวนเจียนรวบรวมโชคชะตาได้เต็มโซ่สีเงินสองเส้นเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันนี้นิกายยอดบริสุทธิ์กลับมีสามชื่อหม่นแสงลงไปแล้ว นอกจากศิษย์สองคนที่อยู่ด้วยกันกับหลัวเทียนเฉิง ยังมีศิษย์ของยอดเขาทองคำคนหนึ่งโชคร้ายตายไปด้วย
บนป้ายศิลายักษ์ ผู้ที่อยู่ลำดับหนึ่งคืออิ๋นเซ่อ สตรีผมเงินแห่งหอเป๋ยโต่ว
“เวลาผ่านไปเพียงสั้นๆ อันดับหนึ่งตอนนี้ก็มีโชคชะตาเต็มโซ่ทองหนึ่งเส้นแล้ว มากกว่าอันดับสองมากนัก” ชายหนุ่มหน้าดำไม่ทราบสำนักผู้หนึ่งในกลุ่มคนเอ่ยพึมพำขึ้นมา
“อิ๋นเซ่อ? ไม่ทราบว่าคนผู้นี้เป็นคนของนิกายหรือสำนักไหน?” ไม่รู้ใครด้านข้างชายหนุ่มหน้าดำเอ่ยถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“สหายผู้นี้เจ้ามาช้า สตรีผู้นี้ก่อนหน้าการทดสอบจะเริ่ม เป็นศิษย์หญิงผู้หนึ่งที่ประมุขหอเป๋ยโต่วผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์พามาด้วยตนเอง” ผู้เฒ่าเครายาวคนหนึ่งใกล้ๆ ฉับพลันหัวเราะแล้วเอ่ยบอก
ได้ยินว่าหอเป๋ยโต่ว ผู้ฝึกฝนที่ไม่รู้เรื่องหลายคนรอบตัวผู้เฒ่าเครายาวล้วนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พากันสงบปากสงบคำมองลำดับด้านล่างอย่างละเอียด
อำนาจของหอเป๋ยโต่วมากอย่างที่สุดไม่เป็นรองสี่ยอดนิกายใหญ่ ผนวกกับการเคลื่อนไหวลึกลับไม่อาจหยั่งถึงของพวกเขายิ่งทำให้กลุ่มอำนาจขนาดเล็กเหล่านี้หวาดกลัว
เวลานี้ที่ห้องลับห้องหนึ่งในหอของนิกายยอดบริสุทธิ์ตรงตีนเขา เทียนเกอเจินเหรินกำลังนั่งขัดสมาธิสำรวจดูอันดับบนป้ายศิลาด้านบนเขาหิมะผ่านภาพที่แผ่นค่ายกลแผ่นหนึ่งฉายตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ข้างกายเขาก็คือบุรุษชุดเทาผู้นั้นที่เดินทางมาด้วยกันกับเขา สีหน้าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ดีไปกว่า
“เดิมคิดว่ามีหลัวเทียนเฉิงเด็กคนนี้อยู่ งานประตูสวรรค์ครั้งนี้จะดีขึ้นบ้าง คิดไม่ถึงงานประตูสวรรค์ครั้งนี้เหมือนศิษย์ที่หุบเขาปีศาจสวรรค์รวมถึงแปดตระกูลใหญ่ส่งมาจะไม่อ่อนแอ คนของหอเป๋ยโต่วยิ่งโผล่มาโดดเด่น ดูท่าครานี้เกรงกว่าอันดับสามก็คงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว” บุรุษชุดเทามองอันดับบนป้ายศิลาแล้วส่ายศีรษะเอ่ยขึ้น
“พูดไปแล้ว งานประตูสวรรค์ครานี้จังหวะไม่ดีอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ศิษย์สายในที่มีแววหลายคนเลื่อนขึ้นระดับแก่นแท้ไปแล้ว ผู้ที่พลังโดดเด่นที่เหลืออยู่อย่างเสี่ยวอู่ของยอดเขาลั่วโยวก็อายุเกิน นี่ถึงได้แต่ส่งศิษย์ไม่กี่คนนี้ไป แม้หลัวเทียนเฉิงพลังไม่ธรรมดา แต่อย่างไรก็อายุน้อยเกินไป พลังเพียงขั้นต้นเท่านั้น ท้ายที่สุดเกรงว่าอันดับคงไม่ดีอย่างที่คิดไว้” เทียนเกอเจินเหรินมองอันดับของหลัวเทียนเฉิงอีกครั้งหนึ่ง บนใบหน้าสีหน้าจนปัญญาเล็กน้อยฉายผ่านไป
