อยากกินไหมล่ะ 792-794
บทที่ 792 ความแตกต่างอันน้อยนิด
หลังจากพบว่าหยวนโจวไม่ได้เติมน้ำตาลลงไปเลย จี้อี้ก็รู้สึกกระวนกระวายใจจนแทบบ้าพลางเริ่มบ่นพึมพำกับตัวเอง
“ทำไมถึงมีรสหวานได้โดยไม่ต้องใส่น้ำตาลกันนะ? คุณใช้ข้าวสาลีของทางภาคเหนืองั้นเหรอ? ไม่สิ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่น่าจะมีรสชาติอะไร” จี้อี้ขมวดคิ้วพลางมองหยวนโจว เขาหาได้เป็นที่รู้จักในฐานเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีโดยไร้เหตุผลเสียที่ไหนกัน เขาย่อมเข้าใจรสชาติของแป้งชนิดต่างๆอย่างชัดเจนอยู่แล้วล่ะ
“ตาเฒ่าคนนี้ล่ะก็ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้” หลิวจางมองจี้อี้อย่างไม่สามารถช่วยอะไรได้
หยวนโจวเหลือบมองหลิวจางก่อนที่จะตอบว่า “ข้าวสาลีทางภาคเหนือมีความเหนียวและรสชาติพอเหมาะพอดี พวกมันสามารถนำมาใช้ในการผลิตแป้งคุณภาพดี แต่สำหรับอาหารจานนี้ ใช้ข้าวสาลีทางภาคใต้จะดีกว่าเนื่องจากมีความชื้นมากกว่าขณะที่แป้งที่ผลิตขึ้นมาก็จะหวานกว่าด้วย เมื่อเจอเข้ากับน้ำแร่เย็นก็จะสามารถปลดปล่อยความหวานออกมาได้”
“คนส่วนใหญ่รู้ว่าส่วนต่างๆของลิ้นจะตอบสนองต่อรสชาติต่างๆ ส่วนปลายของลิ้นจะไวต่อรสหวานมาก ส่วนหลังของลิ้นจะไวต่อรสขมและรสเผ็ดมาก ส่วนทั้งสองด้านของลิ้นจะมีความไวต่อรสเปรี้ยวมาก ผมเลยเตรียมอาหารจานนี้ด้วยวิธีการที่จะปลดปล่อยรสหวานออกมาตรงปลายลิ้นด้วยการซ่อนมันเอาไว้ภายใต้น้ำมันหมู” หยวนโจวอธิบาย นี่คือวิธีการเตรียมที่อาหารอันแปลกใหม่ที่เจ้าระบบมอบให้เขาไปดัดแปลงต่อในภายหลัง
หยวนโจวอธิบายมาเสียยาวเหยียด เป็นเรื่องหาได้ยากที่เขาจะพูดมากขนาดนี้ เหตุผลเดียวที่เขาทำเช่นนั้นก็เพื่อแสดงความรู้สึกขอบคุณต่อหลิวจางที่สอนเขาเตรียมตับดิบโดยไม่หวงวิชา
“น้ำแร่เย็น? ความชื้น? ผมเข้าใจแล้วล่ะ” จี้อี้เหม่อไปเล็กน้อยก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาศึกษาหมั่นโถวไหมพันเส้นตรงหน้าเขาราวกับมีความลับจากสวรรค์บรรจุอยู่ข้างในก็ไม่ปาน
“ขอบใจนะ เถ้าแก่หยวน” หลิวจางกล่าวขอบคุณ
“ด้วยความยินดีครับ ไม่ต้องเกรงใจ” หยวนโจวตอบอย่างเป็นจริงเป็นจัง
หลิวจางไม่พูดอะไรอีก เขาโบกมือแล้วหันหน้าไปหาจี้อี้เพื่อเตรียมพูดจา
แต่ก่อนที่หลิวจางจะทันได้กล่าวอะไรออกไป จี้อี้กลับพูดขึ้นมาเสียก่อนว่า “ฉันแก่แล้ว คงอยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นานหรอก”
ใช่แล้วล่ะ จี้อี้หาได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่หยวนโจวบอกเขาก่อนหน้านี้ สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือข้าวสาลีทางภาคเหนือจะเป็นวัตถุดิบเพียงอย่างเดียวที่เหมาะแก่การเตรียมอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลี ถึงอย่างไรข้าวสาลีก็มีรสหวาน นุ่มและเหนียว ข้าวสาลีดังกล่าวเหมาะสมยิ่งต่อการทำหมั่นโถว ขนมปัง เกี๊ยวหรือบะหมี่
สืบเนื่องจากความรู้ที่เขามีอยู่นั้น เขาพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะคิดค้นสูตรใหม่ๆขึ้นมาได้ หรือจะพูดให้ถูกก็คือเขารู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับการทำขนมแต่หยวนโจวไม่เพียงแค่มีความรู้ในการทำขนมเมื่อตอนที่เตรียมหมั่นโถวไหมพันเส้นเท่านั้น แต่เขายังผสมผสานความรู้ด้านอื่นๆระหว่างการเตรียมอาหารจานนี้ลงไปด้วย
คนที่มุ่งเน้นไปที่การเรียนเพียงอย่างเดียวอาจจะมีความเชี่ยวชาญในสิ่งนั้น แต่หยวนโจวกลับมีความรู้กว้างขวางและสามารถผนวกเข้าด้วยกันได้อย่างแนบเนียน จี้อี้แหงนหน้าแล้วรำพึงออกมาพลางมองหยวนโจว “อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ”
เขาไม่พูดให้จบประโยค ที่จริงเขาพยายามที่จะบอกว่าหยวนโจวมีความรู้ความสามารถทั้งๆที่มีอายุเพียงเท่านี้อยู่แท้ๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ตาแก่อย่างเราๆก็ควรจะสนุกสนานไปกับการเกษียณตัวเองเสียหน่อยสิ” หลิวจางไม่ใส่ใจแถมยังกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มอีกต่างหาก
