องครักษ์เสื้อแพร 790-803

 ตอนที่ 790

 

เหตุการณ์ต่อมา

โดย

Ink Stone_Fantasy

เดือนสองปีที่ 12 ในรัชสมัยว่านลี่ ไทเฮาฉือเซิ่งประชวรกะทันหัน หมอหลวงรุดดูอาการ จากนั้นมีคำสั่งให้ใต้หล้าเฟ้นหาหมอมีชื่อมารักษาพระอาการ ใต้หล้าล้วนสรรเสริญในความกตัญญู


อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนไร้ความสามารถไม่อาจดูแลกำลังเมืองหลวงขอคืนกำลังอำลาจากตำแหน่ง เบื้องบนรั้งไว้หลายครา ต่อมาก็มีพระราชานุญาติ เรื่องเมืองหลวงเดิมเป็นฝ่ายในและขุนนางบุ๋นดูแล หลี่เหวินเฉวียนทำเช่นนี้ ก็เพราะรู้จักหลักการรุกถอย


เฉินซือเป่า บุตรชายรองเซียงเฉิงป๋อ และถังซื่อไห่บุตรชายร้านตระกูลถังที่เป็นร้านจัดหาซื้อของให้สำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ และลูกหลานชนชั้นสูงสองสามคน ล้วนมาจากลานฝึกหู่เวย จงรักภักดี กล้าหาญองอาจ  รู้การรบ  ได้รับการแต่งตั้งให้ประจำหน่วยบัญชาการต่าง ๆ ในเมืองหลวง


ตั้งแต่รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทงได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้แทนพระองค์ไปมณฑลซานซี สถานการณ์เปลี่ยนแปลงวันต่อวัน เริ่มแรกบรรดาบัณฑิตต่างเห็นเรื่องสมควร ต่อมา สถานการณ์พลิกผัน วันนี้มีเรื่องเบี้ยพระราชทานเชื้อพระวงศ์ พรุ่งนี้เป็นเรื่องปราบโจร วันต่อมาเป็นเรื่องป้องกันพวกนอกด่าน ต่อมาอีกก็เป็นผู้บัญชาการมณฑลทหารเมืองต้าถงแล้ว ทุกคนล้วนงงๆ ไม่รู้ว่าทำอย่างไรต่อดี ไม่รู้สาเหตุ


เดือนสิบ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 มาจนเดือนสอง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 12 เมืองหลวงทุกคนก็ต้องตื่นตกใจ พวกเผ่าอันต๋าตีเมืองต้าถงแตกกำลังมุ่งมาเมืองหลวง มีคนเอะอะนอกเมือง ทั่วเมืองแตกตื่นเกิดเหตุจลาจลใหญ่ องครักษ์เสื้อแพรหลังได้รับการฝึกจากหวังทง ก็ราวกับพยัคฆ์อินทรี ได้ยินเหตุชุลมุนก็ออกปราบจนสงบได้ทันที เรื่องนี้มีความชอบ แต่ความกล้าหาญเช่นนี้ของเหล่าองครักษ์ทหาร วันหน้าย่อมเป็นภัยใหญ่หลวง…


น่าขันใต้หล้าช่างขี้ขลาด ปกติเรียกตนเองว่าแผ่นดินแห่งสวรรค์ หวังทงนำกำลังออกชายแดนเหนือ ไร้ข่าวคราว ล้วนพากันคิดว่าหวังทงนำกำลังพ่ายแพ้ราบคาบแล้ว ไม่มั่นใจในตนเองเช่นนี้ได้ คิดแล้วก็ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี……


ราษฎรไม่รู้หนังสือ ย่อมถูกลวงหลอกได้ง่าย วันนี้เห็นบัณฑิตในเมืองหลวงก็ไม่ใช่ว่าเหมือนกันหรอกหรือ ไม่มีเหตุไม่มีผล ล้วนหาว่าหวังทงพ่ายแพ้เสียได้ ว่าไปแล้วก็ช่างน่าขัน ปีแห่งความสงบสุขเช่นนี้ กลับมีคนคิดว่าไม่สงบสุข คิดว่ากองทัพพ่ายแพ้สิ้นชาติเสียได้


ผู้คนที่ผ่านเวลาหลายเดือนนี้มาล้วนบันทึกและรู้สึกกันเช่นนี้ ทว่าไม่ถึงห้าเดือน คนก็เปลี่ยนเสียได้ ความโกรธทุกข์สุขทั้งหลาย ล้วนเปลี่ยนไปไม่หยุด  สถานการณ์ศึกเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นผลสำเร็จเยี่ยมยอด ทำให้คนจับตามองไม่กระพริบ


พวกที่ผ่านมาด้วยตนเอง  บ้างก็บอกไม่ถูก บ้างก็นึกเยาะตนเอง บ้างก็หัวเราะเยาะผู้อื่น ล้วนคิดแตกต่างกันไป ทว่ามีเรื่องจริงหนึ่งก็คือผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่า หวังทงถึงกับได้รับชัยชนะเด็ดขาดและยิ่งใหญ่เพียงนี้ได้


อารมณ์ความรู้สึกราษฎรตรงไปตรงมาที่สุด ปฏิกิริยาก็ไวที่สุด เมื่อข่าวชัยชนะใหญ่แพร่มาถึง ความตื่นตระหนกในเมืองหลวงที่ยาวนานกับความตกใจก็มลายหายไปทันที ทุกคนล้วนตื่นเต้นยินดีอย่างยิ่ง


ร้านสุราอาหารแต่ละแห่งล้วนอัดแน่นไปด้วยผู้คน นักเล่านิทานก็เริ่มเล่าถึงหวังทงควบม้าถือทวน วันเดียวตีพ่ายแม่ทัพพวกนอกด่านร่วมร้อย สุรา อาหารและของหวานทั่วเมืองหลวงขายดิบขายดีราวกับเทศกาล ดื่มกินเฉลิมฉลองไปทั่ว


หลังข่าวชัยชนะยิ่งใหญ่มาถึง ที่ยุ่งที่สุดกลับไม่ใช่หกกรมกอง หากเป็นสำนักส่วนพระองค์กับกรมฎีกา ด้วยเรื่องที่ต้องการให้จัดการหวังทง ลงโทษให้หนัก และให้ส่งคนไปดูแลเทียนจิน ฎีกาพวกนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่มีรับสั่ง ให้ส่งกลับคืนไปยังคนถวายฎีกา


พวกที่ว่าหวังทงเหิมเกริม ทำให้กองกำลังสามหมื่นต้องสูญสิ้น พวกที่ว่าเทียนจินเป็นพื้นที่สำคัญต้องส่งขุนนางบุ๋นไปดูแล ยังบอกว่าฮ่องเต้ควรสลัดจากความครอบงำของฝ่ายในและขุนนางบู๊ ให้ฟังความขุนนางบุ๋นให้มากพวกนั้นล้วนถูกตีโต้กลับไปหมดสิ้น


เห็นฎีกาตนเองถูกส่งออกมา แล้วหันมามองดูสถานการณ์แห่งความจริงตอนนี้ แม้ฎีกาไม่ได้มีกาชาดแดงไว้ แม้ว่าคนที่กล่าวรุนแรงไม่ได้ถูกตำหนิหรือลงโทษ แต่สถานการณ์เช่นนี้ หน้าหนาสักเท่าไรก็ย่อมไม่อาจทนรับได้ เหมือนว่ามีคนตบหน้าพวกเขาอย่างแรงซึ่งหน้า


 ชัยชนะในครั้งนี้ แม้แต่ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ส่งแสดงออกอย่างบ้าคลั่ง คนอื่นแค่คิดก็ย่อมรู้ได้ บัณฑิตเมืองหลวงและขุนนางบุ๋นวิเคราะห์สถานการณ์ผิด พูดผิดไปคำเดียว ทำให้ต้องกลายเป็นใบ้ไร้วาจาในพริบตา


ในสถานการณ์เช่นนี้ เรื่องเล็กๆ พวกนี้ไม่มีค่าควรแก่การสนใจ เทียบกับเรื่องจวนอู่ชิงโหวมีบัณฑิตในจวนที่เลี้ยงไว้ขโมยขออู่ชิงโหว ยังแอบลักลอบมีอะไรกับนางในจวนอู่ชิงโหว ถูกจับได้ลงโทษตีแทบปางตาย ส่งตัวไปศาลซุ่นเทียน  คนพวกนี้ตายก็ตายไป ไม่มีผู้ใดคิดสงสาร


ทว่า สายรายงานเข้าวังแต่ละสายล้วนกล่าวว่า คนในจวนอู่ชิงโหวพวกนี้พอถูกส่งไปศาลซุ่นเทียน ก็ตายเสียแล้ว ทว่าด้วยสถานะอู่ชิงโหว ลงโทษคนตายไปจะไปกระไรได้ เรื่องพวกนี้ทุกคนรู้แก่ใจ ปิดตามองผ่านไปก็เท่านั้น


**********


ต่อมาก็ไม่มีการข่าวหยุดชะงักอีก ฎีกาจากเมืองกุยฮว่าเฉิงส่งมาเรื่อยๆ  ภายใต้การเร่งรัดจากฮ่องเต้ว่านลี่ ในวังกับหน่วยงานนอกวังก็มีประสิทธิภาพยิ่ง นโยบายแต่ละอย่างถูกกำหนดทีละเรื่อง


เมืองจี้โจวส่งกำลังรวม 6,000 เมืองต้าถง 6,000 เป็นทหารรักษาเมืองกุยฮว่าเฉิง ทหารชายแดนให้รีบเคลื่อนกำลังไปเมืองกุยฮว่าเฉิง เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นฐานที่มั่นทางทหาร ไม่แต่งตั้งขุนนางบุ๋นไปดูแล หากให้คนจากสำนักส่วนพระองค์ไปดูแล และให้สำนักอาชาหลวงส่งขันทีอีกสองไปช่วย หนึ่งเชี่ยวชาญการทหาร สองรู้การเงิน จัดการเรื่องการค้าที่นาและเก็บภาษี


เมืองกุยฮว่าเฉิงแต่งตั้งขุนนางบู๊เป็นขุนพลประจำการ ให้รับคำสั่งโดยตรงจากกองกำลังสังกัดวังหลวง ไม่ผ่านการควบคุมของเมืองต้าถง


เพราะเมืองกุยฮว่าเฉิงไกลจากเมืองหลวง ดังนั้นจึงให้อำนาจเมืองกุยฮว่าเฉิงและขุนพลทหารตัดสินใจ และให้เมืองกุยฮว่าเฉิงเก็บภาษีและเสบียงเป็นเบี้ยทหารและเสบียงกองทัพ ก็เท่ากับว่าเมืองกุยฮว่าเฉิงกับขุนพลทหารได้กลายเป็นผู้สั่งการเพียงผู้เดียว จำเป็นต้องตั้งระบบ


ระบบที่ว่าไม่ใช่ขุนนางบุ๋นไปควบคุม แต่ให้นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรไปดูแล กองพันนี้แบ่งออกเป็นหน่วยวินัย หน่วยลาดตระเวนจับกุมและหน่วยฝึก รับหน้าที่รักษาความสงบในเมืองและนอกเมือง คนอื่นห้ามยุ่งเกี่ยว


เรื่องการจัดการชาวบ้านก็ให้ขันทีจากสำนักอาชาหลวงที่ไปดูแลเรื่องเงินทองนี้รับหน้าที่ไป นอกจากเก็บภาษีและดูแลที่นาแล้ว ก็ให้ควบตำแหน่งขุนนางท้องที่ไปด้วย


ทว่าขุนนางท้องที่ที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานหกส่วนให้พ่อค้าใหญ่ในสมาคมพ่อค้าในเมืองรับหน้าที่ไป  เช่นนี้ก็เป็นการรับประกันผลประโยชน์ของสมาคมการค้า


ในฎีกาหวังทง โครงสร้างการจัดการราษฎรในเมืองกุยฮว่าเฉิง มีคำเรียกที่แปลกประหลาด เรียกว่าคณะกรรมการบริหารเมืองกุยฮว่าเฉิง เรียกง่ายๆ ว่า คณะบริหาร


กล่าวว่าเมืองกุยฮว่าเฉิงโดดเดี่ยวนอกแผ่นดิน ราษฎรมีความซับซ้อน ไม่อาจให้ตัดสินใจด้วยคน ๆ เดียว และไม่อาจให้ทุกคนผลักภาระกันไม่ตัดสินใ จ ดังนั้นจึงให้ทำตามผลประโยชน์แต่ละด้าน ให้พ่อค้าเมืองต้าถงและพ่อค้าในพื้นที่ ยังมีพ่อค้าที่ไม่ใช่ชาวเผ่าอันต๋า ยังมีคนใหญ่คนโตในหมู่ประชา ได้ร่วมกันเป็นคณะบริหารเพื่อสมดุลอำนาจ


แม้ว่ารอบๆ เมืองกุยฮว่าเฉิงจะเป็นที่นานับหมื่นฉิ่ง  มีผลผลิตมากมาย แต่ทุกปีก็จะไม่ส่งเข้าวังหมด หากเลือกเพียงเสบียงข้าวธัญพืชที่เมล็ดสมบูรณ์เป็นสัญลักษณ์ส่งไปพอ เสบียงเมืองกุยฮว่าเฉิงจะส่งไปขายยังมณฑลซานซีกับส่านซี  หลังค้าขายแล้วก็ให้ให้ส่งเงินเข้าเมืองหลวงแทน


พ่อค้าในเมืองกุยฮว่าเฉิงต่างต้องให้ทางการลงบัญชีรายชื่อไว้ ขอเพียงเป็นพ่อค้าในบัญชีรายชื่อก็สามารถทำการค้าในเมืองกุยฮว่าเฉิง สามารถได้รับการปกป้องจากทหารเมืองกุยฮว่าเฉิง ไม่เช่นนั้น ก็จะกลายเป็นพวกผิดกฎหมายทันที


หากลงชื่อในสมุดบัญชี ก็ต้องมีเงินค้ำประกัน จากนั้นก็รับหน้าที่  เช่นว่าผู้คุ้มกันพ่อค้าต้องถูกเรียกตัวมารวมพลได้ยามมีภัยมา


เมืองกุยฮว่าเฉิงนอกจากทหารนับหมื่นแล้ว ยังมีนโยบายคล้ายกับที่เทียนจินอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ หน่วยรักษาความปลอดภัย  กลุ่มชายฉกรรจ์นี้ได้รับการแต่งตั้งเป็นลายลักษณ์ ในบรรดาชาวบ้านในเมืองและรอบเมืองกุยฮว่าเฉิง  ทุกร้อยคนต้องมีคนจำนวนหนึ่งเข้าร่วมในนี้ คนที่ร่วมการฝึกจะได้รับการยกเว้นภาษีบางส่วน หากขี่ม้าเป็นและเข้าร่วมเป็นทหารม้าก็จะได้รับการยกเว้นภาษีทั้งหมด


หวังทงถวายฎีกามาเช่นนี้ ไม่มีธรรมเนียมเช่นนี้มาก่อน ทว่าในราชสำนักก็ปล่อยผ่านในทันที เร็วกว่าที่หวังทงคาดไว้มากนัก


หนึ่ง ชัยชนะใหญ่เช่นนี้ อำนาจฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยิ่งทรงบารมีสูงส่ง ผ่านเรื่องนี้ไป ไทเฮาฉือเซิ่งแทบไม่สามารถทรงหาเหตุมาอ้างได้อีก อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนก็ส่งมอบกำลังเมืองหลวงกลับคืน ก็ยิ่งเห็นชัดเจนในเรื่องนี้


สอง ในเมืองหลวง พวกขุนนางบัณฑิตที่โจมตีนโยบายพวกนี้เสมอ หาเรื่องเก่งที่สุด ยามนี้กลับหน้าดำคร่ำเครียดคอตก เพราะเรื่องที่ใส่ความชายแดนพ่ายแพ้อย่างไร้เหตุผล กลายเป็นเรื่องตลก เสียชื่อเสียงไปไหมด ยามนี้จะพูดอันใด ก็เรียกได้ว่าไม่ฉลาด


สาม ขุนนางในราชสำนักแม้แจะเหลวไหลเพียงใด แต่แผ่นดินหมิงถูกพวกนอกด่านกดหัวไว้มานาน อยู่ ๆ มีชัยเช่นนี้ ได้เมืองกุยฮว่าเฉิงมาครองเช่นนี้ เปลี่ยนอำนาจเร็วเช่นนี้ ก็ต้องรีบหาทางครอบครองให้ยาวนานจึงจะเรียกว่าเข้าจัดการ ทุกเรื่องให้นิ่งก่อนค่อยว่ากัน


สุดท้ายก็คือ ที่หวังทงทำมานั้น ทุกคนแม้ตั้งคำถามแต่ก็ไม่กล้าถาม เกรงว่าจะผิดเหมือนความผิดพลาดในเดือนหนึ่งเดือนสองที่วิจารณ์ไป ในเมื่อหวังทงเสนอ ก็ให้ทำตามเสนอ ผิดหรือถูก รอให้ทำแล้วค่อยว่ากันก็ไม่สาย


แต่ใช่ว่าไม่มีเสียงวิจารณ์โต้แย้ง พวกที่โต้แย้งหนักสุดก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ขบวนพ่อค้าบนทุ่งหญ้าสามารถครอบครองอาวุธปืน หรือแม้กระทั่งมีปืนใหญ่เล็กไว้ในครอบครองได้ เรื่องอาวุธร้ายแรงทางการทหารอยู่ในมือราษฎรนี้ ช่างเป็นเรื่องน่ากังวล


ทว่าปัญหาของพวกเขานี้  หวังทงมีคำตอบเตรียมไว้แล้ว อาวุธของขบวนพ่อค้าไม่อาจนำเข้าด่านได้ หากเข้าเมืองกุยฮว่าเฉิง ต้องให้วางกระสุนดินปืนไว้ข้างนอก ให้เจ้าหน้าที่หนึ่งคนดูแลขบวนพ่อค้าหนึ่งขบวน อาวุธปืนยังต้องมีสมุดลงทะเบียนไว้ ทุกปีตรวจหนึ่งรอบ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษหนัก


ปืนไฟพวกนี้ยังซ่อมบำรุงได้แค่ในเมืองกุยฮว่าเฉิง ผลิตได้แค่ในด่านแผ่นดินหมิง เมืองกุยฮว่าเฉิงกับเมืองต้าถงมีปืนไฟอานุภาพยิ่งกว่า ขบวนพ่อค้าอย่างน้อยต้องมีหัวหน้าผู้คุ้มกันที่เกษียณไปจากกองทัพ ไม่เช่นนี้ไม่ให้ตั้งขบวนการค้า เพื่อป้องกันการก่อการ


ฎีกาหวังทงชัดเจน ว่าขบวนพ่อค้าพวกนี้นำอาวุธไปได้ทั่วสารทิศ หนึ่งเพื่อคุ้มกันตนเอง สองเพื่อเป็นกองหน้าให้กองทัพ หากพบเห็นพวกนอกด่านไม่ปกติ ก็สังหารเผ่าเล็กๆ  ได้ เป็นการวางรากฐานสำหรับบุกเบิกดินแดนในวันหน้า


ในเมื่อไม่อยู่ในด่าน เมืองกุยฮว่าเฉิงยังไม่รู้ว่าครอบครองได้กี่ปี ก็ช่างเขาเถอะ ทุกคนรู้ดีว่า หากหวังทงยืนหยัดต้องการเช่นนี้ พวกเขาก็ทำอันใดไม่ได้


ฎีกาย่อมพูดถึงสิ่งที่จะได้ ที่นาหมื่นฉิ่ง สัตว์เลี้ยงนับไม่ถ้วน ทาสแรงงานนับไม่ถ้วน เงินทองนับไม่ถ้วน ….


ตอนนี้เรื่องสำคัญในราชสำนักวิพากษ์วิจารณ์กันได้กลายเป็นควรพระราชทานรางวัลใดแก่หวังทง

 

 

 


ตอนที่ 791

 

ร่วมเคลื่อนไหว

โดย

Ink Stone_Fantasy

เดือนสามเมืองหลวง เป็นฤดูกาลอบอุ่นดอกไม้บานสะพรั่ง หวังทงได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่ ณ เมืองกุยฮว่าเฉิงนั่นเป็นความแน่นอนแล้ว และยังมีเรื่องรายละเอียดต่างๆ มาอีก


รายละเอียดยิ่งมาก ก็ยิ่งทำให้คนเชื่อสนิทใจ ชาวบ้านก็ยิ่งดีอกดีใจ พอถึงเดือนสาม บรรยากาศเมืองหลวงเหมือนยังคงเป็นดังเดือนหนึ่ง


ว่ากันว่า พ่อค้าเทียนจินกับเมืองหลวงไม่น้อยเตรียมเดินทางไปดูที่เมืองกุยฮว่าเฉิงสักหน่อย เผ่าอันต๋าหลายปีมานี้ทำการค้าชายแดนกับแผ่นดินหมิง ยังแอบรุกรานหลายครั้ง ไม่รู้ว่าแย่งชิงของดีไปมาเพียงใด และเมื่อก่อนพื้นที่การค้านี้ล้วนอยู่ใต้การครอบครองเด็ดขาดของเผ่าอันต๋าและเผ่าใหญ่ไม่กี่เผ่า พ่อค้าแผ่นดินหมิงแม้คิดทำการค้า ก็ทำได้แค่นำสินค้าไปขายผ่านเผ่าอันต๋าและเผ่าใหญ่ไม่กี่เผ่าพวกนั้น กำไรที่ยิ่งมาตกเป็นของคนพวกนี้ไป


ตอนนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงตกเป็นของแผ่นดินหมิงก็เท่ากับเปิดช่องทางบนทุ่งหญ้านอกด่าน  บรรดาพ่อค้าแผ่นดินหมิงสามารถไปมาบนตอนเหนือได้อย่างสะดวกทั้งทางตะวันตกและตะวันออก สามารถทำการค้าทำกำไรได้มากยิ่งขึ้น


คนที่อื่นไม่รู้ แต่เมืองหลวง เทียนจิน หรือแม้แต่เมืองเหลียวโจว เมืองเซวียนฝู่ล้วนรู้ว่าอาวุธหวังทงกับรถใหญ่นี่ร้ายกาจเพียงใด หวังทงอำนวยความสะดวกให้ที่เมืองกุยฮว่าเฉิงเช่นนี้ พ่อค้ามณฑลซานซีอาจจะยังมีความลังเล แต่พ่อค้าเมืองหลวงและเทียนจินก็ล้วนรู้ดีกว่าหมายถึงสิ่งใด  พวกที่กระตือรือร้นที่สุดก็คือพ่อค้าที่อยู่เบื้องหลังการค้าทางทะเล นโยบายใต้เท้าหวังในเมืองกุยฮว่าเฉิงคืออันใด ให้ปล้นได้ สังหารชาวทุ่งหญ้านอกด่านได้ ขอเพียงมีความสามารถ ก็สามารถกระทำได้ เรื่องเช่นนี้ก็เท่ากับนั่งเฉยๆ เงินทองไหลมาแท้ ๆ มีปืนไฟ มีปืนใหญ่ ผู้ใดจะไปกลัวพวกนอกด่านกัน


ในตอนนี้ เขตปกครองเหนือ ซานตง เหลียวโจวหรือแม้แต่เหอหนานก็ล้วนเงียบไปมาก พวกนักเลงตามท้องถนน พวกก่อเรื่องทั้งหลาย และบรรดาพวกไม่มีอะไรทำ ก็ล้วนหายไปสิ้น


เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นงานเบาไปมาก มีคนรู้ความใน บอกว่าถูกพาไปให้บรรดาพ่อค้าตอนเหนือที่คิดออกไปทำการค้านอกด่าน อย่างไรต้องมีผู้คุ้มกัน หากรู้จักการต่อสู้จริง ผ่านการต่อสู้สังหารมาก่อน ก็มีงานทำ พวกคนดีๆ เขาไม่อยากจากบ้านเกิดไปกัน ก็มีแต่คนพวกนี้ที่อยากดิ้นรนเพื่อให้กินดีอยู่ดี


แน่นอน คนหลั่งไหลไปมณฑลซานซี  ขุนนางมณฑลซานซีย่อมปวดหัว เป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ ทว่าหลังชัยชนะนี้ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเล็กไปเสียแล้ว


***********


เมืองหลวงเป็นที่ประทับฮ่องเต้ เป็นที่รวมของคนใหญ่คนโต ผู้ใดคิดอะไรใหม่ออกมา ย่อมมีคนคิดเลียนแบบทันที


ตอนนี้ความบันเทิงที่คนมีเงินมีกิจการในเมืองหลวงนิยมชมชอบที่สุดก็คือไปดูงิ้วดูละคร  พวกไม่ค่อยมีเงินก็นั่งอยู่ด้านล่าง มีเงินก็นั่งในห้องส่วนตัว ว่ากันว่าขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ขันทีในวัง หรือแม้แต่ฝ่าบาทก็เคยมาที่นี่


ตอนนี้ที่โรงงิ้วนี้ งิ้วที่สนุกที่สุดก็คือ องครักษ์เสื้อแพรแผ่นดินหมิงบุกชายแดนเหนือ รบกับพวกนอกด่านด้วยสติปัญญา ช่างยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ดูแล้ว ก็คิดถึงชัยชนะใหญ่ตอนเหนือ จิตใจก็ฮึกเหิมยิ่งนัก


โรงละครงิ้วเช่นนี้สำหรับคนพิถีพิถันแล้ว เกรงว่าจะเสียงดังเอะอะเกินไป บางครั้งๆ บนเวทีร้องๆ อยู่ก็มีคนจากด้านล่างโยนเงินขึ้นไป กลบเสียงบนเวทีไปชั่วขณะหนึ่ง ตอนนี้ที่โรงงิ้วยังไม่ยอมให้เหมารอบอีก ทุกคนต้องซื้อตั๋ว ทำให้หลายคนทำอันใดไม่ได้จริงๆ


แต่พอมีคนเห็นโรงงิ้วเป็นที่นิยมก็คิดเรื่องหนึ่งได้  เจ้ามีงิ้วเล่น ข้าก็มีโรงดีดพิณบรรเลงเพลงได้ จัดแต่งให้ประณีต ไม่มีเรื่องผู้หญิง ให้ทุกคนได้มาดื่มด่ำชื่นชมกับดนตรีและบทเพลง  ใช่ว่าจะไม่มีคนมา?


ทว่าการค้านี้ ส่วนใหญ่อยู่ในมือหอคณิกาต่างๆ ทุกคนฟังเพลงก็ย่อมชอบฟังสาวงามขับร้อง ไยต้องไปลำบากลำบนในที่เช่นนั้นด้วย


การค้าเปิดมามีล้ม มีสำเร็จ ในเมืองหลวงมีอาจารย์ดีดพิณมีชื่อที่สุดเปิดโรงพิณแห่งหนึ่ง มีโต๊ะอยู่ราวสิบสองโต๊ะ ซื้อจวนจากอดีตเจ้ากรมกรมอากรผู้หนึ่ง เป็นจวนที่จัดแต่งประณีตงดงามยิ่ง นักบรรเลงพิณก็มีฉากม่านบังไว้ คนฟังเพลงพิณก็จะนั่งหันหลัง


เมืองหลวงสถานที่หรูหราเช่นนี้ คนมาฟังเพลงพิณย่อมต้องเป็นพวกอีกระดับ หากเจ้าเชี่ยวชาญการบรรเลงพิณ ก็ยังสามารถบรรเลงสักเพลงได้ ทุกที่นั่งวันหนึ่งก็ห้าตำลึง  ทุกวันก็มีบรรเลงหลายเพลง วันหนึ่งห้าตำลึง หนึ่งเค่อ (15นาที)ก็ห้าเหลี่ยง


สถานที่เช่นนี้กลับมีคนมากมายให้การต้อนรับ  มีคนใช่ว่ารู้เรื่องพิณ แต่ก็มา เพื่อแสดงสถานะตนเองว่าต่างจากผู้อื่น เทียบกับพวกไปโรงงิ้วแล้วสูงส่งกว่ามาก


ที่นี่มีให้เหมาห้องเช่นกัน จ่ายแค่ 60 ตำลึง อยู่ทั้งวัน  เรื่องนี้ยิ่งทำให้คนชอบฟังดนตรีบรรเลงพึงใจ


คิดจะเหมาห้องโรงพิณนั้นไม่ง่าย เดือนหนึ่งมีแค่สามวันที่เหมาได้ สามวันนี้ทุกครั้งที่สอบถามก็มีคนว่ามีคนจองไปล่วงหน้าแล้ว


วันนี้ก็เป็นวันเหมา หน้าประตูมีรถม้าม่านเขียวจอดอยู่ คนรับใช้ในชุดเทา มองแล้วเหมือนตระกูลทั่วไป แต่หากเป็นคนใหญ่คนโตในเมืองหลวง แค่มองก็รู้ว่าคนรับใช้ผู้นั้นก็คือคนรถของมหาอำมาตย์เซินสือหัง


มหาอำมาตย์เซินสือหังชอบฟังบรรเลงพิณ นางพิณที่บ้านก็เรียกได้ว่าฝีมือสูงส่ง ทว่าหลังดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์ เซินสือหังได้ให้นางพิณทั้งหมดออกไปจากจวน แต่ความชอบเซินสือหังยังคงไม่เปลี่ยน เพียงแต่ระวังรอบคอบมากขึ้นเท่านั้น


ตนเองบรรเลงเองก็เรื่องหนึ่ง ฟังก็เรื่องหนึ่ง  ตั้งแต่เมืองหลวงเปิดโรงพิณมา เซินสือหังมักแต่งกายแบบชาวบ้านไปมาหลายโรง บ้างก็มีคนมาก บ้างก็บรรเลงย่ำแย่  บางแห่งเปิดไว้ขายผู้หญิงแท้ๆ มีเพียงที่นี่ที่ถูกใจเขา


มหาอำมาตย์แม้ดูเหมือนมีเบี้ยเงินเดือนน้อย แต่ที่จริงแล้วรายได้มากนัก เดือนหนึ่งเหมาหลายวัน เป็นเรื่องง่ายมาก ทุกครั้งยามมาพักผ่อน เซินสือหังจะส่งคนมาแจ้งก่อน ตนเองอยากฟังเพลงเงียบๆ


เสียงพิณขับกล่อม เซินสือหังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สองตาปิดสนิท ดื่มด่ำเงียบๆ อาจารย์ดีดพิณในหอพิณเคยได้รับคำเชิญไปดีดให้เซินสือหัง มีความสามารถระดับสูง


ขณะดื่มด่ำสุดนั้นก็ได้ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมา บรรยากาศถูกทำลายลงในทันที เซินสือหังขมวดคิ้ว ลืมตา ผู้ติดตามรีบวิ่งเข้ามา แม้เซินสือหังไม่พอใจ แต่ก็รู้ว่ามีเรื่องสำคัญ ผู้ติดตามที่รู้อารมณ์ตนเองย่อมไม่กล้ามารบกวนอย่างไร้สาเหตุ


“ขอท่านออกไปสักครู่!”


เซินสือหังกล่าวนุ่มนวล เสียงพิณด้านหลังหยุดลง คนก็ออกไป  ผู้ติดตามเดินมากระซิบข้างหูเซินสือหัง เซินสือหังสีหน้าเคร่งเครียดกล่าวว่า


“ยามนี้ไม่คุยงาน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”


“ใต้เท้าเหยียนว่ามีเรื่องส่วนตัวต้องคุยให้ได้ ต้องพบใต้เท้าวันนี้”


เซินสือหังเงียบไปครู่หนึ่ง พยักหน้า ที่นี่ไม่กว้างนัก ไม่นาน เสนาบดีกรมปกครองเหยียนชิงในชุดสีอ่อนกระดุมติดเรียงเม็ดเรียบร้อยเดินเข้ามา


คณะเสนาบดีใหญ่ได้ชื่อว่าหัวหน้าหกกรมกอง แต่เสนาบดีกรมปกครองที่มีอำนาจดูแลตำแหน่งขุนนางถูกยกให้เป็นดังรองจากตำแหน่งมหาอำมาตย์  เซินสือหังอย่างไรก็ต้องลุกขึ้นตามมารยาท ยิ้มกล่าวว่า


“กว่าข้าจะมีเวลามายังที่สงบเช่นนี้ได้ กลับถูกพี่เหยียนหาเจอเสียนี่ รีบนั่งๆ!”


