หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 786-789

บทที่ 786 สิทธิ์การตั้งกองทหารของตน!

 

เมื่อได้ยินคำว่า “ยื่นไมตรีจิต” ภาพเรือนร่างของบุตรสาวหัวหน้าเสนาบดีแห่งสหพันธรัฐก็ผุดขึ้นมาในใจ จนหวังเป่าเล่ออดกวาดตามองเทพธิดาหลิงโยวตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไม่รู้ตัวไม่ได้…


หวังเป่าเล่อคนนี้ไม่ใช่ชายหื่นชอบฉวยโอกาสเช่นนั้น! เขาไม่อยากเชื่อแม้แต่นิดว่าตนเองจะเผลอทำเช่นนั้นไปได้ ชายที่มีจิตใจแสนบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างเขา จะมาแปดเปื้อนโดยจิตใต้สำนึกประหลาดเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด


เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็สูดหายใจเข้าลึก และใคร่ครวญอย่างรวดเร็วว่าตนเองจะตอบเทพธิดาหลิงโยวกลับไปอย่างไรดีเรื่องไมตรีจิตที่นางต้องการมอบให้ ในความจริง ก่อนที่เทพธิดาหลิงโยวจะมาหาเขาถึงที่ หวังเป่าเล่อก็เริ่มคิดสะระตะเกี่ยวกับโล่ของตนบ้างแล้วตั้งแต่ก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามา


เขามั่นใจมากว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของเขาที่แม้จะดูเหมือนแข็งแกร่งนั้น ต้องอ่อนกำลังลงอย่างมากแน่เมื่อเผชิญกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ แม้จะยังสะท้อนการโจมตีกลับไปได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่อัตราของมันจะเป็นร้อยละ 170 เท่าเดิม และหากพลังที่พุ่งเข้ามาปะทะแข็งแกร่งกว่านั้น ก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่โล่นี้แตกเป็นเสี่ยงๆ


ด้วยเหตุนี้…แม้ว่ามันจะมีค่ามาก แต่ก็ไม่ได้ล้ำค่าจนสวรรค์ยังต้องสะเทือนแต่อย่างใด การที่ปรมาจารย์จะสนใจโล่ชิ้นนี้ ย่อมไม่น่าใช่เพราะความแข็งแกร่งของมันที่ทำให้ทุกคนในสนามรบตกใจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีเหตุผลอื่นด้วยแน่นอน


หากข้าลองวิเคราะห์ดูดีๆ ก็จะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องยากที่จะไข สิ่งที่ปรมาจารย์สนใจในโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาต้องเป็นวิธีการซ้อนอักขระที่ใช้ในการหลอมโล่เป็นแน่! หวังเป่าเล่อหรี่ตา ก่อนชั่งน้ำหนักเรื่องนี้อยู่ในใจ


เขาไม่ได้มีปัญหากับการถ่ายทอดความรู้เรื่องการซ้อนอักขระแต่อย่างใด เนื่องจากเดินมาถึงทางตันของวิธีนี้ โดยเสริมพลังโล่ได้ถึงระดับสิบเจ็ดแล้ว นอกจากนี้เขายังคิดวิธีหลอมโล่ให้ก้าวข้ามขีดจำกัดนั้นไปได้แล้วด้วย วิธีการใหม่ที่เขาคิดได้จะทำให้พลังของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาถูกดันไปอยู่ในระดับที่สูงขึ้น และทำให้ต่อกรกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะได้อยู่หมัดเลยทีเดียว


ดังนั้นการแลกเปลี่ยนความรู้เก่าก่อนจึงถือเป็นสิ่งที่ยอมรับได้สำหรับหวังเป่าเล่อ หลังจากที่คิดอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองเทพธิดาหลิงโยวซึ่งกำลังจ้องเขาอยู่เช่นกัน สีหน้าของชายหนุ่มไม่ได้แสดงความรีบร้อนแม้แต่น้อย


“ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า ท่านผู้บัญชาการ”


เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ดวงตาของเทพธิดาหลิงโยวก็แสดงแววความรำคาญใจออกมาเล็กน้อย แม้เสียงของนางเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็ง แต่ท่วงทำนองในการพูดจาก็ยังช้าชัดถ้อยชัดคำเช่นเดิม นางเอ่ยด้วยเสียงเบา “สิทธิ์ในการตั้งกองทหารของตนเองอย่างไรเล่า!”


เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินคำนั้น หัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้นในทันที เขารู้สึกราวกับว่าตนเองถูกอ่านอย่างทะลุปรุโปร่งเหมือนหนังสือที่เปิดแผ่ไว้อย่างไรอย่างนั้น นั้นเพราะสิทธิ์ในการสร้างกองทหารของตนนั้นเป็นสิ่งที่เขาวางแผนไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว เพียงแต่ทราบดีว่าการจะได้สิทธิ์นี้มาไว้ในครอบครอง เป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกินสำหรับศิษย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์


นั่นเพราะสิทธิ์ในการตั้งกองทหารของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์แตกต่างจากกองทหารของสำนักในอาณัติอย่างสิ้นเชิง ทั้งในเชิงความหมายและจุดประสงค์ ยกตัวอย่างเช่น หากกองทหารของสำนักในอาณัติต้องการเข้าประลองเพื่อยกฐานะตนเอง พวกเขาต้องจ่ายค่าธรรมเนียมราคาแพงจับใจ ทั้งยังต้องผ่านกระบวนการจากสำนักปกครองที่ยืดยาวเสียจนน่าอ่อนใจ ก่อนที่คำขอท้าประลองของพวกเขาจะได้รับการยอมรับ


แต่หากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ให้สิทธิ์ในการตั้งกองทหารกับเขา กองทหารนั้นก็จะถือเป็นกองทหารแห่งสำนักชั้นใน หากต้องการท้าประลองด้วยกันภายในหมู่กองทหารชั้นใน ก็เพียงแต่ต้องสมัครเท่านั้น แม้จะยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้แพงเท่าที่กองทหารชั้นนอกต้องจ่าย


จากการคำนวณของหวังเป่าเล่อ หากเขาต้องการเป็นผู้บัญชาการกองทหารชั้นในของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ เขาคงต้องใช้อะไรมากกว่าวิธีการซ้อนอักขระเพื่อให้ได้สิ่งนี้มา แต่ในเมื่อเทพธิดาหลิงโยวเสนอตัวช่วยเหลือและต้องการสร้างสัมพันธ์อันดีกับเขาในอนาคต ชายหนุ่มจึงรับรู้ได้ว่า…นางต้องเล็งเห็นถึงความเป็นไปได้ มิเช่นนั้นคงไม่เสนอเรื่องนี้ออกมาด้วยตนเอง


เมื่อวิเคราะห์มาถึงจุดนี้ หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจเข้าลึก ก้าวถอยหลังไปสองก้าว ยืนประจันหน้ากับเทพธิดาหลิงโยว และทำมือคารวะพร้อมโค้งคำนับ!


“ขอบพระคุณขอรับ ท่านผู้บัญชาการ!”


“สหายเต๋าหลงหนานจื่อ ข้าจะพยายามเต็มที่เพื่อให้สิ่งที่เจ้าขอเป็นจริง แต่ข้าก็มีสิ่งที่อยากขอร้องเจ้าเช่นกัน หากเจ้าทำสำเร็จและได้ก้าวขึ้นมามีกองกำลังของตนเองแล้วละก็ ข้าอยากได้เจ้าหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบเจ็ดจำนวนหนึ่งร้อยชิ้นให้กองทหารวิหคน้ำแข็ง เพื่อเป็นการตอบแทน…ข้าจะช่วยให้เจ้าบรรลุขั้นปราณเล็กๆ อีกขั้น เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” เทพธิดาหลิงโยวมองหวังเป่าเล่ออย่างใจจดใจจ่อ นางมั่นใจว่าผู้ใดก็ตามที่สามารถหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาให้มาถึงระดับนี้ได้ ย่อมเป็นที่ต้องการของทุกกองทหารในอนาคตอย่างแน่นอน


แต่ชายคนนี้ก็ไม่ใช่ผู้ที่จะยอมอยู่ภายใต้การควบคุมของใคร การช่วยให้เขาได้มีกองทหารอาจแปลว่านางกำลังสร้างศัตรูให้ตนเองอยู่ก็เป็นได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน สิ่งเดียวที่แน่นอนคือนางได้ยื่นไมตรีจิตให้หวังเป่าเล่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และสิ่งนี้อาจเป็นประโยชน์แก่นางในอนาคตก็เป็นได้


แต่หากนางไม่ยื่นมือไปช่วยเหลือชายหนุ่ม และหากเขาถูกกองทหารอื่นดึงตัวไป ก็จะกลายมาเป็นภัยต่อกองกำลังของนางในระยะเวลาอันใกล้แน่นอน หลังจากที่ยื่นข้อเสนอไป เทพธิดาหลิงโยวจึงเอ่ยปากอีกครั้ง


“หากข้าช่วยให้เจ้าได้รับทุกสิ่งที่ต้องการ ข้าก็หวังว่าเจ้าจะยินดีเป็นบริวารใต้บังคับบัญชาของกองทหารวิหคน้ำแข็ง กองทหารของเจ้าและกองทหารของข้าจะได้เป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นต่อกัน แต่ไม่ต้องกังวลไป ตำแหน่งของกองทหารบริวารนั้นสูงส่งกว่ากองทหารในอาณัติทั่วไป เจ้าจะไม่ถูกจำกัดสิ่งใดแน่นอนนอกเสียจากมีเหตุจำเป็นจริงๆ !”


