ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 783-789

 ตอนที่ 783 บุรุษหน้าเหยี่ยว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภูมิประเทศในหุบเขาสูงชันซับซ้อน ทั้งสามคนต้องเหาะหลบหลีก จึงไม่อาจเพิ่มความเร็วได้ ดวงตามองเห็นตะขาบสีเงินเร็วขึ้นทุกที ทิ้งห่างทั้งสามคนไปช่วงหนึ่งแล้ว


ศิษย์ผอมสูงเหาะอยู่ด้านหน้าสุด ทันใดนั้นเขาก็ตวาดเสียงดัง สองมือตบประกบกันจนเกิดเสียง จากนั้นง้างออกอย่างแรงประดุจง้างคันศร แสงสีน้ำเงินเข้มผุดออกมาบนร่างของเขา เบื้องหน้าศรแสงใหญ่หนาดอกหนึ่งก่อตัวขึ้น หลังจากนั้นมือข้างหนึ่งก็ปล่อย ศรแสงพาเสียงแหวกอากาศดังกึกก้องพุ่งเร็วรี่ออกไปเบื้องหน้า


ศรแสงเร็วอย่างที่สุด เพียงพริบตาเดียวก็ไล่ตามตะขาบสีเงินทัน โจมตีลงบนหลังสีเงินแวววาวของมันอย่างแม่นยำ


เสียงระเบิดดังเปรี้ยงขึ้นหนึ่งหนพาก้อนแสงสว่างแสบตากระจายออกมาจากแผ่นหลังของตะขาบ หลังแสงรัศมีดับหายไป บริเวณที่มันถูกโจมตีก็หลงเหลือเอาไว้เพียงรอยแผลจางๆ เส้นหนึ่งเท่านั้น


“เปลือกแข็งแกร่งยิ่งนัก!” ชายหนุ่มผอมสูงเห็นภาพนี้พลันกัดลิ้น


ตะขาบกลับส่งเสียงกรีดร้องเจ็บปวดออกมาทีหนึ่ง แสงสีเงินรอบร่างสว่างวูบแล้วพลันเปลี่ยนทิศทาง ความเร็วที่วิ่งหนีเร็วขึ้นกว่าเดิมอีกหลายส่วน


“พวกเราแยกกันไล่ล่า ปล่อยปีศาจอสูรระดับผลึกขั้นปลายตัวนี้หนีไปไม่ได้เด็ดขาด!” หลัวเทียนเฉิงดวงตาสว่างวาบ ตะขาบสีเงินตัวนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่จินตนาการไว้ หลังสังหารแล้วจะต้องได้โชคชะตาไม่น้อยแน่นอน


ชายหนุ่มผอมสูงกับชายหนุ่มผู้สะพายกระบี่ขานรับคำหนึ่งก็เหาะแยกย้ายไปหนึ่งซ้ายหนึ่งขวาอย่างเข้าขา โอบล้อมเข้าไปหาตะขาบสีเงินทันที โดยมีหลัวเทียนเฉิงไล่ตามด้านหลังไปติดๆ


วิธีการนี้เห็นผลเร็วยิ่งขึ้น ตะขาบสีเงินไม่อาจเปลี่ยนทิศทางตามใจได้อีกต่อไป หลังเวลาชั่วมื้ออาหารมันก็ค่อยๆ ถูกทั้งสามคนล้อมเป็นวงบีบเข้ามาตรงกลาง


ตะขาบสีเงินค้นพบเช่นกันว่าสถานการณ์ของตนย่ำแย่ หลังส่งเสียงกรีดร้องร้อนรนทีหนึ่ง ขายาวนับไม่ถ้วนสองข้างพลันวาดเร็วรี่จนเป็นระลอกคลื่น ดิ้นรนหนีไปด้านหน้าสุดกำลัง


มันลนลานไม่เลือกทาง หนีออกจากหุบเขาชันโผล่มาบนเนินทรายสุดลูกหูลูกตาผืนหนึ่งโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว


เวลานี้ศิษย์ชุดสีน้ำเงินที่สะพายกระบี่ผู้นั้นไล่ตามอยู่ใกล้ที่สุด เขาชิงก่อนก้าวหนึ่งเหาะออกจากหุบเขาชัน เมื่อไม่มีภูมิประเทศคับแคบขัดขวาง ความเร็วของเขาฉับพลันก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย


คนผู้นี้เหล่มองพวกหลัวเทียนเฉิงสองคนข้างหลังทีหนึ่ง หลังจากนั้นดวงตาก็ฉายแววประหลาดวูบหนึ่งแล้วทำท่ามือของเคล็ดวิชา จี้ไปยังอากาศเบื้องหน้าโดยไม่ลังเลสักนิด กระบี่ยาวบนหลังของเขาส่งเสียงใสกังวานแล้วดีดพุ่งออกไป ชั่วพริบตากลายเป็นรุ้งกระบี่สีแดงเข้มยาวสิบจั้งเส้นหนึ่ง พุ่งเร็วรี่ไปหาตะขาบสีเงิน ความเร็วรวดเร็วน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!


เขาถึงกับชิงลงมือก่อน!


ในตอนนี้เองเสียงแหวกอากาศดังฟึบๆ ก็ดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง หลัวเทียนเฉิงกับบุรุษผอมสูงอีกคนหนึ่งเหาะออกจากหุบเขาชันมาแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นการกระทำของบุรุษผู้สะพายกระบี่ บุรุษผอมสูงพลันสีหน้าร้อนรน กระตุ้นเคล็ดวิชาในมือ ชั่วพริบตาเร่งความเร็วขึ้นหลายส่วน


นาทีต่อมาเห็นเพียงแสงสีน้ำเงินสว่างวาบ ในมือบุรุษผอมสูงฉับพลันมีคันศรยาวสีเขียวหยกเพิ่มขึ้นมาอีกคันหนึ่ง สองมือง้าง คันศรโค้งกลายเป็นจันทร์เต็มดวง


เสียงฟึบดังขึ้นทีหนึ่ง ศรแสงหนาเท่าข้อมือดอกหนึ่งพลันแล่นเร็วรี่ออกไป แม้ยิงออกไปทีหลังแต่กลับถึงตะขาบสีเงินก่อน ความเร็วแทบจะใกล้เคียงกับการเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา


แสงกระบี่สีแดงฉานกับศรแสงแทบจะตกลงบนส่วนหัวของตะขาบในเวลาเดียวกัน เห็นชัดว่าทั้งสองคนล้วนมีความคิดอย่างเดียวกันคือต้องการสังหารตะขาบในการโจมตีเดียวเพื่อแย่งชิงโชคชะตามา


หลัวเทียนเฉิงเห็นสถานการณ์นี้ ในดวงตาทอประกายกร้าว เพียงไหวหัวไหล่ทีหนึ่ง รอบร่างพลันเปล่งแสงสีเงินเจิดจ้า หนึ่งฝ่ามือตบเข้าใส่อากาศเบื้องหน้า หมอกสีเงินผืนใหญ่ซัดออกไปพร้อมกับเสียงสายลมหวีดหวิว


แม้เป็นศิษย์ร่วมนิกาย โชคชะตาที่ได้มาล้วนเป็นของนิกายยอดบริสุทธิ์ แต่คนที่ได้โชคชะตามาเห็นชัดว่าท้ายที่สุดย่อมได้ผลประโยชน์มากกว่า รางวัลที่ได้รับจากนิกายในตอนท้ายสุดก็แตกต่างกันอย่างมากด้วย


ตะขาบสีเงินเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว มันสัมผัสได้ถึงเสียงแหวกอากาศข้างหลังร่าง พยายามบิดร่างสุดกำลัง คิดจะหลบการโจมตี


เสียงบึ๊มดังสนั่นขึ้นทีหนึ่ง


แม้อสูรตัวนี้จะเลี่ยงจุดสำคัญพ้นในห้วงวิกฤต แต่ขายาวสีเงินฝั่งซ้ายหลายข้างก็ยังถูกแสงกระบี่กับศรแสงยิงเข้าอย่างจัง ถูกตัดขาดไปทั้งหมด


บุรุษผอมสูงกับบุรุษผู้สะพายกระบี่เห็นภาพนี้ ดวงตาพลันเปล่งประกาย เร่งเคล็ดวิชาในมือให้เร็วขึ้นอีกหนึ่งส่วน หมายจะลงมือสังหารอีกครั้ง


ทว่าในเวลานี้เองเงาพยัคฆ์หมอกสีเงินขนาดหลายจั้งตัวหนึ่งพลันคำรามเสียงดังดิ่งลงมาจากท้องฟ้า ขย้ำคอของตะขาบเกราะเงินคำเดียวประหนึ่งอสนีบาต


แม้ตะขาบตัวนี้จะเป็นปีศาจอสูรระดับผลึกขั้นปลาย แต่ผ่านการวิ่งกวดระยะทางไกลเช่นนี้มา ไม่ว่าพลังกายหรือพลังเวทล้วนสูญเสียไปมาก ตอนนี้ถูกโจมตีจนขาบาดเจ็บอีกจึงไม่อาจหลบพ้นการกระโจนเข้าใส่ครั้งนี้ของพยัคฆ์เงิน ฉับพลันได้แต่ขดร่างม้วนสวนกลับรัดร่างกายของพยัคฆ์เงินไว้ประหนึ่งงูเท่านั้น


จะว่าไปแล้ว แม้พยัคฆ์เงินยักษ์จะก่อเกิดมาจากพลังเวทที่รวมตัวกัน แต่ก็ไม่แตกต่างจากของจริงนัก ฝั่งหลังฉับพลันพลิกตัวกลางอากาศ กระแสลมคลั่งสายแล้วสายเล่าโหมซัดออกไปรอบด้าน


บุรุษผู้สะพายกระบี่รวมถึงศิษย์ผอมสูงทั้งสองคนถูกคลื่นลมกระแทก ร่างกายไม่อาจควบคุมถอยหลังไปหลายจั้งถึงยืนได้อย่างมั่นคง


ในเวลานี้เองเงาร่างของหลัวเทียนเฉิงก็มาถึงประหนึ่งสายฟ้า รอบร่างถูกไอหมอกสีเงินพลุ่งพล่านหุ้มอยู่ เขากระโจนออกมาตรงระหว่างคนทั้งสอง ปากตวาดเบาๆ คำหนึ่งก็พาปราณทะลักทลายสายหนึ่งพุ่งเข้าไปกลางวงต่อสู้


ศิษย์ที่สะพายกระบี่กับศิษย์ผอมสูงเห็นภาพนี้ก็ตกตะลึง ขณะที่กำลังจะพุ่งเข้าไปนั้น ฉับพลันตะขาบยักษ์ก็ส่งเสียงร้องโหยหวน เสียงหัวเราะลั่นของหลัวเทียนเฉิงดังขึ้น


เสียงฟึบดังขึ้นทีหนึ่ง เงาดำร่างหนึ่งเหาะพุ่งออกมาจากกระแสลมคลั่งตรงวงต่อสู้ สายตาของทั้งสองคนเพ่งมองทีหนึ่งฉับพลันใบหน้าถอดสี


เงาดำไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหัวใหญ่ยักษ์ของตะขาบสีเงินนั่นเอง ในปากของมันเขี้ยวโค้งคมกริบคู่หนึ่งอ้าหุบไม่หยุด ทว่าประกายดุร้ายในดวงตาทั้งคู่กลับหม่นแสงไปอย่างรวดเร็ว


หลังปีศาจตะขาบถูกสังหาร กระแสลมที่เดิมทีโหมคลั่งอยู่ก็สงบลง หลัวเทียนเฉิงเหาะอ้อยอิ่งออกมาจากกลางหมอกควันและฝุ่นดินที่ปลิวว่อน เห็นเพียงบนน่องของเขามีรอยแผลจางๆ เส้นหนึ่งที่เห็นได้ชัดเท่านั้น


แต่สีหน้าของเขาดูแล้วนิ่งสงบอย่างที่สุด มือข้างหนึ่งลูบบนปากแผลเบาๆ เส้นสีเงินประหนึ่งเส้นผมหลายเส้นฉับพลันทยอยมารวมตัวกันใกล้ๆ ปากแผล หลังจากนั้นปากแผลพลันประสานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า


สองสามลมหายใจผ่านไป บาดแผลก็หายไปอย่างสิ้นเชิง


“พลังของศิษย์น้องหลัวช่างแข็งแกร่ง นับถือ นับถือ!” ศิษย์ผอมสูงเห็นภาพนี้ก็เก็บคันศรยาวสีเขียวหยกไป บนใบหน้าเผยสีหน้าซับซ้อนประสานมือเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง


บุรุษผู้สะพายกระบี่ยังไม่ทันเอ่ยวาจา มือข้างหนึ่งกวักเรียกกระบี่บินสีแดงเข้มเก็บคืนแล้วเหล่มองข้อมือของหลัวเทียนเฉิงทีหนึ่ง เห็นแสงสีเทาที่แผ่ออกมาจากโซ่แห่งโชคชะตาของเขาสว่างขึ้นกว่าก่อนหน้านี้หลายส่วน หางตาก็กระตุกเล็กน้อย


“เพิ่งเข้าสู่ขอบนอกของแดนลึกลับ ศิษย์พี่ทั้งสองไม่ต้องท้อแท้ หากพวกเราสามคนร่วมมือกัน ไม่น่ามีคนไปถึงใจกลางแดนลึกลับเร็วกว่าพวกเรา” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยขึ้นนิ่งๆ ประหนึ่งไม่รับรู้


สองคนที่เหลือได้ยินต่างพยักหน้า


“พวกเราไปจากที่นี่กันเถอะ คลื่นพลังเวทที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เกรงว่าคงดึงความสนใจของคนละแวกใกล้ๆ ไม่น้อย…” หลัวเทียนเฉิงหมุนตัวพร้อมกับเอ่ยขึ้น


ผลปรากฏว่าเสียงพูดของเขายังไม่ทันจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เขาแหงนศีรษะมองไปยังทิศทางหนึ่ง


เห็นเพียงขอบฟ้าไกลออกไปด้านนั้น จุดแสงสีขาวจุดหนึ่งปรากฏขึ้นจากนั้นพุ่งเร็วรี่มายังจุดที่ ทั้งสามคนอยู่อย่างว่องไว


ทั้งสามคนคิดจะหลบแต่เห็นชัดว่าไม่ทันการณ์เสียแล้ว


ไม่กี่ลมหายใจผ่านไปก็เห็นลำแสงได้ชัดเจน แสงสีขาวกะพริบวูบหนึ่งจากนั้นหยุดลงกลางท้องฟ้าไม่ไกลจากทั้งสามคน หลังแสงสีขาวหายไปก็เผยร่างของคนผู้หนึ่งออกมา


เห็นเพียงผู้ที่มามีใบหน้ายาวเค้าโครงคล้ายเหยี่ยว จมูกงองุ้มแทบจะแตะถูกปาก ชุดสีขาวบนร่างพองตามลม เห็นชัดอย่างยิ่งว่าเป็นเครื่องแต่งกายของหุบเขาปีศาจสวรรค์!


สายตาคมกริบของเขากวาดผ่านร่างทั้งสามคนอย่างเหิมเกริมไม่หวั่นเกรง ท้ายที่สุดก็จับจ้องอยู่บนร่างของหลัวเทียนเฉิง ด้วยสายตาที่เปล่งประกายเล็กน้อย


บุรุษผู้สะพายกระบี่ลอบใช้เคล็ดกระบี่อยู่ก่อนแล้ว ส่วนศิษย์ผอมสูงก็ยื่นมือไปข้างเอวอย่างเคร่งเครียดเช่นกัน


“สหายท่านนี้ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดชี้แนะหรือ?” หลัวเทียนเฉิงสีหน้าระแวงเช่นเดียวกัน แต่เขาไม่แสดงท่าทีอ่อนแอแม้แต่น้อยประสานสายตากับอีกฝ่ายแล้วเอ่ยถามอย่างเย็นชาประโยคหนึ่ง


แม้เขาไม่คุ้นหน้าคนผู้นี้ แต่กลิ่นอายเบาบางที่อีกฝ่ายแผ่ออกมากลับทำให้พวกเขาสามคนรู้สึกไม่ปลอดภัย เห็นชัดว่าคนจากหุบเขาปีศาจสวรรค์ผู้นี้ไม่ใช่บุคคลธรรมดาแน่นอน


“ฮ่ะๆ นิกายยอดบริสุทธิ์!”


บุรุษหน้าเหยี่ยวกลับฉีกปากคล้ายยิ้มแต่ก็ไม่คล้ายยิ้ม สองแขนฉับพลันกางออกสองข้าง!


แสงสีเงินประหนึ่งเนื้อสารสายแล้วสายเล่าชั่วพริบตาโถมทะลักออกมาจากในแขนเสื้อสองข้างของเขา พร้อมกันนั้นพลังอันน่าตะลึงก็ระเบิดออกมาในทันใด


พวกหลัวเทียนเฉิงสามคนเดิมระแวงระวังอยู่ตลอด เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของบุรุษหน้าเหยี่ยวก็ตอบโต้ทันที


บุรุษผู้สะพายกระบี่ตวาดเสียงดังคำหนึ่ง มือวาดเคล็ดกระบี่ กระบี่ยาวบนแผ่นหลังพุ่งขึ้นฟ้าแปลงเป็นรุ้งยาวน่าตะลึงยาวสิบกว่าจั้งเส้นหนึ่ง จากนั้นก็หมุนสองมือดุจวงล้อ รุ้งยาวฉับพลันแยกร่างกลายเป็นแสงกระบี่เล็กละเอียดสิบกว่าสายซัดเข้าใส่บุรุษหน้าเหยี่ยวในเวลาทันที


เสียงแหวกอากาศดังขึ้น!