“แต่ไม่ใช่ยังมีหลิ่วหมิงที่พลังทัดเทียมกับหลัวเทียนเฉิงอีกคนหนึ่งหรือ เด็กคนนี้ตอนนี้ลำดับที่เท่าไร?” บุรุษชุดเทาคล้ายนึกสิ่งใดขึ้นได้ ดวงตามองไปบนภาพป้ายศิลาที่ฉายบนแผ่นค่ายกลอีกครั้ง
“ลำดับที่สามสิบห้า…ดูท่าหลิ่วหมิงผู้นี้ก็คงไม่เก่งเหมือนชื่อ” เมื่อสายตาของบุรุษชุดเทาเพ่งมองบนคำว่า “หลิ่วหมิง” แล้ว ดวงตาก็หม่นลง ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจเอ่ยขึ้น
เวลานี้เองป้ายศิลาพลันส่องแสงสีทองขมุกขมัวพักหนึ่ง หลังแสงสีทองดับลง อันดับก็เปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในทันใด ชื่อของหลิ่วหมิงถึงกับปรากฏอยู่ที่ลำดับเก้าของป้ายศิลา ด้านหลังชื่อของเขามีสัญลักษณ์รูปโซ่สีเงินเก้าเส้นส่องสว่าง
“เอ๋ โชคชะตาของหลิ่วหมิงผู้นี้พริบตาเดียวเพิ่มขึ้นมากปานนี้ หรือเด็กคนนี้จะพบโชควาสนาใหญ่หลวงอันใดเข้า? หรือว่าจะ…” เทียนเกอเจินเหรินเลิกคิ้วเผยสีหน้าคาดไม่ถึงเล็กน้อยพลางเอ่ยถามขึ้นมา
“ดินแดนแห่งมรดก! เวลาสั้นๆ ได้แต้มโชคชะตาน่าตะลึงเช่นนี้มา น่าจะได้ของดีมาจากดินแดนแห่งมรดกสักแห่ง นอกจากนี้ไม่ใช่มรดกธรรมดา หากเด็กคนนี้เอามรดกส่วนใหญ่มาได้ ไม่แน่อาจมีหวังทำให้นิกายเรารักษาตำแหน่งอันดับสามของครั้งก่อนไว้ได้แล้ว!” บุรุษชุดเทาเห็นภาพนี้ ฉับพลันสีหน้ายินดียิ่งเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ในเมื่อเป็นดินแดนแห่งมรดก การแย่งชิงในนั้นคงยิ่งดุเดือด หวังว่าเด็กคนนี้จะไม่เจอกับศิษย์ร้ายกาจเหล่านั้นของนิกายอื่นเข้า มิเช่นนั้นเกรงว่าความหวังคงริบหรี่” เทียนเกอเจินเหรินสีหน้าผ่อนคลายลงเช่นกัน ปากเอ่ยนิ่งๆ แต่ในใจไม่รู้ทำไมถึงมีคำพูดที่จินเทียนชื่อเคยบอกเขาเกี่ยวกับหลิ่วหมิงก่อนหน้านี้ผุดขึ้นมา
……
ในเวลาเดียวกัน หลิ่วหมิงซึ่งอยู่ด้านในดินแดนแห่งมรดกย่อมไม่ทราบสถานการณ์ด้านนอกและลำดับของตนเอง ยิ่งไม่ทราบว่าหลังเขาได้ทรายธารดาราถุงนั้นมาจะนำโชคชะตามากมายเช่นนี้มาให้แก่นิกายและตนเอง
ตอนนี้เขากำลังวนเวียนอยู่ด้านในอุโมงค์ ขบคิดว่าจะเดินออกไปจากเขาวงกตแห่งนี้ตรงหน้าได้อย่างไร
จะว่าไปแล้วเขาวงกตแห่งนี้ก็ใหญ่และซับซ้อนเกินกว่าที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้มาก ระหว่างที่เดินผ่าน เริ่มแรกสิ่งที่พบยังเป็นทางแยกสามทางเท่านั้น ต่อมาทางแยกกลับกลายเป็นสี่ทาง ห้าทาง เมื่อเป็นเช่นนี้อยากหาทางที่ถูกต้องให้พบจึงยิ่งลำบากมากขึ้น