เมื่อพินิจเทพธิดาหลิงโยวอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องปฏิเสธอีกฝ่าย เขาจึงพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนกล่าวขอบคุณนางอีกครั้ง การเจรจาของทั้งสองจึงถือว่าเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด เทพธิดาหลิงโยวไม่คุ้นชินกับการพูดคุยกับผู้คนอยู่แล้ว นางจึงขอตัวจากไป


หวังเป่าเล่อมองรูปร่างสง่างามของเทพธิดาหลิงโยวที่เดินจากไปด้วยจิตใจซึ่งเต็มไปด้วยความคิดมากมาย แม้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะไม่ได้เป็นที่ที่ดีขนาดนั้น และผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ก็ล้วนเห็นแก่ตัวไม่มีความโอบอ้อมอารี แต่ดูเหมือนจะยังมีบางคนที่จริงใจและตรงไปตรงมา


หากทุกสิ่งดำเนินไปอย่างที่เทพธิดาหลิงโยวเอ่ย ก็จะถือเป็นสถานการณ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับเขา หวังเป่าเล่ออดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นอยู่ลึกๆ เขานั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำที่พักของตนเอง ทำสมาธิให้จิตใจสงบขณะเฝ้ารอเวลารุ่งสาง


หนึ่งราตรีผ่านไป หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นมาพบแสงสว่างยามเช้า หลังจากที่คำนวณเวลาในใจแล้ว เขาก็จัดเสื้อผ้าตนเองให้เรียบร้อยและก้าวออกจากที่พักไป ผู้ฝึกตนหญิงจากกองทหารวิหคน้ำแข็งที่ได้รับคำสั่งให้พาเขาไปยังจุดหมาย ได้มาคอยท่าอยู่แล้ว ทั้งสองมีปราณอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้น หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นหน้าทั้งสองมาก่อน แต่ก็รู้สึกคุ้นๆ ชอบกล ทั้งสองมองเขาด้วยสายตาประหลาด แต่ก็ยังมีสีหน้าเคารพอยู่


หวังเป่าเล่อหัวเราะออกมา ทักทายคนทั้งคู่และก้าวขึ้นเรือบินรบที่เตรียมเอาไว้สำหรับเขาโดยเฉพาะไปพร้อมผู้นำทางทั้งสอง พวกเขาจากดวงจันทร์บริวารซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกองทหารวิหคน้ำแข็ง เพื่อมุ่งหน้าไปยังดาวเคราะห์มหาทัณฑ์


เรือบินรบพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงโดยไม่หยุดแม้แต่ครั้งเดียว จนในที่สุดก็เดินทางมาถึงดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ มันพุ่งตัดผ่านประตูภูผาเข้าไปยังใจกลางของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ในทันที เมื่อเข้าไปในประตูเรียบร้อยแล้ว ผู้ฝึกตนหญิงทั้งสองก็จัดการทำความเคารพด้วยการโค้งคำนับเป็นมุมฉากเพื่อส่งหวังเป่าเล่อออกจากเรือบินรบไป


“สหายเต๋าหลงหนานจื่อ พวกเราทั้งสองนำทางท่านมาได้เพียงเท่านี้ หลังจากที่ได้พบท่านปรมาจารย์เรียบร้อยแล้ว โปรดกลับมาที่เรือบินรบลำนี้ พวกเราจะรอท่านอยู่ที่นี่”


การได้รับเกียรติเช่นนี้ทำให้หวังเป่าเล่อพอใจเป็นอันมาก เขาขอบคุณทั้งสองอย่างสุภาพอ่อนน้อม ก่อนหันไปมองสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เบื้องหน้า แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้มาเยือนที่แห่งนี้ แต่ก็ยังคงตื่นตาตื่นใจกับภาพที่เห็นอยู่ดี


หลังจากที่หวังเป่าเล่อสงบจิตสงบใจลงเรียบร้อยแล้ว ผู้ฝึกตนจากสำนักที่ถูกส่งมารับเขาก็เดินทางมาถึง ผู้ฝึกตนผู้นั้นหาใช่หญิงสาวที่หวังเป่าเล่อเคยมอบของกำนัลให้ไม่ หากแต่เป็นชายชราที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยกระและจุดด่างดำมากมาย ดวงตาทั้งสองข้างของเขาดูเหมือนจะลืมไม่ขึ้นแล้ว


ชายชราผู้นี้ดูอ่อนแอยิ่งนัก แต่เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นเขา ชายหนุ่มก็ตกอยู่ในสภาวะตกใจ นอกจากปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์แล้ว ก็มีเพียงชายชราผู้นี้เท่านั้นที่ยากจะหยั่งถึง ไอพลังที่อีกฝ่ายปล่อยออกมานั้นดูช่างแสนอำมหิต ทำให้ใครก็ตามที่ได้สัมผัสรู้สึกราวกับกำลังจ้องมองอสรพิษร้ายอย่างไรอย่างนั้น


ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายรึ หรือว่าจะเป็นระดับดาวพระเคราะห์แบบครึ่งใบกันแน่ หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เขาทำมือคารวะพร้อมโค้งตัวคำนับด้วยความเคารพอย่างสูง ผู้ฝึกตนหญิงทั้งสองเองก็ดูประหม่าและทำเช่นเดียวกันกับเขา


“ขอคารวะศิษย์พี่สวี!”


ชายชราคลี่ยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นไม่ได้มาพร้อมความอบอุ่นแต่อย่างใด หากแต่ทำให้กลิ่นอายความอำมหิตรุนแรงยิ่งขึ้น


“พวกเจ้าทั้งสองนั่นเอง ข้าไม่ได้เจอเสียนาน โตขึ้นมากเลยนะ” ดวงตาของเขามองมาที่หวังเป่าเล่อขณะพูดถึงผู้ฝึกตนหญิงทั้งสอง ในแววตาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้จิตใจของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน เขารู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นหนังสือที่ถูกอ่านอย่างทะลุปรุโปร่งอีกครั้ง


“เจ้าเองก็ไม่เลวนะเจ้าหนุ่ม ตามข้ามา ท่านปรมาจารย์กำลังรอเจ้าอยู่ที่วังมหาทัณฑ์” ชายชราเบือนสายตาออก หันหลังกลับและเดินจากไป หวังเป่าเล่อนึกไม่ออกว่าชายผู้นี้เป็นใคร แม้จะพอเดาได้ลางๆ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าถูกหรือไม่ เขาจึงหันไปหาผู้ฝึกตนหญิงทั้งสองด้วยสีหน้าขอความช่วยเหลือ


“ผู้ดูแลกิจการแห่งดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ทั้งหมด!” หญิงสาวทั้งสองกะพริบตาปริบ ก่อนที่คนหนึ่งจะส่งข้อความเสียงมาให้เขา


หวังเป่าเล่อไม่ได้พยายามหลบซ่อนการยกมือขึ้นมาคารวะเพื่อแสดงความขอบคุณ เขาเหาะตามชายชราไป มุ่งหน้าไปยังวังมหาทัณฑ์ที่ปรมาจารย์อาศัยอยู่


ที่ชายหนุ่มไม่ได้พยายามซ่อนท่าที เป็นเพราะรู้ดีว่าซ่อนไปก็ไม่มีประโยชน์ ผู้ที่มีอำนาจและแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ย่อมรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว จึงจะเป็นการดีกว่าหากเขาทำทุกสิ่งอย่างตรงไปตรงมา แล้วก็เป็นจริงเสียด้วย ท่าทีแสดงความขอบคุณของหวังเป่าเล่อทำให้ผู้ดูแลกิจการแห่งดาวเคราะห์มหาทัณฑ์พยักหน้ารับรู้เล็กน้อย


จากนั้นชายหนุ่มก็เดินหน้าต่อไปด้วยความระมัดระวัง ทั้งสองค่อยๆ มุ่งหน้าสู่จุดหมายอันเป็นใจกลางของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ท่ามกลางความเงียบงัน เมื่อเทียบกับบริเวณโดยรอบแล้ว ที่แห่งนี้เงียบเชียบกว่ามาก บริเวณนี้มีทะเลสาบตั้งอยู่ บนทะเลสาบคือ…วังสีน้ำเงินเข้ม!