“จริงด้วย งั้นฉันก็จะลองชิมอาหารจานอื่นที่ได้รับคำชมอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นดูบ้างล่ะ” จี้อี้ยังคงรู้สึกท้อใจ แต่เขากลับไม่ยินดีที่จะแสดงให้เห็นต่อหน้าหลิวจาง ดังนั้นเขาจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกินอาหารจานอื่นๆ
หลิวจางไม่พูดอะไรอีกและกินอาหารของเขาต่อไป มีลูกค้ารายใหม่ที่เพิ่งจะมาถึงโต๊ะข้างเคียงกับเขา พวกเขาก็คือฉินเสี่ยวอี้กับเกาฟ่านนั่นเอง
“นายรู้สึกว่าคราวนี้ก๋วยเตี๋ยวน้ำใสอร่อยขึ้นไหม?” ฉินเสี่ยวอี้ถามพลางถองใส่เกาฟ่าน
เกาฟ่านไม่ตอบและกินก๋วยเตี๋ยวน้ำใสของตัวเองต่อไป ไม่ใช่เพราะเขากำลังหิวอะไรหรอก นี่ก็เป็นแค่ความเคยชินจากการต่อสู้กับอู๋ไห่หลายต่อหลายครั้ง เมื่อไหร่ก็ตามที่เขากินบางอย่างในร้านหยวนโจวอยู่ เขาก็จะกินด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้จากปฏิกิริยาสะท้อนกลับเพื่อมิให้ฝ่ายตรงข้ามได้โอกาส
สองนาทีต่อมาก็เหลือแค่น้ำซุปของก๋วยเตี๋ยวน้ำใสเพียงเท่านั้น ในที่สุดเกาฟ่านก็เงยหน้าขึ้นมามองฉินเสี่ยวอี้ “อร่อยขึ้นไหมเหรอ? ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ยอดเยี่ยมมากเชียวล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะมีงบจำกัดล่ะก็ฉันจะสั่งเซ็ตก๋วยเตี๋ยวน้ำใสที่อยู่ด้านบนสุดมาอีกด้วยซ้ำไป”
“นายมันเป็นหมูตัวนึงไปแล้ว ฉันไม่น่าถามนายเลย” ฉินเสี่ยวอี้ส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง ถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งที่สองที่เขาได้มากินก๋วยเตี๋ยวน้ำใสที่นี่กับครั้งแรกเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว เขาก็สามารถรู้สึกได้ว่ารสชาติดีขึ้นจริงๆ ฉินเสี่ยวอี้ไม่เพียงเป็นคนฉลาดเท่านั้น ทว่าต่อมรับรสของเขาก็ค่อนข้างเฉียบคมมากด้วย
หยวนโจวหมดเวลาไปอย่างไร้ค่ากับการแอบฟังพวกเขาคุยกัน เขาลอบยิ้มให้ตัวเองก่อนที่จะมองฉินเสี่ยวอี้ด้วยความประหลาดใจ
ควรรู้ว่าตอนที่หยวนโจวได้รับรางวัลจากเจ้าระบบอย่างข้าวผัดไข่และอื่นๆเป็นครั้งแรกนั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นรางวัลแสดงความโง่ทั้งสิ้น
รางวัลแสดงแสดงความโง่คืออะไรงั้นเหรอ? ยกตัวอย่างเช่นข้าวผัดไข่ก็แล้วกัน มันเป็นอาหารจานแรกที่หยวนโจวได้รับมาเลยเชียวล่ะ มีวิธีทำข้าวผัดไข่อยู่มากมาย บางวิธีก็จะมีความแตกต่างด้านระยะเวลาในการเตรียม ขณะที่บางอย่างจะมีความแตกต่างด้านจำนวนของวัตถุดิบ
อันที่จริงแล้วความแตกต่างกันเพียงน้อยนิดสามารถเปลี่ยนรสชาติของอาหารให้ดีขึ้นหรือแย่ลงได้เลย เนื่องจากเป็นรางวัลในครั้งแรก เจ้าระบบจึงเลือกสูตรอาหารที่สมบูรณ์แบบมากที่สุดให้หยวนโจว
ตอนนี้ภายใต้การเรียกร้องของหยวนโจว เจ้าระบบจะมอบสูตรอาหารต่างๆให้แก่หยวนโจว หยวนโจวจะได้รับอนุญาตให้เลือกได้เองว่าเขาอยากจะทำอาหารอย่างไรกันแน่ ยกตัวอย่างเช่นมีสูตรหางไก่ย่างเห็ดมากกว่า 100 อย่าง บางอย่างจะถูกสร้างขึ้นให้มีความแตกต่างในวันถัดมาหลังจากอาหารจานนี้
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้แต่ละครั้งหยวนโจวจะวางจำหน่ายอาหารจานใหม่ๆเขาจึงต้องเสียเวลาไปวันหนึ่งเพื่อทำการทดสอบนั่นเอง เขาอยากใช้วิธีการเตรียมที่ดีและเหมาะสมที่สุดเพื่อนำไปใช้กับสูตรอาหารที่ดีที่สุด ดังนั้นอาหารของหยวนโจวจึงมักจะดีขึ้นอยู่เสมอ
แน่นอนว่ายิ่งมีความเชี่ยวชาญก็จะพัฒนาขึ้นไปทีละเล็กทีละน้อย หยวนโจวสามารถมองเห็นพัฒนาการของตัวเองได้ตลอดเวลาและเขาก็มีความสุขที่ได้เห็นมันเช่นกัน แต่มีลูกค้าเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้ถึงพัฒนาการในอาหารของเขาจริงๆ
หยวนโจวรู้ย่อมสึกดีที่มีคนสังเกตเห็นพัฒนาการของเขา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตมีความหมายมากขึ้น