“ข้าอยู่ๆ มารบกวน ขอท่านอำมาตย์อย่าได้ตำหนิ!”


สองฝ่ายยิ้มแย้มทักทายตามมารยาท มารยาทภายนอกอย่างไรก็ต้องแสดงให้กัน ในหกกรมกองนอกจากเซินสือหังกับหวังซีเจวี๋ย ที่เหลือก็ล้วนเป็นคนของจางซื่อเหวย  จางซื่อเหวยกลับบ้านไว้ทุกข์ อำนาจในราชสำนักย่อมอ่อนแอนลงไปมาก ทว่าพวกจางซื่อเหวยกับเซินสือหังก็ยังคงไม่อาจเข้ากัน


เซินสือหังเป็นมหาอำมาตย์ไม่ได้ดังใจนัก ทำงานก็มักรู้สึกยืดแข้งขาได้ไม่เต็มที่ ย่อมรู้สึกไม่ดีอันใดกับหัวหน้าคนของจางซื่อเหวยอย่างเหยียนชิงผู้นี้นัก ทว่าเหยียนชิงผู้นี้ทำงานก็นับว่าเป็นกลางอยู่ ในฐานะเสนาบดีกรมปกครอง ไม่เคยกดดันเซินสือหังกับหวังซีเจวี๋ย ดังนั้นจึงไว้หน้าเกรงใจกันอยู่


เหยียนชิงนั่งลงก็พูดออกมาตรงไปตรงมาว่า


“ท่านอำมาตย์  เมื่อวานฝ่าบาทรงเรียกเข้าเฝ้า พูดเรื่องพระราชทานบรรดาศักดิ์หวังทง ไม่ทราบว่าจัดการเช่นไร?”


ถามได้ตรงประเด็น เซินสือหังเงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า


“ลั่วซือกงยื่นหนังสือลาป่วยแล้ว  ครั้งนี้คงต้องอนุมัติแล้ว หลังหวังทงกลับมาเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ความดีความชอบระดับนี้ หากจะได้ตำแหน่งบรรดาศักดิ์อีกก็คงไม่แปลก ทว่าเขาอายุยังน้อย วันหน้าต้องได้เลื่อนขั้นอีก  ครั้งนี้หากได้บรรดาศักดิ์ระดับโหว ฝ่าบาทยังคิดว่าไม่พอ บอกว่าเทียนจินกับเมืองกุยฮว่าเฉิงสองแห่งนี้ ให้เขาตั้งหน่วยงานคุมไปเลย ที่เหลือก็เป็นเรื่องพระราชทานบำเหน็จขุนพลอื่นๆ ไม่มีอันใดแล้ว”


ได้ยินเซินสือหังว่ามา เหยียนชิงก็ผุดลุกขึ้น มองเซินสือหังกล่าวว่า


“ท่านอำมาตย์ ข้าขอถามได้ไหม? เรื่องใหญ่มากมายที่หวังทงทำมาหลายปีนี้ ครั้งนี้ยังสร้างความดีระดับนี้อีก หากเขากลับมา วันหน้าราชสำนักนี้ฝ่าบาทยังจะฟังท่านหรือ หรือว่าฟังหวังทง? ด้วยความสามารถหวังทง อีกสองสามปี ตำแหน่งเขาในพระทัยฝ่าบาทจะถึงขั้นใดกัน?”


เซินสือหังไม่ตอบ เหยียนชิงก้าวเข้าไปอีกกล่าวว่า


“หากฝ่าบาทฟังหวังทงทุกเรื่อง ถามหวังทงทุกเรื่อง ราชสำนักนี้ยังต้องการท่านไว้เพื่อการใดอีก ท่านและข้าและพี่น้องเรา ยังมีประโยชน์อันใดอีก?”


“ใต้เท้าเหยียน เราเป็นขุนนางเพื่อแผ่นดิน มิใช่เพื่อตัวเอง หากเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินหมิงก็ย่อมดีทุกเรื่อง!”


เซินสือหังกล่าวเย็นชา เหยียนชิงทำเป็นไม่ได้ยิน หากผ่อนน้ำเสียงลงว่า


“ข้าก็อายุมากแล้ว อีกสองเดือนก็ได้เวลาอำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิดแล้ว ราชสำนักนี้ วันหน้าก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้าอีกแล้ว  เมื่อครู่ที่ว่ามาก็ไม่ได้เพื่อตนเอง หากเพื่อบัณฑิตใต้หล้า ใต้เท้าเซินฟังพิณต่อเถิด ข้าขอตัวก่อน”


กล่าวจบ เหยียนชิงพยักหน้าก่อนจะจากไป เซินสือหังนั่งอยู่ที่เดิม สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ผ่านไปครู่หนึ่ง อาจารย์เพลงพิณด้านหลังก็กลับเข้ามาประจำที่ พอดีดได้เสียงหนึ่ง เซินสือหังก็ยกมือห้ามกล่าวว่า


“ข้าขอเวลาเงียบสักครู่!”


***************


เมืองเซวียนฝู่ ณ จวนแม่ทัพเมืองเซวียนฝู่ หลี่หรูซง หลี่หรูซงฝึกทหารนอกเมืองกลับมา ทหารติดตามประคองลงจากม้า โยนแส้ให้คนงาน เดินไปยิ้มไปกล่าวว่า


“หวังทงสมองพังไปแล้วหรือ กวาดล้างพวกนอกด่านหมดสิ้น วันหน้าจะกินอะไรกัน คำสอนสั่งบิดาตอนนั้นกล่าวได้ถูกต้องแล้ว……..”


ทุกคนพากันเดินสรวลเสเฮฮาเข้าไป มีพ่อบ้านรีบวิ่งมารายงานว่า


“นายท่าน นายท่านใหญ่ส่งนายท่านสามมา!”

 

 

 


ตอนที่ 792

 

 เทียบกับหวังทง

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม่ทัพเมืองเหลียวโจว หลี่เฉิงเหลียงมีบุตรห้าคน ล้วนเป็นดังลูกเสือร้าย นี่ไม่ใช่เสียดสี แต่เป็นคำชม บอกว่าเป็นลูกเสือตระกูลหลี่ เป็นขุนพลทั้งตระกูล


เทียบกับหลี่หรูซงผู้บัญชาการเมืองเซวียนฝู่แล้ว ที่เหลือสี่คนล้วนชื่อเสียงด้อยกว่ามาก หลี่หรูป๋อตอนนี้อยู่เมืองเหลียวโจว เป็นแค่ขุนพลที่ปรึกษา หลี่หรูเจินเป็นหน่วยหน้าลาดตระเวน


พ่อบ้านติดตามหลี่เฉิงเหลียงติดตามมาจากเมืองเซวียนฝู่ก็เป็นคนที่เกิดในตระกูลหลี่ ตอนนั้นติดตามหลี่เฉิงเหลียงบุกน้ำลุยไฟ  พอมาถึงเมืองเซวียนฝู่  หลี่หรูซงแยกจวน พ่อบ้านยังแก้ความเคยชินอยู่นาน จากเรียกว่า นายน้อย นายน้อย ตอนนี้จึงได้เปลี่ยนมาเป็น นายท่าน


นายทหารรายรอบหลี่หรูซงก็ล้วนเป็นทหารสังกัดตระกูลหลี่กันทั้งนั้น ได้ยินพ่อบ้านกล่าวเช่นนี้ก็พากันอึ้งไป หลี่เฉิงเหลียงส่งนายน้อยสามหลี่หรูเจิน มาเพื่อเรื่องด่วนอันใด หากเป็นการติดต่อตามปกติ ส่งจดหมายมาก็ได้นี่?


“ทุกคนกลับไปพักผ่อนรอคำสั่ง!”


หลี่หรูซงหันกลับไปสั่ง ทุกคนรับคำสั่ง หลี่หรูซงรีบสาวเท้าตามเข้าไปในห้องโถงกลาง หลี่หรูเจินรูปร่างสูงใหญ่กำยำ กำลังนั่งรออยู่ พอเห็นหลี่หรูซงเข้ามาก็รีบยืนขึ้น หลี่หรูซงถามอย่างไม่อ้อมค้อมขึ้นว่า


“ที่บ้านมีเรื่องใด? ท่านพ่อสุขภาพแข็งแรงดีอยู่หรือ?”


“พี่วางใจได้ ที่บ้านปกติดี ท่านพ่อร่างกายก็ยังคงแข็งแรงดังเหล็กกล้าเหมือนเดิม”


หลี่หรูเจินยิ้มตอบ หลี่หรูซงโยนแส้ในมือลงบนโต๊ะ สีหน้างุนงงยิ่งหนัก ถามขึ้น


“แท้จริงเรื่องใหญ่อันใด ถึงกับส่งเจ้ามาติดต่อเอง?”


“พี่ใหญ่ เมืองเหลียวโจวต้องการทหาร ทางพี่มีทหารหลายพันนาย บิดากล่าวว่า ให้ท่านเหลือไว้แค่ 400 ที่เหลือให้ส่งกลับไป!”


หลี่หรูซงกำลังจะนั่งลง พอได้ยิน ก็เหมือนว่าก้นร้อนดังไฟเผา ผุดยืนขึ้นทันที จ้องมองหลี่หรูเจินถามเอาเรื่องว่า


“ต้องการเคลื่อนกำลัง ตระกูลหลี่เรามีกำลังแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า หากทำเช่นนั้นจริง คนพวกนั้นเกรงว่าคงคิดเป็นอื่น ถึงตอนนั้นใช่ว่าถูกกล่าวโทษนำภัยล้างตระกูลมาสู่หรือ!”


“พี่ใหญ่เบาหน่อย คนอื่นได้ยินเข้า แม้ไม่มีภัยก็คงมีภัยแล้ว ท่านพ่อมีคำสั่ง ให้เมืองเหลียวโจวแต่ละหน่วยทิ้งทหารคุ้มกันไว้จำนวนหนึ่ง ที่เหลือให้ไปรวมกำลังกันที่เหลียวหยาง บิดาเตรียมเผด็จศึกกับพวกเผ่าเคอเอ่อชิ่น”


หลี่หรูซงยามนี้นั่งลง หากสีหน้างุนงงถามขึ้น


“ท่านพ่อจะเผด็จศึกกับเผ่าเคอเอ่อชิ่น ยังต้องการกำลังจากเมืองเซวียนฝู่ ครั้งนี้ต้องเคลื่อนกำลังเท่าไร หรือว่าต้องนำกำลังเราไปทั้งหมด?”


หลี่หรูเจินนั่งลงตามตอบว่า


“ไม่เพียงแต่ของพวกเรา ยังมีหลี่ผิงหู หลี่หนิง ซุนโส่วเหลียน ฉินเต๋ออี กำลังพวกเขาที่สู้รบได้ก็เอาไปหมด”


พอได้ยินเช่นนี้ หลี่หรูซงก็ยิ่งนิ่งอึ้งไป เมื่อครู่ตอนกลับมาถึงยังบอกว่า ‘บิดาสอนสั่งได้ดี’ ตอนนี้ได้ยินเรื่องนี้เหมือนไม่ใช่ดังนั้น อึ้งไปก่อนจะกล่าวว่า


“ไหนท่านพ่อบอกบ่อยๆ ว่า หากปราบให้ราบคาบ ก็ไม่มีงานทำ บอกว่าพวกหมูหมากาไก่บนทุ่งหญ้านอกด่าน ทิ้งไว้ก็ไม่เป็นภัยอันใด เอาไว้เอามารบเล่นกันเรื่อย ๆ สามารถทำกำไรและบำเหน็จรางวัลได้ ให้ราชสำนักรู้สึกว่าเรามีค่า”


“พี่ใหญ่ พี่ยังคิดอะไรแบบเดิมอีก เรื่องหวังทงตีเมืองกุยฮว่าเฉิงได้พี่ได้ยินมาแล้วกระมัง ข่าวมาถึงท่านพ่อ ท่านพ่อก็ร้อนใจทันที บอกว่าใต้หล้าล้วนให้ความสำคัญกับทหารเมืองเหลียวโจว เพราะพวกเราเข้มแข็ง ตอนนี้หวังทงจัดการเผ่าอันต๋าราวกับผักปลา หากเราไม่ลงมือ วันหน้าฮ่องเต้กับขุนนางในราชสำนักคงดูแคลนเมืองเหลียวโจว เงินทุกปีเกรงว่าคงได้น้อยลงไปมาก”


หลี่หรูเจินพูดอย่างคล่องแคล่ว เห็นได้ว่าวาจานี้เป็นการนำวาจาหลี่เฉิงเหลียงมาบอกต่อ หลี่หรูซงส่ายหน้ากล่าวว่า


“เคลื่อนกำลังเมืองเซวียนฝู่มากมายเพียงนี้ไปเมืองเหลียวโจว หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากราชสำนัก เกรงว่าเป็นความผิดใหญ่ จะว่าไป ท่านพ่อใช้กองทัพปราบพวกเผ่าเคอเอ่อชิ่น  พวกในราชสำนักย่อมไม่เห็นว่าจะลำบากตรงไหน ย่อมไม่อนุมัติเร็วเพียงนั้น


“ท่านพ่อจัดการเรียบร้อยแล้ว พี่รองนำเงินไปเมืองหลวงแล้ว ตระกูลหม่ากับตระกูลลี่ก็จะอำนวยความสะดวกให้ พี่ใหญ่รีบเตรียมการเถิด!!”


**************


เรื่องบนโลกนี้กลัวที่สุดก็คือการเปรียบเทียบ ปกติชายแดนเจ้ารายงานตัดหัวร้อย ข้าก็รายงานตัดหัวสิบ ทุกคนพากันยินดีถ้วนหน้า


แม้แต่หม่าฟางซื้อหัวกับหวังทงไปหลายพัน ยังเก็บไว้เอาออกมาปีละสองสามร้อย เพราะเกรงจะเสียธรรมเนียม ถูกคนสงสัย


แต่การกระทำของหวังทงทำลายธรรมเนียมนี้จนสิ้น ชัยชนะใหญ่ครั้งแรกนอกเมืองเซวียนฝู่ หัวก็หลายพัน ทว่าทางเมืองเซวียนฝู่ซื้อไปไม่น้อย แบ่งสรรกันไป จำนวนที่อยู่กับหวังทงจึงไม่น่าตกใจอันใด แต่พอชัยชนะยิ่งใหญ่นอกด่านกู่เป่ยโข่ว รวมกำลังเมืองจี้โจว เมืองเซวียนฝู่และกองกำลังหู่เวยสามทัพ ตัดมาได้นับหมื่น จับตัวได้หลายพัน ความสำเร็จนี้ทำให้ชายแดนอื่นดูไม่ดี


พอมาครั้งนี้หวังทงยกทัพขึ้นเหนือ ตัดไปหลายหมื่น ตีเมืองกุยฮว่าเฉิงแตก เหมือนว่าหลังทำลายล้างเผ่าอันต๋า  แต่ละเมืองชายแดนก็เริ่มนั่งกันไม่ติด


ทุกปีมีเหตุผลนี่นั่นต่อราชสำนัก ขอเงินงบประมาณจากกรมทหาร หากไม่เคยเห็นชัยชนะอันใด แม้ว่าสมคบกับขุนนางในกรมทหาร ร่วมกันตักตวงเงินทอง แต่ก็ต้องมีเหตุผลในการขอ


ชายแดนแผ่นดินหมิง ในบัญชีกรมทหาร ทหารน้อยสุดก็ห้าหมื่น แต่หวังทงนำทหารเพียงสามหมื่น ถึงกับมีชัยยิ่งใหญ่นี้ได้ นี่เป็นเรื่องน่าขายหน้ายิ่ง เช่นกันก็แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่ว่า เหตุใดหวังทงทำได้ พวกเจ้าแต่ละคนทำไม่ได้


ชายแดนนั้น เมืองต้าถงอย่างไรก็เข้าร่วมรบครั้งนี้ เมืองเซวียนฝู่กับเมืองจี้โจวหลายปีนี้ก็ชนะศึกหลายครั้ง เมืองต่าง ๆ  ทางตะวันตกของเมืองต้าถง เช่น หนิงเซี่ย กานซู กู้หยวน พวกนั้น ก็เสียทีข้าศึกบ่อยๆ แม้ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับ แต่พอหวังทงนำชัยชนะใหญ่มา ทำให้เกิดผลอย่างไร พวกเจ้าไม่ว่ายอมรับหรือไม่ ก็ต้องยอมรับ


แต่เมืองเหลียวโจวนั้นแตกต่าง หลี่เฉิงเหลียงตั้งแต่สร้างชื่อที่เมืองเหลียวโจวก็ค่อยๆ มาถึงตำแหน่งสถานะนี้ เขาไม่ได้อาศัยการสมคบคิด ไม่ได้อาศัยดวง หากอาศัยความสามารถในการรบแท้จริง


ตั้งแต่หลี่เฉิงเหลียงนำทัพมา ทางการได้แต่รายงานชนะศึก ผลงานสั่งสม จึงได้มีแม่ทัพพ่อลูกในวันนี้  ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นป๋อในวันนี้


เมืองเหลียวโจวกว้างใหญ่ ราษฎรหลายล้าน ที่นาสมบูรณ์ มีผลผลิตมากมาย ราชสำนักกลับไม่ตั้งเป็นเขตปกครองปกติส่งขุนนางบุ๋นมาดูแล กลับให้เป็นฐานที่มั่นทางการทหาร ทุกอย่างในเมืองเหลียวโจวล้วนมอบให้หลี่เฉิงเหลียงดูแลคนเดียว ลูกชายและพรรคพวกเขาก็มีสถานะสูงส่งกัน ควบคุมพื้นที่เมืองเหลียวโจว ที่นาสมบูรณ์นับไม่ถ้วน ราชสำนักก็ปล่อย


แท้จริงแล้ว  ด้วยการค้าเมืองเหลียวโจวกับเผ่าอื่น  ที่นาที่ผลิตผลได้ และภาษีเกลือ ภาษีชา ยังมีระยะนี้เริ่มทำการค้ากับเทียนจิน รายได้เมืองเหลียวโจวก็เริ่มเพิ่มพูนมหาศาล พอเพียงเลี้ยงดูกองกำลังเมืองเหลียวโจวได้อย่างสบาย แต่ทุกปีราชสำนักยังต้องส่งงบประมาณให้ เมืองเหลียวโจวได้ไปมากที่สุด


การได้รับการปฏิบัติดีเช่นนี้ หนึ่ง เพราะขุนนางในราชสำนักอย่างไรก็คิดว่านอกด่านรกร้างยากจน  ไม่ใช่แผ่นดินเรา ไม่ต้องใส่ใจมาก สอง เพราะหลี่เฉิงเหลียงมีผลงานโดดเด่น ราชสำนักต้องให้การดูแล สำคัญที่สุดก็คือ หลี่เฉิงเหลียงรู้หลักการดี


รู้ว่าหากปราบพวกมองโกลกับเผ่าหนี่ว์เจินราบคาบไป การจะได้เกียรติยศเงินทองก็ย่อมไม่มีมาอีก ขอเพียงเผ่าพวกนี้ยังอยู่ ราชสำนักก็ยังต้องการตน


ดังนั้นเผ่าไท่หนิงที่เป็นเผ่าเล็กมีคนแค่สามพันกว่า หลี่เฉิงเหลียงถึงกับรบติดพันอยู่ได้ตั้งห้าปี เผ่าหนี่ว์เจินเข้าปะทะ สองฝ่ายกำลังอ่อนแอ แต่หลี่เฉิงเหลียงก็ไม่นำกำลังเข้าปราบให้ราบคาบทั้งที่ทำได้ แต่ไรไม่เคยลงแรงจริงจัง เอาแต่ช่วยฝ่ายหนึ่งบ้าง กดอีกฝ่ายหนึ่งบ้าง


การปล่อยให้คาราคาซังเช่นนี้ ปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ ลาภยศเงินทองตระกูลหลี่ก็ย่อมดำรงต่อไป หลี่เฉิงเหลียงรู้ดีกว่า เพียงแค่เลี้ยงดูโจรพวกนี้ไว้ เพียงแค่ธำรงสถานการณ์นี้ไว้ไม่พอ หากตนเองกำลังไม่พอ ก็ย่อมไม่อาจมีชัย เช่นกันย่อมไม่อาจกำราบพวกนอกเผ่า


ดังนั้นนอกจากเมืองจี้โจวแล้ว เมืองหลี่เฉิงเหลียงครองอำนาจจึงเป็นเมืองที่ฝึกทหารเข้มแข็ง กล้าใช้จ่ายเงินลงไป ในบรรดาทหารหมิง เป็นกำลังทหารในสังกัดที่เข้มแข็งที่สุดก็ว่าได้  เครื่องมืออาวุธก็ดีที่สุด ที่เมืองเหลียวโจว คนตระกูลหลี่ไม่ว่าอาวุธหรือชุดเกราะก็ล้วนมีพร้อมให้ทหารถึง 6,000 นายขึ้นไป นับรวมทหารในสังกัดนายทหารทุกท่าน ก็เรียกได้ว่านับหมื่นทหารม้าก็เรียกรวมพลได้ หากนับทหารทั่วไปที่นำมาเป็นทหารได้ กำลังก็น่าจะราวสองหมื่นกว่า


นี่แค่กำลังส่วนกลาง หากนับรวมกำลังที่อื่นๆ มารวมกันอีก กำลังรบเมืองเหลียวโจวคงไม่ใช่ที่พวกเขาแสดงให้เห็นกันอยู่ตอนนี้


หากไม่มีหวังทง วันเวลาแสนสุขนี้คงธำรงไปอีกหลายปี แต่พอมีหวังทง ก็มีการเปรียบเทียบ หวังทงคนยังน้อยกว่า ใช้เงินน้อยกว่าสร้างชัยได้ยิ่งใหญ่เพียงนั้น เช่นนั้นเมืองเหลียวโจวใช้จ่ายมาหลายปี ให้ประโยชน์แก่หลี่เฉิงเหลียงมากมาย ปล่อยปละเมืองเหลียวโจวเช่นนั้นคุ้มค่าหรือไม่ คงทำให้ขุนนางและฮ่องเต้ หรือแม้แต่ใต้หล้าสงสัย สถานะเมืองเหลียวโจว ลาภยศเงินทองตระกูลหลี่คงสั่นคลอน


ในสถานการณ์เช่นนี้ ทางเดียวหลี่เฉิงเหลียงทำได้ก็คือไม่เสียดายเงินทองในการรบให้ได้ชัยในครั้งนี้ และไม่อาจเป็นชัยชนะที่แตกต่างจากหวังทงนักจึงจะพิสูจน์ตนเองได้ จึงจะดำรงสถานะตนให้มั่นคงได้


ตอนนี้หวังทงได้ปราบเผ่าอันต๋าราบแล้ว รอบเมืองเหลียวโจวมีศัตรูใด ก็พวกเผ่าหนี่ว์เจินที่ไม่เท่าไร  เผ่าไท่หนิงกับเผ่าเฮยซานก็ไม่พอ หนึ่งเดียวที่ลงมือได้ และยังได้รับการช่วยเหลือจากชายแดนอื่นๆ ก็คือเมืองตัวหลุนทางตะวันตกของเมืองเหลียวโจว ตอนเหนือเมืองจี้โจว เป็นพื้นที่ศูนย์กลางเผ่าเคอเอ่อชิ่น และเป็นพื้นที่ทุ่งหญ้าที่สมบูรณ์ที่สุดของชาวทุ่งหญ้านอกด่าน


การเคลื่อนไหวกองกำลังใหญ่เช่นนี้ ปกติราชสำนักต้องมีความเห็นให้รอบคอบ แต่พอมีตัวอย่างหวังทง ทางหลี่เฉิงเหลียงบอกว่าปีนี้ส่งเบี้ยงบประมาณไปพอจะจัดการการรบได้ แม้ขุนนางราชสำนักไม่หวังให้ขุนนางบู๊มีแบบหวังทงอีก แต่ทัพเมืองเหลียวโจวปราบตะวันตกหลังผ่านการวางแผนมากมายก็ได้รับอนุมัติ

 

 

 


ตอนที่ 793

 

คิดมากจนผิดพลาด

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เมืองเหลียวโจว มีรายงานด่วนมา ตัดหัวศัตรูได้ 800 !”


ณ เมืองหลวง สำนักองครักษ์เสื้อแพร ที่ทำการผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทง มีทหารองครักษ์เสื้อแพรนายหนึ่งกำลังรายงาน ในห้องมีบัณฑิตอีกสองสามคน


แม้ว่าบัณฑิตไร้สถานะ แต่ทหารก็ให้ความเคารพ อย่างไรคนพวกนี้ก็เป็นคนหวังทง ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าคนผู้นี้ตอนนั้นเป็นบัณฑิตในจวนท่านอำมาตย์ มีสถานะบัณฑิตจวี่เหริน มารอรับคำสั่งใต้เท้าหวัง ว่ากันว่าเป็นที่ปรึกษาใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหวังคิดส่งเสริม แม้เป็นแค่จวี่เหรินแต่ก็หางานดีๆ ให้ทำได้ไม่ยาก เก็บบัณฑิตเช่นนี้ไว้ข้างกาย เห็นได้ว่าให้ความสำคัญ


ในห้องคนเหล่านี้ นายกองพันหลี่สำนักรักษาความสงบไม่ต้องพูดถึง รองเจ้ากรมหลี่ว์ศาลซุ่นเทียนก็ไม่ใช่ระดับธรรมดา เมิ่งกงกงผู้นี้ก็เป็นคนดังในวัง เป็นลูกบุญธรรมของโจวกงกงแห่งสำนักอาชาหลวง  วันหน้าอนาคตย่อมไกล  ว่ากันว่าเพิ่งไปทอดราชโองการให้หวังทงกลับมา


คนระดับนี้ ล้วนเกรงใจต่อบัณฑิตผู้นี้ เห็นได้ถึงสถานะ หวังทงก่อนไปมณฑลซานซี ทิ้งหยางซือเฉินไว้ที่ทำการคอยติดต่อกันหน่วยงานต่างๆ  งานที่เกี่ยวกับหวังทงก็ล้วนรายงานแก่หยางซือเฉินที่นี่ เรื่องเล็กน้อย หยางซือเฉินสามารถสั่งการไปได้ล่วงหน้า


“ดี รู้แล้ว เจ้าออกไปได้!”


สิ่งที่ทำให้ทหารเจ้าหน้าที่องครักษ์เสื้อแพรยอมก็คือ หยางซือเฉินแม้สถานะสูง แต่มีอุปนิสัยเกรงใจอ่อนโยนกับคนอื่นๆ แม้แต่ระดับพลทหารล่างสุด  แต่ไรมาไม่เคยวางท่าใหญ่โต ยังมักจัดหาอาหารมาเลี้ยงทุกคนในตอนกลางวัน ให้ทุกคนได้กินกันอย่างดี


ดังนั้นตอนสถานการณ์หวังทงยังไม่กระจ่าง ข่าวเมืองหลวงแพร่มาเป็นระลอก ทหารองครักษ์เสื้อแพรจึงมารายงานต่อหยางซือเฉินไม่น้อย มาส่งข่าวกันเสมอ


หยางซือเฉินยิ้มกล่าวขึ้น รอทหารคำนับออกไป หยางซือเฉินจึงได้ยืนขึ้นกล่าวว่า


“ใต้เท้าทุกท่าน เมืองเหลียวโจวทางนั้นมีข่าวใต้เท้าไม่น้อย ตั้งแต่หลังนำทัพออก ข่าวจากทางเมืองเหลียวโจวกับเมืองจี้โจวก็มีมาไม่ได้ขาด ล้วนเป็นข่าวด่วน เมื่อวานหัวหน้าโรงละครก็มาว่า เมืองเหลียวโจวมีคนจ้างพวกเจาไปเล่นงิ้วเรื่องใหม่ เล่นบทสรรเสริญแม่ทัพหลี่แห่งเมืองเหลียวโจวว่ากล้าหาญซื่อสัตย์ภักดี”


พอกล่าวจบ หลี่ว์วั่นไฉ หลี่เหวินหย่วนกับเมิ่งตั๋วก็พากันยิ้ม หลี่ว์วั่นไฉพัดไปมาเบาๆ กล่าวว่า


“ใต้เท้าหวังสร้างความชอบใหญ่เช่นนี้ หลี่เฉิงเหลียงเองก็ตองแสดงความสามารถตนเองในการนำทัพออกมา ทว่าเขาก็หัวไว ถึงกับคิดใช้โรงงิ้วได้”


“เมืองเหลียวโจวมีการค้า 20 ร้านในเมืองหลวง ตั้งแต่หอสุราอาหารไปจนหอคณิกา มีครบทุกสายอาชีพ  ก็เพื่อหาข่าวให้หลี่เฉิงเหลียง เขาย่อมรู้เรื่องความเป็นไปในเมืองหลวง บางครั้งถึงกับรู้มากกว่าชาวเมืองหลวงเสียอีก”


เมิ่งตั๋วข้าง ๆ เอ่ยแทรกขึ้นว่า ผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงมีสายสัมพันธ์กับชนชั้นสูงและขุนนางในเมืองหลวง มีหูมีตาในเมืองหลวงมาก เรื่องนี้ใต้หล้าล้วนรู้


หยางซือเฉินพยักหน้า จัดการเอกสารบนโต๊ะเสร็จก็กล่าวว่า


“ทางนายท่านเป็นกองทัพแข็งแกร่งอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินหมิง มีทั้งปืนใหญ่ ปืนไฟอาวุธเทพเช่นนี้ ยังมีการปกป้องจากฝ่าบาท นี่สิเรียกว่าชัยชนะใหญ่ หลี่เฉิงเหลียงเสพสุขที่เมืองเหลียวโจวมาหลายสิบปี เกรงว่าคงเป็นชื่อเสียงจอมปลอม นายท่านนำทัพขึ้นเหนือ เขานำทัพปราบตะวันตก ตอนนี้เห็นกระแสการข่าว ผู้ใดก็รู้แล้วว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร?”


น้ำเสียงเขาดูไม่พอใจนัก หลี่เหวินหย่วนส่ายหน้า น้ำเสียงจริงจังอยู่สักหน่อยว่า


“ตอนข้าอยู่เมืองจี้โจว มักได้ยินใต้เท้าชีกล่าวถึงเมืองเหลียวโจวว่ากองกำลังเข้มแข็งบนแผ่นดินหมิงไม่มีที่ใดเหนือไปกว่ากองกำลังตระกูลหลี่เมืองเหลียวโจว แต่หลี่เฉิงเหลียงวางแผนลึกล้ำมากเกินไป คิดให้อำนาจวาสนาแก่ตนมากกว่าประโยชน์ของแผ่นดินหมิง ทหารของเขาเดิมสามารถกวาดล้างทุ่งหญ้าได้ แต่น่าเสียดายที่ต้องอยู่คู่กับความสงบสุขของตัวหลี่เฉิงเหลียงเอง ครั้งนี้หลี่เฉิงเหลียงเหมือนนำกำลังทั้งหมดที่มีออกรบ ชัยชนะใหญ่ก็คงจะไม่ใช่ปัญหา”


หลี่เหวินหย่วนตอนนั้นเป็นทหารในกองชีจี้กวง หลายปีกรำศึก วิเคราะห์กับการมองกองทัพย่อมดีกว่าหยางซือเฉินที่ได้แต่อ่านจากตำรา ได้ยินเช่นนี้ หยางซือเฉินก็ตกใจอยู่สักหน่อย หลี่เหวินหย่วนยิ้มอธิบาย กล่าวว่า


“ตระกูลหลี่ม้ามาก ทหารม้ามาก ตั้งกำลังในเมืองเหลียวโจวมานาน เผ่าบนทุ่งหญ้านอกด่านอยู่ใต้ความควบคุมของเขาไม่น้อย ครั้งนี้ออกไปบนทุ่งหญ้า น่าจะมั่นใจในชัยชนะอยู่มาก”


หยางซือเฉินฟังไปก็ส่ายหน้าไป หลี่เหวินหย่วนก็ส่ายหน้า กล่าวว่า


“คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าไปรบเมืองกุยฮว่าเฉิงครั้งนี้ ถึงกับมีวิธีการเช่นนี้ บีบจนหลี่เฉิงเหลียงต้องออกมารบสักครา หากบรรพชนคุ้มครองเรา รบชนะอีกครานี้ เกรงว่าแผ่นดินหมิงตอนเหนือคงจะสงบสุขไปได้อีกร้อยปี”


หลี่ว์วั่นไฉสะบัดพัดปิด ยิ้มกล่าวว่า


“ซุนโส่วเหลียนเมืองเหลียวโจวปีก่อนก็เลียนแบบรถใหญ่เทียนจินเรา ต่อมามาขอร้องใต้เท้า ใต้เท้าส่งช่างไปช่วย ว่ากันว่าเมืองเหลียวโจวตอนนี้รถใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ครั้งนี้ออกศึกน่าจะได้ใช้การ ชายแดนแผ่นดินหมิงหากได้สงบศึกนับร้อยปีแบบตระกูลหลี่ได้ ก็เพราะเป็นความชอบของใต้เท้านำให้เกิด!”