ดูท่าเขาอยากออกไปจากเขาวงกตแห่งนี้จะไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในเวลาสั้นๆ
ตอนที่ 794 หุบเขาสมุนไพร
Ink Stone_Fantasy
ณ ตีนเขาหิมะ ในสิ่งก่อสร้างที่พำนักของตระกูลมู่หรง ผู้เฒ่าชุดดำคนหนึ่งกำลังเอนกายอยู่บนเก้าอี้โยกตัวหนึ่ง ในมือสะบัดพัดขนนกสีดำเล่มหนึ่งด้วยสีหน้าสบายอุรา
“รายงานผู้อาวุโสใหญ่ ตอนนี้คุณชายอยู่ลำดับที่สอง คุณหนูก็ได้ลำดับสูงเช่นกันอยู่ลำดับที่แปดขอรับ” ศิษย์อายุน้อยสวมชุดยาวสีดำทั้งร่างคนหนึ่งก้าวเท้าเร็วไวเดินเข้ามาคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นแล้วประสานมือเอ่ยขึ้น
“ดี! ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ” ผู้เฒ่าชุดดำสะบัดพัดขนนกในมือพลางเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ขอรับ!” ศิษย์ชุดยาวสีดำขานรับคำหนึ่งจากนั้นถอยออกจากห้องลับไปอย่างรวดเร็ว
“คิดไม่ถึงว่าเวลาสั้นๆ ไม่กี่สิบปีหลงเอ๋อร์กับเฟิ่งเอ๋อร์จะเติบใหญ่เร็วปานนี้ หากเป็นเช่นนี้ครานี้แต้มโชคชะตาที่สะสมได้จากในงานประตูสวรรค์จะเข้าไปในสี่อันดับแรกก็คงไม่เป็นปัญหา หากทั้งสองคนร่วมมือกันจัดการศิษย์หญิงหอเป๋ยโต่วอันดับหนึ่งคนนั้นเสีย…”
หลังเอ่ยกับตนเองหลายประโยค บนหน้าของผู้เฒ่าชุดดำก็เผยรอยยิ้มน่าขนลุกออกมา แล้วผุดลุกขึ้นในทันใด หยิบยันต์ที่ส่องแสงสีดำขมุกขมัวแผ่นหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ จากนั้นใช้เคล็ดวิชาสายหนึ่งยิงลงไปบนยันต์
หลังผิวหน้ายันต์ทั้งแผ่นอาบแสงสีดำพักหนึ่งก็ลุกไหม้ขึ้นกลางอากาศ เวลาไม่กี่ลมหายใจสั้นๆ ก็กลายเป็นเพลิงจิตวิญญาณขนาดเท่าฝ่ามือดวงหนึ่ง
หลังผู้เฒ่าใช้พัดขนนกสีดำในมือพัดเบาๆ หนึ่งหน สายลมสีดำหอบหนึ่งก็ม้วนออกมา หอบเพลิงจิตวิญญาณแล่นออกนอกหน้าต่างหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ผู้เฒ่าชุดดำมองนอกหน้าต่างแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจกลับไปนั่งบนเก้าอี้โยกอีกครั้ง
ในห้องลับแห่งหนึ่งที่นิกายเทียนกง บุรุษวัยกลางคนผู้สวมชุดสั้นสีเหลืองสามคนกำลังนั่งประจันหน้าหารือกันเสียงเบาอยู่
“ครั้งนี้พวกเราลงทุนควักเนื้อมอบหุ่นหลายตัวที่เป็นสมบัติลับให้ศิษย์เหล่านั้นใช้ คิดไม่ถึงกลับปล่อยให้หอเป๋ยโต่วกับตระกูลมู่หรงชิงโชคชะตาไปได้ก่อน” บุรุษรูปร่างผอมเหมือนลำไผ่ผู้หนึ่งขมวดคิ้วแน่นเอ่ยขึ้นช้าๆ