บรรยากาศในร้านหยวนโจวสอดประสานไปกับทุกคนที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารกลางวันอย่างสุขสันต์ ในขณะเดียวกัน สิ่งต่างๆกลับไม่เข้ากับโจวซื่อเจี๋ยเอาเสียเลย
“ว่าไงนะ?” โจวซื่อเจี๋ยถามพร้อมขมวดคิ้วพลางจ้องมองจงลี่ลี่
“หัวหน้าเลขาของสมาพันธ์เชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีมาที่เฉิงตูแปดวันแล้ว วันนี้เขาไปร้านหยวนโจวทันทีที่ร้านเปิดเลยล่ะครับ” จงลี่ลี่บอกข่าวที่ได้มาซ้ำอีกครั้ง
“ตาเฒ่านั่นมาทำอะไรที่นี่กันนะ?” โจวซื่อเจี๋ยถามความฉงนสนเท่ห์
“ทำไมนายไม่บอกฉันก่อน?” โจวซื่อเจี๋ยเงยหน้าขึ้นแล้วถามอีกที
“เพราะเมื่อสองสามวันก่อนหัวหน้าเลขาเอาแต่ใช้เวลาอยู่กับหลิวจางเพื่อนเขาอยู่น่ะสิครับ” จงลี่ลี่ตอบ
“พวกเขาไม่ถูกกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงอยู่ด้วยกันนานขนาดนี้ได้เล่า?” โจวซื่อเจี๋ยรู้สึกสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ
ควรรู้ว่าทั้งจี้อี้กับหลิวจางต่างมีชื่อเสียงในแวดวงการทำอาหาร คนนอกที่ไม่ทราบเรื่องของทั้งสองคนนี้ย่อมต้องคิดว่าทั้งสองคนนี้ไม่ถูกกันและจะเริ่มโต้เถียงกันทุกทีที่ได้เจอหน้ากัน
นั่นก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้โจวซื่อเจี๋ยรู้สึกสับสนเมื่อได้ยินว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันมาตั้งแปดวันแล้ว พวกเขาน่าจะเริ่มต่อสู้กันทันทีที่เจอหน้ากันมากกว่า
“เถ้าแก่หยวนไปต่างประเทศเพื่อเสาะหาอาหารอร่อยเมื่อเจ็ดวันที่ผ่านมา บางทีพวกเขาอาจจะอยู่กับเขาก็ได้นะครับ?” จงลี่ลี่เสนอแนะ
“หยวนโจวงั้นรึ? จริงสินะ เจ้าเด็กนั่นก็ถนัดอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีเหมือนกันนี่นา หรือตาเฒ่านั่นมาถึงที่นี่เพื่อแย่งเขาไป?” โจวซื่อเจี๋ยถาม
เท่าที่โจวซื่อเจี๋ยเข้าใจ จี้อี้อยู่ที่นี่มาเจ็ดวันแล้วก็รีบพุ่งไปที่ร้านหยวนโจวทันทีที่หยวนโจวเปิดร้าน สาเหตุเดียวที่เขาจะทำเช่นนั้นก็เพื่อรับหยวนโจวเข้าสมาพันธ์เชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีนั่นเอง
“คนผู้นั้นกำลังจะแย่งคนไปจากฉันจริงๆสินะ? ฮึ!” โจวซื่อเจี๋ยลุกขึ้นแล้วสวมเสื้อแจ็คเก็ต เห็นได้ชัดเลยว่ากำลังเตรียมจะไปที่ไหนสักแห่ง
เป็นเรื่องหาได้ยากยิ่งที่โจวซื่อเจี๋ยจะกระตือรือร้นมากขนาดนี้ สิ่งนี้สร้างความตกตะลึงให้จงลี่ลี่เป็นอันมาก
“ท่านประธาน? ลุงโจว จะไปไหนเหรอครับ?” จงลี่ลี่ถามขึ้น
“แน่นอนว่าฉันต้องกลับไปพาหยวนโจวให้เข้าสู่เส้นทางที่ถูกที่ควรน่ะสิ เขาเป็นคนในแวดวงการทำอาหาร ฉันจะปล่อยให้เขากลายเป็นช่างทำขนมได้อย่างไรกัน?” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวแล้วเดินออกไป
คืนก่อนสงครามแห่งพรสวรรค์จึงมาถึงด้วยประการฉะนี้
บทที่ 793 วันหยุดอีกวันงั้นหรือ?
โจวซื่อเจี๋ยรีบพุ่งตัวไปที่ร้านหยวนโจว แวดวงของเชฟไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กเช่นกัน จี้อี้เป็นหนึ่งในผู้ที่มีฝีมือดีที่สุดในแวดวงอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลี ดังนั้นโจวซื่อเจี๋ยจึงรู้จักจี้อี้เป็นอย่างดี
สิ่งนี้เห็นได้ชัดจากการสนทนาของเขากับจงลี่ลี่ แถมยังมีเรื่องพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมในการทำอาหารพวกต้มมากกว่าที่จะมุ่งเน้นไปยังอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีแทนในอดีตที่ผ่านมา
ถ้ามีคนมาถามเรื่องความประทับใจที่โจวซื่อเจี๋ยมีต่อจี้อี้ เขาก็จะตอบโดยไม่ลังเลเลยว่าจี้อี้เป็นจอมฉก เขาจะมีส่วนร่วมในบางเรื่องที่เขาพบว่ามีประโยชน์ด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลี
ในขณะเดียวกัน จี้อี้ก็เพิ่งจะกินอาหารที่หลิวจางสั่งในร้านหยวนโจวหมด
ลูกตาของเขาเริ่มกลอกไปมา ส่วนฟันเฟืองในสมองก็เริ่มส่งเสียงดังคลิ๊ก
“คุณได้เรียนรู้อะไรไปบ้างแล้วล่ะครับ?” หลิวจางถามด้วยรอยยิ้ม
จี้อี้เหลือบมองหลิวจางแล้วกล่าวว่า “อย่างกับคุณไม่ใช่เชฟงั้นแหละ ทำไมคุณถึงได้ใจแคบอย่างนั้นเล่า?”