แสงกระบี่สีแดงเส้นแล้วเส้นเล่านี้พารัศมีแสงยาวเป็นหางสายแล้วสายเล่าไปด้วยประหนึ่งฝนดาวตก พลังอำนาจค่อนข้างน่าตะลึง


ศิษย์ผอมสูงกำคันศรยาวสีเขียวหยกเล่มนั้นไว้แน่นนานแล้ว ฝ่ามือที่เอวพร่าเลือนวูบหนึ่ง บนคันศรก็พาดศรสีน้ำเงินดอกหนึ่ง ดวงตาเขาเปล่งประกายเจิดจ้า ทันใดนั้นแขนข้างหนึ่งก็ปล่อยออก


เสียงฟิ้วดังลั่น แสงสีน้ำเงินมากมายพุ่งเร็วรี่เข้าใส่บุรุษหน้าเหยี่ยวอย่างมืดฟ้ามัวดิน


หลัวเทียนเฉิงยืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน เขากลับไม่ได้บุ่มบ่ามลงมือ แต่สีหน้าเคร่งขรึมโคจรปราณ ทันใดนั้นเองไอหมอกสีเงินกลุ่มหนึ่งก็พลุ่งพล่านออกมาจากบนร่างเขากลายเป็นเงามังกรพยัคฆ์สีเงินบินวนเวียนรอบร่าง


บุรุษหน้าเหยี่ยวประจันหน้ากับแสงกระบี่สีแดงกับศรแสงสีน้ำเงินที่โถมเข้ามาถึงก็หัวเราะประหนึ่งมองไม่เห็น ประกายแสงในดวงตาทั้งคู่ไหววูบ รัศมีแสงสีเงินที่พุ่งออกมาจากในแขนเสื้อยิ่งสว่างจ้าแสบตา พร้อมกับที่ในอากาศส่งเสียงสั่นสะเทือน กระจกสีเงินขนาดเท่าฝ่ามือบานแล้วบานเล่าก็ลอยออกมาอย่างเร็วไว


กระจกเหล่านี้มีมากนับร้อยบาน หลังเปล่งเสียงดังฮึมๆ ผิวหน้าของกระจกทั้งหมดพลันเปล่งแสงสว่าง ฉับพลันยิงเสาแสงสีเงินต้นแล้วต้นเล่าออกมากวาดผ่านอากาศเบื้องหน้า ชั่วพริบตากลืนกินแสงกระบี่สีแดงและศรแสงสีน้ำเงินทั้งหมดไปจนสิ้น


เห็นบุคคลตรงหน้ารับการโจมตีของทั้งสองคนได้อย่างสบายๆ เช่นนี้ ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งสองคนพลันสูดลมหายใจดังเฮือก แม้หลัวเทียนเฉิงเองก็สีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อยด้วย


ทว่ายังไม่ทันที่ทั้งสามคนจะได้โจมตีต่อ บุรุษหน้าเหยี่ยวฉับพลันกระพือแขนสองข้าง เสาแสงแสบตานับร้อยต้นพุ่งออกมาจากในกระจกอีกหน วูบเดียวก็มาถึงตรงหน้าทั้งสามคน!


เสาแสงมากมายประหนึ่งน้ำหลากสีเงินกำลังจะกลืนกินทั้งสามคนเข้าไปจนหมดสิ้น


ตอนที่ 784 หินดึกดำบรรพ์ลายอัคคี

โดย

Ink Stone_Fantasy

บุรุษผู้สะพายกระบี่รวมถึงศิษย์ผอมสูงเห็นว่าหลบหลีกไม่ทันแล้วก็หน้าถอดสี บีบยันต์หลายแผ่นจนแหลก เกราะแสงป้องกันหลากสีหลายชั้นตั้งขึ้นเบื้องหน้าทันที


ส่วนหลัวเทียนเฉิงนั้นคำรามเบาๆ คำหนึ่ง มังกรพยัคฆ์ที่มีสีเงินทั่วร่างก็ทยอยระเบิดกลายเป็นเกราะหมอกสีเงินประหนึ่งเนื้อสาร ปกป้องรอบร่างเขาชนิดที่น้ำสักหยดไม่อาจเล็ดลอด


ทั้งสามคนทำทุกสิ่งนี้เสร็จหวุดหวิด เสาแสงสีเงินสภาพประหนึ่งรุ้งก็พุ่งผ่านจุดที่ทั้งสามอยู่ดังครืนอย่างมืดฟ้ามัวดิน


ชั่วขณะหนึ่งปรากฏจุดที่สีเงินพาดผ่าน พร้อมกับเสียงชือๆ ดังขึ้นต่อเนื่องไม่ขาดสาย!


พื้นดิน ยอดเขา ศิลายักษ์ที่สัมผัสถูกฉับพลันกลายเป็นควันดำลอยล่อง บนพื้นดินเหลือไว้เพียงร่องลึกกว้างหลายจั้งเส้นหนึ่ง


ครู่ต่อมาเมื่อบุรุษหน้าเหยี่ยวเก็บสองแขนไป เงากระจกสีเงินนับร้อยบานพลันส่องแสงสีเงินวูบหนึ่งจากนั้นทยอยหดเข้ามาตรงกลางกลายเป็นกระจกหกเหลี่ยมสีเงินเล็กบานหนึ่ง จากนั้นเขาก็อ้าปากกลืนลงท้องไปในคำเดียว


แสงสีเงินสว่างดับลงปุบ เสียงตุ้บสองครั้งก็ดังขึ้นท่ามกลางฝุ่นควัน ศพดำเกรียมขาดแหว่งไม่ครบร่างสองศพปรากฏขึ้นในหลุมลึก ดูจากเศษเสื้อผ้ากับร่างกายที่หลงเหลืออยู่ยังคงมองออกว่าเป็นบุรุษผู้สะพายกระบี่กับศิษย์ผอมสูงคนนั้น


ทั้งสองคนตอนนี้เหลือเพียงครึ่งร่างประหนึ่งถูกเพลิงร้อนแผดเผา อาวุธจิตวิญญาณในมือไม่เห็นร่องรอย


ศิษย์หัวกะทิสายในของนิกายยอดบริสุทธิ์สองคนยังไม่ทันได้ใช้กำลังต่อต้านสักนิดก็ตายสนิทอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเช่นนี้ กระทั่งดวงจิตสักเสี้ยวก็ยังไม่อาจหนีออกมาได้ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนตกตะลึงมากจริงๆ


เวลานี้เองหลังเสียงคำรามสายหนึ่ง เงาคนอีกร่างหนึ่งพลันพุ่งทแยงดิ่งลงมาจากกลางฝุ่นควันเต็มท้องฟ้า หลัวเทียนเฉิงคนผู้นี้นี่เอง


ทว่าเขาในเวลานี้ดูไปแล้วได้รับบาดเจ็บไม่เบาเช่นกัน แขนขวาทั้งข้างจนถึงหัวไหล่หายวับไปแล้ว ผิวหนังกว่าครึ่งร่างก็ดำเป็นตอตะโก


หลังหลัวเทียนเฉิงปลิวออกไปไกลหลายจั้งก็รีบใช้เคล็ดวิชาด้วยมือข้างเดียว พลังจิตวิญญาณทั้งร่างเพิ่มพูนขึ้นจนหวุดหวิดตั้งร่างมั่นคงได้ เขาสูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง ทั้งร่างก็เปล่งแสงสีเงินวิบวับอีกครั้ง ร่างกายที่ถูกเผาทำลายฉับพลันมีเส้นเรียวเล็กสีเงินมากมายลอยออกมา ตรงแขนที่ขาดก็มีติ่งเนื้อเกิดใหม่นับไม่ถ้วนขยับดุกดิกไม่หยุด


การโจมตีเมื่อครู่ของบุรุษหน้าเหยี่ยวเห็นชัดว่าผลาญปราณไปไม่น้อย หลังเห็นสภาพเช่นนี้ของหลัวเทียนเฉิง ในใจก็ครั่นคร้ามเช่นกัน เขาไม่ได้ใช้การโจมตีอื่นใดออกมาอีกในทันที เพียงไพล่มือไปข้างหลังลอยอยู่กลางอากาศ ปล่อยให้สายลมเย็นยะเยือกพัดตีชุดสีเขียว


ในเวลาเดียวกันนี้กลับมีไอหมอกสีเทาต่อเนื่องไม่ขาดสายลอยออกมาจากศพขาดแหว่งสองร่างในหลุมมหึมาบนพื้น แล้วถูกโซ่เส้นน้อยบนข้อมือเขาเก็บไปไว้ข้างใน


ผ่านไปเจ็ดแปดลมหายใจร่างกายของหลัวเทียนเฉิงก็ฟื้นกลับมาดังเดิมอีกครั้ง ปากแผลทั้งหมดผสานกันสนิทจนมองไม่เห็นแล้ว ถึงขนาดที่ผิวหนังซึ่งเกิดขึ้นมาใหม่ขาวกระจ่างแวววาว รอยแผลเป็นสักนิดก็ไม่หลงเหลือไว้ ทว่าเมื่อแขนข้างขวาของเขางอกออกมา โซ่แห่งโชคชะตาที่เดิมทีอยู่บนข้อมือกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย


หลัวเทียนเฉิงมองศพสองร่างบนพื้น สีหน้าเคร่งขรึมประหนึ่งสายน้ำ หลังสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ใกล้ๆ กับข้อมือแขนขวา จุดแสงระยิบระยับนับไม่ถ้วนพลันปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า หลังแสงสีขาวสว่างวูบหนึ่งก็ผนึกรวมตัวเป็นโซ่หยกขาวสะอาดเกลี้ยงเกลาประหนึ่งหยกเส้นใหม่เส้นหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าแสงสีเทาที่แผ่ออกมาเห็นชัดว่าจางกว่าก่อนหน้านี้มาก


ในเวลาเดียวกันหลังโซ่แห่งโชคชะตาบนข้อมือของบุรุษหน้าเหยี่ยวดูดกลืนไอสีเทาจากศพสองร่างเสร็จแล้ว ไอสีเทาปริมาณมากที่ปรากฏออกมากลางอากาศรอบด้านอีกครั้งก็ถูกดูดเข้าไปอย่างรวดเร็วยิ่งด้วย


หลัวเทียนเฉิงเห็นสภาพนี้ก็ไม่อาจอดกลั้นโทสะเดือดดาลในใจได้อีกต่อไป ไม่พูดพร่ำอีกสองมือทำท่ามือของเคล็ดวิชาอย่างเร็วไว ไอหมอกสีเงินทะลักออกมาจากร่างเขาอย่างบ้าคลั่งอีกหน พร้อมกันนั้นเสียงเปรี๊ยะๆ ก็ดังขึ้น ร่างกายเขาฉับพลันขยายใหญ่ขึ้นรอบหนึ่ง เขาสาวเท้าออกไปหนึ่งก้าว หมายจะลงมือพร้อมกับเพลิงโทสะเต็มหัวใจ


บุรุษหน้าเหยี่ยวกลับหัวเราะ บนแผ่นหลังฉับพลันมีแสงเขียวสองก้อนลอยออกมา จากนั้นเพียงพริบตาก็กลายเป็นปีกแสงสีเขียวยาวจั้งกว่าๆ สองข้าง สองปีกกระพือทีหนึ่งเขาพลันกลายเป็นแสงสีเขียวสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไปไกล ไม่มีความคิดจะประมือกับหลัวเทียนเฉิงต่อสักนิด


“จิ๊ๆ ร่างจิตวิญญาณตูเทียนสมค่ำร่ำลือจริงๆ ข้าได้รับการสั่งสอนแล้ว วันหน้าค่อยพบกัน!” ในเวลาเดียวกันนี้เองเสียงพูดของคนผู้นี้ก็ดังออกมาจากแสงสีเขียวที่อยู่ไกลๆ


“อย่าหนีนะ!”


หลัวเทียนเฉิงไหนเลยจะยอมปล่อยเขาหนีไป แสงสีเงินทั่วร่างม้วนคลุมร่างกายกลายเป็นลำแสงสีเงินสายหนึ่งไล่ตามไปเร็วรี่


ลำแสงของทั้งสองคนล้วนเร็วอย่างที่สุด ชั่วสองสามลมหายใจก็เหาะออกมาสิบกว่าลี้แล้ว


ทว่าลำแสงของหลัวเทียนเฉิงไม่ช้าก็จริง แต่ชื่อเสียงของเขาอย่างไรก็ได้มาจากร่างจิตวิญญาณที่มีกายเนื้อแข็งแกร่ง วิชาหลบหลีกไม่ใช่จุดแข็งของเขา ส่วนลำแสงสีเขียวของบุรุษหน้าเหยี่ยวความเร็วไม่อาจดูแคลนได้อย่างแท้จริง ระหว่างที่กะพริบวูบไหวไม่กี่หนก็เหาะออกไปห่างหลายลี้แล้ว


ผลปรากฏว่าผ่านไปไม่นาน ระยะห่างของทั้งสองคนก็ไกลขึ้นทุกที


หลัวเทียนเฉิงไล่ตามไปอีกระยะหนึ่งเมื่อเห็นว่าไม่อาจไล่ตามทันแล้ว จึงทำได้เพียงหยุดอย่างแค้นเคือง


“น่าชังนัก! หุบเขาปีศาจสวรรค์มีบุคคลที่ร้ายกาจขนาดนี้คนหนึ่งตั้งแต่เมื่อไร แค่ยกมือยกเท้าก็กำจัดศิษย์ระดับผลึกขั้นปลายสองคนของนิกายเราได้” เขามองแสงสีเขียวจุดหนึ่งที่เล็กลงทุกทีบนขอบฟ้าขณะที่ในใจหงุดหงิดอย่างที่สุด


หลังจากที่เขามีสีหน้าทะมึนเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง ในที่สุดก็กระทืบเท้าทีหนึ่งหมุนตัวเหาะรวดเร็วกลับไป


…..


ในพื้นที่แอ่งกระทะที่ล้อมด้วยขุนเขาสี่ด้านอีกแห่งหนึ่งบริเวณขอบนอกของแดนลึกลับ คนหลายกลุ่มกำลังลอยอยู่กลางอากาศต่อสู้ยืดเยื้อตัดสินกันไม่ได้


โอวหยางเชี่ยนกับสตรีผู้สวมชุดสีเขียวน้ำทะเลผู้นั้นจากตระกูลโอวหยางยืนเด่นอยู่ตรงกลาง ส่วนคนที่ประจันหน้ากับพวกนางอยู่คือบุรุษที่สวมชุดยาวสีน้ำตาลสามคน


รอบนอกไม่ไกลจากคนทั้งห้ายังมีผู้ฝึกฝนอีกเจ็ดคนจับกลุ่มสองคนสามคนอยู่ ดูจากเครื่องแต่งกายบนร่างล้วนเป็นศิษย์นิกายเล็กนิกายน้อยทั้งสิ้น ท่าทางคล้ายไม่ใช่พวกเดียวกันเช่นกัน


สายตาของคนทั้งหมดบ้างตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจล้วนมองไปยังศิลาสีเขียวสูงราวครึ่งตัวคนก้อนหนึ่งซึ่งตรงกลางพื้นที่แอ่งกระทะเป็นระยะ


บนผิวหน้าของหินมีตะไคร่เกาะเต็ม แต่เมื่อพินิจอย่างละเอียดกลับพบว่าบนผิวของหินเขียวมีลวดลายสีแดงหม่นซับซ้อนวุ่นวายเส้นแล้วเส้นเล่าอยู่ เมื่อมันสว่างวูบแล้วดับลง ปราณสีแดงเพลิงสายแล้วสายเล่าก็แผ่ออกมาเลือนรางทำให้อากาศรอบด้านพร่ามัวไม่ชัดไปชั่วครู่ ดูปุบก็รู้ว่าเป็นวัตถุจิตวิญญาณที่หายากในโลก


“เซียนทั้งสองที่แท้มีเจตนาใด? หินดึกดำบรรพ์ลายอัคคีก้อนนี้พวกเราพรรคตำหนักนภาพบก่อน ย่อมสมควรเป็นของพวกเราถึงจะถูก” ชายวัยกลางคนคิ้วกว้างผู้หนึ่งที่เป็นหัวหน้าในหมู่บุรุษชุดน้ำตาลสามคนด่าสองสตรีตระกูลโอวหยางอย่างเกรี้ยวกราด


“น่าขำจริง กระทั่งกฎของงานประตูสวรรค์ท่านทั้งสามยังไม่กระจ่างก็บุ่มบ่ามเข้ามาแล้วหรือ? สมบัติในแดนลึกลับแห่งนี้หากใครหาพบก็เป็นของผู้นั้นไม่อย่างนั้นจะเลือกพวกเราเข้ามาทำอันใด ดูท่าพวกเจ้ายังรวบรวมโชคชะตาได้ไม่เท่าไรสินะ ข้าก็คร้านจะแย่งชิง ถ้ารู้จักสถานการณ์ก็รีบหนีไปเสีย พวกเจ้าก็เช่นกัน หากไม่อยากตายเหมือนกันก็ไปให้ไกลจากพวกเราพี่น้องหน่อย!”


สตรีชุดเขียวเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ นอกจากนี้ยังกวาดมองไปบนร่างเจ็ดคนที่อยู่ไกลออกไปอย่างดูแคลนนิดๆ อีก


สามคนของพรรคตำหนักนภาได้ยิน สีหน้าพลันแดงก่ำ ในดวงตาแทบจะมีไฟผุดขึ้นมา คนของนิกายอื่นได้ยินคำพูดนี้ ส่วนใหญ่ใบหน้าก็กลายเป็นย่ำแย่อย่างยิ่งเช่นกัน


โอวหยางเชี่ยนยืนอยู่ด้านข้างมองดูทุกสิ่งนี้ด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนยิ้ม


“เหอะ! ตระกูลโอวหยางมีอะไรยอดเยี่ยม ร้ายกาจอีกเท่าใดก็เพียงแค่สองคนเท่านั้น สหายทั้งหลายไม่สู้พวกเราร่วมมือกันจัดการพวกนางก่อน ค่อยตัดสินแบ่งสรรวัตถุวิเศษชิ้นนี้เป็นอย่างไร?” สตรีที่แต่งกายเย้ายวนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านนอกฉับพลันแค่นเสียงหยันเอ่ยขึ้นเสียงดัง


คำนี้เอ่ยออกมาปุบก็ดึงสายตาของคนทั้งหมดมาในทันใด


พินิจดูสตรีที่เอ่ยวาจาผู้นี้ก็นับว่างดงามอยู่บ้าง เพียงแต่เพ่งพิจดูแล้วสองตาค่อนข้างเรียวยาวไปหน่อยจึงทำลายใบหน้างามไปหลายส่วน สายตาที่นางมองไปยังสองพี่น้องตระกูลโอวหยาง แฝงแววตาอิจฉาปนโกรธแค้นจางๆ


ด้านข้างของสตรีนางนี้ ชายหนุ่มชุดแดงผอมแห้งประหนึ่งไม้ฟืนคนหนึ่งยืนอยู่ เขาได้ยินพลันตกใจจนหน้าถอดสี คิดไม่ถึงอย่างยิ่งว่าศิษย์พี่ร่วมสำนักคนนี้อยู่ดีๆ กลับเอ่ยปากหาเรื่องพี่น้องโอวหยางในเวลานี้


คนที่เหลือรวมถึงสามคนของพรรคตำหนักนภาที่อยู่ด้านหน้าสองพี่น้องตระกูลโอวหยางได้ยินเข้า บนหน้าล้วนอดไม่ได้ฉายแววหวั่นไหวอย่างยิ่ง แต่ด้วยชื่อเสียงของแปดตระกูลใหญ่ กลับไม่มีผู้ใดกล้าลงมือก่อน


บรรยากาศในที่นั้นกลายเป็นอ่อนไหว


“เหอะ ในเมื่อไม่ยินดีไป เช่นนั้นก็อยู่ให้หมดเสียเถอะ” สตรีชุดเขียวเห็นสถานการณ์นี้ สีหน้าก็เคร่งขรึม ฉับพลันในมือประกายแสงสีม่วงสว่างขึ้น พัดสีม่วงยาวสองฉื่อเล่มหนึ่งปรากฏออกมา มันโต้ลมกางออกจากนั้นพัดไปด้านหน้า


พัดนี้สมควรเป็นสิ่งของงดงาม แต่ท่าทางที่สตรีชุดเขียวพัดออกมากลับแลดูหนักอึ้งผิดธรรมดา


เสียงพรึ่บดังขึ้นทีหนึ่ง!


หลังผิวพัดส่องแสงสว่างเจิดจ้า หมอกสีม่วงจางๆ ผืนใหญ่ก็ทะลักรุนแรงออกมาจากด้านใน ชั่วพริบตาก็ซัดไปทิศตรงข้าม


ความเร็วของหมอกสีม่วงเร็วอย่างที่สุด ศิษย์พรรคตำหนักนภาสามคนที่อยู่ใกล้ที่สุดฉับพลันได้กลิ่นหอมประหลาดอ่อนๆ สายหนึ่ง ทันใดนั้นสติก็เริ่มเลือนราง


“แย่แล้ว”


ชายวัยกลางคนคิ้วกว้างที่เป็นหัวหน้าตื่นตระหนก รีบร้อนล้วงยันต์สีเขียวสามแผ่นออกมาจากอก ตบลงบนร่างตนกับศิษย์น้องสองคนอย่างรวดเร็ว


แสงสีเขียวสว่างวาบ สองคนที่เหลือตอนนี้ถึงประหนึ่งสะดุ้งตื่น ไม่ได้จมดิ่งลงไปอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้


ผู้ฝึกฝนคนอื่นที่อยู่ค่อนข้างไกลเห็นภาพนี้หน้าพลันถอดสี พากันโคจรปราณกลั้นลมหายใจ ต่างปล่อยวิชาลับกับอาวุธจิตวิญญาณสำหรับป้องกันนานาชนิดของตนออกมา


“ลงมือ!”


แต่การเคลื่อนไหวของสตรีชุดเขียวกลับทำให้คนที่เหลือที่นั่นตัดสินใจเด็ดขาด ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนเสียงดังขึ้นมา นาทีต่อมาแสงรัศมีหลากสีฉับพลันประหนึ่งน้ำหลากไหลบ่าโหมเข้าใส่โอวหยางเชี่ยนกับสตรีชุดเขียว


เปรี้ยงงงง!


แสงรัศมีหลากสีสิบกว่าสายท่วมทับเงาร่างของสองพี่น้องโอวหยางในพริบตาจนมองไม่เห็นชายเสื้อของพวกนางอีก


“ฮ่าฮ่า ตระกูลโอวหยางอะไรกัน! พูดจาวางโตร้ายกาจปานนั้น ไม่ใช่อ่อนแอไม่ทานทนสักการโจมตีหรือ!” สตรีงามเย้ายวนที่เอ่ยปากแรกสุดเห็นภาพนี้ก็กรีดร้องเสียงแหลมทั้งตะลึงทั้งยินดี ในมือนางกำลังบังคับห่วงกลมสีแดงเพลิงวงหนึ่งบินร่อนขึ้นลงไม่หยุด แสงเรืองรองสีแดงฉานเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งออกมาจากด้านในอย่างรวดเร็ว


บุรุษผอมแห้งข้างกายนางกลับควักยันต์แผ่นหนึ่งออกมาก่อน หลังปล่อยม่านแสงสีแดงชั้นหนึ่งออกมาคุ้มครองทั้งร่างไว้ถึงกระตุ้นดาบยาวสีแดงฉานเล่มหนึ่งกลายเป็นแสงดาบผืนใหญ่เข้าโจมตีด้วย


“ก็แค่สตรีที่เอาแต่พึ่งตระกูลสองนาง มีความสามารถแท้จริงสักนิดที่ไหน ศิษย์น้องไยเจ้าต้อง…” สตรีงามเย้ายวนเห็นภาพนี้พลันแค่นเสียงขึ้นจมูก ผลปรากฏว่าเอ่ยวาจาออกมาได้เพียงครึ่ง หน้าอกก็รู้สึกเย็บวูบเล็กน้อย ปลายดาบขาวสว่างเล่มหนึ่งโผล่ออกมาจากหน้าอกของนางอย่างเห็นได้ชัด


ตอนที่ 785 ต่างฝ่ายต่างเคลื่อนไหว

โดย

Ink Stone_Fantasy

สองตาของสตรีงามเย้ายวนเบิกโพลงก้มศีรษะมองแสงดาบขาวสว่างเปรอะเลือดตรงหน้าอก บนใบหน้าปรากฏสีหน้าไม่อยากเชื่อ


เวลานี้เองหลังแสงดาบส่องสว่างหนหนึ่ง ปลายดาบก็สลายหายไปอย่างแปลกประหลาด ประหนึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน


นางครางเสียงต่ำคำหนึ่ง จากนั้นพร้อมกับที่ปลายดาบสลาย พลังชีวิตของนางก็ไหลรั่วไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายทรุดยวบล้มลงบนพื้น


หัวใจถูกแทงทะลุ ชีวิตในร่างกายร่างนี้ของนางย่อมเดินมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ทว่าท่ามกลางหมอกควันสีม่วงนี้ นางพบว่าดวงจิตของตนเองไม่อาจหลุดออกมานอกร่างได้ สติกลับเริ่มเลือนรางลง


ขณะที่ใกล้สิ้นใจ สตรีชุดแดงฝืนรั้งศีรษะกลับมา แต่พบว่าศิษย์น้องที่ปกติเชื่อฟังนางทุกอย่าง กลับไม่เหลือบแลตนสักหน เขากำลังสนใจแต่ตัวเอง ดิ้นรนสุดชีวิตขยับม่านแสงคุ้มกันร่าง พยายามต้านทานดาบบินขาวสว่างที่ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบอีกเล่มหนึ่ง นอกจากนั้นเขายังรีบฉีกยันต์แผ่นหนึ่งกลายเป็นลำแสงสีเหลือง ไม่ส่งเสียงสักแอะหนีเร็วไวจากไปไกลในทันที


คนอื่นเห็นเงาร่างของบุรุษชุดแดงผู้ผละหนียามข้าศึกประชิด แม้ในใจทั้งตระหนกทั้งโกรธผสมปนเป แต่ตกตะลึงกับดาบบินสองเล่มที่ฉับพลันปรากฏขึ้นเมื่อครู่มากกว่า


ดาบบินสองเล่มนี้ปรากฏขึ้นอย่างประหลาดเกินไปแล้ว มันแทบจะโผล่ออกมาจากความว่างเปล่าบริเวณใกล้ๆ จากนั้นสังหารสตรีผู้งามเย้ายวนในทันใดอย่างที่นางคิดไม่ถึง


หากไม่ใช่พรรคพวกของสตรีผู้งามเย้ายวนรอบคอบไม่ธรรมดา ใช้วิชาป้องกันไว้ล่วงหน้า เกรงว่าเขาก็คงต้องตายอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน


หลังผู้คนทยอยหยุดการโจมตีในมือก็พบว่าตำแหน่งตรงกลางที่ถูกพวกเขาล้อมเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งดวง เงาร่างของโอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว


ส่วนไอหมอกสีม่วงแต่เดิม เวลานี้กลับอบอวลบริเวณรอบๆ ราวหนึ่งหมู่[1]กว่า ล้อมคนทั้งหมดไว้ด้านใน คนที่เหลืออยู่ตอนนี้เพิ่งค้นพบว่าท่าไม่ดี ส่วนใหญ่เริ่มตระหนกขึ้นมาอยู่บ้าง


แม้ไม่รู้ว่าสองสตรีตระกูลโอวหยางใช้วิธีการใด แต่เห็นชัดว่าการโจมตีที่ร่วมมือกันเมื่อครู่ทำร้ายอีกฝ่ายไม่ได้ กลับกันสตรีทั้งสองนางกลับฉวยโอกาสหลบเร้นกาย ลงมือสังหารสตรีผู้งามเย้ายวน


แต่ไม่ว่าพวกเขาปล่อยจิตสัมผัส พยายามสุดชีวิตสำรวจไอหมอกรอบด้านอย่างใดก็ไม่มีผลสักนิด


กลิ่นหอมที่ไอหมอกสีม่วงนี้แผ่ออกมารบกวนสัมผัสของทุกคนและคล้ายมีประโยชน์ในการสกัดกั้นพลังจิตสัมผัสด้วย


เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกคนจึงลนลานยิ่งขึ้น บางคนรีบร้อนกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณ โจมตีอย่างบ้าคลั่งเข้าใส่ไอหมอก บางคนแปะยันต์ป้องกันแผ่นแล้วแผ่นเล่าบนร่างอย่างรวดเร็ว


ส่วนชายวัยกลางคนคิ้วกว้างผู้นั้นที่เป็นหัวหน้าของพรรคตำหนักนภา หลังส่งสายตาให้สองคนทางด้านซ้ายกับขวาก็พลิกมือเรียกห่วงกลมสีดำวงหนึ่งออกมา มันกลายเป็นแสงสีดำสนิทปกป้องตนเองไว้ด้านใน หลังจากนั้นร่างกายประหนึ่งอสนีบาตบินโฉบไปยังหินดึกดำบรรพ์ลายอัคคีตรงกลาง


คนผู้นี้เห็นชัดว่าคิดจะคว้าหินเขียวก้อนนี้แล้วหนีจากไปในทันที


ศิษย์พรรคตำหนักนภาอีกสองคนเอนร่างไปด้านหน้าอย่างเข้าขายิ่ง ขวางเส้นทางที่ห้าคนที่เหลือจะไปตำแหน่งตรงกลางไว้


“เหอะ!”


ฉับพลันเสียงแค่นหยันเสียงหนึ่งก็ลอยมาจากที่ใดที่หนึ่ง แสงดาบสีขาวสว่างไสวปรากฏออกมาอีกครั้งแล่นผ่านร่างชายวัยกลางคนคิ้วกว้างไป


เสียงพรวดดังขึ้นทีหนึ่ง


หลังแสงดาบแล่นผ่านร่างกายที่โถมออกไปของชายวัยกลางคนฉับพลันก็หยุดลงกลางอากาศ บนใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ ตรงช่วงท้องของเขาเลือดสดไหลลงออกมา เห็นชัดอย่างยิ่งว่าถูกฟันขาดโดยสิ้นเชิง


วงแสงสีดำสนิทที่เดิมทีเขาปล่อยออกมาคุ้มครองร่าง เมื่ออยู่ต่อหน้าแสงดาบสีขาวนี้กลับอ่อนแอประหนึ่งแผ่นกระดาษ ขาดเป็นชิ้นๆ ไปนานแล้ว


แสงดาบสีขาวส่องสว่างวูบหนึ่งแล้วหายไปท่ามกลางหมอกสีม่วงอย่างเงียบเชียบอีกหน


ความพลิกผันนี้กินเวลาไปเพียงสองลมหายใจ ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายคนหนึ่งถูกสังหารฉับพลันทันใดอีกครั้ง ไม่เพียงทำให้ศิษย์ร่วมนิกายของชายวัยกลางคนซึ่งเมื่อครู่ตั้งท่าจะสู้อยู่ทั้งสองคนนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น ห้าคนที่เหลือยิ่งใบหน้าไร้สีเลือด


“ส่งโซ่โชคชะตามาเสีย ข้าจะปล่อยพวกเจ้าให้มีทางรอด”


เวลานี้เองท่ามกลางหมอกสีม่วงจางๆ กลับมีเสียงใสกังวานอ้อยอิ่งเสียงหนึ่งดังขึ้นมา คนที่พูดก็คือโอวหยางเชี่ยนนั่นเอง


เจ็ดคนที่เหลือได้ยินพลันใจสะท้านอย่างรุนแรง ชั่วขณะเงียบงันไม่เอ่ยวาจา


“ดี ตระกูลโอวหยางไม่เสียทีเป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ พวกเรารู้ตัวว่าไม่ใช่คู่มือของพวกเจ้า ขอลาตรงนี้” หลังบุรุษกำยำสวมชุดสั้นสีน้ำตาลทองคนหนึ่งเปลี่ยนสีหน้าไปมาหลายหน ในที่สุดก็กัดฟันคว้าโซ่โชคชะตาบนข้อมือดึงออกมาโยนเข้าไปยังหมอกบริเวณข้างเคียงทันที


อีกสองคนที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งแต่งกายคล้ายกันก็ทำอย่างเดียวกันด้วย


หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ลอยขึ้นฟ้ากลายเป็นแสงสีน้ำเงินสามสายแหวกท้องฟ้าจากไป


ในหมอกสีม่วงไม่เห็นผู้ใดลงมือขัดขวางจริงดังว่า


บุรุษผู้สวมชุดคลุมศีรษะสองคนที่เหลือเห็นภาพนี้ก็ส่งกระแสจิตคุยกันสองประโยคอย่างเร็วไว แล้วมองไปยังหินดึกดำบรรพ์ลายอัคคีอีกทีหนึ่ง แววตาไม่ยินยอมฉายวูบแล้วหายไป พวกเขาวางโซ่แห่งโชคชะตาไว้กับที่เช่นกัน จากนั้นก้าวยาวจากไปโดยไม่เอ่ยสักคำ


ครู่เดียวในพื้นที่แอ่งกระทะก็เหลือเพียงศิษย์พรรคตำหนักนภาที่สวมเสื้อสีน้ำตาลสองคน พวกเขายังคงมีสีหน้าทะมึนเปลี่ยนไปมาอยู่ที่เดิม


“อะไรกัน พวกเจ้าสองคนอยากตามพรรคพวกของพวกเจ้าไปด้วยหรือ?” เสียงใสกังวานดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่เวลานี้ในน้ำเสียงกลับมีความกรุ่นโกรธอยู่จางๆ


ทั้งสองคนได้ยินพลันหน้าถอดสี หลังสบตากันทีหนึ่ง ทั้งคู่ก็กัดฟัน โยนโซ่แห่งโชคชะตาบนมือออกไปจากนั้นหมุนตัวกระตุ้นลำแสงเหาะเร็วรี่จากไปไกลทันที ไหนเลยจะกล้ารั้งรออีก


หลังรอให้คนทั้งหมดจากไปไกลแล้ว ทันใดนั้นหมอกสีม่วงที่อบอวลเต็มพื้นที่แอ่งกระทะก็ม้วนตลบ โถมไปที่จุดหนึ่งตรงกลางประหนึ่งวาฬยักษ์พ่นน้ำ


ครู่ต่อมาเงาร่างสะโอดสะองสองร่างพลันปรากฏตัวขึ้น โอวหยางเชี่ยนกับสตรีชุดเขียวปรากฏตัวขึ้นใกล้ๆ อีกครั้ง


ตรงที่ไอหมอกสีม่วงจางๆ มุ่งไปก็คือพัดพับสีม่วงยาวสองฉื่อเล่มนั้นในมือสตรีชุดเขียวนั่นเอง


เมื่อไอหมอกทั้งหมดถูกนางดูดเข้าไปแล้ว นางพลันหุบพัดกระดาษในมือดังพรึ่บ


“พี่เชี่ยน ไยต้องปล่อยคนพวกนั้นไป?” หลังสตรีชุดเขียวเก็บพัดกระดาษไป คิ้วงามก็ขมวดเป็นปม เอี้ยวศีรษะมาเอ่ยถามโอวหยางเชี่ยน


“หัวหน้าตระกูลให้พวกเรามาแดนลึกลับครั้งนี้ประการแรกเพื่อแย่งชิงโชคชะตาจำนวนหนึ่งให้ตระกูลโอวหยาง ประการที่สองเพื่อตามหาหยกมายาอัคคีที่แฝงอยู่ในหินดึกดำบรรพ์ลายอัคคีจำนวนหนึ่ง ในเมื่อพวกเราบรรลุเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยากเพิ่ม อย่างไรเสียพวกเราก็ไม่รู้ว่าต้องอยู่ในแดนลึกลับอีกนานเท่าไร เก็บพลังเวทให้มากเข้าไว้จะดีกว่า” หลังโอวหยางเชี่ยนเก็บดาบบินสีขาวสว่างสองเล่มที่ลอยอยู่เบื้องหน้าเข้าไปไว้ในแขนเสื้อแล้วก็เอ่ยขึ้นแผ่วเบา


สตรีชุดเขียวได้ยิน บนหน้าก็เผยสีหน้าไม่สนใจไยดีจางๆ ออกมา แต่ไม่ได้พูดมากอันใดอีก


จากนั้นร่างกายของสตรีผู้นี้พลันไหววูบ เร่งร่อนลงเบื้องหน้าก้อนหินสีเขียวที่อยู่ใจกลางพื้นที่แอ่งกระทะ มือข้างหนึ่งวางไว้บนผิวหน้าของหินเขียว ตรวจสอบทีละก้อนๆ


…..


