องครักษ์เสื้อแพร 784-789
ตอนที่ 784
เสียงโวยวายล้วนเป็นข่าวลือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองต้าถงขึ้นเหนือไปร้อยกว่าลี้ เป็นพื้นที่ชายแดนเผ่าอันต๋ากับแผ่นดินหมิง แม้ตอนนี้ยังไม่มีวิธีแบ่งเขต แต่ทุกฝ่ายก็ย่อมรับมาปฏิบัติ ทหารชายแดนคิดเช่นนี้ แม้แต่ขุนนางราชสำนักก็คิดเช่นนี้
ระหว่างหวังทงนำทัพ ขอเพียงทำได้ก็จะส่งม้าเร็วนำสารส่งไปเมืองหลวงทุกวัน ม้าเร็วนำสารไปเมืองต้าถง แล้วค่อยมุ่งต่อไปยังส่งเมืองหลวง ผู้ตรวจการเมืองต้าถงและผู้บัญชาการมณฑลทหารซานซี ยังมีขันทีคุมกำลังและเสบียงเมืองต้าถง หรือแม้กระทั่งรองแม่ทัพหม่าต้งเมืองต้าถง ทุกวันก็ต้องมีสารออกไปยังที่ต่างๆ แน่นอน ส่วนใหญ่ส่งไปยังเมืองหลวง
หลังจากหวังทงข้ามเขตร้อยลี้ไป คนในเมืองหลวงก็รู้ข่าวนี้กันทันที พวกเขาไม่รู้อาวุธปืนทั้งหลายแท้จริงแล้วมีประโยชน์เช่นไร แต่พวกเขามีวิธีเปรียบเทียบง่ายๆ ว่า หวังทงมีทหารราบไม่ถึงสามหมื่น ทหารพวกนอกด่านอย่างน้อยก็ทหารม้าห้าหมื่น จำนวนต่างกันอย่างมาก
เมื่อก่อนทหารม้านอกด่านรบกับแผ่นดินหมิง หากยกทัพสองฝ่ายปะทะกันจริงๆ ทหารม้าพวกนอกด่านหมื่นนายก็เพียงพอจะรับมือกับทหารราบแผ่นดินหมิงหลายหมื่นได้
หวังทงนำทัพทหารหมิงสามหมื่น แม้จะนำเสบียงไปเอง แต่ออกไปเดินทางโดดเดี่ยวบนทุ่งหญ้าแผ่นดินศัตรู อีกฝ่ายย่อมได้เปรียบทางทหารมากกว่า อีกฝ่ายยังชำนาญการรบ การไปครั้งนี้ เกรงว่าคงได้ราบคาบทั้งกองทัพ มีแต่ไปไม่มีกลับเป็นแน่
ทหารสามหมื่นราบคาบทั้งกองที่นอกด่าน ตายก็ตายไปเถอะ แต่ที่จะทำให้คนยุ่งยากก็คือ หากเกิดเรื่อง ย่อมทำให้เผ่าอันต๋าโกรธ ทำให้พวกเขานำกองทัพมาแก้แค้นคืน
ทหารเมืองต้าถงอ่อนแอยิ่ง ไม่อาจต้านทานได้ หากจะอาศัยทหารเมืองเซวียนฝู่ของหลี่หรูซงกับทหารเมืองจี้โจวของลี่อวิ๋นไหลก็พอไหว แต่ทหารเมืองจี้โจวสองหมื่นที่เก่งกล้ากลับถูกหวังทงเคลื่อนกำลังไปแล้ว ก็เหลือความหวังอยู่แค่กองกำลังเมืองเหลียวโจวของหลี่เฉิงเหลียงแล้ว
หากชีจี้กวงแห่งเมืองจี้โจวยังอยู่ ทุกคนยังคงสงบใจได้บ้าง แต่ตอนนี้ชีจี้กวงไปประจำที่กวางตุ้งเสียแล้ว พื้นที่ตอนเหนือกว้างใหญ่ ถึงกับไม่มีแม่ทัพใหญ่มีชื่อคุมกำลัง หรือว่าจะเกิดเหตุซ้ำรอยอดีต พวกนอกด่านตีเข้ามาล้างบางเมืองต้าถง จากนั้นค่อยยกมาสร้างโศกนาฏกรรมที่เมืองหลวงต่อ ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นความผิดของหวังทงทั้งสิ้น เจ้าขุนนางบู๊บัดซบเหิมเกริมผู้นี้ อาศัยบารมีฮ่องเต้ที่ทรงโปรดกระทำการลืมตน ในที่สุดก่อให้เกิดเภทภัยใหญ่เช่นนี้ได้
ข่าวเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ขุนนางเมืองหลวงยังไม่เชื่อ เพราะว่าไม่อยากจะคิดเลยว่าเป็นเรื่องจริง มาเป็นขุนนางเพื่ออันใด ก็เพื่อก่อร่างสร้างตัว เพื่อมีภรรยาและสาวงามข้างกาย มีทรัพย์สินเงินทอง หวังทงทำเรื่องเช่นนี้ที่เมืองต้าถง ก็ย่อมเพื่อตำแหน่งและเงินทอง ได้รับตำแหน่งที่ยิ่งสูง
แต่การนำทหารออกนอกด่านเข้าไปในแดนศัตรูเป็นการทำเพื่อตำแหน่งเงินทองที่ไหนกัน เห็นชัดว่าไปหาความตาย หวังทงตายไปก็ดี แต่อย่าได้ดึงคนอื่นพลอยลำบากไปด้วย
จะว่าไป หวังทงทำการค้าวางรากฐานกิจการใหญ่ที่เทียนจิน เปิดร้านค้ามากมายเพียงนั้น ทุกวันทุกเดือนมีเงินทองหลั่งไหลเข้ามาราวกับภูเขาทองทะเลเงิน หากเขาล้มลง กิจการพวกนี้ผู้ใดดูแลต่อกัน เทียนจินตอนนี้มีรายได้ภาษี การจะจัดตั้งที่นั่นเป็นเขตปกครองโดยตรงก็ย่อมทำได้ หรือจะตั้งเป็นมณฑลก็ย่อมได้ ผู้ใดสามารถทำเช่นนี้ได้กัน ยังไม่ทันตาย หากขุนนางต่างคิดกัน แม้แต่ฝ่ายในวังก็คิดเช่นกัน
เทียนจินทุกปีส่งเงินเข้าวัง ในวังย่อมต้องแต่งตั้งขันทีมาคุมภาษีส่วนนี้ ยังมีภาษีออกทะเลอีก อย่างไรนายท่าสักคนก็ต้องมี พื้นที่ส่งต่อเสบียง ตำแหน่งขันทีคุมเสบียงควรเพิ่มอีกสักคนหรือไม่ นี่เป็นงานที่สร้างรายได้กองโต ทำสองสามปี ดีไม่ดีไม่ต้องกินใต้โต๊ะเยอะนัก ก็สามาถใช้ไม่หมดไปหลายชั่วชีวิต
ขันทีในวังหวั่นไหวกันมาก แต่กล้าพูดและลงมือนั้นไม่มี จางเฉิงกับโจวอี้จับตาแน่น ข้างกายฮ่องเต้ยังมีเจ้าจินเลี่ยง ตอนนี้ลงมือหรือพูดจาก็คงไม่ได้ประโยชน์อันใด มีแต่ตนเองคงได้แหลกสลายไปเสียก่อน ได้ไม่คุ้มเสีย
คนในวังนิ่งเงียบ แต่คนนอกวังกลับเคลื่อนไหว ขุนนางในเมืองหลวงที่เดิมลังเลกันอยู่เริ่มมีเสียงกันขึ้น
แค่มีข่าววันแรก วันที่สองหน้าประตูกรมฎีกาก็มีพวกขุนนางบัณฑิตมาออกันรอยื่นฎีกา มีบางคนติดสินบนเจ้าหน้าที่ให้ส่งฎีกาที่เขายื่นวิจารณ์หวังทงขึ้นไปก่อน
“ไม่รู้จักเจียมตัว นำกำลังออกไปรนหาที่ตาย โจมตีตอนนี้ ผิดพลาดเป็นแน่!”
“เพื่อประโยชน์ตนผู้เดียว กลับทำให้ทหารนับหมื่นมาพลอยตายไปด้วย คนผู้นี้มีความผิดเทียมฟ้ามหาสมุทร ควรลงโทษให้หนัก”
“…….หวังทงแต่ไรมาก็ทำหน้าที่ด้วยความเฉียบแหลม เหตุใดครั้งนี้จึงมุทะลุไปได้ ออกไปตอนเหนือครานี้ จะต้องไปสวามิภักดิ์ศัตรูเป็นแน่….”
เนื้อหาฎีกาต่างๆ นานา ล้วนมุ่งเน้นให้มีโทษสังหารทั้งตระกูลเป็นหลัก ยังมีคนยื่นฎีกาว่าตอนนี้เทียนจินมีหน้าที่เก็บภาษีหลัก ไม่อาจไร้คนดูแล ขอฝ่าบาทส่งขุนนางมีคุณธรรมไปดูแล
ในวังล้วนมีปฏิกิริยาเป็นหนึ่งต่อฎีกาพวกนี้ ก็คือทิ้งค้างไว้ เจ้าส่งมา ข้าก็เก็บไว้ ไม่ทำอันใด
หลังหวังทงนำทหารเข้าไปในภูเขา สายลืบกับทหารจู่โจมของพวกนอกด่านก็มาก ทัพหวังทงก็ย่อมต้องหยุดส่งข่าว
ทุกวันมีข่าวไปยังเมืองหลวง แต่ข่าวพวกนั้นต้องสิบกว่าวันจึงจะถึง พอหยุดส่งข่าว ทางนั้นที่ส่งไปย่อมยังไม่หยุด ทางเมืองหลวงรู้ความล่าช้าด้านเวลานี้ดี ดังนั้นข่าวที่มาเป็นเช่นไรก็ตาม ส่วนใหญ่จึงไม่มีคนสนใจนัก แต่กลับมีข่าวลือต่างๆ นานามาแทนที่
วันนี้มีข่าวทัพใหญ่ถูกกวาดล้างหมด พรุ่งนี้มีข่าวว่าเผ่าอันต๋าบุกเข้าเมืองต้าถง ยังมีว่าหวังทงนำทัพสวามิภักดิ์ศัตรู ทัพใหญ่ออกจากมณฑลซานซีไปแล้ว เป็นต้น
ชาวบ้านเมืองหลวงยิ่งจิตใจไม่เป็นสุข เห็นๆ ว่าใกล้ปีใหม่แล้ว น่าจะอยู่ฉลองกันที่เมืองหลวง แต่กลับมีชาวบ้านออกนอกเมืองไปพึ่งพาญาติ อพยพหนีจากเมืองหลวงกันไปชั่วคราว
ถึงกับมีเรื่องบัดซบเช่นนี้เกิดขึ้น ก็คือมีคนไปตะโกนล้อเล่นที่ประตูเมืองว่า ‘พวกนอกด่านตีมาถึงแล้ว’ ปรากฏว่าท้องถนนที่เงียบสงบก็พลันแตกตื่น มีคนตะโกน มีคนวิ่ง ผู้หญิงและเด็กร้องไห้กระจองอแง
เริ่มจากนอกประตูเมืองเข้าไปในเมือง จากนั้นก็ไปทั่วสารทิศ ทั้งเมืองหลวง ในเมืองนอกเมืองล้วนตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว ยังมีพวกนักเลงหัวไม้ฉวยโอกาสออกปล้น เริ่มกวนน้ำให้ขุ่นก่อนจะจับปลา เข้าปล้นชิงร้านค้า เข้าปล้นบ้านเรือน
หากในยามปกติ สถานการณ์นี้เกรงว่าคงไม่อาจควบคุมได้ แต่ยามนี้ประตูเมืองด้านในปิดทุกด้าน ประตูออกนอกเมืองหลวงก็ปิดหมด จัดการระเบียบให้เข้มงวด จากนั้นส่งทหารออกปราบปรามในเมือง สถานการณ์วุ่นวายย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีคนตายก็ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้
เจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนมีจำกัด ทหารศาลอาญาใหญ่ก็อ่อนแอ ปกติหากเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ การที่จะสามารถปกป้องสถานที่ราชการไม่ให้ได้รับผลกระทบก็ไม่เลวแล้ว คิดจะควบคุมทั้งหมดให้สงบนั้นเป็นไปไม่ได้
ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนนี้แล้ว สำนักองครักษ์เสื้อแพรตั้งหน่วยวินัยทหาร ตั้งกองลาดตระเวน ตั้งหน่วยฝึกทหาร ความวุ่นวายเริ่มเกิด ปฏิกิริยากองลาดตระเวนช้ากว่านิดเดียว เพียงแค่เข้าควบคุมสถานการณ์ตามถนนสายต่างๆ หากเจ้าหน้าที่ตามถนนสายต่างๆ ก็มีจำกัด น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ
แต่หลี่เหวินหย่วนกับหลี่ว์วั่นไฉตัดสินใจทันที ให้สารวัตรทหารหน่วยวินัยทหารเริ่มลาดตระเวนทั่วเมือง หนึ่งถ่ายทอดคำสั่ง สองหากพบการฉวยโอกาสปล้นให้จับกุมลงโทษทันที โรงบ้านนอกเมืองที่เป็นที่ตั้งหน่วยฝึกทหารก็ได้รับคำสั่ง ให้รีบเข้ามารักษาสถานการณ์ในเมืองทันที
หน่วยวินัยทหารแม้ถูกหวังทงพาออกไปรบตอนเหนือไม่น้อย แต่ก็ยังมีเหลืออยู่ที่นี่ ล้วนเป็นทหารเก่งกล้าแห่งสำนักบูรพากับในกองทัพ ขี่ม้าทะยานออกไปตามท้องถนน พวกนักเลงหัวไม้ที่ฉวยโอกาสเข้าปล้นคิดไม่ถึงเลยว่า ทางการจะมาไวเพียงนี้ และยังร้ายกายเพียงนี้ พวกเขาแม้แต่โอกาสหลบหนีก็ไม่มี ได้แต่คุกเข่าร้องขอชีวิต พวกหัวช้าก็ได้แต่ถูกดาบฟันคอขาดทันที