ภายนอกวังมีรูปปั้นที่ปล่อยพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะออกมา เมื่อทั้งสองเดินทางมาถึง รูปปั้นคู่ก็ค้อมหัวลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ


“เข้ามาเลย ไม่ต้องกลัวไป” ชายชราหันมามองหน้าหวังเป่าเล่อขณะที่ทั้งสองกำลังยืนอยู่หน้าประตูวัง แม้ใบหน้าของเขาจะเปื้อนยิ้ม แต่ไอพลังที่ร่างกายปล่อยออกมานั้นช่างรุนแรงเสียจนหวังเป่าเล่ออดหายใจสะดุดไม่ได้

 

 

 


บทที่ 787 เข้าพบปรมาจารย์!

 

จะไม่กลัวได้อย่างไรเล่า หลังประตูนี้มีปีศาจระดับดาวพระเคราะห์รออยู่ แถมผู้ฝึกตนที่ใกล้จะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์อยู่รอมร่อตรงหน้าข้าก็ยิ้มให้อย่างน่าขนลุกเป็นบ้า… หวังเป่าเล่อคิด แต่หลังจากที่คิดว่าตนเองเคยเจอผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์คนอื่นๆ มาแล้ว ทั้งยังเคยเห็นอสูรกายระดับดาวพระเคราะห์สองตัวเข้าประสานงากันและตายลงต่อหน้าต่อตา…


แถมการจะฆ่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สักคนยังเป็นเรื่องหวานหมูสำหรับศิษย์พี่ข้า ไม่เห็นจะมีสิ่งใดต้องกลัว! เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาในทันที เขาทำความเคารพผู้ดูแลกิจการเบื้องหน้า ตั้งใจสูดหายใจเข้าลึกให้อีกฝ่ายเห็น ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในวัง!


หวังเป่าเล่อไม่ได้รับรู้แม้แต่น้อยว่าภายในของวังนั้นยิ่งใหญ่โอฬารเพียงใด เนื่องจากดวงตาของเขาเอาแต่จับจ้องอยู่ที่ร่างซึ่งประทับอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ยักษ์อย่างไม่ละสายตา ร่างนั้นเปรียบเสมือนพายุหมุนขนาดใหญ่ที่หมายดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างให้มลายสิ้น


ชายผู้นั้นทำให้หวังเป่าเล่อตัดภาพความโอ่อ่าของวังออกไปจากการรับรู้จนหมดสิ้น สิ่งเดียวที่เขามองเห็นคือร่างที่เหมือนเทพเจ้าซึ่งหลบซ่อนอยู่ในความมืดบนบัลลังก์เบื้องหน้า!


ปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์!


แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้เข้าเฝ้าปรมาจารย์ แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าเฝ้าเพียงลำพัง บรรยากาศภายในวังเต็มไปด้วยความกดดัน จนทำให้หวังเป่าเล่อหยุดหายใจไปชั่วขณะโดยไม่รู้ตัว แต่ชายหนุ่มคงคิดขึ้นมาได้ว่าศิษย์พี่ของเขานั้นแข็งแกร่งกว่ามาก จิตใจจึงสงบลงมาได้ ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ก้าวมาด้านหน้าสองก้าว โค้งคำนับต่ำก่อนเอ่ยทำความเคารพ


“คารวะท่านปรมาจารย์ ขอให้ท่าน …”


“พอแล้ว!” หวังเป่าเล่อกำลังจะเริ่มบทสรรเสริญอีกครั้ง แต่น้ำเสียงต่ำของปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ดังปรามขึ้นมาเสียก่อน เขาไม่ได้ให้เวลาหวังเป่าเล่อตอบด้วยซ้ำ หากแต่โบกมือเพื่อดึงโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาออกมาจากตัวของชายหนุ่ม โล่ถูกตัดขาดจากจิตของหวังเป่าเล่ออย่างสิ้นเชิงด้วยอำนาจแห่งปรมาจารย์ แล้วลอยเข้าหาอีกฝ่ายในทันที


โล่อื่นๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในกายของหวังเป่าเล่อก็บินตรงเข้าหาปรมาจารย์เช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วก็เหลือเพียงใยแสงเส้นบางเท่านั้น เพราะโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาได้ไหลออกจากกายของหวังเป่าเล่อ ไปก่อเป็นตัวเป็นก้อนแสงรูปวงรีขนาดเท่าฝ่ามืออยู่ตรงหน้าของปรมาจารย์!


แสงนั้นโปร่งบางราวกับไม่มีอยู่จริง บางทีก็สว่างใสเหมือนผลึกแก้ว บางทีก็มืดมนมัวหมอง บางทีก็เปล่งปลังสุกสกาว และบางทีก็ดับมืดพร่ามัว


ภาพนี้ทำให้ม่านตาของหวังเป่าเล่อหบแคบลงเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า ชายหนุ่มยืนก้มศีรษะด้วยความเคารพระหว่างเฝ้ารอในความเงียบอย่างใจเย็น


หวังเป่าเล่อตระหนักถึงช่องว่างระหว่างพลังของตนเองและผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์อย่างชัดเจน และในขณะเดียวกันก็รู้ดีว่าสูตรการหลอมโล่นั้นเป็นของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ต่อให้เขานำสูตรมาปรับปรุง แต่ก็ยังยึดถือตามฐานความรู้เดิม เขาไม่รู้ว่าจักพรรดิใช้อำนาจพลังปราณในการตัดจิตเชื่อมโยงระหว่างเขากับโล่ หรือว่าใช้เคล็ดวิชาลัดของโล่ในการกระทำเช่นนั้นกันแน่ แม้หวังเป่าเล่อจะมีท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย แต่หลังจากที่คิดอยู่สักพัก ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลดี


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าขณะที่ปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์พินิจโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา ใบหน้าของเขาซ่อนอยู่ในความมืด จึงไม่มีใครล่วงรู้ว่าคิดเช่นไร หลังจากผ่านไปสักพัก ปรมาจารย์ก็เอื้อนเอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบ


“สวีโยว เจ้าคิดว่าอย่างไร” ปรมาจารย์สะบัดข้อมือขวาเพื่อส่งโล่ให้ลอยไปสู่อากาศว่างเปล่าที่ด้านขวาของเขา มือเหี่ยวย่นยื่นออกมาจากความว่างเปล่าประทับเข้าที่โล่นั้น เลือดและเนื้อหลั่งไหลจากมือเข้าสู่โล่จนเห็นเป็นเค้าโครงของโล่ ราวกับมีพู่กันที่มองไม่เห็นกำลังวาดภาพโล่อยู่ในอากาศ ผู้ดูแลกิจการสวีก้าวจากความว่างเปล่าออกมายืนอย่างเต็มตัว


เขาโค้งคำนับเล็กน้อยขณะยืนอยู่เคียงข้างปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ก้มหน้าลงมองโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาในมือ หลังจากผ่านไปนาน เขาก็พูดทำลายความเงียบขึ้น


“งานฝีมือหยาบ วัตถุดิบดาษดื่น คุณภาพปานกลางขอรับ มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนในสำนักที่สามารถหลอมวัตถุเวทเช่นเดียวกันนี้ได้ในระดับที่ดีกว่าเสียด้วย หากเรามีวัตถุดิบก็สามารถเพิ่มระดับของโล่นี้ให้สูงขึ้นได้โดยไม่ยากเย็นอะไรเลย”


เมื่อได้ยินคำพูดของผู้ดูแลกิจการสวี หวังเป่าเล่อก็อดเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายไม่ได้ ขณะเดียวกัน ความคิดเห็นของผู้ดูแลกิจการสวีก็ทำให้ปรมาจารย์หันมามองหวังเป่าเล่อในทันทีพร้อมเอื้อนเอ่ยออกมา


