ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 790-791

 ตอนที่ 790 เลือก

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงเพ่งสมาธิมองไป


เห็นเพียงด้านบนอุโมงค์ที่หนึ่งสลักเครื่องหมายดวงตะวันสีเลือดหมูดวงหนึ่งเอาไว้ ด้านในอุโมงค์แสงสีแดงร้อนระอุส่องสว่างไม่หยุด ทั้งยังมีธารลาวาร้อนระอุปุดๆ พ่นออกมาจากขอบอุโมงค์เป็นระยะ มองดูก็รู้ได้ทันทีว่าอันตรายไม่ธรรมดา


เหนืออุโมงค์ที่สองสิ่งที่วาดสลักไว้คือจันทราสว่างดวงหนึ่ง ทางเข้าอุโมงค์แสงจันทร์เย็นตาแผ่กระจายแสงสีเงินยวงแผ่ออกมาเอื่อยๆ แม้เยือกเย็นวังเวงอยู่บ้าง แต่กลิ่นอายที่เล็ดลอดออกมาอ่อนโยนอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็อ่อนโยนกว่าอัคคีแดงฉานกับธารลาวาที่พ่นออกมาจากอุโมงค์พระอาทิตย์สีแดงอันแรกมาก


ส่วนด้านบนอุโมงค์ที่สามกลับประดับดวงดาวดาวพร่างพราวระยิบระยับ ในอุโมงค์ก็มีแสงดาววิบวับ แสงรัศมีสีน้ำนมสว่างวิบวับไม่หยุด แลดูลึกลับเป็นพิเศษ


มองออกไปไกลๆ อุโมงค์ทั้งสามเส้นล้วนคดเคี้ยวเชื่อมต่อไปที่ใดก็ไม่รู้ ทั้งยังไม่รู้ความลึกอีกด้วย


“ปรากฏทางเข้าสามทาง หมายความว่าให้พวกเราเลือกหรือ?” ดวงตาของบุรุษผมม่วงทอประกาย เขาหัวเราะพลางเอ่ยขึ้น


บนใบหน้าของคนอื่นๆ ก็เผยสีหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างได้เช่นกัน ชั่วขณะหนึ่งไม่มีผู้ใดเอ่ยตอบ


บุรุษผมม่วงเห็นสถานการณ์ก็ไม่แปลกใจ เขาสนใจแต่ตัวเองมองกลับไปมาระหว่างอุโมงค์ทั้งสามไม่หยุด


สายตาของหลิ่วหมิงก็กวาดมองกลับไปมาระหว่างอุโมงค์ประหลาดทั้งสามบนกำแพงหยกไร้ตำหนิอย่างระมัดระวังเช่นกัน คล้ายต้องการมองให้เห็นเงื่อนงำบางอย่างจากข้างใน


เมื่อครู่เขาปล่อยจิตสัมผัสกวาดไปด้านในอุโมงค์เส้นที่หนึ่ง ผลปรากฏว่าเพิ่งเข้าไปหนึ่งจั้งกว่า แรงต่อต้านรุนแรงสายหนึ่งพลันโถมทะลัก พริบตาเดียวก็ดีดสัมผัสออกมา


สองอุโมงค์ที่เหลือก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน


“ทั้งสามเส้นทางล้วนไม่อาจใช้จิตสัมผัสสำรวจได้ ไม่รู้ว่าด้านในแท้จริงมีสิ่งใดกันแน่?” เผิงเยวี่ยเดินเข้าไปใกล้หลิ่วหมิงสองสามก้าวแล้วเอ่ยเสียงเบา


แม้เสียงของเขาเบาอย่างที่สุด แต่เมื่อไม่ได้ส่งกระแสจิต คนที่อยู่ที่นั่นทั้งหมดย่อมได้ยิน


บุรุษผมม่วงได้ยินฉับพลันยิ้มอย่างยโส ร่างกายวูบไหวทีหนึ่งก็มาถึงเบื้องหน้ากำแพงหยกไร้ตำหนิทันที


เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของบุรุษผมม่วง คนอื่นที่ไม่เข้าใจเจตนาของเขาล้วนมองไป


ทุกคนเห็นเพียงเขาสีหน้าจดจ่อ ตวาดเสียงเข้มคำหนึ่ง บนฝ่ามือขวาปรากฏลวดลายจิตวิญญาณประหลาดสีดำเขียวสายแล้วสายเล่า


ฉับพลันแขนของเขาก็ยกขึ้น ฝ่ามือตบเข้าใส่ความว่างเปล่าเบื้องหน้านิดหนึ่ง ไอหมอกสีดำสลับเขียวสามสายพลันโถมออกมา หลังรวมตัวกันก็กลายเป็นเงาคนตัวน้อยที่มีลวดลายจิตวิญญาณสีดำเขียวแผ่อยู่เต็มสามร่าง


มนุษย์น้อยสามร่างขนาดเท่ากำปั้น ร่างกายดูแล้วพร่าเลือนอย่างประหลาด คลื่นพลังเวทอ่อนจนผิดปกติ คล้ายจะถูกสายลมเป่ากระจายได้ตลอดเวลา


“ไป!”