เจ้าหน้าที่กองลาดตระเวนได้รับคำสั่งให้ออกปฏิบัติการ พวกเขาไม่แบ่งกำลังออกตามหน่วยงานของตน แต่รวมตัวกัน ใช้กระบองปิดทับด้วยแผ่นหนัง เริ่มออกรักษาความสงบเรียบร้อยตามท้องถนน
ราษฎรที่แตกตื่นออกมาวิ่งกันทั่วท้องถนน พอถูกกระบองตีอย่างไม่สนใจหน้าไหน ก็ส่งเสียงร้องเรียกหาพ่อหาแม่ จากนั้นก็ไม่กล้าแตกตื่นส่งเสียงเอะอะกันอีก ฟังคำสั่งทางการจัดระเบียบแต่โดยดี
กำลังสำนักรักษาความสงบในเมืองเคลื่อนไหวก่อน จากนั้นก็เป็นกองกำลังสังกัดวังหลวง พอทัพม้ากองกำลังสังกัดวังหลวงเริ่มลาดตระเวนในเมืองนอกเมือง พวกที่คิดก่อเรื่องให้ใหญ่ ก็พากันสงบเสงี่ยมลง ไม่ต้องพูดถึงทัพม้ากองกำลังสังกัดวังหลวง แค่สารวัตรทหารหน่วยวินัยทหารองครักษ์เสื้อแพรสวมเกราะขี่ม้าออกมาวิ่งตามท้องถนน ก็เพียงพอทำให้ผู้คนสงบลงได้แล้ว
สถานการณ์กลับคืนสู่ความสงบ เจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนกับทหารองครักษ์เสื้อแพรออกไปตีฆ้องประกาศว่า ทุกอย่างไม่เป็นความจริง
น่าแปลกที่ในเมืองอยู่ๆ ก็มีพวกก่อความไม่สงบนี้ได้ ยามนี้หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อกำลังเปิดประชุม บรรดาขุนนางกำลังรายงาน ฮ่องเต้กับขุนนางใหญ่หกกรมกองกำลังหารือราชกิจ พอได้ยินเช่นนี้ก็พากันตกอกตกใจ วิกฤตเผ่าอันต๋ายกทัพมายังไม่เท่าไร แต่พื้นที่ประทับฮ่องเต้เกิดเรื่องเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นภัยใหญ่
ทว่าข่าวสารเมืองหลวงกระจายเร็ว ไม่นานก็รู้กันว่า กองลาดตระเวนกับหน่วยวินัยทหารและหน่วยฝึกทหารองครักษ์เสื้อแพรออกปฏิบัติการ เริ่มจัดการให้สงบลงได้แล้ว ไม่นานก็มีข่าวมาว่า เมืองหลวงเกิดเหตุจลาจลนั้นเริ่มสงบแล้ว จากนั้นก็มีข่าวมาอีกว่า ไม่มีอันใดน่าเป็นห่วงอีก
แม้ว่าทุกคนตกใจกันเก้อ แต่ก็รู้สึกเสียหน้า ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงกริ้วมาก ดังนั้นจึงมีดำรัสให้ตัดหัวประหารอย่างรวดเร็วว องครักษ์เสื้อแพรถ่ายทอดคำสั่งผ่านไปทางผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรลั่วซือกง ผู้ใดที่ล้อเล่นเช่นนี้ในและนอกเมือง ผู้ใดป่าวประกาศให้วุ่นวาย ผู้ใดร่วมก่อความไม่สงบ ให้ประหารทิ้งตรงนั้นทันทีไม่ต้องรายงาน พวกที่ถูกจับได้ ก็ง่ายมาก ประหารทิ้งในทันที
ตอนบ่ายในเมืองแตกตื่นใหญ่ พอปราบปรามลงได้ ที่ประตูอู่เหมินก็เริ่มสังหาร มีคนหัวหลุดจากบ่า เลือดสดไหลนอง คนที่ได้พบเห็นต่างพากันกลัวจนปิดปากเงียบกริบ
ตอนแรกในเมืองต่างพากันวิจารณ์ว่าหวังทงมีความผิด แต่พอเรื่องสงบ เป็นระบบองครักษ์เสื้อแพรของหวังทงที่ทำให้ปลอดภัย ทุกคนจึงไร้คำกล่าวในเรื่องนี้
เทียบกับพวกขุนนางบัณฑิต ขุนนางใหญ่หกกรมกองกลับไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ เพราะไม่มีเวลามาสนใจ ด้วยหากเมืองต้าถงถูกพวกนอกด่านโจมตีจริง พื้นที่เมืองหลวงย่อมอันตรายมาก ตอนนี้เมืองจี้โจวส่งกำลังทหารเก่งกล้าสองหมื่นนายไป เมืองเซวียนฝู่ทหารน้อย ทางเมืองหลวงกับกองกำลังสังกัดวังหลวงก็เตรียมกำลัง แต่ละหน่วยเคลื่อนไหว เสบียงก็เริ่มสั่งสม ล้วนต้องทำงานหนักกัน พวกเขาเป็นศูนย์กลาง ย่อมเข้าใจดีว่าหากแผ่นดินล่มสลาย ตนเองก็ไม่ได้มีจุดจบที่ดีเช่นกัน แต่ขุนนางบัณฑิตทั่วไปกลับไม่มองไกลเพียงนั้นหรือไม่ก็ไม่อยากจะมองให้รอบด้าน
หวังทงเหิมเกริมทำให้จิตใจคนเมืองหลวงหวาดหวั่น ก็เป็นความผิดพลาดอยู่ แต่จุดจบฎีกาพวกนี้ก็ยังคงเป็นการเก็บไว้ไม่ส่งออก ทว่าพอเข้าสู่ต้นเดือนหนึ่ง ปีที่ 12 ในรัชสมัยว่านลี่ ทัพหวังทงก็ไร้ข่าวคราว
ตอนที่ 785
เชื่อไม่เชื่อ รับไม่รับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
มีเงินก็ฉลองปีใหม่ดีๆ ได้ ในวังช่วงปีใหม่ไม่เหมือนกับชาวบ้านนอกวัง ย่อมฟุ่มเฟือยกว่ามาก ฮ่องเต้ว่านลี่เดิมก็ทรงโปรดความครึกครื้นรื่นเริงอย่างมาก ตั้งแต่เทียนจินส่งเงินก้อนจินฮวาสองแสนกว่าเข้าวัง เทศกาลในวังก็จัดกันอย่างเอิกเกริกหลากหลายรูปแบบ
ทว่าปีที่ 12 ในรัชสมัยว่านลี่ ก่อนวันที่ 7 เดือนหนึ่งยังนับว่าดี หากตอนนี้เสียงยินดีสรวลเสในวังกลับไม่ได้เป็นเช่นปีก่อนๆ เพราะในวังผู้คนจิตใจละเอียดอ่อน ล้วนรู้สึกว่าฮ่องเต้ว่านลี่พระอารมณ์ไม่ดีนักในช่วงนี้
หลังวันที่ 7 ข่าวจากมณฑลซานซีก็เริ่มไม่ต่อเนื่อง พระทัยฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มไม่ดีนัก
แต่น่าหัวเราะเยาะยิ่งก็คือระยะนี้ขุนนางบัณฑิตเมืองหลวงไม่ค่อยมีคนยื่นฎีกามากนัก สาเหตุก็ง่ายมาก ตอนนี้เป็นช่วงปีใหม่ ผู้ใดก็ล้วนไม่มีเวลามาหาเรื่องต่อ และยังเป็นโอกาสในการเฝ้าดูสถานการณ์ก่อน
ข่าวที่ในวังได้รับมา ล้วนเป็นข่าวจากคนของหวังทงส่งมา เป็นข่าวจริงและเร็วกว่าข่าวจากขุนนาสายอื่นได้มามากนัก
แต่หลังวันที่ 7 เดือนหนึ่งมา ก็ไม่ค่อยได้รับข่าวทุกวันแล้ว แต่ข่าวก็ยังเรียกได้ว่าไม่เลว ล้วนเป็นการเล่าถึงความคืบหน้าที่ราบรื่นดี พวกสายสืบนอกด่านไม่กล้าเข้าใกล้กองทัพเราแล้ว แต่ทางมณฑลซานซีรายงานมากลับไม่ใช่เช่นนี้ เพราะล้วนเป็นข่าวที่ว่าทัพใหญ่พ่ายแพ้ใหญ่นอกด่านแล้ว ได้ยินว่าพวกนอกด่านมารวมกำลังใหญ่กันหนาแน่น ทางการหมิงรับมือไม่ไหว และยังมีฎีกาด่วนให้ทางราชสำนักส่งกองกำลังเสริมไปช่วยเหลือ
ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมเชื่อใจหวังทง ทรงรู้สึกว่าสถานการณ์ยังไม่เลวร้าย ฎีการองแม่ทัพหม่าต้งเมืองต้าถงก็เป็นกลาง ที่รายงานมาย่อมเป็นเรื่องจริง บอกว่าได้ยินว่าผู้บัญชาการมณฑลทหารใต้เท้าหวังนำกำลังพ่ายแพ้ใหญ่ กระหม่อมอยู่ที่นี่ไม่รู้ความจริงเป็นเช่นไร แต่ใต้เท้าหวังบัญชาการรบได้เฉียบแหลม จะแพ้ได้อย่างไร จากเมืองกุยฮว่าเฉิงมาถึงด่านชายแดนเมืองต้าถง ม้าเร็วสองวันถึง หากมีเรื่องใด เหตุใดไม่เห็นรายงาน
วาจาแม้ไม่กล่าวชัดเจน ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่ก็เข้าใจ ความหมายก็คือ หากแพ้ใหญ่ หากถูกตีพ่ายจริง ทหารม้า 5,000 นายก็คงวิ่งมายังกำแพงเมือง เหตุใดไม่เห็นแม้เงา เห็นได้ชัดว่าเป็นข่าวลือ
ที่กล่าวกันว่า สามคนกล่าววาจาเหมือนกันก็ทำให้น่ากลัวราวกับเสือร้ายได้ แม้ฮ่องเต้ว่านลี่เชื่อใจ แต่ก็ไม่อาจต้านทานวาจาจากแหล่งต่างๆ ได้ ในพระทัยก็ย่อมไม่ดีนัก เป็นเช่นนี้มาจนถึงวันที่ 25 เดือนหนึ่ง ข่าวจึงได้ขาดการติดต่อถาวร
พวกขุนนางบัณฑิตที่เริ่มส่งเสียงก็ค่อยๆ หนาหูขึ้น ข่าวขาดการติดต่อไปแล้วจริงๆ แต่ทุกคนกลับไม่กล้ามั่นใจเท่าไร เสียงวิพากษ์วิจารณ์เงียบไปพักหนึ่ง
สถานการณ์เลวร้ายสักเท่าใดก็ย่อมต้องกลับมารายงานบ้าง พวกนอกด่านก็ย่อมส่งคนมาอวดเบ่งท้ารบต่อบ้าง เหตุใดข่าวสารจึงไม่มีมาแม้แต่น้อย หรือว่าถูกล้อมไว้จริง ไม่มีผู้ใดหนีออกมาได้สักคน
มาจนวันที่ 28 เดือนหนึ่ง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็เริ่มเซ็งแซ่ ฎีกาเริ่มด่าทอหวังทงคิดว่าสร้างความชอบใหญ่ถึงกับทำให้ชาวประชายากลำบากเพื่อประโยชน์ตนเอง ไม่สนใจราษฎรและแผ่นดินว่าจะเป็นเช่นไร ทหารกล้าหลายหมื่นเสียชีวิตบนแผ่นดินศัตรูไม่ว่า หากยังจะทำลายความสงบเรียบร้อยที่เฝ้ารักษามาหลายสิบปีไม่ง่ายนี้ลง
ความชั่วช้าเช่นนี้ สมควรได้รับโทษ กวาดล้างตระกูล ให้ลงโทษเร็วที่สุด ไม่เช่นนี้ก็ไม่ทางคืนความเป็นธรรมให้ใต้หล้าได้ ไม่มีทางรักษาระเบียบแห่งแผ่นดินได้
มีคนขอท่ามกลางการประชุมราชสำนักว่าจะไปตรวจสอบพวกหวังทงที่เหลือที่เทียนจินด้วยตนเอง เพื่อขจัดรากแห่งความชั่วร้ายให้หมดไป หากแต่ไรที่ไม่เคยได้รับการตอบสนองใดจากฮ่องเต้ว่านลี่ ครั้งนี้กลับทรงกริ้วและตำหนิรุนแรง
เทียบกับความวุ่นวายเมืองหลวงแล้ว พ่อค้าเทียนจินกลับเงียบสงบกว่ามาก แม้พ่อค้าบางส่วนเริ่มเตรียมการ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือแตกตื่นอันใด
ตามคำบอกกล่าวของคนที่เชื่อถือได้ ใต้เท้าหวังสังหารพวกนอกด่านราวกับหั่นผัก เคยแพ้เสียที่ไหนกัน ตอนนั้นนำกำลัง 3,000 ออกทุ่งหญ้านอกด่านตัดหัวศัตรูมาได้ตั้งหลายพัน ตอนนี้นำไปเกือบสามหมื่น พวกนอกด่านไม่คณามือหรอก
***************
“จางปั้นปั้น หวังทงทางนั้นจะเกิดเรื่องหรือไม่?”