“หลงหนานจื่อ เจ้าอยากแถลงไขหรือไม่”


หวังเป่าเล่อรู้สึกไม่พอใจอยู่ในอก อดคิดไม่ได้ว่าตนเองไม่เคยทำให้ชายชราไม่พอใจแม้แต่น้อย แล้วเหตุใดจึงตั้งใจวิจารณ์โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของเขาให้ด้อยค่าเช่นนี้กัน


กระนั้นประสบการณ์การครองตำแหน่งใหญ่ในสหพันธรัฐก็ทำให้เขารู้ว่าเรื่องนี้อาจมีจุดประสงค์แอบแฝง แม้จะเป็นการยากที่จะยืนยันก็ตามที หลังจากที่คิดวิเคราะห์อยู่สักพัก ชายหนุ่มก็ฝืนยิ้มพร้อมทำมือคารวะ


“ข้าไม่มีสิ่งใดจะแถลงไขขอรับ โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของข้าเป็นตามที่ว่าจริงๆ”


เมื่อหวังเป่าเล่อพูดจบ สีหน้าของชายชรายังนิ่งเรียบไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แต่ปรมาจารย์กลับหรี่ตาลง เขามองหวังเป่าเล่อ หันไปมองผู้ดูแลกิจการสวีข้างกายตน ก่อนหัวเราะออกมา


“สวีโยวที่รัก เจ้าตั้งใจขยายข้อด้อยของโล่นี้เพื่อทำให้เคล็ดวิชาการหลอมที่อยู่ภายในโดดเด่นขึ้นมาใช้หรือไม่ นอกจากนี้เจ้ายังต้องการทำให้ข้าตระหนักได้ว่าการหลอมโล่นี้ขึ้นมาเป็นร้อยเป็นพันชิ้นนั้นง่ายดายเพียงใด เจ้าหลิงโยวนั่นคงมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าอีกแล้วสินะ”


เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของหวังเป่าเล่อก็เต้นแรงขึ้นเล็กน้อย เขามองหน้าผู้ดูแลกิจการสวีที่กำลังค้อมศีรษะต่ำและมีสีหน้าปกติ ชายชราเอ่ยตอบปรมาจารย์ด้วยท่าทีเคารพ


“ท่านปรมาจารย์ช่างหลักแหลมยิ่งนัก”


เมื่อได้ยินดังนั้น ปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็หัวเราะอีกครั้ง ก่อนถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “แล้วเจ้าเด็กหลิงโยวนั่นมีข้อเสนอว่าอย่างไรเล่า”


“นางเสนอให้หลงหนานจื่อแลกเคล็ดการหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกากับสิทธิ์ในการสร้างกองทหารของตนเอง ข้าปฏิเสธข้อเสนอนี้ไป แต่ต้องการให้ท่านอนุญาตให้หลงหนานจื่อเข้ารับพรจากสระน้ำเก้าอมตะแทนขอรับ” น้ำเสียงของผู้ดูแลกิจการไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย มันเต็มไปด้วยไอประหลาดเย็นเยียบเช่นเดิม


“สิทธิ์ในการสร้างกองทหารของตนเองรึ…” ปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์หรี่ตาลง ก่อนลุกขึ้นยืนหลังจากคิดอยู่สักพัก เขาก้าวออกมาข้างหน้า พาร่างเข้าไปในความว่างเปล่า แสงสว่างเจิดจ้าราวดวงอาทิตย์ไหลเข้าท่วมทั่ววัง ร่างของปรมาจารย์หายไปในพริบตา มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ค่อยๆ ดังกังวานไปทั่วทุกหนแห่ง


“ตกลง และข้าก็อนุญาตให้หลงหนานจื่อเข้ารับพรจากสระน้ำเก้าอมตะด้วยเช่นกัน!”


เมื่อได้ยินดังนั้น หวังเป่าเล่อก็หายใจถี่ด้วยความตื่นเต้น เขาประกาศเสียงดัง “ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งขอรับท่านปรมาจารย์ ข้า หลงหนานจื่อคนนี้ จะไม่มีวันลืมความเมตตาของท่านเลย!”


เขารู้ดีว่าการยกยอปอปั้นนั้นไม่ควรใช้บ่อยจนเกินไป โดยเฉพาะในการแสดงความขอบคุณ ยิ่งพูดน้อย ยิ่งจับใจคนฟังมากกว่า ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงพูดแต่สาระสำคัญเท่านั้น


แล้วก็ได้ผลจริงๆ เสียด้วย ด้วยความที่จิตของปรมาจารย์ยังออกจากวังไม่หมด เขาจึงได้ยินคำพูดแสดงคำขอบคุณที่กระชับสั้นได้ใจความของหวังเป่าเล่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินจากชายหนุ่มมาก่อน ปรมาจารย์ประหลาดใจเป็นอันมาก ตัวตนของหวังเป่าเล่อยิ่งประทับเข้าไปในความทรงจำของเขาขึ้นไปอีก


แม้แต่ผู้ดูแลกิจการสวียังเงยหน้าขึ้นมามองหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มหันไปหาชายชรา โค้งคำนับต่ำพร้อมเอ่ยคำขอบคุณ


“ขอบพระคุณผู้ดูแลกิจการสวีมากขอรับ!”


ผู้ดูแลกิจการสวีพยักหน้าและไม่กล่าวอันใดอีก เขาทำท่าให้หวังเป่าเล่อตามมา หลังออกจากวัง ทั้งสองก็เหาะไปยังเขตต้องห้ามที่หลังหุบเขา ชายหนุ่มไม่เคยเห็นที่แห่งนี้มาก่อน เมื่อก้มหน้าลงมอง ก็เห็นทิวเขาเรียงตัวเป็นแนวยาว โอบอุ้มด้วยหมอกที่ไหลวน ที่ปลายทางท้องฟ้ากลับมีหน้าตาประหลาด เนื่องจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นอยู่ในอีกอวกาศหนึ่ง แสงอาทิตย์ที่เคยสาดส่องก่อนหน้านี้จึงมืดลงทันทีที่ก้าวผ่านแนวเทือกเขามายังบริเวณต้องห้ามด้านหลัง ซึ่งมีดวงจันทร์กำลังทอแสงนวลในท้องฟ้าสีหมึก!


ทว่า…แสงนวลของดวงจันทร์กลับเป็นสีแดงชาด ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูประหลาดน่าขนลุก หมอกหนาขึ้นเรื่อยๆ จนชายหนุ่มมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีกต่อไป ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังหลงทิศทาง บรรยากาศนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ จนชายหนุ่มมาถึงแอ่งพื้นดินขนาดใหญ่!


แอ่งนี้ดูเหมือนจะสร้างโดยการระเบิดจากฝีมือมนุษย์ กำแพงโดยรอบค่อนข้างหยาบ และเต็มไปด้วยถ้ำจำนวนเก้าแห่งด้วยกัน กลิ่นเหม็นของเลือดสดๆ โชยจากแอ่งดินออกมาสู่บรรยากาศโดยรอบ กลิ่นนั้นประหลาดยิ่งนัก ทันทีที่หวังเป่าเล่อเข้าใกล้จนจมูกได้กลิ่น พลังปราณในกายของเขาก็พลันปั่นป่วนบ้าคลั่ง


ดวงตาของชายหนุ่มหดแคบ ดวงวิญญาณสั่นสะท้าน ผู้ดูแลกิจการสวีที่อยู่เบื้องหน้าเขาหยุดค้างอยู่กลางอากาศเหนือแอ่งกระทะ ชายชรามองลงเบื้องล่าง รอยยิ้มน่าขนลุกปรากฏขึ้นบนใบหน้า แสงสีแดงเลือดจากดวงจันทร์ทำให้เขาดูน่าสยองขึ้นไปอีก


“เจ้าหนุ่ม นี่คือสระเก้าอมตะแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ เจ้ามีโอกาสเดียวที่จะบรรลุขั้นปราณจากที่แห่งนี้ ทำให้ดีละ”


ขณะที่พูด ผู้ดูแลกิจการสวีก็ยกมือขวาขึ้นชี้ไปที่สรวงสวรรค์ เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นสะท้อนก้องออกจากฟากฟ้า พื้นดินสั่นสะท้าน ดวงจันทร์สีเลือดบนท้องฟ้าทวีแสงสีแดงเข้มข้นขึ้น ประกายสีเลือดจากดวงจันทร์ไหลเข้าท่วมบริเวณต้องห้ามทั้งหมด และเปลี่ยนทุกหนแห่งให้กลายทะเลเลือด!