ในถ้ำใต้ดินที่ใดสักแห่ง ด้านในกว้างขวางยิ่งนัก ขนาดราวหนึ่งหมู่กว่า สามด้านรายล้อมด้วยน้ำ ส่วนตรงกลางเป็นพื้นที่ว่างที่เชื่อมกับทางออกผืนหนึ่ง พืชพันธุ์สีน้ำตาลไม่ทราบนามจำนวนหนึ่งงอกอยู่เต็มไปหมด


สตรีที่ดูแล้วอายุเพียงยี่สิบกว่าปีนางหนึ่งกำลังนั่งตัวตรงอยู่บนศิลาก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งกลางพื้นที่ว่าง บนร่างสวมชุดบัณฑิตของสำนักเฮ่าหราน ดูแล้วสง่างามองอาจ ทว่าใต้ผิวหนังขาวผ่องกลับมีความงามที่ชวนให้คนหลงใหลอีกแบบหนึ่ง


รอบตัวหญิงสาว ปีศาจอสูรยักษ์รูปร่างหน้าตาคล้ายกิ้งก่าขนาดใหญ่สามตัวหมอบอยู่ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาเหมือนระดับผลึกขั้นกลาง


ปีศาจอสูรกิ้งก่าแต่ละตัวขนาดหลายจั้ง จากแผ่นหลังถึงหางเต็มไปด้วยหนามแหลมประหนึ่งเม่นแผ่เต็มไปหมด แต่ละแท่งยาวครึ่งฉื่อกว่า ในปากคมเขี้ยวสบไขว้กัน ใต้แสงอาทิตย์สาดส่องทอแสงเย็นเยียบวาววับน่าขนลุก ทำให้คนมองดูแล้วยิ่งรู้สึกตัวสั่นเทาทั้งที่ไม่หนาว


ปีศาจอสูรสามตัวส่งเสียงคำรามต่ำออกมาเป็นระยะ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบพวกมันกลับคลานไปมาอยู่ห่างจากหญิงสาวสิบกว่าจั้งตลอด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงไม่กล้าโถมเข้าไปจริงๆ


สตรีชุดบัณฑิตเผชิญหน้ากับปีศาจอสูรดุร้ายสามตัวนี้ สีหน้ากลับไม่หวาดกลัวสักนิด ตรงกันข้ามนางพิจารณาตั้งแต่บนลงล่างไม่หยุดประหนึ่งพบโชคลาภ


ทันใดนั้นสตรีนางนี้ก็หัวเราะคิกคัก ในดวงตาพลันปรากฏประกายสีแดงฉานวูบหนึ่งแล้วหายไป


พริบตาต่อมาเปลวเพลิงสีแดงฉานรุนแรงฉับพลันก็ลุกโหมขึ้นบนร่างปีศาจอสูรกิ้งก่าทั้งสามตัว พวกมันพากันร้องครวญครางกลิ้งไปมาบนพื้น ไม่นานต้นไม้ใบหญ้าจำนวนหนึ่งรอบด้านและตัวมันเองล้วนกลายเป็นเถ้าถ่านสีดำกองหนึ่ง


สตรีชุดบัณฑิตเห็นภาพนี้มุมปากก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจนิดๆ จากนั้นสะบัดแขนเสื้อเบาๆ แสงสีขาวสายหนึ่งซัดออกไป พาร่างกายของนางมุ่งเร็วรี่ไปด้านนอกถ้ำ


……


ท้องฟ้าเหนือทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มผืนหนึ่ง รถเหาะใหญ่ยักษ์สี่คันแล่นดังหวีดหวิวผ่านไป


ทั้งคันรถบนล่างคล้ายสร้างจากเงินบริสุทธิ์ บนผิวลวดลายจิตวิญญาณประณีตงดงามสีเขียวอ่อนแผ่ไปทั่ว รูปแบบเด่นสะดุดตาอย่างยิ่ง แต่กลับแลดูไม่ไร้รสนิยมสักนิด


ส่วนสิ่งที่ลากรถเหาะอยู่ก็คือหุ่นม้าบินสีทองอร่ามแปดตัว กีบเท้าเหยียบย่างกลางอากาศแต่ส่งเสียงดังกุบกับประหนึ่งย่ำเหยียบอยู่บนพื้นจริง


บนรถเหาะบุรุษชุดสีน้ำเงินคนหนึ่งนั่งอยู่ คิ้วกระบี่ ดวงตากระจ่างใส สีหน้ามีชีวิตชีวา สองแขนดึงบังเหียน สายตากลับกวาดมองเบื้องล่างไม่หยุด


ทันใดนั้นบุรุษหนุ่มพลันกระตุกบังเหียนแผ่วเบาทีหนึ่ง หุ่นม้าบินแปดตัวแหงนหน้าส่งเสียงร้องทีหนึ่งสี่ขาก็หยุดลงพร้อมกัน


เห็นเพียงบนทุ่งหญ้าเบื้องล่าง ปีศาจหมาป่าสีเทานับร้อยตัวรวมตัวกันอยู่มากมาย


ปีศาจหมาป่าแต่ละตัวล้วนมีพลังระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายหรือกระทั่งระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นต้นหรือกลาง ปีศาจหมาป่าที่รูปร่างโดดเด่นจากกลุ่มจำนวนน้อยสองสามตัวยิ่งมีพลังระดับของเหลวจิตวิญญาณช่วงปลาย


ปีศาจหมาป่าเหล่านี้กระจายเป็นวงโดยมีดงพุ่มไม้สีเข้มผืนน้อยตรงกลางเป็นศูนย์กลาง คล้ายกำลังเฝ้าปกป้องบางสิ่งอยู่


“กลิ่นสมุนไพรเข้มข้นนัก!” บุรุษชุดน้ำเงินหลับตาสองข้างลงเบาๆ ปีกจมูกกระพือสองสามทีก็เผยสีหน้าเมามายนิดๆ ออกมาพลางเอ่ยพึมพำกับตนเอง


เวลานี้ฝูงหมาป่าด้านล่างเห็นชัดว่าสัมผัสได้ถึงรถเหาะที่หยุดอยู่กลางท้องฟ้าแล้ว พวกมันเห่าหอนเป็นระลอกใส่ท้องฟ้าอย่างพร้อมเพรียงภายใต้คำสั่งของหมาป่าเทาที่เป็นหัวหน้าไม่กี่ตัวนั้น คล้ายกำลังส่งคำเตือน


บุรุษชุดน้ำเงินลืมสองตาขึ้น ในดวงตาทอประกายเจิดจ้า เขาหัวเราะเสียงเย็นเยียบ มือข้างหนึ่งสะบัด ลูกแก้วกลมสีน้ำเงินขนาดเท่ากำปั้นสิบกว่าลูกพลันโฉบออกมา


กลางท้องฟ้าแสงสีน้ำเงินระยิบระยับ ลูกแก้วกลมทยอยกันระเบิดออก ชั่วพริบตากลายเป็นนักรบในชุดเกราะสำริดทั้งสูงทั้งใหญ่ประหนึ่งเทพจวี้หลิงสิบกว่าตัว เสียงเปรี้ยงระลอกหนึ่งดังขึ้น พวกมันร่วงลงบนทุ่งหญ้าหนักหน่วง


หมาป่าสีเทาไม่น้อยหลบไม่ทันฉับพลันถูกเหยียบกลายเป็นเศษเนื้อจบสิ้นชีวิต


“ฆ่าหมาป่าเทาพวกนี้ซะ ระวังอย่าทำดงพุ่มไม้ตรงกลางเสียหาย” บุรุษชุดสีน้ำเงินยิ้มเล็กน้อย พลางออกคำสั่งเรียบๆ


นักรบเกราะสำริดสิบกว่าตัวนี้ฉับพลันสองตาทอประกายสีแดง ก้าวเท้าเหยียบหนักหน่วง กำปั้นยักษ์ที่มือเหวี่ยงสะบัด ไม่นานก็พุ่งเข้าไปกลางฝูงปีศาจหมาป่า


ฝูงหมาป่าเทาเห็นภาพนี้ก็หอนเสียงสูงระลอกแล้วระลอกเล่าภายใต้คำสั่งของพวกหัวหน้า จากนั้นเริ่มโจมตีบ้าคลั่งรอบแล้วรอบเล่าใส่นักรบเกราะสำริดเหล่านี้ ทว่าการโจมตีของพวกมันคล้ายคลื่นซัดกระทบโขดหิน ชั่วพริบตาทยอยถูกดีดปลิวลอยออกไป ร่างแยกกระดูกแหลก


ภาพนี้ประหนึ่งศิลายักษ์สีเขียวสิบกว่าก้อนร่วงเข้าไปในมหาสมุทรสีเทาจนเกิดคลื่นนับไม่ถ้วน


[1]หมู่ คือหน่วยพื้นที่ของจีน มีขนาดเท่ากับ 666.67 ตารางเมตร


ตอนที่ 786 ดินแดนแห่งมรดก

โดย

Ink Stone_Fantasy

การเคลื่อนไหวของนักรบเกราะสำริดสิบกว่าตัวดูแล้วเชื่องช้าอย่างยิ่ง แต่ความจริงก้าวเดียวก็ก้าวออกมาไกลหลายจั้ง หมัดยักษ์เหวี่ยงทีหนึ่งก็มีปีศาจหมาป่าหลายตัวเลือดสาดทันที


เป็นเช่นนี้ไม่ถึงครึ่งเค่อ ปีศาจหมาป่านับร้อยตัวก็ถูกสังหารจนหมด บนพื้นชั่วพริบตาเลือดนองเป็นสายน้ำ เศษขาขาดเต็มไปหมด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งแสบจมูก


บุรุษชุดน้ำเงินร่อนลงมาจากบนรถเหาะอย่างไม่รีบไม่ร้อน เขาไม่รู้สึกแย่กับเลือดและศพเต็มพื้น เดินช้าๆ ทีละก้าวเข้าไปในดงพุ่มไม้ผืนน้อยที่ฝูงหมาป่าปกป้องอยู่


ส่วนนักรบเกราะสำริดสิบกว่าตัวเวลานี้กลับยืนล้อมวงตั้งท่าป้องกันดงพุ่มไม้ ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่กับที่


บุรุษชุดน้ำเงินยืนอยู่หน้าดงพุ่มไม้ แขนเสื้อสะบัดเบาๆ ทีหนึ่ง ดงพุ่มไม้ก็ถูกพลังล่องหนสายหนึ่งแหวกออกจนเผยทางเส้นหนึ่ง


เขาเห็นสิ่งนี้ก็ไม่พูดพร่ำอีกยกเท้าก้าวเข้าไป


หลังชั่วจิบชาหนึ่งถ้วย เมื่อเขาออกมาอีกครั้ง กลางหว่างคิ้วก็ปรากฏความยินดีจางๆ  ในมือมีหญ้าจิตวิญญาณสีดำสนิทต้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา แต่ละใบล้วนมีจุดสีขาวสามจุด แผ่ไอเย็นยะเยือกทิ่มแทงกระดูกออกมา


“ถึงกับเป็นหญ้าแสงทมิฬอายุสามพันปี ดูท่าแล้วไม่ได้เหนื่อยเสียเปล่า” บุรุษชุดน้ำเงินพูดกับตนเองอย่างยินดีแล้วเก็บหญ้าจิตวิญญาณในมือไป


ไม่นานนักท่ามกลางเสียงฝีเท้าของอาชา รถเหาะสีเงินก็ออกเดินทางอีกครั้ง มุ่งไปด้านหน้าต่อ


……..


บนยอดเขามหึมาสูงหลายพันจั้งลูกหนึ่ง ณ ยอดเขามีต้นไม้โบราณสูงเทียมฟ้าต้นหนึ่งอยู่ เกือบครึ่งของต้นไม้ยักษ์ถูกเมฆขาวชั้นแล้วชั้นเล่าล้อมอยู่ตรงกลาง


กลางกลุ่มเมฆสีขาวเสียงร้องแหลมแสบแก้วหูเสียงหนึ่งฉับพลันดังออกมา หลังกลุ่มเมฆม้วนตลบรุนแรงวูบหนึ่งก็เกิดเป็นวังวนอากาศมหึมาลูกแล้วลูกเล่า


บนยอดต้นไม้ยักษ์มีรังนกสีดำสนิทมหึมารังหนึ่ง ศพวิหคยักษ์สีขาวโพลนทั้งร่างตัวหนึ่งนอนนิ่งไม่กระดิกอยู่ด้านในรังนก แต่ช่วงท้องเห็นชัดว่าแหวกออกเป็นรูใหญ่รูหนึ่ง เลือดกำลังไหลออกมาไม่หยุด สภาพคล้ายเพิ่งถูกสังหารไม่นาน


ส่วนอีกด้านหนึ่งของรัง บุรุษเส้นผมม่วงทั้งศีรษะผู้มีปากกว้างจมูกราชสีห์คนหนึ่งกำลังก้มตัวลง ค้นหาบางอย่างอยู่ในรังไม่หยุด


ทันใดนั้นเสียงปังทีหนึ่งก็ดังขึ้น ศพของวิหคยักษ์ถูกเขาคว้าติดมือขึ้นมาแล้วโยนลงไปด้านล่าง ทำให้เมฆสีขาวรอบด้านไหวกระเพื่อมไปพักหนึ่ง


หลังเขายืดตัวขึ้นช้าๆ ในดวงตาก็เต็มไปด้วยแววตาตื่นเต้น ในมือเห็นชัดว่ามีเศษแผ่นค่ายกลเก่าแก่ชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา


“เดาไม่ผิดจริงๆ นกหลิงกู่ตัวนี้ร้ายกาจเช่นนี้แต่ในรังไม่มีวัตถุจิตวิญญาณอื่นที่เห็นได้ชัด ที่นี่ซ่อนเศษมรดกชิ้นหนึ่งไว้อย่างที่คิด” บุรุษผมม่วงเอ่ยด้วยสีหน้ายินดี  ใช้เคล็ดวิชาใส่เศษชิ้นส่วนแผ่นค่ายกล


หลังแผ่นค่ายกลส่งเสียงฮึมๆ พักหนึ่ง แสงสีทองเรืองรองแถบหนึ่งก็ปรากฏขึ้น แผนที่ฉายออกมากลางอากาศ จุดแสงสีทองจุดหนึ่งกะพริบบนนั้นไม่หยุด


บุรุษผมม่วงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หลังเก็บแผ่นค่ายกลไปเขาก็ใช้เคล็ดวิชาด้วยมือเดียว แสงดาวกลุ่มหนึ่งล้อมร่างของตนไว้ ชั่วพริบตาออกจากรังนกแหวกท้องฟ้าจากไป


……


ในหุบเขาเงียบสงบสีดำสนิทแห่งหนึ่ง ลำแสงสายหนึ่งเหาะเร็วรี่ออกมาจากด้านใน แสงรัศมีสว่างวูบหนึ่งก็กลายเป็นร่างของสตรีผมเงินของหอเป๋ยโต่ว


“คิดไม่ถึงว่าจะเสียเวลามากเช่นนี้ หลี่ว์เหมิงด้านนั้นน่าจะหาพบแล้วกระมัง ข้าก็ต้องรีบหน่อยแล้ว” คิ้วงามของสตรีผมเงินขมวดเล็กน้อยพลางเอ่ยพึมพำกับตัวเอง บนหน้าเผยสีหน้าระมัดระวังออกมา


เมื่อมือข้างหนึ่งสะบัด หญิงสาวก็กลายเป็นลำแสงเส้นหนึ่งมุ่งไปด้านนอกหุบเขาอีกครั้ง


ลึกเข้าไปในหุบเขาด้านหลัง ศพวานรสีครามขนาดมหึมาหลายสิบตัวนอนเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น


บนศพแต่ละร่างไม่มีส่วนใดเสียหายเลยสักนิด กระทั่งขนก็ไม่สกปรกยุ่งเหยิง มีเพียงตรงหน้าอกที่เปิดออกเป็นรูเลือดขนาดใหญ่ยักษ์รูหนึ่ง ปราศจากหัวใจ


……


หลิ่วหมิงกับเผิงเยวี่ยสองคนเร่งเดินทางไปพลาง รวบรวมสมบัติฟ้าดินระหว่างทางไปพลาง ด้วยพลังอันไม่ธรรมดาของทั้งสองคน ตลอดทางไม่เพียงไม่พบอันตราย ของที่ได้มาก็มากอย่างที่สุด


เผิงเยวี่ยผู้นี้ค่อนข้างคุยเก่ง เนื่องจากงานประตูสวรรค์ครั้งที่แล้วนิกายของพวกเขาได้อันดับหนึ่ง ข่าวสารที่ได้รับเทียบกับนิกายยอดบริสุทธิ์แล้วย่อมมีแต่มากกว่าไม่มีน้อยกว่า นอกจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความลับของนิกายบางเรื่องแล้ว เขาก็ไม่ปิดบังสิ่งใดกับหลิ่วหมิง


เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างเร็วไว ในที่สุดทั้งสองคนก็มาถึงเบื้องหน้าทะเลสาบมหึมาแห่งหนึ่งตามคำบอกของเศษแผ่นค่ายกล


ทอดสายตามองไป ทะเลสาบแห่งนี้มีขนาดกว้างถึงหลายพันลี้ มองไม่เห็นขอบอย่างสิ้นเชิง น้ำในทะเลสาบก็ขุ่นอย่างยิ่งประหนึ่งเต็มไปด้วยโคลนทราย แล้วยังส่งกลิ่นประหลาดจางๆ สายหนึ่งออกมาอีก


หลิ่วหมิงครุ่นคิด จากนั้นเร่งเมฆดำใต้เท้าให้ร่อนลงบนผิวทะเลสาบช้าๆ เขายื่นมือกวักทีหนึ่งดึงน้ำทะเลสาบสายหนึ่งมาวางไว้ใต้จมูกดมอย่างละเอียด กลิ่นฉุนแสบจมูกสายหนึ่งฉับพลันอบอวลเต็มจมูกของเขา