บุรุษผมม่วงโพล่งออกมาเบาๆ คำหนึ่ง มนุษย์น้อยสามร่างพลันค้อมกายคำนับ ร่างกายวูบไหวทีหนึ่งก็ทะยานร่างเข้าไปในอุโมงค์ทรงกลมสามเส้นนั่น ชั่วพริบตาหายเข้าไปด้านใน


ภาพที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้คนทั้งหมดเพ่งสมาธิกลั้นลมหายใจ


เพียงสองสามลมหายใจให้หลัง ในอุโมงค์แรกเสียงฟู่แผ่วเบาพักหนึ่งก็ดังออกมา แสงแดงฉานเจิดจ้าไหวระลอกหนึ่ง ชั่วครู่ให้หลังถึงกลับมาเป็นปกติ


อุโมงค์อีกสองเส้นกลับไม่มีเสียงหรือความเปลี่ยนแปลงอันใดสักนิด


หลิ่วหมิงกวาดมองไปบนใบหน้าของบุรุษผมม่วงด้วยความอยากรู้


ผลปรากฏว่าเขากลับหัวเราะลั่น หลังเก็บเคล็ดวิชาที่มือก็ทะยานร่างออกบิน เห็นเพียงลวดลายจิตวิญญาณสีดำเขียวรอบร่างเขากะพริบไม่หยุด บินตรงเข้าไปในอุโมงค์เส้นที่หนึ่ง ชั่วพริบตาก็หายไปไร้ร่องรอย


ทุกคนคิดไม่ถึงอย่างยิ่ง พวกเขาอดไม่ได้มองสบตากันทีหนึ่ง


ดูท่าบุรุษผมม่วงจะตรวจสอบพบความลับบางอย่างของอุโมงค์ทั้งสามแล้วถึงกล้าตัดสินใจเร็วปานนี้


หลังบุรุษผมม่วงเข้าไป ทางเข้าของอุโมงค์เส้นนี้ฉับพลันก็กระเพื่อมเหมือนระลอกคลื่นบนผิวน้ำ จากนั้นหดเล็กลงหนึ่งรอบกว่า


เวลานี้เองร่างกายหลัวเทียนเฉิงก็ขยับ หลังลอยหวือวูบหนึ่งก็พุ่งหายเข้าไปในอุโมงค์เส้นที่หนึ่ง


หลังเขาเข้าไป ทางเข้าอุโมงค์ก็หดเล็กลงอีกรอบหนึ่งในทันใด เหลือขนาดเกือบครึ่งหนึ่งของแต่เดิม


“ดูท่าจำนวนคนที่เข้าไปในอุโมงค์แต่ละเส้นคงจำกัดเอาไว้ อุโมงค์พระอาทิตย์นั่นอย่างมากที่สุดเข้าไปได้อีกสองคน” เผิงเยวี่ยลอบส่งกระแสจิตสื่อสารกับหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงพยักหน้าเงียบๆ ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นง่ายดายชัดเจนเช่นนี้ เชื่อว่าคนที่อยู่นี่นั่นย่อมมองออก


“ไม่ทราบว่าพี่หลิ่วอยากเลือกทางไหน?” เผิงเยวี่ยส่งกระแสจิตเอ่ยถามต่อ


ในเมื่อจำนวนคนที่เข้าไปในแต่ละอุโมงค์จำกัด ย่อมต้องตัดสินใจให้ดีก่อน


“ตอนนี้ข้าก็มึนงงสับสนเช่นกันแต่ในเมื่อที่นี่เป็นดินแดนแห่งมรดก อุโมงค์สามเส้นนี้ก็น่าจะมีโชควาสนาของแต่ละเส้นทาง…” หลิ่วหมิงเผยสีหน้าครุ่นคิด ส่งกระแสจิตตอบกลับช้าๆ


เวลานี้เองร่างกายของสตรีชุดเขียวของสำนักเฮ่าหรานพลันลอยขึ้นมาแล้วร่อนลงเบื้องหน้าอุโมงค์ทั้งสาม สายตานางกวาดมองเล็กน้อยแต่ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าทันที นางหัวเราะเบาๆ เอี้ยวศีรษะไปถามชายหนุ่มอัปลักษณ์ที่อยู่ใกล้ที่สุด


“สหายท่านนี้ ท่านอยากเข้าอุโมงค์เส้นไหนหรือ?”


ชายหนุ่มอัปลักษณ์ได้ยินคำถามไร้ที่มานี้ของสตรีชุดเขียวก็คิดไม่ถึงอยู่บ้าง แต่ดวงตาประหลาดฉับพลันกลอกทีหนึ่งหัวเราะหยันสองสามหน เห็นชัดว่าไม่ยินดีสนใจสตรีผู้นี้


สตรีชุดเขียวเห็นภาพนี้ก็ไม่โกรธ ตรงกันข้ามหลังแย้มยิ้มหวานก็พลิ้วเข้าไปในทางเข้าใต้ภาพสัญลักษณ์จันทราสว่าง


หลังชายหนุ่มอัปลักษณ์มองแผ่นหลังของสตรีชุดเขียวนิ่งๆ อยู่นาน ปราณดำรอบร่างก็ม้วนหอบหนึ่งบินขึ้นมา แต่บินเข้าไปในอุโมงค์เส้นที่หนึ่ง


อีกด้านหนึ่งหลังบุรุษหน้าเหยี่ยวส่งกระแสจิตคุยกับเซวียผานหลายประโยคก็ยกแขนเสื้อขึ้น แสงเรืองรองสีขาวสายหนึ่งลอยออกมาม้วนหุ้มร่างทั้งสองคนขึ้นมา จากนั้นพุ่งเข้าไปยังอุโมงค์ที่มีภาพสัญลักษณ์จันทราสว่าง