บางคนอาจจะบอกว่าความหวานเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็สามารถตรวจพบได้เพียงแค่ให้ความสนใจกับอาหารอย่างจริงจัง ดังนั้นจึงนับเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์
แต่ความจริงก็คือเมื่อฝีมือการทำอาหารของคนผู้หนึ่งมาถึงขั้นนี้แล้ว ทางเดียวที่จะสามารถแข่งขันกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันได้ก็คือรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเช่นนี้นั่นเอง ความหวานตามธรรมชาติของแป้งย่อมให้ความรู้สึกที่ดีและกลมกล่อมมากกว่าความหวานสังเคราะห์จากการเติมน้ำตาลลงในอาหาร
อย่างที่กล่าวไปแล้ว สงครามระหว่างผู้มีอิทธิพลสามารถสิ้นสุดลงได้ในชั่วมิลลิวินาที สิ่งนี้ก็สามารถนำมาใช้ในฝีมือการทำอาหารได้เช่นเดียวกัน
“ตาเฒ่าจี้ พูดแบบนี้ก็เท่ากับนายยอมรับความพ่ายแพ้ไปแล้วน่ะสิ” หลิวจางเป็นคนที่สามารถกระตุ้นผู้อื่นได้หน้าตาเฉย
เมื่อจี้อี้มองหลิวจางที่มีใบหน้าเฉยเมยขณะที่กล่าวคำพูดพวกนั้นออกมา จากนั้นเขาก็เกิดอยากตีคนขึ้นมาเสียดื้อๆ
เขารู้ว่าทำอย่างไรก็เถียงไม่ชนะหลิวจาง ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะถามอีก แต่เขากลับหันหน้าไปหาหยวนโจวและพูดขึ้นมาว่า “เถ้าแก่หยวน อีกไม่นานกำลังจะมีการแข่งขันที่น่าสนใจ คุณสนใจที่จะเข้าร่วมไหมล่ะ?”
จี้อี้เข้าใจเลือกจังหวะได้อย่างเหมาะเจาะ เขาจะพูดเฉพาะเมื่อหยวนโจวอยู่ว่างๆเท่านั้น หยวนโจวแสดงท่าทีว่าเขากำลังฟังและรอคอยสิ่งที่จี้อี้จะพูดต่อไป
“ศาสตร์การทำอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานโดยมีวิธีการทำอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีอยู่อีกมากมายที่ถูกปิดบังจากรายงาน”
จี้อี้ชะงักไปแล้วพูดต่อว่า “ดังนั้นสมาพันธ์เชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีแห่งประเทศจีนจึงวางแผนที่จะจัดการแข่งขันระดับชาติขึ้น”
อันที่จริงแล้วในฐานที่เป็นหัวหน้าเลขาของสมาพันธ์เชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีแห่งประเทศจีน นี่คือการแข่งขันที่เขาวางแผนเอาไว้และเห็นชอบด้วย
“พวกเรากำลังรวบรวมเชฟหน้าใหม่ที่ปรุงอาหารขึ้นมาจากข้าวสาลีจากทั่วประเทศมาก่อนที่จะทำการทดสอบพวกเขาอีกที พวกคนที่ผ่านการทดสอบจะได้รับการบันทึกประวัติเอาไว้ โดยเอกสารพวกนี้จะถูกใส่ลงในพิพิธภัณฑสถานด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีแห่งประเทศจีน”
นี่เป็นการรักษาฝีมืออย่างหนึ่งเอาไว้ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ดี แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับหยวนโจวด้วยเล่า? เขาจะต้องเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ในฐานเชฟหน้าใหม่ที่ปรุงอาหารขึ้นมาจากข้าวสาลีด้วยงั้นหรือ?
เห็นได้ชัดว่าด้วยสถานะในตอนนี้ของหยวนโจวคงไม่เหมาะที่จะเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ในฐานเชฟหน้าใหม่ที่ปรุงอาหารขึ้นมาจากข้าวสาลี ผู้ชมจะทราบได้ทันทีว่านี่คือหยวนโจวผู้แสนหล่อเหลาและไร้ซึ่งความกังวลใจที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้วยการมองเพียงปราดเดียว จากนั้นพวกเขาก็จะคาดเดาไปต่างๆนานาราวกับมีเรื่องอื้อฉาวกำลังตั้งเค้าอยู่เบื้องหลังหลายๆเหตุการณ์
นี่คือความคิดเห็นของหยวนโจว คนส่วนใหญ่ตระหนักดีว่าเชฟหน้าใหม่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรทว่ากลับเปี่ยมไปด้วยฝีมือเป็นอันมาก
ส่วนการเข้าร่วมการแข่งขันในฐานกรรมการผู้ตัดสินแทน หยวนโจวคงไม่มีเวลาพอสำหรับเรื่องนั้นหรอก
สิ่งที่จี้อี้กำลังจะกล่าวต่อไปช่วยขจัดความสงสัยของหยวนโจวได้โดยสิ้นเชิง “เพื่อโปรโมตการแข่งขันในครั้งนี้ พวกเราจะถ่ายวิดีโอออกมาห้าแบบเพื่อให้ผู้ชมเริ่มคาดเดาตัวตนของเชฟทั้งหลาย ผมหวังว่าคุณจะสามารถอยู่หนึ่งในห้าของวิดีโอได้นะ”
หยวนโจวลูบคางแล้วพินิจพิเคราะห์ อีกไม่นานรายการโรล เดียร์ บีฟก็จะมาถ่ายทำเช่นเดียวกัน เขาสงสัยว่าเวลาจะกระชั้นเกินไปหรือไม่
ก่อนที่หยวนโจวจะตอบนั้น เจ้าระบบก็มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาทันที
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ขอแสดงความยินดีด้วยนะเจ้านาย คุณได้กระตุ้นภารกิจความก้าวหน้าของตำแหน่งเข้าแล้ว คุณจะรับภารกิจหรือไม่?”
หยวนโจวถามเมื่อเห็นภารกิจ “เจ้าระบบแกถูกระบบอื่นควบคุมอยู่ใช่ไหม? แต่ก่อนแกจะเอาแต่เงียบอยู่เป็นนานหลังจากบรรลุภารกิจหลักก่อนที่จะประกาศอีกภารกิจ แต่ตอนนี้แกกลับมาประกาศภารกิจต่อมาทันทีเลย”
เจ้าระบบเงียบไปแล้ว แต่หยวนโจวก็ยังรู้สึกไม่ชอบมาพากล
เมื่อจี้อี้เห็นว่าหยวนโจวกำลังเหม่อและเอาแต่เงียบอยู่เป็นนาน เขาจึงเข้าใจผิดคิดว่าหยวนโจวมีเหตุผลส่วนตัวที่ไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ ดังนั้นเขาจึงถามขึ้นมาว่า “เถ้าแก่หยวน คุณมีปัญหาอะไรในการเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้หรือเปล่า? บอกมาได้เลยนะ”
หยวนโจวถาม “จะใช้เวลาถ่ายทำนานขนาดไหนเหรอครับ?”