“คนของตระกูลมู่หรงหนึ่งเดือนก่อนยังลงมือทำร้ายศิษย์ของข้าด้วย เหิมเกริมอย่างยิ่ง วันนี้ที่อู๋เชาเด็กคนนี้สิ้นชีวิตไป ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับพี่น้องมู่หรงด้วยหรือไม่” ชายฉกรรจ์เปลือยท่อนบนอีกคนหนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด
“เสียดายที่ข้ามอบเกราะจักรกลชุดนั้นให้แก่เผิงเยวี่ย หากมอบให้อู๋เชา บางทีเขาอาจหนีพ้นเคราะห์ครั้งนี้ได้” บุรุษผอมเหมือนลำไผ่เผยสีหน้าเสียใจเล็กน้อยออกมา
ตอนนี้บนป้ายศิลาลำดับของศิษย์นิกายเทียนกงด้อยกว่านิกายยอดบริสุทธิ์อยู่เล็กน้อย ไม่มีผู้ใดเข้ามาในสิบอันดับแรกเลย เผิงเยวี่ยอยู่อันดับที่ยี่สิบ ส่วนชายหนุ่มรถเงินที่พวกเขาฝากความหวังมากมายไว้ ตอนนี้ก็อยู่ในลำดับที่สิบเอ็ดเท่านั้น
“ศิษย์น้องทั้งสองไม่ต้องกังวลใจเกินไป การทดสอบเพิ่งดำเนินมาถึงครึ่งทางเท่านั้น ท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่อาจทราบได้ ครั้งนี้ศิษย์ของพวกเราสี่ยอดนิกายใหญ่ลำดับค่อนข้างรั้งท้าย นอกจากนี้ยังมีศิษย์ไม่น้อยตายตก เรื่องเช่นนี้ในการทดสอบครั้งก่อนๆ เกิดขึ้นน้อยอย่างยิ่ง” บุรุษวัยกลางคนผู้มีลักษณะเยี่ยงบัณฑิตอีกผู้หนึ่งเอ่ยนิ่งๆ ขึ้นประโยคหนึ่ง
หลังชายฉกรรจ์ผู้เปลือยท่อนบนกับอีกคนที่เหลือมองหน้ากันก็เผยสีหน้าเหมือนคิดบางอย่างออกขึ้นมาทั้งคู่
……
ภาพเช่นนี้ฉายซ้ำในที่พำนักของแต่ละนิกายที่ตีนเขาหิมะเป็นระยะ ลำดับบนป้ายศิลายักษ์ที่ยอดเขาหิมะไม่เพียงเกี่ยวข้องกับโชควาสนาของเด็กรุ่นหลังในนิกายเหล่านี้ ยังเกี่ยวข้องกับความรุ่งเรืองตกต่ำในอนาคตอีกเกือบพันปีของทั้งนิกายอีกด้วย ผู้อาวุโสคนสำคัญของแต่ละนิกายย่อมไม่กล้าเมินเฉยต่อเรื่องนี้
ทว่าไม่ว่าแต่ละนิกายนอกแดนลึกลับจะมีปฏิกิริยาอย่างไร งานประตูสวรรค์ก็ยังคงดำเนินไปเช่นเดิม
ในแดนลึกลับ ณ ที่แห่งหนึ่งที่ลึกไม่อาจหยั่งด้านในมิติขนาดใหญ่รูปเสากลม
พระราชวังโบราณหลังหนึ่งลอยอยู่ ณ ที่นี้ ทั้งหลังก่อขึ้นจากหินเขียว รอบด้านยังมีเสาศิลาสีขาวหลายต้นตั้งตระหง่านค้ำม่านแสงสีขาวชั้นหนึ่ง ปกป้องพระราชวังทั้งหมดไว้ด้านใน
ค่ายกลชั้นจำกัดที่อยู่ด้านนอกพระราชวังแข็งแกร่งอย่างที่สุดและแผ่ปราณจิตวิญญาณเย็นเยียบระลอกแล้วระลอกเล่าออกมา เห็นชัดว่านี่เป็นดินแดนมรดกอีกแห่งหนึ่ง
ตอนนี้ประตูใหญ่ด้านหน้าพระราชวังเปิดกว้าง ด้านในโล่งอย่างยิ่ง นอกจากแท่นบูชาที่ค่อนข้างอลังการแท่นหนึ่งก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
แท่นบูชายาวกว้างสิบกว่าจั้ง สูงสิบจั้ง ด้านหน้าบันไดศิลาหลายร้อยขั้นเชื่อมตรงไปยังยอดของแท่นบูชา