หลังสตรีชุดเขียว บุรุษหน้าเหยี่ยวและเซวียผานเข้าไปในอุโมงค์จันทราสว่าง ทางเข้าอุโมงค์เส้นนี้ก็พลันหดจนเหลือขนาดที่พอให้หนึ่งคนเข้าออก


เผิงเยวี่ยเห็นภาพนี้ก็สูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง ก้าวไม่กี่ก้าวมาถึงข้างกายชายหนุ่มรถสีเงิน ส่งกระแสจิตพูดคุยกันอย่างไร้เสียงพักหนึ่ง


ชายหนุ่มรถสีเงินคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพยักหน้าแล้วหัวเราะ จากนั้นเขาขยับวูบหนึ่งก็เข้าไปในอุโมงค์จันทร์สว่างด้วย


ชั่วพริบตานั้นที่ชายหนุ่มเข้าไปในอุโมงค์เส้นนี้ ปากทางเข้าก็ไหวกระเพื่อมประหนึ่งผิวน้ำหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็หายไปจากบนกำแพงหยกไร้ตำหนิอย่างสิ้นเชิง


เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีแค่เผิงเยวี่ย หลิ่วหมิงกับสองพี่น้องโอวหยางที่ยังอยู่ตรงนี้แล้ว


บนกำแพงหยก อุโมงค์จันทราสว่างปิดลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว อุโมงค์พระอาทิตย์ก็รองรับคนเข้าไปได้อีกเพียงคนเดียว ส่วนอุโมงค์ที่สลักดวงดาวมากมายเต็มไปด้วยสีสันของความลึกลับเส้นนั้นจนถึงบัดนี้กลับไม่มีผู้ใดเลือก


หลิ่วหมิงเห็นเป็นเช่นนี้ หลังสองตาหรี่ลงครุ่นคิดชั่วครู่ก็ก้าวเท้าออกมา พุ่งเข้าไปหาทางเข้าอุโมงค์ที่สลักลวดลายดารามากมายนั้น


ที่บังเอิญก็คือร่างกายของเผิงเยวี่ยก็ขยับร่อนลงตรงหน้าทางเข้าอุโมงค์นี้เช่นกัน


“สหายหลิ่วก็เลือกทางเส้นนี้เหมือนกัน ถ้าเช่นนั้นก็บังเอิญเกินไปแล้ว ข้าติดตามพี่หลิ่วไปด้วยแล้วกัน นี่คือโอวหยางฉินน้องสาวในตระกูลของข้า หลังเข้าไปในอุโมงค์ พวกเราพี่น้องคงต้องรบกวนสหายหลิ่วดูแลแล้ว!” โอวหยางเชี่ยนเห็นภาพนี้ก็แย้มยิ้มหวาน เดินเข้ามาพร้อมกับสาวน้อยชุดเขียวผู้นั้น


สาวน้อยชุดเขียวมองหลิ่วหมิงกับเผิงเยวี่ยทีหนึ่งก็หลุบตาลง ท่าทางเย็นชาประหนึ่งหิมะ


“ด้วยพลังของเซียนทั้งสอง ไหนเลยยังต้องการข้าดูแลเล่า!” หลิ่วหมิงกวาดมองสาวน้อยชุดเขียวทีหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ


โอวหยางเชี่ยนได้ยินก็ยิ้มหวาน


เวลานี้แสงสีเหลืองม้วนออกมารอบกายเผิงเยวี่ย จากนั้นเขาก็เหาะไปยังอุโมงค์ด้านหน้าแล้วหายไปท่ามกลางแสงดาวที่สั่นไหว


ปราณดำพลุ่งพล่านออกมาทั่วร่างหลิ่วหมิง หลังร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งเขาก็เข้าไปในแสงดาวตามเผิงเยวี่ยไปติดๆ


หลังโอวหยางเชี่ยนกับสาวน้อยชุดเขียวเข้าไปในอุโมงค์แสงดาวแล้ว เสียงเปรี้ยงดังสนั่นก็ดังขึ้น!


กำแพงหยกไร้ตำหนิสูงร้อยจั้งฉับพลันพังทลายถล่มกลายเป็นหมอกขาวหายไปกลางอากาศ ดูคล้ายที่แห่งนี้สิ่งใดก็ไม่เคยบังเกิดขึ้น


……


หลังคนทั้งสี่เข้าไปในอุโมงค์แสงดาว รอบด้านฉับพลันเหลือเพียงแสงดาวจับตาผืนหนึ่งทั้งบนล่างซ้ายขวา พวกเขาคล้ายยืนอยู่ท่ามกลางท้องนภาที่เต็มไปด้วยดวงดารา


พริบตาที่หลิ่วหมิงเข้ามา เขาก็รู้สึกว่ากระบี่บินพลังจิตวิญญาณในร่างร่ำๆ อยากขยับ ในใจจึงกล่อมให้มันสงบ


สาเหตุที่เขาเลือกอุโมงค์เส้นนี้ก็เพราะตอนที่หลอมกระบี่ว่างเปล่า เขาใช้วิธีหลอมแม่เหล็กแสงดาราจึงมีความสามารถในการควบคุมพลังแห่งดวงดาวประมาณหนึ่ง