ทุกคนยิ้มพยักหน้า สนทนากันสักพัก เมิ่งตั๋วก็ลุกขึ้นกล่าวว่า


“ทุกท่าน วันนี้สำนักรักษาความสงบไม่เรื่องด่วนอันใด ในวังก็มีแต่ความรื่นเริงยินดี ข้าขอกลับวังไปปฏิบัติหน้าที่ก่อน ขอทุกท่านตามสบาย”


พวกหยางซือเฉินพากันลุกขึ้นส่ง พอเมิ่งตั๋วออกไป ประตูห้องทำงานปิดลง ก่อนปิดหยางซือเฉินโผล่ออกไปดูนอกประตู สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปต้มน้ำชงชามาอีก ไล่คนไปแล้ว ก็หันกลับเข้าห้อง หลี่เหวินหย่วนยิ้มร่ากล่าวว่า


“เมื่อวานมีคนมาเป็นแม่สื่อให้หู่โถว ถูกข้าให้กลับไป หู่โถวอายุเท่าไรเอง เร่งร้อนใจอันใด”


“ไม่ร้อนใจได้อย่างไร หู่โถวเรากลับมาครานี้ เป็นถึงผู้บัญชาการทัพก็ย่อมได้ ดีไม่ได้อาจได้บรรดาศักดิ์ด้วยนะ อายุน้อยเช่นนี้ หากข้ามีลูกสาวก็คงยกให้เจ้า!”


ได้ยินหลี่ว์วั่นไฉสัพยอก หลี่เหวินหย่วนดีใจตอบกลับว่า


“หากเราสองมีลูกชายหญิงได้เกี่ยวดองกันก็คงดี พูดถึงเรื่องนี้ ใต้เท้าหวังกลับมาครั้งนี้ก็คงต้องแต่งกับหานเสียแล้วสินะ เมื่อครู่เสี่ยวเมิ่งก็ว่า ในวังมีคนร้อนใจเรื่องนี้ ก็จริงนะ ใต้เท้าสร้างความชอบระดับนี้ งานแต่งย่อมยิ่งใหญ่ ขันทีหานแห่งสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์จะต้องดีใจอย่างมากแน่……”


หยางซือเฉินไม่ได้ร่วมวงสนทนานี้ ได้แต่ยิ้มถามขึ้น


“ใต้เท้ามีจดหมายมาวันก่อน บอกว่าตอนนี้กำลังออกจากมณฑลซานซีแล้ว คิดๆ ดู ครึ่งเดือนก็น่าจะมาถึงเมืองหลวงแล้วกระมัง?”


พูดถึงเรื่องนี้ หลี่เหวินหย่วนกับหลี่ว์วั่นไฉต่างพยักหน้า หยางซือเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มเริ่มจางหายกล่าวว่า


“เมื่อครู่เมิ่งตั๋วสอบถามเรื่องการต้อนรับใต้เท้ากลับมา ในวังยังถามว่าตอนใต้เท้าเข้าเมือง มีความเห็นในพิธีพวกนั้นไหม นี่เหมือนมีอันใดไม่ถูกต้องนัก”


“มีอันใดไม่ถูกกัน ฝ่าบาทไว้พระทัยใต้เท้าเช่นนี้ ใต้เท้ายังสร้างความชอบใหญ่ ถามการจัดการต้อนรับก็เป็นเรื่องสมควร”


หลี่เหวินหย่วนกล่าวเหมือนไม่สนใจ สีหน้าหลี่ว์วั่นไฉกลับเริ่มไร้รอยยิ้ม เคาะพัดจีบในมือเบาๆ กล่าวว่า


“ความหมายท่านหยางคือ?”


“สร้างความชอบใหญ่เช่นนี้  ใช้คำนี้กล่าวถึงยังไม่พอเลย แผ่นดินหมิงตั้งแต่ก่อตั้งมาถึงตอนนี้ นอกจากฮ่องหมิงไท่จู่และหมิงเฉิงจู่แล้ว ผู้ใดสร้างผลสำเร็จยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้บ้าง ผู้ใดมีกองกำลังทหารที่เข้มแข็งเช่นนี้ได้บ้าง?”


ทุกคนพูดจนหลี่เหวินหย่วนรอยยิ้มเลือนหาย หยางซือเฉินกล่าวต่อว่า


“ความชอบยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ใต้เท้าจงรักภักดี  แต่การสร้างความชอบใหญ่เช่นนี้ ฝ่าบาทอาจไม่ทรงระแวงพระทัย แต่ย่อมมีผู้ทูลฝ่าบาทเรื่องนี้ ขุนนางคนสนิทก็ส่วนคนสนิท แผ่นดินก็ส่วนแผ่นดิน เรื่องพวกนี้….”


หยางซือเฉินยิ่งพูดยิ่งเบา หลี่ว์วั่นไฉคลี่พัดออกแล้วก็หุบจากนั้นก็ผุดลุกยืนขึ้นเดินไปที่ประตู การเคลื่อนไหวนี้ทำเอาทุกคนตกใจ มองหลี่ว์วั่นไฉแง้มประตูดูด้านนอกไม่มีคน หลี่ว์วั่นไฉไม่ปิดประตู หากกลับไปนั่งที่เดิม พูดขึ้นเบาๆ ว่า


“เสียงเบาหน่อย เปิดประตูคุยกัน!”


เช่นนี้ก็จะรู้ว่าด้านนอกมีคนหรือไม่ หยางซือเฉินพูดมานั้นล้วนอันตรายมาก หากเล็ดรอดออกไปตามกำแพงมีหู ความยุ่งยากก็ย่อมตามมา หลี่ว์วั่นไฉเป็นคนรอบคอบเช่นนี้เสมอ หลี่ว์วั่นไฉกลับมานั่งลง ตามองไปด้านนอก น้ำเสียงเบายิ่ง กล่าวว่า


“แต่ตอนนี้มีความดีความชอบเช่นนี้ ที่ทำได้ก็คืออย่าเอิกเกริกนัก ป้องกันคนอิจฉาตาร้อน”


หลี่เหวินหย่วนตบฝ่ามือถอนหายใจยาว ไม่กล่าวอันใด หยางซือเฉินพยักหน้าเห็นด้วย


“ใต้เท้าหลี่ว์คิดการได้รอบคอบ ข้าอยากขอให้ใต้เท้าหลี่ว์เขียนจดหมายถึงใต้เท้าหวัง พูดเรื่องนี้  กองทัพใหญ่เข้าเมืองฉลองชัย ในเมืองยินดีกับทหาร เกียรติยศยิ่งใหญ่ แต่ก็อย่าให้เกียรติยศเป็นที่ทิ่มแทงตาเกินไป แม้ไม่ได้คิดอันใด แต่เกรงว่าคงมีคนคิด แม้รู้สึกก็ต้องอดกลั้น แต่ก็ไม่อาจไม่ป้องกัน!”


“เจ้าพูดมีเหตุผล ข้าเขียนจดหมายตอนนี้เลย ให้ม้าเร็วสำนักรักษาความสงบเร่งนำไปส่ง!!”


“พวกเจ้าหนอนหนังสือ เห็นๆ ว่าชนะ ยังต้องมาอัดอั้นเก็บกดอันใด ช่างไร้สาระสิ้นดี”


************


“ท่านอำมาตย์ ตอนหวังทงไป ท่านว่าเขามุทะลุ มั่นใจว่าแพ้แน่นอน ตอนมีชัยชนะใหญ่กลับมา ท่านว่าไม่อาจไม่ป้องกัน ทำไมกัน? แผ่นดินหมิงรบมีชัย หรือว่าเป็นความผิดกัน?”


ณ ตำหนักข้างพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน ฮ่องเต้ว่านลี่กับเซินสือหังนั่งอยู่ จางเฉิงยืนอยู่ด้านหลังฮ่องเต้ว่านลี่ ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์คล้ำเครียด เซินสือหังลุกจากที่นั่ง ถวายคำนับทูลว่า


“ฝ่าบาท หวังทงสร้างความชอบใหญ่ ไร้ความผิด กระหม่อมเพียงแค่อยากทูลเตือนฝ่าบาท หวังทงมีอำนาจในมือมาก ยังมีกองกำลังใหญ่อีก หลังชัยชนะใหญ่นี้ ชื่อเสียงก็ยิ่งยิ่งใหญ่ขึ้น  ธรรมเนียมที่เป็นมาของแผ่นดินนั้น ฝ่าบาทสูงสุด ขุนนางอยู่ใต้พระบาท หวังทงสร้างความชอบในฐานะขุนนางของพระองค์ได้เช่นนี้ อำนาจมากมายเช่นนี้ คนนอกมองมา เกรงว่าจะเห็นกลับตาลปัตรกัน!”


ฮ่องเต้ว่านลี่สูดลมหายใจเข้า ก่อนจะตรัสน้ำเสียงเย็นชาว่า


“เจ้าว่าหวังทงมีใจคิดการไม่ซื่อ?”


“กระหม่อมมิกล้า กระหม่อมเชื่อว่าใต้เท้าหวังจงรักภักดี กระหม่อมเพียงแค่ต้องการทูลเตือนฝ่าบาท หวังทงแม้ไม่คิด แต่ใช่ว่าผู้อื่นไม่คิด เขาไม่ทำ ใช่ว่าผู้อื่นไม่ทำ ฝ่าบาทไว้พระทัยหวังทง ทรงอยากพระราชทานอำนาจวาสนาให้หวังทง ที่กระหม่อมทูลมานั้นก็คิดเพื่อใต้เท้าหวังระยะยาว และเกรงเหตุที่ไม่คาดฝัน หวังทงล้มไปสักคนก็ย่อมส่งผลต่อความไว้พระทัยและพระเมตตาของฝ่าบาท”


ฮ่องเต้ว่านลี่ผินพระพักตร์ไปมองจางเฉิง จางเฉิงก้มหน้าเงียบ ไม่เห็นสีหน้าเขาเช่นกัน ฮ่องเต้ว่านลี่หันไปตรัสถามเสียงเย็นต่อว่า


“เช่นนนั้นเจ้าว่า หวังทงควรทำเช่นไรจึงเรียกได้ว่าจงรักภักดี?”


“หวังทงควรส่งมอบกองกำลังทหารให้พระองค์ด้วยตนเอง”

 

 

 


ตอนที่ 794

 

มิตรสหายและนายบ่าว ความสำคัญต่อใต้หล้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

“หวังทงเดิมก็ไม่ได้มีกองกำลังทหาร จะให้ส่งมอบอันใด!?”


“ฝ่าบาททรงพระราชทานกำลังสองเมืองให้ นี่ก็คือกำลังทหาร ที่กระหม่อมว่ามาไม่ใช่เพราะอิจฉา กำลังอยู่ในมือ ความชอบเกรียงไกร ความจงรักภักดีอาจแปรเปลี่ยน กระหม่อมมีวาจาล่วงเกินสักคำ หากหวังทงไม่ส่งมอบกองกำลังด้วยตนเอง ก็เห็นได้ว่ามีใจคิดการไม่ซื่อ อาจจะยังไม่ปรากฏ แต่ก็เป็นชนวนซ่อนอยู่”


เมื่อก่อนในราชสำนักหรือส่วนตัวสนทนากันเรื่องเช่นนี้ ขุนนางก็ย่อมต้องลงคุกเข่าขอพระราชทานอนุญาต แต่เซินสือหังแต่ต้นก็เพียงแค่ถวายคำนับ ตอนพูดก็จ้องมองฮ่องเต้ว่านลี่ ท่าทีบีบคั้น


ฮ่องเต้ว่านลี่แรกเริ่มก็ทรงมองอย่างกริ้ว  แต่หลังสนทนาดุเดือด ก็เริ่มเย็นลง  แม้ที่เซินสือหังว่ามาว่าไม่ใช่ความอิจฉา แต่ที่จริงแล้วเหมือนเป็นเช่นนั้น หากฮ่องเต้ว่านลี่ฟังแล้วกลับไม่ทรงกริ้ว จับตามองเซินสือหังสักครู่ก็ถอนหายใจตรัสว่า


“ท่านอำมาตย์นั่งลงก่อน ฟังที่ท่านว่ามา เราจะไปคิดดู!”


“เพื่อแผ่นดิน เพื่อความภักดีหวังทง ขอฝ่าบาททรงพิจารณาให้รอบคอบ กระหม่อมทูลลา!”


เซินสือหังไม่ได้ยืนหยัดในหัวข้อสนทนาต่อ เพียงแต่ถวายคำนับและออกไป พอเซินสือหังออกไปจากตำหนักข้างพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน ฮ่องเต้ว่านลี่กลับไม่ทรงเสด็จกลับตามที่เคยเป็นมา


ขันทีที่จะเข้ามาเปลี่ยนกำยานจัดเอกสารโผล่หน้ามาดูก็ถูกจางเฉิงไล่กลับไป ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร จางเฉิงยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ


ครู่หนึ่ง ความสงบก็ถูกฮ่องเต้ว่านลี่ทำลายลง ฮ่องเต้ว่านลี่มองไปด้านหน้า เหมือนพึมพำกับพระองค์เองว่า


“คนเราพอมีอำนาจมาก มีกำลังมาก จะแปรเปลี่ยนงั้นหรือ?”


จางเฉิงด้านหลังครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนทูลว่า


“ตอนอยู่จวนอ๋องอวี้ ฝ่าบาททรงประชวร บางครั้งทรงกรรแสง เฝิงกงกงร้อนใจกว่าผู้ใด นอกจากอดีตฮ่องเต้และไทเฮาแล้ว ที่ร้อนใจกับฝ่าบาทที่สุดก็คือเฝิงกงกง แต่ต่อมาพอได้เป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เข้า ต่อมาจากนั้นฝ่าบาทก็ทรงรู้แล้ว”


จางเฉิงกล่าวถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมา ในตำหนักข้างเงียบกริบ ครู่หนึ่งฮ่องเต้ว่านลี่ก็แย้มสรวลตรัสว่า


“ยังคิดว่าจางปั้นปั้นจะออกหน้าแทนหวังทง คิดไม่ถึงว่าจะกล่าวเช่นนี้”


ฮ่องเต้ว่านลี่กล่าวโดยไม่หันไปมอง จางเฉิงคำนับทูลว่า


“ทุกอย่างกระหม่อมได้มาเพราะทรงพระราชทาน ทุกอย่างที่ฝ่าบาทได้มาก็เพราะแผ่นดิน หนักเบาอย่างไร กระหม่อมย่อมรู้กระจ่างใจดี”


เห็นฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ตรัสอันใด จางเฉิงทูลต่อว่า


“ท่านอำมาตย์ตอนนี้เป็นมหาอำมาตย์ เป็นอันดับหนึ่งของขุนนาง ไม่มีตำแหน่งเหนือด้านบนอีก ตอนนั้นไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ท่านอำมาตย์ก็ย่อมเป็นตัวเลือกมหาอำมาตย์ เขาไม่พูด เป็นขุนนางสงบๆ ไปก็ยิ่งดี เหตุใดเขาจึงทูลกับฝ่าบาทเช่นนั้น ผู้ใดไม่รู้ว่าทรงไว้พระทัยหวังทง พูดเช่นนี้ก็เท่ากับทำให้ทรงไม่สบายพระทัย ท่านอำมาตย์ทำไปก็เพราะคำนึงถึงฝ่าบาทเพื่อความสงบยาวนานแห่งแผ่นดินหมิง”


ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่หันกลับไป เพียงแต่โบกมือให้จางเฉิงเลิกพูด ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ถอนหายใจ ตรัสอย่างไร้อารมณ์ว่า


“หวังทงสร้างความชอบใหญ่เช่นนี้ ดีอกดีใจกลับเมืองหลวงมา เราเดิมคิดจะเฉลิมฉลองให้เขาดีๆ สักหน่อย พอพวกเจ้ามาพูดกันอย่างนี้  ก็ไม่มีกระจิตกระใจจะทำแล้ว หวังทงเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ยังไม่ได้ทำอันใดสักอย่าง พวกเจ้าก็คิดหาทางป้องกันเสียแล้ว วาจาพวกนี้หากหวังทงได้ยินเข้า ก็ไม่รู้จะเจ็บปวดใจอย่างไร”


“ฝ่าบาท คิดเพื่อหวังทงเช่นนี้ คิดปกป้องดูแลหวังทง ทรงอยากให้ความสัมพันธ์นายบ่าวนี้ยืนยาวนาน หากทำการเด็ดขาดแต่เนิ่นดีกว่าปล่อยให้คาราคาซัง……….วาจากระหม่อมไม่เหมาะนัก หวังทงส่งมองกองกำลังออกมา เขาก็ย่อมได้บรรดาศักดิ์ไป วันหน้าได้เป็นกั๋วกงก็ย่อมได้ ตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็เป็นอันดับหนึ่งในบรรดาขุนนางบู๊แล้ว มีบรรดาศักดิ์อีก มีอำนาจสั่งการอีก ก็นับว่าเป็นพระมหากรุณาของฝ่าบาทยิ่งแล้ว!”


************


ลองนับดูอีกราวเจ็ดวันหวังทงจะนำทัพใหญ่กลับถึงเมืองหลวง ทัพหลี่เฉิงเหลียงมุ่งไปยังตัวหลุนก็ส่งข่าวการรบมาไม่หยุด หากตามจำนวนที่รายงานแล้ว ตอนนี้ทัพใหญ่หลี่เฉิงเหลียงแห่งเมืองเหลียวโจวก็น่าตัดหัวมาได้ 4,000 แล้ว


ทัพใหญ่เมืองเหลียวโจวเลือกเวลาออกทำศึกได้ดีมาก เดือนห้าบนทุ่งหญ้านอกด่านอากาศดีดอกไม้บานสะพรั่ง แต่ที่จริงแล้วก็แห้งแล้งอยู่ สัตว์เลี้ยงทนผ่านฤดูหนาวมาได้ หญ้าฤดูใบไม้ผลิยังไม่โตเต็มที่ ขาดแคลนทุกสิ่งอย่าง ชาวเลี้ยงสัตว์เร่รอนมีชีวิตที่ยากลำบากมาก แต่ละเผ่าใหญ่ก็วุ่นกับการผลิตอาหารเลี้ยงดูคนและสัตว์


เทียบกับพวกเขาแล้ว ทัพเมืองเหลียวโจวมีทุกสิ่งพร้อมสรรพ ม้าผ่านหน้าหนาวมาได้อย่างไม่กระไรนัก ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์  เมื่อเทียบสถานการณ์กันแล้ว ทัพเมืองเหลียวโจวย่อมได้เปรียบในชัยชนะกว่ามาก


ตอนนี้หวังทงเข้าสู่พื้นที่เมืองเป่าติ้งแล้ว ทหารม้าเมืองต้าถงที่ออกรบตอนเหนือด้วยนั้นไม่น้อยก็กลับสู่กองทัพ แต่มีบางส่วนทิ้งไว้ดูแลเมืองกุยฮว่าเฉิง มีแค่ติดตามมาเป็นตัวแทนจำนวนหนึ่งเท่านั้น กองกำลังหู่เวยกับกองกำลังเมืองจี้โจวเข้าด่านมา ก็เป็นพื้นที่รุ่งเรืองแล้ว


เพราะกองกำลังผ่านทางมา กินดื่มเต็มที่ ม้าและคนใช้จ่าย นอกจากเสบียงที่ตนนำติดตัวมา ก็ต้องให้ท้องที่ช่วยจัดหาให้เพิ่ม ท้องที่ให้ส่วนหนึ่ง แต่กองทัพซื้อหาก็ต้องใช้เงินสดจ่ายไป ยามนี้พื้นที่จึงได้ผลประโยชน์ไม่น้อย


แต่การผ่านทางแล้วสร้างแต่ประโยชน์ให้นี้ เมืองหลวงกลับมีวาจาไม่ดีนัก บอกว่าทัพใหญ่ผ่านชายแดนมา ทหารบางคนก็วางตัวอวดเบ่งคิดว่ามีความชอบ วางอำนาจบาตรใหญ่ ฉุดคร่าสตรีท้องที่ มีบุตรสาวขุนนางเมืองหลวงถูกย่ำยีระหว่างเดินทางกลับบ้านเกิด คุณหนูสูงส่งผู้นั้นทนอับอายไม่ไหวฆ่าตัวตาย คนในท้องที่ต่างพากันออกมาประณาม  ราษฎรรวมตัวกันไปทวงความเป็นธรรมที่ค่ายทหาร กลับถูกหวังทงใช้ปืนไฟปืนใหญ่ไล่ยิง บาดเจ็บล้มตายไปพันกว่า


ข่าวนี้มีที่มาจากที่ใดไม่รู้ได้ แต่ไม่กี่วัน ทั่วถนนตามตรอกซอกซอยก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่  โดยเฉพาะพวกขุนนางบัณฑิตท้องที่  รายละเอียดก็ครบถ้วน ว่ากันว่าขุนนางสมัยฮ่องเต้หลงชิ่งเกษียณกลับบ้านเกิด คุณหนูอะไรนี่ได้หมั้นหมายกับขุนนางบัณฑิตสักคน คุณหนูอะไรนี่เป็นที่ต้องตาหวังทง


ยังมีคนออกมาว่ามีคนในครอบครัวเขาถูกปืนยิงตาย ตนเองอยู่ข้างนอกจึงรอดมาได้ มีข่าวลือว่า ทัพใหญ่กินเนื้อคน ดื่มเลือดคน…


แต่ก็มีพวกพ่อค้าที่คบหาสมาคมกับกองทัพ และยังเพิ่งจากเมืองเป่าติ้งมก่อนหน้าไม่นาน บอกว่าทัพหวังทงระเบียบวินัยเคร่งครัด เมืองเป่าติ้งก็สงบสุขดี ไม่ได้มีเรื่องเช่นนี้สักหน่อย แต่ความจริงนั้นไม่สนุก ข่าวเท็จจึงแพร่เร็วยิ่งกว่า


ข่าวยิ่งแพร่ยิ่งเหลวไหล มีขุนนางบัณฑิตร่างฎีกาฟ้องหวังทงอวดเบ่งความชอบ ไม่ดูแลควบคุมลูกน้อง ระเบียบกองทัพหย่อนยาน  มีใจไม่เคารพเบื้องสูง ขอให้ราชสำนักมีคำสั่งจัดการ


เดิมคิดว่าเป็นแค่ข่าวลือ กรมฎีกาก็ส่งฎีกาขึ้นไป ยังมีหลายฉบับ ที่ได้ยินได้ฟังมาก็เป็นเช่นนี้ ข่าวที่ขุนนางบัณฑิตได้ยินก็พากันยื่นฎีกา และยังมีธรรมเนียมขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด กล่าวผิดไม่เป็นไร จึงทำให้กล้ากล่าววาจาไร้หลักฐาน นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ขุนนางบัณฑิตกล้ากระทำการโดยไม่ต้องคิดผลกระทบ


ทว่า การที่ขุนนางบัณฑิตกล้าถวายฎีกาเช่นนี้ก็เพราะเห็นท่าทีนิ่งเฉยระยะนี้ของในวังและในราชสำนัก เดิมทัพใหญ่เข้าประตูทางใต้มาถึงเมืองหลวง ต้องเข้ารวมพลรอรับพระราชทานรางวัลหน้าพระราชวังต้องห้าม เจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนกับศาลอาญาใหญ่ระยะนี้ไปยุ่งกับการจัดการเขตทักษิณ จะละทิ้งเงินทองผลประโยชน์ประจำมาได้อย่างไร ไม่มีเวลามาสนใจพวกเขา แต่ละแห่งยังมีข่าวลือที่ไม่แน่ชัดมาอีก แม้ว่าแต่ละฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจนอันใด  แต่การแสวงหาชื่อเสียงต้องทำก่อนผู้ใด รอให้คนอื่นเอ่ยก่อนก็สายไปเสียแล้ว  ดังนั้นขุนนางบัณฑิตจึงรีบเร่งยื่นฎีกา


ชาวบ้านกับในราชสำนักล้วนตื่นเต้นไปทั่วกับข่าวหวังทงที่ได้สร้างความชอบใหญ่ หากฉวยโอกาสนี้ ออกมายืนหน้ากล่าวต่างจากผู้อื่นสักสองสามคำ ก็แสดงให้เห็นว่าคนอื่นกำลังเมาสุรามีแต่ตนที่สติแจ่มชัด เช่นนั้นไยจะไม่ออกมาแสดงตนเล่า


ฎีกาทูลเกล้าขึ้นไป จุดจบนั้นแม้แต่ขุนนางบัณฑิตที่เป็นคนยื่นก็เดาได้ ทิ้งค้างไว้ ในวังไม่แสดงปฏิกิริยาใดทั้งสิ้น


เมืองหลวงที่เป็นขุนนางใหญ่ย่อมต้องรู้เรื่องในเมืองตามท้องถนนดี ที่พวกเขาใส่ใจกันนั้นไม่ใช่เรื่องนี้ ที่ใส่ใจมีสองเรื่อง หนึ่ง หลี่เฉิงเหลียงนำกำลังออกยึดตัวหลุนถึงไหนแล้ว สอง ระยะนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ค่อยออกว่าราชการ เจ็ดวันมาแล้วที่ไม่เห็นฮ่องเต้


เมื่อก่อนมีจางจวีเจิ้งกับเฝิงเป่าอยู่ ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่กล้าขี้เกียจ วันๆ ก็ต้องมา ต่อมาก็มีไทเฮาดูแลบ้าง พอมาไทเฮาพระวรกายไม่ดีนัก ล้มประชวรลง พวกขุนนางยากจะบังคับได้ แม้ถวายฎีกา แต่ฝ่าบาทไม่ฟังจะให้ทำเช่นไร


หลายคนคิดไม่อีกขั้น ฝ่าบาทไม่ออกว่าราชการ เรื่องในราชสำนักทุกคนก็จัดการกันก็แล้วกัน ดีจะได้ไม่มีคนมาจับจ้องทำให้ทำอันใดไม่คล่องตัวนัก


*************


คนในวังรู้ว่าระยะนี้ฮ่องเต้ว่านลี่มักไปที่ใดมากที่สุด ตอนนี้ทุกวันฮ่องเต้ว่านลี่จะไปประทับอยู่ที่ตำหนักพระสนมเอกเจิ้ง หากคณะเสนาบดีใหญ่กับสำนักส่วนพระองค์มีเรื่องด่วนอันใดก็ให้รายงานไปที่นั่น ฮ่องเต้ว่านลี่จะทรงพิจารณาอนุมัติที่นั่น


ว่ากันว่าพระอารมณ์ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ดีก็ไม่ใช่ ว่ากันฮ่องเต้คุยยิ้มแย้มกับพระสนมเอกเจิ้งที่ตั้งครรภ์ สบายพระทัยยิ่ง เรื่องนี้ทำให้ทุกคนพากันงง


“เสด็จแม่เมื่อวานส่งจิ่นซิ่วมาว่า วันนั้นที่ฝ่าบาทตรัสว่าแผ่นดินเป็นของตระกูลจู  แผ่นดินมิใช่ของตระกูลหลี่ และไม่ใช่ของตระกูลหวัง สิ่งที่บรรพชนทิ้งไว้ให้ขอให้รักษาไว้ให้ดี”


หลังพระสนมเอกเจิ้งทรงพระครรภ์  พระพลานามัยก็ไม่เหมือนก่อน  ชอบเงียบๆ มากกว่าเคลื่อนไหวไปมา ทุกวันฮ่องเต้ว่านลี่มาเดินเป็นเพื่อนในสวน พอกลับเข้าห้อง  สองพระองค์ก็จะนั่งคุยสนทนากันเงียบๆ


ฮ่องเต้ว่านลี่ชอบเล่าเรื่องในวังและในราชสำนักให้พระสนมเอกเจิ้งฟัง และมักจะพร่ำบ่น แต่ก็นับเป็นเวลาที่ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงสบายพระทัยที่สุด


“ไทเฮาทรงเป็นห่วงแผ่นดินหมิง ก็เพราะเป็นห่วงฝ่าบาท”


พระสนมเอกเจิ้งกล่าวอย่างอ่อนโยน ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ พยักพระพักตร์ ครู่หนึ่งจึงตรัสว่า


“หวังทงสร้างความชอบใหญ่เช่นนี้ เราไม่รู้ว่าควรพระราชทานอันใดให้ดี พวกนั้นก็เอาแต่พร่ำบ่นว่าให้ระวังป้องกัน เราก็คิดว่ามีเหตุผล เรื่องเช่นนี้ ไม่สบายใจเลย รู้สึกผิดอยู่เรื่อย”


“ฝ่าบาท อย่างไรฝ่าบาทก็ต้องทรงคิดถึงใต้หล้า เรื่องส่วนตัวบางครั้งก็เป็นเรื่องเล็ก”


ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายพระพักตร์แย้มสรวล ตบพระหัตถ์พระสนมเอกเจิ้งเบาๆ ยามนี้ ด้านนอกก็มีเสียงตบเรียกประตูเบาๆ  จากนั้นก็รายงานว่า


“ฝ่าบาท หวังทงกลับถึงเมืองหลวงแล้ว!”

 

 

 


ตอนที่ 795

 

ชัยชนะทั้งหมดล้วนเป็นของฝ่าบาท

โดย

Ink Stone_Fantasy

เพราะพระสนมเอกเจิ้งทรงพระครรภ์ เพื่อไม่ให้ตกพระทัยกับเรื่องใด ยามขันทีรายงานก็ให้ใช้มือตบเรียกประตูเบาๆ  ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่ยามคุยกับพระสนมเอกเจิ้ง ก็มีเพียงเจ้าจินเลี่ยงที่มีสถานะพอจะรายงาน


เสียงไม่ดังนัก คนในห้องได้ยินชัดเจน แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กับพระสนมเอกเจิ้งก็ยังอึ้งอยู่ ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไปก่อนจะตรัสถามว่า


“ผู้ใด?”


“หวังทง ใต้เท้าหวังกลับมาแล้ว เพิ่งมาถึงเมืองหลวง พอลงจากหลังม้าก็เข้าวังมาถวายฎีการายงาน”


สองพระองค์ในห้องรู้สึกตกใจ หวังทงกลับถึงเมืองหลวงแม้ไม่เรียกว่าเร็วราวเทพ แต่ทัพใหญ่วันหนึ่งเดินทางได้ 30-40 ลี้ก็ว่าเร็วแล้ว หากหวังทงทิ้งทัพ แล้วม้าเร็วมา ก็คงเป็นเวลานี้


“นำฎีกาเข้ามา!”