บนบันไดศิลาหุ่นรูปมนุษย์ระดับผลึกสิบกว่าตัวนอนระเกะระกะอยู่ ตรงหน้าอกของหุ่นเหล่านี้แต่ละตัวล้วนถูกควักจนว่างเปล่า แก่นบริสุทธิ์ของพวกมันไม่มีปีกแต่บินหายไปแล้ว
บนยอดของแท่นบูชาคือแท่นสี่เหลี่ยมเรียบขนาดหลายจั้งแท่นหนึ่ง บนแท่นเรียบวาดลวดลายค่ายกลสีเลือดประหลาดบิดเบี้ยวไว้ เหนือใต้ออกตกสี่ทิศต่างมีเสาศิลาสีเขียวสูงกว่าคนเล็กน้อยต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่
ยามนี้สตรีผมเงินผู้หนึ่งกำลังนั่งสง่าอยู่บนเสาศิลาต้นหนึ่งทางทิศตะวันออกเงียบๆ ในมือถือตำราโบราณเล่มหนึ่งไว้กำลังศึกษาอย่างเพลิดเพลิน ข้างกายนางตำราคล้ายๆ กันซ้อนกันเป็นกอง มีมากถึงสิบกว่าเล่ม
เห็นชัดว่าสตรีผู้นี้ก็คืออิ๋นเซ่อ ศิษย์หอเป๋ยโต่วที่เป็นอันดับหนึ่งบนป้ายศิลาโชคชะตา
ด้านล่างของเสาสองสามต้นที่เหลือ ศพที่สวมเครื่องแบบต่างกันสี่ห้าร่างทอดกายอยู่ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เลือดออกเจ็ดทวาร สภาพยามตายน่าอนาถยิ่งนัก
มรดกของที่แห่งนี้เห็นชัดว่าถูกเปิดออกแล้ว ทว่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่ที่นี่กลับมีเพียงสตรีผู้นี้คนเดียวเท่านั้น
สตรีผมเงินคล้ายไม่สนใจภาพคลุ้งคาวเลือดรอบด้านแม้แต่น้อย เพียงพลิกอ่านตำราในมืออย่างจดจ่อตั้งใจ ใบหน้าเผยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยออกมาเป็นระยะ
“ดูท่าในเวลาสั้นๆ อยากบรรลุคัมภีร์ลับเหล่านี้ให้หมดจะเป็นไปไม่ได้ นำกลับไปที่หอแล้วค่อยศึกษาให้ละเอียดก็แล้วกัน”
ชั่วครู่ให้หลังสตรีผมเงินจึงเงยศีรษะขึ้น นางหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยกับตนเองจากนั้นปิดตำราในมือ
หลังจากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางงดงาม นางลูบแขนเสื้อทีหนึ่ง หมอกสีเงินจางๆ สายหนึ่งพลันม้วนออกมาจากด้านในเก็บตำรารอบด้านไปในครั้งเดียว หลังจากนั้นนางจึงทะยานร่างลงจากเสาศิลาประหนึ่งใบไม้ร่วงร่อนแผ่วเบาลงบนแท่นสูงด้านล่าง กระทั่งเสียงสักนิดก็ไม่มี
“ปั้บ” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นทีหนึ่ง!
แขนกลมกลึงของสตรีผมเงินยกขึ้นเบาๆ ฝ่ามือขาวกระจ่างตบเบาๆ ลงบนจุดหนึ่งของเสาศิลาข้างกาย ลวดลายค่ายกลบนพื้นฉับพลันสว่างขึ้นมา
นาทีต่อมาค่ายกลรูปเสากลมค่ายกลหนึ่งพลันส่งเสียงผุดขึ้นมา อักขระนับไม่ถ้วนในค่ายกลโลดแล่นไม่หยุด
สตรีผมเงินเห็นภาพนี้ ร่างกายพลันขยับก้าวเข้าไปในค่ายกล หลังแสงสว่างสีเงินแสบตาสายหนึ่งฉายขึ้น ร่างของสตรีผู้นี้ก็หายไปจากในห้องโถงใหญ่แล้ว