ขณะที่สองคิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย ผืนน้ำใต้เท้าเขาฉับพลันกระเพื่อมรุนแรงระลอกหนึ่ง เสียงซ่าดังขึ้นพร้อมกับที่หยดน้ำสาดกระจายรอบด้าน หัวปลายักษ์สีดำสนิทหัวหนึ่งโผล่ออกมาจากน้ำ ปากกว้างสีแดงดุจโลหิตเต็มไปด้วยฟันขาวน่ากลัวขนาดเท่านิ้วมือเรียงเป็นแถวๆ ดวงตาเผยประกายดุร้ายกัดเข้าที่น่องของเขา


“น้ำทะเลสาบที่นี่ประหลาดอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าพี่เผิงรู้จักที่นี่มาก่อนไหม?” หลิ่วหมิงไม่มองใต้เท้า เขางอนิ้วดีดทีหนึ่งอย่างสบายๆ ปราณกระบี่เกลียวสีทองจางๆ สองสายฉับพลันปรากฏออกมา สายหนึ่งในนั้นโจมตีทะลุหัวปลาประหลาดที่กระโจนเข้ามาทันที ส่วนอีกสายหนึ่งพุ่งลงไปที่ก้นทะเลสาบซึ่งห่างไปสองสามจั้งกว่าๆ


ผลปรากฏว่านาทีต่อมาผิวทะเลสาบขุ่นที่เดิมทีสงบดั่งน้ำนิ่ง ฉับพลันก็ประหนึ่งหม้อระเบิด พริบตาเดือดพล่านขึ้นมา


ผ่านไปเพียงสองสามลมหายใจ ศพของปลายักษ์หน้าตาประหลาดสองตัวก็ลอยขึ้นมาบนผิวทะเลสาบพร้อมกับที่คลื่นไหวกระเพื่อมหยุดลง


เมื่อมองให้ละเอียดก็พบว่าศพปลายาวราวหนึ่งจั้งกว่านั้น บนหลังไม่มีครีบปลา ข้างลำตัวกลับมีปีกเนื้อสีน้ำเงินเข้มคู่หนึ่งงอกออกมา ดูแล้วค่อนข้างแปลกประหลาด


“บันทึกในนิกายเหมือนจะไม่ได้จารึกถึงทะเลสาบแห่งนี้ไว้…” เผิงเยวี่ยมองปลาประหลาดที่ตายไปทั้งสองตัวทีหนึ่ง ใบหน้าเผยสีหน้าคล้ายคิดอะไรบางอย่างขณะเอ่ยบอก


เผิงเยวี่ยพูดจบก็พลิกมือเอาเศษแผ่นค่ายกลออกมา สายตากวาดด้านล่างแล้วเอ่ยต่ออีกว่า


“แต่ตามเครื่องหมายบนแผนที่ของแผ่นค่ายกล ดินแดนแห่งมรดกก็น่าจะอยู่ห่างจากทะเลสาบแห่งนี้ไม่ไกลแล้ว ไม่สู้พวกเราไปข้างหน้าดูอีกหน่อยเป็นอย่างไร?”


“ก็ดี พวกเรารีบเดินทางเถอะ” หลิ่วหมิงเริ่มแรกขมวดคิ้วแต่ก็พยักหน้าทันที


ทั้งสองคนเร่งลำแสงเหาะรวดเร็วไปด้านหน้าต่อในทันใด


ระหว่างทางพวกเขาเหาะสูงเหนือผิวทะเลสาบสิบกว่าจั้ง จึงไม่พบการโจมตีอื่นใดจากในทะเลสาบอีก


ครึ่งค่อนวันให้หลัง เกาะมโหฬารเกาะหนึ่งพลันปรากฏในขอบเขตสายตาของทั้งสองคน


เกาะแห่งนี้อาณาบริเวณนับร้อยลี้ บนเกาะทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นต้นไม้แน่นขนัดงอกงามเขียวชอุ่มผืนแล้วผืนเล่า แม้ห่างหลายลี้ก็ยังคงสัมผัสได้ถึงปราณจิตวิญญาณเข้มข้นจากบนเกาะที่โถมเข้าใส่ใบหน้า


“พี่หลิ่ว ถึงแล้ว ดินแดนแห่งมรดกที่ปรากฏอยู่บนแผนที่ น่าจะเป็นเกาะนี้!” เผิงเยวี่ยเห็นภาพนี้ก็เอ่ยขึ้นอย่างยินดี จากนั้นกระตุ้นลำแสงใต้เท้า อดไม่ได้เพิ่มความเร็วขึ้นหลายส่วน


หลิ่วหมิงย่อมตามติดไม่ปล่อย


ทั้งสองคนเหาะตรงมาถึงใจกลางเกาะตามที่จุดแสงบนแผ่นค่ายกลระบุ


ผ่านไปไม่นานหุบเขาที่คล้ายแอ่งกระทะมหึมาแห่งหนึ่งก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทั้งสองคน หลังทั้งสองคนเหาะเข้ามาใกล้ก็พบว่าด้านในเป็นสีเทาขมุกขมัวไปหมด หญ้าสักต้นก็ไม่มี


ตอนนี้บนพื้นดินว่างเปล่าบริเวณหนึ่งในหุบเขา คนสิบกว่าคนรวมตัวกันอยู่ประปรายก่อนแล้ว


สายตาหลิ่วหมิงกวาดมองจากไกลๆ ก็พบว่าในหมู่คนเหล่านี้กว่าครึ่งล้วนเป็นศิษย์สังกัดสี่ยอดนิกายใหญ่กับแปดตระกูลใหญ่ นอกจากนี้ยังมีใบหน้าที่ค่อนข้างคุ้นเคยหลายดวงแทรกอยู่ในนั้น


โอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวที่ก่อนหน้านี้มีวาสนาพบหน้ากันหลายครั้งยืนอยู่ไม่ไกล ใกล้ๆ กันยังมีศิษย์ชุดขาวของหุบเขาปีศาจสวรรค์สองคน คนหนึ่งในนั้นใบหน้าคล้ายเหยี่ยวดูดุร้าย อีกคนหนึ่งก็คือเซวียผานชายหนุ่มเผ่าปีศาจที่เคยพบกันที่วังมายาเมื่อตอนนั้น


นอกจากนี้คนที่ค่อนข้างสะดุดตาก็ยังมีสตรีชุดเขียวของสำนักเฮ่าหรานผู้หนึ่งกับบุรุษชุดสีน้ำเงินที่นั่งสง่าอยู่บนรถเหาะสีเงินเทียมหุ่นม้าบินสีทองแปดตัว น่าจะเป็นศิษย์ของนิกายเทียนกง


คนอื่นที่เหลือหลิ่วหมิงก็ไม่รู้ที่มาแล้ว


หลังสายตาของหลิ่วหมิงกลอกไปมาก็จับอยู่บนแท่นศิลาหินอ่อนสีเทาขาวสูงสิบกว่าจั้งแท่นหนึ่งที่ทุกคนล้อมอยู่ลางๆ รอบด้านลวดลายจิตวิญญาณสีทองละเอียดประณีตเส้นแล้วเส้นเล่าพาดสลับโยงใยกันอยู่ ดูแล้วลึกลับอย่างยิ่ง


บนแท่นศิลามองเห็นค่ายกลขนาดสามสี่จั้งค่ายหนึ่งได้ชัดเจน ใจกลางค่ายกลมีช่องว่างขนาดเท่าฝ่ามืออยู่แปดช่อง ขนาดของมันใกล้เคียงกับเศษแผ่นค่ายกลมรดก หกช่องในนั้นมีแสงสีทองเรืองๆ ส่องออกมาไม่หยุด


หลิ่วหมิงกวาดตามมองรอบด้านอีกหนก็พบว่าคนที่อยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นโอวหยางเชี่ยนจากตระกูลโอวหยาง บุรุษรถสีเงิน สตรีชุดเขียวของสำนักเฮ่าหราน เซวียผานแห่งหุบเขาปีศาจสวรรค์แล้วก็บุรุษชุดเทาอีกคนหนึ่งบนตัวของทุกคนล้วนมีแสงสีทองส่องสว่างเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหายไปอยู่


ส่วนเศษแผ่นค่ายกลในมือเผิงเยวี่ยก็ไม่รู้ว่าปรากฏแสงสว่างสีทองชั้นหนึ่งออกมาตั้งแต่เมื่อไรเช่นกัน


เห็นถึงตรงนี้ หลิ่วหมิงไหนเลยไม่เข้าใจ ทุกคนที่อยู่ที่นี่รวบรวมเศษมรดกได้ห้าชิ้นแล้ว กำลังรอคอยคนนำเศษชิ้นส่วนอีกสามชิ้นที่เหลือมา


ได้ยินเสียงแหวกท้องฟ้า คนบริเวณหุบเขาก็พากันมองไป


สายตาของคนส่วนใหญ่ล้วนมองไปยังของในมือเผิงเยวี่ย ชั่วขณะนั้นพวกเขาสีหน้าแตกต่างกันไป บางคนสีหน้าเผยความยินดี บางคนกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ที่มากกว่านั้นคือใบหน้าเรียบสนิทไม่ตกใจ


หลังโอวหยางเชี่ยนผู้สวมอาภรณ์สีม่วงซึ่งปลิวสะบัดตามสายลมเห็นหลิ่วหมิง ในดวงตาพลันทอประกายเล็กน้อยจากนั้นคล้ายนึกอันใดขึ้นได้ ฉับพลันนางเม้มปากยิ้มแล้วผละสายตาจากไป


เซวียผานคล้ายจดจำหลิ่วหมิงได้เช่นกัน ในดวงตาประหลาดของปีศาจทอประกายเจิดจ้าวูบหนึ่ง เผยแววตาตื่นเต้นยินดีจางๆ ออกมา


พวกหลิ่วหมิงสองคนร่อนลงบนพื้นที่ว่างใกล้แท่นศิลาท่ามกลางสายตาของผู้คน หลังเผิงเยวี่ยเหล่มองผู้คนด้านนั้นทีหนึ่งแล้วก็สาวเท้าไปหน้ารถเหาะสีเงินอย่างรวดเร็ว


“คารวะอาจารย์อาเล็ก” เผิงเยวี่ยประสานมือคารวะทีหนึ่งอย่างนอบน้อม


“ที่แท้เป็นศิษย์หลานเผิงนี่เอง เจ้าก็ได้เศษชิ้นส่วนมรดกชิ้นหนึ่งมาเหมือนกัน นับว่ามีวาสนาไม่น้อยนะ” บุรุษชุดน้ำเงินบนรถเห็นเผิงเยวี่ยปุบก็เอ่ยหน้าชื่นตาบาน


“ศิษย์ก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าอาจารย์อาจะปรากฏตัวที่นี่ด้วย แต่หากไม่ได้พบสหายหลิ่วจากนิกายยอดบริสุทธิ์กลางทาง ศิษย์หลานเกรงว่าคงเดินทางมาไม่ถึงที่นี่เป็นแน่” เผิงเยวี่ยได้ยินก็หัวเราะเจื่อนๆ ทีหนึ่งเอ่ยตอบ


ตอนที่ 787 เปิด

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อ้อ ที่แท้เจ้าพบสหายจากนิกายยอดบริสุทธิ์” บุรุษชุดน้ำเงินได้ยินพลันมองไปทางหลิ่วหมิงทันที จากนั้นพยักหน้าให้อย่างเป็นมิตร


หลิ่วหมิงได้ยินเผิงเยวี่ยเรียกบุรุษผู้นี้ว่าอาจารย์อา แม้ในใจรู้สึกประหลาดนัก แต่ย่อมไม่กล้าชักช้ารีบประสานมือคำนับกลับ


หลังเผิงเยวี่ยกระซิบเสียงเบากับบุรุษชุดน้ำเงินอีกสองสามประโยคแล้ว ก็ค้อมกายอีกครั้ง จากนั้นถึงหมุนตัวเหาะกลับไปข้างกายหลิ่วหมิง นั่งขัดสมาธิรอคอยเงียบๆ


เวลานี้เองเสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง


“สามสิบกว่าปีไม่พบหน้า พี่หลิ่วสง่างามยิ่งกว่าวันวานเสียอีก”


หลิ่วหมิงหันศีรษะไปก็เห็นโอวหยางเชี่ยนที่อยู่ไม่ไกลเอ่ยขึ้นเหมือนจะยิ้มให้เขา


“ที่แท้เป็นแม่นางโอวหยางนี่เอง ตั้งแต่จากกันสบายดีนะ” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยพลางกวาดจิตสัมผัสออกไป ในดวงตาฉายแววประหลาดใจ


พลังของสตรีผู้นี้ไปถึงระดับผลึกขั้นปลายแล้ว


แม้เขาก็ระดับผลึกขั้นปลายเช่นกัน แต่ย่อมรู้ตัวเองดี หากไม่ใช่อาศัยโอสถจำนวนมากกับฟองอากาศลึกลับเพิ่มความบริสุทธิ์ของพลังเวทไม่หยุด เขาไม่มีทางเลื่อนระดับได้เร็วเช่นนี้แน่นอน


ส่วนศิษย์คนอื่นในนิกายยอดบริสุทธิ์ที่ยามนั้นระดับเดียวกันกับเขาเช่นพวกซาทงเทียน วันนี้ก็ยังวนเวียนอยู่ที่ระดับผลึกขั้นต้นหรือขั้นกลาง


ดูท่าสตรีนางนี้หากไม่ใช่ยอดอัจฉริยะแห่งการฝึกฝนอย่างแท้จริงประเภทนั้น หลายปีนี้ตระกูลโอวหยางก็คงทุ่มเทเงินทุนมากมายลงไปกับทรัพยากรการฝึกฝนของนาง


“ตอนนั้นจากกันที่วังมายานภาหยก คิดไม่ถึงว่าเจ้ากับข้าแล้วก็สหายเซวียจะได้มารวมตัวกันอีกครั้งที่งานประตูสวรรค์” โอวหยางเชี่ยนหัวเราะคิกคัก หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นคล้ายระลึกความหลัง


“ฮ่ะๆ ผู้แซ่หลิ่วไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ ว่าจะพบหน้าท่านทั้งสองที่นี่ แต่สหายเซวียกับแม่นางโอวหยางล้วนเป็นสุดยอดในสำนัก ข้าอยู่ตรงนี้ก็แค่เติมจำนวนให้ครบเท่านั้น” หลิ่วหมิงหาวพลางกวาดตามองเซวียผานอีกด้านหนึ่ง


คลื่นพลังเวทบนร่างคนผู้นี้พลังเพียงระดับผลึกขั้นต้นเท่านั้น แต่ไอปีศาจบนร่างยิ่งใหญ่จนน่าตะลึง เห็นชัดว่าฝึกฝนวิชาพิเศษบางอย่าง


ครั้งนั้นในวังมายานภาหยก ยามคนผู้นี้เผชิญหน้ากับการไล่ล่าสังหารจากเงาลวงตาของจินเลี่ยหยางนับได้ว่าลูกเล่นไม่หมดไม่สิ้น ตอบโต้ได้ดั่งใจ อีกทั้งเผ่าปีศาจยิ่งพลังเพิ่มพูน กายเนื้อก็แข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์มากจนเทียบกันไม่ได้ พลังในวันนี้ย่อมพลิกฟ้าพลิกดินได้เช่นเดียวกัน


บุรุษหน้าเหยี่ยวผู้นั้นข้างกายเซวียผานคล้ายสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาของหลิ่วหมิง จึงหันศีรษะมองตรงมาที่หลิ่วหมิงเช่นกัน สองตาของเขาดุดันไม่ธรรมดาทำเอาใบหน้าของหลิ่วหมิงรู้สึกเจ็บแปลบ


ในใจหลิ่วหมิงตระหนกเล็กน้อยรีบรั้งสายตากลับไป


พลังของเผ่าปีศาจหน้าเหยี่ยวผู้นี้เหมือนจะมากมายไม่ธรรมดา


“พี่หลิ่วพูดเช่นนี้ออกจะหลอกตัวเองและหลอกผู้อื่นไปหน่อยแล้ว พลังของสหาย ยามนั้นที่อยู่ในวังมายานภาหยกข้าได้ประจักษ์แล้ว…” โอวหยางเชี่ยนกลอกนัยน์ตาหวาน เอ่ยเคืองเล็กๆ


ระหว่างที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน ขอบฟ้าไกลก็พลันมีเสียงแหวกนภาวูบหนึ่ง แสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ประหนึ่งสายลมสายฟ้ามายังหุบเขา


ในเวลาเดียวกันนี้ตรงช่องว่างช่องที่เจ็ดใจกลางค่ายกลบนแท่นศิลาตรงกลางหมู่คนก็มีแสงจิตวิญญาณส่องประกายออกมาเลือนราง


ทุกคนเห็นเช่นนี้ก็ล้วนยินดี


หลิ่วหมิงกลับเลิกคิ้วเล็กน้อย ลำแสงสายนี้เหมือนจะคุ้นตาอยู่นะ


ผลปรากฏว่าหลังแสงสีเงินไหววูบสองสามครั้งแล้วร่อนลงบนพื้นที่ว่างเบื้องหน้าผู้คน เงาร่างของชายหนุ่มอายุราวยี่สิบสามยี่สิบสี่ปีคนหนึ่งก็ปรากฎขึ้น บนร่างสวมเครื่องแต่งกายของนิกายยอดบริสุทธิ์ หลัวเทียนเฉิงนั่นเอง


ในมือของเขาถือเศษแผ่นค่ายกลชิ้นหนึ่งที่กำลังส่องแสงสีทองเรืองๆ อยู่เช่นกัน!


หลัวเทียนเฉิงเห็นแท่นศิลามหึมาตรงกลางก็เผยสีหน้าทั้งตะลึงทั้งยินดีออกมาเช่นกัน จากนั้นกวาดสายตาผ่านผู้คนที่นั่น


“เจ้า! เจ้าโจรตัวดี ครั้งนี้ดูสิเจ้าจะหนีไปไหน!”


