หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 782-785
บทที่ 782 เกิดบ้าอะไรขึ้น
ณ ห้วงเวลานี้ ทั่วทั้งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กำลังจับจ้องไปที่กองทหารวิหคน้ำแข็ง การที่กองทหารสิบอันดับแรกของสำนักผนึกกำลังเพื่อห้ำหั่นกันเองนั้น เป็นเรื่องที่เกิดได้ยากยิ่ง
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดจากความทะเยอทะยานของเทพธิดาหลิงโยวเอง หากนางต้องการนำกองทหารของตนผงาดขึ้นมาเป็นกองทหารอันดับที่หก ด้วยพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะของนางก็คงทำได้ไม่ยาก ทุกสิ่งคงเป็นไปอย่างง่ายดายตามครรลองของมัน เนื่องจากกองทหารอันดับหกคงไม่สามารถต้านทานพลังของหญิงสาวได้
แต่สิ่งที่นางต้องการกลับไม่ใช่อันดับหก แต่เป็นอันดับห้า!
ซึ่งแปลว่านางกำลังเพิ่มความยากให้ภารกิจของตน โดยการท้าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนอื่นๆ สู้ ด้วยเหตุนี้นางจึงกลายมาเป็นจุดสนใจของทุกคน ดังนั้นกองทหารอันดับห้าจึงร่วมมือกับกองทหารอื่นๆ เพื่อสยบเทพธิดาหลิงโยวและทำให้นางได้สำนึกถึงตำแหน่งของตัวเอง
การต่อสู้ครั้งนี้…ดึงความสนใจได้แม้กระทั่งผู้อาวุโสระดับดาวพระเคราะห์ประจำสำนัก เขาเองก็กวาดสายตาผ่านห้วงอวกาศไปจับจ้องอยู่ที่สนามรบเช่นกัน
ขณะที่สายตาทุกคู่กำลังจับจ้องไปที่สมรภูมิ ผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่ก็ออกคำสั่งเคลื่อนกำลังพล เสียงร้องของปักษาดังกังวานไปทั่วบริเวณของกองทหารวิหค พลันโล่เปลวเพลิงล่องหนที่สร้างมาจากเพลิงสีฟ้า ก็เข้าครอบทั้งกองทัพเอาไว้เหมือนถ้วยคว่ำ คอยปกป้องผู้ฝึกตนน้อยใหญ่จากภัยภายนอก
นี่คือวงแหวนปราณป้องกันของกองทหารวิหคน้ำแข็ง วงแหวนปราณเพลิงเย็นปักษาผงาด!
ขณะที่ท้องฟ้าและผืนดินกำลังสั่นสะเทือนอยู่นั้น เปลวเพลิงสีฟ้าไม่ได้ปล่อยความร้อนระอุออกสู่บรรยากาศภายนอก หากแต่เป็นความเย็นจับขั้วหัวใจ ไอเย็นนี้แพร่กระจายไปทั่วบริเวณ จนเริ่มเห็นเกล็ดหิมะก่อตัวขึ้น ลอยละล่องอยู่ทั่วสนามรบ เรือบินรบจำนวนมากเคลื่อนที่ออกจากรอยแยกบนท้องฟ้าไกลจากวงแหวนปราณของกองทหารวิหคน้ำแข็ง
ในหมู่เรือบินรบมีอยู่สามลำที่มีรูปลักษณ์พิเศษและพลังปราณเข้มข้นกว่าใครเพื่อน เรือบินรบสามลำนี้เป็นของผู้บัญชาการกองทหารอันดับที่หก เจ็ด และสิบเอ็ด ลำหนึ่งเป็นทรงพีระมิด อีกลำเป็นวงแหวน ส่วนลำสุดท้ายที่เป็นของกองทหารอันดับสิบเอ็ดนั้น ผู้บัญชาการสูงสุดประจำกองทหารยืนผงาดอยู่บนดอกบัวเพลิงเย็นขนาดยักษ์ ในมือถือหอกยาว ภาพนี้ทำให้ชายผู้นี้ดูน่าเกรงขามเป็นอันมาก
แต่จากเรือบินรบทั้งหมดแล้ว ลำที่โดดเด่นที่สุดคือลำที่อยู่เบื้องหลัง มันรูปร่างเหมือนมังกรยักษ์สีแดง ลำตัวของมังกรใหญ่มหึมา พลังกดดันที่ปล่อยออกมาอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนมังกรสีแดงนั้น เขาอยู่ในชุดคลุมยาว ดูน่าเกรงขามดุดันแม้ไร้ซึ่งโทสะ พลังปราณของเขาอยู่ที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะเช่นเดียวกัน
ชายผู้นี้คือผู้บัญชาการของกองทหารอันดับที่ห้า ผู้มีนามว่าศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดง มังกรยักษ์ที่อยู่แทบเท้าของเขาก็คือเรือบินรบเวทนั่นเอง!