การประชุมในวันนี้ ขุนนางหวังซีเจวี๋ยเสนอให้เคลื่อนกำลังเมืองเหลียวโจวกองหนึ่งไปยังอำเภอหวง หากเมืองหลวงเกิดเหตุ ก็สามารถมารับมือได้ทัน นี่เป็นถึงขุนนางใหญ่ในคณะเสนาบดีใหญ่กับหกกรมกองที่เสนอออกมาชัดเจนเป็นครั้งแรก สถานะเขาสูงส่ง การตัดสินใจเรื่องต่างก็ล้วนต้องรอให้เห็นผลสรุปที่ชัดเจนจริงๆ เสียก่อนเสมอ
ตอนนี้เมืองต้าถง มณฑลซานซีทางนั้นไม่มีเอกสารทางการสักฉบับบอกเล่าว่าทัพหวังทงพ่ายแพ้อย่างไร แต่ทุกฉบับแอบส่งกันมาอย่างเป็นความลับบอกว่ามีข่าวลือมากมายในมณฑลซานซี ข่าวว่าทัพใหญ่เราทั้งหมดโดนปราบราบคาบแล้ว
หวังซีเจวี๋ยเสนอเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า ส่วนกลางเริ่มเล็งเห็นว่าเป็นเหตุร้ายแล้ว ทำให้พระทัยฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ดีนัก
ขณะหารือเรื่องนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่แสดงออก แต่พอกลับมายังห้องทรงอักษร ก็อดถามถึงไม่ได้
จางเฉิงอายุมาแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ งานการมากมาย ขณะอยู่ห้องทรงอักษรปรนนิบัติฮ่องเต้ ส่วนใหญ่ก็นั่งจัดการราชกิจแทนฮ่องเต้ว่านลี่ที่โต๊ะตัวหนึ่งข้างๆ โต๊ะทรงอักษร
ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามเช่นนี้ จางเฉิงขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นจากฎีกา หันไปส่งสายตาให้เจ้าจินเลี่ยง เจ้าจินเลี่ยงรู้งานรีบออกไปหน้าห้องทรงอักษรทันที
เจ้าจินเลี่ยงกระแอมไออยู่หน้าประตู คนในห้องได้ยินแล้ว จางเฉิงลุกขึ้นเข้าไปใกล้ทูลถามขึ้นสีหน้าจริงจังว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมถามคำหนึ่ง ผู้บัญชาการมณฑลทหารซานซีกับผู้ตรวจการเมืองต้าถงถวายฎีกามาหรือไม่ บอกว่าหวังทงนำกำลังทหารพ่ายแพ้หรือ? กระหม่อมตรวจเอกสารในสำนักส่วนพระองค์ ไม่เห็นพะยะค่ะ หรือว่ามีสารลับ?”
ด้วยสายสัมพันธ์จางเฉิงกับฮ่องเต้ว่านลี่ แม้ว่าสารลับก็ไม่ต้องปิดบัง วาจานี้รู้อยู่แล้วยังถาม ฮ่องเต้ว่านลี่ อึ้งไป ตอบอย่างไม่สบพระทัยว่า
“จางปั้นปั้นกล่าวอ้อมไปมาอีกละ ที่เราพูดนี่ท่านก็รู้ว่าเรื่องอันใด สถานการณ์ตอนนี้…….”
จางเฉิงทูลขออภัยโทษ หากก็ตัดบทอย่างไม่เกรงพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่ว่า
“ฝ่าบาท ตอนนี้หวังทงแพ้ชนะไม่รู้ เมืองหลวงก็เซ็งแซ่กันเช่นนี้ไปแล้ว วาจาเหลวไหลของขุนนางบัณฑิตทั้งหลาย มีคนต้องการไปปฏิบัติงานที่เทียนจินตอนนี้ คิดจะไปร่ำรวยกัน กระหม่อมขอกล่าวไม่เป็นมงคลสักประโยค ยังไม่รู้แพ้ชนะยังเป็นกันเช่นนี้ หากรู้ว่าแพ้ ยังไม่รู้จะก่อเรื่องกันถึงขั้นไหน?”
วาจานี้ทำเอาฮ่องเต้ว่านลี่นิ่งอึ้งไป ก่อนจะได้พระสติตามมา ฮ่องเต้ว่านลี่ตบโต๊ะอย่างแรง กริ้วจัดตรัสว่า
“หากว่าแพ้ เราตอนนี้เกรงว่าคงถูกพวกเขาแย่งไปหมด กว่าจะได้ครอบครองมาไม่ง่าย ก็ต้องแบ่งให้คนพวกนี้ไป”
“ฝ่าบาท เทียนจินแม้ไม่ได้บอกกระจ่าง แต่ใต้หล้านี้ผู้ใดไม่รู้ว่าเป็นพื้นที่ของฮ่องเต้ เป็นที่มาของรายได้ในวังแหล่งหนึ่ง แต่ยังคงมีคนมากมายยื่นฎีกาขอไปเป็นขุนนางที่เทียนจิน หลายวันนี้ พวกชนชั้นสูงในเมืองหลวงส่งคนมาเจรจาต่อรอง นี่ยังเห็นฝ่าบาทอยู่อีกหรือไม่”
จางเฉิงกล่าวสีหน้าเคร่งน้ำเสียงนิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่พระพักตร์บูดเบี้ยว พระโอษฐ์พึมพำด่าแต่ว่า ‘บัดซบ’ ‘บัดซบ’ จางเฉิงกล่าวต่อว่า
“ฝ่าบาท วันนี้ทรงครองแผ่นดินเพียงพระองค์เดียว ฝ่าบาททรงพระปรีชาจึงได้มาถึงวันนี้ได้ ในนี้ก็เป็นเพราะเงินก้อนจินฮวาหลายแสนที่หวังทงนำส่งมอบเข้ามาทุกปี จนคลังหลวงเต็มคลัง สามารถให้พระองค์ได้พระราชทานแก่กองกำลังสังกัดวังหลวง กองกำลังเมืองหลวง คุมอำนาจการทหารเมืองหลวงไว้ได้ หวังทงยังตั้งสำนักรักษาความสงบ และจัดระเบียบสำนักองครักษ์เสื้อแพรให้ฝ่าบาททรงรับรู้ข่าวสารได้ฉับไว้ สามารถรับรู้เรื่องราวขุนนางแม้เพียงลมพัดยอดหญ้าในเมืองหลวงได้ราวกับอยู่ในฝ่ามือ หลายเรื่องก็สามารถวางแผนรับมือล่วงหน้าได้ หวังทงสร้างกองกำลังหู่เวย ก็เพื่อไว้กำราบพวกที่คิดไม่ซื่อต่อแผ่นดิน ให้ฝ่าบาทมีราชโองการจัดการได้ดังพระทัย ไม่มีผู้ใดกล้าฝ่าฝืน…….”
“…….ที่เจ้าพูดมาเราเข้าใจอยู่ เราสามารถครองอำนาจฮ่องเต้แท้จริงได้ เป็นความดีความชอบยิ่งใหญ่ของหวังทง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ หวังทงแพ้หรือชนะบนทุ่งหญ้านอกด่านก็ไม่รู้ได้ แม้เป็นหรือตายก็ไม่รู้ พูดเรื่องนี้มีประโยชน์อันใด…”
“ฝ่าบาท หากหวังทงพ่ายแพ้บนทุ่งหญ้านอกด่าน ย่อมมีคนต้องการให้ลงโทษความผิดเขา เช่นนั้นทุกอย่างก็ย่อมสั่นคลอน เขาทำทุกอย่างก็เพื่อฝ่าบาท ล้วนทำให้คนกังขา ล้วนมีคนคิดจะแย่งชิง ถึงตอนนั้น มหาอำมาตย์อาจคืนสู่อำนาจอีกครั้ง กระหม่อมไม่อาจได้เป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ อาจมีขันทีใหม่เช่นเฝิงเป่าอีกครั้ง”
‘ปัง!’ ฮ่องเต้ว่านลี่ทุบโต๊ะอย่างแรง กัดพระทนต์กรอดตรัสว่า
“เราเป็นฮ่องเต้ ผู้ใดกล้าล่วงเกินอำนาจฟ้าเช่นเรา! คิดอยากถูกประหารเก้าชั่วโคตรหรือ!?”
จางเฉิงไม่ตอบ ฮ่องเต้ว่านลี่ทนไม่ไหวเงยหน้าขึ้นมอง ทอดพระเนตรเห็นจางเฉิงหันไปคำนับอีกทาง หากไม่ใช่ทิศทางที่พระองค์ประทับ ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกแปลกพระทัย พอได้พระสติ มองไปทางจางเฉิง เป็นตำหนักฉือหนิงกง
“ทางเสด็จแม่…….แต่เสด็จแม่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราชกิจ…….”
“ฝ่าบาท อู่ชิงโหวตอนนี้กำลังคุมกองกำลังเมืองหลวง”
“ท่านน้านั่น…….”
อู่ชิงโหวหลี่เหว่ยจากไปแล้ว บุตรชายคนโตอู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อ ตอนนั้นลัทธิไตรสุริยันก่อการในวัง คนที่คุมอำนาจทหารต้องการหาคนที่ไว้ใจได้ หลี่เหวินเฉวียนย่อมเป็นตัวเลือก มาถึงตอนนี้ ก็ยังไม่ได้ส่งมอบอำนาจคืน ทว่าตามระเบียบกองกำลังเมืองหลวง ต้องให้เจ้ากรมทหารฝ่ายขวากับหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์สั่งการควบคุมดูแล ชนชั้นสูงที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการมณฑลทหารเมืองหลวงส่วนใหญ่ไร้อำนาจแท้จริง
แม้ไทเฮาฉือเซิ่งไม่ได้มายุ่งการปกครอง ตอนนี้แม้ว่าพระอำนาจจางลง แต่อิทธิพลก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ สถานะน้องชายไทเฮาอย่างหลี่เหวินเฉวียนย่อมทำให้ทรงมีพระอำนาจไม่น้อย
ฮ่องเต้ว่านลี่คิดสักครู่หนึ่งก็ทรงรู้สึกหนาวพระทัยขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว ถามขึ้น
“หวังทงแพ้ชนะยังไม่รู้ แต่ตอนนี้สถานการณ์ก็ยังตัดสินอันใดไม่ได้ เราควรทำเช่นไรดี?”
“ฝ่าบาท กองกำลังเมืองหลวงไม่อาจทำอันใดได้ในระยะเวลากระชั้นชิด แต่สี่กองกำลังส่วนพระองค์ในวัง กองกำลังสังกัดสำนักอาชาหลวง ยังพอควบคุมได้ สถานการณ์ไม่ว่าเป็นเช่นไร แต่ก็ต้องเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันไว้ ปีนี้เทียนจินส่งเงินก้อนจินฮวาเข้าคลังมาแล้ว ขอฝ่าบาทจัดสรร แจกเบี้ยทหารล่วงหน้าเพื่อซื้อใจทหารเอาไว้ พระราชทานให้หนักเพื่อให้พวกเขาตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ หากมีวันนั้นจริง ก็คงไม่ถึงกับทิ้งไปไม่สนใจ”
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ จางเฉิงทูลต่อว่า
“หากเมืองต้าถงยังไม่มีเอกสารทูลเป็นทางการมา เช่นนั้นการทำสงครามก็ยังไม่รู้ผล ขอเพียงฝ่าบาทจดจำเรื่องนี้ไว้ก็พอ ตอนนี้หากแตะต้องหวังทง ลงโทษหวังทง ย่อมกระทบถึงฝ่าบาทเอง มณฑลซานซีทางนั้นยืนยันมาช้าวันหนึ่ง ฝ่าบาทก็มีเวลาเพิ่มอีกวันหนึ่ง”
จางเฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง ทูลว่า
“ทางเทียนจินนั้น…….”
จินเลี่ยงส่งเสียงดังมาจากด้านนอก ทูลรายงานว่า
“ทูลฝ่าบาท นางกำนัลตำหนักฉือหนิงกงมาขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”
ตอนที่ 786
กระทบเรื่องหนึ่ง สะเทือนทุกเรื่อง
โดย
Ink Stone_Fantasy
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา พูดถึงไทเฮา ไทเฮาฉือเซิ่งก็ส่งคนมา ทำให้ทั้งสองในห้องทรงอักษรเงียบลง จางเฉิงมองไปทางฮ่องเต้ว่านลี่ ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายพระพักตร์ แย้มสรวลตรัสว่า
“เราไปตำหนักเสด็จแม่ ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด วันก่อนก็ไปมา……”
หลังเกิดเหตุลัทธิไตรสุริยันในวัง อำนาจสูงสุดในวังจากไทเฮาฉือเซิ่งก็เปลี่ยนมาอยู่ในมือฮ่องเต้ว่านลี่โดยปริบาย แต่บางครั้งฮ่องเต้ว่านลี่แม้จะไม่พอพระทัยกับพระอำนาจและสั่งการราชสำนักของไทเฮาฉือเซิ่ง หากแม่ลูกอย่างไรก็ไม่อาจขัดกัน ตอนนี้ในราชสำนักขุนนางต่างโจมตีฮ่องเต้ว่านลี่ ขุนนางบัณฑิตตำหนิที่พระองค์หลงใหลสุรานารี แต่ที่ทุกคนไม่อาจตั้งคำถามได้ก็คือความกตัญญูของฮ่องเต้ว่านลี่
ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จตำหนักฉือหนิงกงเพื่อถวายพระพรก็ยังคงดำเนินต่อไป แม่ลูกยังคงร่วมโต๊ะอาหาร ทว่าสองฝ่ายกลับไม่ค่อยได้คุยเรื่องราชกิจนัก
นางกำนัลหงอวี้มาทูลเชิญ บอกว่าจวนอู่ชิงโหวเมื่อวานนำไก่ป่ามาถวาย ให้ในวังปรุงแบบหอรุ่งเรืองเป็นไก่ป่าผัดซอส รสชาติหวานหอม ทูลเชิญฝ่าบาทไปลองชิม
อู่ชิงโหวทูลถวายอาหาร ย่อมไม่ให้แต่ไทเฮา แล้วไม่ให้ฮ่องเต้ กล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อหาเหตุผลเท่านั้น
หากในยามปกติ ไทเฮาฉือเซิ่งส่งคนมาทูลเชิญ ก็ย่อมเป็นเพราะแม่ต้องการเรียกลูกไปกินข้าวด้วยกัน แต่ตอนนี้ในพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่ทรงสับสน คิดมากไปไกลเสียแล้ว ทว่าก็ยังสั่งให้คนไปเตรียมตัว
************
พอเข้ามาในตำหนักฉือหนิงกง ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมทรงรู้ว่าเสด็จยังที่ใด แม้พระบาทเสด็จไม่คล่องนัก แต่ทว่าเสด็จได้เร็วมาก นางกำนัลนำทางต้องวิ่งจึงจะมาอยู่นำทางด้านหน้าได้
พอเข้าไปในตำหนักเสวย ฮ่องเต้ว่านลี่ถวายคำนับตามธรรมเนียม ไทเฮาฉือเซิ่งประทับอยู่ที่โต๊ะเสวยตรัสว่า
“ลูกเราช่างมากธรรมเนียมเช่นนี้เสมอ วันหน้าไม่ต้อง รีบมานั่งนี่เร็ว!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ขอบพระทัยก่อนจะทรงลุกขึ้น พอยืดพระวรกายตรง ก็ขมวดพระขนง ทรงเห็นเงาด้านหลังไทเฮาฉือเซิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“นางหวง เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เราจำได้ว่าไม่ได้เรียกตัว!”