“ไม่นานเท่าไหร่หรอก คุณแค่ทำตัวให้ว่างสักวันก็พอ ผมจะจัดการทุกอย่างให้คุณเอง” จี้อี้ตอบ
“หนึ่งวัน…” หยวนโจวเงียบไปเป็นนานก่อนที่จะตอบว่า “นับเป็นเกียรติที่ผมได้ทำอะไรเพื่อประเทศของเรา แต่ผมเพิ่งจะกลับมาจากประเทศไทยได้แค่เจ็ดวัน ถ้าหากผมต้องออกเดินทางอีกที…”
ก่อนหยวนโจวจะกล่าวจบประโยค จี้อี้ก็พูดขึ้นมาว่า “ก็แค่หยุดอีกวันเดียวเองนี่”
ทันทีที่กล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา ความสับสนอลหม่านก็พลันบังเกิดขึ้นในร้านหยวนโจว
“คุณเห็นแก่ตัวเกินไปแล้วนะ ถ้าหากคุณไม่ได้กินอาหารของเถ้าแก่หยวนสักสองสามวันดูซิว่าคุณจะสามารถนอนหลับยามค่ำคืนได้ไหม?” หม่าจื้อต๋ากล่าว
“ใช่แล้วล่ะ เถ้าแก่หยวนของเราเป็นสุดยอดเชฟผู้ขยันขันแข็งและตรากตรำทำงานหนักที่ทั้งฉลาดและหล่อเหลาอีกต่างหาก เขาไม่ฟังคุณหรอกน่า” หญิงสาวผู้หนึ่งเริ่มเอ่ยคำชื่นชมหยวนโจว
หยวนโจวยังคงรักษาสีหน้าเคร่งขรึมเอาไว้ขณะที่ได้ยินเช่นนี้ ทว่าเขากลับเห็นด้วยกับคำพูดพวกนั้นมาก
“เถ้าแก่หยวน วิดีโอโปรโมตครั้งนี้เป็นเรื่องขี้ปะติ๋วสำหรับนาย แต่ฉันไม่คิดว่านายจะต้องรีบเร่งทำมันมากขนาดนั้นเสียหน่อย” หลิงหงกล่าว
“ใช่เลย คุณไม่เห็นต้องรีบเร่งขนาดนั้นก็ได้” บรรดาลูกค้าคนอื่นๆต่างพากันพยักหน้า
“ซาลาเปาจี้ ลืมมันไปเสียเถอะ หยวนน้อยเป็นหนึ่งในคนของผมนะ คุณกำลังพยายามจะถ่ายวิดีโอโปรโมตคนของผมโดยไม่คิดจะถามผมสักนิดเลยหรือไง?” ในที่สุดโจวซื่อเจี๋ยก็มาถึง
“ประธานสมาพันธ์การทำอาหารก็อยู่ที่นี่ด้วย สวัสดีครับ” จี้อี้ลุกขึ้นแล้วกล่าวคำทักทายด้วยรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ละอายใจสักนิดที่พยายามจะแย่งตัวเชฟจากสมาพันธ์การทำอาหาร
“อืม” โจวซื่อเจี๋ยพยักหน้าก่อนที่จะหันไปคุยกับหยวนโจว
“หยวนน้อย เวลาอาหารกลางวันของคุณยังไม่หมดนะ กลับไปทำงานต่อเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ถึงยังไงคุณก็เป็นหนึ่งในด้านการทำอาหารของเรา ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้คุณเอง” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวอย่างใจกว้าง
หยวนโจวเหลือบมองบรรดาลูกค้าของเขาอยู่ไกลๆก่อน แล้วค่อยมองไปทางท่าทีคาดหวังของจี้อี้และในที่สุดก็มองไปทางท่าทีจริงจังของโจวซื่อเจี๋ยก่อนที่จะพยักหน้า “ผมคงต้องรบกวนคุณเสียแล้วล่ะครับ ท่านประธาน”
เป็นอย่างที่หยวนโจวกล่าวไว้ก่อนหน้านี้เลย เขาอยากให้ความช่วยเหลือด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลี แต่ติดปัญหาเรื่องร้านของเขานี่แหละ เขาไม่สามารถลาหยุดซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ นอกจากนี้เขาก็ยังตระหนักถึงเรื่องที่โจวซื่อเจี๋ยคอยดูแลเขาเป็นอย่างดีตลอดมาอีกด้วย
เนื่องจากโจวซื่อเจี๋ยอยากจัดการเรื่องนี้ให้เขา หยวนโจวจึงไม่สนใจอีก ตามความเข้าใจของหยวนโจว การให้โจวซื่อเจี๋ยเป็นคนจัดการเรื่องนี้โดยใช้ฐานะความเป็นประธานสมาพันธ์การทำอาหารของเขาน่าจะเป็นเรื่องเหมาะสมมากกว่า
“ซาลาเปาจี้ ออกมาคุยกันข้างนอกเถอะ อย่าไปรบกวนกิจการของหยวนน้อยเลยนะ ไปกันเถอะ” โจวซื่อเจี๋ยรู้สึกพอใจอยู่ลึกๆ แต่เขากลับยังรักษาใบหน้าอันเคร่งขรึมเอาไว้ขณะที่พูดคุยกับจี้อี้
“เอาล่ะๆ ผมไม่รบกวนคุณแล้ว หยวนน้อย ผมจะมาลองชิมหมั่นโถวน้ำแร่วันหลังก็แล้วกัน ผมได้ยินมาว่าอร่อยเหมือนกันเลยนี่” จี้อี้กล่าวพลางยิ้ม
“ด้วยความยินดีครับ” หยวนโจวพยักหน้า
“ไปกันเถอะ” จี้อี้พยักหน้าก่อนที่จะบอกหลิวจาง
พวกเขาออกจากร้านไปแล้ว ส่วนบรรดาลูกค้าคนอื่นๆต่างพากันเบนสายตาไปมองหยวนโจวอีกครั้ง ทุกคนเฝ้ารอคอยคำตอบของหยวนโจวอยู่ไกลๆ
บทที่ 794 เชฟผู้มีความสำคัญมากที่สุด
“เถ้าแก่หยวน นายคงจะไม่ขอลาหยุดอีกใช่ไหม?” หลิงหงมองหยวนโจวแล้วถามเขา
“ฉันเองก็อยากจะถามแบบนั้นเหมือนกัน เถ้าแก่หยวน คุณคงจะไม่ขอลาหยุดอีกใช่ไหม?”