ในตอนนั้นเอง…เสียงโซ่ตรวนดังกระทบกันก็ลอยออกจากถ้ำทั้งเก้าที่กำแพงหน้าผา ตามมาด้วยเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดที่ไม่ใช่เสียงของมนุษย์!

 

 

 


บทที่ 788 ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย!

 

โลกภายใต้พระจันทร์สีเลือดแดงฉานราวอาบด้วยโลหิต แอ่งกระทะบนพื้นกลายเป็นสีแดงเข้ม เสียงโซ่ตรวนขยับกระทบกันประสานกับเสียงร้องโหยหวนดังออกจากถ้ำทั้งเก้า เมื่อได้เห็นและได้ยินทุกสิ่งทุกอย่าง สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็พลันเคร่งขรึมขึ้นทันที ผู้ดูแลกิจการสวีที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความชั่วร้ายดำมืดเปิดปากพูด เสียงแหบแก่ชราของเขาให้ความความรู้สึกกระหายเลือด และดังกังวานไปทั่วบริเวณ


“เจ้าหลงน้อย รอสิ่งใดอยู่เล่า จงไปนั่งกลางสระน้ำเก้าอมตะเสีย การรับพรจะสิ้นสุดเมื่อเจ้าบรรลุขั้นปราณ หรือเมื่อเวลาสองชั่วโมงจบลง ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งใดเกิดก่อน!”


หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใดที่ถูกเรียกว่าเจ้าหลงน้อย และรีบตอบรับคำสั่งของผู้ดูแลกิจการสวีในทันที แม้ชายหนุ่มจะลังเลอยู่ในใจ แต่ก็รีบตั้งสติและกระโจนลงไปกลางหลุม ร่างของเขาพลันจมลงไปใต้แอ่งกระทะ


กลิ่นเลือดรุนแรงโชยมาเข้าจมูก พื้นเป็นสีแดงเข้มราวกับคอยซับเลือดอยู่เป็นอาจิณ


หวังเป่าเล่อมองดูบรรยากาศรอบตัวโดยไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด เขานั่งขัดสมาธิลงกับพื้นและเงยหน้าขึ้นมองด้านบน ตอนนั้นเอง เมื่อเสียงโซ่ตรวนเหล็กกระทบกันพร้อมด้วยเสียงร้องโหยหวยจากถ้ำทั้งเก้าดังขึ้นจนถึงขีดสุด วินาทีต่อมา ร่างยักษ์ร่างหนึ่งก็พุ่งพรวดออกจากถ้ำ!


ร่างนั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตน หากแต่เป็นกิ้งก่ายักษ์สองหัว ทันทีที่มันพุ่งออกจากถ้ำ กิ้งก่ายักษ์ก็กระโจนขึ้นไปในอากาศ ส่งเสียงกรีดร้องพร้อมดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ราวกับอยากจะหนีไปให้ไกลอย่างไรอย่างนั้น!


แต่โซ่ตรวนกลับจิกเข้าไปในเนื้อ ห้ามร่างของมันเอาไว้จากอิสรภาพ ไม่ว่ากิ้งก่ายักษ์จะดิ้นรนให้ตายเพียงใดก็ไม่มีความหมาย มันทำได้เพียงขยับตัวไปมาอยู่แถวถ้ำของตนเท่านั้น ไม่สามารถออกไปได้ไกล!


กระแสสายฟ้าสีแดงแลบออกจากโซ่เป็นระยะๆ ทำให้กิ้งก่ายักษ์กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เกล็ดบนร่างกายมันลุกชัน ปล่อยพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ออกมา เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของมัน มาพร้อมไอพลังโหดเหี้ยมเหนือคำบรรยายที่ทำให้ท้องฟ้าต้องสั่นสะท้าน


ยังไม่จบเพียงเท่านั้น สิ่งมีชีวิตอื่นๆ นอกจากกิ้งก่ายักษ์ต่างกระโจนจากถ้ำของตนออกมาตามๆ กัน มีทั้งมังกรยักษ์ สิ่งมีชีวิตคล้ายพืช และสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนผู้ฝึกตนแต่ไม่ใช่ ทุกตนถูกจองจำเอาไว้ด้วยโซ่ตรวน และล้วนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากสายฟ้าสีแดงเช่นกัน ทั้งชีวิตมีเพียงความบ้าคลั่งและความเจ็บปวดเท่านั้นให้รู้สึก!


เมื่อเห็นภาพทั้งหมดนี้ หวังเป่าเล่อก็หายใจถี่ เขารู้แล้วว่าสระน้ำเก้าอมตะมีไว้เพื่อสิ่งใด ที่แห่งนี้กักขังสิ่งมีชีวิตขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์เอาไว้เก้าตน เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรมาจารย์และผู้ดูแลกิจการสวีจับมาด้วยตนเองจากอารยธรรมที่พวกเขาไปปล้นทำลายมา


สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ไม่ได้ถูกสังหาร หากแต่ถูกจองจำเพื่อเป็นรางวัลแก่ศิษย์ของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์!


“เจ้าหลงน้อย เริ่มแล้วนะ” เสียงของผู้ดูแลกิจการสวียิ่งดูเหี้ยมขึ้นอีกท่ามกลางเสียงโหยหวยด้วยความเจ็บปวดของสิ่งมีชีวิตทั้งเก้า สีหน้าของเขาบ่งบอกเล็กน้อยว่าชื่นชอบภาพตรงหน้า ชายชราสร้างผนึกฝ่ามือด้วยมือขวา พลันโซ่ตรวนที่ตรึงสิ่งมีชีวิตทั้งเก้าเอาไว้ก็กลายเป็นสีแดง สายฟ้าที่รุนแรงกว่าเดิมชอนไชเข้าไปในร่างของสิ่งมีชีวิตทั้งเก้าในทันที


วินาทีต่อมาเสียงกรีดร้องก็ทวีความน่าขนลุกขึ้นไปอีก พลังชีวิตไหลบ่าออกจากร่างของพวกมันอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยความที่พวกมันมีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะ พลังที่ไหลออกมานั้นจึงมีทั้งพลังชีวิตและพลังปราณ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นพลังที่มากกว่าพลังปราณด้วยเช่นกัน


เห็นได้ว่าพลังชีวิตที่แผ่ออกมานั้นมีสภาพเป็นหมอกซึ่งไหลออกจากรูทวารทั้งเจ็ด หมอกเหล่านั้นไหลผ่านกำแพงหน้าผาเข้าท่วมแอ่งเบื้องล่าง กระบวนการนี้ฉีกร่างของพวกมันเป็นชิ้นๆ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดอันยากจะทานทน เลือดสดๆ ไหลออกจากร่างกายที่สั่นเทิ้ม เลือดนี้…เป็นตัวการที่ทำให้พื้นแอ่งกระทะมีกลิ่นโลหิตเข้มข้นนั่นเอง!


ภาพตรงหน้านั้นโหดร้ายเหลือทน พลังชีวิตของสิ่งมีชีวิตขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งเก้ายังคงทะลักออกจากร่างอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด สำนักไม่ยอมปล่อยให้พวกมันตาย ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตทั้งเก้านี้เป็นถูกใช้เป็นภาชนะและสมบัติเวทขนาดใหญ่ยักษ์อย่างไรอย่างนั้น


หวังเป่าเล่อเงียบงัน เขาหลับตาลงเพื่อซ่อนภาพนั้นไว้เบื้องหลังเปลือกตา และเริ่มดูดพลังชีวิตที่หลั่งไหลเข้ามาทันที ที่ทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะชายหนุ่มใจไม้ไส้ระกำ เพียงแต่ว่าความเมตตา ศีลธรรม และความต้องการปกป้องของเขานั้น มีไว้เพื่อสหพันธรัฐเพียงเท่านั้น!


สิ่งอื่นๆ ไม่ได้อยู่ในความใส่ใจของเขาแต่อย่างใด เขาไม่มีอำนาจไปยุ่มย่ามก้าวก่ายกิจการของอารยธรรมอื่น นอกจากนี้…เขารู้แก่ใจดีอยู่แล้วว่าโลกแห่งการฝึกตนนั้นโหดเหี้ยมเพียงใดตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเข้าสู่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์


ตัวตนนี้ของเขาไม่ได้เกิดจากการถูกหล่อหลอมด้วยประสบการณ์วัยเด็ก หากแต่เป็นธรรมชาติภายในสหพันธรัฐที่ทุกคนพึงรู้แต่แรก นับตั้งแต่วินาทีที่กระบี่สำริดเขียวโบราณพุ่งเข้าชนดวงอาทิตย์ และนำพายุคกำเนิดวิญญาณมาสู่มวลมนุษยชาติ!