“เจ้าลูกคนนี้ รู้กันว่าแต่งตั้งนางเป็นสนมกงแล้ว ยังเรียกแบบเดิมได้อย่างไร ยังเรียกนางหวงๆ เหมือนชาวบ้านอย่างไรอย่างนั้น”
ไทเฮาฉือเซิ่งแย้มสรวลตรัส ฮ่องเต้ว่านลี่กลับทรงนิ่ง ตรัสถามตรงๆ ทันทีว่า
“เสด็จแม่ ทรงเรียกตัวนางหวงมาทำไมกัน?”
“ยังจะมีอะไรได้อีก เรากับลูกเราและสะใภ้เราร่วมทานอาหารค่ำกัน หรือว่าต้องมีเหตุผลด้วย”
แม้ไทเฮาฉือเซิ่งจะทรงแย้มสรวลสัพยอก แต่สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่กลับไม่ดีนัก เงียบไปสักพัก ฮ่องเต้ว่านลี่ก็สุรเสียงดังขึ้นว่า
“นางหวง เรากับเสด็จแม่ร่วมโต๊ะเสวย มีหลายเรื่องเป็นความลับส่วนตัว แม้แต่ฮองเฮายังต้องออกไป ที่นี่ไม่ต้องการเจ้าปรนนิบัติ เจ้ากลับไปได้แล้ว!”
พระสนมกงเข้ามาก็เอาแต่ก้มหน้ายืนอยู่ด้วยความนอบน้อมยิ่ง สมกับตำแหน่งพระราชทานคำว่า กง ที่แปลว่านอบน้อมยิ่งนัก ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัส ก็เงยหน้าเล็กน้อย แต่ก็รีบก้มหน้าลงทันที รับคำเบาๆ ก่อนจะถวายบังคมออกไป
เห็นพระสนมกงออกไป สีพระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งก็เคร่งเครียด ทว่ากลับคืนเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้ว่านลี่หันไปมองซ้ายขวาก่อนจะรับสั่งว่า
“ตามธรรมเนียมปกติที่เป็นมา พวกเจ้าก็ถอยออกไปได้ ให้จิ่นซิ่วปรนนิบัติก็พอ!”
ในตำหนักฉือหนิงกง คำสั่งนี้มีแต่ไทเฮาฉือเซิ่งที่สั่งได้ แต่เพราะพระอำนาจฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มเข้มแข็ง ทุกคนก็ย่อมปฏิบัติตามด้วยความเคยชินไปเอง
ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นสีพระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งแปรเปลี่ยน เริ่มเปลี่ยนตั้งแต่ให้พระสนมกงออกไป จากนั้นก็เหลือไว้แค่จิ่นซิ่ว สีพระพักตร์ไทเฮาก็ยิ่งเปลี่ยน
ปฏิกิริยาเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ทำเป็นไม่เห็น ฮ่องเต้ว่านลี่ครองราชย์ปีที่เก้าได้ร่วมบรรทมกับพระสนมกงคืนหนึ่งในตำหนักฉือหนิงกง เดิมคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าหญิงผู้นี้จะตั้งครรภ์ได้ เดิมตามพระประสงค์ของฮ่องเต้ว่านลี่ ทรงต้องการให้ปิดบังเรื่องนี้ไว้ ไม่ต้องเปิดเผยให้เป็นที่รู้กัน
ทว่าที่ทำให้พระองค์คิดไม่ถึงก็คือ ทรงมีรับสั่งให้ไม่เอิกเกริก แต่ไทเฮาฉือเซิ่งทันทีที่ได้รับข่าวนี้ก็บอกว่าฝ่าบาทเจริญพระชนมายุ 20 ชันษาแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีโอรส นางหวังตั้งครรภ์ เป็นความยินดียิ่งของบรรพชน เหตุใดจึงไม่สนใจกัน ไทเฮาฉือเซิ่งแม้ไม่ยุ่งเกี่ยวราชกิจ แต่เรื่องนี้ก็ทรงตรัสได้มีน้ำหนักมาก ฮ่องเต้ว่านลี่ได้แต่ต้องจำใจแต่งตั้งพระสนมกงขึ้น
จากนั้น พระสนมกงก็ประสูติพระโอรส ความสำคัญของโอรสองค์โตย่อมรู้กันดี ในพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ดีพระทัย ทรงใกล้ชิดพระสนมกงมากขึ้นอีกหน่อย
เทียบกับฮองเฮาที่แข็งทื่อน่าเบื่อ พระสนมเอกเจิ้งที่เฉลียวฉลาดร่าเริง พระสนมกงที่อ่อนโยนก็ให้ความรู้สึกดีไปอีกแบบ เริ่มแรกฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงรู้สึกไม่เลว แต่ต่อมาก็ทรงรู้สึกถึงความผิดปกติ นางหวังไม่เคยทูลขออันใดให้ครอบครัวนาง กลับนำกระแสรับสั่งไทเฮามาแทน ช่วยทูลแทนไทเฮาฉือเซิ่ง
ฮ่องเต้ว่านลี่ตอนนี้ถือที่สุดก็คือการยื่นมือเข้าข้องเกี่ยวราชกิจของไทเฮา ทรงกุมอำนาจใหญ่ไว้ได้แล้ว คนข้างพระวรกายมีมาก หูตาไม่ต้องพูดถึง ไม่นานก็ทรงรู้ พระสนมกงเชื่อฟังไทเฮาฉือเซิ่งทุกอย่าง แม้แต่งตั้งเป็นพระสนมแล้ว ก็ยังคงดำรงท่าทีแบบนางกำนัลในตำหนักฉือหนิงกงเหมือนเดิม
มิน่าเล่า ไทเฮาจึงทรงร้อนใจเรื่องสถานะพระสนมกง ต้องการสถานะให้โอรสพระสนมกง ที่แท้คิดจะยื่นพระหัตถ์มาข้องเกี่ยวราชกิจอีกนี่เอง ไม่ว่าความจริงเป็นเช่นไร ฮ่องเต้ว่านลี่คิดได้เช่นนี้ทันที จากนั้นที่ได้ยินได้ฟังมาจากตำหนักฉือหนิงกงในวังก็ยิ่งทำให้ทรงเชื่อเช่นนี้อย่างมั่นพระทัย
แต่นั้นมา พระองค์ก็ทรงออกห่างพระสนมกง พูดไป พระสนมเอกเจิ้งตั้งครรภ์ได้สี่เดือนเรื่อง ดังนั้นแม้ขุนนางราชสำนักถวายฎีกาให้แต่งตั้งองค์ชายใหญ่ แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ทรงสนพระทัย รอให้พระสนมเอกเจิ้งมีพระประสูติก่อนค่อยว่ากัน
ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่ใช่องค์เดิมเช่นเมื่อหลายปีก่อน ตำหนักฉือหนิงกงรู้กันดี จากนั้นไทเฮาฉือเซิ่งก็ไม่ได้ตรัสอันใดต่อ ได้แต่รับสั่งให้ยกอาหารขึ้นมาได้
ไก่ป่าผัดซอนยกออกมา เพราะว่าเป็นซอสชั้นดี น้ำซอสทำตามแบบเทียนจินเติมผลกุ้งลงไป ดังนั้นจึงรสหวานหอมยามเข้าปาก ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเสวยเอร็ดอร่อย เติมข้าวอีกด้วย
เห็นฮ่องเต้ว่านลี่เสวยอร่อยดีพระทัย ไทเฮาฉือเซิ่งก็แย้มสรวล หันไปรับสั่งจิ่นซิ่วว่า
“จิ่นซิ่ว ไก่ป่าผัดซอสนี้รสดี แต่พอกินแล้วคาวปาก เจ้าไปสั่งให้ต้มน้ำขิงมาชามหนึ่ง”
จิ่นซิ่ว รีบรับคำถอยออกไป พอออกไป ในห้องก็เหลือแค่ฮ่องเต้ว่านลี่กับไทเฮาฉือเซิ่งสองแม่ลูก ไทเฮาฉือเซิ่งจิบน้ำชา ตรัสว่า
“ฝ่าบาท ตอนนี้ในวังนอกวังมีข่าวลือหนาหู บอกว่าหวังทงนำกำลังออกปราบชายแดนตอนเหนือ รุกล้ำเข้าไปในดินแดนศัตรู ตอนนี้ขาดการติดต่อไปหรือ?”
“ทูลเสด็จแม่ ข่าวลือเชื่อไม่ได้ ตอนนี้ผู้ตรวจการเมืองต้าถงกับผู้บัญชาการมณฑลทหารซานซีและองครักษ์เสื้อแพรล้วนยังไม่มีสารรายงานทางการมา ล้วนเป็นพวกกล่าววาจาเลอะเลือนกันเท่านั้น”
อาหารมื้อนี้ถูกปากฮ่องเต้ว่านลี่มาก ทว่าได้ยินไทเฮาฉือเซิ่งถามเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็วางชามลง ยังเหลือข้าวอีกครึ่งชาม ฮ่องเต้ว่านลี่เสวยไม่ลงแล้ว
ไทเฮาฉือเซิ่งค่อยๆ พยักพระพักตร์ แย้มสรวลตรัสว่า
“แต่คงแค่เสียงโวยวายกันเท่านั้น ฝ่าบาทไม่ต้องทรงสนพระทัย มีอู่ชิงโหวคุมกำลังเมืองหลวง ในวังคุมกองกำลังสังกัดวังหลวงให้ดี พวกเขาแม้จะก่อเรื่องก็คงได้แต่ส่งเสียงโวยวายเท่านั้น ไม่ต้องไปสนพระทัย”
“เสด็จแม่ตรัสได้ถูกต้อง ที่พูดก็มีแต่พวกขุนนางบัณฑิต เบื้องหลังพวกเขาก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ได้มีหลักฐานแน่ชัด ดังนั้นจึงได้แต่พูดจากันเหลวไหลเท่านั้น”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตอบไปหนึ่งประโยค อยู่ ๆ ก็ทรงรู้สึกอิ่มตื้อ กำลังจะเสวยของหวาน ตอนนี้รู้สึกเสวยไม่ลงแล้ว
ไทเฮาฉือเซิ่งพยักพระพักตร์ เสวยขนมแป้งไปชิ้นหนึ่ง ก่อนจะตามด้วยน้ำชา ตรัสว่า
“ฝ่าบาท แม่รู้สึกว่าระวังไว้หน่อยก็ดี เทียนจินตอนนี้เป็นพื้นที่สำคัญในการเก็บภาษี เป็นค่าใช้จ่ายหนึ่งในสี่ของในวัง หลายตระกูลในเมืองหลวงก็มีกิจการที่นั่น อู่ชิงโหว เซียงเฉิงป๋อ ล้วนลงทุนไปที่นั่นไม่น้อย …….”
พระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ไร้รอยแย้มสรวล ยกพระสุธารสชาขึ้น สีพระพักตร์เรียบนิ่งฟัง ไทเฮาฉือเซิ่งตรัสต่อว่า
“แม้ว่าตอนนี้ไม่ข่าวที่ชัดเจนแน่นอนมา แต่ข่าวลือเช่นนี้ ฝ่าบาทต้องทรงคิดระดับเลวร้ายที่สุดเอาไว้ด้วย เตรียมการหากเกิดเหตุเหนือความคาดหมาย เมืองหลวงควบคุมแน่นหนา ฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวลไป แต่เทียนจินตอนนี้เป็นพื้นที่สำคัญ อย่างไรก็เตรียมการล่วงหน้าไว้ดีกว่า”
“ตามความเห็นเสด็จแม่ ควรจะเตรียมการเช่นไร?”