ดินแดนแห่งมรดกไยต้องสร้างอุโมงค์สามเส้นนี้ไว้ เขาไม่อาจรู้ได้ แต่เทียบกับอุโมงค์อีกสองเส้น เลือกเข้ามาในทางเส้นนี้ก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดท่ามกลางการไร้ทางเลือกแล้ว


หลังพวกเขาหยุดอยู่ที่เดิมครู่หนึ่งก็เดินหน้าต่อ


อุโมงค์เส้นนี้ก็หมือนก่อนหน้านี้ จิตสัมผัสออกห่างจากร่างได้แค่ไม่กี่จั้ง พวกเขาย่อมไม่กล้าเดินทางเร็วเกินไป


หลังเวลาราวหนึ่งมื้ออาหาร ทั้งสี่คนก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าสว่างขึ้น โถงสี่เหลี่ยมขนาดยี่สิบกว่าจั้งแห่งหนึ่งปรากฏเบื้องหน้าพวกเขา


ในเมื่อเดินมาถึงตรงนี้ แม้ด้านหน้าเป็นถ้ำเสือบึงมังกรก็ไม่มีเหตุผลให้ถอยหลัง ทั้งสี่คนเดินเข้าไปด้านในอย่างระมัดระวัง


หลังสตรีชุดเขียวเหยียบเข้าไปในโถงเป็นคนสุดท้าย อุโมงค์แสงดาวเบื้องพลังก็ค่อยๆ พังทลายลงทีละนิดอุโมงค์ทางเข้าพริบตายุบรวมเข้าด้วยกันแล้วหายไป


แม้ทุกคนจะตกใจ แต่ไม่มีใครเผยสีหน้าตระหนกออกมาจริงๆ หลังมองตากันทีหนึ่งทุกคนก็เริ่มสำรวจรอบด้าน


กำแพงสี่ด้านของที่แห่งนี้ล้วนใช้อิฐจากหินเขียวก่อขึ้นมา ด้านในว่างเปล่า นอกจากประตูโถงที่เพิ่งเข้ามาก็ไม่มีทางเข้าออกอื่นอีก


เพดานโถงฝังหินจันทราหลายก้อนไว้จึงส่องแสงรัศมีสีขาวน้ำนมจางๆ ออกมา


“หรือที่นี่จะเป็นจุดสิ้นสุดของสถานที่นี้ เหมือนเป็นห้องศิลาธรรมดาห้องหนึ่งเท่านั้น” ดวงตาของเผิงเยวี่ยกวาดผ่านในห้องศิลาแล้วเอ่ยขึ้นอย่างผิดหวังอยู่บ้าง


โอวหยางเชี่ยนเองก็สำรวจรอบด้าน ในดวงตาเผยแววตาสงสัย โอวหยางฉินชุดเขียวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วย


“พี่หลิ่วมองเงื่อนงำของที่แห่งนี้ออกไหม?” หลังโอวหยางเชี่ยนคิดครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เอ่ยถามหลิ่วหมิง


“แม่นางโอวหยางยกยอข้าเกินไปแล้ว ทุกท่านยังมองไม่ออก ข้าจะค้นพบอันใดได้” หลิ่วหมิงยิ้มฝืดเฝื่อนพลางส่ายศีรษะ ในใจพลันมีความสงสัยจางๆ แล่นผ่านไป


เขาสัมผัสได้เลือนรางว่าพลังแห่งดวงดาวของที่แห่งนี้เข้มข้นกว่าในอุโมงค์ดาราอยู่หลายส่วน


น่าเสียดายที่นี่ก็มีชั้นจำกัดบางอย่างปิดกั้นจิตสัมผัสอยู่เช่นกัน ไม่เช่นนั้นคงตรวจสอบให้ละเอียดสักหน่อยได้


ระหว่างที่พวกเขาอับจนหนทางอยู่นั้น ใจกลางห้องโถงพลันมีเสียงแกรกหนักๆ ดังขึ้น!


ทั้งสี่คนตอบสนองอย่างรวดเร็ว หลังตกตะลึงวูบหนึ่งก็รีบร้อนหนีออกไปสี่ด้าน


ครู่ต่อมาใต้พื้นใจกลางโถงใหญ่เกิดเสียงเปรี้ยงก็ดังสนั่น หลังสั่นสะเทือนรุนแรงพักหนึ่ง พื้นดินก็ค่อยๆ แยกออก เผยบึงน้ำกลมไม่ใหญ่บึงหนึ่งออกมา


“นี่คือ?”


เมื่อพวกเขาเห็นภาพตรงหน้าชัดก็ล้วนตาโตอ้าปากค้าง


พวกเขาเห็นเพียงน้ำในบึงน้ำตรงหน้าไม่ใสกระจ่าง แต่เป็นของเหลวสีเงินท่าทางเหนียวข้นอย่างหนึ่ง


ที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่าก็คือในบึงมองเห็นดวงดาวระยิบระยับมากมายเรียงรายอยู่เลือนรางประหนึ่งมุกจิตวิญญาณหลากสีร่วงกระจัดกระจายบนถาดหยกสะท้อนอยู่บนผิวบึงสีเงินสว่างเกลี้ยงประหนึ่งกระจกนี้