สงครามอสูรมากมายอุบัติขึ้นพร้อมการมาถึงของยุคกำเนิดวิญญาณ ทำให้มนุษย์โลกทั้งสองชั่วอายุคนคุ้นเคยกับเลือดและความตายดี


เส้นทางแห่งการฝึกตนนั้น ยิ่งถลำตัวเข้าไปลึกเท่าใด ก็ยิ่งโหดเหี้ยมอันตรายมากขึ้นเท่านั้น!


แม้เขาจะรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้เห็นบ้าง แต่ความรู้สึกที่รุนแรงมากกว่าสิ่งใด…คือความมุ่งมั่นที่จะไม่ปล่อยให้ภาพนี้เกิดขึ้นกับสหพันธรัฐอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงปล่อยพลังของตนออกมา และใช้อำนาจทุกอย่างที่มีในการดูดพลังชีวิตซึ่งไหลหลั่งออกมาเข้าไป!


หวังเป่าเล่อมีปราณอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลาง เมื่อได้รับพลังชีวิตจากสิ่งมีชีวิตทั้งเก้า เขาก็ทำตนเหมือนฟองน้ำที่ดูดซับทุกสิ่งเข้าหาตน ภายในระยะเวลาอันสั้น ปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลางที่เขาเพิ่งบรรลุก็หยั่งรากสมบูรณ์ในกายของชายหนุ่ม


แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อยังไม่พอใจกับความเร็วในการดูดซับและปริมาณพลังชีวิตที่ได้รับมา ชายหนุ่มจึงใช้กระบวนท่าสารัตถะบังหน้า แล้วแอบปล่อยพลังเมล็ดดูดกลืนภายในกายออกไปเล็กน้อย


เมล็ดดูดกลืนเปลี่ยนร่างของเขาให้เป็นเสมือนหลุมดำ ทันใดนั้น หมอกพลังชีวิตที่อยู่รอบกายเขาซึ่งกำลังก่อตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มไหลออกจากแอ่งก็เริ่มยุบตัวลงทันที!


เมื่อเทียบกับปริมาณทั้งหมดแล้ว ระดับของหมอกที่ลดลงนั้นไม่ได้เยอะมาก หวังเป่าเล่อค่อยๆ ควบคุมพลังการดูดกลืนของตนให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามปริมาณหมอกที่ลดลง


หลังจากผ่านไปสิบห้านาที ร่างของชายหนุ่มก็สั่นสะท้าน พลังปราณของเขาขึ้นไปอยู่ที่จุดสูงสุดของขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลาง และกำลังจะบรรลุไปสู่ชั้นปลาย ที่ทำเช่นนี้ได้เพราะสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ออกแบบและสร้างแอ่งกระทะนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ และโซ่ตรวนเหล่านั้นก็มีคุณสมบัติพิเศษในการเปลี่ยนพลังชีวิตให้อยู่ในรูปแบบที่ดูดซึมได้เร็ว พลังชีวิตที่ไหลออกจากสิ่งมีชีวิตทั้งเก้าจึงไม่ต่างอะไรกับโอสถอมตะแม้แต่น้อย!


ความแตกต่างเดียวคือโอสถเป็นพลังชีวิตที่ถูกกักเก็บไว้ แต่พลังชีวิตที่หวังเป่าเล่อกำลังดูดเข้าไปคือพลังที่ไหลออกจากร่างแบบสดๆ


หวังเป่าเล่อไม่มีปัญหาเรื่องการดูดพลัง แต่อำนาจเหนือธรรมชาติของเมล็ดดูดกลืนที่ทำให้ชายหนุ่มดูดพลังชีวิตได้เร็วขึ้น ทำให้ผู้ดูแลกิจการสวีเริ่มสนใจ แววตาของเขาเป็นประกายขณะหันกลับมามองหวังเป่าเล่อให้ดีอีกครั้ง


ดูเหมือนว่าหมอนี่จะมีความลับซ่อนอยู่ในกาย แต่…ในเมื่อเจ้าเด็กหลิงโยวไว้เนื้อเชื่อใจเขา ก็คงไม่เป็นไรกระมัง ผู้ดูแลกิจการสวีคิดอยู่สักพักและตัดสินใจเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ปล่อยให้หวังเป่าเล่อดูดพลังได้ตามใจชอบ


สิบห้านาทีผ่านไปในรูปการณ์นี้ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังเดินทางมาสู่หัวเลี้ยวหัวต่อของการบรรลุปราณ ชายหนุ่มมั่นใจว่าอีกอึดใจเดียว ตนจะก้าวผ่านปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลางไปเป็นชั้นปลายอย่างแน่นอน


และในวินาทีที่เขาบรรลุขั้นปราณ การรับพรนี้ก็จะจบลงตามกฎ


ความเร็วนี้ทำให้ชายหนุ่มทั้งตัวสั่นด้วยความกลัวและเกิดความกระหายอันไร้ก้นบึ้ง แต่ด้วยความที่มีคนนอกอยู่ด้วย หวังเป่าเล่อจึงนำเกราะจักรพรรดิของตนออกมาดูดพลังไม่ได้ และหากแอบทำก็คงไม่เป็นการดีเช่นกัน หลังจากที่คิดอยู่สักพัก เขาจึงตัดสินใจใช้พลังชีวิตเหล่าหลอมสร้างร่างอวตารจากกระบวนท่าสารัตถะให้แข็งแกร่งขึ้นแทน!


ข้าจะปล่อยให้โอกาสทองเช่นนี้สูญไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้! คิดได้ดังนั้นหวังเป่าเล่อก็แอบใช้พลังชีวิตที่ได้รับมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างอวตารของตน มันก็ได้ผลอยู่บ้าง แต่ร่างอวตารนี้ต้องการพลังจำนวนมากจึงทำให้พัฒนาไปได้อย่างเชื่องช้า แต่หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าหากตนทำเช่นนี้ต่อไป ไม่ใช่เพียงร่างอวตารของเขาเท่านั้นที่จะแข็งแกร่งขึ้น แต่ร่างจริงก็จะพัฒนาขึ้นด้วยเช่นกันเมื่อรวมร่างเข้าด้วยกันอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงเดินหน้าหลอมร่างอวตารของตนด้วยความระมัดระวังและความกระวนกระวายกลัวว่าจะโดนจับได้


ผู้ดูแลกิจการสวีรู้สึกถึงปัญหาใหม่ได้ในทันที เขาเปิดเปลือกตาขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสีหน้าประหลาด ชายชรามุ่นคิ้วเล็กน้อย แต่หลังจากที่คิดว่าเทพธิดาหลิงโยวไว้ใจพ่อหนุ่มคนนี้ และคิดถึงความจริงที่ว่าหลงหนานจื่อพรั่งพร้อมด้วยไหวพริบและไม่ใช่คนที่จะทำอะไรเลยเถิด เขาจึงตัดสินใจกระแอมกระไอออกมาในที่สุดและทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสีย


เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นว่าผู้ดูแลกิจการสวีไม่ได้พยายามหยุดเขา ดวงตาของชายหนุ่มก็ฉายแสงวาบ เขาเพิ่มพลังการดูดของตนเองในทันที หนึ่งชั่วโมงต่อมา พลังปราณในหลุมทั้งหมดก็ใกล้หมดลง ผู้ดูแลกิจการสวีลืมตาขึ้นอีกครั้งและเอ่ยด้วยเสียงเย็น


“สิบวินาที!”


เมื่อได้ยินดังนั้นหวังเป่าเล่อก็เพิ่มความเร็วในการดูดซึมของตนเองอีกครั้ง ทันทีที่สิ้นเวลาสิบวินาที ชายหนุ่มก็ไม่พยายามกดพลังของตนเองอีกต่อไป เขาพลันบรรลุสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายอย่างรวดเร็ว!