ฮ่องเต้ว่านลี่วางจอกพระสุธารสชาลงถาม ไทเฮาฉือเซิ่งสังเกตเห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ หากยังทรงตรัสต่อว่า
“ตอนนี้ที่ดูแลเทียนจิน ก็แค่นายกองพันองครักษ์เสื้อแพร เมื่อก่อนนายกองพันผู้นี้ก็เป็นแค่พลทหาร สถานะต้อยต่ำ งานใหญ่เช่นนี้ จะจัดการดูแลได้อย่างไร นายกองตรวจการเทียนจินกับนายอำเภอก็ไร้สามารถ ช่วยอันใดไม่ได้ ได้แต่สร้างความวุ่นวายเพิ่มเติม แม่คิดว่า ควรให้เสริมตำแหน่งขุนนางไปเทียนจิน นอกจากงานกองตรวจการแล้วก็ให้ควบตำแหน่งดูแลงานราษฎรและการเก็บภาษี ยังมีเรื่องการขนส่งทางทะเลด้วย”
กองตรวจการสังกัดสำนักตรวจสอบ ปกติก็ดูแลการเตรียมทหาร ตามความหมายของไทเฮาฉือเซิ่ง ที่จริงแล้วก็เท่ากับแต่งตั้งผู้ตรวจการไปเทียนจิน แน่นอน ตอนนี้เทียนจินล้ำค่าและคู่ควรที่จะแต่งตั้งผู้ตรวจการไปคุมอำนาจ
ฮ่องเต้ว่านลี่นิ่งคิด ประทับยืนขึ้น ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“เสด็จแม่ ตอนนี้ชายแดนตอนเหนือยังไม่รู้ผล เมืองหลวงกับชายแดนนอกเมืองต้าถง ม้าเร็วไปมา อย่างน้อยก็ต้องสิบวัน ไม่มีข่าวมาก็ไม่แปลกอันใด ลูกคิดว่าตอนนี้ที่ต้องรับมือก็คือการจัดการความสงบในเมือง ตอนนี้หากทำอันใดไปย่อมทำให้คนนอกวังเข้าใจผิดได้ง่าย คนตื่นตระหนกไปกลับไม่ดี นับประสาอันใด หากหวังทงได้ชัยชนะกลับมา เห็นการจัดการเช่นนี้ ใต้หล้าเห็นเช่นนี้ ใช่ว่าทำให้พวกเขารู้สึกหนาวเหน็บงั้นหรือ ลูกรู้สึกว่าไม่เหมาะ ขอเสด็จแม่ทรงพิจารณาให้รอบคอบอีกครั้ง”
ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเช่นนี้ ไทเฮาฉือเซิ่งก็สีพระพักตร์ดำคล้ำ เงียบไปนานก่อนจะตรัสสุรเสียงเบาขึ้นว่า
“ในเมื่อฝ่าบาทเตรียมการไว้แล้ว เช่นนี้แม่ก็ไม่พูดอันใดให้มากอีก”
ยามนี้จิ่นซิ่วก็ยกน้ำขิงเข้ามา ฮ่องเต้ว่านลี่รับไป ในห้องเงียบลง สักครู่ ไทเฮาฉือเซิ่งก็ตรัสว่า
“ฉางลั่ว ปีนี้สองขวบแล้วกระมัง?”
ตอนที่ 787
สายพระโลหิต อาจเป็นการวางแผน
โดย
Ink Stone_Fantasy
จูฉางลั่วเป็นโอรสเกิดจากพระสนมกง เป็นโอรสองค์โตของฮ่องเต้ว่านลี่ ลำดับโอรสแต่ไรถือเป็นธรรมเนียมใหญ่ โดยเฉพาะโอรสองค์โตในยุคสมัยพิเศษนี้
โอรสพระสนมกงเป็นพระโอรสองค์โต มีข้อได้เปรียบเรื่องการได้เป็นผู้สืบทอดราชบังลังก์ ตามหลักกฎหมายแล้ว ตอนนี้ย่อมเป็นรัชทายาท
ทว่าในวังรู้ ขุนนางทั้งหลายก็รู้ ใต้หล้าราษฎรก็รู้ เด็กอายุไม่ถึงสองขวบใช่ว่าสามารถเติบใหญ่เป็นผู้ใหญ่ได้ทุกคน ตายด้วยโรคภัยก็มีความเป็นไปได้มาก ในวังมีเหตุเหนือคาดหมายมากมาย ยังไม่เติบใหญ่ ทุกอย่างก็ไร้ความหมาย
อย่างน้อยพระโอรสต้องได้ออกไปมีตำหนักพำนักเองนอกวัง ความอันตรายนี้จึงน้อยลง มีความเป็นไปได้ในการสืบทอดราชบังลังก์มาก
เรื่องเช่นนี้ก็มีประเด็นมาก่อนหน้า ก็คือยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะพระราชทานสถานะโอรสให้หรือไม่ แม้ว่ามีขุนนางยื่นฎีกา แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เพิกเฉย ถือเสียว่าไม่มีโอรสองค์นี้
คนในวังรู้พระอารมณ์ฮ่องเต้ว่านลี่ดี ตั้งแต่ปีก่อนที่ขันทีมารายงานเรื่องวันประสูติจูฉางลั่ว ปรากฏว่าถูกสั่งปลดไปดูแลสุสานที่เฟิ่งหยางในเวลาไม่กี่วัน ทุกคนไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
ผู้เดียวที่กล้าเอ่ยถึงและเอ่ยถึงบ่อย ๆ ก็คือไทเฮาฉือเซิ่ง ทว่าทุกครั้งที่เอ่ยก็จะมีทำให้เกิดเรื่องขัดใจกัน ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่ทรงระบายอารมณ์ใส่เสด็จแม่พระองค์ แต่ใช้วิธีเงียบใส่
ทุกคนในตำหนักฉือหนิงกงล้วนรู้ว่า ไทเฮาฉือเซิ่งไม่ค่อยได้เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว ที่ทำได้ก็เพียงแค่ให้พระสนมกงได้ร่วมเสวยกับฮ่องเต้ว่านลี่ แต่วิธีนี้ก็ไร้ผล
คิดไม่ถึงว่าวันนี้ไทเฮาฉือเซิ่งจะทรงรับสั่งถึงเรื่องนี้อีก เมื่อครู่คุยเรื่องอื่น ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่พอพระทัยแล้ว มาพูดเรื่องนี้อีก สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ก็บึ้งตึง ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“ทูลเสด็จแม่ น่าจะสองขวบได้แล้ว”
“……อะไรที่ว่าน่าจะสองขวบ ฝ่าบาทเป็นเสด็จพ่อของฉางลั่ว ถึงกับจำอายุไม่ได้หรือ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ก้มพระพักตร์ลงเล็กน้อย ไม่ตรัสตอบอันใด เห็นท่าทีฮ่องเต้ว่านลี่เช่นนี้ สีพระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งก็ดำคล้ำลง หากสุรเสียงก็ผ่อนลงตรัสว่า
“แม่ก็แก่มากแล้ว ได้เห็นฝ่าบาทมีพระโอรส ก็ขอบคุณบรรพชนแล้ว นี่เป็นวาสนาของแผ่นดิน แต่เด็กคนนี้อายุสองขวบแล้ว กลับยังไม่มีสถานะ ฝ่าบาทยังมีแต่งตั้งรัชทายาท แผ่นดินยังไม่มั่นคง พวกคิดการไม่ซื่ออาจฉวยโอกาสได้!”
ได้ยินรับสั่ง ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปนานก่อนจะพึมพำตรัสว่า
“ไยต้องทำเช่นนี้ ก็แค่ลูกนางกำนัลเท่านั้น!”
สุรเสียงไม่ดังมาก แต่ในพื้นที่เสวยสามคนล้วนได้ยินกันชัดเจน นางกำนัลจิ่นซิ่วรีบก้มหน้าลงยิ่งต่ำลงทันที ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอีก
ไทเฮาฉือเซิ่งที่สงบพระสติอารมณ์มาตลอด เริ่มสีพระพักตร์แดงก่ำ ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็รู้สึกว่าพระดำรัสรุนแรงไปสักหน่อย จึงได้แอบเงยพระพักตร์มองไปยังไทเฮา เสียง ‘ปึง’ ดังขึ้น ถ้วยชาหน้าไทเฮาฉือเซิ่งถูกปัดร่วงลงพื้น ทว่าพื้นเป็นพรมหนา จึงไม่ได้ตกแตก
“ลูกนางกำนัล เจ้ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าก็เป็นลูกนางกำนัล!!”
สุรเสียงเฉียบขาด คำเรียกขานก็กลายเป็น ‘เจ้า’ ไม่ใช่ ‘ฝ่าบาท’ ขันที นางกำนัลและองครักษ์รอบๆ ตำหนักที่รอปรนนิบัติ ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดัง ก็พลันเงียบกริบรอ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าหาที่มาของเสียง พระดำรัสไทเฮาฉือเซิ่งคาดว่าคงมีหลายคนได้ยิน แต่ทุกคนแทบอยากจะไม่ได้ยินดำรัสนี้
ไทเฮาฉือเซิ่งในตอนนั้นเป็นนางกำนัล เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้หลงชิ่ง ซึ่งก็คืออ๋องอวี้ในตอนนั้น มีพระโอรส ค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งพระสนม พระสนมเอก มาจนถึงตำแหน่งไทเฮาในเวลานี้
‘นางกำนัล’ คำนี้เกรงว่าได้กระทบพระทัยไทเฮาฉือเซิ่งเข้าแล้ว จึงทำให้ทรงกริ้วหนักเช่นนี้ทันที
ตั้งแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ยังเป็นเพียงท่านชายรัชทายาทสืบต่อตำแหน่งอ๋อง ก็เคยพบเห็นพระอารมณ์กริ้วของไทเฮาฉือเซิ่งมาหลายครั้ง ทุกครั้งก็เป็นเช่นนี้ ไม่เคยมีครั้งไหนไม่เคยไม่หวาดกลัว
เพราะยามไทเฮาฉือเซิ่งทรงกริ้ว ย่อมเป็นเพราะฮ่องเต้ว่านลี่กระทำผิด เพราะมีเหตุผลตำหนิ และเพราะความกตัญญูของฮ่องเต้ว่านลี่ ทุกครั้งก็ล้วนยอมรับผิดและขอโทษ
หลายปีมานี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ค่อยได้เห็นเสด็จแม่พระองค์ทรงกริ้วเช่นนี้ จิ่นซิ่วลงคุกเข่าแล้ว ก้มหน้าลงต่ำไม่กล้าเงยหน้าขึ้นอีก
ฮ่องเต้ว่านลี่ลังเลครู่หนึ่งก็ประทับยืนและคุกเข่าลงตรัสว่า
“เสด็จแม่อย่าได้ทรงกริ้ว ลูกผิดไปแล้ว ๆ เสด็จแม่รักษาพระวรกายด้วย เป็นความผิดของลูกเอง!”
มองฮ่องเต้ว่านลี่คุกเข่าลงกับพื้น ไทเฮาฉือเซิ่งที่โมโหจนพระพักตร์แดงก่ำก็ค่อยๆ หายใจเข้าออกสองสามที คิดจะตรัสอันใดก็กัดพระทนต์กลั้นไว้ สุดท้ายได้แต่ตรัสสุรเสียงเรียบว่า
“แม่เป็นแม่แท้ๆ ของฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่ต้องทรงรู้สึกว่าแม่คิดวางแผนใดไว้ แม่ทำทุกอย่างก็เพื่อฝ่าบาท แม่เหนื่อยแล้ว ฝ่าบาทกลับพระตำหนักไปพักผ่อนพระวรกายได้แล้ว”
“เสด็จแม่อย่าได้ทรงกริ้วจนกระเทือนพระวรกายนะพะยะค่ะ พรุ่งนี้หม่อมฉันจะให้หมอหลวงมาดูพระอาการ ขอเสด็จแม่พักผ่อนพระวรกายให้ดี รักษาพระวรกายด้วย”
ความนิ่งเงียบของไทเฮาฉือเซิ่งทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งหวาดกลัว แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูดมากอันใด ได้แต่โขกศีรษะทูลลา
************
“หลายวันนี้ มีฮูหยินตระกูลใดบ้างเข้าเฝ้าไทเฮา ไปตรวจสอบมารายงาน!”
ออกมาจากตำหนักฉือหนิงกง ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้กลับพระตำหนักเฉียนชิงกง และไม่ได้ไปยังตำหนักพระสนมเอกเจิ้งอย่างที่เคยเป็น หากทรงกลับไปยังห้องทรงอักษร จางเฉิงและโจวอี้ถูกตามตัวมา
รับสั่งออกไป จางเฉิงรีบเขียนข้อความส่งให้เจ้าจินเลี่ยง ให้เขาไปสั่งการทันที เจ้าจินเลี่ยงออกไป ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงร้อนพระทัยเปิดฎีกาไปมา ตรัสว่า
“เรื่องในครอบครัวเรา คนในคนนอกมาเป็นห่วงกันมากมาย ไม่ใช่ภรรยาพวกเขาสักหน่อย ลูกๆ พวกเขาก็วุ่นวายกันพอแล้ว เรื่องครอบครัวเรา พวกเขามีสิทธิ์อันใดมาพูดนั่นพูดนี่กัน!”
จางเฉิงกับโจวอี้เองก็ก้มหน้านิ่ง เรื่องเช่นนี้ไม่อาจกล่าวอันใดเสริมความ ฮ่องเต้ว่านลี่มองสองคนนิ่งเงียบ ก็อดไม่ได้ร้อนพระทัยยิ่งขึ้น กวาดฎีกาบนโต๊ะลงพื้นทั้งหมด คำรามเบาๆ ว่า
“จะต้องมีคนหาความเป็นแน่ เสด็จแม่ไม่ได้ทรงเอ่ยถึงเรื่องนี้นานแล้ว ตรวจสอบมา จะต้องสอบความมาให้ได้!”