“สหายเต๋าหลิงโยว ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ายอมทิ้งความคิดที่จะท้าทายกองทหารมังกรแดงของข้าหรือไม่!” ประกายแสงวาบเข้ามาในแววตาของชายวับกลางคนขณะพูด เขาไม่สนใจทั้งวงแหวนปราณและกองทหารวิหคน้ำแข็งที่อยู่ภายใน แต่มองไปที่ตำหนักซึ่งอยู่หลังสุดของกองทัพทั้งหมด ราวกับว่าดวงตาของเขาสามารถมองทะลุกำแพงตำหนัก และเห็นเทพธิดาหลิงโยวที่กำลังนั่งขัดสมาธิ ซึ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ได้
“สหายเต๋ามังกรแดง พยายามพูดไปก็ป่วยการเปล่า”
ศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงที่อยู่ภายนอกวงแหวนปราณส่ายหน้าเล็กน้อยหลังจากได้ยิน เขารู้สึกได้ถึงโทสะที่ค่อยๆ สุมอยู่ภายในใจ ก่อนหน้านี้กองทหารมังกรแดงอยู่อันดับสี่ แต่ก็พ่ายแพ้ให้กองทหารเกราะดำในการแข่งขัน จึงถูกลดอันดับมาอยู่ที่อันดับห้า เพียงเท่านั้นเขาก็รู้สึกหัวเสียมากแล้ว แต่บัดนี้กองทหารวิหคน้ำแข็งยังวางแผนท้าสู้กับเขาอีกด้วย ดวงตาของศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงสว่างวาบ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกมือขวาขึ้นกำโดยฉับพลัน ทันใดนั้น เปลวเพลิงก็พวยพุ่งออกจากร่าง มังกรแดงที่อยู่แทบเท้าอ้าปากคำราม ก่อนพ่นไฟประลัยกัลป์ออกมา เปลวเพลิงนั้นเมื่อรวมเข้ากับพลังเทพของศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงก็พลันก่อรูปร่างกลายเป็นมือเพลิงยักษ์ในทันที มือยักษ์สีแดงฉานฟาดทับลงมาที่วงแหวนปราณของกองทหารวิหคน้ำแข็ง!
แต่ก่อนที่มือยักษ์จะทันได้ตบลงไปที่วงแหวนปราณ มือยักษ์อีกมือหนึ่งก็ยื่นออกจากเปลวไฟสีฟ้าที่ล้อมกองทหารวิหคน้ำแข็งเอาไว้ มือยักษ์ต่างขั้วพุ่งเข้าปะทะกันกลางอากาศ
เสียงปะทะดังสะเทือนไปทั่ว มือยักษ์เปลวไฟสีฟ้าถูกลมพัดปลิวสลายไป เผยให้เห็นเรือบินรบของหลิงโยวที่ซ่อนอยู่ภายใน เรือบินรบของนางดูราวกับเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม ที่แหวกการเกาะกุมของมือยักษ์พุ่งทะยานเข้าใส่ศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงในทันที!