ตอนที่ 791 ทรายธารดารา สารีริกธาตุทองคำ ไหลแก้ว

Ink Stone_Fantasy

พินิจดูเล็กน้อยก็ค้นพบว่าเส้นทางของดาวแต่ละดวงในสระน้ำตัดไขว้สลับกันไม่หยุด ทั้งยังเชื่อมโยงกันด้วยรูปแบบอันลี้ลับอย่างที่สุดบางอย่าง ก่อเกิดเป็นการเรียงตัวของค่ายกลที่ชวนลี้ลับอย่างยิ่ง


พร้อมกับที่ดวงดาราเคลื่อนที่เปลี่ยนผัน ภาพสัญลักษณ์มังกรครามสีน้ำเงินมหึมาภาพหนึ่งก็เริ่มปรากฏขึ้นในค่ายกลแสงดาวช้าๆ แลดูโหดเหี้ยมดุร้าย ยิ่งใหญ่มโหฬารอย่างยิ่ง


“ภาพสัญลักษณ์เจ็ดกลุ่มดาวมังกรคราม!” หลังโอวหยางเชี่ยนเห็นภาพมหัศจรรย์จากการเปลี่ยนผันของดวงดาวภาพแล้วภาพเล่าในบึงน้ำก็อดไม่ได้หลุดพูดออกมา


ในดวงตาของสตรีชุดเขียวข้างกายนางก็เผยแววตาเข้าใจขึ้นมาเล็กๆ ด้วย


“เจ็ดกลุ่มดาวมังกรคราม ถึงกับเป็นค่ายกลมหัศจรรย์ยุคโบราณอันนี้เชียว!” เผิงเยวี่ยพึมพำกับตัวเอง สีหน้าแลดูตื่นเต้นอยู่บ้าง เห็นชัดว่าเคยได้ยินชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของค่ายกลนี้มาก่อนเช่นกัน


หลิ่วหมิงกลับทำหน้างงงัน ท่าทางเหมือนไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับค่ายกลนี้มาก่อน


พูดไปแล้วเขาก็ไม่ได้ศึกษาศาสตร์ค่ายกลลึกซึ้ง ศึกษาเพียงเพื่อหลอมศาสตรา จึงเข้าใจเล็กน้อยเท่านั้น


เวลานี้ด้านบนบึงน้ำสีเงินฉับพลันไหวกระเพื่อม กลางอากาศปรากฏอักษรแสงสีเงินแถวแล้วแถวเล่าเขียนว่า


‘เจ็ดกลุ่มดาวมังกรคราม ดาราเปลี่ยนผันปรากฏรูปลักษณ์ ฐานรากคือความลี้ลับ คือเจ็ดความลี้ลับ ผู้บรรลุการเปลี่ยนผันของค่ายกลนี้จะเข้าสู่ด่านต่อไปได้ คนแรกที่บรรลุจะได้รางวัลพิเศษเป็นทรายธารดาราหนึ่งถุง!’


เห็นถึงตรงนี้ ทั้งสี่คนพลันหายใจแรงขึ้น


ทรายธารดาราเป็นวัตถุดิบหลอมศาสตราที่สาบสูญไปจากแผ่นดินจงเทียนนานแล้วชนิดหนึ่ง มีเอ่ยถึงในบันทึกโบราณที่ตกทอดมาจากสมัยโบราณอยู่บ้างเท่านั้น เล่ากันว่าวัตถุดิบชนิดนี้กำเนิดมาจากธารดาราบนฟากฟ้า เป็นหนึ่งในวัตถุดิบระดับสูงที่สุดสำหรับหลอมอาวุธเวท


ของรางวัลเล็กน้อยอย่างหนึ่งของแดนลึกลับประตูสวรรค์ก็ไม่อาจดูแคลนได้!


ตัวอักษรขนาดเล็กสีเงินปรากฏแวบเดียวก็หายไป พวกหลิ่วหมิงร่างกายผ่อนคลายลงและพบว่าจิตสัมผัสสามารถออกจากร่างได้แล้ว


พวกเขาทั้งตกตะลึงทั้งยินดี ต่างคนไม่สนใจผู้อื่นรีบทยอยกันนั่งขัดสมาธิข้างบึงน้ำ เริ่มลองบรรลุการเปลี่ยนผันนับพันของเจ็ดกลุ่มดาวมังกรครามในทันใด


……


ในเวลาเดียวกันนั้นสุดปลายอุโมงค์กลมสีทองเรืองรองที่สลักภาพสัญลักษณ์พระอาทิตย์ไว้


บุรุษผมม่วงยืนตัวตรงอย่างยโส ตำหนักสีเหลืองทองโออ่าใหญ่โตหลังหนึ่งฉับพลันผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาเบื้องหน้าเขาท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง


ตำหนักโอ่อ่าหลังนี้เป็นสีเหลืองทองทั้งหลัง สูงสิบกว่าจั้ง กว้างหลายสิบจั้ง ไม่นับว่าเป็นสิ่งก่อสร้างมหึมาเป็นพิเศษ แต่แลดูเคร่งขรึมน่าเกรงขาม บรรยากาศกว้างขวางอย่างยิ่ง นอกจากนี้ประตูตำหนักก็ยังปิดสนิทอย่างน่าเคารพ ทำให้คนรู้สึกถูกบีบคั้นให้ยอมจำนน


เสียงฟึบดังขึ้นทีหนึ่ง หลังร่างบุรุษผมม่วง หมอกหนาสีเงินที่ล้อมรอบเงาร่างของคนผู้หนึ่งบินเร็วรี่มาถึง