เมื่อเขาเห็นบุรุษหน้าเหยี่ยวที่อยู่ข้างหลังร่างเซวียผานแล้ว ทันใดนั้นสองตาก็ประหนึ่งจะพ่นไฟตวาดเสียงดังขึ้น จากนั้นแสงสีเงินทั่วร่างพลันสว่างจ้า หนึ่งหมัดโจมตีรุนแรงออกมา


เสียงมังกรคำรามกึกก้องฟ้าเสียงหนึ่งดังขึ้น เงามังกรสีเงินยาวสามสิบจั้งสองตัวกู่ร้องโผล่ออกมาจากบนแขนของเขา หลังมันบินวนไขว้สลับกันหนึ่งหนกลางท้องฟ้าแล้วก็แยกเขี้ยวกางกรงเล็บพุ่งเข้าใส่จุดที่บุรุษหน้าเหยี่ยวกับเซวียผานอยู่ทันที


มังกรสีเงินสองตัวท่าทางเปี่ยมพลัง มันผ่านไปที่ใดล้วนชักพาให้อากาศรอบด้านสะเทือนรุนแรง คนที่อยู่ใกล้เห็นสภาพนี้ล้วนใจสะท้าน


ศิษย์นิกายเล็กที่ยืนอยู่ใกล้หลายคนยิ่งตระหนกลนลานทะยานร่างหนีจากบริเวณใกล้ๆ


เซวียผานยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับหลบสักนิด เพียงมองเงามังกรสีเงินที่คำรามพุ่งเข้ามาอย่างเย็นชา


บุรุษหน้าเหยี่ยวด้านข้างกลับแค่นเสียงหยันคำหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อ แสงสีเงินกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา กระจกหกเหลี่ยมขนาดเล็กบานนั้นนั่นเอง หลังกระจกหมุนติ้วครู่หนึ่งรัศมีสีเงินแวววาวผืนใหญ่ก็พุ่งเร็วปรี่ออกมาจากบานกระจก ประจันหน้ากับการโจมตีของมังกรเงินที่มาถึงได้พอดี


เสียงเปรี้ยงดังขึ้น เงามังกรสีเงินสองตัวถูกแสงเรืองรองที่เกิดมาจากรัศมีแวววาวโจมตีจนโซไม่หยุด มันเหาะวนคลุ้มคลั่งกลางท้องฟ้า ทว่าชั่วขณะหนึ่งไม่อาจร่อนลงมาได้


เวลานี้เคล็ดวิชาในมือของบุรุษหน้าเหยี่ยวก็เปลี่ยนไปอีกหน กลางท้องฟ้าเสียงดังสนั่นดังลอยมา รัศมีสีเงินแวววาวฉับพลันระเบิดออก วงแหวนแสงสีเงินที่มีจุดสีเงินปะปนอยู่ด้านในวงแล้ววงเล่าขยายพรวดออกมา ชั่วพริบตาซัดเงามังกรสีเงินสองตัวจนแตกสลาย จากนั้นสวนกลับไปซัดเข้าใส่หลัวเทียนเฉิงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม


หลัวเทียนเฉิงคล้ายหวั่นเกรงคลื่นปราณสีเงินนี้ยิ่งนัก เขาคิดก็ไม่คิดพุ่งถอยหลังไปสิบกว่าจั้งในชั่วพริบตาถึงหยุดร่างยืนมั่นคง แต่บนใบหน้าสีหน้ายิ่งโกรธเกรี้ยว สองแขนยกขึ้นกำลังจะลงมืออีกครั้ง


“ทั้งสองท่าน พวกท่านมีความขัดแย้งอันใดกันข้าไม่ยุ่ง แต่ที่นี่เป็นทางเข้าดินแดนแห่งมรดกของแดนลึกลับ หากท่านทั้งสองจะลงมือกันอย่างไรก็ขอให้ย้ายไปที่อื่นเถิด” แสงสีทองสว่างขึ้นวูบหนึ่ง บุรุษในรถสีเงินของนิกายเทียนคงขมวดคิ้ว ฉับพลันบังคับรถมาขวางอยู่ด้านหน้าแท่นศิลา รอบร่างหุ่นอาชาสีทองแปดตัวที่ลากรถส่องแสงสีทองวงแล้ววงเล่าออกมาขวางคลื่นพลังนับไม่ถ้วนจากการต่อสู้ของทั้งสองคนไว้


หลัวเทียนเฉิงได้ยินก็ลังเลอยู่บ้าง เขาเก็บสีหน้าโกรธเกรี้ยวไป แต่ยังคงจ้องบุรุษหน้าเหยี่ยวอย่างเคียดแค้น ท่าทางพร้อมลงมือตลอดเวลา


ส่วนบุรุษหน้าเหยี่ยวก็คว้ากระจกหกเหลี่ยมพลางหัวเราะ คล้ายไม่เห็นการโจมตีของหลัวเทียนเฉิงอยู่ในสายตาสักนิด


ในเวลานี้เองเสียงถมึงทึงเสียงหนึ่งก็ดังชัดเจนมาจากด้านนอกหุบเขาอีกฝั่ง


“ที่แท้เศษชิ้นส่วนเจ็ดชิ้นที่เหลือรวบรวมครบแล้ว ดูท่าข้าจะมาได้เวลาพอดี”


เสียงพูดเพิ่งจบลง ฝั่งตะวันออกของหุบเขาพลันมีเสียงเปรี้ยงดังสนั่นขึ้น เพลิงปราณสีม่วงสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมา ชั่วครู่ก็พาสายลมคลั่งสายหนึ่งมาถึงท้องฟ้าเหนือแท่นศิลาแล้วม้วนลงมาเหนือพื้นที่ว่างจุดหนึ่ง กลางเพลิงปราณเห็นบุรุษผมม่วงหยักศกรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่เลือนราง


หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ หางตาพลันกระตุกเล็กน้อย


บุรุษผมม่วงจมูกราชสีห์ผู้นี้ก็คือหนึ่งในศิษย์ที่เห็นอยู่ข้างกายประมุขหอเป๋ยโต่ววันนั้นก่อนงานประตูสวรรค์จะเริ่ม เพียงแต่ไม่เห็นเงาร่างสตรีผมเงินอีกคนหนึ่ง


ในเวลาเดียวกันนี้ช่องว่างช่องที่แปดใจกลางแท่นศิลาก็มีแสงจิตวิญญาณจางๆ สว่างขึ้นมา ค่ายกลทั้งหมดคล้ายสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง เริ่มเคลื่อนหมุนช้าๆ ด้วยตนเอง ในช่องว่างแปดช่องแสงสีทองเจิดจ้าสว่างขึ้น ลวดลายจิตวิญญาณสีทองเล็กละเอียดที่ล้อมรอบสี่ด้านก็สว่างขึ้นเป็นพรวนตามไปด้วย


แสงรัศมีสีทองสว่างจ้าแสบตา!


ครู่ต่อมาวังวนพลังจิตวิญญาณที่ถาโถมรุนแรงสายหนึ่งก็วนเป็นเกลียวพุ่งขึ้นฟ้าพร้อมกับการหมุนวนของแท่นศิลา ทำให้อากาศในหุบเขาสั่นสะเทือนเกิดเป็นเสียงฮึมๆ ระลอกแล้วระลอกเล่า


ภาพที่น่าตกใจเช่นนี้ทำให้ผู้คนที่เดิมทีคาดไม่ถึงกับการปรากฏตัวกะทันหันของบุรุษผมม่วง ฉับพลันถูกดึงความสนใจทั้งหมดไป ทุกคนเพ่งสมาธิมองไปบนแท่นศิลา


“ดียิ่ง ดินแดนแห่งมรดกในที่สุดก็จะเปิดออกแล้ว” สาวน้อยชุดเขียวข้างกายโอวหยางเชี่ยนพึมพำขึ้นมาประโยคหนึ่ง


สตรีชุดเขียวที่เดิมทีหลับตาทำสมาธิอยู่ด้านข้างก็ลืมตาสองข้างขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มจางๆ ที่แทบจะสังเกตไม่เห็นออกมาด้วย


คนอื่นๆ เห็นภาพนี้ในดวงตาก็ทยอยเผยแววตาเร่าร้อนออกมาเช่นกัน


“สหายทั้งสอง ดินแดนแห่งมรดกกำลังจะเปิดออกแล้ว หากลงมือตอนนี้คงได้ไม่คุ้มเสีย หากทั้งสองท่านมีความแค้นที่ไม่สะสางไม่ได้จริงๆ ไม่สู้รอหลังพวกเราเข้าไปคว้าโชคชะตาจากมรดกด้านในแล้วค่อยออกมาสะสาง” เผิงเยวี่ยรั้งสายตากลับมาจากแท่นศิลา จากนั้นมองหลัวเทียนเฉิงกับบุรุษหน้าเหยี่ยวแล้วนก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวเอ่ยขึ้น


หลังหลัวเทียนเฉิงครุ่นคิดเล็กน้อย แววตาดุร้ายในดวงตาในที่สุดก็ค่อยๆ หน้าไป สุดท้ายก็พยักหน้าด้วยใบหน้าถมึงทึง


ส่วนบุรุษหน้าเหยี่ยวหัวเราะหยันสองสามครั้งก็เก็บกระจกหกเหลี่ยมในมือไปบ้าง


ในช่วงเวลาสำคัญที่ดินแดนแห่งมรดกกำลังจะเปิดออก ไม่ใช่จังหวะที่จะต่อสู้กันจริงๆ


“คิดไม่ถึงว่าพี่หลิ่วก็มาถึงที่แห่งนี้ด้วย ดียิ่ง! ดูท่าหลังจากนี้ไม่นานที่นี่คงจะครึกครื้นยิ่งนัก” หลัวเทียนเฉิงเคลื่อนสายตาออกมา ในที่สุดก็เห็นหลิ่วหมิงที่อยู่หลังร่างเผิงเยวี่ย ในดวงตาฉายแววตาคิดไม่ถึงจางๆ


“ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นนั้นว่าศิษย์น้องหลัวจะได้เศษชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งมาเช่นกัน” หลิ่วหมิงประสานมือให้เขาด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนนับเป็นการทักทาย


ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนยามอยู่ในนิกายยอดบริสุทธิ์ไม่ดีนัก ถึงขั้นมีความรู้สึกเป็นอริอยู่บ้าง เวลานี้แม้อยู่ในแดนลึกลับประตูสวรรค์ก็พูดถึงมิตรไมตรีอันใดไม่ได้


“หลายวันก่อนหน้าคนผู้นี้ของหุบเขาปีศาจสวรรค์ลงมือลอบโจมตี สังหารศิษย์นิกายเราอีกสองคนที่ร่วมเดินทางกับข้าแล้วแย่งชิงโชคชะตาบนร่างพวกเขาไป ผู้แซ่หลัวเดิมทีต้องการไล่ล่าสังหารคนผู้นี้เพื่อแก้แค้นให้สหายร่วมสำนัก แต่ถูกเขาใช้ความเจ้าเล่ห์หนีรอดไปได้ หลังออกจากแดนลึกลับข้าจะรายงานเรื่องนี้กับนิกาย เจ้าในฐานะศิษย์นิกายเราคงจะรู้ว่าควรทำอย่างไร” หลัวเทียนเฉิงเหล่มองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง ริมฝีปากขมุบขมิบส่งกระแสจิตเอ่ย หลังจากนั้นเปลวเพลิงสีเงินก็ลุกโหมบนร่าง ร่างกายขยับวูบหนึ่งก็ร่อนลงบนเนินสูงแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล


หลิ่วหมิงได้ฟังสองตาพลันหรี่ลง กวาดมองบุรุษหน้าเหยี่ยวผู้นั้นอีกหลายหน


แม้หลัวเทียนเฉิงจะมีพลังเพียงระดับผลึกขั้นต้น แต่ความสามารถน่าตะลึงอย่างที่สุด


ถึงจะไม่รู้ว่าศิษย์ร่วมสำนักสองคนที่ถูกสังหารพลังเป็นอย่างไร แต่ในเมื่อได้สิทธิเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ก็คงไม่อ่อนแอแน่นอน ทว่าพลังของทั้งสามคนรวมกันกลับสู้บุรุษหน้าเหยี่ยวผู้นั้นไม่ได้ แล้วยังถูกเขาโจมตีทีเดียวสังหารไปสองคนอีก ดูท่าคนผู้นี้จะแข็งแกร่งกว่าที่ตนจินตนาการไว้ก่อนหน้านี้ไม่น้อย ต้องระวังไว้บ้างแล้ว


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว


คล้ายสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังจิตวิญญาณประหลาดที่นี่ เพียงชั่วครู่ก็มีลำแสงหลากสีเจ็ดแปดสายแหวกท้องนภามายังหุบเขา ส่องสว่างร่อนลงบนพื้นที่ใกล้ๆ


คราวนี้รอบแท่นศิลากลางหุบเขาแอ่งกระทะจึงแทบจะถูกกลุ่มคนมากมายถี่ยิบล้อมเป็นวง มีมากเกือบสามสิบคน นี่ผิดจากสถานการณ์ที่หลิ่วหมิงกับเผิงเยวี่ยคำนวณไว้ในตอนแรกว่าอย่างน้อยแปดเก้าคน อย่างมากสิบกว่าคน เวลานี้ไปไกลแล้ว


ตอนที่ 788 กวาดเรียบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เหอะ มรดกประตูสวรรค์ไหนเลยจะเป็นสิ่งที่ผู้ไร้พลังเพ้อฝันถึงได้ พวกเจ้าคนธรรมดาเหล่านี้กระทั่งเศษแผ่นค่ายกลยังไม่มี ยังคิดจะกวนน้ำจับปลาที่นี่ รู้จักสถานการณ์ก็ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!” เมื่อบุรุษผมม่วงมองเห็นกลุ่มคนมากมายเข้าไปใกล้แท่นศิลาพลันตวาดเสียงเย็นชา


เสียงของเขาไม่ดัง ทว่าไม่ทราบใช้วิชาลับอันใดหรือไม่ ทุกคนจึงรู้สึกว่าเสียงพูดของเขาแหลมเสียดหูอย่างน่าประหลาด ทั้งในหูมีความรู้สึกเจ็บแปลบส่งออกมาเป็นพักๆ


หลิ่วหมิงกับคนของสี่ยอดนิกายใหญ่และแปดตระกูลใหญ่ที่เหลือส่วนใหญ่ หลังใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อยแล้วก็กลับมาเป็นปกติ ส่วนศิษย์นิกายเหล่านั้นที่เหลือฉับพลันกลับเผยสีหน้าเจ็บปวด คนสองคนที่พลังอ่อนแอถึงขั้นล้มลงกับพื้นเดี๋ยวนั้น จากนั้นกลิ้งบนพื้นไม่หยุด สองหูเลือดไหลริน ท่าทางทรมานอย่างยิ่ง


“มรดกในแดนลึกลับแห่งนี้ เหตุใดพวกเราสืบทอดไม่ได้ พวกเจ้าไม่ใช่แค่โชคดีนิดหน่อยหาเศษชิ้นส่วนที่เปิดทางไปสู่มรดกพบเท่านั้นหรือ” ชายฉกรรจ์สูงใหญ่กายห่มหนังเสือ ใบหน้าดุร้ายผู้หนึ่งหลังสะบัดศีรษะอย่างมึนงงแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจทันที


“ใช่แล้ว…” ชายหนุ่มรูปร่างเล็กเตี้ย คิ้วโจร ดวงตาดั่งหนูคนหนึ่งข้างกายคนผู้นี้ก็เอ่ยตามเสียงเบาเช่นกัน


บุรุษผมม่วงได้ยินพลันหน้าบึ้ง แสงรัศมีรอบร่างสว่างวูบหนึ่ง บนใบหน้าลวดลายจิตวิญญาณสีดำกับเขียวสองสีสลับกันสายแล้วสายเล่าพลันปรากฏขึ้นมาในบัดดล


นาทีต่อมาร่างเขาก็พร่าเลือนวูบหนึ่ง ฉับพลันปรากฏตัวหลังร่างชายฉกรรจ์ตัวสูงใหญ่ประหนึ่งภูตผี มือหนึ่งควักไปตรงหน้าอกรวดเร็วดุจดั่งสายฟ้าแลบ


ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ยังตามไม่ทันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ปราณแกร่งคุ้มร่างก็ส่งเสียงดังเปรี้ยงแล้วแตกกระจาย หน้าอกเย็นวูบหนึ่ง หัวใจที่ยังคงเต้นตุบๆ เลือดไหลโชกดวงหนึ่งก็ถูกควักออกมา


ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ใบหน้าชะงักงัน ปากอ้าหุบอยู่หลายที แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ ส่งออกมา ร่างกายล้มตึงกับพื้น


มือของบุรุษผมม่วงบีบแน่นทีหนึ่ง หัวใจที่ยังเต้นตุบๆ อยู่ก็ถูกบีบจนเป็นเนื้อแหลกเละ สายตาของเขาประหนึ่งน้ำแข็งกวาดมองผู้คนรอบด้าน ทันใดนั้นใบหน้าก็เผยความเหี้ยมโหดเอ่ยว่า


“คนที่อยู่ที่นี่หากคิดจะเข้าไปยังดินแดนแห่งมรดกก็จงรับหมัดของผู้แซ่หลี่ว์หนึ่งหมัดก่อน รับได้ก็เข้าไป รับไม่ได้ ฮ่ะฮ่ะ ถ้าเช่นนั้นก็ช่วยตัวเองนะ”


เพิ่งเอ่ยจบ บุรุษผมม่วงก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ปราณสีม่วงสายหนึ่งซัดออกมาโจมตีโซ่โชคชะตาบนศพของชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่จนแหลก ไอสีเทาสายแล้วสายเล่าทะลักออกมาโถมเข้าไปในโซ่หยกแวววาวในมือเขา


ชายหนุ่มร่างเตี้ยคิ้วโจรตาหนูผู้นั้นเห็นภาพนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เขาหมุนตัวกลายเป็นลำแสงสีน้ำตาลเส้นหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าไปทันที


บุรุษผมม่วงไม่สนใจ เขาเพียงหัวเราะหยัน ร่างกายขยับไหววูบหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเซวียผานที่อยู่ใกล้ที่สุด หลังแขนขยับทีหนึ่ง ปราณสีม่วงสายหนึ่งก็พันรอบแขน จากนั้นพลันกลายเป็นเงาหมัดสีม่วงเสมือนของจริงขนาดเท่าศีรษะหมัดหนึ่งโจมตีออกไป


เซวียผานสีหน้าตกตะลึง เขากำลังจะลงมือ ตรงหน้ากลับมีเงาคนขยับไหว บุรุษหน้าเหยี่ยวขวางอยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว


คนผู้นี้เพียงไขว่สองมืออยู่หน้าร่าง เพลิงปราณสีเงินสองสายพลันซึมทะลุออกมาจากบนแขน ผนึกรวมตัวกันกลายเป็นม่านแสงสีเงินชั้นหนึ่งขวางอยู่ด้านหน้า


 เสียงเปรี้ยงดังสนั่นทีหนึ่ง!