ฮ่องเต้ว่านลี่รีบรับสั่ง ด้านนอกรับคำ เจ้าจินเลี่ยงนำฎีการีบเดินเข้ามาในห้อง พอเปิดประตู ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เห็นจางเฉิงด้านนอกที่เร่งฝีเท้ามาทางนี้


ในห้อง ฮ่องเต้ว่านลี่เปิดฎีกาออกอ่านไปมา ก่อนจะหันไปตรัสว่า


“พระสนมพักก่อน เราจะไปพบหวังทง”


พระสนมเอกเจิ้งแม้สุขภาพไม่ดีนัก แต่ก็มองออกวว่าฮ่องเต้ว่านลี่อารมณ์ดีขึ้นมาก หลายวันนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่แม้จะอยู่กับตนสนทนาสบายๆ แต่อย่างไรก็เหมือนมีอะไรในพระทัย ตอนนี้ทรงคลายกังวลไปมาก


“ฝ่าบาทราชกิจสำคัญ ไม่ต้องห่วงหม่อมฉันเพคะ”


**************


ในวังหลวง แม้เป็นหวังทงขุนนางใกล้ชิดฝ่าบาท ก็ไม่อาจบอกว่าจะเข้าก็เข้าได้ พอถวายฎีกาเข้าไป ก็รออยู่นอกวัง


ทว่าองครักษ์ในวังและขันทีต่างรู้จักหวังทงว่าสถานะใด และรู้ว่าความดีความชอบในตอนนี้จะมีอนาคตเช่นไร


แม้ว่าตอนนี้นอกวังจะลือกันสนั่นไปทั่ว แต่อย่างไรก็แค่ข่าวลือ ในความเป็นจริงที่เห็นกันนั้น ใต้เท้าหวังยังคงเป็นขุนนางสร้างความชอบใหญ่ผู้มีอนาคตไกลประมาณมิได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขุนพลหลี่ที่มาพร้อมกับใต้เท้าหวังผู้นี้ นายท่านน้อยนี้เป็นขุนพลคนโปรดที่สุดของฝ่าบาท โปรดดังน้องชายแท้ๆ


คอยหน้าประตูก็ไม่ได้ลำบากอันใด กองกำลังสังกัดวังหลวงจัดหาที่ให้พักรอ ยังมีขันทีไม่รู้ว่ายกชามาจากที่ใด รอคอยอย่างสบายยิ่ง


หลี่หู่โถวมองกำแพงวังสูงเด่น หน้าตาดูตื่นเต้น กระซิบว่า


“พี่หวัง นอกจากถานปิงและถานเจี้ยน ขุนพลตระกูลถานที่เหลือก็อยู่ต่อที่เมืองกุยฮว่าเฉิง ที่นั่นแม้ไม่เลว แต่ไหนเลยจะเทียบเมืองหลวงและเทียนจินได้”


หวังทงหันไปมององครักษ์วังหลวงที่กำลังตรวจสอบลังที่นำมาด้วย ส่ายหน้ากล่าวว่า


“คนเราล้วนมีอุดมการณ์ของตน ถานปิงและถานเจี้ยนหากไม่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติในสำนักบูรพากับองครักษ์เสื้อแพร ครั้งนี้ดีไม่ดีก็อาจอยู่ต่อที่นั่นเช่นกัน”


กลับจากเมืองกุยฮว่าเฉิงมา หวังทงมักรู้สึกไม่ชิน เพราะไม่มีถานเจียงข้างกาย ทัพใหญ่จากเมืองกุยฮว่าเฉิงตอนนั้น ถานเจียงมาขอพบหวังทง


“นายท่าน พวกข้าน้อยติดตามนายท่านมาผ่านวันเวลาดีๆ มามากมาย ตอนนี้อายุมากแล้ว ควรหาที่พักยามชราได้แล้ว ตอนนั้นนายท่านถานอยู่เหนือ วันๆ ก็คิดแต่จะปราบพวกนอกด่านให้สิ้น คิดไม่ถึงว่านายท่านมาจัดการเรียบร้อยได้ ตอนนี้ครอบครองเมืองกุยฮว่าเฉิงได้ แผ่นดินหมิงตอนเหนือย่อมสงบสุขไปครึ่งหนึ่ง  ตอนนี้คนของนายท่านก็เก่งกล้าสามารถกันมาก พวกข้าน้อยพี่น้องคงไม่ได้ใช้งานอันใดมากแล้ว จึงขออยู่เมืองกุยฮว่าเฉิงฝึกกองกำลังชาวบ้าน ช่วยเรื่องปกป้องเมือง”


กล่าวเช่นนี้ หวังทงนอกจากได้แต่มีท่าทีบอกไม่ถูกแล้ว ก็หาเหตุผลรั้งตัวไว้ไม่ได้ ร้านสามธาราตั้งในเมืองกุยฮว่าเฉิงสร้างระบบผู้คุ้มกันใหญ่ อย่างไรก็ต้องหาคนที่ไว้ใจได้มานำกำลังและฝึกฝน คนตระกูลถานเป็นกลุ่มที่เหมาะที่สุด


ถานต้าหู่และถานเอ้อร์หู่ที่ขอมาติดตามหวังทงก็เป็นอีกรุ่นของตระกูลถานแล้ว แต่ลูกโตแล้ว ย่อมไม่อาจรั้งพวกเขาไว้ได้ หวังทงย่อมดูแลให้ดีที่สุด ครอบครัวที่เหลือก็รับตัวมา


การจากกันเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ หวังทงยังพอทำใจให้ชินได้ ทว่าหลี่หู่โถวกลับทำใจไม่ได้ ตลอดทางมาอารมณ์จึงไปปลอดโปร่งนัก


กำลังคุยกันอยู่นั้น ก็มีคนเร่งฝีเท้าเดินออกมาจากในวัง ขันทีกับองครักษ์ด้านนอกรีบลนลานเข้าไปคำนับ ‘โจวกงกง’โจวอี้ในชุดลายงูใหญ่สีแดง พอเห็นก็รู้ว่าเพิ่งออกมาจากที่ทำการในวัง พอเห็นหวังทง สีหน้าโจวอี้ก็ตื่นเต้นดีใจมาก รีบก้าวเท้าเข้าไป กล่าวว่า


“น้องหวัง…….ใต้เท้าหวัง …….ฝ่าบาทรออยู่พระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน ตามพวกข้ามา!”


ต่อหน้าทุกคน เกือบหลุดเรียก ‘น้องหวัง’ ออกมา ดีได้สติหยุดทัน เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นการเป็นงานทัน สองคนเดินเข้าประตูวังไป ด้านหลังมีขันทีสิบกว่าคนเดินลากหีบใบใหญ่ตามมา


พวกเขาเดินอยู่ด้านหน้า ขันทีย่อมรู้งานเดินห่างไกลสักหน่อย โจวอี้กล่าวว่า


“น้องหวังขึ้นเหนือไปครานี้ ทำให้พี่เป็นห่วงยิ่งนัก วันนี้ได้เห็นก็รู้สึกวางใจลงได้”


หวังทงยิ้ม หลี่หู่โถวหัวเราะร่ารับคำว่า


“โจวกงกง ได้ยินว่าพวกเราไปสวามิภักดิ์ศัตรูใช่หรือไม่ ได้ยินว่าพวกเราแพ้ใช่หรือไม่”


โจวอี้ยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า


“วันนี้ได้เห็นเจ้าสองคนตัวเป็นๆ ก็วางใจได้แล้ว ฝ่าบาทก็พระทัยร้อนอยากพบพวกเจ้าเช่นกัน!”


ก้าวจบ เดินขึ้นหน้าไปสองก้าว โจวอี้กลับลดเสียงลง กล่าวจริงจังว่า


“ความชอบมากย่อมสะเทือนนาย หลักการนี้น้องหวังย่อมเข้าใจดี เจ้าตอนนี้เป็นขุนนางบู๊ฝ่ายใน กองกำลังด้านนอกพวกนั้นไม่มีค่าอันใด ควรส่งมอบก็ส่งมอบเสีย ไปเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร จึงเป็นตำแหน่งแห่งวาสนาชั่วชีวิต”


หวังทงพยักหน้าหงึก สีหน้ายิ้มแย้มกล่าวว่า


“ขอบคุณพี่โจวที่เป็นห่วง ข้าเดิมไร้อำนาจทหาร ก็ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ไยจึงโยงไปมากขนาดนั้น ช่างเหลวไหลน่าขันสิ้นดี ทว่ามีคำกล่าวว่า สามคนกล่าวย่อมราวกับเสือร้าย ข้าจึงต้องรีบกลับมา”


ได้ยินหวังทงว่าเช่นนี้ โจวอี้ก็ผ่อนลมหายใจ กระซิบว่า


“ฝ่าบาทโดดเดี่ยวองค์เดียว เป็นหนึ่งเดียวในใต้หล้า ใกล้ชิดสนิทมากเพียงใด แต่บางเรื่องก็แตะต้องไม่ได้ หรือแม้กระทั่งให้ทรงสงสัยก็ไม่ได้ ไม่เช่นนั้น….”


“พี่โจวกล่าวกับข้าเช่นนี้ ข้าจะจดจำไว้ ขอบคุณอย่างมาก”


“เรารุ่งเรืองเป็นหนึ่งเดียว ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ รอเข้าเฝ้าฝ่าบาทคิดก่อนว่าจะกล่าวเช่นไร! เรื่องนี้บางทีอาจสำคัญกว่าเข้าตีเมืองกุยฮว่าเฉิง”


พระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินห่างจากประตูวังไม่ไกล  ด้านหน้าสามารถมองเห็นเจ้าจินเลี่ยงที่มารออยู่ เทียบกับโจวอี้ที่รอบคอบแล้ว ในวังเจ้าจินเลี่ยงมักถูกเอาใจจึงดูสบายๆ กว่ามาก เห็นพวกหวังทงมา ก็รีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา ถูกหลี่หู่โถจับไปกอด หัวเราะว่า


“ไม่ได้เห็นกันแค่ครี่งปี เจ้าสูงขึ้นไม่น้อย ทว่าไม่ได้สูงเร็วเหมือนข้า!”


พวกเขาอายุยังน้อย กำลังอยู่ในช่วงยืดตัว ที่อยู่แวดล้อมตอนนี้ก็กินดีฝึกดีกว่าคนทั่วไปมากนัก ดังนั้นจึงสูงกว่าเด็กทั่วไป หลี่หู่โถวโตสูงเท่าผู้ใหญ่แล้ว


หวังทงเอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าจินเลี่ยง คว้าทองก้อนรูปนกอินทรีออกมาให้ไป ยิ้มกล่าวว่า


“ของเล่นจากทุ่งหญ้านอกด่าน เอาไปเล่น”


เจ้าจินเลี่ยงรับไป หัวเราะขอบคุณ รีบกล่าวว่า


“ใต้เท้าหวัง พี่หลี่ ฝ่าบาทกำลังทรงรออยู่ด้านใน ขอเชิญท่านทั้งสองรีบไป!”


พอเห็นหลี่หู่โถวจะควักของเล่นต่างๆ ออกมา หวังทงเคาะหัวหลี่หู่โถวไปทีหนึ่งกล่าวว่า


“เดี๋ยวค่อยให้ก็ได้ รีบเตรียมตัวเข้าเฝ้าก่อน”


ก็ไม่เห็นมีอันใดต้องเตรียม สองคนในชุดขุนนาง ขันทีนำทางเข้ามาจัดชุดให้ คนด้านหลังเริ่มเข้ายกลังไม้


โจวอี้กับเจ้าจินเลี่ยงนำทาง เดินมาถึงประตูพระที่นั่ง เปิดประตูออก จางเฉิงยืนอยู่ที่นั่นด้วย หวังทงส่ายหน้าหากรีบสาวเท้าเข้าไปหากล่าวว่า


“ไหนเลยบังอาจให้จางกงกงมารอรับ สมควรตายจริงๆ”


ขันทีในสำนักอาชาหลวงและสำนักส่วนพระองค์พร้อมทั้งเจ้ากรมหกกรมกองก็ออกมาต้อนรับ จากนั้นขันทีสำนักส่วนพระองค์รอรับด้านใน แม้ว่าล้วนเป็นขุนนางในวัง แต่ก็เรียกได้ว่าต้อนรับไม่ธรรมดาอยู่สักหน่อย พอเห็นหวังทงท่าทางเกรงใจ จางเฉิงก็มีสีหน้าเบาใจ เอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า


“ฝ่าบาทรอพวกเจ้าอยู่ รีบตามข้าเข้าไป!”


กล่าวจบก็เงียบไปครู่หนี่ง เห็นขันทีด้านหลังแบกหีบไม้เข้ามาก็ตกใจ หวังทงยิ้มกล่าวว่า


“นำมาก่อนสักเล็กน้อยเพื่อถวายฝ่าบาท อีกส่วนของท่านไว้รอทัพใหญ่เข้าเมืองมาค่อยว่ากัน”


จางเฉิงยิ้มพยักหน้าหันไปนำทาง เดินไปสองสามก้าว จางเฉิงเหมือนว่าพูดกับตนเองเหมือนว่าพูดกับหวังทงว่า


“รู้จักรุกถอย จึงจะเป็นหลักการแห่งการรักษาอำนาจวาสนา”


************


“เจ้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ไม่ควรจะตามกองทัพเข้าเมืองมาฉลองชัยหรอกหรือ เหตุใดจึงกลับมาตอนนี้เล่า!?”


“ราชโองการฝ่าบาทให้กระหม่อมนำกำลังปราบกองโจรม้า ป้องกันพวกนอกด่าน เรื่องพวกนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว เบี้ยพระราชทานเชื้อพระวงศ์ก็เรียบร้อย กระหม่อมตอนนี้เป็นเพียงผู้แทนพระองค์ เป็นเพียงรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ทัพใหญ่เดินทางช้า กระหม่อมจึงกลับเมืองหลวงมาก่อน จึงได้รีบเร่งเดินทางมา!”


นายบ่าวซักถามตอบคำถาม ฮ่องเต้ว่านลี่เพียงแค่ส่ายหน้า ตรัสว่า


“เหลวไหล เหลวไหล เราเตรียมต้อนรับเจ้ากับกองทัพใหญ่เข้าเมือง ให้พวกขุนนางและราษฎรทั้งมวลได้ชื่นชมพระบารมีแม่ทัพแผ่นดินหมิง เจ้ากลับกลับมาเสียก่อน สิ่งที่ตั้งใจย่อมไม่อาจทำได้?”


ฮ่องเต้ว่านลี่แม้ว่าบ่น แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอพระทัยอันใด หวังทงกล่าวต่อว่า


“ฝ่าบาทเป็นแม่ทัพแห่งแผ่นดินหมิง กองทัพแผ่นดินหมิงได้รับชัยทั้งหมดก็ย่อมเป็นความชอบฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาทนำทัพเข้าเมือง ต่อหน้าขุนนางและราษฎรทั้งมวล ให้ได้ชื่นชมพระบารมีฝ่าบาท ชื่นชมบารมีแม่ทัพแผ่นดินหมิง”


ยามกล่าววาจานี้ หวังทงท่าทางหนักแน่น หลายคนในห้องก็พากันอึ้งไป หลายคนยังไม่ทันได้สติ


“เหลวไหล ตอนนี้หวังทงเจ้าสถานะนี้แล้ว เหตุใดยังทำเหมือนตอนอยู่ลานฝึกหู่เวย”


ฮ่องเต้ว่านลี่ปากบ่นไป แต่สีหน้ายิ้มแย้มยิ่ง


*************


พอนำของในลังไม้ออกมา ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยิ่งดีพระทัย อารมณ์ดียิ่ง ในวังพระราชทานงานเลี้ยง ทุกคนยินดีปรีดาเต็มที่ พอก่อนปิดประตูวัง หวังทงกับหลี่หู่โถวจึงได้กลับไป


พอเดินออกจากวังมาได้สักระยะก็ไปรวมตัวกับทหารติดตามที่มารอรับ หลี่หู่โถวสนุกในวังไม่น้อย เดินไปไม่กี่ก้าว ก็คิดจะพูดกับหวังทง หันไปมอง ก็เห็นสีหน้าหวังทงเคร่งเครียด รอยยิ้มจางหายสิ้น หลี่หู่โถวอึ้งไม่ไม่กล้าส่งเสียงพูด เดินต่อไปอีกสักระยะ ทหารก็มารอรับ

 

 

 


ตอนที่ 796

 

 โมโหคุกรุ่น

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังออกจากวังมา ฟ้าก็มืดแล้ว หวังทงสถานะขุนนางคนโปรดเดินตามท้องถนน ด้านหน้าย่อมมีทหารถือโคมไฟนำทาง ไม่เช่นนั้น กองลาดตระเวนองครักษ์เสื้อแพรกับศาลอาญาใหญ่ก็มีหน้าที่เข้ามาสอบถาม


หลี่หู่โถวเป็นขุนพลใหญ่ อายุน้อย แต่ผ่านประสบการณ์มามาก เขากับหวังทงร่วมเร่งเดินทางเข้าเมืองหลวงมา ในใจก็รู้สึกกังวลบอกไม่ถูก แม้ว่าตลอดทางหวังทงจะดูปกติ มีคุยเล่นไม่ขาดก็ตาม


หวังทงอยู่ในวังกับโจวอี้และจางเฉิงล้วนมีสีหน้ายิ้มแย้ม ในวังเข้าเฝ้าฮ่องเต้ว่านลี่  บรรยากาศก็ผ่อนคลายสนุกสนานเสียงหัวเราะไม่ขาด ทุกคนล้วนวิพากษ์วิจารณ์หวังทงว่าได้รับชัยชนะใหญ่ครั้งนี้ได้อย่างไร หลี่หู่โถวก็พร้อมหัวเราะยิ้มแย้มตามไปด้วย วิจารณ์ตามไปด้วย แต่อย่างไรเขาก็ยังรู้สึกว่ามีอันใดไม่ถูกต้องนัก


พอออกนอกประตูวังมา เห็นสีหน้าเคร่งเครียดหวังทง หลี่หู่โถวก็รู้สึกเครียดตาม เดินไปไม่กี่ก้าว ก็หันไปมอง เห็นหวังทงมีสีหน้าเหมือนกับตอนขามา เหมือนว่าเมื่อครู่ที่เคร่งเครียดนั้นตนเองรู้สึกไปเอง นี่ยิ่งทำให้หลี่หู่โถวไม่สบายใจกว่าเดิม แต่เขาเองก็รู้ว่าไม่ควรถาม และไม่อาจบอกผู้ใด


“หู่โถว ทัพใหญ่อีกหลายวันกว่าจะเข้าเมืองมา เจ้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว คืนนี้ไม่ต้องมาตามข้า ไปอยู่เป็นเพื่อนบิดาเจ้า เจ้าออกไปทำศึก เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เขาแม้ภายนอกไม่กล่าวอันใด แต่ในใจก็ย่อมเป็นห่วงมากไม่รู้เท่าไร!”


หวังทงบนหลังม้ายิ้มกล่าว หลี่หู่โถวบนหลังม้าเอี้ยวตัวไปรับคำ ยิ้มกล่าวว่า


“พี่หวังก็กลับไปพักผ่อนเร็วหน่อย หู่โถวจะกลับบ้านเลย!”


“ของที่ได้จากสงครามมาก็นำไปให้บิดาเจ้าบ้าง ให้พ่อเจ้าดีใจๆ !”


หลี่หู่โถวนำทหารติดตามจากไปกองหนึ่ง ได้ยินหวังทงบอกมา ก็ได้แต่โบกมือไหวๆ บนหลังม้า ยิ้มกล่าวว่า


“พี่หวังให้ก็เหมือนกัน วันนี้ข้าไม่อยากยุ่งยากแล้ว!”


หวังทงยิ้มส่ายหน้ามุ่งไปยังจวนที่ถนนทักษิณ พวกเขาเดินอยู่บนท้องถนน เป็นที่สังเกตของคนไม่น้อย


พอฟ้ามืดลง ราษฎรล้วนต้องอยู่บ้าน พวกที่ออกมาตามท้องถนนได้มีแต่ทหารลาดตระเวนเท่านั้น  แม้มีพวกคหบดีใช้ชีวิตกลางคืนก็ย่อมต้องรู้ว่าหวังทงเป็นใคร พอเห็นก็ยังต้องอึ้ง รอให้หวังทงเดินผ่านไป จึงรีบสั่งให้คนไปแจ้งข่าวมิตรสหาย หวังทงกลับถึงเมืองหลวงแล้ว


“ใต้เท้า  ใต้เท้าหลี่ว์ศาลซุ่นเทียน นายกองพันหลี่สำนักรักษาความสงบ ยังมีท่านหยาง บอกว่า เพื่อไม่ให้เอิกเกริก พวกเขารอพบใต้เท้าอยู่ที่จวน ไม่มาต้อนรับที่นี่แล้ว”


หวังทงบนหลังม้าพยักหน้า จวนเขาอยู่บนถนนทักษิณห่างจากวังหลวงไม่ไกลนัก ไม่นานก็ไปถึง เส้นทางสั้นๆ เมื่อครู่ตอนนี้หน้าประตูก็มีสายสืบมายื่นหน้ายื่นตาจับตามองแล้ว


พอโดดลงจากหลังม้า หวังทงโยนแส้ให้ทหารติดตามข้างกาย สั่งการไปว่า


“หากไม่ใช่ชาวบ้านบนถนนสายนี้ ไม่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ที่ทำการที่นี่ ให้ลงแส้ไล่ไปให้หมด หากคิดต่อต้าน ก็จับไปขังคุกที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร พรุ่งนี้สอบสวน”


ทหารติดตามอึ้งไป แต่ก็รับคำสั่งเสียงดัง ก่อนจะรีบออกไปปฏิบัติ คนงานและผู้คุ้มกันจวนหวังทงกลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่กันได้ร่วม 200 ล้วนเคยเห็นการสังหารเลือดมากันหมด พวกผีสืบความด้านนอก  พวกที่แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ยังไม่รู้ตัว ก็ถูกทหารมาล้อมไว้แล้ว


หน้าประตูจวนหวังทงมีเสียงร้องเรียกหาพ่อหาแม่ดังไปทั้งแถบ มีคนตะโกนดังว่า ‘ข้าเป็นคนของ…’ คนพวกนี้ก็ย่อมยิ่งโดนหนัก เดิมลงแส้ไม่กี่ที แต่พอตะโกนออกมา ก็มักถูกฟาดกลิ้งไปกับพื้น ก่อนจะมัดตัวออกไป


รอนแรมข้างนอกแม้ว่าไม่ได้กินดีอยู่ดี นำทัพจับศึกมานานเช่นนั้นก็ไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายอันใด แต่พอกลับมาถึงจวน  หวังทงก็รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง


เขาอยู่นิ่งอยู่หน้าประตู มองๆ เข้าไปด้านใน ทหารติดตามและผู้คุ้มกันก็ไม่กล้ารบกวน ระวังภัยรอบๆ ไม่ให้มีพวกตามท้องถนนมาทำให้ต้องรำคาญใจ หวังทงพึมพำเบาๆ ว่า


“ทำเพื่อแผ่นดินหมิง ทำเพื่อความสุขประชาราษฎร์ หรือว่าข้าทำผิดไปแล้ว?”


หวังทงพึมพำกับตนเองเบายิ่ง ถนนวุ่นวายเช่นนี้ ผู้ใดจะทันได้สังเกต


*************


“ท่านหยางเตือนได้ถูกต้อง หลังชัยชนะใหญ่ หลากหลายความยินดี ความดีความชอบเป็นที่สะดุดตา ข้าเองก็รู้สึกได้ใจลืมตัวไปบ้างเหมือนกัน!”


พอกลับถึงจวน อย่างไรก็ต้องระบายกับคนกันเอง หวังทงกลับมาก่อนกำหนด สบายใจหรือไม่ก็พูดยาก พวกหยางซือเฉินช่วยพูดปลอบให้คิดตก คำตอบหวังทงก็ง่ายมาก


พอพูดจบ เห็นบรรยากาศในห้องอึมครึม หวังทงยิ้มนั่งลง กล่าวว่า


“เมืองกุยฮว่าเฉิงทางนั้นหนาวกว่าเมืองหลวงไม่น้อย แต่ก็มีความชื้นมากว่าเมืองหลวงสักหน่อย นี่เป็นเรื่องน่าแปลก!”


“น้องหวังไปชายแดนเหนือ ข้าเองก็อ่านบันทึกก่อนๆ เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นพื้นที่ริมแม่น้ำ  เป็นสบแม่น้ำ ย่อมไม่ขาดแคลนน้ำ”


หลี่ว์วั่นไฉยิ้มกล่าว ทุกคนพยายามทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง หวังทงยิ้มพยักหน้า สีหน้าเคร่งอยู่สักหน่อย กล่าวว่า


“นำทหารออกทุ่งหญ้า โจมตีเผ่าอันต๋า เรื่องนี้ข้ามั่นใจอยู่ หลายวันก่อนเอกสารจากสำนักรักษาความสงบเอ่ยถึง ข่าวลือเมืองหลวงถึงขั้นนี้ได้ ตอนข้านำทัพออกศึกไม่ได้กังวลอันใดมากนัก ทว่าได้ชัยชนะใหญ่กลับมา สถานการณ์ตอนนี้กลับทำให้ข้ารู้สึกอันตรายกว่าเมื่อก่อน!”


กล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดไป หวังทงหยิบถ้วยชาออกมาทับเอกสารปึกหนึ่งไว้ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า


“สถานการณ์ยามนี้ละเอียดอ่อนที่สุด ข่าวลือป้ายสี จริงเท็จไม่รู้กัน แต่ขอเพียงมีคนได้ฟังก็จะนำไปคิด คิดนานวันเข้า คนพูดกันมากเข้า เท็จก็กลายเป็นจริงได้”


พวกหยางซือเฉินพากันพยักหน้า หยางซือเฉินกล่าวว่า


“ที่จริงใต้เท้านำทัพกลับเมืองหลวงพร้อมชัยชนะเป็นเรื่องมีเกียรติ แต่ข่าวลือแพร่สะพัดทั่วเมืองหลวงตอนนี้ ตอนใต้เท้านำทัพเข้าเมืองมา รอตรวจกองทัพ รอต้อนรับก่อนเข้าเมือง ในสายตาคนที่คิดการไม่ดีเกรงว่าคงเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นได้”


“ท่านหยางกล่าวได้ไม่ผิด ดังนั้นพอมีข่าวลือเกิดขึ้น ทุกคนก็ร่วมกันเขียนจดหมายถึงน้องหวัง  จากนั้นก็ให้สำนักรักษาความสงบสืบหาต้นตอข่าวลือพวกนี้”


หวังทงยกชาขึ้นดื่ม วางลงบนโต๊ะเสียงดังอยู่ หวังทงแค่นยิ้มกล่าวว่า


“กล่าวหาข้าความดีความชอบเหนือนาย กล่าวหาข้าคิดการไม่ซื่อ ก่อนข้าไป กล่าวหาข้าว่าทำการพลการ ไม่คิดถึงชีวิตทหารนับหมื่น กล่าวหาข้าว่าทำให้แผ่นดินหมิงตกในสถานการณ์อันตราย ทำอย่างไรก็ผิด พวกขุนนางระดับห้าลงไปหาเรื่องส่งเสียงเอะอะ พวกขุนนางระดับห้าขึ้นไปก็ทำเป็นนิ่งเงียบไม่ยับยั้ง บ้างก็ยังถึงกับส่งเสริมอีก ก็เพียงเพราะว่าข้าสร้างความชอบใหญ่ วันหน้าทำอันใดย่อมมีน้ำหนักมาก ไม่เห็นหัวพวกเขา….ทุกคนล้วนเป็นขุนนางแผ่นดินหมิ เหตุใดจึงได้………”


พูดไป ๆ หวังทงก็เริ่มสะเทือนอารมณ์ ทว่าก็ระงับไว้ทัน สูดลมหายใจเข้าลึกสองสามที หลี่ว์วั่นไฉคลี่พัดออกพัดไปมาสองสามที ถอนหายใจกล่าวว่า


“น้องหวัง มีบางเรื่องไม่อาจกล่าวกระจ่างได้ก็อย่าได้กล่าวเลย น้องหวังตอนนี้ยิ่งยิ่งใหญ่ คนข้างกายก็ยิ่งมาก พวกเราอำนาจมาก ย่อมมีคนอำนาจน้อยลง ก็ย่อมคิดอิจฉา ก็ย่อมคิดโจมตี”


หวังทงแค่นเสียงเย็น หยางซือเฉินข้างๆ คิดไปมาก็กล่าวว่า


“ใต้เท้า ทุกเรื่องต้องรอบคอบให้มากไว้ก่อน อย่างไรตอนนี้คนมากมายต้องพึ่งพาใต้เท้าปกป้อง หากใต้เท้าเป็นอันใดไป พวกเขาย่อมกระทบกระเทือนไปด้วย”


อยู่กับหวังทงมานาน ล้วนรู้ว่าแม้หวังทงอายุน้อย แต่ก็มีความรับผิดชอบที่หาได้ยาก อยากบอกว่านำทัพออกนอกด่านชายแดนเหนือ เรื่องเช่นนี้ไม่ได้ประโยชน์อันใด แพ้มากลับมีโทษล้างตระกูลอีก ชนะมา สถานการณ์ก็เป็นเช่นตอนนี้  นำภัยมาถึงตัวได้ง่าย แต่หวังทงก็พูดได้ถูกต้อง  การรบครานี้สามารถสร้างความสงบสุขให้ชายแดนตอนเหนือของแผ่นดินหมิงไปได้อีกนานปี สามารถทำให้ทหารชายแดนได้มีชีวิตที่สงบสุขและสบายไปกว่าครึ่ง


จึงเลือกปลอบใจโดยไม่พูดถึงเรื่องกระทบเสียหายส่วนตัว แต่ยกเรื่องที่ทุกคนพึ่งพาวาสนารุ่งเรืองไปพร้อมกับหวังทง เป็นตายร่วมกัน ก็ย่อมสามารถเตือนสติหวังทงได้


หวังทงพยักหน้า โบกมือ เหมือนว่ายกเรื่องนี้ทิ้งไป เริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอื่นว่า


“กลับมาถึงเมืองหลวง ก็ต้องจัดการข่าวลือเหลวไหลพวกนี้ก่อน ทัพใหญ่นำไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย หลั่งเลือดและหยาดเหงื่อ ด้านหลังกลับขยับปากใส่ร้ายป้ายสีเหลวไหลอย่างไม่เกรงกลัว ขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด ไม่ใช่ให้คนพวกนี้เอามาใช้งานเช่นนี้ สำนักรักษาความสงบและที่อื่นๆ ตรวจสอบอันใดได้บ้าง ลองเล่ามาหน่อย”


หลี่เหวินหย่วนที่เอาแต่เงียบ ยามนี้กล่าวว่า


“ข่าวลือว่าทัพใหญ่มาถึงเมืองเป่าติ้งไร้ระเบียบวินัย รังแกสตรี สังหารราษฎร เริ่มมาจากร้านน้ำชาแห่งหนึ่งในเขตทักษิณ คนงานร้านน้ำชาเล่าว่า พวกที่มาดื่มน้ำชาที่ร้าน เป็นพ่อค้าเครื่องประดับสองคน ไปตามร้านน้ำชาและหอสุราในเมืองหลวง ข่าวนี้เหมือนว่ามาจากวันนั้นทั้งหมด  ล้วนเป็นเถ้าแก่คนงานร้านพวกนั้นเล่ากัน”


หวังทงฟังอย่างละเอียด ยามนี้แทรกขึ้นว่า


“ดูท่ามีคนจัดฉากปล่อยข่าวลือ ร้านค้าพวกนี้เบื้องหลังเป็นผู้ใดเป็นเจ้าของกัน”


“เจ้าของสืบได้ยาก หลักฐานที่แจ้งไว้ที่สำนักรักษาความสงบตอนจ่ายเงินค่าป้ายสงบสุขนั้นไม่ใช่คนเดียวกัน หลายวันก่อนจึงได้ข่าวมาว่า น่าจะเป็นอู่ชิงโหว……”


“คนตระกูลหลี่ยังไม่สิ้นความพยายามอีกหรือนี่!”


หวังทงยิ้มเยียบเย็น กล่าวต่อว่า


“ข่าวลือสร้างความดีความชอบเหนือนาย นำทัพออกขึ้นเหนือด้วยคิดการไม่ซื่อพวกนี้ เป็นผู้ใดปล่อยข่าว?”


“ใต้เท้า หลังชัยชนะใหญ่ ร้านค้าแต่ละแห่งล้วนมีบัณฑิตกลุ่มหนึ่งไปแอบเล่าเรื่องพวกนี้ แต่พวกที่กล้ายื่นฎีกาก็น่าจะหลังวันที่ 15 เดือนสี่ ตรวจสอบแล้ว จุดเริ่มต้นก็พบง่ายมาก ก็เป็นขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่ เสนาบดีกรมปกครองเหยียนชิง พวกที่ยื่นฎีกาและกระจ่ายข่าวก็เป็นพวกเขาที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ …….”