แสงสีเงินกะพริบวูบหนึ่ง หลัวเทียนเฉิงก็ค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาจากด้านใน ร่างกายเขาขยับวูบหนึ่งก็มายืนอยู่ด้านซ้ายของตำหนักสีเหลืองทองห่างจากบุรุษผมม่วงราวสิบจั้ง


บุรุษผมม่วงเพียงเชยตาขึ้นเหล่มองหลัวเทียนเฉิงนิ่งๆ ทีหนึ่งแล้วละสายตาออก เขายังคงยืนนิ่งสงบอยู่ไกลๆ คล้ายกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง


เสียงปังดังขึ้นทีหนึ่งเงาดำกลุ่มหนึ่งบินร่อนลงมา ชายหนุ่มตาเล็กจมูกบี้ผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น ศิษย์อัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับนั่นเอง


บุรุษผมม่วงหันไปมองศิษย์อัปลักษณ์กับหลัวเทียนเฉิงทีหนึ่งแล้วเอ่ยปากถาม


“นอกจากพวกเจ้าสองคน ยังมีผู้อื่นเข้ามาในอุโมงค์เส้นนี้อีกไหม?”


สิ้นเสียงพูด เสียงบานพับประตูบิดหมุนดังกึกๆ พักหนึ่งก็ดังลอยออกมา ประตูตำหนักของตำหนักสีเหลืองทองค่อยๆ เปิดออก เผยโฉมหน้าที่แท้จริงด้านในของตำหนัก


“ดียิ่ง! ดูท่าคงมีเพียงพวกเราสามคนแล้ว!”


บุรุษผมม่วงระเบิดเสียงหัวเราะรอบหนึ่ง ร่างกายพลันพุ่งรวดเร็วไปเบื้องหน้าเข้าไปในตำหนักสีทอง


หลัวเทียนเฉิงกับชายหนุ่มอัปลักษณ์จากนิกายปีศาจลี้ลับสบตากันทีหนึ่ง พวกเขาย่อมไม่ยอมรั้งท้ายผู้อื่น พากันทะยานร่างเข้าไปในตำหนักสีทองเช่นกัน


หลังทั้งสามคนเข้าไปในตำหนักใหญ่หมดแล้ว เสียงเปรี้ยงก็ดังขึ้น ประตูตำหนักค่อยๆ ปิดลงอีกครั้ง เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าพริบตาดังขึ้นทั่วตำหนักใหญ่


บุรุษผมม่วงเข้ามาในตำหนักคนแรก สายตากวาดมองเล็กน้อยก็เห็นทุกสิ่งภายในตำหนักเหลืองทองได้อย่างชัดเจน


ตำหนักใหญ่สีทองอร่ามกลับว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด เสาตำหนักสีเหลืองทองหนาสามต้นค้ำเพดานตำหนักทั้งหมดไว้ ด้านล่างเสาตำหนักแต่ละต้นวางเบาะกลมสีเหลืองทองเบาะหนึ่งเอาไว้ เหนือศีรษะแขวนระฆังทองยักษ์อยู่หนึ่งใบ


ชายหนุ่มผมม่วงพิจารณาสี่ด้านรอบหนึ่ง ท้ายที่สุดสายตาก็จับจ้องอยู่บนกำแพงด้านหน้าของตำหนักใหญ่


บนกำแพงอักษรเก่าแก่ตัวแล้วตัวเล่าเรียงรายแผ่มากมายเต็มกำแพงทั้งผืน บางครั้งยังมีอักขระประหลาดจำนวนหนึ่งแทรกอยู่ด้านในด้วยคล้ายบันทึกวิชาลับสักวิชาไว้


เสียงเสื้อผ้าแหวกอากาศดังลอยมาเลือนราง หลัวเทียนเฉิงกับชายหนุ่มอัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับทยอยเคลื่อนกายเข้ามาด้วย ร่างกายของทั้งสองคนเพิ่งร่อนลงมั่นคง สายตาก็พลันกวาดรอบด้านจับอยู่บนกำแพงแล้ว


ตอนนี้เองระฆังทองเหนือศีรษะก็เริ่มขยับทั้งที่ไม่มีลม


เสียงระฆังประหลาดดังขึ้นระลอกหนึ่ง ซึมตรงเข้าไปยังเบื้องลึกของหัวใจคนประหนึ่งเสียงสวดภาษาสันสกฤตกับระฆังเช้าค่ำ


ทั้งสามได้ยินเสียงระฆังหัวใจพลันสะท้าน พากันเงยศีรษะมองไปกลางอากาศ


เห็นเพียงใต้ระฆังทองค่อยๆ ปรากฏอักษรแสงสีทองเรืองๆ ตัวแล้วตัวเล่าเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบพร้อมกับเสียงระฆังที่ดังขึ้น


“ผู้บรรลุวิชาลับแห่งพุทธที่บันทึกอยู่บนกำแพงจึงเข้าไปยังด่านต่อไปได้ ผู้ที่ออกไปได้คนแรกจะได้รับสมบัติลับแห่งพุทธ สารีริกธาตุทองคำหนึ่งองค์”


“สารีริกธาตุทองคำ!”