ตรัสจบ พระอารมณ์ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ค่อยๆ สงบลง นั่งนิ่งเหม่ออยู่หลังโต๊ะทรงอักษรตรัสเบา ๆ ว่า
“เราเสียใจแล้ว วันนั้นที่หวังทงว่ามาแม้ว่าล่อใจ แต่เราเป็นฮ่องเต้ ควรจะรอบคอบสักหน่อย ไม่ควรหวั่นไหวกับผลงาน ทำให้หวังทงต้องตกในอันตราย ไม่รู้เป็นหรือตาย เขาทำหลายเรื่องเพื่อเรา เรากลับทำเช่นนี้”
ฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะยาว บรรยากาศผ่อนลงกว่าเมื่อครู่ โจวอี้กับจางเฉิงสบตากัน คิดว่าเข้าใจที่จางเฉิงแอบบอกแล้ว ก็กระแอมไอทูลว่า
“ฝ่าบาท ข่าวจากสำนักรักษาความสงบว่า ขุนนางนอกเมือง ยังมีพวกในเมือง ล้วนมักวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรัชทายาท มักจะพูดจาไม่อาจรับฟัง นอกจากข้างนอกแล้ว ในวังก็มีบางคนมักบ่น ๆ เรื่องลำดับอาวุโสขององค์ชาย….”
กล่าวถึงตรงนี้ ก็เหมือนติดอ่างไป เพราะเขาสังเกตเห็นสายตาดุของจางเฉิง สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ดำคล้ำจนน่ากลัว
โจวอี้รู้สึกว่าไม่น่าพูดเลย รู้ว่าพูดผิดแล้ว ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่กลับไม่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมา ประทับนั่งนิ่งตรัสถามขึ้น
“พวกหัวสมองทื่อไม่รู้จักปรับเปลี่ยนนอกวังพวกนั้นไม่อยากให้เรามีความสุข ไม่มีเรื่องก็หาเรื่องให้เรา ย่อมต้องจับตาดูไม่ปล่อย ทำไม ในวังเองก็มีเรื่องบัดซบเช่นนี้ด้วย?”
พระดำรัสนี้ก็เท่ากับด่ามารดาแล้ว โจวอี้รีบคำนับต่ำลงไปอีก จางเฉิงหรี่ตามอง คำนับทูลรายงานว่า
“ฝ่าบาท ในวังมีคนไม่น้อยติดต่อกับพวกข้างนอก สำนักศึกษาเราก็มีอาจารย์ข้างนอกเข้ามาสอน วิธีคิดกับการกระทำจึงไปทางคนด้านนอก ก็ไม่แปลก เป็นเรื่องที่มีมานานแล้ว”
ได้ยินจางเฉิงกล่าวเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ทรงเข้าพระทัย ตอนนี้ขันทีในวังส่วนใหญ่เข้ามาในวังแต่เด็ก ก็เหมือนกับเด็กนอกวังที่ต้องเรียนตำราปราชญ์บัณฑิต จากนั้นค่อยเริ่มปฏิบัติหน้าที่ วิธีคิดก็ย่อมไม่แตกต่างจากคนข้างนอก
“เหลวไหลสิ้นดี คนของเราไม่พอใจการกระทำของเรา เรื่องพวกนี้พวกเขาควรได้รับการสั่งสอน!”
จางเฉิงถอนหายใจ โจวอี้กล่าวเช่นนี้คงสร้างความยุ่งยากให้คนในวังไม่น้อย และหากแพร่ออกไป จางเฉิงกับโจวอี้ย่อมต้องถูกโดดเดี่ยว ถึงตอนนั้นทำอะไรก็ย่อมยาก
แต่ก็พูดออกไปแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นชัดๆ ว่าทรงกริ้ว จึงต้องหาทางแก้ไขวาจาที่กล่าวไป จางเฉิงก้าวออกมาทูลเบาๆว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอกล่าววาจาไม่ควรกล่าว ขอฝ่าบาทโปรดพระราชทานอภัย วาจานี้ปีก่อนก็เคย สองปีก่อนก็เคยกล่าว เหตุใดวันนี้อยู่ ๆ ก็เกิดขึ้นอีก?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ก้มพระพักตร์เงียบไปครู่หนึ่ง เงยขึ้นตรัสว่า
“เพราะหวังทงขึ้นเหนือไปหรือ?”
ตรัสจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ถอนพระปัสสาสะยาว ตรัสว่า
“การสู้รบมีหวังทง การเมืองมีพวกเจ้า เราจึงได้กล่าวอันใดก็เด็ดขาดในที่ประชุมขุนนาง ไม่ต้องคอยฟังเสด็จแม่ ตอนนี้เป็นเช่นนี้ เหมือนว่าจะถอยหลังกลับไป………ไม่สิ ข่าวยังไม่มาสักหน่อย ทำไม่ทุกคนจึงตัดสินใจไปแล้ว หากหวังทงเกิดเรื่องจริง หรือว่าแผ่นดินหมิงจะได้ประโยชน์อันใด หรือว่าพวกเขาจะได้ประโยชน์อันใดกัน?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ระเบิดอารมณ์ จางเฉิงลังเลไปมา ก็ทูลเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาทหากเป็นเช่นนั้นจริง พวกกระหม่อมย่อมจงรักภักดีไม่เปลี่ยนแปลง ความช่วยเหลือตอนนี้ก็คงมาจากทางไทเฮาแล้ว”
จางเฉิงเริ่มเปลี่ยนจุดยืน เห็นได้ชัดว่าเริ่มไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ที่วิเคราะห์ก่อนหน้า ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปนาน ก่อนจะคว้าแท่นหมึกปาออกไป
*****************
เริ่มเข้าเดือนสอง ข่าวจากตอนเหนือมาเมืองหลวงเริ่มขาดไปได้ร่วมสิบวันแล้ว เสนาบดีกรมทหาร จางเสวียเหยียนเริ่มเอ่ยถึงว่า มณฑลซานซีและเขตปกครองเหนือต้องเตรียมกำลัง ขุนนางอื่นๆ ก็ส่งเสียงโวยวายกันอย่างไม่ต้องพูดถึง
ฮ่องเต้ว่านลี่กลับถึงตำหนัก ก็ถูกทูลเชิญไปยังตำหนักฉือหนิงกงเสวยพระกระยาหารค่ำ ไทเฮาฉือเซิ่งยังคงมีสีพระพักตร์อ่อนโยนเมตตา รอฮ่องเต้ว่านลี่วางตะเกียบและชามลงก็แย้มสรวลตรัสว่า
“ฝ่าบาท ที่แม่จะพูดก็เป็นเรื่องคราก่อน…….”
ตอนที่ 788
สายสัมพันธ์เลือดเนื้อ ในวังเปิดไพ่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ได้ยินไทเฮาฉือเซิ่งตรัสเช่นนี้ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ยินดียินร้าย ตรัสเพียงว่า
“เสด็จแม่ เชิญรับสั่ง”
“เทียนจินทางนั้นต้องแต่งตั้งขุนนางไปดูแล หลายวันก่อนมีคนมาบอกแม่แล้ว ตอนนี้ขุนนางหวงอี้เฟินจากกรมทหารมีความสามารถ ปฏิบัติหน้าที่รอบคอบ เป็นคนซื่อสัตย์ภักดี เทียนจินเงินทองมากมายเพียงนั้น ต้องการคนเช่นนี้ไปดูแล ฝ่าบาททรงเห็นเช่นไร?”
ครั้งก่อนไม่ได้เอ่ยถึงตัวเลือก ครั้งนี้กลับเอ่ยชื่อมาตรงๆ ฮ่องเต้ว่านลี่ก้มพระพักตร์ลงตรัสเบาๆ ว่า
“คนผู้นี้เป็นลูกศิษย์ท่านน้า ท่านน้ากินอยู่ไม่ได้ด้อยไปกว่าลูก หรือที่บ้านขาดแคลนเงินทองกัน เหตุใดจึงกระตือรือร้นในเรื่องนี้นัก”
ไทเฮาฉือเซิ่งขมวดพระขนง หลายวันนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงวุ่นวาย แม้ว่าไม่มีข่าวมา แต่ข่าวจากมณฑลซานซี กับเมืองต้าถงล้วนบอกว่าหวังทงร้ายมากกว่าดี ไม่มีหวังทง ฮ่องเต้ว่านลี่มีหลายเรื่องต้องสั่งการผ่านทางราชสำนัก หากลองชั่งดูแล้ว ไทเฮาฉือเซิ่งทรงคิดว่าฮ่องเต้ว่านลี่คงไม่ปฏิเสธพระองค์ คิดไม่ถึงว่าจะสาดน้ำเย็นใส่เช่นนี้
ส่งสายพระเนตรให้นางกำนัลทั้งหมดออกไป สุรเสียงไทเฮาฉือเซิ่งจึงได้เยียบเย็นตรัสว่า
“ฝ่าบาท เทียนจินดูแลค่าใช้จ่ายในวัง ไม่เพียงแต่เงินก้อนจินฮวาล้านสองแสนตำลึง สำนักอาชาหลวงก็ลงทุนหลายร้านค้าและการเดินเรือทางทะเลในเทียนจิน ทุกปีแบ่งกำไรมาไม่น้อย ขาดแหล่งเงินทองนี้ไป ค่าใช้จ่ายในวังก็จะสะดุดในทันที”
“จะสะดุดได้อย่างไร เสด็จแม่กังวลพระทัยมากไปหรือไม่!”
“หวังทงหากไม่อาจกลับมา หรือหากแพ้กลับมา เทียนจินเช่นนี้ กับเขาผู้ซึ่งเป็นขุนนางบู๊ที่ปฏิบัติหน้าที่พลาดมา ฝ่าบาทคิดว่ายังดูแลควบคุมต่อได้หรือ? ถึงตอนนั้นหากไม่ส่งคนไป จะมีเงินสักตำลึงส่งเข้าวังได้อย่างไร ปกติในวังทำอะไร พวกขุนนางก็มักจะหาทางขัดขวาง ไม่เตรียมการล่วงหน้าได้อย่างไร ในวังขาดเงิน กองทหารเมืองหลวงกับกองกำลังสังกัดวังหลวงจะมีเบี้ยหวัดจากที่ใดกัน”
สุรเสียงไทเฮาฉือเซิ่งเริ่มเข้ม ฮ่องเต้ว่านลี่ได้แต่พึมพำขัดใจว่า
“เจ้าพวกขุนนางพวกนี้ เป็นข้าแผ่นดินหมิงหรือไม่กัน เรามีชีวิตดีสักหน่อย พวกเขาทำไมต้องดูขัดตากัน!”
“ฝ่าบาท แม่ว่ามานั้น ฝ่าบาททรงเห็นเช่นไร?”
ไทเฮาฉือเซิ่งยังถามต่อ ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตรัสว่า
“เสด็จแม่ตรัสได้ถูกต้อง พรุ่งนี้ลูกจะไปจัดการเรื่องนี้”
แผ่นดินหมิงตั้งแต่ฮ่องเต้เสวียนจงมา ยังมีเหตุการณ์ป้อมถู่มู่ที่พ่ายแพ้ยับเยิน ชนชั้นสูงและขุนนางบู๊ก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย ขุนนางบุ๋นเริ่มทรงอิทธิพลใหญ่
ขุนนางบุ๋นมักอ้างคุณธรรม มักอ้างตำรา เน้นการทูลค้าน เพราะเป็นความปลอดภัยที่สุด และยังได้รับชื่อเสียงที่สุดอีกด้วย สำหรับการคัดค้านว่าในวังอย่าได้ฟุ่มเฟือยนั้น ร้านค้าหรือโรงบ้านของในวังก็มักถูกขุนนางบุ๋นหาทางปิดทิ้ง ในวังส่งขันทีออกไปดูแลภาษีที่นาหรือเหมืองแร่ ไม่ว่าทำงานเป็นเช่นไร ขุนนางบุ๋นก็มักจะคิดหาวิธีไล่กลับเข้าวัง เกินไปหน่อยก็จะหาทางลงโทษขันทีพวกนั้น
จนกลายเป็นเรื่องแน่นอนของทุกปี ภาษีจากทางใต้ส่งเงินก้อนจินฮวา ขุนนางบุ๋นไม่รู้ว่ามีเรื่องกับฮ่องเต้แต่ละยุคสมัยตั้งกี่ครั้ง ทุกครั้งฮ่องเต้คิดทรงใช้เงินมากหน่อย ขุนนางบุ๋นก็พากันโวยวายไม่ยอม มากสักตำลึงก็ไม่ได้
ฮ่องเต้ต้องการเงินมากขึ้นก็เพื่อใช้ฟุ่มเฟือย ขุนนางบุ๋นประหยัดก็ใช่ว่ามีประโยชน์ต่อแผ่นดิน ขุนนางบุ๋นรู้สึกเสียดายภาษีการค้า แต่ตนเองและชาวบ้านก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับภาษีการค้า ที่เกี่ยวข้องก็เป็นพวกตระกูลใหญ่ พวกคหบดีใหญ่ และขุนนางในราชสำนักกับขุนนางท้องที่ที่จะมีพวกร่ำรวยขึ้นเพิ่มก็เท่านั้น
ทุกปีเทียนจินส่งเงินเข้าวังล้านสองแสนตำลึงได้เพราะการค้าเทียนจินรุ่งเรือง กิจการในวังก็ไปเปิดร้านที่เทียนจิน ได้รับกำไรไม่น้อย
เช่นนี้จึงเป็นเงินเกินครึ่งที่เข้าวังมา ล้วนได้มาจากเทียนจิน และไม่ได้ส่งผลกระทบอันใดกับชาวบ้านราษฎร สถานการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่ขุนนางบุ๋นไม่อยากจะเห็น
เมื่อก่อนรายได้โรงนาหรือร้านค้าในวังไม่มาก ส่วนใหญ่อาศัยกรมอากรจัดสรร กรมอากรจัดสรร ขุนนางบุ๋นย่อมมีอำนาจเอ่ยค้าน มีอำนาจในการสั่งการค่าใช้จ่ายในวัง ย่อมส่งผลต่อหลายเรื่อง หากตอนนี้อำนาจในการกล่าวค้านนั้นน้อยลงเรื่อยๆ ขุนนางบุ๋นย่อมเห็นเทียนจินเป็นหนามยอกแทงตา
หากหวังทงอยู่ เขาย่อมเตะโด่งทุกคนออกจากเทียนจิน หวังทงเป็นพวกเลือกใช้วิธีลงมือโหดเหี้ยม คนรอบๆ จึงไม่กล้าลงมือ หากหวังทงไม่อยู่ ขุนนางบุ๋นพวกนี้ย่อมมีวิธีจัดการฮ่องเต้มากมาย มักจะบีบบังคับ ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ ไร้หนทางต่อสู้
ที่ไทเฮาฉือเซิ่งทรงคิด ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องจริง แต่หวงอี้เฟินเป็นคนของอู่ชิงโหว ถึงตอนนั้นเงินทองเทียนจินก็คงอยู่ในมือไทเฮาไม่ใช่ฮ่องเต้ ข้างนอกคนกล่าวกันว่าเป็นเงินในวัง ที่จริงแล้วไม่เหมือนเดิม
ทว่าถึงตอนนี้ ก็ถูกพวกขุนนางในราชสำนักยึดไปแล้ว ยังถูกไทเฮายึดไปอีก ขุนนางกับฮ่องเต้ แม่กับลูก ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมรู้ว่าควรสมดุลอำนาจอย่างไร
คำตอบฮ่องเต้ว่านลี่ทำให้ไทเฮาฉือเซิ่งพอพระทัยยิ่ง เดิมที่สีพระพักตร์เคร่งเครียดก็เริ่มมีรอยยิ้ม เสไปเอ่ยเรื่องอื่น ก่อนจะเอ่ยต่อว่า
“เมื่อวานนางหวังพาฉางลั่วมาเล่นที่นี่ ฉางลั่วอายุแค่สองขวบก็เห็นแล้วว่ามีนิสัยซื่อ ทำให้แม่โปรดปรานมา ฝ่าบาท ฉางลั่วอยู่ในวังมาสองปีแล้ว ตอนนี้ไม่มีตำแหน่ง ตอนนี้มีเรื่องมากมาย เรื่องที่ทำให้ไม่เกิดความเสถียรภาพเช่นนี้อย่างไรก็ลดลงบ้างก็ดี?”