“ได้โปรดอย่าทำแบบนั้นเลยนะ ฉันไม่อยากให้เถ้าแก่หยวนลาหยุดอีกแล้ว”
คำพูดของหลิงหงราวกับเป็นสัญญาณเริ่มต้นการปรึกษาหารือ ทุกคนที่นั่นต่างร่วมกันปรึกษาหารือว่าพวกเขาจะกินอาหารหมดหรือไม่
“เถ้าแก่หยวน ได้โปรดมองเข้าไปในดวงตาอันแสนสัตย์ซื่อของฉันสิ ฉันคิดว่าพวกเราสามารถหารือกันเรื่องนี้ได้นะ ทำอาหารเฉพาะมื้อเช้าส่วนมื้อกลางวันกับมื้อค่ำค่อยลาหยุดเป็นไง?”
“ม่ายยยยย ถ้าหากฉันไม่เห็นเถ้าแก่หยวนอยู่ที่นี่ ฉันกินอะไรไม่ลงทั้งนั้นแหละ เถ้าแก่หยวน คุณอยากเห็นฉันน้ำหนักลดหรือไง?”
ทันใดนั้นเอง หยวนโจวก็ถูกโอบล้อมไปด้วยคำถามต่างๆจากบรรดาลูกค้าขึ้นมาทันที แม้แต่โจวเจียก็ยังมองหยวนโจวด้วยสีหน้าคาดหวังเช่นเดียวกัน
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม” หยวนโจวถอดหน้ากากอนามัยอย่างยากที่จะพบแล้วเจตนากระแอมไอออกมา จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาอย่างจริงจัง
“ไม่หรอก คราวนี้ผมคงไม่ขอลาหยุดล่ะ ผมคิดว่าแม้แต่ท่านประธานก็คงจะไม่เห็นด้วย” หยวนโจวกล่าวยืนยันเมื่อมองเห็นผู้คนที่กำลังปรึกษาหารือกันอยู่ด้านนอก
ถึงอย่างไรหยวนโจวก็สามารถได้ยินการสนทนานอกประตูอยู่ดี ด้วยประสาทสัมผัสอันเฉียบไวของเขาย่อมไม่มีทางที่จะไม่ได้ยินเรื่องนั้นหรอก
“จริงดิ? นี่คุณพูดจริงใช่ไหม?” บรรดาลูกค้าต่างส่งเสียงด้วยความไม่อยากเชื่อ
“อืม” หยวนโจวพยักหน้า
“ฉันคิดว่าเถ้าแก่หยวนพูดจริงนะ” หลิงหงยืนยันสิ่งที่หยวนโจวกล่าวในคราวนี้เป็นคนแรก
“โจวเจีย ไปทำงานเถอะ” จู่ๆหยวนโจวก็บอกโจวเจียที่อยู่ข้างๆ
“โอ้ ได้ค่ะ วันนี้ทานอะไรดีคะ?” โจวเจียมีท่าทีตอบสนองขึ้นมาในทันทีแล้วไปรับออเดอร์ต่อ
ในขณะเดียวกัน หยวนโจวก็สวมหน้ากากอนามัยอีกครั้งแล้วเดินกลับเข้าครัวไปทำอาหาร
“หลิงไม่ต้องลดราคา คุณรู้ได้ยังไงว่าตาเฒ่าจะไม่ตอบตกลงซาลาเปาจี้น่ะ?” สาวสวยผมยาวที่อยู่ข้างๆมองหลิงหงแล้วถามขึ้นมา
เมื่อหลิงหงหันกลับไปแล้วพบว่าเป็นสาวสวย เขาก็กล่าวอย่างสุภาพขึ้นมาทันทีว่า “ก็เพราะพวกเขาไม่กินเส้นกันน่ะสิ”
“พวกเขาไม่ถูกกันงั้นเหรอ?” สาวสวยผมยาวจ้องมองทั้งสามคนที่อยู่ข้างนอกแล้วรู้สึกสับสนเล็กน้อย
“แหงอยู่แล้ว คงจะเป็นเรื่องแปลกพิกลถ้าหากคนที่ทำอาหารกับคนที่ทำขนมสามารถเข้ากันได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงประธานโจวที่ไม่มีท่าทางดีใจเลยสักนิดตอนที่เพิ่งจะมาถึงน่ะ แต่ยังไงเขาก็น่าจะเห็นด้วยเรื่องถ่ายวิดีโออย่างแน่นอน” หลิงหงกล่าวยืนยัน
จากนั้นสาวสวยก็ชักจะสับสนมากขึ้นเรื่อยๆและแม้แต่ลูกค้าคนอื่นๆที่ได้ยินก็เริ่มเผยท่าทีสับสนออกมาเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าย่อมมีบางคนที่ดูเหมือนจะเข้าใจเหตุผลแล้ว
“เรื่องนั้นง่ายจะตาย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องดีสำหรับเถ้าแก่หยวนจริงๆน่ะสิ เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่สมาพันธ์เชฟอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีเป็นผู้โปรโมตย่อมนับได้ว่าเป็นเกียรติภูมิอย่างหนึ่งเลยเชียวล่ะ แล้วประธานโจวผู้นั้นจะปฏิเสธเรื่องดีของหยวนโจวได้ลงเชียวหรือ” หลิงหงยักไหล่แล้วกล่าว
“ฉันเข้าใจแล้วล่ะ ถ้าเป็นเรื่องดีสำหรับเขาแล้ว เถ้าแก่หยวนก็ยิ่งต้องถ่ายวิดีโอสินะ” สาวสวยผมยาวใคร่ครวญดูสักพักแล้วกล่าวอย่างลังเลใจ
บรรดาลูกค้าที่อยู่ข้างๆก็ทำตัวราวกับว่าพวกเขาต้องตัดสินใจเรื่องใหญ่ พวกเขากล่าวว่า “ใช่ ถ้าเป็นเรื่องดีสำหรับเถ้าแก่แล้ว เขาก็ยิ่งต้องถ่ายวิดีโอ ถึงยังไงก็ใช้เวลาแค่วันเดียวเองนี่นา”