เงาหมัดสีม่วงแตะถูกม่านแสงสีเงินปุบพลันระเบิดแตกกระจุยกลายเป็นแสงสีม่วงดวงแล้วดวงเล่าสลายหายไป ส่วนม่านแสงสีเงินกลับเพียงสั่นไหวเล็กน้อยก็ฟื้นคืนดังเดิม


บุรุษผมม่วงเห็นภาพนี้กลับไม่หยุดสักนิด ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งอีกหนก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าชายหนุ่มชุดแดงอีกคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลดั่งภูตผี อัดหนึ่งหมัดประหนึ่งสายฟ้าแลบออกมาเช่นเดียวกัน


ผลปรากฏว่าบุรุษชุดแดงผู้นั้นกระทั่งการเคลื่อนไหวของบุรุษผมม่วงก็ยังมองเห็นไม่ชัด จึงถูกโจมตีหนักหน่วงปลิวออกไป ร่วงลงบนพื้นดินว่างเปล่าห่างไปหลายจั้งประหนึ่งถุงกระสอบขาดๆ หน้าอกปรากฏรูเลือดใหญ่รูหนึ่ง หัวใจด้านในแหลกป่นเป็นผง เลือดทะลักออกมาจากปากแผลไม่หยุด


ชายหนุ่มชุดแดงยังไม่ทันได้กรีดร้องก็หมดลมหายใจไปทันที


เห็นบุรุษผมม่วงลงมือสังหารอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้จริงๆ คนที่อยู่ในบริเวณนั้นซึ่งคิดว่าตนเองพลังไม่ถึงก็พากันหน้าถอดสี พวกเขาไหนเลยยังกล้ารั้งอยู่อีก ครู่เดียวแตกกระเจิง ชั่วพริบตาก็หนีไปเจ็ดแปดคน


บนใบหน้าของบุรุษชุดม่วงยังคงประดับรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมไว้ แต่ไม่ได้ไล่ตามคนที่หนีไปเหล่านั้น เขาเพียงดีดนิ้วทีหนึ่ง กระแสลมแรงสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกมาโจมตีโซ่โชคชะตาบนมือของชายหนุ่มชุดแดงจนแหลก หลังดูดซับโชคชะตาครึ่งหนึ่งแล้ว ร่างกายถึงพร่าเลือนอีกหน ปรากฏตัวเบื้องหน้าสตรีชุดเขียวจากสำนักเฮ่าหราน


หญิงสาวประหนึ่งไม่เห็นการลงมืออันโหดร้ายก่อนหน้านี้ของบุรุษผมม่วง นางกลับยิ้มน้อยๆ ให้คนตรงหน้า ในดวงตางามพลันปรากฏเปลวเพลิงสีแดงฉานวูบไหววูบ


บุรุษผมม่วงเห็นสิ่งนี้สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังลังเลอยู่ชั่วครู่กลับไม่ลงมือโจมตี แต่ร่างกายพลิ้วหมุน ไม่รู้ทำอย่างไรไปปรากฏตัวเบื้องหน้าชายหนุ่มคิ้วหนาผิวดำขลับคนหนึ่ง โจมตีออกมาอีกหนึ่งหมัด


ชายหนุ่มคิ้วหนาเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว แสงสีดำในมือส่องสว่างเรียกโล่สีดำแผ่นหนึ่งออกมาขวางเบื้องหน้าอย่างมั่นคง


เงาหมัดสีม่วงมาถึงพร้อมเสียงดังสนั่น ผิวโล่ส่องประกายวูบหนึ่งแต่ถูกเงาหมัดทะลวงผ่านไปตรงๆ


ชายหนุ่มคิ้วหนากรีดร้องทีหนึ่ง ร่างกายปลิวลอยออกไป ศีรษะแหลกกลายเป็นแตงโมเละ


บุรุษผมม่วงร่างกายไหววูบต่อเนื่องไปเช่นนี้ รวดเดียวก็โจมตีคนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำสิ้นใจไปอีกสามสี่คน เวลานี้คนที่ยังกล้ารั้งอยู่ที่นี่ แทบทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์นิกายใหญ่ต่างๆ


เวลานี้บุรุษผมม่วงกำลังหัวเราะลั่น ปรากฏตัวเบื้องหน้าชายหนุ่มรถเงินของนิกายเทียนกง


ชายหนุ่มรถเงินแค่นเสียงหยัน มือข้างหนึ่งสะบัด แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมาจากในแขนเสื้อ มันเปล่งแสงวูบหนึ่งกลายเป็นหุ่นเต่ายักษ์สีน้ำเงินขนาดสองสามจั้งตัวหนึ่ง อักขระสีน้ำเงินดวงแล้วดวงเล่าบนหลังเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด พร้อมกันนั้นก็แผ่ปราณมหาศาลสายแล้วสายเล่าออกมาเลือนราง


บุรุษผมม่วงตะลึงเล็กน้อย เขาประเมินเต่ายักษ์ทีหนึ่งก็ไม่ลงมือโจมตีต่อ รอบร่างแสงสีม่วงม้วนออกมา ปรากฏตัวตรงหน้าชายหนุ่มชุดเทาหน้าตาวิตกกังวลคนต่อไป


แผ่นกลมสีเหลืองขุ่นแผ่นหนึ่งตรงหน้าอกของชายหนุ่มชุดเทาขยายจนมีขนาดหลายจั้งอยู่ก่อนแล้ว บนแผ่นกลมปรากฏลายแกะสลักสีน้ำตาลทองลายแล้วลายเล่า สภาพคล้ายคลึงกับโล่พสุธาในมือหลิ่วหมิงอย่างยิ่ง


เสียงเปรี้ยงหนักหน่วงดังขึ้น!


แสงสีม่วงแถบหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า เมื่อเงาหมัดสีม่วงแตะถูกแผ่นกลมสีเหลืองปุบ เพลิงปราณสีเหลืองสายแล้วสายเล่าบนโล่ไม้พลันถูกพุ่งชนกระจาย


หลังสั่นสะท้านรุนแรงพักหนึ่ง บนแผ่นกลมก็ปรากฏรอยหมัดรอยหนึ่งออกมาชัดเจน ทว่าสุดท้ายก็ไม่แตกกระจุย


ทว่าชายหนุ่มชุดเทาทนรับกำลังมากมายเช่นนี้ไม่ไหว หลังถอยหลังออกไปสิบกว่าจั้งจนยืนทรงตัวได้อย่างหวุดหวิดแล้ว ปากกระอักโลหิตคำน้อยออกมาคำหนึ่ง สีหน้าหวาดกลัวมองบุรุษผมม่วง


บุรุษผมม่วงเงยศีรษะมองคนผู้นี้ทีหนึ่ง ทว่าไม่ลงมือต่อ เขาไม่พูดพร่ำก็ขยับไหววูบหายไปอีก


หลังเวลาผ่านครู่หนึ่ง ในที่สุดบุรุษผมม่วงก็โผล่มาตรงหน้าพวกหลิ่วหมิง


“พวกเจ้าเป็นกลุ่มสุดท้ายแล้ว ใครจะมาก่อน?” เวลานี้บุรุษผมม่วงกลับไม่รีบร้อนลงมือ หลังกวาดตามองพวกหลิ่วหมิงทีหนึ่ง สายตาก็จับจ้องอยู่บนร่างของหลัวเทียนเฉิง


“เหอะ ถ้าเช่นนั้นข้าขอรับการสั่งสอนจากผู้เก่งกาจของหอเป๋ยโต่วเป็นคนแรกแล้วกัน!”


หลัวเทียนเฉิงเดิมทีโทสะยังไม่คลาย เห็นสถานการณ์นี้ยิ่งโกรธจัด เขาก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง เอ่ยด้วยเสียงเย็นชา


“ดีมาก”


สิ้นเสียง เงาหมัดยักษ์ที่มีปราณสีม่วงล้อมพันหมัดหนึ่งก็โจมตีเข้าใส่หลัวเทียนเฉิงอย่างไร้สุ้มเสียง


หลัวเทียนเฉิงไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย รอบร่างแสงสีเงินส่องสว่าง ยกมือขึ้นส่งหนึ่งหมัดเข้าประจัน


เสียงพยัคฆ์คำรามดังสนั่นจนหูแทบดับสายหนึ่งดังขึ้น เงาหัวพยัคฆ์สีเงินหัวหนึ่งหลุดออกมาจากมือปะทะกับเงาหมัดสีม่วงอย่างจังทันที


เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน!


แสงรัศมีสีม่วงกับสีเงินสองสีปะทะกันพักหนึ่ง เงาหมัดพลันส่งเสียงครวญครางสลายหายไป ทว่าเงาหัวพยัคฆ์สีเงินหลังพร่าเลือนวูบหนึ่งยังคงพุ่งเร็วรี่เข้าใส่บุรุษผมม่วงต่อ


บุรุษผมม่วงหัวเราะดังลั่นไม่ถอยกลับรุกคืบ เขายกมือขึ้นสะบัด เมฆสีม่วงผืนใหญ่ม้วนออกมาจากในแขนเสื้อของเขาประหนึ่งน้ำวน กระชากเงาหัวพยัคฆ์สีเงินเข้าไปด้านในกำจัดสลายในชั่วพริบตา


“ดีมาก! นิกายยอดบริสุทธิ์ไม่เสียทีเป็นสี่ยอดนิกายใหญ่ ศิษย์ในนิกายพลังไม่ธรรมดาจริงๆ!” บุรุษผมม่วงสะบัดมือข้างหนึ่ง เมฆสีม่วงพลันสลายกลายเป็นความว่างเปล่า สายตาที่มองไปยังหลัวเทียนเฉิงฉายแววตาตื่นเต้นจางๆ พลางเอ่ยปากชม


หลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงเหอะคำหนึ่ง ยังคงมองบุรุษผมม่วงอย่างเกรี้ยวกราด


บุรุษผมม่วงไม่พูดมาก ยกมือขึ้นอีกครั้งก็ต่อยเข้าใส่พี่น้องโอวหยางที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล


โอวหยางเชี่ยนกับสตรีชุดเขียวผู้นั้นตวาดเสียงหวานออกมาพร้อมกันคำหนึ่ง มืองามสองข้างยกขึ้น แสงเรืองรองสองสายหนึ่งเขียวหนึ่งม่วงพุ่งออกมาต้านเงาหมัดเอาไว้


หนึ่งลมหายใจให้หลังเงาหมัดยักษ์พลันทะลวงผ่านแสงเรืองรอง พุ่งเกรี้ยวกราดเข้ามาหาสตรีทั้งสองนางต่อ


โอวหยางเชี่ยนใบหน้าเคร่งขรึมบึ้งตึง ไม่เห็นนางเคลื่อนไหวอย่างใด ทว่าเบื้องหน้ากลับปรากฏแสงดาบขาวสว่างสายหนึ่งขึ้นวูบหนึ่งแล้วหายไป


เงาหมัดสีม่วงที่ดูทรงพลังดุดันชั่วพริบตากลับถูกฟันสะบั้นกลายเป็นปราณสีม่วงสองก้อนลอยหายไปอย่างรวดเร็ว


บุรุษผมม่วงแห่งหอเป๋ยโต่วเห็นสิ่งนี้พลันหัวเราะแผ่วเบา สายตาเคลื่อนไปจับอยู่บนร่างของหลิ่วหมิงต่อ


“คนของนิกายยอดบริสุทธิ์อีกคนหนึ่ง ดียิ่ง ได้ยินอยู่บ่อยครั้งว่าในหมู่สี่ยอดนิกายใหญ่ของเผ่ามนุษย์นิกายยอดบริสุทธิ์เป็นนิกายใหญ่ที่มีจำนวนคนมากที่สุดแต่ล้วนเป็นพวกธรรมดาสามัญ วันนี้ได้ประจักษ์ ข่าวลือช่างห่างจากความเป็นจริงยิ่งนัก ข้าขอลองฝีมือของเจ้าหน่อยเถอะ”


บุรุษผมม่วงพูดจบ ดวงตาทอก็ประกายเจิดจ้า ลวดลายจิตวิญญาณสีดำกับเขียวบนใบหน้าฉับพลันหนาขึ้นอยู่บ้าง พร้อมกันนั้นเสียงเปรี๊ยะก็ดังขึ้นในร่างพักหนึ่ง แขนข้างหนึ่งขยายใหญ่ขึ้นหนึ่งรอบจากนั้นยกขึ้น ห้านิ้วกางออกคว้ามายังจุดที่หลิ่วหมิงอยู่


หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้พลันยิ้มเล็กน้อย ไม่เห็นว่าเขาเคลื่อนไหวอย่างใด ทว่าในแขนเสื้อกลับมีเสียงใสกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น กระบี่ยาวสีทองเล่มหนึ่งบินออกมา หลังจากโต้ลมสั่นไหววูบหนึ่งพลันกลายเป็นเงากระบี่สีทองขมุกขมัวใหญ่เจ็ดแปดจั้งฟันเข้าใส่บุรุษผมม่วงทันที


บุรุษผมม่วงรู้สึกเพียงเบื้องหน้าแสงสีทองสว่างวูบหนึ่ง จิตกระบี่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่สายหนึ่งกดทับลงมา จิตกระบี่มหึมายังไม่ทันฟันลงมาจริงๆ สายลมเย็นเยียบน่าขนลุกก็ซัดมาถึงก่อน


บุรุษผมม่วงสีหน้าสะท้าน ฝ่ามือที่คว้าออกมาฉับพลันรั้งกลับ ร่างกายบิดอีกหนหนึ่งก็ขยับกลายเป็นเงาพร่าเลือนปรากฏตัวขึ้นตรงจุดที่ค่อนข้างไกล หลบการโจมตีนี้ไปได้


เสียงเปรี้ยงดังขึ้นหนึ่งหน


จิตกระบี่สีทองแตกสลายหายไป จุดที่บุรุษผมม่วงยืนอยู่ก่อนหน้านี้ปรากฏร่องลึกยาวสิบกว่าจั้งเส้นหนึ่ง


คนที่อยู่ใกล้เคียงได้เห็นล้วนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย


“ฮ่าฮ่า ดูท่าหอของเราจะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลของทุกท่านใหม่แล้ว” บุรุษผมม่วงเห็นภาพนี้ไม่โมโหแต่กลับยินดี หลังหัวเราะลั่นพักหนึ่งก็บินไปเบื้องหน้าเผิงเยวี่ยอีก


เผิงเยวี่ยถอนหายใจแผ่วเบาทีหนึ่งเหมือนคิดไว้อยู่แล้ว มือข้างหนึ่งตบข้างเอว แสงสีทองจางๆ สายหนึ่งวนล้อมบนร่างพักหนึ่ง เสียงแกรกๆ ก็ดังขึ้น บนร่างฉับพลันปรากฏชุดเกราะที่ส่องแสงสีทองเรืองชุดหนึ่งออกมา


ตอนที่ 789 สามหนทาง

Ink Stone_Fantasy

บนผิวชุดเกราะนี้ลวดลายประณีตงดงามสีเงินแผ่อยู่ทั่ว ตรงจุดสำคัญจำนวนหนึ่งยังมีหนามแหลมคม พร้อมกับที่เสียงกรอบดังขึ้นหนหนึ่ง กระบอกกลมสีแดงฉานหนาเท่าแขนสองแท่งพลันโผล่ออกมาจากตรงหัวไหล่ นี่เป็นเกราะจักรกลชุดหนึ่ง


บุรุษผมม่วงเห็นสิ่งนี้ปุบ สองตาพลันหรี่ลงเล็กน้อย


เสียงฟุบดังขึ้นสองหน เสาแสงสีแดงฉานสองสายก็พุ่งออกมาจากกระบอกกลม โจมตีลงบนเงาหมัดพอดิบพอดี ทำให้ทั้งสามสิ่งพริบตาสลายหายไปพร้อมกัน


เสียงเปรี้ยงดังขึ้น เงาหมัดสีม่วงโจมตีลงบนร่างเผิงเยวี่ย หยั่งเชิงเผิงเยวี่ยพักหนึ่ง


“ฮ่ะๆ ของที่นิกายเทียนกงสร้างออกมาไม่ธรรมดาเลยจริงๆ! ดีมาก ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ถึงมีคุณสมบัติเข้าไปในดินแดนแห่งมรดก ทว่าหลังเข้าไปเป็นหรือตายแต่ละคนรับผิดชอบเองแล้ว!”