หยางซือเฉินเสริมขึ้นว่า


“เหยียนชิงที่กำลังจะกลับบ้านเกิดแล้วและลูกศิษย์เหยียนชิงทั้งหลาย  ข่าวจากในวังและในราชสำนักล้วนยืนยันได้”


หวังทงแค่นหัวเราะ เคาะโต๊ะน้ำชากล่าวว่า


“เพราะคนพวกนี้มักทำให้อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก อยากจะหัวเราะก็ไม่ได้ เจ้าคิดว่าเขาริษยาพวกมีความชอบ เขากลับคิดว่าตนเองทำเพื่อแผ่นดินและชาวประชา ในเมื่อทุกคนล้วนทำเพื่อแผ่นดิน เหตุใดจึงได้เคลื่อนไหวรุนแรงเช่นนี้!?”


คนรอบหวังทงไม่รู้จะรับคำเช่นไร พอเกี่ยวพันไปถึงการต่อสู้ในราชสำนัก ไปถึงตำแหน่งขุนนางบุ๋นบู๊  มันเริ่มซับซ้อนเกินไป หวังทงเงียบไปก่อนแค่นเสียงเย็นกล่าวว่า


“พวกเลอะเลือนนี้ส่งสัญญาณเตือนไปก็พอ ที่เหลือให้ถือหัวมาไถ่โทษ!”

 

 

 


ตอนที่ 797

 

ตกใจแตกฮือ จับต้นตอข่าวลือ

โดย

Ink Stone_Fantasy

วันที่ 12 เดือนห้า หวังทงออกจากหน้าประตูสำนักองครักษ์เสื้อแพร คืนวานเข้าวังและออกจากวังมา คนที่ได้เห็นก็ไม่มากนัก คนที่ได้เห็นหวังทงย่อมกระจายข่าวไป บ้างก็คิดว่าไม่จริง หลายคนคิดว่าหวังทงกลับมาก็ย่อมต้องพักผ่อนหลายวันสักหน่อย คงไม่รีบร้อนไปปฏิบัติงานที่ทำการ


ดังนั้นหลังได้เห็นหวังทง คนส่วนใหญ่ล้วนพากันตกตะลึง จากนี้จึงค่อยเข้ามาคำนับทักทาย ข่าวลือส่วนข่าวลือ หวังทงสถานะรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรยังคงอยู่


หวังทงทักทายนุ่มนวล ก้าวเข้าไปด้านใน ยังไม่ทันถึงห้องทำงาน ก็มีนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรผู้หนึ่งรีบวิ่งมา คำนับทักทายมาแต่ไกล


ผู้นี้หวังทงรู้จัก  คนติดตามของผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรลั่วซือกง ด้วยสถานะหวังทงตอนนี้ ลั่วซือกงมาต้อนรับก็สมควร กลับส่งนายกองร้อยมา ตามปกติวิสัยลั่วซือกง นับเป็นเรื่องแปลก


“ใต้เท้าหวัง ผู้บัญชาการลั่วส่งข้าน้อยมาแจ้งข่าวว่า อยู่ๆ รู้สึกเวียนหัว รีบกลับบ้านไปตามหมอมาดูอาการก่อน เรื่องต่างๆ ในสำนักองครักษ์เสื้อแพรมอบให้ใต้เท้าหวังดูแล”


หวังทงขมวดคิ้ว องครักษ์เสื้อแพรเป็นหน่วยงานสำคัญอันดับหนึ่งของราชสำนัก ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรนี้ใครได้มาเป็น ก็ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ แม้บอกว่าตอนนี้หวังทงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเรื่องแน่นอนแล้ว แต่อย่างไรก็ไม่ควรมีละครที่ลั่วซือกงกำลังเล่นอยู่ตอนนี้


เห็นหวังทงขมวดคิ้ว นายกองร้อยผู้นั้นรีบดึงเอกสารสองสามแผ่นออกมามอบให้ พอหวังทงรับไป นายกองร้อยผู้นี้ก็ยิ้มอธิบาย กล่าวว่า


“ผู้บัญชาการลั่วสุขภาพไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่อยากให้เสียการงาน กลับไปก็เขียนฎีกาถวายฝ่าบาทขออำลาจากตำแหน่ง มีเอกสารสองสามฉบับขอใต้เท้าหวังให้ปฏิบัติงานต่างๆ แทน ปิดผนึกอยู่ในห้องทำงานแล้ว ใต้เท้าต้องการ ข้าน้อยจะรีบไปนำมาให้”


บ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎเมือง หน่วยงานอย่างองครักษ์เสื้อแพรระดับนี้มีการเปลี่ยนแปลง ล้วนต้องมีระเบียบ ตระกูลลั่วซือกงเป็นองครักษ์เสื้อแพรมาหลายสมัย กลับมาทำเหมือนเป็นเรื่องเด็กเล่นเสียได้


หวังทงขมวดคิ้วหนักขึ้น แต่ก็ยังรับเอกสารมากวาดตามอง เขียนไว้ว่าตนเองอยู่ๆ ล้มป่วยกะทันหัน หน้ามืดตาลายไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ เกรงทำให้งานเสียหาย ผิดต่อที่ทรงไว้วางพระทัย  ดังนั้นจึงกลับไปรักษาอาการก่อน จากนั้นให้หวังทงปฏิบัติหน้าที่แทนไปก่อน จับเอกสารอ่านไปมา อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเหนียวที่นิ้วมือ ดูให้ดี หมึกยังไม่ทันแห้ง เห็นชัดๆ ว่าเพิ่งเขียนเสร็จไม่นาน


เห็นลายมือก็รู้ว่าเป็นลายมือของคนสนิทลั่วซือกง หวังทงมองนายกองร้อยผู้นี้สองสามที นายกองร้อยผู้นี้ยิ่งก้มหน้างุด สีหน้าพยายามฝืนยิ้ม


“ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปได้แล้ว นำวาจาข้าไปยังผู้บัญชาการลั่ว ให้พักผ่อนรักษาสุขภาพ วันหน้าข้าจะไปเยี่ยม”


ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ นายกองร้อยผู้นั้นรีบยืนขึ้นออกไป ราวกับได้รับการอภัยโทษ หวังทงรู้สึกมึนงง  หันกลับไปมองหยางซือเฉิน หยางซือเฉินส่ายหน้าเช่นกัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด


ลั่วซือกงไปรักษาอาการป่วย รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเหรินต้าถงและผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหยางจั้นก็ไม่เห็นหน้า นับดูแล้วไม่ใช่เทศกาลอันใด หากทุกคนมีธุระพร้อมกันก็บังเอิญเกินไปหน่อยกระมัง


หวังทงเดินเข้าไปในห้องทำงานนั่งลง นายกองร้อยโหวเจินแห่งกองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรก็มาขอพบ ตอนหวังทงเพิ่งมาถึงสำนักองครักษ์เสื้อแพรใหม่ๆ โหวเจินเป็นคนแรกสุดที่เข้ามาใกล้ชิด หวังทงไว้ใจ โหวเจินทำงานได้ว่องไวขยันขันแข็ง มักจะมีข่าวมาแจ้งเสมอ มาส่งข่าวเรื่อยๆ


คนผู้นี้มีภาพเป็นคนหวังทง แต่ตอนหวังทงกลับถึงเมืองหลวงก็กะทันหันมาก โหวเจินไม่รู้ เรียกได้ว่าปกติ ข่าวเมื่อคืนก็ใช่ว่าจะมาถึงเขา เขาไม่รู้ย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่พอหวังทงก้าวเข้าประตูสำนักองครักษ์เสื้อแพร โหวเจินไม่ได้มาต้อนรับ นี่ไม่ค่อยถูกต้องนัก


เมื่อก่อนโหวเจินเข้ามา หวังทงย่อมยิ้มแย้มอยู่มาก หากวันนี้กลับถามเสียงเรียบขึ้นว่า


“กองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรมีเรื่องอันใดหรือ?”


เห็นปฏิกิริยาหวังทง โหวเจินเองก็หนาวเยือกในใจ แต่ก็ยังปรับอารมณ์ได้ไว ยิ้มกล่าวว่า


“ข้าน้อยขอแสดงความยินดีกับชัยชนะยิ่งใหญ่ของใต้เท้าด้วย สร้างความชอบใหญ่เช่นนี้ ฝ่าบาทย่อมพระราชทานรางวัลใหญ่แน่นอน ถึงตอนนั้นใต้เท้ายิ่งใหญ่เรืองยศไปหลายชั่วอายุคน ข้าน้อยขอแสดงความยินดีล่วงหน้า!!”


โหวเจินเองก็รู้สึกได้ว่าท่าทีหวังทงเปลี่ยนไป กล่าวว่าแสดงความยินดีครั้งที่สองนั้น ก็ลงไปคุกเข่าที่พื้นแล้ว ยิ้มแย้มโขกศีรษะ หวังทงพลิกเอกสารในมือไปมา ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง หากถามขึ้น


“ผู้บัญชาการลั่ว วันนี้มาแล้วยัง?”


โหวเจินอึ้งไป ทว่ารีบตอบว่า


“เช้านี้ผู้บัญชาการลั่วมาแล้ว แต่เมื่อครู่รีบออกไปทางประตูหลัง รองเหรินและผู้ช่วยหยางก็เช่นกัน”


หวังทงพยักหน้า เอาเอกสารไปไว้ที่โต๊ะ กล่าวว่า


“เจ้ากลับไปทำงานก่อน มีเรื่องอันใดข้าค่อยตามเจ้ามา”


โหวเจินรู้สึกได้ถึงความเหินห่างของหวังทง แต่ฉีกยิ้มร่าโขกศีรษะคำนับออกไป


พอโหวเจินออกไป หวังทงก็กล่าวกับหยางซือเฉินว่า


“เพิ่งก้าวเข้ามา ทำไมรู้สึกแปลกไปมาก เจ้าไปตามให้คนชงน้ำชามาหน่อย”


หวังทงมีสายเป็นหูเป็นตาในสำนักองครักษ์เสื้อแพร คนพวกนี้ปกติคนนอกไม่รู้ว่าเป็นสายที่หวังทงวางไว้ ในเมื่อไม่รู้ พูดอันใดก็ย่อมไม่ทันระวัง  ข่าวก็ย่อมรวบรวมมาได้


หยางซือเฉินรับคำสั่งออกไป ไม่นาน ด้านนอกก็มีเสียงทักมา องครักษ์เสื้อแพรนายหนึ่งยกน้ำชาเข้ามา พอเห็นแต่งกายแบบทหารทั่วไป คนระดับนี้ในสำนักผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรก็ย่อมเป็นแค่เจ้าหน้าที่รับใช้ ธรรมดาที่สุด ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น


พอทหารเข้ามาปิดประตูลง หวังทงก็ถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อมทันที ทหารผู้นั้นวางชาลงยืนครู่หนึ่งก็รายงานเบาๆ ว่า


“ข้าน้อยไม่บังอาจกล่าววาจาเหลวไหล ไม่รู้ว่าพวกใต้เท้าลั่วซือกงเหตุใดจึงรีบจากไปเช่นนั้น”


หวังทงรู้สึกผิดหวัง คนเบื้องหน้าตอบเป็นกลางๆ ท่าทีปกติ กำลังจะออกไป ก็ได้ยินคนผู้นั้นกล่าวว่า


“ก่อนหน้านี้ข้าน้อยได้ยินใต้เท้าลั่วคุยในห้องน้ำชา ตอนยกเข้าไป มีคนรายงานช่าวลือในเมือง ไม่เป็นผลดีต่อการนำทัพขึ้นเหนือของท่าน ใต้เท้าลั่วกล่าวว่าไม่ใช่เรื่องของทหารในพระองค์ ไม่ต้องสนใจ หลังข้าน้อยได้ยิน ก็ไม่ได้ยินเรื่องพวกนี้อีก และไม่กล้ารับรองได้ วันนี้ใต้เท้าถามถึง ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันหรือไม่”


ได้ยินคนผู้นี้กล่าวเช่นนี้ หวังทงเงียบไปก่อนจะเข้าใจที่มาที่ไปกระจ่าง ยิ้มกล่าวว่า


“เจ้าทำงานได้ไม่เลว สมองคิดกระจ่างดี ปฏิบัติหน้าที่ดีๆ วันหน้าย่อมมีผลประโยชน์ดีๆ ให้เจ้าไม่น้อย!”


ทหารรีบคำนับขอบคุณ รอทหารออกไป หยางซือเฉินเข้ามา หวังทงยิ้มกล่าวว่า


“ท่านหยางทำงานที่สำนักองครักษ์เสื้อแพรนี่ทุกวัน กลับไม่ได้ยินเรื่องราวมากมาย ท่านรู้ไหมว่าพวกลั่วซือกงทำไมจึงรีบไปกัน? ข่าวลือหนาหูใน พวกเขาไม่ไปจัดการ เรื่องนี้มีความรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ ก็ไม่รู้ได้แล้ว”


หยางซือเฉิน พอได้ยินเช่นนี้ ก็รีบคำนับขอรับโทษ สีหน้าละอายใจ หวังทงโบกมือ แค่นยิ้มกล่าวว่า


“คนพวกนี้อยากให้ข้าล้ม หากข้าถูกเบื้องบนระแวง ตำแหน่งย่อมถูกเรียกคืน ดังนั้นสิ่งที่ไม่เป็นผลดีต่อข้าพวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ไปจัดการ ยังแอบส่งเสริมลับหลังอีก ตอนนี้เห็นข้ากลับมา รู้ว่าทุกอย่างไม่เป็นผล เกรงว่าข้าจะตำหนิต่อหน้า ดังนั้นจึงหลบไปก่อน!”


************


ข่าวหวังทงกลับมาแพร่กระจายวงไม่กว้างนัก  พวกขุนนางบัณฑิตที่อ้างตัวเป็นคนรู้ไปหมดแท้จริงแล้วเป็นพวกการข่าวไม่ได้เรื่องกลุ่มหนึ่ง  พวกบัณฑิตที่ยังไม่มีตำแหน่งไม่ต่างกับพวกราษฎรที่ไม่มีความชอบ


ตอนนี้เรื่องที่ราษฎรคุยกันมากที่สุดก็คือ ชัยชนะใหญ่ปราบชายแดนเหนือของใต้เท้าหวัง ราษฎรเมืองหลวงยังจดจำเรื่องราวที่พวกนอกด่านตีมาถึงเมืองหลวงได้อยู่  ล้วนฟังจากรุ่นพ่อรุ่นปู่เล่ามา เผ่าอันต๋านอกด่านตีมาถึงกำแพงเมืองหลวง กองกำลังสังกัดวังหลวงและสำนักอาชาหลวงออกไปต่อสู้ตายไปหลายประตูเมือง


พอคิดถึงทัพใหญ่พวกนอกด่านยกทัพมาแล้ว ทุกคนก็พากันหนาวสันหลัง หวังทงเพิ่งนำทัพไป  พวกเขากังวล ตอนข่าวขาดหายไป พวกเขาโมโหโกรธแค้น พอได้ยินชัยชนะยิ่งใหญ่ของหวังทง สังหารเผ่าอันต๋าแทบสิ้น พวกเขาก็ดีใจจากใจ


ข่าวชัยชนะยิ่งใหญ่มาถึงเมืองหลวงได้ระยะหนึ่งแล้ว ทว่าเรื่องที่คุยกันตามท้องถนนก็ยังคงเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ดังเดิม เรื่องสนทนาในร้านน้ำชาหรือในโรงงิ้ว ขอให้เป็นเรื่องชัยชนะใหญ่ก็ล้วนเรียกความสนใจจากทุกคนให้ร่วมวงสนทนาได้


เทียบกับความดีใจในหมู่ชาวประชาแล้ว พวกบัณฑิตกลับแตกต่าง  ร้านค้าระดับสูงสักหน่อย เช่นร้านน้ำชา ร้านสุรา หรือสมาคมต่างๆ รวมทั้งหอคณิกา และตามจวนบัณฑิตขุนนาง สถานที่มีบัณฑิตชอบไปรวมตัวกัน กลับคุยเรื่องชัยชนะใหญ่ครั้งนี้ของหวังทงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


เริ่มจากต้องการสร้างความชอบเพื่อตัวเอง ไม่สนใจภัยใต้หล้า ในที่สุดก็ได้รับผลกรรมไป ตายภายใต้เงื้อมมือพวกนอกด่าน ช่วยแผ่นดินหมิงขจัดภัยร้าย มาถึงตอนนี้ หวังทงอ้างความชอบลืมตน ปล่อยปละวินัยทหาร จิตใจโหดเหี้ยมชั่วร้าย จะต้องเป็นภัยต่อแผ่นดิน……


มีบัณฑิตรักชาติผู้หนึ่งกล่าวว่า หวังทงขยายอิทธิพลแผ่นดินกว้างไกล ช่างเหมือนสมัยฮั่นและถัง หากคนที่ออกมาพูด ก็ถูกคนต่อต้านว่าสมองเลอะเลือน นานวันเข้า ผู้ใดก็ไม่กล้ากล่าวสิ่งที่ค้านกับความคิดทุกคนอีก


ณ สมาคมซูโจวในเมืองหลวง กระแสวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงที่สุด บัณฑิตที่อยู่เมืองหลวงตื่นเช้ามากันที่นี่  ชงน้ำชาอ่อนๆ เริ่มบทสนทนาสัพเพเหระ หลายวันก่อนได้ฟังขุนนางบัณฑิตชิงหลิวสองคนป่าวประกาศ  ตอนนี้เป็นรายการสำคัญที่ทุกคนรอคอย สองคนนี้เป็นคนของเสนาบดีเหยียนชิง  คนหนึ่งอยู่กรมพิธีการ อีกคนอยู่กรมอากร ล้วนเป็นนายกอง มีอาจารย์เช่นเหยียนชิงหนุนหลัง วันหน้าย่อมมีอนาคตไกล


บุคคลเช่นนี้ ทุกคนย่อมอยากประจบเอาใจ มีน้ำใจกันไว้ วันหน้าอาจได้ประโยชน์ และสองคนนี้ก็พูดจาได้ไม่เลวจริงๆ กล่าวได้น่าฟัง หวังทงเป็นขุนนางบู๊ต่ำต้อย อาศัยวิชามารเอาพระทัยฝ่าบาท อาศัยอันใดได้ตำแหน่งสูงเช่นนั้น และยังมีความชอบเช่นนั้นอีก


“ทุกท่าน คนเช่นหวังทงจิตใจชั่วร้าย เหตุใดมีชัยชนะใหญ่กลับมาจึงได้ปล่อยปละวินัยทหารเช่นนั้น ก็เพราะคิดแผนชั่วไว้ ทุกท่าน…….”


การกล่าวกำลังจะเริ่ม ทุกคนกำลังล้อมวงฟัง พูดได้ไม่กี่คำ ด้านนอกก็มีคนตะโกนดังมาว่า


“ใช่จางป๋ออวี่กับหลี่กวงถิงไหม?”


ทุกคนมองตามเสียงไป เห็นทหารองครักษ์เสื้อแพรสองสามนายยืนอยู่ด้านนอก……


 

 

 


ตอนที่ 798

 

สมาคม จวนโหว

โดย

Ink Stone_Fantasy

หัวหน้ากองในกรมเป็นตำแหน่งที่ไม่ธรรมดาแล้ว  ในหน่วยงานกรมกอง เจ้าหน้าที่ทุกคนยังต้องไว้หน้าอยู่หลายส่วน


ทุกวันสองคนมาพูดที่สมาคมซูโจว แม้ว่ามีสายสัมพันธ์กับเสนาบดีกรมปกครองเหยียนชิงแบบอาจารย์และศิษย์ แต่เหยียนชิงเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ได้ดูแลลูกศิษย์ดีสักเท่าไร ปกติพวกเขาย่อมไม่ได้ประโยชน์อันใด


แต่หลายวันนี้พวกเขาฮึกเหิม มากล่าวปลุกระดมที่สมาคมนี้ มีคนมาล้อมมุงรับฟังกันมาก สองคนชื่อเสียงก็โด่งดัง ต้องรู้ว่า สองคนไม่ได้มาสมาคมซูโจวครั้งแรก แต่ที่นี่ขุนนางมาก ผู้ใดจะสนใจขุนนางระดับธรรมดาสองคนนี้กัน


แต่ตอนเขาสองคนเข้ามาในสมาคม ก็มีคนนำน้ำชาไปต้อนรับ เหลือที่นั่งที่ดีให้ พวกที่สถานะตำแหน่งสูงกว่าหรือชื่อเสียงมากกว่าก็เข้ามาทักทายพวกเขา


ที่บอกว่ามีชื่อก็เป็นเช่นนี้เอง ตามที่เคยเป็นมา สองคนทำได้ถึงขั้นนี้ ก็เรียกได้ว่าบัณฑิตมีชื่อแล้ว ยังได้ชื่อว่า ‘พวกใจกล้า’ อีกด้วย  มีชื่อเสียงเช่นนี้ วันหน้ามีตำแหน่งดีๆ อันใดก็ย่อมต้องมีโอกาสได้ไปดำรงแทน


ขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด  และวาจาไม่ได้เป็นอักษร ตรวจสอบไร้หลักฐาน ไม่ต้องกังวลไปว่าจะถูกจับไปลงโทษ ดังนั้นสองคนจึงกระตือรือร้นยิ่ง


ข่าวหวังทงกลับถึงเมืองหลวงแล้ว สมาคมซูโจวก็มีคนรู้แล้ว  แต่คนที่รู้ไม่คิดป่าวประกาศ และยิ่งไม่คิดบอกกล่าวแก่สองคนนี้


จางป๋ออวี่กับหลี่กวงถิงแค่เริ่มพูด ก็ถูกองครักษ์เสื้อแพรตะโกนเรียกตัว องครักษ์เสื้อแพรห้านายอยู่นอกวง สีหน้าเอาเรื่องจ้องมอง ผู้ฟังก็พากันวงแตก


เป็นขุนนางราชสำนัก ย่อมรู้ความร้ายกาจขององครักษ์เสื้อแพรผู้นี้ ทว่าคนมากมายเช่นนี้ จางป๋ออวี่กับหลี่กวงถิงไม่อาจเสียหน้าได้ จางป๋ออวี่ส่งเสียงแค่นฮึ กล่าวว่า


“เป็นข้าสองคน พวกเจ้า …….”


กล่าวไม่ทันจบ ทหารองครักษ์เสื้อแพรสองนายก็เข้ามาลงมือ จับแขนพวกเขาไพล่หลัง เตรียมนำเชือกออกมามัด


“…….พวกเจ้าทำอันใดกัน!! พวกข้าเป็นขุนนางมีตำแหน่ง พวกเจ้ากล้า……”


“จางป๋ออวี่ หลี่กวงถิง เจ้าสองคนพูดจาหลอกลวงผู้อื่น ใส่ร้ายขุนนางทหารในพระองค์ สงสัยว่าพวกเจ้าคิดการไม่ซื่อ ถูกคนชักใย จับตัวไปลงโทษ!!”


เมื่อครู่สองคนยังตะโกนว่าชัยชนะนอกด่านคิดการไม่ซื่อ คิดไม่ถึงว่ากรรมสนองเร็วมาก วาจานี้ถูกทหารองครักษ์เสื้อแพรนำกลับมาทุ่มใส่หัวพวกเขาเอง


ถูกตวาดและถูกจับมัด สองคนไหนเลยเคยพบเจอ ยามนี้คิดถึงเรื่ององครักษ์เสื้อแพรจับกุมไม่ต้องผ่านกรมอาญา  จับตัวเข้าคุกไปได้เลย คิดแล้วก็ทำให้รู้สึกหวาดกลัวยิ่ง


จางป๋ออวี่สองคนแตกตื่น หลี่กวงถิงอายุน้อยกว่า แผดเสียงดังตะโกนขึ้นว่า


“พวกข้าไม่มีความผิด องครักษ์เสื้อแพรลบหลู่ขุนนางราชสำนักกลางสาธารณชน พวกเรามีการศึกษา พวกเจ้าไม่รู้กาละ……”


วาจาพรั่งพรูแค่เริ่มต้น ปากก็ถูกยัดด้วยผ้าก้อนหนึ่ง จางป๋ออวี่ก็ไม่แตกต่างนัก สองคนพูดไม่ออก กลัวจนสั่นไปทั้งตัว องครักษ์เสื้อแพรไม่เกรงใจพวกเขาแม้แต่น้อย ลากออกไปราวกับสุนัขสองตัว


ขุนนางรอบๆ เห็นดังนี้ก็คิดหวาดกลัว บัณฑิตอ่านตำราเน้นเรื่องการวางตัวนุ่มนวล สองคนถูกจับมัดไป ท่าทางเอน็จ อนาถเช่นนั้น หากเป็นตนเองคงเสียหน้าหมดสิ้น องครักษ์เสื้อแพรเป็นอาวุธร้ายหวังทงจริงๆ  พอถูกล่วงเกินก็ฟันมาทันที


ทว่าทุกคนเองก็แปลกใจ ไม่เพียงแต่สมาคมซูโจว สมาคมและร้านน้ำชาอื่น พวกที่ป่าวประกาศเช่นนี้ไม่น้อย ครึ่งเดือนมานี้มีไม่น้อยเลย เหตุใดวันนี้จึงเพิ่งมีปฏิกิริยา ไม่ว่าอย่างไร เทพท่านนี้พวกเราไม่อาจล่วงเกิน ห่างไกลไว้ดีกว่า แต่คิดได้เช่นนี้ ตอนนี้คิดจะถอนตัวก็ไม่ง่ายเช่นกัน


สององครักษ์เสื้อแพรลากตัวออกไป ในห้องยังมีอีกสาม กลุ่มคนมุงดูมีสองคนเดินออกมา ในมือมีกระดาษพู่กัน คุยกับทหารองครักษ์เสื้อแพรไม่นาน ก็กล่าวว่า


“เมื่อครู่สองคนกล่าวใส่ร้ายต้องจดไว้ให้ดี ทุกท่านอยู่ที่นี่ มาลงชื่อให้มด เป็นพยาน!”


ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว องครักษ์เสื้อแพรทำงานละเอียดรอบคอบ คนพูดหนีไม่พ้น คนฟังก็สลัดสัมพันธ์ไม่พ้น แต่ถึงตอนนี้แล้ว ก็ไม่อาจทำอันใดได้ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาลงชื่อเป็นพยานไป


************


“ใต้เท้า ห้าสมาคมในเมือง ร้านน้ำชา 20 แห่ง ถูกจับได้หมดแล้ว ตอนนี้จับกุมมาแล้ว!”


หวังทงขี่ม้าไปตามท้องถนน มีนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรขี่ม้าตามมารายงานบนหลังม้า หวังทงพยักหน้าสั่งว่า


“ส่งไปสำนักรักษาความสงบกับหน่วยวินัยทหารสอบสวน วันนี้ต้องได้คำให้การ อย่าให้บาดเจ็บอย่าให้ถึงตาย วิธีการอื่นนำมาใช้ เช่น หากครอบครัวมีการค้า ก็ให้เตือนไปตรงๆ ไม่ยอมร่วมมือ ย่อมส่งผลต่อการค้าพวกเขาที่ต้องล้มละลาย!”


นายกองร้อยบนหลังม้าคำนับรับคำสั่ง รีบขี่ม้ากลับไป หวังทงภายใต้กองอารักขา กำลังถึงที่หมาย  ทางตอนเหนือของเมืองหลวง  ตามท้องถนนไม่เห็นราษฎร คนขี่ม้านั่งรถกันมาก คนเดินถนนมักแต่งกายแบบคนรับใช้ทั่วไป ที่เมืองหลวงบริเวณนี้เป็นที่พำนักคนรวย คนพวกนี้ร่ำรวยกันจากรุ่นสู่รุ่น  ความเป็นตระกูลใหญ่ร่ำรวยนี้ยากจะเห็นได้ที่อื่น


ถนนสองข้างทางล้วนเป็นกำแพงขาวกระเบื้องดำ จวนกว้างใหญ่ ผ่านหน้าประตูเป็นระยะ ประตูใหญ่สีแดงชาด รอบๆ ราวกับวัง ตกแต่งเรียบร้อยเป็นระเบียบ คนงานที่ท่าทางมีระดับยืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตู


คนงานแต่งกายกันด้วยผ้าแพรต่วนชั้นดี ครอบครัวเล็กๆ ที่จูงม้าผ่านมาตลอดชีวิตนี้ย่อมซื้อไม่ไหว  จากกลางประตูมองเข้าไปเห็นสวนด้านใน เห็นดอกไม้นานาพรรณ ศาลาริมน้ำ ความหรูหราเช่นนี้ ใต้หล้าก็มีแค่หนานจิงจึงจะมีที่เช่นนี้ได้


ที่นี่ก็คือที่พักของพวกระดับสูงสุดในแผ่นดินหมิง หวังทงบนหลังม้ามองเห็นได้ชัดเจน มีขุนนางระดับสี่กำลังยิ้มแย้มพูดจามีมารยาทอยู่หน้าประตู คนงานตระกูลนั้นก็ทำสีหน้าเย็นชาใส่ วางตัวโอ้อวดกว่าทั่วไป


แต่พอคนพวกนี้เห็นหวังทงมาพร้อมทหารม้า ก็พากันตกใจ หวังทงบนหลังม้ามองซ้ายมองขวา พวกที่ถูกหวังทงกวาดตามองมา ล้วนพากันก้มหน้าหลบสายตาอย่างไม่อาจระงับ บ้างถึงกับหลบเข้าไปหลังประตู  ท่าทีเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้หวังทงนึกเยาะในใจ ล้วนเป็นพวกทำทีดุดันแต่ข้างในนั้นขลาดกลัว พวกอาศัยบารมีนายรังแกผู้อื่น ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง


เดินขึ้นหน้าไปอีกราวร้อยก้าว ก็ไปถึงสระน้ำใหญ่  รอบสระเป็นป่า ที่นี่ไม่เหมือนที่อื่นๆ ในเมืองหลวง  ต้นไม้รอบสระน้ำรกราวกับกองขยะ ดูสกปรกรุงรังอย่างมาก แต่ก็เป็นความสงบท่ามกลางความวุ่นวาย เป็นภาพราวกับท้องทุ่ง พวกชนชั้นสูงจึงเก็บรักษาไว้


มีคนสร้างศาลาพักที่นี่ ส่งคนมาทำความสะอาดตลอด ทำให้ที่นี่ยิ่งเรียบร้อยเป็นระเบียบ ทิศทัศน์ยิ่งดึงดูดคน เพราะเช่นนี้ ที่นี่จึงมีราคาสูงกว่ารอบๆ พื้นที่ตอนเหนือเดิมเป็นที่พักของพวกชนชั้นสูงที่สุดในเมืองหลวง ที่นี่เป็นพื้นที่ๆ แพงที่สุด สามารถตั้งกิจการที่นี่ได้ ก็สามารถบ่งบอกสถานะและการเงินได้


แต่มาถึงรัชสมัยหลงชิ่ง ความงดงามนอกเมืองก็กลายเป็นจวนพร้อมสวนส่วนตัวของตระกูลหนึ่งไป หวังทงมาถึงก็บังคับม้าให้หยุด เดินหน้าไปอีกราวร้อยก้าว เป็นพื้นที่กว้าง ด้านหน้ามีถนนสี่สายตัดขวางกันโอบรอบพื้นที่หนึ่งที่มีบ้านเรือนตั้งอยู่หลังเดียว


นี่ก็คือตระกูลที่สูงที่สุดในเมืองหลวง เป็นบุคคลชนชั้นสูงอันดับหนึ่ง เป็นพี่ชายแท้ๆ ไทเฮาปัจจุบัน เป็นน้าแท้ๆ ของฮ่องเต้ จวนอู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียน


หวังทงลองกะด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าจวนนี้ไม่ธรรมดา กำแพงสูงคั่นนี้สามารถมองเห็นอาคารศาลาสูงใหญ่ด้านในได้ มีคนเคยได้เข้าไปเที่ยววิจารณ์ว่า จวนอู่ชิงโหวนี้เป็นหนึ่งในใต้หล้า แม้แต่จวนเว่ยกั๋วกงที่หนานจิงก็ยังสู้ไม่ได้ มีคนว่าหรือว่าวังก็สู้ไม่ได้ด้วย คนผู้นั้นกลับบอกว่า อุทยานปัจจิมในวังอย่างไรก็สร้างหลายสิบปี อะไรๆ ก็ล้าไปหมดแล้ว…


“ผู้ใด รีบลงจากม้าเดี๋ยวนี้!!”