“ถ้าหากยิ่งมาก็ยิ่งเลวร้าย ถึงตอนนั้นฉันก็แค่ไม่กินเท่านั้นเอง ถึงยังไงยามปกติฉันก็ไม่ได้มาทุกวันเสียเมื่อไหร่ในเมื่อฉันเองก็ไม่ได้มีเงินมากถึงขนาดนั้น”
“ฉันจะได้ถือโอกาสลดน้ำหนักเสียเลย” เป็นหญิงสาวร่างระหงที่บอกว่าเธอคงกินอะไรไม่ลงถ้าไม่ได้เห็นหยวนโจว
ลูกค้าหลายคนต่างพากันจ้องมองหยวนโจวแล้วมองไปที่อาหารอร่อยตรงหน้าเมื่อได้ยินได้ฟังการวิเคราะห์ของหลิงหงแล้วพวกเขาต่างก็รู้สึกว่าการที่หยวนโจวตอบตกลงน่าจะเป็นเรื่องดีกว่า
หยวนโจวได้ยินการปรึกษาหารือของพวกเขาหมดแล้ว นับเป็นเรื่องหาได้ยากที่เขาจะหยุดลงแล้วหันไปมองบรรดาลูกค้าในร้าน “สัญญาต้องเป็นสัญญา ถ้าฉันบอกว่าไม่หยุดก็คือไม่หยุดสิ ฉันเป็นถึงเชฟที่มีความสำคัญมากที่สุดเชียวนะ”
บรรดาลูกค้าในร้านต่างเงียบไปสักพัก หยวนโจวกล่าวเช่นนั้นออกมาด้วยความจริงจังมากเสียจนพวกเขาเกือบจะหลงเชื่อเขาไปแล้ว
สาวสวยผมยาวที่เพิ่งจะถามคำถามหลายข้อไปเมื่อสักครู่กล่าวขึ้นมาก่อนว่า “ไม่เป็นไรหรอกเถ้าแก่หยวน คุณไปเข้าร่วมการถ่ายวิดีโอเถอะ”
“ไม่ว่าผมจะเข้าไปถ่ายวิดีโอหรือไม่ก็ไม่มีอะไรล่าช้าหรอก” หยวนโจวพยักหน้าเพื่อแสดงความซาบซึ้งต่อความมีน้ำใจของพวกเขาก่อนที่เขาจะกล่าวเช่นนั้นออกมา
“เอาล่ะ พวกเราไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกน่า ที่จริงเราน่าจะมาคิดถึงตอนที่พวกเราจะเข้ามาต่อคิวหลังจากวิดีโอถูกเผยแพร่ออกไปแล้วและมีคนอีกมากมากินอาหารที่นี่มากกว่านะ” ก่อนที่ลูกค้าคนอื่นๆจะทันได้กล่าวอะไรออกไป หลิงหงก็หยิบยกเอาคำถามที่ดูจะมีประโยชน์ขึ้นมา
“ฟังดูมีเหตุผลเหมือนกันนะ ฉันต้องวิเคราะห์ปัญหาใหม่นี้เสียแล้วสิ” หม่าจื้อต๋าเผยสีหน้าจริงจังออกมา
ทันใดนั้นลูกค้าคนอื่นๆก็พลันนึกถึงปัญหาที่สำคัญมากๆนี้ขึ้นมาได้ อย่างที่ทราบกันดี หลายๆคนต่างมาที่ร้านหยวนโจวหลังจากพวกเขาได้ดูสตรีมสดของเมิ่งเมิ่งหรือรายการโฟล์คทาเลนต์
ฉะนั้นย่อมต้องมีคนอีกมากมาหลังจากวิดีโอถูกเผยแพร่ออกไป สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือต้องทำอย่างไรจึงจะรับรองได้ว่าพวกเขาจะครองความได้เปรียบตอนที่ต่อคิวด้วยตั๋วจำนวนจำกัดในภายหลัง
ถ้าหากพวกเขาไม่สามารถหาหนทางแก้ไขได้ก็คงยากที่จะได้กินอาหารของเถ้าแก่หยวนในภายภาคแล้ว บางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวพันกับอาหารนับเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพียงครู่เดียวทั้งร้านก็เต็มไปด้วยศรัทธาอันแรงกล้าและการปรึกษาหารือกันไปต่างๆนานา
และนอกร้านหยวนโจว จี้อี้กับโจวซื่อเจี๋ยก็เริ่มการสนทนาอันแสนดุเดือดเลือดพล่าน
“ซาลาเปาจี้ คุณกำลังฝันกลางวันอยู่แน่ๆว่าอยากจะพาเขาเข้าสู่แวดวงอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลี ฝีมือการทำอาหารของหยวนน้อยอยู่ในระดับเชฟแล้วเพราะอย่างนี้แหละเรื่องนั้นเลยไม่มีทางเป็นไปได้เลย” โจวซื่อเจี๋ยส่งเสียงออกทางจมูกอย่างเย็นชาแล้วกล่าวขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
“ฉันคิดว่านายอคติเกินไปแล้วนะ เถ้าแก่หยวนก็มีวิธีการที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของฝีมือการทำอาหาร เมื่อตัดสินจากฝีมือการใช้มีดในวันนี้แล้ว เขายังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง” จี้อี้นึกถึงผลงานแกะสลักน้ำแข็งที่หยวนโจวทำเสร็จก่อนหน้านี้แล้วกล่าวพลางอมยิ้ม
“ในทางกลับกัน เถ้าแก่หยวนกลับมีฝีมือในด้านการนวดแป้ง ทำขนมหรืออื่นๆยอดเยี่ยมเชียวล่ะ ฉะนั้นเขาก็ควรจะเข้าวงการอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีมากกว่านะ” จี้อี้ลูบเคราตัวเองแล้วพูดต่อ
ตอนที่จี้อี้กล่าวถึงเรื่องนั้นออกมาในแง่ดี จู่ๆหลิวจางที่อยู่ข้างๆก็พูดขัดจังหวะขึ้นมา