บุรุษผมม่วงไม่ลงมือโจมตีเผิงเยวี่ยต่ออีก ร่างกายไหววูบหนึ่งก็กลับไปยังจุดที่ตนเองยืนอยู่ก่อนหน้านี้ เขาหัวเราะพลางเอ่ยขึ้นจากนั้นยื่นมือดึงเศษชิ้นส่วนมรดกสีทองชิ้นหนึ่งออกมาจากข้างเอว


หลิ่วหมิงได้ยินดังนั้นสายตาก็กวาดมองคร่าวๆ ทีหนึ่ง พบว่าตอนนี้ในที่นี้เหลือเพียงสิบเอ็ดคนเท่านั้น นอกจากตัวเขาแล้ว ก็มีเผิงเยวี่ย เซวียผาน บุรุษหน้าเหยี่ยว พี่น้องโอวหยาง ชายหนุ่มรถเงินจากนิกายเทียนกง สตรีชุดเขียวจากสำนักเฮ่าหราน หลัวเทียนเฉิง บุรุษผมม่วง แล้วก็คนชุดเทาที่ใช้แผ่นกลมแผ่นหนึ่งรับการโจมตีของบุรุษผมม่วงได้อย่างหวุดหวิดก่อนหน้านี้


นอกจากเขากับเผิงเยวี่ย สองคนจากหุบเขาปีศาจสวรรค์กับพี่น้องตระกูลโหวหยางสองคนมีเศษชิ้นส่วนมรดกชิ้นหนึ่งร่วมกัน คนที่เหลือนอกร่างล้วนมีแสงสีทองอ่อนๆ ระยิบระยับ เห็นชัดว่าในมือต่างมีเศษชิ้นส่วนชิ้นหนึ่ง


“เพราะมีคนบางคนทำให้พวกเราเสียเวลาไปมากนัก รีบเปิดดินแดนแห่งมรดกเถอะ” หลัวเทียนเฉิงมองบุรุษผมม่วงอย่างเย็นชา


สิ้นเสียง เขาก็ยกมือขึ้น เศษชิ้นส่วนที่ส่องแสงสีทองเรืองๆ ชิ้นหนึ่งบินพุ่งออกไปดังฟึ่บ ร่วงลงในช่องว่างช่องหนึ่งบนค่ายกลใจกลางแท่นศิลาอย่างมั่นคง


บุรุษผมม่วงได้ยินเพียงฉีกปากยิ้มแล้วสะบัดมือข้างหนึ่งเช่นกัน เศษชิ้นส่วนแผ่นค่ายกลอีกแผ่นหนึ่งบินออกไป ฝังลงไปในช่องว่างอีกช่องหนึ่ง


ขณะที่คนที่เหลือเตรียมจะทยอยโยนเศษชิ้นส่วนออกไปกระตุ้นค่ายกลบนแท่นศิลาอย่างสมบูรณ์ ทันใดนั้นบนท้องฟ้าไกลออกไปเสียงเปรี้ยงก็ดังขึ้น ปราณดำสายหนึ่งถาโถมมายังที่ซึ่งทุกคนอยู่ พลังน่าตะลึงอย่างยิ่ง


พวกโอวหยางเชี่ยนเห็นภาพนี้ล้วนอดไม่ได้ขมวดคิ้ว


มองดูสายลมสีดำที่ทั้งทรงพลังและดุดันแล้วเห็นได้ชัดว่าพลังของคนที่มาไม่ธรรม แต่ยามนี้ดินแดนแห่งมรดกกำลังจะเปิดออก พวกเขาล้วนไม่อยากหาเรื่องยุ่งยากอันใดเพิ่มอีก


“เห็นแต่ไกลว่าที่นี่มีปรากฏการณ์ประหลาดบนท้องฟ้า ฮ่ะๆ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นดินแดนแห่งมรดก!” สายลมสีดำมาถึงท้องฟ้าเหนือแท่นศิลา เสียงแหบสากเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากด้านใน


จากนั้นสายลมสีดำพลันหมุนติ้วแล้วหยุดนิ่ง กลายเป็นศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับผู้มีตาเล็กจมูกบี้ หน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่ง


“ที่แห่งนี้คือดินแดนแห่งมรดก คนได้รวมตัวกันครบแล้ว ในเมื่อท่านไม่มีชิ้นส่วนมรดกก็รีบจากไปจะดีกว่า” บุรุษผมม่วงเอ่ยเรียบๆ ประโยคหนึ่ง


ศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับผู้นี้แม้พลังแลดูอ่อนแอ แต่เรื่องมาจนถึงตอนนี้ย่อมไม่มีผู้ใดอยากให้มีคนมาแบ่งน้ำแกงอีก


“อ้อ? เศษชิ้นส่วนมรดก…”


ศิษย์อัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับยิ้มน่าขนลุกทีหนึ่ง สายตาพลันกวาดบนร่างผู้คนที่นั่นอย่างรวดเร็วแล้วจับจ้องอยู่บนร่างของคนชุดเทาผู้นั้น จากนั้นสายตาพลันเย็นเยียบ ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งก็แปลงกลายเป็นสายลมสีดำพัดหวีดหวิวลงมา


“เจ้า อ้าก…”


คนชุดเทาตกตะลึง ทันเพียงสะบัดแขนเสื้อรีบร้อนโยนแผ่นกลมแผ่นหนึ่งออกมาก็ถูกสายลมสีดำที่พัดลงมากะทันหันกลบเข้าไปมิดอย่างสิ้นเชิง


นาทีต่อมาสายลมสีดำก็พัดโถมคลั่งหมุนติ้วอยู่กับที่ไม่หยุด มีเสียงร้องแหลมแสบแก้วหูดังออกมาจากด้านในเป็นระยะ


หลังเสียงกรีดร้องโหยหวนทีหนึ่ง ศพอ่อนยวบประหนึ่งทั้งร่างไร้กระดูกร่างหนึ่งก็ถูกโยนออกมาจากด้านใน ร่วงหล่นไปนอกหุบเขา


ดูจากเสื้อผ้าที่หลงเหลืออยู่บนศพ เขาก็คือคนชุดเทาเมื่อครู่นั่นเอง


หลังสายลมสีดำมลายหายไป เงาร่างของศิษย์อัปลักษณ์นิกายปีศาจลี้ลับก็โผล่ออกมาอีกหน ทว่าในมือเขามีเศษชิ้นส่วนมรดกสีทองเรืองรองชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา พร้อมกันนั้นไอหมอกสีเทาสายหนึ่งก็มุดเข้าไปในโซ่แห่งโชคชะตาบนข้อมือของเขาอย่างว่องไวเช่นกัน


“ตอนนี้ข้ามีคุณสมบัติเข้าไปข้างในแล้วกระมัง”


ชายหนุ่มอัปลักษณ์ชูเศษชิ้นส่วนในมือขึ้น เอ่ยกับทุกคนอย่างน่าขนลุก


คนที่อยู่ที่นั่นเห็นศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับผู้นี้ชั่วเวลายกมือยกเท้าก็สังหารผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายผู้หนึ่งได้ในทันทีแล้ว ใบหน้าของพวกเขาปรากฏสีหน้าแตกต่างกันออกไป


ในดวงตาบุรุษผมม่วงทอประกายเย็นเยียบจางๆ แต่นาทีต่อมาก็ฟื้นคืนเป็นปกติแล้วเอ่ยเรียบๆ ขึ้นว่า


“ในเมื่อท่านเอาเศษชิ้นส่วนมรดกมาได้ ย่อมไม่มีปัญหาอันใดแล้ว”


“เอาล่ะ เสียเวลาไปไม่น้อยแล้ว ทุกท่านยังอ้อยอิ่งอะไรอีก รีบลงมือเข้าเถอะ ได้ยินว่าถึงเข้าไปในดินแดนแห่งมรดกได้ก็ยังต้องผ่านการทดสอบอีกหลายด่านถึงจะได้ผลประโยชน์ด้านใน” ขณะที่คนที่เหลือเงียบงันไม่พูดจา โอวหยางเชี่ยนฉับพลันก็เอ่ยขึ้น จากนั้นนางก็ยกมือขึ้น เศษชิ้นส่วนสีทองเรืองรองชิ้นหนึ่งบินพุ่งออกมาจากแขนเสื้อยาว


พวกเผิงเยวี่ยเห็นภาพนี้ก็ทยอยโยนเศษชิ้นส่วนมรดกออกมาด้วย เศษชิ้นส่วนฝังลงในช่องว่างของค่ายกลอย่างแม่นยำไม่พลาด


หลังชายหนุ่มอัปลักษณ์ผู้นั้นโยนเศษชิ้นส่วนมรดกชิ้นสุดท้ายไปบนแท่นศิลาอย่างไม่ใคร่ใส่ใจแล้ว ค่ายกลทั้งหมดฉับพลันส่องแสงสว่างจ้า ตรงใจกลางปรากฏอักขระห้าสีมหึมาตัวหนึ่ง จากนั้นม่านแสงสีทองชั้นหนึ่งก็แตกสลายหายไปทีละชั้นๆ หุบเขาทั้งหมดสั่นไหวเล็กน้อย


เสียงบึ้มดังสนั่นจนแก้วหูแทบดับดังขึ้นพักหนึ่ง จากนั้นแท่นศิลามหึมาก็ค่อยๆ จมลงไปใต้ดิน หลังจมลงไปใต้ดินจนมิด อักขระมหึมาฉับพลันกลายเป็นแสงสีทองดวงหนึ่งพุ่งไปบนกำแพงหินผืนหนึ่งด้านหลังแท่นศิลา


ทันใดนั้นผิวหน้าของกำแพงหินนี้ก็เริ่มส่องแสงสีน้ำเงิน เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด


สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินไปเป็นเวลาชั่วจิบชาครึ่งถ้วย แสงสีน้ำเงินในที่สุดก็กระจายออก หุบเขาทั้งหมดก็หยุดสั่นคลอน


เสียงแครกดังขึ้นทีหนึ่ง บนหน้าผาฉับพลันปรากฏช่องรอยแยกสูงหนึ่งจั้งกว่า ยาวสามสี่จั้งช่องหนึ่งประดุจประตูใหญ่เชื่อมไปยังห้วงอเวจีไร้ก้นบึ้ง ด้านในมืดสนิท จิตสัมผัสไม่อาจหยั่งเข้าไปได้สักนิด


“เอาล่ะ ทางเข้าแดนลึกลับแห่งมรดกเปิดออกแล้ว พวกเราไปกันเถอะ” หลังบุรุษผมม่วงหัวเราะ เขาก็ทะยานร่างกระโจนไปเป็นคนแรกกลายเป็นเงาสีม่วงสายหนึ่งไหววูบนำเข้าไปก่อน


หลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง ไม่ยอมแพ้แสงสีเงินม้วนวูบหนึ่งพุ่งเร็วรี่ตามหลังเขาเข้าไปติดๆ ด้วยเช่นกัน


ทุกคนเห็นดังนั้นก็พากันกลายเป็นลำแสงหลากสีพุ่งเข้าไปในรอยแยกด้วย


หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ หลังยิ้มเล็กน้อย เท้าก็เหยียบเมฆสีดำบินเข้าไปด้านในทันทีเช่นกัน


หลังเผิงเยวี่ยเข้าไปในปากทางเป็นคนสุดท้าย หุบเขาฉับพลันก็สั่นสะเทือนอีกหน ตรงรอยแยกค่อยๆ ประสานกัน ครู่เดียวทุกสิ่งก็กลับคืนสู่สภาพเดิม


ในเวลาเดียวกันนี้ พวกหลิ่วหมิงอยู่ในอุโมงค์หินเขียวทอดยาวแห่งหนึ่ง แม้สัมผัสได้ว่าทางเข้าเบื้องหลังปิดลง แต่ทุกคนทำประหนึ่งมองไม่เห็น ต่างคนเพียงทิ้งระยะห่างบินลงด้านล่างไปพลาง สำรวจสภาพแวดล้อมรอบด้านไปพลาง


พูดไปแล้วอุโมงค์เส้นนี้กว้างเพียงจั้งกว่า เคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกันได้เพียงสองคน นอกจากนี้ในอุโมงค์ยังมืดสนิทไปหมด จิตสัมผัสคล้ายออกจากร่างไปได้สองสามจั้งเท่านั้น แต่คนที่เข้ามาที่นี่ได้ล้วนเป็นผู้ที่จิตใจแน่วแน่ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา ต่างคนต่างทำเพียงเหอะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังเท่านั้น


ในอุโมงค์แคบเช่นนี้ หากมีผู้ใดลงมือลอบโจมตีอย่างไม่ทันคาดคิด ป้องกันอย่างไรก็ป้องกันไม่ได้ ดังนั้นระหว่างคนสองคนในแถวจึงรักษาระยะห่างอย่างน้อยหลายจั้ง ต่างระวังคนด้านหน้าและด้านหลังทั้งหมด


หลังบินลงไปใต้หุบเขาได้ระยะทางราวร้อยกว่าจั้ง ประตูศิลาที่ส่องแสงสีเทาบานหนึ่งก็ปรากฏเบื้องหน้าพวกเขา


ทุกคนพากันร่อนลงเบื้องหน้าประตูศิลา มองสำรวจจากบนจรดล่างไม่หยุดทันที


ประตูศิลาบานนี้สูงถึงเจ็ดแปดจั้งและปิดแน่นสนิท บนผิวมีอักขระสีเทาสิบกว่าตัวเคลื่อนวนอย่างต่อเนื่องและแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบสายหนึ่งออกมาอยู่เลือนราง


สองตาของหลิ่วหมิงหรี่ลง เขากรอกพลังเวทเข้าไปในดวงตาแต่ก็ค้นพบว่าไม่อาจมองทะลุประตูศิลาได้สักนิด จากนั้นเขากวาดจิตสัมผัสออกไปอีกแต่ก็ไม่ได้ผลเช่นเดียวกัน เห็นชัดว่าบนประตูถูกลงชั้นจำกัดพิเศษบางอย่างไว้


เรื่องนี้หลิ่วหมิงไม่รู้สึกประหลาดใจนัก หากประตูศิลาเบื้องหน้าไม่มีชั้นจำกัดเสริมไว้เลยจริงๆ กลับจะประหลาดใจอยู่บ้าง


หลังบุรุษผมม่วงมองประตูเสร็จ มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายเผยรอยยิ้มเย็นชาจางๆ ออกมา เขาสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง พลังมหาศาลล่องหนสายหนึ่งทะลักออกมาในทันที


เสียงเปรี้ยงดังขึ้นทีหนึ่ง


ประตูศิลาที่ดูแล้วหนักอึ้งอย่างยิ่งถึงกับถูกผลักเปิดอย่างง่ายดาย ด้านหลังกลับเป็นแสงสีขาวขมุกขมัวผืนหนึ่ง มองสิ่งใดไม่ชัดสักนิด


“เป็นประตูเคลื่อนย้ายจริงๆ!” บุรุษผมม่วงกลับเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา เขาคำรามพึมพำทีหนึ่งก็กระโจนเข้าไปข้างในก่อน อักขระสีเทาบนประตูศิลากะพริบวูบวาบพร้อมกัน จากนั้นร่างกายของคนผู้นี้ก็หายไปท่ามกลางแสงสีขาว


หลัวเทียนเฉิงเห็นภาพนี้สองคิ้วพลันกลายเป็นเส้นเดียว ทั่วร่างแสงเรืองรองสีเงินสาดออกมา กลายเป็นรุ้งสีเงินสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในประตูเช่นกัน


หลังจากนั้นศิษย์อัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับ บุรุษหน้าเหยี่ยว เซวียผาน ชายหนุ่มรถสีเงิน สตรีชุดเขียวสำนักเฮ่าหราน พี่น้องตระกูลโอวหยางก็ไม่รั้งรอนาน ทยอยขยับร่างเข้าไปเช่นกัน


หลิ่วหมิงลอบถือโล่พสุธาเอาไว้ในมือ จากนั้นก็กระทืบสองเท้าพุ่งเข้าไปในประตูศิลาด้วยเช่นกัน


เขาเหยียบเข้าไปในประตูศิลาปุบก็รู้สึกเพียงเบื้องหน้าดำมืด หลังกระแสลมรอบด้านปั่นป่วนวูบหนึ่ง เบื้องหน้าก็สว่างขึ้น เขามาปรากฏตัวในมิติที่มีหมอกสีเทาขมุกขมัวเต็มไปหมด ไอหมอกรอบด้านม้วนตลบเมื่อมองไปไกลๆ กลับไม่เห็นอะไรเลยสักนิด


บุรุษผมม่วง ชายหนุ่มอัปลักษณ์นิกายปีศาจลี้ลับ บุรุษหน้าเหยี่ยว ล้วนยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่ไกล พวกเขามองรอบด้านประเมินไม่หยุดเช่นกัน


ร่างของหลิ่วหมิงเพิ่งเหยียบมั่นคงได้ไม่นาน สองสามจั้งข้างกายเขาก็ปรากฏแสงสีเทาก้อนหนึ่งออกมาจากความว่างเปล่า หลังแสงดับลงก็เผยร่างของเผิงเยวี่ยออกมา


พร้อมกับการปรากฎตัวของเขา ไอหมอกสีเทารอบด้านพลันเคลื่อนไหวรุนแรงจากนั้นกระจายออกอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงเงยหน้ามองไปก็เห็นเพียงหลังไอหมอกสีเทาสลาย ทิวทัศน์รอบด้านฉับพลันกลายเป็นพื้นราบสีดำกว้างไร้ที่สิ้นสุดผืนหนึ่ง มองไปไม่มีสิ่งอื่น


“ที่นี่คือดินแดนแห่งมรดกงั้นหรือ เหมือนจะไม่มีสิ่งใดเลยนะ?” ขณะที่ทุกคนกำลังเผยสีหน้าสงสัย ไม่รู้ผู้ใดเอ่ยพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง


ผลปรากฏว่าคำพูดเพิ่งเอ่ยจบก็ได้ยินเสียงแกรกๆ ดังขึ้นมาจากพื้นด้านหน้า


นาทีต่อมาท่ามกลางสายตาประหลาดใจของทุกคน กำแพงหยกขาวสะอาดเกลี้ยงเกลาไร้ตำหนิที่มีความสูงร้อยกว่าจั้งผืนหนึ่งก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากใต้ดิน


กำแพงหยกไร้ตำหนิโผล่ออกมาจากพื้นดินปุบก็เลื่อนขึ้นไม่หยุด จนกระทั่งห่างจากพื้นดินหลายสิบจั้งถึงฉับพลันหยุดลง


หลังสั่นเบาๆ พักหนึ่ง กลางกำแพงหยกแสงสีขาวก็กะพริบวูบวาบ อุโมงค์ทรงกลมที่ส่องแสงสีขาวขมุกขมัวสามอันค่อยๆ ปรากฏออกมา แต่ละอุโมงค์ล้วนมีขนาดสองสามจั้งคล้ายเข้าไปได้พร้อมกันสามสี่คน


ทุกคนเห็นสถานการณ์นี้ สีหน้าล้วนเปลี่ยนไปมาไม่หยุดพักหนึ่ง


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)