พวกหวังทงเพิ่งก้าวมาถึง ก็ได้ยินคนหน้าประตูจวนอู่ชิงโหวตวาดดัง หวังทงอึ้งไป ยังคงเคลื่อนไหวช้าๆ ไปยังหน้าประตู ด้านหลังทหารม้าอีกหลายสิบก็ตามมา


“เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่จวนผู้ใด เจ้ายังกล้าอยู่บนหลังม้า?”


คนตะโกนเห็นได้ชัดว่าร้อนใจอย่างที่สุด เห็นพวกหวังทงยังคงไม่หยุดม้า หลายคนวิ่งกรูกันเข้ามา เห็นการแต่งกายแล้ว ระยะไม่ถึงสิบกว่าก้าว ก็โบกมือไปมา ร้องตะโกนว่า


“จวนอู่ชิงโหวคือสถานที่ใด ไม่ว่าเจ้าระดับใด ก็ต้องลงจากม้า ในสายตาเจ้ายังมีฮ่องเต้……”


เข้าใกล้ม้าหวังทงอีกไม่กี่ก้าว ยังชี้มือชี้ไม้ แส้ในมือหวังทงยกตวัดใส่ทันที คนผู้นั้นไม่คิดเลยว่าหวังทงถึงกับกล้าลงมือ ไม่ทันได้ระวัง ใบหน้าก็ถูกฟาดปรากฏรอยปื้นแดง รีบกุมใบหน้าส่งเสียงร้องเจ็บปวด


“หรือว่าเจ้าคิดไม่เคารพไทเฮากับฮ่องเต้หรือ?”


อีกสามคนที่วิ่งตามมา คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะลงมือ ตกใจยืนนิ่งพร้อมกัน รอจนเห็นว่าหวังทงอยู่ในชุดรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ความกล้าก็ยิ่งมากขึ้น กำลังจะอวดอ้างบารมีนายข่ม ก็เห็นหวังทงยังคงเคลื่อนม้าเข้าใกล้ อดไม่ได้พากันตกใจหลีกทาง


“ในวังมีราชโองการให้ขุนนางบุ๋นบู๊ลงจากหลังม้าหรือเกี้ยวหน้าจวนอู่ชิงโหวหรือ?”


หวังทงบนหลังม้าถามน้ำเสียงเยียบเย็น ด้านหน้าสามคนตอบไม่ได้ ไทเฮาฉือเซิ่งแม้เป็นพี่น้องกับนายตน แต่การวางอำนาจเหิมเกริมย่อมทำไม่ได้นัก  เพราะทุกคนชินเสียแล้วจึงให้ความเกรงกลัวต่ออำนาจอู่ชิงโหว จึงไว้หน้าพวกเขาอยู่หลายส่วน


พอเห็นพวกองครักษ์เสื้อแพรไม่สนใจยังคงเคลื่อนม้าเข้ามา คนงานสามคนตกใจอย่างมาก เมืองหลวงนี้ถึงกับมีคนไม่ไว้หน้าอู่ชิงโหว พากันถอยชุลมุน มีคนสะดุดขาล้มลงกับพื้น เห็นม้าก้าวเข้ามาก็ได้แต่ส่งเสียงร้องอย่างแตกตื่นตกใจ


ม้าย่อมไม่เหยียบ แต่เสียงกลับทำให้ผู้คุ้มกันหน้าประตูรู้สึกเครียดเห็นพวกเขาเป็นดังศัตรูใหญ่  หวังทงไม่สนใจแม้แต่น้อย หากโดดลงจากหลังม้ากล่าวว่า


“องครักษ์เสื้อแพรหวังทง ขอมาคารวะอู่ชิงโหว!”

 

 

 


ตอนที่ 799

 

ให้เกียรติท่านโหวอยู่หลายส่วน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เห็นหวังทงเดินเข้าประตูหน้าไปอย่างไม่สนใจอันใด ยังมีคนโดนแส้ฟาดใส่ มีคนตกใจส่งเสียงร้องดัง หน้าตาจวนอู่ชิงโหวถูกฉีกไม่น้อย


แต่ผู้คุ้มกันหน้าประตูจวนอู่ชิงโหวกลับไม่ได้ตกใจอันใด หากจ้องมองหวังทงด้วยความโมโห พื้นที่ประทับของฮ่องเต้เช่นเมืองหลวงนี้ เจ้ากล้าวางอำนาจบาตรใหญ่หน้าประตูจวนอู่ชิงโหว คิดจะก่อการร้าย หรือว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วกัน


เห็นหวังทงลงจากม้า บอกว่า ‘ขอมาคารวะท่านโหว’ ทุกคนก็เบาใจ ที่แท้องครักษ์เสื้อแพรไม่ได้มาจับคน อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนอย่างไรก็เพิ่งจะส่งมอบกำลังทหารคืนไป มีข่าวแพร่แปลกประหลาดมาจากในวัง ทุกคนล้วนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทว่าคนผู้นี้มาขอคารวะ และยังเรียกให้เกียรติว่าท่านโหว เช่นนี้ก็ไม่น่ามีอันใด


ทุกคนต่างได้สติตามมา องครักษ์เสื้อแพรวัยหนุ่มแจ้งชื่อว่า ‘หวังทง’ หวังทงเป็นผู้ใด คนจวนอู่ชิงโหวล้วนท่องรายชื่อวีรบุรุษเมืองหลวงกันจนจำได้แม่น หวังทงเป็นบุคคลระดับใด พวกเขาย่อมต้องรู้จัก


มิน่ากล้ามาส่งเสียงดังหน้าจวนอู่ชิงโหว มิน่าแจ้งชื่อก็ไม่บอกตำแหน่งได้ และจริง ๆ ก็คือ ชื่อหวังทงไม่จำเป็นต้องแจ้งอันใดให้มากความอีก


พ่อบ้านหน้าประตูก็พอรู้เรื่องในจวนอยู่บ้าง รู้ว่าระยะนี้จวนตนกำลังทำอันใดกันอยู่ พอเห็นหวังทงหน้าตาบึ้งตึงมาถึงหน้าประตู ในใจก็ย่อมตื่นตระหนก รีบพยักหน้าก้มกายกล่าวว่า


“ที่แท้ใต้เท้าหวัง  เชิญใต้เท้าหวังรอสักครู่ ข้าน้อยจะรีบเข้าไปรายงาน”


พ่อบ้านกำลังจะเดินไปก็ถูกหวังทงเรียกไว้ หวังทงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า


“บอกท่านโหวพวกเจ้าว่า ไม่พบข้า ข้าก็จะเข้าไปจับเอง พบข้าแล้ว บางทีอาจพอไว้หน้ากันได้บ้าง ไปได้!”


หน้าประตูจวนอู่ชิงโหวพบเห็นขุนนางใหญ่มาจนชิน ผู้ใดบ้างไม่เกรงใจ แม้แต่บุคคลในคณะเสนาบดีใหญ่ยังต้องยิ้มแย้มมาขอพบ วันนี้เทพเช่นหวังทงมาเยือนด้วยท่าทีเช่นนี้ ทำให้พวกเขาได้แต่ตื่นตกใจ


เจ้าเป็นขุนนางคนสนิทที่สุดของฮ่องเต้ก็จริง ระยะนี้สร้างความชอบใหญ่มามากก็จริง แต่จวนอู่ชิงโหวเป็นใคร ไหนเลยจะให้เจ้ามาวางอำนาจบาตรใหญ่ได้ นี่เป็นถึงน้าแท้ๆ ขอฮ่องเต้เชียวนะ


ไม่รู้ว่าวาจาใดของหวังทงที่ได้ผล ไม่นานนัก พ่อบ้านใหญ่จวนชิงโหวก็รีบวิ่งมา พ่อบ้านผู้นี้เป็นพ่อบ้านมาตั้งแต่สมัยอู่ชิงโหวหลี่เหว่ย  ท่าทางวางตัวไม่เหมือนผู้อื่น เป็นบุคคลอันดับต้นๆ ในเมืองหลวงผู้หนึ่ง ขุนนางใหญ่ในวังกับในราชสำนักล้วนเกรงใจ


พ่อบ้านผู้นี้ย่อมแซ่หลี่ เดินออกมาเห็นหวังทงก็สีหน้าเคร่งเครียด ผู้คุ้มกันหน้าประตูพวกนี้ถูกพวกหวังทงจับตามองจนขนหัวลุก วางอำนาจบาตรใหญ่กันมานานหลายปี พอมาถูกข่มบ้างก็ย่อมอึดอัด เห็นพ่อบ้านเช่นนี้ ก็แอบรอดูความเสียท่าของหวังทง


เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง พ่อบ้านอารมณ์คุกรุ่น ขุนนางระดับสามสี่ก็ยังถูกตำหนิมาแล้ว พวกขุนนางบุ๋นพวกนั้นเป็นพวกเรียบร้อยสูงส่ง ปกติก็วางท่าทีไม่ธรรมดา ยังต้องยอมฟังแต่โดยดี เอาแต่ขออภัยไม่หยุด


หวังทงจะว่าไประดับขุนนางก็แค่สาม ยังเป็นขุนนางบู๊อีก  จะเท่าไรกัน พ่อบ้านเฒ่าผู้นั้นเหยียดตามองหวังทง พวกคนข้างๆ คิดว่าเขาจะต้องถูกตำหนิ หากพ่อบ้านกลับคำนับ ประสานมือคำนับกล่าวว่า


“ใต้เท้าหวัง  ท่านโหวเรียนเชิญ เชิญตามข้าน้อยเข้าไป!”


เคยพบเห็นพ่อบ้านเฒ่าผู้นี้ประสานมือคำนับให้ขุนนางระดับนี้ที่ไหนกัน  นี่มันกลับตาลปัตรไปหมดแล้วหรือนี่? สายตาทุกคนในจวนอู่ชิงโหวราวกับจะหลุดทะลักออกมา


*************


ถูกนำทางเข้าไปในจวนอู่ชิงโหว ประตูจวนแต่ละชั้นลึกราวทะเล  ตลอดทางล้วนเป็นการตกแต่งที่อลังการ ไม่พูดถึงดอกไม้นานาพรรณ หรือสิ่งก่อสร้างวิจิตรงดงาม ตลอดทางที่เดินไปก้าวหยุดลง มองซ้ายขวา ก็ราวกับภาพวาด สิ่งก่อสร้างเช่นนี้ ตอนสร้างแรกสุดไม่รู้ต้องใช้เงินทองไปสักเท่าไร ใช้เวลาไปสักเท่าไร


หากเป็นปกติ เดินไปถึงที่ใดสักที่ในจวน พ่อบ้านก็จะหยุดให้แขกได้ชมจากนั้นก็อธิบายสองสามคำ แขกที่มาก็จะชื่นชมตะลึงลานไป นี่จึงเป็นหลักการต้อนรับแขกผู้มาเยือน


ทว่าพ่อบ้านผู้นี้นำทางกลับไม่กล่าวอันใดสักคำ ตลอดทางคนงานสาวใช้ในจวนเห็นแต่กลุ่มคนที่ก้าวเดินอย่างเร่งรีบ พากันหลบให้ มีคนหลบช้าไปสองก้าว ก็ถูกพ่อบ้านตำหนิใส่ทันที


ต่อหน้าแขกถึงกับดุด่าเช่นนี้ ระบายอารมณ์ใส่ผู้น้อยหรือว่าแขกกันแน่ ทุกคนได้แต่คิด หากไร้คำตอบ


หวังทงเองก็ไม่สนใจ ได้แต่เดินตามไป อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนก็ไม่ได้รอพบอยู่ที่หน้าประตูตามที่คิด หากนั่งอยู่ในห้องรับแขก สีหน้าแข็งกระด้างเย็นชาอย่างยิ่ง


“นายท่าน นำหวังทงมาถึงแล้ว!”


พ่อบ้านผู้นี้ แม้แต่คำว่า ใต้เท้า ก็ไม่มี เปิดประตูออก อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนก็ไม่ได้ลุกขึ้น ยังคงนั่งกับที่พยักหน้าก็เหมือนไม่มี  นั่งกล่าวว่า


“หวังทง ข้ามีงานมาก เจ้ามาถึงที่นี่ด้วยเรื่องใด?“


ตั้งแต่เดินเข้าจวนมาถึงตอนนี้ ตามหลักมารยาทในจวนอู่ชิงโหวแล้ว เรียกได้ว่าลบหลู่แล้ว คิดถึงว่าตระกูลใหญ่เช่นนี้เข้าออกขอพบอันใดล้วนมีธรรมเนียม  การจงใจแสดงการไร้มารยาทเช่นนี้ยิ่งทำให้เสียหน้า


สีหน้าหวังทงเย็นชา อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยให้นั่ง เขาก็ยืนกล่าวกับพ่อบ้านว่า


“ข้ากับท่านโหวคุยกัน เจ้าออกไป!”


พ่อบ้านอึ้งไป หวังทงหรี่ตามอง กล่าวน้ำเสียงเย็นว่า


“ไสหัวออกไป!”


เมืองหลวงนี้มีผู้ใดกล้ากล่าววาจาเช่นนี้ในจวนอู่ชิงโหว อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนกับพ่อบ้านหน้าแดงก่ำ หลี่เหวินเฉวียนกำลังคิดจะตวาดด่าก็ได้ยินหวังทงกล่าวว่า


“ท่านโหวคิดว่าข้าไปออกรบชายแดนเหนือ ฝ่าบาทไร้ที่พี่ง ดังนั้นจึงไปขอให้ไทเฮาไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท …….”


เพิ่งกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าพ่อบ้านก็ซีดเผือดลง ไม่สนใจอันใด รีบเดินออกไปทันที เขาเป็นเพียงบ่าว บางวาจาไม่อาจรับฟังได้ ไมเช่นนี้ย่อมไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้


“ท่านโหวคิดจะส่งคนของตนไปดูแลเทียนจินทางนั้น จะได้เรียกหาเงินทองมากมายใช่หรือไม่?”


คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะกล่าวตรงไปตรงมาเช่นนี้ อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนแค่นเสียงฮึ หากไม่กล่าวอันใด หวังทงจ้องมองพลางกล่าวต่อว่า


“ปรากฏว่าข่าวชัยชนะใหญ่มาถึง ท่านโหวไม่ได้ดังหวัง แต่ในใจก็ยังคิดแค้นข้า ส่งคนไปสร้างข่าวลือ ให้คนข้างนอกสร้างเรื่อง ถึงกับให้ขุนนางบัณฑิตคนสนิทไปป่าวประกาศ ใช่หรือไม่?”


หลี่เหวินเฉวียนสีหน้าอึดอัด พยายามยืดตัวนั่งให้ตรง น้ำเสียงหวังทงเย็นยะเยือกขึ้นอีก เสียงดังกล่าวว่า


“ข้านำกำลังขึ้นเหนือ ก็เพื่อความสงบสุขของชายแดนแผ่นดินหมิง เพื่อแผ่นดินของฝ่าบาทให้ได้ยิ่งสงบสุข ฝ่าบาทจะได้ทรงมีเวลาไปจัดการเรื่องอื่น ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่า อำนาจวาสนาท่านโหวตอนนี้ขึ้นกับผู้ใด หรือว่าไม่ใช่ฝ่าบาท? ท่านทำกับข้าเช่นนี้ ล้มข้าลงได้ ก็จะทำให้กำลังฝ่าบาทอ่อนแอลง มีประโยชน์อันใดกับท่านโหวกัน?”


“หวังทง เจ้า…….”


อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนโมโหจนผุดลุกขึ้นยืนทันที ชี้มือไปที่หวังทง แขนสั่นระริก แม้หลี่เหวินเฉวียนจะโมโหแต่ก็มิได้ระเบิดอารมณ์ออกมา เหมือนลังเลหวั่นเกรงอันใดสักอย่าง หวังทงจ้องมองเขากล่าวว่า


“ท่านโหวมีกิจการอยู่เทียนจินไม่น้อย กำไรก็ไม่น้อย เจ้าคิดจริงหรือว่าส่งคนไปดูแลแล้วจะทำกำไรได้มากยิ่งขึ้น หากทำได้จริง ตอนข้าไม่ไปเทียนจิน พวกท่านทำอะไรกันอยู่!!”


“หวัง……หวังทง…….ข้าเป็นเสด็จน้าฮ่องเต้  เจ้ากล่าวเช่นนี้ ไม่กลัว….ไม่กลัว….ลบหลู่เบื้องสูงหรือ?”


วาจาเหมือนไม่มั่นใจ หวังทงแค่นยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า


“ขอท่านโหวจดจำให้ดีว่าทรงเป็นเสด็จน้าฝ่าบาท อย่าได้ทำเรื่องที่สร้างความบาดหมางเครือญาติเด็ดขาด ท่านโหว คนจวนท่านที่ปล่อยข่าวลือ ก่อนฟ้ามืดส่งตัวไปสำนักองครักษ์เสื้อแพร หากกลัวว่าพวกเขากล่าวเหลวไหล ท่านก็จัดการปิดปากก่อนส่งตัวไป หากไม่ส่งตัวไป พรุ่งนี้เช้า องครักษ์เสื้อแพรจะมาจับกุมถึงที่ เช่นนี้ก็ดูไม่ดีแล้ว ขออำลา!!”


หวังทงกล่าวจบ ก็ประสานมือหันหลังเดินออกไปทันที อู่ชิงโหวยังคงยืนงงอยู่ พอหวังทงออกไปด้านนอกแล้ว ก็เอื้อมมือไปคว้าถ้วยชาจากบนโต๊ะขว้างลงพื้นอย่างแรง ตะโกนดังว่า


“ใครอยู่ข้างนอก ข้าจะถวายฎีกา ข้าจะฟ้องหวังทง!!!”


*************


“ฝ่าบาทข่าวไปถึงทางคณะเสนาบดีใหญ่แล้ว เดาว่าไม่นาน พวกเขาก็คงจะมาขอเข้าเฝ้า ขอให้ทรงพิจารณาตัดสิน!”


“รั้งไว้ บอกว่าเรากำลังยุ่งอยู่!”


ได้ยินจางเฉิงรายงาน ฮ่องเต้ว่านลี่ในห้องทรงอักษรก็ตรัสอย่างรำคาญพระทัยขึ้น จางเฉิงรับพระบัญชาหันไปสั่งการ ย่อมมีขันทีออกไปจัดการ


ฮ่องเต้ว่านลี่พลิกเอกสารไปมา ตรัสสุรเสียงเย็นว่า


“คนพวกนี้ที่แท้แล้วคิดอันใดกัน ทัพเรารบเพื่อเราอยู่นอกแผ่นดินเกิด ตอนไม่รู้ข่าว พวกเขาวันๆ ก็เอาแต่บอกว่าแพ้แล้ว พอรู้ว่าชนะแล้ว พวกเขายังป่าวไปทั่วว่าแพ้ ป่าวไปทั่วว่าอันใดนะ ไม่รักษาวินัยทหาร คิดการไม่ซื่อ หวังทงจงรักภักดีเช่นนี้ หากเป็นคนจิตใจไม่หนักแน่นพอ เกรงว่าคงถูกพวกเขาปั่นข่าวลือจนต้องลงมือทำไปแล้ว หรือว่าพวกเขาไม่อยากให้กองทัพเรามีชัยกัน หรือว่าพวกเขาไม่อยากให้ชายแดนสงบสุข ใต้หล้าสงบสุขกัน”


ตรัสจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็โยนเอกสารลงบนโต๊ะ หงุดหงิดพระทัยตรัสว่า


“หวังทงกลับเมืองหลวงมาก่อน ก็แสดงให้เห็นความจงรักภักดีของเขา เทียบกับเขาแล้ว เราที่ร้อนใจไปก่อน ….ก็ช่าง…. พวกบัณฑิตข้างนอกส่งเสียงวิจารณ์หนาหู เบื้องหลังหรือว่าไม่มีผู้ใดให้การสนับสนุน  ตรวจสอบเข้า ก็ไม่ใช่พวกคนของขุนนางใหญ่พวกนั้นหรอกหรือ เราจะรอดูว่า คณะเสนาบดีใหญ่จะออกหน้าช่วยหรือไม่!! ใส่ร้ายขุนนางผู้มีความชอบ หากปล่อยไป ผู้ใดจะตั้งใจต่อสู้เพื่อเราเล่า!!”


“ฝ่าบาท หวังทงจงรักภักดีไม่ต้องพูดถึง ทหารเมืองจี้โจว ทหารเทียนจินต้องการการปลอบขวัญที่สุด ได้ยินข่าวจากสำนักบูรพาว่า ข่าวลือเมืองหลวงสะพัดไป กองทัพเริ่มมีส่งเสียงเคลื่อนไหว ดังนั้นวันนี้หวังทงจึงได้นำกำลังไปจับต้นตอข่าวลือ รีบจัดการหาคำตอบให้เร็วที่สุด”


“จับ จับไปลงโทษให้เด็ดขาด!!”


แรกสุดฮ่องเต้ว่านลี่มีความสงสัยและระแวง หากหวังทงกลับเข้าเมืองมาก่อน การกระทำที่ผิดคาดทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกผิด ทำให้ทรงร้อนตัวผิดปกติ


“ฝ่าบาท จวนอู่ชิงโหวเมื่อครู่ม้าเร็วมาถวายฎีกา บอกว่าหวังทงไปเยือน วาจาไร้ความยำเกรง ใส่ร้ายคนจวนอู่ชิงโหวว่ากุข่าวลือ…….”


จางเฉิงรับฎีกามา รีบเข้าไปรายงาน ฮ่องเต้ว่านลี่ตบโต๊ะดัง ตรัสด้วยความกริ้วหนักว่า


“ถ่ายทอดโองการเราด้วยวาจาไปยังอู่ชิงโหว ท่านน้า คิดว่าเราเป็นไอ้โง่หรือ!!!!?”

 

 

 


ตอนที่ 800

 

แสดงข้อดีข้อเสียชัด

โดย

Ink Stone_Fantasy

คนถวายฎีกาจากจวนอู่ชิงโหวคิดว่าอย่างเร็วคงอีกวันถึงจะได้ข่าวกลับไป คิดไม่ถึงว่าฎีกาถวายไป ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็มีคำตอบกลับมา


ฎีกาผู้อื่นต้องผ่านกรมฎีกาไปยังสำนักส่วนพระองค์ จากนั้นจึงได้ไปถึงพระหัตถ์ฮ่องเต้ว่านลี่  แต่อู่ชิงโหวนั่นไม่เหมือนกัน ได้รับการตอบกลับ คนมาถวายฎีกาก็รีบวิ่งกลับไปเร็วกว่าขามา


นำข่าวไปแจ้งแก่อู่ชิงโหวอย่างรวดเร็ว ยามขันทีในวังมาถ่ายทอดราชโองการด้วยวาจา พอเห็นขันทีถ่ายทอดราชโองการเป็นเจ้าจินเลี่ยง ขันทีรับใช้ข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่ตอนนี้ ย่อมเป็นพระดำรัสจากฮ่องเต้


อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนสีหน้าซีดเผือด คุกเข่าลงกับพื้นสั่นไปทั้งตัว ได้ยินเจ้าจินเลี่ยงหน้าตึงกล่าวว่า


“พระดำรัสฝ่าบาท ท่านน้า คิดว่าเราเป็นไอ้โง่หรือ?”


เจ้าจินเลี่ยงกำลังเป็นหนุ่ม น้ำเสียงแตกหนุ่ม ดังนั้นเพื่อให้พูดได้ชัด จึงน้ำเสียงเบาไปหลายส่วน แต่พระดำรัสข้างหูหลี่เหวินเฉวียนนี้ราวกับอสุนีบาตฟาด


แม้ว่ามีข่าวแจ้งมาล่วงหน้า เขาเองคิดเตรียมรับไว้แล้ว แต่ทั้งจวนก็กำลังตกใจ ทันใดได้ยินด้านนอกตะโกนขึ้นว่า


“นายท่าน ไทเฮามีพระดำรัสมา!”


คนที่คุกเข่าอยู่สะดุ้งขยับเล็กน้อย สีหน้าหลี่เหวินเฉวียนมีสีเลือดขึ้นมาหลายส่วน แต่ไม่กล้าแสดงอันใดให้เด่นชัด ได้แต่เงยหน้าขึ้นรับพระดำรัส


ตามความคิดทุกคน ไทเฮาย่อมทรงเข้าข้างอู่ชิงโหว แต่ฮ่องเต้ตรัสรุนแรงเพียงนั้นมาหยกๆ พระดำรัสไทเฮาอาจเป็นการปลอบใจ หรืออาจจะเป็นตำหนิก็ได้


รอขันทีถ่ายทอดราชโองการตำหนักฉือหนิงกงเข้ามา ก็เห็นเจ้าจินเลี่ยงยืนอยู่ ในวังถ่ายทอดราชโองการ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นเช่นนี้ หากปะหน้ากัน คนที่มาก่อนย่อมต้องเกรงใจหลบไปก่อน


ทว่าเจ้าจินเลี่ยงกลับทักทายเสร็จก็กรอกลูกตาไปมา ยิ้มกล่าวว่า


“ข้าขอฟังด้วย เผื่อฝ่าบาททรงถามจะได้ตอบได้”


กล่าวออกมาเช่นนี้ แม้ผู้อื่นไม่อยากให้ฟังก็ย่อมไม่อาจไม่กล่าว ขันทีถ่ายทอดราชโองการตำหนักฉือหนิงกงได้แต่ยิ้มพยักหน้า กระแอมไอในลำคอ ทุกคนรวมทั้งเจ้าจินเลี่ยงพากันคุกเข่า


“ไทเฮามีรับสั่ง  อู่ชิงโหว ท่านเป็นเสด็จน้าฝ่าบาท ทำอันใดก็ต้องแยกแยะในนอกให้ดี อย่าได้เหลวไหล”


หลี่เหวินเฉวียนได้ยินก็แขนขาอ่อนแรง เกือบล้มฟุบไปกับพื้น สีหน้าไร้สีเลือด รอจนขันทีถ่ายทอดราชโองการตำหนักฉือหนิงกงกระแอมไออีกที จึงได้สติ น้ำเสียงสั่นว่า


“ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงเมตตา กระหม่อมทราบแล้ว กระหม่อมจะปฏิบัติตามพระกระแสรับสั่ง”


ขันทีพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า


“ไทเฮายังว่า อู่ชิงโหวไม่ต้องคิดมาก ทำผิดรู้จักแก้ไข ครั้งหน้าอย่าได้ทำผิดอีก ฝ่าบาทย่อมทรงพระทัยกว้าง”


กล่าวจบ ขันทีก็ขอตัวกลับวังทันที ไม่อยู่รับน้ำชาต้อนรับ เจ้าจินเลี่ยงเองก็เช่นกัน อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนเมื่อก่อนไม่เคยไปส่งขันทีถ่ายทอดราชโองการ สถานะเขาไม่เหมือนผู้อื่น ขันทียังต้องประจบ แต่วันนี้ไม่เหมือนเดิม หากก็ไม่ได้ออกไปส่ง เพราะขาสองข้างอ่อนแรงไปหมด ยืนไม่อยู่


ขันทีถ่ายทอดราชโองการออกไปได้หนึ่งชั่วยาม อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนนั่งอยู่กลางโถงตัวสั่น ราวกับเพิ่งนำตัวขึ้นมาจากถ้ำน้ำแข็ง


เมื่อครู่หากขันทีถ่ายทอดราชโองไทเฮาไม่บอกว่า ‘ทำผิดรู้จักแก้ไข’ กับ ‘ทรงพระทัยกว้าง’ แล้วล่ะก็ หลังขันทีถ่ายทอดราชโองการกลับไป หลี่เหวินเฉวียนทำได้แค่สองทาง ไม่แขวนคอตาย ก็ดื่มยาพิษตาย


หลังสีหน้าซีดเผือดไประยะหนึ่ง พ่อบ้านในจวนอู่ชิงโหวกับหัวหน้าผู้คุ้มกันก็เข้ามา หลี่เหวินเฉวียนอ้าปากหลายรอบหากไร้เสียงออกมา เป็นพ่อบ้านที่รินน้ำชาส่งให้ดื่ม จึงได้พูดออกมาได้ อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า


“จับคนที่ส่งออกไปป่าวประกาศข่าวลือพวกนั้นส่งไปที่ทำการสำนักองครักษ์เสื้อแพร บอกว่าพวกเขาขโมยของในจวนเรา”


ทั้งสองรีบรีบรับคำ พ่อบ้านลังเลครู่หนึ่ง กระซิบถามขึ้น


“ปล่อยให้มีชีวิตออกไป เกรงว่าจะพูดจาเหลวไหล!”


“ปิดปากก่อนส่งไป ต้าเฉาเจ้าตามไปด้วย หวังทงบอกไว้ชัด ปิดปากแล้วค่อยส่งไป ไม่สนใจว่าตายอย่างไร”


*************


หวังทงกลับจากจวนอู่ชิงโหว ถูกฮ่องเต้ว่านลี่เรียกตัวเข้าเฝ้าในวัง ย่อมมีขันทีนำทางเข้าไป ไปถึงหน้าตำหนักข้างพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน


พอเข้าประตูตำหนักไปก็เห็นขันทีวิ่งเหยาะๆ มาจากทางตะวันตก มาสอบถามว่า


“เสนาบดีกรมปกครองใต้เท้าเหยียน ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท ฝ่าบาททรง?”


“ฝ่าบาทยุ่งราชกิจ ไม่ให้เข้าเฝ้า!”


ขันทีพยักหน้าวิ่งกลับออกไป หวังทงไม่รู้ว่าทำไม ได้แต่เดินตามเข้าไปในตำหนักข้างพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน แม้ว่าเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ แต่ก็ยังคงมีพิธีรีตอง  ต้องได้รับพระราชทานอนุญาตจึงจะเข้าเฝ้าได้ พอเข้าไปด้านใน สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงดีนัก ทว่าก็เป็นปกติอย่างรวดเร็ว พอเห็นหวังทง ก็แย้มสรวลตรัสอย่างไม่อ้อมค้อมว่า


“ตอนอยู่หน้าประตูได้เห็นคนของคณะเสนาบดีใหญ่หรือไม่?”


“เห็นกงกงท่านหนึ่งวิ่งมาถาม บอกว่าเสนาบดีเหยียนขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท ไม่ทราบว่าใช่คนจากคณะเสนาบดีใหญ่หรือไม่พะยะค่ะ”


“คนนั้นแหละ หวังทง วันนี้เจ้านำคนไปจับกุมในเมือง ขุนนางหกกรมกอง ขุนนางสำนักตรวจสอบ ยังมีเจ้ากรมอีกหกกรม ก็ถูกเจ้าจับตัวไปหมด คนพวกนี้เป็นคนของขุนนางเจ้าหน้าที่ใหญ่ในหกกรมกอง เจ้าทำเช่นนี้ ก็เท่ากับแหย่รังผึ้ง จางปั้นปั้นว่าใช่หรือไม่?”


จางเฉิงด้านหลังถวายคำนับกล่าวว่า


“ฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย ใต้เท้าคณะเสนาบดีใหญ่กับใต้เท้าหกกรมกองเมื่อครู่มาขอเฝ้า นอกวังก็มีข่าวมา ว่ากรมฎีกาตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนมาออกันรุมถวายฎีกาฟ้องใต้เท้าหวัง”


“เจ้าดู ๆ  นี่มันผึ้งแตกรังชัดๆ !”


ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลตรัสท่าทางไม่วิตกอันใด ทว่าก็เหมือนเป็นคำถาม หวังทงนิ่งไปก่อนทูลว่า


“ฝ่าบาท กระหม่อมรู้ดีกว่าจับกุมขุนนางบัณฑิตและพวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิวย่อมสร้างแรงกระเพื่อมใหญ่ในเมืองหลวง กระหม่อมเมื่อครู่ยังไปจวนอู่ชิงโหวมา ไปปฏิบัติหน้าที่นี้แม้ได้ทูลฝ่าบาทแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องไม่ให้ความเคารพเบื้องบน แต่กระหม่อมทำเช่นนี้ก็เพราะไม่อาจไม่ทำ!”


ได้ยินหวังทงพูดหนักแน่น ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลตรัสถามว่า


“อะไรที่ว่าไม่อาจไม่ทำ เจ้าลองว่ามา?”


“ทัพใหญ่ขึ้นปราบตอนเหนือได้รับการเห็นชอบส่งเสริมจากฝ่าบาท ได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่มา เมืองหลวงกลับมีข่าวลือยากรับฟังได้เช่นนี้ มีคนยื่นฎีกาโจมตีกระหม่อมว่าจิตใจมักใหญ่ คิดการไม่ซื่ออีก เรื่องพวกนี้ หากเพื่อแผ่นดิน เพื่อคุณธรรม ไม่อาจไม่กล่าว ราษฎร ขุนนาง ล้วนสรรเสริญพวกเขาว่า  ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวมือสะอาดกล้ากล่าวทัดทาน ฝ่าบาท ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวพวกนี้เป็นพวกมารร้ายชัดๆ !!”


ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลส่ายพระพักตร์ ตรัสว่า


“หวังทง แผ่นดินหมิงจะ 200 ปีแล้ว เหมือนว่ามีเจ้ากล่าวเช่นนี้คนแรก เมื่อก่อนล้วนแต่สรรเสริญ บันทึกประวัติศาสตร์ก็เอาแต่สรรเสริญยกย่อง  ไม่มีผู้ใดบอกว่าเป็นมารร้าย วาจาเจ้าหากแพร่ออกไปนอกวัง เกรงว่าคนก่อเกิดกระแสนับไม่ถ้วน”


“ฝ่าบาท กระหม่อมมีคำถาม ฮ่องเต้หมิงไท่จู่ตั้งราชวงศ์ สวีต๋า ฉางอวี้ชุน พวกนี้เป็นขุนพลมีชื่อกล้าหาญภักดี แต่คนรุ่นหลังสรรเสริญสวีต๋าหรือ หมิงไท่จู่มากกว่ากัน?”


“…….ย่อมสรรเสริญฮ่องเต้หมิงไท่จู่มากกว่าสิ หากไม่มีฮ่องเต้หมิงไท่จู่นำทัพ พวกเขาย่อมไม่อาจสร้างความชอบใหญ่เช่นนั้นได้!”


“ฝ่าบาท อีกสิบปี อีกร้อยปี อีกหลายร้อยปี ชัยชนะชายแดนเหนือยิ่งใหญ่นี้ย่อมสรรเสริญพระเกียรติฝ่าบาทกันมาก  หรือว่าสรรเสริญพวกกระหม่อมมากกัน?”


หวังทงถามถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงอึ้งไป ทว่ายังคงตอบอย่างเร็วว่า


“ย่อมเป็นเรา”


หวังทงยืดตัวขึ้นกล่าวว่า


“ฝ่าบาทเรื่องนี้ กระหม่อมขุนนางบู๊ยังรู้ แล้วพวกที่อ่านตำราปราชญ์กันมากพวกนั้น อยู่ในวงการขุนนางกันมานานพวกนั้นจะไม่รู้ได้อย่างไร พวกเขาสร้างข่าวลือใส่ร้ายเช่นนี้ก็เพื่อป้ายสีดำให้กับความชอบใหญ่จากชัยชนะครั้งนี้ มองเล็กๆ ก็คงไม่อยากให้กระหม่อมมีความชอบใหญ่ หากมองมุมใหญ่ ก็คือไม่อยากให้ฝ่าบาทมีความชอบใหญ่!”


กล่าวถึงตรงนี้ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เริ่มไร้รอยแย้มสรวล ยกพระหัตถ์ขึ้นลูบหนวดเคราครุ่นคิด หวังทงกล่าวว่า


“พวกทหารนักรบไม่กลัวความตาย ออกรบเสี่ยงตายกับพวกนอกด่านที่เหนือกว่าบนดินแดนต่างบ้านต่างเมือง  เดิมคิดว่าคงได้เกียรติยศความชอบมาก แต่กลับมีคนหาว่าไร้วินัยสร้างความเสื่อมเสีย บอกว่าพวกเขาคิดการไม่ซื่อ หากฝ่าบาทเป็นเช่นนี้ ขุนพลผู้กล้าไหนเลยจะยอมไปรบชายแดนเหนือ ก่อนตีเมืองเมืองกุยฮว่าเฉิง ยังไม่ได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่ ผู้ใดไม่รู้ว่าออกนอกด่านก็เท่ากับออกไปตายกัน แต่พวกเขาก็ยังไป เพื่ออันใด ก็เพราะจงรักภักดีต่อฝ่าบาท เพราะต้องการให้ชายแดนตอนเหนือแผ่นดินหมิงสงบสุข แต่การไปอย่างไม่เกรงกลัวความตายนี้ กลับมากลับถูกใส่ร้ายป้ายสีเช่นนี้ หากทหารทั้งหลายเจ็บปวดด้วยเรื่องนี้ ใต้หล้าเห็นแล้ว วันหน้าจะคิดเช่นไร?”


ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์นิ่ง น้ำเสียงหวังทงค่อยๆ เร่งเร้าต่ออีกว่า


“ฝ่าบาท ผู้ใดบุกเบิกแผ่นดินเพื่อฝ่าบาท ผู้ใดปกป้องแผ่นดินเพื่อฝ่าบาท ผู้ใดปกป้องฝ่าบาทจากมารร้าย ฝ่าบาท ล้วนเป็นขุนนางบู๊!! ขุนนางบู๊ต่อสู้แลกชีวิตก็เพื่อฝ่าบาท ยามนั้น พวกบัณฑิตไปอยู่ที่ใดกัน หรือว่าจะถือพู่กันออกมาสังหารศัตรูได้กัน!?”


“…….ไม่อาจปล่อยให้พวกเขากุข่าวลือเหิมเกริมใส่ร้ายได้ตามใจชอบเช่นนี้  หลายปีมานี้ ปล่อยพวกเขาให้กำเริบมากเกินไปแล้วจริง…….”


ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ ตรัส จางเฉิงด้านหลังสะดุ้ง  อึ้งมองไปด้านหน้า พระดำรัสฮ่องเต้ว่านลี่  ก็เท่ากับทำลายนโยบายแผ่นดินหมิงที่มีมาตั้งแต่สมัยฮ่องเต้อิงจงถึงตอนนี้ เขามองไปรอบทิศอย่างไม่รู้ตัว ไม่มีคนอื่น วาจานี้หากแพร่ออกไป ไม่รู้จริงว่าจะสร้างแรงกระเพื่อมมากสักเพียงใด


“ฝ่าบาท ผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงเป็นแม่ทัพมานานปี ครั้งนี้เคลื่อนทัพไป ย่อมมีความมั่นใจในชัยชนะใหญ่ การเคลื่อนกำลังครานี้ย่อมมั่นใจ การออกรบครั้งนี้ย่อมเพราะคิดกำลังศัตรูชายแดนตอนเหนือให้ราบคาบสิ้นไป แต่ฝ่าบาทเคยทรงคิดไหม เหตุใดเมื่อก่อนจึงไม่ทำอันใด หรือว่าแม่ทัพหลี่กังวลวาจาขุนนางบุ๋น?”


พูดถึงแต่ตัวเอง แรงจูงใจไม่มาก แต่หากยกตัวอย่างอื่นมาประกอบ เช่นนั้นก็ย่อมมีผลดีต่อการสร้างแรงกระทบจิตใจ ฮ่องเต้ว่านลี่หยุดเคลื่อนไหว หากครุ่นคิดหนัก


ในตำหนักเงียบกริบ

 

 

 


ตอนที่ 801

 

วางแผน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ไม่อาจปล่อยให้ทหารหลั่งโลหิตผู้ภักดีกับเราต้องเจ็บปวดใจ หวังทง ที่เจ้าทำนั้นไม่ผิด”


ในพระที่นั่งเงียบกริบ ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ ตรัสช้าๆ ทัพใหญ่นำชัยชนะใหญ่กลับมา ข่าวลือเมืองหลวงก็แพร่สะพัด  จนกระทั่งหวังทงลงมือจับกุมตักเตือนให้หยุด ตลอดทั้งเรื่องนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกมาตลอดว่าเป็นเรื่องของหวังทง


เริ่มแรกระแวงหวังทงคิดไม่ซื่อ ต่อมากลับเป็นหวังทงลงมือจัดการคนสร้างข่าวลือบัดซบ แต่คำอธิบายเมื่อครู่กลับทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเข้าใจ ขุนนางบุ๋นไม่อยากเห็นนั้นไม่เพียงแต่เป็นความชอบของหวังทง ไม่เพียงแต่เป็นเพราะขุนนางบู๊สร้างความชอบมา


คนพวกนี้อ้างหลักคำสอน อ้างความจงรักภักดีเคลื่อนไหว  ก็มีจุดหมายที่พระองค์เป็นหลัก ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยได้ถูกต้องยิ่งมาก ความสำเร็จยิ่งมาก วาจาก็ยิ่งมีน้ำหนักมาก ก็ยิ่งทำให้ทรงมีความคิดเห็นของพระองค์เองมาก


หากเป็นเช่นนี้ไป หน่วยงานต่างๆ ในราชสำนัก ขุนนางใหญ่น้อยก็ย่อมอ่อนแรงในการกุมอำนาจการเมือง ฮ่องเต้ไม่จำเป็นต้องฟังความคิดเห็นพวกเขา ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาช่วยเหลือก็สามารถสร้างความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ เช่นนี้การมีอยู่ของขุนนางจะมีค่าอันใด  ก็ย่อมยิ่งไร้ความหมาย นี่เป็นสิ่งที่ขุนนางใต้หล้าไม่อยากได้เห็น


ดังนั้นหากพวกเขาต้องการปฏิเสธและป้ายสีดำให้กับชัยชนะยิ่งใหญ่ชายแดนเหนือของหวังทง ก็เท่ากับปฏิเสธไม่ยอมรับการตัดสินพระทัยในครั้งนี้ของฮ่องเต้ว่านลี่


ทำให้ฮ่องเต้ได้รู้ว่าที่ทรงตัดสินพระทัยไปนั้นเป็นความผิดพลาด ไม่เป็นผลดีอันใดกับแผ่นดิน การที่ทรงทำตามขันทีในวังกับขุนนางบู๊นั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่ชัยชนะนี้นั้นยิ่งใหญ่เหลือคณา ใหญ่จนพวกเขาไม่อาจหาช่องทางปฏิเสธอย่างออกหน้าออกตาเปิดเผยได้ จึงได้แต่เดินตามช่องทางสกปรกชั่วร้ายเช่นนี้


ก่อนหน้านี้เซินสือหังมากล่าวแสดงข้อดีข้อเสียให้เห็นต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ ที่ชักจูงพระทัยฮ่องเต้ได้  ก็เพราะฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะสะเทือนต่อตำแหน่งที่ทรงอยู่ แผ่นดินนี้อาจไม่มั่นคง


เพื่อนสนิทเท่าไร คนสนิทเท่าไร หรือแม้แต่แม่ลูกพี่น้อง หากเกี่ยวพันถึงตำแหน่งฮ่องเต้กับใต้หล้าแล้ว ก็ไม่อาจยอมถอยได้แม้แต่ก้าวเดียว


แต่ตอนนี้หวังทงทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกเหมือนกันว่า ที่ขุนนางบุ๋นทำก็เป็นการร่วมหัวกันบีบอำนาจฮ่องเต้ พวกเขาไม่อยากให้ฮ่องเต้มีบารมีมากเกินไป ไม่อยากให้ฮ่องเต้มีผลสำเร็จยิ่งใหญ่เกินไป พวกเขาถึงกับไม่อยากให้ฮ่องเต้มีคนสนิทไว้ใจและมีความสามารถมากเกินไป


ที่ขุนนางบุ๋นคิด ฮ่องเต้ต้องปกครองใต้หล้านี้ก็ต้องพึ่งพาขุนนางบุ๋นเท่านั้น ต้องฟังความคิดเห็นขุนนางบุ๋น ต้องอาศัยขุนนางบุ๋นมาปกครองประเทศ


สภาพนี้ดูเหมือนว่าฮ่องเต้ว่านลี่อยู่เหนือสุด ขุนนางบุ๋นแต่ละชั้นล้วนเรียงตามลำดับในส่วนกลางอำนาจบริหารแผ่นดินหมิง แต่สถานการณ์เช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เป็นเพียงตำแหน่งไร้อำนาจ เจ้าของแผ่นดินหมิงตัวจริงไม่ใช่พระองค์ หากเป็นขุนนางบุ๋นและเหล่าราชบัณฑิต


“สมัยเสด็จปู่ แรกเริ่มก็มีเซี่ยเหยียน ต่อมาก็มีเหยียนซง ต่อมายังมีสวีเจี้ย แต่ไม่มีผู้ใดคุมอำนาจไว้เพียงผู้เดียว สมัยเสด็จพ่อ สวีเจี้ย กาวก่งกับจางจวีเจิ้งก็ไม่มีผู้ใดครองอำนาจบริหารแผ่นดินเบ็ดเสร็จ แต่กลับเป็นหลังเราครองราชย์ จึงปล่อยให้จางจวีเจิ้งได้ครองอำนาจบริหารถึงสิบปี”


ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสพึมพำ จางเฉิงมองแต่หวังทง วาจาหวังทงฟังพอรู้เรื่อง แต่ก็ยังงงอยู่บ้าง หวังทงจ้องมองไปยังฮ่องเต้ว่านลี่  ที่หวังทงพูดเมื่อครู่ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มสนใจครุ่นคิด


“ต่อมาเราจึงได้เริ่มรู้สึกตัว เพราะไม่รู้หลักการทานอำนาจ จึงทำให้จางจวีเจิ้งครองอำนาจเพียงผู้เดียว จางซื่อเหวยเดิมก็เหมือนจะครองอำนาจเพียงผู้เดียว ดีที่เขาต้องกลับไปไว้ทุกข์  จากนั้นก็เป็นเซินสือหังมาเป็นมหาอำมาตย์ แตขุนนางหกกรมกองเป็นพวกจางซื่อเหวย ทำให้พวกเขาต้องระวังกันเอง เราจึงได้กุมอำนาจอยู่ตรงกลางได้”


กล่าวถึงตรงนี้  ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป หันไปมองจางเฉิง ส่ายพระพักตร์แย้มสรวลตรัสว่า


“ให้ขุนนางบุ๋นจัดการขุนนางบุ๋นเอง สุดท้ายก็ยังเป็นพวกขุนนางบุ๋นอยู่ดี ครั้งนี้หวังทงนำชัยชนะใหญ่กลับมา เหยียนชิงจัดคนมายื่นฎีกา ส่งคนไปสร้างข่าวลือ เซินสือหังก็มาเข้าเฝ้าเรา สุดท้ายแล้วก็เป็นพวกเดียวกัน!”


ฮ่องเต้ว่านลี่ผุดลุกจากที่ประทับ ตรัสอย่างล่องลอยบอกไม่ถูกว่า


“เราเป็นผู้ใด แต่เล็กก็ได้รับการดูแลอย่างดี เป็นพระนัดดา เป็นรัชทายาท จากนั้นก็ได้ครองราชย์ แต่ละก้าวขึ้นมาอย่างราบรื่น ไหนเลยจะยากลำบากเหมือนเสด็จปู่ที่พอขึ้นครองราชย์ก็ต้องทรงต่อสู้กับพวกหยางถิง แต่เสด็จปู่ทรงพระปรีชา ยังคงให้พวกขุนนางบุ๋นจัดการขุนนางบุ๋นด้วยกัน วันนี้เราต่างกัน เราจะสร้างผลงานใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เราจะเปลี่ยนแปลงระบบที่มีมานานหลายปีนี้ จงรักภักดีต่อเรา หวังดีต่อแผ่นดินด้วยใจจริง เราก็จะให้อยู่ต่อ จะมอบอำนาจวาสนาให้ หากคิดกอบโกยเพื่อตนเอง ไม่สนใจแผ่นดินใต้หล้า วันๆ เอาแต่ถือตำราหลักการมาจัดการผู้อื่น เราก็จะไล่เขาไป ไม่เลี้ยงให้เสียข้าวสุก”


สุรเสียงค่อยๆ ใส่อารมณ์ ตรัสถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็มองหวังทงตรัสว่า


“ตอนนั้นเสด็จปู่เหตุใดจึงทรงให้ขุนนางบุ๋นทานอำนาจกันเอง นั่นก็เพราะมีลู่ปิ่ง วันนี้เรากล้าเปลี่ยนแปลงระบบที่มีมานานได้ก็เพราะเรามีเจ้า หวังทง!”


หวังทงรีบยืนขึ้นไม่ทันได้ทูลอันใด ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เข้ามาตบบ่าหวังทงตรัสว่า


“ใส่ร้ายขุนนางมีความชอบนี้ ไม่อาจปล่อยให้ยืดเยื้อ หวังทงเจ้าจัดการไปได้เต็มที่ มีเรื่องอันใด เราจะออกหน้าแทนเจ้าเอง!!”


“ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมจะต้อง……”


“ฝ่าบาท ฝ่าบาท กระหม่อม…….”


วาจาหวังทงยังไม่ทันจบ จางเฉิงก็รีบแทรกขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนง จางเฉิงรีบรับก้มหน้าขอพระราชทานอภัย แต่ก็ยังกล่าวอย่างร้อนใจว่า


“ฝ่าบาท เรื่องอาจนำมาซึ่งความยุ่งยากมากมาย ถึงตอนนั้น พวกในและนอกราชสำนักจะต้องเอะอะโวยวาย เกรงว่ายากจะจัดการให้สงบได้พะยะค่ะ!”


“เรื่องเช่นนี้พวกเขาย่อมต้องไม่ยอมอยู่นิ่ง แต่หากขุนพลของเรามีข่าวลือใส่ร้าย ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่อาจจบง่ายๆ มากกว่า ถึงตอนนั้นจะทำเช่นไร!”


ฮ่องเต้ว่านลี่หันไปตรัสสุรเสียงเข้ม จางเฉิงรีบคุกเข่าลง  ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกว่าทรงตรัสแรงไปสักหน่อย จึงได้ตรัสใหม่ว่า


“จางปั้นปั้นลุกขึ้นเถอะ เจ้าไม่ได้ผิดอันใด  พวกด้านนอกนั้นรุนแรงกันเช่นนั้นก็ต้องโดนกำราบเสียบ้างถึงจะดี”


บรรยากาศในห้องยามนี้เริ่มอึดอัด ในเมื่อพูดกันถึงขั้นนี้แล้ว หวังทงบรรลุเป้าหมายตนเองแล้ว ความคิดฮ่องเต้ว่านลี่ถูกเปิดออกให้ทรงได้คิดแล้ว


จากนั้นก็เป็นเรื่องคุยสัพเพเหระกันไป คุยกันถึงทัพใหญ่เข้าเมือง ยังมีเรื่องการจัดสรรสิ่งที่ได้มาจากชัยชนะครั้งนี้อย่างไรดี พูดถึงเรื่องนี้ พระตำหนักเมื่อครู่ที่ยังคงมีบรรยากาศอึดอัดก็มลายหายไปไม่น้อย


ท้องพระคลังได้เงินเข้ามาหลายล้านตำลึง ยังมีผลผลิตปีนี้ของเมืองกุยฮว่าเฉิงที่จะตามมาอีกก้อนโต ล้วนทำให้การใช้จ่ายในวังคล่องตัวมากยิ่งขึ้น หวังทงยังคุยถึงเรื่องที่ในเมื่อให้บรรดาพ่อค้ามีอาวุธปืนในครอบครองได้ สามารถปกป้องตนเองบนทุ่งหญ้านอกด่านได้ พวกเขามีอาวุธร้ายพวกนี้แล้ว ก็ย่อมอันตรายต่อชายแดน


ดังนั้นเพื่อรับมือกับอันตรายชายแดนเช่นนี้ก็ต้องรับมือให้ว่องไวได้ทันเวลา ต้องสามารถเข้าปราบปรามในเมืองได้ทันที จึงควรมีทหารม้าสามพันถึงห้าพันนาย กองกำลังทหารม้าหน่วยจู่โจมฉับไวชุดนี้นอกจากต้องมีความพร้อมแบบทหารม้าควรมี ยังควรมีปืนไว้ให้เพียงพออีกด้วย


ทหารม้าเช่นนี้ต้องใช้ม้าเกือบหมื่น ยังต้องมีเครื่องแต่งม้าและอาวุธ  และการป้องกันยามปกติก็ยังต้องใช้จ่ายแรงคนและเงินจำนวนมาก หากเป็นปีก่อน กรมทหารกับกรมอากรย่อมด่าทอมารดา แต่ปีนี้ได้รับชัยชนะใหญ่จากเมืองกุยฮว่าเฉิงมา เงินทองก็คล่องมือ ม้าก็ยิ่งไม่ใช่ปัญหา


แต่หากมีกองกำลังทหารม้าหน่วยจู่โจมฉับไวเช่นนี้แล้ว ทหารในสองเมืองอย่างเมืองต้าถงกับอวี้หลิน ยังต้องมีอีกหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่ต้องหารือกันต่อไป เพราะหากทิ้งกองกำลังไว้ที่เมืองกุยฮว่าเฉิง จากที่เคยเป็นผู้ถูกกระทำบนทุ่งหญ้ามากลายเป็นผู้จู่โจม แผ่นดินหมิงได้ครองแผ่นดินผืนนี้


ทว่าเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องคุยทั่วไป คุยกันสักพัก หวังทงก็เตรียมทูลลา ยังไม่ทันรอให้หวังทงทูลลา ฮ่องเต้ว่านลี่ที่ถูกจุดประกายจากเรื่องกองกำลังทหารม้าหน่วยจู่โจมฉับไว แย้มสรวลตบหน้าผากตรัสว่า


“คุยกันตั้งนาน ลืมเรื่องที่เรียกเจ้าเข้าเฝ้าเสียได้ เมื่อวานนี้ ลั่วซือกงถวายฎีกาว่าล้มป่วยขอลาออกจากตำแหน่ง เราก็อนุญาตไปแล้ว เขาเองเป็นคนรู้งานดี หวังทง เราตอนนั้นอยากให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร กลับถูกจางซื่อเหวยทัดทาน วันนี้นับว่าเราได้ทำได้แล้ว พรุ่งนี้ส่งคนไปประกาศราชโอกการที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร เจ้าตอนนี้เป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรแล้ว!”


หวังทงอย่างไรก็ต้องลุกขึ้นคุกเข่าขอบพระทัย ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลโบกพระหัตถ์ ตรัสว่า


“ลุกขึ้นๆ ตำแหน่งนี้ไม่ใช่เพราะเจ้ารบมีชัยมาจึงได้ เดิมเรารับปากให้เจ้าแล้ว ความชอบครั้งนี้  ต้องได้บรรดาศักดิ์ไม่กงก็โหว ทว่าวันหน้ายังอีกยาวไกล ครั้งนี้แต่งตั้งให้เจ้าเป็นโหวก่อน คิดชื่อไว้แล้ว  ติ้งเป่ยโหว (ท่านโหวปราบแดนเหนือ) เป็นชื่อจากความชอบของเจ้า”


กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลตรัสว่า


“ที่ดินพระราชทาน เจ้าก็ดูหาเอาเอง ถึงเวลาก็มารายงานจำนวนกับเรา เราอนุญาตไปก็พอ”


**************


การคุยกันเป็นส่วนตัวย่อมไม่ให้เจ้าจินเลี่ยงร่วมฟัง สถานการณ์เช่นนี้ ส่วนใหญ่เจ้าจินเลี่ยงก็จะไปรออยู่ด้านนอกประตู หวังทงทูลลาออกมาก็เจอพอดี


พระอาทิตย์ตกไปทางตะวันตกลับไปหลังกำแพงรอบๆ แล้ว เจ้าจินเลี่ยงกำลังจะทัก หวังทงยิ้มกระซิบว่า


“เสี่ยวเลี่ยง เจ้าให้คนไปบอกโจวอี้ส่วนตัว ให้เขารีบมาพบจ้า ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย!”


ป้องกันข่าวลือในวังตามหน่วยงาน หวังทงจึงได้แต่ให้เจ้าจินเลี่ยงช่วย  เจ้าจินเลี่ยงอึ้งไป ขันทีนำทางหวังทงออกจากวัง


ห่างจากประตูวังอีกระยะหนึ่ง โจวอี้ก็นั่งเกี้ยวเก้าอี้แบกมาถึง  นี่เป็นสิทธิพิเศษของขันทีใหญ่ในวัง โจวอี้ลงจากเกี้ยว ขันทีนำทางหวังทงรู้งานหลีกห่างออกไประยะหนึ่ง หวังทงเล่าเรื่องที่คุยกันในวังคร่าวๆ ยังไม่ทันรอให้โจวอี้ตั้งสติได้ หวังทงก็กล่าวว่า


“อย่าเพิ่งถามข้า ข้าถามท่านก่อน ที่ข้าทูลฝ่าบาท จางกงกงคงคิดว่าข้าเป็นขุนนางชั่วเช่นเจียงปินและเฉียนหนิงแล้วกระมัง!”


ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ โจวอี้ เงียบไปครู่หนึ่ง ยิ้มเฝื่อนๆ กล่าวว่า


“หากเป็นดังที่น้องหวังว่ามา เกรงว่าท่านพ่อบุญธรรมคงคิดว่าเจ้ายิ่งกว่าสองคนนี้ไปเสียแล้ว….”


หวังทงส่ายหน้าเดินไปสองสามก้าว ก็กล่าวจริงจังว่า


“ฝากไปบอกจางกงกงว่า ตั้งแต่ฮ่องเต้อู่จงมา เพราะหลิวจิ่นกับขุนนางทั้งเจ็ด ทำให้จากนั้นสามรัชสมัยล้วนเข้มงวดกวดขันกับในวังมาก สถานการณ์ที่ให้ความสำคัญกับขุนนางนอกวังมากกว่าในวังก็ร้อยปีมาได้แล้ว ตอนนี้เป็นห้วงเวลาปรับเปลี่ยน เป็นโอกาสอันดี หรือว่าจางกงกงไม่อยากไขว่คว้าไว้กัน?”


 

 

 


ตอนที่ 802

 

ลงมือด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

โดย

Ink Stone_Fantasy

อำนาจการเมืองบนแผ่นดินหมิง มีการสมดุลอำนาจกันระหว่างขุนนางบุ๋นและบู๊  มีสมดุลกันระหว่างในวังฝ่ายในและนอกวังในราชสำนัก  ตั้งแต่เหตุการณ์ป้อมถู่มู่ในสมัยฮ่องเต้อิงจง ขุนนางบู๊ทั้งหลายและขุนพลคนสนิทถูกกำราบสิ้นไปหมด ขุนนางบุ๋นกับขุนนางบู๊ก็ไร้การสมดุลอีก  เป็นเพียงแค่สุนัขรับใช้ในวังฝ่ายในกับขุนนางบุ๋นเท่านั้น


ตั้งแต่ตั้งแผ่นดินหมิงมา ในบรรดาฮ่องเต้ มีเพียงปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางกับฮ่องเต้จูตี้หมิงไท่จู่เท่านั้นที่ครองอำนาจเต็มที่ ก็เพราะสร้างรากฐานมาจากการสังหาร ที่เหลือ โดยเฉพาะหลังสมัยฮ่องเต้อู่จงมา ก็ล้วนตกใต้อำนาจของขันทีในวังกับขุนนางในราชสำนัก ฮ่องเต้อยู่ในสถานะเป็นกลาง สมดุลอำนาจ


มีหลายครั้งที่ฮ่องเต้จัดการฝ่ายหนึ่งลง อีกฝ่ายก็จะครองอำนาจนานเกินไป พอมาฮ่องเต้องค์ถัดมาก็จะเปลี่ยนแปลง แต่ผลก็มักจะทำให้อีกข้างได้ครองอำนาจไปฝ่ายเดียวอยู่ดี


ตอนฮ่องเต้อิงจงครองราชย์ มีขุนนางแซ่หยางสามคนครองอำนาจบริหาร ได้รับการสรรเสริญว่ามีความสามารถ แต่ต่อมาก็เป็นขันทีใหญ่หวังเจิ้นครองอำนาจในรัชศกหงจื้อแห่งฮ่องเต้หมิงเสี้ยวจง เรียกได้ว่าเป็นสมัยการค้ารุ่งเรือง  จากนั้นก็หลิวจิ่นกับคณะรวมแปดคนรวมเรียกว่าแปดพยัคฆ์ ครองอำนาจในรัชศกเจิ้งเต๋อแห่งฮ่องเต้อู่จง ที่ถูกเรียกว่าคณะขันทีก่อการให้วุ่นวาย ต่อมาก็สมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง ราชสำนักรู้จักกันแต่มหาอำมาตย์ ไม่รู้จักหัวหน้าสำนักขันทีในสำนักส่วนพระองค์


ตั้งแต่หยางถิงเหอมาถึงจางชง ตั้งแต่เซี่ยเหยียนมาถึงเหยียนซง จากนั้นก็สวีเจี้ย สมัยฮ่องเต้หลงชิ่งสถานการณ์ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม พอสวีเจี้ยไป กาวก่งก็มา ฮ่องเต้ว่านลี่ครองราชย์มาถึงวันนี้ ทุกคนก็รู้ดีแก่ใจ มหาขันทีเฝิงเป่าครองอำนาจใหญ่ แต่ใต้หล้าล้วนรู้จักแค่จางจวีเจิ้ง จากนั้นก็จางซื่อเหวยกับเซินสือหังเป็นมหาอำมาตย์ แต่ไม่นาน แต่ขุนนางราชสำนักมักเป็นใหญ่ สถานการณ์ขุนนางฝ่ายในยังคงเป็นเช่นเดิม


ถามบัณฑิตใต้หล้า ผู้ใดเป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์  ที่ตอบได้ย่อมน้อยยิ่งกว่าน้อย อำนาจพวกขันทีเกือบไม่เคยออกมานอกวัง ในวัง 12 สำนักขันที 24 หน่วยงาน อำนาจถูกบีบหมด


หวังทงเดินไปกล่าวไป โจวอี้ตามไป กล่าวจบ โจวอี้ก็คิดจะตอบรับคำ หากก็อึ้งไปทันที ฝีเท้าหยุดลง


ในวังปฏิบัติหน้าที่นั้นต้องคิดรอบคอบหลายเรื่อง ใต้เท้าหวังกับโจวกงกงคุยกันส่วนตัว คนนำทางย่อมไม่กล้าเข้าใกล้นัก โจวอี้หยุดเดิน ทุกคนก็ย่อมหยุดตาม


หวังทงยังคงเดินต่อไปสองสามก้าว พบว่าโจวอี้หยุด ก็หันไปมอง เห็นสีหน้าโจวอี้ตะลึงงัน เห็นหวังทงมองกลับมา โจวอี้ก็สะบัดหน้า รีบก้าวตามไป กล่าวเบาๆ ว่า


“เหนือคาดๆ พี่ไม่คิดจริงๆ ว่าวาจานี้จะเป็นน้องหวังกล่าวมา”


“ข้าจากตำแหน่งพลทหารถนนทักษิณมาถึงตำแหน่งในวันนี้ได้  พี่โจวกับกงกงทุกท่านก็ช่วยเหลือไม่น้อย ข้าคิดเช่นนี้มีอันใดไม่เหมาะหรือ?”