บุรุษผมม่วงกับหลัวเทียนเฉิงอ่านจบพลันตะลึง จากนั้นแววตาพลันร้อนระอุผิดธรรมดา


บนใบหน้าของชายหนุ่มอัปลักษณ์ด้านข้างก็เผยสีหน้าละโมบจางๆ เช่นกัน


ต้องรู้ว่าในสายพุทธมีเพียงพระชั้นสูงซึ่งให้ความสำคัญกับศาสตร์การฝึกร่างที่สุดและฝึกฝนจนสำเร็จกายทองคงกระพันเท่านั้นหลังดับขันธ์ถึงจะมีสาริริกธาตุทองหนึ่งองค์เกิดขึ้นในร่างได้ อีกทั้งเนื่องจากคนสายพุทธนิสัยสมถะ ดังนั้นอายุขัยจึงยาวนานกว่าผู้ฝึกฝนธรรมดาไม่น้อย นอกจากนี้ชอบไปหาสถานที่ร้างไร้ผู้คนดับขันธ์เผาตนเองเงียบๆ ดังนั้นระดับความหายากของของสิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้…


พูดไปแล้วหากผู้ฝึกฝนได้สมบัติลับแห่งพุทธชิ้นนี้มา หลังกลืนกินหลอมกลืนเข้าไปคงได้พลังของกายทองคงกระพันมาบ้าง หรืออาจได้วิชาฝึกร่างของพุทธส่วนหนึ่งมาก็เป็นได้ สำหรับผู้ฝึกร่างเหล่านั้นเป็นสมบัติล้ำค่าที่อยากได้ก็หาไม่ได้อย่างแท้จริง


หลังทั้งสามคนดึงสายตากลับมา ต่างคนก็มองตากันทีหนึ่ง ไม่ปิดบังความเป็นอริสักนิด พลังมหาศาลสามสายปะทะกันดังสนั่นกลางอากาศ บรรยากาศฉับพลันกลายเป็นตึงเครียด


ในดวงตาของหลัวเทียนเฉิงประกายสีเงินเย็นเยียบสายแล้วสายแล่นผ่านไป


เขาเห็นบุรุษผมม่วงผู้นี้ขัดตามานานแล้ว นิกายปีศาจลี้ลับก่อนเริ่มงานประตูสวรรค์ก็เคยส่งคนมาดักซุ่มลอบโจมตีเขา ต่างฝ่ายต่างผูกแค้นกันมานานแล้ว หากลงมือจริงๆ ก็พอดีได้สะสางกันตรงนี้เสียเลย


ชายหนุ่มอัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับสีหน้านิ่งเฉยอยู่บ้าง แต่บนใบหน้ากลับค่อยๆ ผุดปราณดำขึ้นมา


บนใบหน้าของบุรุษผมม่วงก็มีลวดลายจิตวิญญาณสีดำเขียวเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ไม่หยุดด้วยเช่นกัน ทว่ากลับสงบลงไปอีกหนอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยขึ้นอย่างสบายๆ ว่า


“ทั้งสองท่าน พวกท่านก็เห็นแล้ว ด้านบนเขียนว่าคนที่บรรลุวิชาลับคนแรกถึงจะได้เข้าด่านต่อไปและได้รับสารีริกธาตุทองคำ ส่วนด่านต่อไปก็ไม่แน่อาจมีสมบัติที่ล้ำค่ายิ่งกว่า…พวกเราสู้กันที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงแพ้ชนะเป็นอย่างไร ต่อสู้ดุเดือดครั้งหนึ่งก็เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเสียเวลา ถูกคนในอุโมงค์อีกสองเส้นทิ้งห่างไปไกล”


“อืม พูดเช่นนี้ก็มีเหตุผลอยู่บ้างจริงๆ”


หลัวเทียนเฉิงคิ้วขมวด หลังสีหน้าทะมึนเปลี่ยนไปมาสองครั้ง ในที่สุดก็แค่นเสียงเหอะ ค่อยๆ เก็บพลังบนร่างไป


ในดวงตาของชายหนุ่มอัปลักษณ์แววตาครุ่นคิดปรากฏวูบหนึ่งแล้วหายไป ปราณดำบนใบหน้าสลายหายไปอย่างเงียบเชียบเช่นกัน


บุรุษผมม่วงเห็นสถานการณ์นี้ก็ไม่พูดมากอันใดอีก ก้าวดุจพยัคฆ์ตรงไปเบื้องหน้าเสาตำหนักสีเหลืองทองตรงกลาง นั่งขัดสมาธิลงบนเบาะกลมสีเหลืองทองเบาะหนึ่ง ดวงตาจับจ้องกำแพงเบื้องหน้าตาไม่กะพริบในทันที


หลัวเทียนเฉิงกับชายหนุ่มอัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับมองกันอย่างระแวดระวังทีหนึ่ง จากนั้นก็เลือกนั่งขัดสมาธิลงที่เสาตำหนักสีเหลืองทองด้านซ้ายกับด้านขวา เริ่มศึกษาเช่นเดียวกัน


ชั่วขณะหนึ่งตำหนักใหญ่สีทองว่างโล่งก็เงียบสงัด แม้ทั้งสามคนฉากหน้าจดจ่อบรรลุวิชาลับ แต่บางครั้งก็แบ่งความคิดออกมาระวังอีกฝ่ายเล็กน้อย บรรยากาศค่อนข้างประหลาด