“ตาเฒ่าจี้ นายเข้าใจผิดแล้วล่ะ รูปแบบการตกแต่งรังหงส์ในต้นอินทผลัมบนกุ้งหางหงส์ที่หยวนน้อยทำเมื่อกี๊เหมือนจริงเปี๊ยบเลย ไม่เพียงแค่มีรูปแบบเหมือนจริงเท่านั้นแต่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณอีกต่างหาก สรุปได้เพียงคำเดียวคือมีรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์และเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ” หลิวจางกล่าวตามจริง
“ไสหัวไปเลยนะ นายเป็นเพื่อนใครกันแน่?” จู่ๆจี้อี้ก็เหลือบมองหลิวจาง
หลิวจางยักไหล่แล้วแสดงท่าทีว่าเขาจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว จากนั้นจี้อี้ก็หันกลับไปมองโจวซื่อเจี๋ย
“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่หลิวพูดเรื่องจริง หยวนน้อยทั้งดำเนินกิจการหรือศึกษาอาหารจานใหม่ แถมยังคืนชีพอาหารบางอย่างที่สาบสูญไปแล้วขึ้นมาด้วย แล้วเขาก็ใช้เวลาที่เหลือไปกับการฝึกฝีมือการใช้มีดอีกด้วย ดังนั้นเรื่องที่เขามีฝีมือการใช้มีดห่วยแตกย่อมไม่มีทางเป็นไปได้เลย” โจวซื่อเจี๋ยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้วกล่าวออกมาเช่นนั้น
“แต่ผลงานแกะสลักน้ำแข็งที่มีข้อบกพร่องก็เป็นเรื่องจริงอยู่ดีนั่นแหละ” จี้อี้ยังคงลังเลที่จะยอมรับความพ่ายแพ้
“ผมเดาว่ามันคงเป็นแค่การไล่ตามฝีมือการแกะสลักให้ดีขึ้นของเขามากกว่า และเท่าที่ผมทราบมา ไม่มีใครที่ถือน้ำแข็งเอาไว้ในมือแล้วยังสามารถทำงานออกมาได้ดีหรอก” โจวซื่อเจี๋ยกล่าว
“ถึงยังไงเถ้าแก่หยวนก็มีพรสวรรค์ด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีและนอกเหนือไปจากนั้น เขายังทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกต่างหาก” จี้อี้ตอกย้ำอีกครั้ง
“ซาลาเปาจี้ ผมไม่เห็นด้วยกับคุณหรอกนะ แต่หยวนน้อยมีพรสวรรค์ด้านฝีมือการทำอาหารมากแล้วเขาก็จะทำอาหารได้ดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“ผมไม่อยากเสียเวลามาเถียงกับนายแล้ว นายอย่ามาเที่ยวตัดสินว่าเขาจะเข้าวงการอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีได้หรือไม่หน่อยเลยน่า แค่บอกฉันมาว่านายจะยอมให้ฉันถ่ายวิดีโอโปรโมตหรือเปล่าก็พอแล้ว” จี้อี้กล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว
“แน่นอนอยู่แล้ว การให้หยวนน้อยออกสื่อถือเป็นเรื่องจำเป็นมากเชียวล่ะ” โจวซื่อเจี๋ยเลิกคิ้วแล้วตอบ
“เมื่อไหร่ดีล่ะ?” จี้อี้กล่าว
“ตอนที่ผับเปิดเถ้าแก่หยวนจะไม่ค่อยยุ่งสักเท่าไหร่ ช่วงนั้นแหละกำลังดีเลยล่ะ” โจวซื่อเจี๋ยพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วกล่าวออกมา
“มันดึกเกินไปน่ะสิ พวกเราจะถ่ายวิดีโอกันตอนกลางคืนได้ยังไงเล่า?” จี้อี้ขมวดคิ้ว
“เรื่องนั้นมันเป็นปัญหาของคุณ หยวนน้อยเป็นคนเจ้าหลักการมากและไม่มีเวลาช่วงกลางวันแน่ๆ” โจวซื่อเจี๋ยยักไหล่แล้วแสดงท่าทางว่าไม่ใช่ปัญหาของเขาเสียหน่อย
“เอาล่ะ แค่ยอมให้ถ่ายทำก็พอแล้ว ส่วนรายละเอียดที่เหลือ ฉันจะไปหารือกับเถ้าแก่หยวนดูก็แล้วกัน” จี้อี้พยักหน้า
“ไม่มีปัญหา แต่ต้องเอามาให้ผมดูก่อนนะ ไม่งั้นเกิดคุณโกงหยวนน้อยขึ้นมาจะทำยังไงเล่า?” โจวซื่อเจี๋ยมองจี้อี้ด้วยสีหน้าหยิ่งยโส
“ฮึ ก็แล้วแต่นายเถอะ” จี้อี้ส่งเสียงออกทางจมูกอย่างเย็นชาแล้วจากไปทันที
“ลาก่อนครับ ท่านประธาน” หลิวจางโบกมือให้โจวซื่อเจี๋ยอย่างสุภาพแล้วจากไปเช่นกัน
“ซาลาเปาจี้จอมเจ้าเล่ห์เอ้ย!” โจวซื่อเจี๋ยไม่สนใจเรื่องนั้นสักนิด เขามองหยวนโจวที่ยังคงยุ่งง่วนอยู่ในครัวโดยไม่พูดอะไร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น