……
ในหุบเขาหินเขียวที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้โบราณเขียวชอุ่มเต็มสายตาแห่งหนึ่ง น้ำไหลเอื่อยๆ อยู่ในลำธารสายน้อยใสกระจ่างกว้างหนึ่งจั้งกว่าสายหนึ่งที่ทอดขวางคดเคี้ยวผ่านป่า
สองข้างลำธารหญ้าจิตวิญญาณหลากสีสันนับไม่ถ้วนงอกปะปนกันแผ่ปราณจิตวิญญาณเข้มข้นอย่างที่สุดระลอกแล้วระลอกเล่าออกมา เห็นชัดว่าเป็นสวนสมุนไพรตามธรรมชาติประหนึ่งสรวงสวรรค์บนโลกมนุษย์
ลึกเข้าไปในหุบเขา เงาคนสีดำสองร่างกำลังเคลื่อนที่รวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าแลบ
ด้านหลังร่างของทั้งสองคนฝุ่นควันม้วนตลบรอบด้าน เสียงเปรี้ยงเขย่าขวัญดังขึ้นไม่ขาด ปีศาจอสูรร่างยักษ์สูงถึงสิบกว่าจั้ง ครึ่งท่อนบนคล้ายกวางครึ่งท่อนล่างคล้ายม้าตัวหนึ่งกำลังไล่ตามมาติดๆ อย่างไม่ลดละประหนึ่งบิน
อสูรตัวนี้ไม่ใช่เพียงหน้าตาประหลาด บนร่างยังมีลวดลายจิตวิญญาณสีดำแดงสองสีเส้นแล้วเส้นเล่าเกี่ยวกระหวัดพันกับวุ่นวายไร้ระเบียบ ดวงตาสีดำเขียวสองข้างยิ่งมีประกายดุร้ายสาดออกมาเป็นระยะ
ทันใดนั้นปีศาจอสูรตัวนี้ก็ส่งเสียงร้องประหลาดดังโฮกๆ ออกมาแล้วกระโจนไปข้างหน้า เพิ่มความเร็วขึ้นฉับพลันกลางอากาศ มันอ้าปากกว้างพ่นลำแสงสีดำแดงหนาเท่าถังน้ำเส้นหนึ่งออกมา ยิงเร็วรี่เข้าใส่เงาดำสองร่างซึ่งเคลื่อนที่เร็วประหนึ่งสายฟ้าอยู่เบื้องหน้า
จุดที่ลำแสงพุ่งผ่าน อากาศรอบด้านล้วนส่งเสียงครวญครางบิดเบี้ยวตาม
ผลสุดท้ายตอนที่ลำแสงกำลังจะโจมตีลงบนเงาดำทั้งสอง เงาคนสีดำสองร่างพลันพร่าเลือนวูบหนึ่ง ขยับหลบหนึ่งซ้ายหนึ่งขวาหลบพ้นการโจมตีนี้ไป
เสียงเปรี้ยงดังขึ้น ลำแสงสีดำแดงส่งเสียงหวีดหวิดเฉียดผ่านทั้งสองคนไปร่วงตกบนหน้าผาแห่งหนึ่งด้านหน้า
จุดที่ลำแสงผ่านไป ไม่ว่าหินเขียว หญ้าจิตวิญญาณหรือสมุนไพรจิตวิญญาณล้วนสลายกลายเป็นเถ้าธุลีในชั่วพริบตาไม่มียกเว้น
“หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อ หญ้าจิตวิญญาณในหุบเขาเกรงว่าคงถูกทำลายไปไม่น้อย” เสียงสตรีแหลมเล็กเสียงหนึ่งดังขึ้นจากเงาดำด้านซ้ายในพริบตา
“อย่าดึงดันสู้ที่นี่ พวกเราล่อมันออกจากหุบเขาก่อนค่อยว่ากัน” เงาดำอีกร่างหนึ่งเอ่ยเสียงเข้ม
เป้าหมายของทั้งสองคนย่อมเป็นการเก็บสมุนไพรจิตวิญญาณ จึงไม่อาจลงมือใหญ่โตในหุบเขาได้ มิเช่นนั้นแม้สังหารอสูรตัวนี้ได้ ก็เลี่ยงทำลายสมุนไพรจิตวิญญาณค่อนครึ่งหุบเขาไปด้วย เช่นนั่นย่อมได้ไม่คุ้มเสีย