……


สุดปลายอุโมงค์ทรงกลมที่อาบด้วยแสงจันทร์สีเงินอ่อนโยน บุรุษหน้าเหยี่ยวและเซวียผานจากหุบเขาปีศาจสวรรค์ ชายหนุ่มรถเงินจากนิกายเทียนกงรวมถึงสตรีชุดเขียวจากสำนักเฮ่าหรานสี่คนกำลังยืนเคียงกันอยู่เบื้องหน้าป้อมโบราณสีเทาเงินหลังหนึ่ง


หลังได้ยินเสียงขยับดังขึ้นเบาๆ ทีหนึ่ง ประตูใหญ่ของป้อมโบราณสีเทาเงินก็ค่อยๆ เปิดออก เผยทางเส้นหนึ่งคล้ายชี้ชวนให้ทุกคนเข้าไป


ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจผู้มีใบหน้าดุจเหยี่ยวสีหน้าเปลี่ยนไปวูบหนึ่งก็บินเข้าไปในป้อมพร้อมกับเซวียผานที่ไล่หลังไป ส่วนชายหนุ่มรถเงินจากนิกายเทียนกงกับสตรีชุดเขียวจากสำนักเฮ่าหรานก็ไม่รั้งรอนานนัก ทะยานร่างเข้าไปด้านในตามเข้าไปติดๆ


ในป้อมโบราณทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยหมอกสลัวสีเงินจาง ทั้งสี่คนเพิ่งเหยียบเข้ามาด้านใน สายตาฉับพลันก็ถูกจำกัดอย่างที่สุด เห็นชัดเพียงระยะสามสี่จั้งเบื้องหน้าเท่านั้น จิตสัมผัสก็ไม่อาจผละออกจากร่างไปสำรวจได้


“ระวัง หมอกนี่เหมือนจะแปลกพิกล” บุรุษหน้าเหยี่ยวดึงเซวียผานไว้แล้วปากเอ่ยขึ้นเช่นนี้


ชายหนุ่มรถสีเงินกับสตรีชุดเขียวได้ยินก็หยุดก้าวเท้าในเวลาเดียวกัน ต่างเพ่งสมาธิระวังขึ้นมา


ชายหนุ่มรถสีเงินฉับพลันสะบัดแขนเสื้อพัดสายลมแรงหอบหนึ่งขึ้นมา หลังไอหมอกสีเงินรอบร่างม้วนตลบรุนแรงพักหนึ่งก็ฟื้นกลับมานิ่งสงบอย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นสายลมแรงจมหายไปในไอหมอกอย่างไร้ร่องรอย


“ค่ายกลมายา…” ชายหนุ่มรถสีเงินเลิกคิ้วเรียวขึ้น เผยสีหน้าระมัดระวังพร้อมกับเอ่ยพึมพำออกมา


ขณะที่ทั้งสี่คนเผยสีหน้างุนงงอยู่นั่นเอง ทันใดนั้นอักษรตัวขนาดเล็กสีเงินพรวนหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นกลางอากาศเขียนว่า


“ผู้ทำลายค่ายกลมายานี้จึงเดินหน้าต่อได้ ผู้ที่จากไปคนแรกสุดจะได้รับ ‘ไหลแก้วเจ็ดสี’ หนึ่งขวดเป็นพิเศษ”


“ไหลแก้วเจ็ดสี?”


ในดวงตาของชายหนุ่มรถเงินทอประกายเจิดจ้าเอ่ยพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่งแล้วส่ายศีรษะเล็กน้อย แม้ด้วยตำแหน่งของเขาที่นิกายเทียนกงก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับของสิ่งนี้


ริมฝีปากของบุรุษหน้าเหยี่ยวกับเซวียผานขยับน้อยๆ ท่าทางคล้ายกำลังหารือกันอยู่ ส่วนสตรีชุดเขียวจากสำนักเฮ่าหรานก็ขมวดคิ้วแน่น เหมือนไม่รู้ที่มาของของเหลวจิตวิญญาณนี้เช่นกัน


ชั่วครู่ให้หลัง ตัวอักษรขนาดเล็กสีเงินก็ค่อยๆ สลายกลายเป็นแสงสีเงินจุดแล้วจุดเล่าเร้นหายเข้าไปในไอหมอกสีเงินกลางอากาศ


ทั้งสี่คนมองตากันทีหนึ่ง แววตากลับค่อยๆ เปล่งประกายขึ้น


คนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นศิษย์หัวกะทิจากนิกายใหญ่ ในเมื่อทุกคนล้วนไม่รู้ที่มาของมัน เห็นชัดว่าของสิ่งนี้ไม่ใช่เพียงล้ำค่าธรรมดาแล้ว


หลังตัวอักษรสีเงินสลายไปไม่นานนัก หมอกลวงตาเบื้องหน้าทั้งสี่คนฉับพลันก็หนาทึบขึ้น ทั้งสี่คนรู้สึกว่านอกจากตนเอง ทุกสิ่งรอบด้านคล้ายฉับพลันหายไป


บุรุษหน้าเหยี่ยวสายตาวูบไหวมองมือขวาของตน เมื่อครู่เขาใช้มือข้างนี้ดึงเซวียผานไว้ชัดๆ แต่เวลานี้ในมือข้างนี้กลับไม่มีสิ่งใดแล้ว


หลังบุรุษหน้าเหยี่ยวครุ่นคิดเล็กน้อยก็นั่งขัดสมาธิในทันใด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)