ทันทีที่กลายเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย เสียงดังลั่นก็ระเบิดออกจากกายชายหนุ่ม ไอพลังที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิมระเบิดออกมา ร่างของเขาทะลึ่งพรวดขึ้นไปในอากาศ ยืนค้างอยู่บนความว่างเปล่าเบื้องบน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นส่งเสียงคำราม ท้องฟ้าและสรวงสวรรค์สั่นสะเทือน ทั้งลมและเมฆถูกปัดเป่าปลิวไปด้วยอำนาจของหวังเป่าเล่อ พายุรุนแรงปะทุขึ้นรอบกายในทันที

 

 

 


บทที่ 789 ผ่าวิญญาณ!

 

ร่างกายที่แข็งแกร่ง พลังปราณที่ทรงพลัง และกระแสวิญญาณที่เข้มข้น…ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดหลงหนานจื่อจึงทำให้กองทหารมังกรหยดหมึกเสียท่าได้ แม้วิธีการทำลายกองทหารทั้งกองของเขาจะบ้าระห่ำมาก แต่ตัวเขาเองยังรู้จักที่ต่ำที่สูง รู้จักการให้และการรับ นอกจากนี้สติปัญญายังหลักแหลมเกินใคร ทั้งยังเชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทเป็นอย่างมากอีกด้วย… ผู้ดูแลกิจการสวีเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อ ด้วยสายตาที่แสดงความชื่นชมเป็นครั้งแรก


ถึงเขาจะรู้จักมักจี่กับหลงหนานจื่อมาได้ไม่นาน แต่ก็เห็นถึงคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมของชายหนุ่มได้ในเวลาอันสั้น ทั้งหมดนี้ทำให้เขาชื่นชมหวังเป่าเล่อ และเริ่มเชื่อมั่นว่าการมองคนของหลิงโยวนั้นไม่เลวเลยทีเดียว


ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นระหว่างศิษย์หนุ่มคนนี้กับหลิงโยว เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ผู้ดูแลกิจการสวีก็ประเมินหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ยิ่งพิจารณามากเท่าใด ก็ยิ่งมั่นใจว่าความคิดนี้มีความเป็นไปได้


อาจเป็นเพราะชายชราคิดว่าเสียงร้องโหยหวนแหลมสูงของเหล่าผู้ทรงพลังด้านล่างที่กำลังโดนดูดพลังชีวิตดังแสบแก้วหูเกินไป ผู้ดูแลกิจการสวีจึงโบกมือขวาอย่างแรงเพื่อให้ทุกตนเงียบเสียง แอ่งกระทะสั่นสะเทือนในทันที โซ่ตรวนที่จองจำร่างทั้งเก้าเอาไว้กระชับหดสั้นลงและดึงร่างทั้งหมดกลับไปในถ้ำของตนเองดังเดิม!


เสียงโซ่พร้อมด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนค่อยๆ จางหายไป เมื่อดวงจันทร์สีเลือดบนท้องฟ้าแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นสีเงินยวงดังเดิม ดวงตาของหวังเป่าเล่อที่กำลังยืนอยู่กลางอากาศก็เป็นประกายเจิดจ้า ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงพลังปราณที่กำลังปั่นป่วนบ้าคลั่งอยู่ในกายตนเองแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้


นี่คือความเป็นจริงของความแตกต่างระหว่างสองอารยธรรม หวังเป่าเล่อคนเดิมที่อยู่ในสหพันธรัฐ ไม่ว่าจะพยายามจนเลือดตาแทบกระเด็นอย่างไร ก็ทำได้อย่างดีแค่บรรลุปราณขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์เท่านั้น  แต่หวังเป่าเล่อในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไม่ได้บรรลุขั้นปราณเท่านั้น แต่ยังเดินทางมาถึงขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายได้แม้จะอยู่ในอารยธรรมนี้มาได้ไม่นานก็ตาม!


ด้วยระยะเวลาเพียงเท่านี้ เขาก็กำลังจะมีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว พลังปราณที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสะท้อนให้เห็นเด่นชัดขึ้นในการต่อสู้ แม้เขาจะยังไม่ได้มีโอกาสทดลองพลังใหม่ที่ได้รับมา แต่ก็รู้สึกได้ว่าหากตนเองเผชิญกับผู้บัญชาการขั้นแสร้งอมตะของกองทหารมังกรหยดหมึกอีกครั้ง เขาจะสามารถใช้พลังของตนเองต่อกรกับนางได้อย่างแน่นอน โดยไม่จำเป็นต้องใช้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเลยด้วยซ้ำไป!


ส่วนใครจะชนะนั้น…อะไรก็เกิดขึ้นได้!


นั่นเพราะพลังกายของหวังเป่าเล่อก็พัฒนาขึ้นจากเดิมมากเช่นกัน เขามั่นใจว่าทันทีที่รวมร่างอวตารนี้เข้ากับร่างที่แท้จริงของตนแล้ว ต่อให้มีปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย ก็คงสังหารผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะได้ไม่ยากเย็นนัก!


“ขอบพระคุณท่านมากขอรับ ศิษย์พี่สวี!” ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ก่อนโค้งคำนับผู้ดูแลกิจการสวีพร้อมทำมือคารวะ เขารู้สึกขอบคุณผู้ดูแลกิจการสวีจากใจจริงที่ไม่หยุดเขาก่อนหน้านี้ มิเช่นนั้นแล้วเขาคงพัฒนาขั้นปราณตนได้ไม่สุดเป็นแน่แท้


“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก ไปขอบคุณเจ้าเด็กน้อยหลิงโยวนั่นเถิด” ผู้ดูแลกิจการสวียิ้ม แม้ชายชราจะพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะแสดงไมตรีจิต แต่ความลึกลับน่าขนลุกที่หยั่งรากลึกอยู่ในกระดูก กลับทำให้รอยยิ้มของเขาดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก


เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นเล็กน้อยอยู่ภายใน รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล หลังจากที่ทำมือคารวะอีกครั้ง ทั้งสองก็ออกจากบริเวณต้องห้ามมาในที่สุด


ระหว่างทางกลับไปยังเรือบินรบของกองทหารวิหคน้ำแข็ง หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงสายตาของผู้ดูแลกิจการสวีที่มองมายังเขา สายตานั้นดูมีแววหยั่งลึกที่ชายหนุ่มเองก็ไม่เข้าใจ ความรู้สึกประหลาดนี้ทวีมากขึ้นอีกเมื่อผู้ดูแลกิจการสวีเริ่มซักประวัติเขา


เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกระแวงเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าผู้ดูแลกิจการสวีเริ่มสงสัยตัวตนที่แท้จริงของตน…ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เขาถอนหายใจออกมาทันทีที่ถึงเรือบินรบกองทหารวิหคน้ำแข็ง และผู้ดูแลกิจการสวีได้จากไปแล้ว ก่อนก้มลงมองตราประจำตัวสีฟ้าในมือตน


ตราประจำตัวนี้คือตราวงแหวนปราณที่ผู้ดูแลกิจการสวีมอบให้เขาก่อนจากไป เขาเพียงแต่ต้องใส่พลังปราณของตนเข้าไปเท่านั้นเพื่อประทับตรา จากนั้นก็สามารถปล่อยตราประจำกองทหารของเขาไว้ในวงแหวนปราณแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้เลย ระหว่างนี้สำนักจะจัดการหาฐานที่มั่นให้เขาจากตราประทับที่ใส่เข้าไป


วิธีการนี้คล้ายกับเครือข่ายวิญญาณของสหพันธรัฐ ความแตกต่างก็คือเครือข่ายวิญญาณของสหพันธรัฐนั้นกระจายไปทั่วอาณาจักรและใครก็เข้าถึงได้ แต่สำหรับที่นี่…แบ่งแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่าแทน


หลังจากที่เก็บตราประจำตัวกลับเข้ากระเป๋าเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็เดินทางกลับสู่ฐานที่มั่นกองทหารวิหคน้ำแข็งด้วยความปรีดาถึงขีดสุด เสียงเครื่องยนของเรือบินรบดังลั่นขณะเหาะออกจากดาวเคราะห์มหาทัณฑ์


สำหรับการกลับมาในครั้งนี้ สถานะของชายหนุ่มได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ได้เป็นสมาชิกกองทหารวิหคน้ำแข็งอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้นำกองทหารใต้บังคับบัญชา และถึงแม้ตำแหน่งของเขาจะต่ำกว่าหลิงโยว แต่ก็ยังมีศักดิ์เป็นถึงผู้บัญชาการทหาร


ด้วยเหตุนี้…เมื่อเรือบินรบลงจอดเทียบท่า กองทหารวิหคน้ำแข็งก็ได้เตรียมพิธีการต้อนรับอย่างเป็นทางการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยทั้งเทพธิดาหลิงโยวและผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนอื่นๆ ใต้อาณัติของนางก็มาร่วมงานด้วยเช่นกัน