เสียงสตรีแหลมเล็กขานตอบเบาๆ คำหนึ่ง จากนั้นมือก็ใช้เคล็ดวิชา ปราณสีดำที่ปกคลุมแผ่นหลังอยู่ฉับพลันยืดออกเป็นปีกยาวหนึ่งจั้งกว่าคู่หนึ่ง ปีกกระพือเบาๆ เล็กน้อยความเร็วก็เพิ่มขึ้นหลายส่วนในทันใด
หุบเขาแห่งนี้ขนาดแค่ไม่กี่หมู่เท่านั้น เมื่อเงาดำสองร่างตั้งใจล่อ ปีศาจอสูรประหลาดครึ่งกวางครึ่งม้าก็ถูกล่อมาถึงนอกหุบเขาอย่างรวดเร็วยิ่ง
“ท่านพี่ ท่านไม่ต้องลงมือ ปีศาจอสูรตัวนี้มอบให้ข้าจัดการเองเถิด” หลังสตรีนางนั้นเอ่ยเรียบๆ นางก็หมุนตัวหยุดอยู่กลางอากาศในทันใด เพลิงปราณสีดำทั่วร่างลุกโชนออกมาแล้วผนึกรวมรอบตัวนางอย่างรวดเร็ว ถักทอเป็นภาพสัญลักษณ์วิหคเพลิงมหึมาสูงสี่ห้าจั้งตัวหนึ่ง
“ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ยกให้น้องเล็กแล้ว”
เงาดำอีกร่างหัวเราะ แสงสีดำม้วนไปปรากฏอยู่บนศิลายักษ์สีเทาก้อนหนึ่ง ยืนสองมือไพล่หลัง
เงาดำสองร่างนี้ไม่ใช่ใครอื่น พวกเขาก็คือเซียนหงส์ดำกับพี่ชายของนางนั่นเอง
ระหว่างที่ทั้งสองคนไล่สังหารศิษย์ตระกูลอื่นสองสามคนอยู่ก็มาถึงที่แห่งนี้ พบสมุนไพรจิตวิญญาณตามธรรมชาติในหุบเขาแห่งนี้พอดี
พวกเขาสองคนจึงไม่ไล่ตามศิษย์เหล่านั้นอีก ไม่พูดพร่ำเป็นคำที่สองบุกเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขา
ผลสุดท้ายพบว่าในหุบเขาแห่งนี้มีสมุนไพรจิตวิญญาณอายุหลายร้อยปีกระทั่งพันกว่าปีอยู่จำนวนหนึ่งจึงยินดีอย่างที่สุดในทันใด!
ทว่าแดนจิตวิญญาณเช่นนี้ย่อมมีปีศาจอสูรเฝ้าพิทักษ์อยู่
สัตว์ประหลาดครึ่งกวางครึ่งม้าที่ซ่อนตัวอยู่ใจกลางหุบเขาตัวนี้เป็นปีศาจอสูรระดับแก่นเสมือนตัวหนึ่ง ไม่เพียงพลังป้องกันน่าตะลึง ลำแสงสีดำแดงที่พ่นออกมายิ่งมีพลังมหาศาลเผาทุกสิ่งเป็นขี้เถ้าได้ นอกจากนี้ด้วยความเกรี้ยวกราดมันจึงไม่สนใจไยดีสมุนไพรจิตวิญญาณเต็มสวนในหุบเขาสักนิด
เพียงแต่เมื่อครู่นี้ทั้งหุบเขาจิตวิญญาณก็เกรงว่าคงมีพื้นที่หนึ่งในสิบส่วนกลายเป็นพื้นดินไหม้เกรียม สมุนไพรจิตวิญญาณที่เสียไปกับเหตุการณ์นี้หากอยู่ที่โลกภายนอกคงราคาสูงเทียมฟ้า
นี่ทำให้เซียนหงส์ดำกับพี่ชายปวดใจมากยิ่งนัก
ปีศาจอสูรประหลาดเห็นเซียนหงส์ดำหยุดก็แหงนหน้าส่งเสียงร้องทุ้มต่ำประหลาดออกมา สี่ขากระทืบพื้นพุ่งเข้าไปอย่างไม่ลังเลสักนิด
เซียนหงส์ดำเห็นเช่นนี้ ในดวงตางามพลันมีแววตาเย้ยหยันจางๆ เปลวเพลิงสีดำทั่วร่างลุกโหม ร่างกายผสานเข้ากับเงาวิหคเพลิงสีดำเบื้องหลัง
เสียงวิหคดังกังวานไปถึงเก้าชั้นฟ้า!
วิหคเพลิงสีดำบินวนบนท้องฟ้ารอบหนึ่ง จากนั้นสองปีกพลันหุบ ไม่ถอยกลับรุกคืบกลายเป็นลูกบอลแสงสีดำสนิทดิ่งลงไปหาปีศาจอสูรประหลาดตัวนั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น