“น้องหวังทงทำเช่นนี้แม้ว่าดูแล้วไร้หนทางเป็นจริง แต่คิดให้ดี ก็เพราะภักดีแผ่นดิน เจ้าก็รู้ว่า ที่เจ้าพูดเมื่อครู่นั้นหากแพร่ออกไปนอกวังแล้วล่ะก็ บัณฑิตใต้หล้าก็ย่อมเกลียดชังอยากกินเนื้อเจ้า ดื่มเลือดเจ้า อย่าว่าแต่บัณฑิตนอกวังเลย แม้แต่ในวังก็คงมีคนเกลียดเจ้าเข้ากระดูกดำ”


สองคนสนทนนากันถึงตรงนี้ หวังทงเองก็ตกใจอยู่ ถามขึ้น


“เมื่อครู่ที่คุยกันเห็นๆ ว่าเพื่อคนในวัง เหตุใดในวังมีคนคิดเช่นนี้ พี่โจว ที่ข้าเสนอเมื่อครู่ ไปพูดหรือไม่อย่างไรก็แล้วแต่ท่าน ข้าไม่อยากให้ท่านลำบากใจ”


“ย่อมต้องพูด น้องหวังทำงานแม้ว่าทำให้เดาทางไม่ถูก แต่ไม่เคยทำไม่สำเร็จ เจ้าว่าคนในวังเหตุใดจึงต้องคัดค้านเจ้า ก็เพราะพวกเรียนตำรามาเรียนจนเลอะเลือนกันไปหมด ลืมไปแล้วว่าตนเองเป็นใคร ก็มีไม่น้อย”


*************


หวังทงมาถึงห้องทำงานสำนักองครักษ์เสื้อแพร ก็พบว่าสถานการณ์กับตอนกลับมาแรกๆ ไม่เหมือนกันแล้ว วันนั้นทุกคนเหมือนแสดงท่าทีเหินห่าง แต่วันนี้กลับเป็นท่าทีหวาดกลัว


เดินไปตามระเบียงทางเดินไปยังห้องทำงาน หากอยู่ในขอบเขตสายตากวาดตามองไป ไม่มีผู้ใดกล้าขยับ ล้วนทิ้งมือนิ่งยืนรอ พอหวังทงเดินผ่าน ก็ทักทายอย่างนอบน้อม พลทหารเป็นเช่นนี้ นายกองธงเล็กเป็นเช่นนี้ นายกองธงใหญ่เป็นเช่นนี้ นายกองร้อยเป็นเช่นนี้ นายกองพันเป็นเช่นนี้ รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็เช่นนี้ ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรมาเพียงหนึ่งคนอย่างผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหยางจั้นก็เช่นกัน


พอเดินเข้าไปยังลานหน้าห้องทำงาน ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหยางจั้นถึงกับคุกเข่าลง กล่าวนอบน้อมยิ่งว่า


“ใต้เท้าหวัง จวนอู่ชิงโหวส่งคนมา 21 คน ล้วนถูกจับเพราะลักขโมย ในจวนลงทัณฑ์มาแล้ว ส่งมาถึงที่ทำการเราก็ไร้ลมหายใจแล้ว”


ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรพบรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร สนิทกันก็ประสานมือ ไม่สนิทกันก็พยักหน้า หากมีความขัดแย้งกัน แม้แต่ไม่สนใจก็ยังได้ หากไม่มีคุกเข่าอย่างเด็ดขาด


หวังทงเองก็ไม่เกรงใจหยางจั้น กล่าวเพียงว่า


“น่าจะทนพิษบาดแผลไม่ไหวตายไปกระมัง รออีกสักครู่ให้คนมาชันสูตรศพ หากมีอันใดไม่ถูกต้อง ก็ส่งคนไปจับตัวที่จวนโหวเพิ่ม!”


หยางจั้นฟังแล้วก็ตัวสั่นเทา รีบกล่าวว่า


“ขอใต้เท้าวางใจ  จวนอู่ชิงโหวครั้งนี้ไม่ได้มีเรื่องอันใดปิดบังซ่อนเร้น”


หวังทงพยักหน้า แค่นเสียงกล่าวว่า


“ใต้เท้าหยาง เจ้าเติบโตมาจากตำแหน่งใดนั้น ข้ารู้ดี แต่เจ้าอยู่ตำแหน่งนี้แล้วก็ทำงานที่ควรทำไปให้ดีก็พอ!”


กล่าวจบก็หันหลังเดินเข้าห้องไป หยางจั้นที่คุกเข่าอยู่ด้านหลัง รอจนหวังทงเข้าห้องทำงานไปจึงได้ลุกขึ้น เขามาจากจวนอู่ชิงโหว ย่อมรู้ว่าทางจวนอู่ชิงโหวได้รับการสั่งสอนอย่างไร และก็รู้ว่าหวังทงจากนี้จะมีสถานะใด จวนโหวส่งคนร้ายตัวจริงมาหรือไม่เขาย่อมรู้ดี


**************


“ศพที่ส่งจากจวนอู่ชิงโหวมาให้ชันสูตรเสร็จแล้ว เป็นคนจากจวนนั้นจริง มีสามคนไม่ใช่คนในรายชื่อที่ใต้เท้าส่งไป แต่ก็ถูกวางยาตายมาด้วย”


ณ ห้องทำงาน หยางซือเฉินกล่าวรายงาน หวังทงกำลังอ่านเอกสารอื่นอยู่ ยามนี้เงยหน้าขึ้นยิ้มกล่าวว่า


“คิดไม่ถึงว่า โรงงิ้วยังทำกำไรได้  โรงงิ้วถึงกับกำไรมากพอๆ กับเปิดหน้าร้านขายของ”


“ใต้เท้าจากไปครึ่งปีได้ ครึ่งปีนี้โรงงิ้วเป็นที่นิยมในเมืองหลวงมาก ทางเทียนจินก็เปิดสามโรง  ไม่ต้องพูดถึงว่ามีคนมาชมกันมาก พวกคณะงิ้วที่แต่ละจวนเลี้ยงดูไว้ หากไม่มีงิ้วแสดง ก็จะถูกเสียดสีว่าปิดตัวต่อโลกภายนอก ไม่มีทุนควักกันแล้ว มีบางตระกูลก็ส่งไปโรงงิ้ว ยังมีพวกบัณฑิตที่ชื่นชอบเรื่องพวกนี้ไม่น้อย ยังเขียนบทให้โรงงิ้วเล่นเองด้วย หากว่าได้รับกระแสตอบรับดี ก็สร้างชื่อได้ นางในหอคณิกาที่มีชื่อเสียงก็ยังสามารถปรากฏตัวบนเวทีงิ้วเพื่อแสดงสถานะตนเอง ใต้เท้า ข้าน้อยคิดว่า บทเพลงงิ้วที่รุ่งเรืองยามนี้ บทกวีกาพย์กลอนอีกร้อยปีก็อาจไม่เป็นที่นิยม แต่ใต้เท้าจะได้จารึกชื่อในประวัติศาสตร์ด้วยเรื่องนี้เป็นแน่”


รูปแบบกิจกรรมบันเทิงทางวัฒนธรรมใหม่แขนงหนึ่ง เป็นหวังทงผลักดันให้เกิดและเป็นที่นิยม  เรื่องนี้ย่อมสามารถได้รับการจารึกชื่อในประวัติศาสตร์ ตอนที่หวังทงดำเนินการเรื่องนี้ ก็ไม่ได้คิดมากมายเพียงนี้ คิดแค่จะเป็นวิธีการเผยแพร่เกียรติภูมิองครักษ์เสื้อแพรเท่านั้น


แต่หยางซือเฉินกล่าวเช่นนี้ ย่อมทำให้รู้สึกดีใจจากใจลึกๆ หวังทงรู้สึกสุขใจ หยางซือเฉินถามขึ้น


“ใต้เท้า อู่ชิงโหวกระทำการรอบคอบ เหตุใดครั้งนี้จึงผิดพลาดเช่นนี้ได้ ใช้คำว่า เลอะเลือน ก็ยังเรียกว่าให้เกียรติเกินไป  ไม่เข้าใจเสียจริง?”


“มีอันใดไม่เข้าใจกัน เงินทองล่อใจ เทียนจินเป็นดังภูเขาทองทะเลเงิน แหล่งรวมเงินทองที่เรียกได้ว่าสูงสุดแห่งแผ่นดินหมิง เงินทองก้อนโตเช่นนี้กำลังจะตกถึงมือแล้วแท้ๆ ผู้ใดจะคิดว่าข้าจะมีชัยกลับมา ของที่กุมไว้ในมือแล้วหลุดลอยไป ในใจก็ย่อมโกรธแค้น  ย่อมต้องหาทางระบาย ก็ย่อมเป็นได้”


หยางซือเฉินพยักหน้า หวังทงกล่าวต่อว่า


“ในวังมีข่าวมาว่า  มีบัญชีหาที่ลงไม่ได้ก็มาลงที่หัวข้า อู่ชิงโหวทำเช่นนี้ หนึ่ง ระบายอารมณ์ สอง คงจะแสดงให้ผู้ใดดู”


หลายเรื่องแค่แตะโดนก็ให้หยุดก็พอ เรื่องอำนาจต้องคิดให้รอบด้าน เรื่องในวัง แม้เป็นคนกันเองก็พูดให้น้อยจะดีที่สุด


หยางซือเฉินหอบเอกสารออกไป ไม่นานก็กลับมา เห็นหวังทงนั่งเหม่อกำลังคิดอันใดอยู่ เห็นหยางซือเฉินเข้ามา หวังทงก็ได้สติ ถามขึ้น


“ท่านหยาง ท่านคิดว่าขันทีในวังปฏิบัติหน้าที่เทียบกับขุนนางบุ๋นนอกวังปฏิบัติหน้าที่ เป็นอย่างไร?”


หยางซือเฉิน อึ้งไป ตามด้วยอาการหลุดหัวเราะออกมาว่า


“ข้าน้อยแม้เป็นขุนนางบุ๋น ยังมีตำแหน่งบัณฑิตจวี่เหริน ทว่าได้ติดตามใต้เท้าปฏิบัติหน้าที่มาเกือบห้าปี  ที่ได้พบได้เห็นมาไม่น้อย ขันทีในวังปฏิบัติหน้าที่พึ่งพาได้มากกว่าพวกบัณฑิตอ่านตำรานอกวังพวกนั้นมาก”


“อย่างไร?”


“ขันทีในวังตั้งแต่เข้าวังจนออกปฏิบัติหน้าที่ ล้วนต้องอดทนคัดเลือกจากการทำงานมาทีละขั้น แม้ว่าเรียนในสำนักศึกษาในวังมาเหมือนรัน แต่หากอยากเป็นขันทีอาลักษณ์ ก็ต้องผ่านการปฏิบัติหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ สุดท้ายจึงได้คัดเลือกมาเป็นหัวหน้างาน ไม่มีเวลา 10 ปี 15ปี ฝึกฝน ย่อมไม่อาจเป็นหัวหน้างานในสำนักขันทีได้ ไม่มีเวลา 20 ปี 30 ปี ย่อมไม่อาจเป็นมหาขันที หรือรองมหาขันทีได้ ส่วนขุนนางบุ๋นปฏิบัติหน้าที่ ร่ำเรียนได้ดี สอบติดประกาศทองคำ ย่อมได้ตำแหน่งผู้ว่านอกเมืองหลวง หรือได้ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยงานในเมืองหลวง  ดีที่สุดก็ได้เป็นขุนนางในสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วน ขุนนางเมืองหลวงคิดจะเลื่อนสถานะตนเองไปสู่ตำแหน่งอื่นนั้น สำคัญที่ชื่อเสียง  ผู้ใดกล้าออกมากล่าวตรงไปตรงมา ผู้ใดกล้ากล่าววาจาที่ทำให้คนทั่วไปต้องตกตะลึง ผู้นั้นก็มีชื่อ ผู้นั้นก็จะได้เลื่อนตำแหน่งเร็ว สำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วนไม่อาจมีพระอาจารย์อีก  ไม่อาจมีอาจารย์สอนรัชทายาท ไม่เช่นนั้นขุนนางในสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วนก็จะได้ก้าวขึ้นตำแหน่งอย่างรวดเร็ว สิบปีไม่เกิน ก็จะได้ตำแหน่งเสนาบดีชั้นสาม พวกส่วนกลางส่วนใหญ่ไม่เคยออกนอกเมืองหลวง ขุนนางในเมืองหลวงทุกวันแย่งกันสร้างชื่อ ส่วนพวกที่ได้ไปประจำตำแหน่งขุนนางท้องที่มักเป็นพวกเรียนหนังสือไม่เก่ง ไม่มีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่ง หากเป็นเช่นนี้ ขันทีก็ย่อมไว้วางใจได้มากกว่าขุนนางบุ๋น”


“หืม? หวังเจิ้น กู่ต้าย่ง วังจื๋อ หลิวจิ่น พวกนี้ในบันทึกประวัติศาสตร์ล้วนเป็นพวกถูกบันทึกว่าทำลายระบบราชสำนัก ทำลายใต้หล้านี่!”


ได้ยินหวังทงถามเช่นนี้ หยางซือเฉินรู้สึกแปลกใจ เพราะหวังทงแต่ไรมาไม่เคยสนใจเรื่องนี้ แต่พอเห็นสีหน้ายิ้มของหวังทง เขาก็ตอบอย่างสบายๆ ว่า


“ตอนคณะขันทีเรืองอำนาจ ใต้หล้าใช่ว่าจะเลวร้าย  ตอนมีคณะบริหารอำนาจปกครองได้ดี ใต้หล้าใช่ว่าจะดี ที่ประวัติศาสตร์บันทึกนั้น ใต้เท้าต้องดูว่าประวัติศาสตร์นี้เป็นผู้ใดเขียน ย่อมไม่ใช่ขันทีชำระประวัติศาสตร์”


“อันนี้ก็อาจไม่จำเป็น ซือหม่าเชียนชำระประวัติศาสตร์ เขาก็เป็นขันที”


หวังทงสัพยอก หยางซือเฉินอึ้งไป สองคนสบตากันหัวเราะดังลั่น คุยกันสบายๆ  หวังทงกำลังจะกล่าวต่อ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งร้อนด้านนอกดังมา ได้ยินเสียงหานกังตะโกนมาจากนอกประตูว่า


“ใต้เท้า หน้าประตูตอนนี้มีบัณฑิตราวเกือบ 400 มาออกัน ตามท้องถนนยังมีคนตามมาสมทบ!”


ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าหยางซือเฉินแปรเปลี่ยน หวังทงนั่งนิ่งแค่นเสียงเยียบเย็นกล่าวว่า


“มาแล้ว!”

 

 

 


ตอนที่ 803

 

ขุนนางบัณฑิตเช่นนี้ไม่สู้สุนัข

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ใต้เท้า ไม่เพียงแค่ราชบัณฑิต ยังมีจากสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน ยังมีขุนนางจากสำนักตรวจสอบกับหกกรมกองอีก!”


หานกังพึ่งรายงานจบ โหววั่นไฉก็วิ่งมาด้วยเช่นกัน ตอนนี้ทั้งสำนักผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร  หยางจั้นยุ่งกับเรื่องจวนอู่ชิงโหว ที่เหลือก็อ้างลาป่วย หน้าที่สั่งการหลักก็ย่อมเป็นหวังทงคนเดียว


หานกังกับโหววั่นไฉเป็นคนสนิทหวังทง คนปฏิบัติหน้าที่จึงต่างมาวิ่งมารายงาน


“ใต้เท้า ประตูหน้ามีคนราว 1,000 กว่า!!”


“ใต้เท้า ผู้คุ้มกันประตูหน้าใกล้จะรั้งไม่อยู่แล้ว หากไม่ลงมือใช้กระบองไล่ ก็จะถูกพวกเขาเบียดติดประตูแล้ว!!”


“ใต้เท้า รีบตัดสินใจด้วย!!”


แม้อยู่ในตำแหน่งห้องทำงานหวังทง ก็ได้ยินเสียงเอะอะข้างนอก เสียงตะโกนโหวกเหวกดังมา หวังทงในห้องกลับไม่มีท่าทีร้อนใจเปลี่ยนชุดขุนนางออกเป็นชุดเกราะอ่อนแบบขุนนางบู๊ขี่ม้าเสร็จ จึงได้ก้าวออกไป


องครักษ์เสื้อแพรหน้าประตูกับขุนนางใหญ่น้อยราวกับมดแตกรัง หวังทงส่ายหน้ากล่าวน้ำเสียงเยียบเย็นว่า


“บุกที่ทำการพลการ ผิดกฎหมาย พวกเจ้าทำไมไม่กล้าลงมือขับไล่ ยังต้องกลัวล่วงเกินขุนนางพวกนี้อีกหรือ พวกเจ้าเป็นองครักษ์เสื้อแพรปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของพวกเขา”


หวังทงก้าวเท้ายาวออกไปด้านนอก เดิมเห็นหวังทงในชุดเกราะอ่อน ทุกคนยังคิดว่าหวังทงจะลงมือหรือไม่ก็คิดหนี คิดไม่ถึงว่าหวังทงกล่าวเพียงสองคำ แล้วก็เดินออกไปลานชั้นนอก


โหวเจินแห่งกองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรรีบตามไป กระซิบว่า


“ใต้เท้าหวัง คนด้านนอกพวกนั้นล้วนเลอะเลือนหน้ามืดตามัว ใต้เท้าออกไปเช่นนี้ เกรงว่ามีอันตราย”


กำลังกล่าวอยู่นั้น ถานต้าหู่ก็รีบวิ่งเข้ามา พอเห็นหวังทงเดินอยู่ข้างหน้า ด้านหลังมีคนกลุ่มใหญ่ตามมาก็รีบหยุดคำนับ รายงานเสียงดังว่า


“แม่ทัพใหญ่……ใต้เท้า  ฉีอู่ไปตั้งแถวม้ารออยู่หน้าประตูแล้ว คนด้านนอกไม่กล้าบุกเข้ามาแล้ว!”


หวังทงพยักหน้าพอใจ องครักษ์เสื้อแพรที่กำลังแตกตื่นตกใจจึงค่อยนึกได้ว่า เบื้องหน้าผู้นี้ก็คือแม่ทัพใหญ่สังหารพวกนอกด่านเมืองกุยฮว่าเฉิงมาหลายหมื่น ผ่านสมรภูมิภูเขาดาบทะเลเพลิงมา ไหนเลยจะเกรงกลัวบัณฑิตด้านนอกพวกนั้นกัน


พอผ่านเรือนอาคารชั้นสองออกไป ก็เห็นประตูชั้นในของสำนักองครักษ์เสื้อแพร มีทหารยืนเรียงแถว ทุกคนอาวุธพร้อมสรรพ ด้านหน้าเห็นม้าเรียงแถวอยู่ ด้านนอกส่งเสียงเอะอะดังเข้ามา


‘ปล่อยตัวขุนนางภักดี!!’ ‘ปล่อยตัวขุนนางภักดี!!’ ‘หวังทงเจ้าภัยร้ายแผ่นดิน!!’ ‘หวังทงเจ้าภัยร้ายแผ่นดิน!!’


ตำแหน่งนี้ย่อมได้ยินเสียงตะโกนด้านนอกชัดเจน หวังทงยิ้มไม่พอใจ กำลังจะก้าวขึ้นหน้าไป ก็มีคนดึงไว้ หันไปมองเห็นสีหน้าซีดขาวของหยางซือเฉิน หยางซือเฉินกระซิบร้อนใจว่า


“ใต้เท้า ขอมาคุยทางนี้หน่อย!”


หวังทงหันไปโบกมือเป็นสัญญาณ เดินไปอีกทางกับหยางซือเฉิน พอหาที่ยืนได้ หยางซือเฉินก็กล่าวว่า


“ใต้เท้า ยากฝืนพลังปวงชน ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวมากมายมากันที่นี่ แม้อาจมีใต้เท้าในราชสำนักหรือในวังให้การหนุนหลัง แต่เกรงว่าตอนนี้ต้องพลิกแพลงก่อน หากมีคนถือโอกาสอ้างเหตุนี้ เกรงว่าคงยุ่งยากไม่น้อย”


“เช่นนั้นท่านว่าควรทำเช่นไร?”


“ใต้เท้า ปล่อยคนไปก่อน วันหน้าค่อยคิดหาทางใหม่ ไม่เช่นนั้นด้านนอกก่อตัวเป็นกระแสคลื่นใหญ่ เช่นนั้นย่อมเกิดเรื่องใหญ่!”


“หากข้าปล่อยตัวคนพวกนี้ไป ใช่ว่าเป็นการบอกพวกเขาหรือว่า การแพร่ข่าวใส่ร้ายไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกจับไปลงโทษ”


“ใต้เท้า!! ยามนี้ไม่ใช่เวลาใช้อารมณ์!! ตั้งแต่ตั้งแผ่นดินหมิงมา ก็มีแค่เหตุการณ์แต่งตั้งพระอนุชาฮ่องเต้อู่จง ซึ่งก็คือฮ่องเต้ซื่อจงขึ้นครองราชย์ที่เหตุขุนนางบัณฑิตรถกธรรมเนียมครั้งใหญ่ยาวนานหลายปี จากนั้นมา ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องระมัดระวังให้รอบคอบ!”


เห็นสีหน้าร้อนใจยิ่งของหยางซือเฉิน หวังทงยิ้มตบบ่ากล่าวว่า


“ข้ารู้อยู่ว่าทำอันใด ท่านไม่ต้องเป็นกังวล”


กล่าวจบก็ไม่ได้เดินออกประตูใหญ่ หากเดินไปทางประตูเล็กด้านข้างแทน ประตูใหญ่สำนักองครักษ์เสื้อแพรสูงตระหง่าน ด้านในมีเรือนอาคารมากมาย


อาคารริมกำแพงนั้นไม่สูงนัก มีสองชั้น ปกติไม่มีสิ่งของวางเกะกะ กำแพงฝั่งด้านนอกชั้นสองมีหน้าต่างสี่เหลี่ยมมากมาย ช่องหน้าต่างห่างจากพื้นราวหนึ่งจั้ง อย่างมากสุดก็แค่ยื่นหัวออกไป ตัวออกไปไม่ได้


การสร้างเรือนแบบนี้หากเดินทางไปทางใต้มามากก็ย่อมได้เห็นกำแพงเมืองมามาก ก็ย่อมพบว่า กำแพงเมืองกับกำแพงด้านนอกล้วนมีธรรมเนียมก่อสร้างเช่นนี้


สำนักองครักษ์เสื้อแพรสร้างตามแบบป้อมปราการ แต่นานวันเข้า องครักษ์เสื้อแพรก็ลืมหน้าที่เดิมที่ก่อตั้งมาของตนไป หวังทงมาที่นี่เดินวนหลายรอบก็พอเข้าใจ


‘ปล่อยตัวขุนนางภักดี!!’ ‘หวังทงเจ้าภัยร้ายแผ่นดิน!!’ ยังคงตะโกนไม่หยุด หวังทงเดินขึ้นไปชั้นสองเปิดหน้าต่างที่ติดกำแพงออก ลอบมองไปยังคนด้านล่าง


มีขุนนางหนุ่มในชุดยาวกันมาก สีหน้าก็ฮึกเหิมอยู่มาก และยังมีกลุ่มคนในชุดเสื้อแขนสั้นปะปนอยู่ บางส่วนน่าจะเป็นผู้ติดตาม บางส่วนชะเง้อมองรอบๆ น่าจะมามุงดูเรื่องสนุก  ยังมีสองสามคนท่าทางไม่ค่อยถูกต้องนัก  อายุราว 30-40 ก็มี ทว่ายืนอยู่รอบนอก พูดกำกับสองสามคำตลอดเวลา


กลุ่มคนส่งเสียงเอะอะไม่หยุด แต่เสียงตะโกนพร้อมกันนั้นไม่ได้ดังต่อเนื่องแล้ว ตามปกติทุกคนตะโกนกันเสร็จก็จะเงียบ ไม่คุยกันทั่วไปก็เดินหน้าขึ้นมา พอใกล้ถึงหน้าประตู  เจอแถวม้าพร้อมทหารทวนยาววางแนวระนาบข่มขู่ไปสองสามคำ กลุ่มคนก็ถอย ยามนี้มีคนตะโกนออกมาจากฝูงชน จากนั้นทุกคนอึ้งไปก่อนจะตะโกนดังตาม


ยามนี้หยางซือเฉินเดินตามขึ้นมา หวังทงให้หยางซือเฉินมองลงไปจากช่องหน้าต่าง ชี้ให้ดูสิ่งที่ตนเองสังเกตเห็น


“มีคนปลุกระดม มีคนจัดตั้ง คนส่วนใหญ่ถูกล่อลวงมา”


“ใต้เท้า เรื่องเช่นนี้เริ่มแรกก็เป็นพวกไม่มีอันใดทำมามุงดูกัน แต่พอมาสุดท้าย ก็ถูกปลุกระดม ใต้เท้า เรื่องพวกนี้เกิดน้อยมาก แต่พอเกิดแล้วก็ย่อมเป็นภัยใหญ่ ไม่อาจประมาท!”


“ประมาทคงไม่ แต่รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนุก คนพวกนี้คิดหรือว่าก่อการขึ้นมาแล้ว คนมากจะทำอะไรได้ตามใจต้องการ?”


หวังทงยิ้มกล่าว ตะโกนเรียก


“โหววั่นไฉ โหววั่นไฉ!!”


แม้หวังทงไม่พอใจโหวเจิน ทว่าโหววั่นไฉนั้น หวังทงยังคงใช้งาน โหววั่นไฉตั้งใจทำงานกว่าเมื่อก่อนหลายส่วน เพราะกลัวว่าจะโดนไม่ด้วยด้วยเรื่องของอาตนเองไม่เป็นที่พอใจของหวังทง พอได้ยินหวังทงเรียก โหววั่นไฉรีบรีบวิ่งขึ้นมา หวังทงยิ้มกล่าวว่า


“เปลี่ยนเป็นชุดชาวบ้าน หาคนสนิทมาอีกสองสามคน เดี๋ยวไปที่หน้าประตู…….”


**************


หลังออกจากในวังก็สายมากแล้ว มาอยู่ที่ที่ทำการอีกสักพัก  ด้านนอกมีเรื่องกัน ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ทหารยามเฝ้าสำนักองครักษ์เสื้อแพรหลังได้รับอนุญาตจากหวังทงก็กลับบ้านออกไปทางประตูอื่น


เดิมทหารสำนักผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร หรือแม้แต่พวกเจ้าหน้าที่ทำงานเอกสารก็เคร่งเครียดกันมาก คนไม่น้อยควักดาบปักวสันต์ออกมาพกไว้ คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าหวังจะทำเหมือนไม่สนใจอันใด นอกจากตั้งแถวทหารม้าที่หน้าประตูแล้ว  จากนั้นก็เอาแต่มองดูอยู่เฉยๆ


ทหารกับขุนพลที่รับผิดชอบยังมาถามหวังทง ต้องการจัดแถวเตรียมป้องกันหรือไม่ หวังทงกลับยิ้มให้กลับไป บอกเพียงว่า ‘แค่ข้ากับทหารติดตามก็พอ’


เทียบกับความเครียดของหยางซือเฉินแล้ว หวังทงผ่อนคลายอย่างมาก พอถึงตอนจุดโคมไฟไล่ความมืด ทหารสองสามนายยกโคมออกไปแขวนด้านนอกด้วยไม้ท่อนยาว


คนด้านนอกเห็นชัดๆ ว่าแตกตื่น หวังทงชี้ให้หยางซือเฉินดู กล่าวว่า


“เจ้าดู คนพวกนี้เริ่มทนไม่ไหวแล้ว เจ้ารู้ไหมว่าทำไม?”


หยางซือเฉินมองไปกล่าวว่า


“หรือเพราะเป็นนานหากไม่ได้คำตอบจากใต้เท้า ดังนั้นพวกเขาเลยยิ่งร้อนใจ คิดจะบุกเข้ามา”


หวังทงโบกมือยิ้มกล่าวว่า


“เจ้าคิดมากไป คนส่วนใหญ่ด้านล่างนั้นต้องการกลับไปกินอาหารค่ำแล้ว?”


หยางซือเฉินอึ้งไป กำลังคิดเอ่ย หวังทงก็เคาะกำแพงยิ้มกล่าวว่า


“จากนี้มีเรื่องสนุก ดูกันต่อ!”


พอแขวนโคมไฟขึ้นไปไม่นาน ก็ได้ยินคนบนถนนตะโกนดังว่า


“คืนนี้หอฉินก่วนมีการแสดงสิบแปดนางฟ้า ผู้ใดมีความสามารถเขียนบทเพลงใหม่ได้ สุราอาหารฟรี และยังอาจได้สาวงามไปครองคืนนี้ด้วย!!”


นี่เป็นเรื่องที่เทียนจินแพร่มายังเมืองหลวงเรื่องหนึ่ง ร้านค้ามีสินค้าใหม่ โรงงิ้วมีละครงิ้วเรื่องใหม่ ล้วนมีรถใหญ่ออกตระเวนประกาศตีฆ้องตีกลอง ลากแผ่นป้ายประกาศออกไป ด้านบนแผ่นเขียนอักษรไว้ มีคนบนรถใหญ่ร้องตะโกนประกาศ หอฉินก่วนย่อมไม่แตกต่าง


หอฉินก่วนปรับเปลี่ยนสิบแปดนางฟ้าสามปีหนึ่งชุด เป็นนางระบำที่ได้รับการต้อนรับที่สุดในเมืองหลวง  บัณฑิตต่างชื่นชอบ ราวกับว่าหากไม่ไปชมก็จะขาดความบันเทิงอะไรในชีวิตไปสักอย่าง


ทางนั้นมีคนตะโกนขึ้น เดิมกลุ่มคนก็เริ่มแตกรังกันทนไม่ไหวแล้วก็ยิ่งเอะอะแตกรังมากขึ้น ไม่นานก็มีคนแต่งกายแบบบัณฑิตลังเลไปมาก่อนจะหันหลังกลับ ยามนี้ก็มีคนตะโกนว่า ‘ปล่อยตัวขุนนางภักดี!!’ ‘หวังทงเจ้าภัยร้ายแผ่นดิน!!’ ขึ้นอีก เสียงดังต่อๆ กัน


ภายใต้แสงโคมสาดส่อง สามารถเห็นคนหนุ่มสองสามคนที่เดินออกมาด้านหน้าได้ชัดเจน มีคนตะโกนว่า


“ขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด นี่เป็นธรรมเนียมบรรพชนกำหนดให้กล่าวได้อย่างไม่ต้องหวาดกลัวสิ่งใด วันนี้หวังทงกลับต้องการจับกุมคนที่สร้างข่าวลือใส่ร้ายในเมืองหลวงไปลงโทษอย่างเหิมเกริม บัณฑิตนับสิบถูกจับไร้ความผิด นานวันเข้า แผ่นดินย่อมไม่เป็นแผ่นดิน แผ่นดินย่อมวุ่นวาย แผ่นดินตั้งมาสองร้อยปี……”


น้ำเสียงปลุกระดมยังกล่าวไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงฆ้องเสียงกลองดังมาอีก มีคนตะโกนว่า


“โรงงิ้วภักดี โรงงิ้วตรอกเถียนสุ่ย โรงงิ้วตรอกม้าหินมีงิ้วเรื่องใหม่ นักแสดงมีชื่อร้องนำ ต้องซื้อตั๋วเข้าชม คืนนี้ไม่มีตั๋วจอง!!”


โรงงิ้วเป็นที่สถานที่ทุกคนให้การต้อนรับอย่างมาก หาตั๋วยาก และยังมีธรรมเนียมให้จองตั๋วล่วงหน้าได้ แต่งิ้วเรื่องใหม่วันแรกนั้นใครไปถึงก่อนได้เข้าชมก่อน


เทียบกับ 18 นางฟ้าหอฉินก่วนแล้ว ดูงิ้วชมงิ้วยิ่งเป็นเรื่องบันเทิงของคนส่วนใหญ่ที่นี่ พอตะโกนจบ ก็เริ่มมีเสียงแตกรังอีก พริบตา คนก็หายไปกว่าครึ่ง คนที่ปลุกระดมลังเลครู่หนึ่ง แม้ว่าไม่ยินยอม แต่ก็ได้แต่เดินจากไปเช่นกัน


“ก็แค่พวกงี่เง่า ยังกล้ามากล่าวอ้างคุณธรรมอันใด!”


หวังทงกล่าวไม่พอใจ สั่งการต่อไปว่า


“หานกัง นำคนไปจับตัวกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังสุดนั่นไปสอบสวนที่ที่ทำการ!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)