งานต้อนรับนี้มีพิธีรีตองไม่น้อย แต่หวังเป่าเล่อที่มีประสบการณ์อย่างโชกโชนนั้นคุ้นชินกับงานเช่นนี้เป็นอย่างดี จึงรับมือได้อย่างไม่ติดขัด เขาพูดคุยกับทุกคน ทั้งยังแสดงความขอบคุณเทพธิดาหลิงโยว และตอบตกลงเงื่อนไขก่อนหน้านั้นที่คุยกันเอาไว้ด้วย


ท้ายที่สุด เทพธิดาหลิงโยวก็เชิญชวนให้หวังเป่าเล่อออกไปตั้งกองทหารของตนหลังจากที่หลอมโล่ให้เสร็จตามสัญญา ซึ่งชายหนุ่มก็ตอบตกลง


เมื่องานเลี้ยงเลิกรา หวังเป่าเล่อที่บัดนี้อยู่คนเดียวอีกครั้ง ก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้ที่ผู้ฝึกตนหญิงรอบกายเขายังคงสงวนท่าที แม้ว่าเขาจะยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่เพียงใด แม้ดวงตาของทุกคนจะเป็นประกายเจิดจ้ายามที่มองเขา แต่ก็ยังไม่มีใครพยายามให้ท่าแต่อย่างใด เรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหนัก เมื่อกลับมาพักถ้ำที่พัก  เขาก็ได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้นท่ามกลางความเงียบงัน


ช่างมันปะไร ต่อให้มายั่วข้าก็ไม่เอาหรอก! หวังเป่าเล่อฮึดฮัดอยู่คนเดียว หลังจากที่ปัดความคิดเรื่องนี้ออกไปจากหัว ดวงตาของชายหนุ่มก็หรี่ลง


ในเมื่อโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของข้าถูกยึดไปแล้ว ข้าจะต้องรีบสร้างชิ้นที่ดีกว่าโดยเร็ว มิเช่นนั้นเมื่อเจอภัยอันตรายหลังออกจากกองทหารวิหคน้ำแข็งไปแล้ว คงจะจัดการได้ยากเป็นแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นหวังเป่าเล่อก็รวบรวมความคิดอีกครั้ง และเริ่มประเมินวิธีการหลอมโล่ใหม่ที่ตนเคยคิดออก


สิ่งสำคัญที่สุดคือเคล็ดวิชาพิเศษในการหลอมอาวุธเทพที่อยู่ในสูตรซึ่งเจ้าอู่น้อยมอบให้


การรื้อสร้าง… พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือการสร้างขึ้นมาใหม่หลังจากแยกชิ้นส่วน! ชายหนุ่มเปิดกระเป๋าของตนเองและหยิบวัตถุดิบที่เทพธิดาหลิงโยวมอบให้ระหว่างงานเลี้ยงออกมา ปริมาณของวัตถุดิบเหล่านั้นรวมสิ่งที่เขาเสียไปจากการประลองด้วย จึงทำให้ชายหนุ่มไม่ต้องออกไปหาทรัพยากรที่ไหนมาเพิ่มอีก


เวลาเดินหน้าผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนครบหนึ่งเดือน แม้ชื่อเสียงของเขาจะโด่งดังขึ้นมาทั้งในกองทหารวิหคน้ำแข็งและในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ และหลายคนรู้ว่าเขาได้รับสิทธิ์ในการตั้งกองทหารมาไว้ในครอบครองแล้ว แต่ในหนึ่งเดือนนี้ชีวิตหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย


เขาแทบไม่ออกจากที่พัก และมุ่งมั่นอยู่กับการรื้อสร้างโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา ผลที่ออกมานั้นทำให้เขาพึงพอใจเป็นอันมาก หวังเป่าเล่อใช้วิธีการใหม่หลอมโล่ให้บรรลุไปถึงระดับ 17 ดังเดิม จากนั้นเขาก็ยังไม่หยุดมือ แต่ดันพลังของโล่ให้ขึ้นไปหยุดที่ระดับ 28!


พลังสะท้อนกลับของโล่ระดับนี้แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด และยังเป็นอันตรายต่อผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะอีกด้วย แม้จะยากที่จะสะท้อนการโจมตีขั้นจิตวิญญาณอมตะกลับไปได้ร้อยละ 280 แต่ก็ยังทำได้มากกว่าครึ่ง


ส่วนหน้าตาของโล่ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเช่นกัน มันไม่ได้ดูเหมือนโล่ขนาดเล็กอีกต่อไป หากแต่กลายเป็นหยดน้ำเล็กๆ จำนวนมากที่ก่อตัวกันเป็นชั้นบนร่างกายชายหนุ่มเพื่อปกป้องเขาจากอันตราย


ระหว่างนั้นชายหนุ่มก็หลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการุ่นเก่าครบร้อยชิ้นตามที่สัญญากับเทพธิดาหลิงโยวเอาไว้ และเมื่อส่งมอบของ เขาก็สามารถจากที่แห่งนี้ไปเมื่อใดก็ได้ หวังเป่าเล่อออกจากการถือสันโดษ หยิบตรากองทหารของตนออกมาด้วยแววตาเป็นประกาย


ต่อมาก็ต้องเริ่มสร้างกองทหารสินะ ข้าจะตั้งชื่อว่าอะไรดี… หวังเป่าเล่อรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เขาคิดเรื่องนี้เอาไว้บ้างขณะที่กำลังหลอมวัตถุเวท แม้พลังของกองทหารจะไม่เกี่ยวกับชื่อ แต่ชื่อนั้นก็ยังสำคัญมากอยู่ดี ชื่อที่ดีจะทำให้กองทหารดูน่าเกรงขามขึ้นมากโขเลยทีเดียว


ชื่อที่ดีที่สุดคงจะหนีไม่พ้นกองทหารเป่าเล่อ ช่างเป็นชื่อที่เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่เหลือเกิน ทว่า… หวังเป่าเล่อถอนหายใจยาว เสียแต่ว่ามีจั่วอี้เซียนอยู่ที่นี่ด้วย มิเช่นนั้นคงไม่มีใครสงสัยชื่อนี้อย่างแน่นอน


กองทหารพิทักษ์ผู้นำสหพันธรัฐดีหรือไม่นะ หวังเป่าเล่อเริ่มมีประกายความคิดขึ้นมา แต่ก็นึกได้ว่าชื่อนั้นดูไม่ค่อยเหมาะเท่าใดนัก หลังจากคิดอยู่นาน เขาก็ส่งข้อความเสียงไปหาเจ้าลาและเจ้าอู๋น้อยที่อยู่ข้างนอก เพื่อให้ทั้งสองช่วยคิดชื่อให้


คำตอบของเจ้าลานั้นเรียบง่ายมาก เพราะมันทำได้แค่ส่งเสียงฮี้ฮ่อ แต่เจ้าอู๋น้อยดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษ หลังจากคิดอยู่สักพักเขาก็เสนอความคิดของตนเองออกมา


“ท่านบิดา ท่านว่าชื่อผ่าวิญญาณดีหรือไม่ขอรับ”


“กองทหารผ่าวิญญาณรึ” หวังเป่าเล่อคิดอย่างถี่ถ้วน


“ขอรับ ในอาณาจักรพิภพทมิฬนั้นมีกองทัพที่แข็งแกร่งมากอยู่หนึ่งกองทหาร พวกเขามีนามว่ากองทหารผ่าวิญญาณ ชื่อนี้ช่างดูยิ่งใหญ่เกรียงไกรเหมาะกับท่านบิดาเหลือเกินขอรับ”


“ธรรมดาเกินไป!” หวังเป่าเล่อกลอกตา เขารู้สึกว่าชื่อกองทหารผ่าวิญญาณนั่นดาษดื่นถึงที่สุดและฟังดูไม่ค่อยฉลาดน่านับถือเท่าใดนัก สู้ชื่อกองทหารเป่าเล่อไม่ได้แม้แต่น้อย


แต่หลังจากที่คิดอยู่นาน หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจได้ว่าตนเองไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เขาจึงทำได้เพียงรวมพลังปราณของตนเข้ากับตราประจำตัวในมือเพื่อทิ้งร่องรอยของตนเองเอาไว้ และประทับนามของกองทหารตนเองลงไปบนตราสีฟ้า


ผ่าวิญญาณ!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)