ครั้งนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนงแน่น ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ค่อยทรงกริ้วต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งนัก แต่พอกล่าวถึงเรื่องนี้กลับทรงระงับไม่อยู่ หากฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ไม่ทรงมีไพ่ใบอื่น แม้ทางเหนือยังไม่มีข่าวมาอย่างเป็นทางการ แต่ก็ทรงรู้สึกได้ว่าร้ายมากกว่าดี
ครั้งก่อนยังยันกลับไปได้ แต่ครั้งนี้คงต้องคิดก่อนตอบเสียแล้ว สีพระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งค่อยๆ ไร้รอยยิ้ม ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสในที่สุดว่า
“เสด็จแม่ ฉางลั่วอายุยังน้อย รอให้โตอีกหน่อย ค่อยแต่งตั้งเป็นอ๋องก็แล้วกัน!”
“เหตุใดต้องเติบโตค่อยแต่งตั้งเป็นอ๋อง ฉางลั่วเป็นโอรสองค์โต ตามธรรมเนียมบรรพชน ตอนนี้ก็ควรได้เป็นรัชทายาทแล้ ไยต้องยืดเวลาออกไปอีก ฝ่าบาท แม่พูดมากไป ฝ่าบาทก็ไม่อยากฟัง แม่ผ่านมาสามรัชสมัย พวกขุนนางในราชสำนักคิดเช่นไรจะไม่รู้ได้อย่างไร ฝ่าบาทมีทายาทไม่แต่งตั้งเป็นรัชทายาท จะถูกพวกนั้นหาเรื่องกัดไม่ปล่อย ถึงตอนนั้นเป็นฝ่าบาทเองที่ผิดพลาด”
ไทเฮาฉือเซิ่งยังคงเตือน ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนงแน่นขึ้นอีก ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“เสด็จแม่ เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท เป็นเรื่องภายในครอบครัวเรา เสด็จแม่บอกได้ พวกเขาบอกไม่ได้ หวังทงแพ้ชนะยังไม่รู้ เรื่องนี้ลูกเองก็ผิด แต่ความผิดนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกขุนนางจะเอามาอ้างบีบคั้นลูกได้ พวกเขาหากกล้าเอ่ยจริง ก็รออาญาก็แล้วกัน!”
“เหลวไหล! เรื่องครอบครัวอันใด แล้วอันใดคือเรื่องใต้หล้า เจ้าเป็นฮ่องเต้ เรื่องฮ่องเต้ก็คือเรื่องใต้หล้า ขุนนางราชสำนักหากกล่าวไม่ได้ หากมีเรื่องกันด้วยเรื่องนี้ ราชสำนักสั่นคลอน และยังแพ้ใหญ่จากตอนเหนือมาอีก เกรงว่าคงมีคนคิดก่อการสิ่งใดแล้ว!”
พระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งไร้รอยยิ้ม ตรัสสุรเสียงเฉียบขาด ฮ่องเต้ว่านลี่คิดจะตบโต๊ะ ทว่าทำได้แค่กำโต๊ะไว้แน่น ตรัสเบา ๆ ว่า
“เสด็จแม่ พระสนมกงเป็นคนจากตำหนักฉือหนิงกง ทุกเรื่องฟังเสด็จแม่ เสด็จแม่พยายามให้แต่งตั้งรัชทายาทให้ได้ ก็คงเพื่อให้พระสนมได้ก้าวขึ้นอีกขั้น……..เสด็จแม่ ตั้งแต่ลูกครองราชย์มา ท่านก็ดูแลมาสิบปีแล้ว ลูกเติบใหญ่แล้ว ลูกก็มีลูกของตนเองแล้ว ไยยังต้องทรงลำบากมาดูแล….ใต้หล้านี้ แซ่จู (แซ่ฮ่องเต้ว่านลี่) ไม่ใช่แซ่หลี่ (แซ่ไทเฮา)….”
ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มสุรเสียงดัง หากสุดท้ายก็เงียบลง ตรัสน้ำเสียงอึกอัก หากในห้องเงียบมาก ทุกคนย่อมได้ยินชัดเจน
นางกำนัลสองคนในห้องที่รอปรนนิบัติกับขันทีสองสามคนสีหน้าซีดเผือดคุกเข่าลง หมอบกับพื้นแน่นิ่ง ไม่กล้าส่งเสียง
ตรัสจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ก้มพระพักตร์ลง ในห้องเงียบกริบ ไม่ทรงกล้าเงยหน้าขึ้นมองอีก ไทเฮาฉือเซิ่งพระวรกายสั่นเทิ้ม ยกพระหัตถ์ชี้ขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกทรงกลัวเล็กน้อย ยามนี้ไทเฮาฉือเซิ่งจึงได้ตรัสสุรเสียงเฉียบขาดว่า
“ใต้หล้าให้เจ้าดูแลมาสองปี แล้วเป็นไง เจ้าปล่อยให้หวังทงนำกำลังขึ้นเหนือ จนรบพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ ทำลายสถานการณ์ส่วนรวม เจ้ามีหน้าไปพบพระบิดา พบบรรพชนอีกแผ่นดินหมิงอีกหรือ!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่หดตัวลีบ หลังเหตุลัทธิไตรสุริยัน ไทเฮาฉือเซิ่งไม่ทรงถามราชกิจ ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงคิดว่าพระองค์เองนั้นมีความกล้าหาญที่จะยืดอกบริหารได้ด้วยตนเองแล้ว คิดไม่ถึงว่าถูกไทเฮาฉือเซิ่งตำหนิเช่นนี้ ในพระทัยแม้รู้สึกโหวงเหวงแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ยังคงพึมพำตรัสว่า
“พระบิดาได้รับตำแหน่งรัชทายาทก็อายุมากแล้ว ตำแหน่งอ๋องอวี้ก็ไม่ได้เร็ว บรรพชนไม่ใช่เริ่มทำเป็นแบบอย่างก่อนหรือ?”
“ออกไปให้หมดๆ !!”
ไทเฮาฉือเซิ่งเสียงดังรุนแรง นางกำนัลและขันทีปรนนิบัติรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ไทเฮาฉือเซิ่งชี้ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสน้ำเสียงรุนแรงว่า
“เจ้าอยู่ในวังยังกล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้ ฮ่องเต้อู่จงตกน้ำได้อย่างไร และยังสิ้นพระชนม์ด้วยอาการป่วยในวังได้อย่างไร ตอนนั้นพวกอันต๋าร่วมสมคบกับเมืองต้าถง เมืองเซวียนฝู่อย่างไร ล้อมเมืองหลวงอย่างไร หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าเพราะฮ่องเต้อู่จงหลงเชื่อขุนนางบู๊ หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าเสด็จปู่เจ้าตอนนั้นล่วงเกินขุนนางบุ๋นไปมากเท่าไร เจ้าคิดว่าใต้หล้าเป็นของเจ้าหรือ? เจ้าหลงเชื่อหวังทง ตั้งด่านบนคลองส่งน้ำ เปิดการค้าทางทะเล เจ้าคิดว่าพวกเขานั้นพอใจหรือ เมื่อก่อนเจ้าเอาอยู่ ตอนนี้พ่ายแพ้มาเช่นนี้ เจ้าจะเอาอยู่ได้อย่างไร หรือว่ารอให้คนอื่นมาบีบให้แม่ต้องไปฟ้องต่อบรรพชนฮ่องเต้หรือ”
ฟ้องต่อบรรพชนฮ่องเต้ก็คือปลดฮ่องเต้ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่เปลี่ยนไปทันที พระดำรัสไทเฮาฉือเซิ่งตรัสถึงตอนนี้ น้ำตาก็ไหลไม่หยุด สะอื้นตรัสต่อว่า
“ฝ่าบาท แม่เป็นแม่แท้ๆ ตั้งครรภ์มาสิบเดือนจึงได้ประสูติฝ่าบาท ฝ่าบาทเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของแม่ เหตุใดจึงเอาแต่เห็นแม่เป็นศัตรู ตอนนี้เรื่องพวกนี้ไม่จัดการให้ดี รอให้ถึงวันที่ต้องทำจริงๆ เกรงว่าคงสายไปเสียแล้ว”
ตรัสจบก็กรรแสงขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่นั่งแข็งทื่อเป็นหุ่น เป็นนานกว่าจะถอนหายใจ กำลังจะตรัส ก็ไดยินเสียงขันทีด้านนอกเสียงแหลมรายงานว่า
“ไทเฮา ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่สุดรายงาน!!”
ตอนที่ 789
ไทเฮา
โดย
Ink Stone_Fantasy
เสียงตะโกนแหลมของขันที ฟังแล้วก็ไม่แตกต่าง ชั่วขณะหนึ่ง สองคนในห้องก็แยกไม่ออกว่าเสียงผู้ใด แต่ไทเฮาฉือเซิ่งยังทรงไม่อาจคุมพระสติเช่นนี้ ย่อมไม่ดีหากให้ผู้ใดพบเห็น เสียงคุยในห้องหยุดทันที เสียงด้านนอกดังเข้ามา ได้ยินเสียงขันทีนอกห้องกระซิบว่า
“ตูกง ไทเฮากับฝ่าบาทกำลังทรงสนทนากันอยู่”
ผู้ที่ถูกเรียกขานว่า ตูกง ก็คือ ขันทีใหญ่สำนักส่วนพระองค์จางจิง ตอนนี้ไปดูแลสำนักบูรพา ในวังถือเป็นลำดับสอง แต่ในตำหนักฉือหนิงกง อย่างไรก็ต้องวางตัวระมัดระวังรอบคอบ
ทว่าด้านนอกเงียบลง ได้ยินจางจิงเสียงดังมาว่า
“มีเรื่องเร่งด่วนที่สุดจริงๆ ไม่เช่นนั้นกระหม่อมไม่กล้ามารบกวนพระทัยไทเฮากับฝ่าบาท !”
เห็นใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาของไทเฮาฉือเซิ่ง ทรงเสียพระทัยขนาดนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็รู้สึกผิด ลูกกตัญญูย่อมไม่อยากเห็นแม่ตนเองเป็นเช่นนี้ แต่ด้วยสถานะฮ่องเต้ ย่อมรู้ว่าหากมอบเทียนจินให้อู่ชิงโหว ทำตามไทเฮาแต่งตั้งรัชทายาทไป ตนเองก็เกรงว่าคงต้องกลับไปเป็นเหมือนเมื่อสิบปีที่ผ่านมา นี่ผ่านมาสองปี ตอนนั้นน่าอนาถเพียงใด ฮ่องเต้ว่านลี่ยังทรงจดจำได้ไม่ลืม
ในวังก็ทรงโปรดพระสนมเอกเจิ้งที่สุด ฮ่องเต้ว่านลี่เคยตรัสกับเจ้าจินเลี่ยงว่า
“หากเราอยู่ในตระกูลชาวบ้าน ก็สามารถครองคู่กับพระสนมเจิ้งไปจนแก่เฒ่า”
หากแต่งตั้งโอรสองค์โตจูฉางลั่วเป็นรัชทายาท พระสนมกงก็ย่อมได้เป็นพระสนมเอก ผู้หญิงที่เชื่อฟังไทเฮาทุกอย่างอยู่ข้างกายพระองค์ ช่างไม่มีความรื่นรมย์ใดให้กล่าวถึงอีก
หรือบางคราเกิดมีความคิดโปรดขึ้นมา ลืมพระองค์ อยู่ ๆ มีโอรสอีกพระองค์ขึ้นมาทำไง ฮ่องเต้ว่านลี่อย่างไรก็ทรงรู้สึกไม่ปลอดภัย ทรงรู้สึกว่าไม่ใช่พระโอรสของพระองค์ หากต้องมาจากพระสนมเอกเจิ้งเท่านั้น
ไม่ว่าในพระทัยจะไม่ยินยอมอย่างไร สถานการณ์ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่อย่างไรก็คิดหาทางปฏิเสธไม่ออก อยู่ ๆ ก็รู้สึกราวกับถูกมีดเฉือนพระทัย กว่าจะทรงมีหวังทงและพวกหลี่หู่โถวมิตรสหายที่ดีได้ แต่เพราะทรงอยากสร้างผลงานความสำเร็จยิ่งใหญ่จึงส่งพวกเขาไปตายยังชายแดนตอนเหนือ
ไทเฮาฉือเซิ่งหยิบผ้าขึ้นซับน้ำตา ก่อนลุกขึ้นดำเนินไปยังหลังม่าน ตรัสเสียงเครือว่า
“ฝ่าบาท ไว้ค่อยคุยกันต่อก็ไม่สาย ตอนนี้ไปดูว่ามีเรื่องด่วนใดกันก่อน!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยกพระหัตถ์ขยี้ใบหน้า นี่เป็นวิธีการตอนอยู่ที่ลานฝึกหู่เวย เลียนแบบจากพวกหวังทง ทำให้สงบนิ่งลง ตรัสสุรเสียงดังว่า
“เข้ามารายงานได้!”
ทันทีที่ด้านนอกรับคำ ก็กลับมีอีกเสียงตะโกนขึ้นว่า
“ไทเฮา ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องด่วนรายงาน!!”
ได้ยินเสียงข้างนอกพากันส่งเสียงว่า ‘คำนับจางกงกง’ ‘จางกงกงก็มาด้วย’ เสียงนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ได้ยินทุกวัน ย่อมรู้ว่าเป็นจางเฉิง
“เข้ามาพร้อมกันเลย!”
จางจิงค่อนข้างยืนค่อนไปทางไทเฮาฉือเซิ่ง จางเฉิงค่อนมาทางฮ่องเต้ว่านลี่ แท้จริงเป็นเรื่องด่วนอันใดกัน ทำให้ทั้งจางเฉิงและจางจิงวิ่งมาที่นี่อาการร้อนใจเช่นนี้ได้ หากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน จางจิงสักพักค่อยมาก็ได้ ฮ่องเต้ว่านลี่คิดได้ทันที สองมือกุมกันแน่น
พอจางเฉิงกับจางจิงเข้ามา ก็รีบคุกเข่าถวายคำนับไทเฮาฉือเซิ่งและฮ่องเต้ว่านลี่ สองคนสีหน้าแตกตื่นตกใจอย่างที่สุด ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามขึ้น
“ใช่เป็นข่าวจากหวังทงหรือไม่ รีบว่ามาๆ!!”
พวกเขาสองคนไม่ทันสังเกตว่าน้ำเสียงของเขาทั้งสองตอนนี้กำลังสั่น ในห้องนอกห้องเงียบกริบอย่างยิ่ง จางเฉิงโขกศีรษะทูลก่อนว่า
“กระหม่อม ได้ฎีการายงานจากกองกำลังใต้เท้าหวัง จางจิงน่าจะเป็นข่าวจากสำนักบูรพา จางจิงทูลก่อน กระหม่อมจะได้ดูว่าตรงกันไหม”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยามนี้ไหนเลยสนใจอันใดอีก ได้แต่เร่งว่า
“รีบว่ามาๆ !!”
จางจิงโขกศีรษะ เปิดสารในมืออก อ่านเนื้อหา แล้วก็แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ทว่าก็ยังคงอ่านออกมาเสียงดังกังวานว่า
“สนามรบ เรื่องราวซับซ้อน ข้าน้อยไม่กล้ากล่าวว่าได้เห็นเองหรือได้ยินเอง ได้แต่ยืนยันจากสารรายงานหลายฉบับ ชัยชนะสองรอบ รอบแรกทำลายทัพม้าห้าพันนายราบ ตัดหัวมาได้เกือบสองพัน รอบสองพวกนอกด่านเหมือนนำทัพออกมาราวแสนนายได้ แต่ก็ถูกทัพเราทำลายราบ ตัดหัวมาได้สองหมื่น หรือสามหมื่น”
อ่านถึงตรงนี้ ด้วยประสบการณ์จางจิงหลายปี ก็อดไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าฮ่องเต้ว่านลี่ จากนั้นก็มองไปทางหลังม่าน แม้ว่าจะไม่เห็นด้านหลังก็ตาม
“หลังชัยชนะใหญ่ วันรุ่งขึ้นก็นำปืนใหญ่ยิงถล่มเมืองกุยฮว่าเฉิง กำแพงถูกยิงพังทลาย ทัพใหญ่บุกเข้าไป ในเมืองพวกนอกด่านหนีกันไม่ทัน ถูกสังหารไปกว่าครึ่ง ข่านเซิงเก๋อตูกู่เหลิงและมเหสีสามเผ่าอันต๋า ยังมีองค์ชายเฉ่อลี่เข้อ ล้วนสิ้นในวัง ถูกปืนใหญ่ยิงถล่มวัง เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ได้เห็นด้วยตา แต่มองจากไกล ๆ ยามค่ำคืน วังข่านล้วนว่างเปล่า …….ข้าน้อยรายงานมานี้ไม่ได้เห็นด้วยตนเอง แต่มาจากหลายวันที่ได้เห็นได้ยินมา เผ่าอันต๋าเหมือนว่าหมดสิ้นแล้ว…….”
ฮ่องเต้ว่านลี่เบิกพระเนตรกว้าง ไม่อยากจะทรงเชื่อเช่นกัน กังวลพระทัยมาหลายวัน ข่าวขาดการติดต่อไปหลายวัน อยู่ๆ มีข่าวด่วนมา กลับเป็นชัยชนะครั้งใหญ่
ชัยชนะใหญ่เช่นนี้ เหมือนว่าไม่อาจใช้คำว่า ชัยชนะใหญ่ มากล่าวถึง นี่เป็นชัยชนะที่สมบูรณ์แบบและงดงาม ช่างเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย ด้วยสภาพความจริงเกือบสองร้อยปีมานี้ ทหารสามหมื่นออกนอกด่านเคยกลับมาอย่างครบถ้วนจริงหรือ? ไม่ได้เห็นด้วยตา ผู้ใดจะเชื่อ จะว่าไป ขุนพลแผ่นดินหมิงรายงานความชอบเท็จใช่ว่าไม่เคยมีมา
“ข้าน้อยรู้ว่ารายงานไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด แต่ที่ข้าน้อยว่ามาล้วนเป็นความจริง ขอใต้เท้าทุกท่านรอรายงานอย่างเป็นทางการค่อยกราบทูล……”
จางจิงทูลรายงานจบ ก็เห็นฮ่องเต้ว่านลี่สงสัย รีบอธิบายว่า
“สำนักบูรพามีสายอยู่ในเมืองกุยฮว่าเฉิง เพราะใต้เท้าหวังนำทัพไป เส้นทางการข่าวจึงถูกตัดขาด ดังนั้นข่าวจึงมาช้าไปสักหน่อย ฝ่าบาท กระหม่อม……กระหม่อมขอกล่าววาจาไม่ควรกล่าว เรื่องเช่นนี้ ช่างเป็น…….ไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่างไรก็ระมัดระวังไว้ก่อนดีกว่า”
ที่จริงแล้ว รายงานแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนี้ ยิ่งทำให้น่าเชื่อ แต่ในยุคสมัยหมิง นอกจากหมิงไท่จู่กับหมิงเฉิงจู่ฮ่องเต้สององค์นี้แล้ว ก็ไม่เคยมีชัยชนะใหญ่อีก ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง
ฮ่องเต้ว่านลี่ เงียบไปครู่หนึ่งก็หันไปมองจางเฉิงทันที จางเฉิงรีบกล่าวว่า
“กระหม่อมเพิ่งได้รับฎีการายงานจากใต้เท้าหวัง ก็รีบมาที่นี่ทันที เวลาน่าจะไม่ต่างจากจางจิงมากนัก แต่ก็เทียบเป็นหลักฐานได้”
ทูลจบก็เปิดฎีกาในมือ อ่านเสียงดัง วาจากราบทูลตามมารยาทเริ่มต้น ฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนไม่ได้ยิน ทรงได้ยินแต่คำสำคัญ
“…….ฝ่าบาท สวรรค์คุ้มครอง กระหม่อมนำทัพบุกเข้าเมืองพวกนอกด่าน…….หัวหน้าโจรพวกนอกด่านเซิงเก๋อตูกู่เหลิง มเหสีสามและเฉ่อลี่เข้อต่อต้านไม่จำนน ถูกปืนใหญ่ถล่มร่างแหลก…….กระหม่อมนำกำลังตัดหัวมาได้สามหมื่นกว่า เก็บกวาดทรัพย์สินได้มามายมาย…….เผ่าอันต๋าทางซีอวี้ยังมีทหารเหลืออีกราวหลายพันนาย แต่ก็เป็นพวกไม่เท่าไร ไม่พอจะเป็นภัยได้อีก…….เมืองกุยฮว่าเฉิงและแม่น้ำถู่ม่อชวน เป็นของฝ่าบาทแล้ว ใต้หล้านี้จะไม่มีเผ่าอันต๋าอีก ……ทูลรายงานก่อนเพื่อให้ฝ่าบาทวางพระทัย …..ขอฝ่าบาทส่งคนไปตรวจนับ……สถานการณ์จากนี้ จะมีฎีกามาอีกฉบับ…….”
จางเฉิงอ่านจบ เงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“ตามรายงานสำนักบูรพาที่จางจิงอ่านมา หวังทงว่ามาไม่ผิดเป็นแน่ หากรายงานเท็จ นับพันหัวก็เรียกว่าบังอาจมาก แล้ว แต่นี่ใช่ว่าสามหมื่นกว่าหรอกหรือ”
เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมรู้สึกว่า ลองคิดดู ก็ไม่แปลกอันใด เมืองเซวียนฝู่ครั้งนั้น ใต้เท้าหวังนำกำลังสามพันตัดหัวมาได้เกือบห้าพัน ที่กู่เป่ยโข่วครานั้นก็ได้มาหลายพัน ตอนนี้นำทัพสามหมื่น ความดีความชอบเช่นนี้ก็ใช่ว่าไม่อาจจะไม่น่าเชื่อ”
“หวังทงไม่หลอกเราแน่ๆ เขาว่าชัยชนะใหญ่ก็ย่อมเป็นชัยชนะใหญ่ ย่อมเป็นชัยชนะใหญ่!!
ไม่รอให้ขันทีพูดจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็พึมพำประทับยืนขึ้น ก้าวเดินไปมาทันที สีพระพักตร์ดีใจลิงโลดอย่างยิ่ง จางเฉิงกับจางจิงสบตากัน ก่อนจะคุกเข่าเงียบ
ฮ่องเต้ว่านลี่เดินไปมาตื่นเต้นตรัสว่า
“ตอนข่านองค์ก่อนอันต๋าตายไป เซิงเก๋อตูกู่เหลิงกับมเหสีสามไม่ยอมลงให้กัน พวกเขาก็ขี้ขลาดไม่กล้าไปโจมตี กลับส่งคนไปเกลี้ยกล่อมให้พวกเขารอมชอมกัน เป็นเพราะหวังทงๆ เขากู้ศักดิ์ศรีให้เราจริงๆ ชัยชนะใหญ่ขั้นนี้ๆ เหมือนดังที่เขาพูดไว้ เป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่ เป็นความสำเร็จที่ต้องได้จารึกในประวัติศาสตร์”
กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็หยุดเดิน สีพระพักตร์จากยินดีเปลี่ยนเป็นโกรธแค้น ความโกรธเริ่มปะทุรุนแรง ตรัสว่า
“พวกใต้หล้า พวกใต้หล้า ข่าวมาหมด อยากให้หวังทงพ่ายแพ้ อยากให้แผ่นดินหมิงพ่ายแพ้เสียเปรียบ พวกเขาอยากให้เราเป็นฮ่องเต้ที่พูดอันใดก็ไร้ค่า ไม่มีขุนนางที่ไว้ใจได้ พวกบัณฑิตข้างนอกวันๆ ก็เอาแต่เอะอะโวยวาย อยากให้เราลงโทษหวังทง อยากให้เราสั่งการผิดพลาด หากไม่ใช่หวังทง……เรายังจำได้ข่าวการลงนามสงบศึกมาถึงในวัง เสด็จพ่อไม่สบายพระทัยไปหลายวัน เรายังจำรับสั่งเสด็จพ่อได้ ตรัสว่าใช้เงินทองใต้หล้าติดสินบนขอร้องพวกนอกด่าน แต่วันนี้ แต่วันนี้ กองทัพเราทำลายอันต๋าสิ้น ทำลายอันต๋าสิ้นแล้ว!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ราวกับเสียสติ จางเฉิงกับจางจิงสบตากัน ไม่สนใจธรรมเนียมรีบยืนขึ้นไปประคองฮ่องเต้ว่านลี่ จางเฉิงรีบทูลว่า
“ฝ่าบาทดีพระทัยมากไปจะทำลายพระวรกาย ฝ่าบาทสงบพระสติพะยะค่ะๆ!!”
พอจางเฉิงกับจางจิงเข้าจับไว้ เรียกพระสติไว้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็โงนเงนไปมาก่อนจะนิ่งลง สะบัดสองคนออก มองไปยังด้านหลังม่านที่เงียบกริบตั้งแต่ได้ยินข่าวนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ ๆ ส่งเสียงหัวเราะดังลั่น ปกติต่อหน้าผู้คนไม่เคยส่งเสียงดังอย่างฮ่องเต้ว่านลี่ ยามนี้กลับหัวเราะดังลั่นราวกับเสียพระสติ
จางเฉิงกับจางจิงไม่สนใจอันใด กว่าจะทำให้เสียงหัวเราะหยุดลงได้ก็นานพอควร ฮ่องเต้ว่านลี่จัดฉลองพระองค์ ก่อนจะหันไปถวายคำนับด้านหลังม่านตรัสทูลลา
“ไทเฮา หม่อมฉันขอทูลลา!!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น