ทั้งสองห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ส่วนกองทัพภายนอกวงแหวนปราณก็เริ่มต่อสู้กัน ผู้ฝึกตนมากมายเหาะเหินไปในอากาศ เรือบินรบจำนวนมากเรียงตัวเป็นแนวเสาสว่างจ้าที่มีพลังทำลายล้างรุนแรง เมื่อแนวเรือบินรบลงจอดบนวงแหวนปราณของกองทหารวิหคน้ำแข็งได้สำเร็จ กองทหารวิหคน้ำแข็งก็เริ่มกระโจนเข้าตอบโต้ในทันที
หุ่นเชิดรูปปั้นมากมายผงาดขึ้นจากพื้นดินตามบัญชาการของผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่ กองทหารอันดับที่แปดและเก้าซึ่งเป็นพันธมิตรกับกองทหารวิหคน้ำแข็งเพิ่งมาถึง และเข้าร่วมการตะลุมบอนด้วยเช่นกัน
เสียงการสู้รบกึกก้องไปทั่วทุกสารทิศ พลังเทพทำให้พื้นพิภพสั่นสะท้านและระเบิดใส่วงแหวนปราณ การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด มีหลายคนได้รับบาดเจ็บ แม้ผู้เสียชีวิตจะยังมีไม่มากนัก แต่หากเหตุการณ์ยังดำเนินไปในรูปการณ์นี้สถานการณ์จะต้องย่ำแย่ลงอย่างแน่นอน
หากเป็นเมื่อก่อน หวังเป่าเล่อที่เห็นฉากตรงหน้าอาจรู้สึกฮึกเหิมไปตามบรรยากาศ แต่ไม่ใช่ในครั้งนี้ สิ่งเดียวที่อยู่ในห้วงความคิดของเขาคือการหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบแปดให้ได้ เขาไม่สนใจว่าใครจะตีกับใครเพื่อแย่งชิงอะไรทั้งสิ้น และยังคงวิเคราะห์ทฤษฎีของตนเองอยู่ในใจ ราวกับวิญญาณได้ออกจากร่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนการซ่อมแซมนั้นสามารถดำเนินไปเองโดยไม่ต้องการความช่วยเหลือของเขาแม้แต่น้อย เมื่อหุ่นเชิดที่ได้รับความเสียหายเดินกลับมาที่โรงซ่อม ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทเหมือนหวังเป่าเล่อ ก็รีบพุ่งเข้าไปซ่อมแซมอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงมีเวลาว่างนั่งคำนวณในหัวอยู่คนเดียวโดยไม่มีใครสนใจ เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า การต่อสู้ในสนามรบเริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เกิดรอยแยกขึ้นบนวงแหวนปราณกองทหารวิหคน้ำแข็งถึงสองรอย ผู้ฝึกตนมากมายกระโจนเข้าไปในรอยแยกเหล่านั้นพร้อมด้วยเสียงดังลั่น
ผู้ฝึกตนจากกองทหารวิหคน้ำแข็งมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาและรวมทัพในทันที ส่วนผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ทั้งสามคนก็ล่าถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองฝั่งต่อสู้กันอย่างดุเดือด วงแหวนปราณที่เสียหายซ่อมแซมตนเองอย่างรวดเร็ว ตอนที่วงแหวนปราณกำลังจะปิดสนิทลงอีกครั้งนั้น รังสีพลังรุนแรงสองสายก็พุ่งพรวดออกจากรอยแยก ผ่านเข้ามาภายในวงแหวนปราณเหมือนดาวตก ก่อนจะเหยียบลงบนพื้นของสมรภูมิเบื้องล่าง
“ประมุขหลิงเถา!”
“ปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารี!” เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังไปทั่วกองทหารวิหคน้ำแข็ง ส่วนเสียงหัวเราะกึกก้องนั้นดังมาจากร่างทั้งสองที่เพิ่งลงสู่พื้น ทั้งสองคือผู้บัญชาการของกองทหารอันดับเจ็ดและสิบเอ็ด!
ประมุขหลิงเถาปล่อยพลังปราณขั้นแสร้งอมตะให้กระจัดกระจายไปทั่วสนามรบเหมือนพายุร้าย ดวงตาของเขาหรี่แคบขณะมองผู้ฝึกตนหญิงจากกองทหารวิหคน้ำแข็งที่กำลังทำทีเหมือนพวกเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจ และเมื่อเห็นผู้ฝึกตนหญิงรูปร่างสวยงามยั่วยวน ประกายร้ายกาจในแววตาของปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารีก็ชัดเจนจนปิดไม่มิด
รอยแยกทั้งสองไม่ได้อยู่ไกลจากตัวหวังเป่าเล่อเท่าใดนัก แต่เขาทำเพียงเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้น ไม่คิดใส่ใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย การคำนวณสูตรหลอมโล่ในใจกำลังเดินทางมาถึงจุดสำคัญ จนเขารู้สึกได้ว่าตนเองกำลังจะบรรลุวิชาครั้งใหญ่
ทว่า…แม้ตัวเขาจะไม่ได้ใส่ใจผู้บัญชาการทั้งสอง แต่ด้วยความที่เป็นชาย จึงย่อมดูโดดเด่นออกมาจากผู้ฝึกตนรอบกายที่ส่วนมากเป็นสตรีเพศ แม้เขาจะไม่ใช่คนเดียวที่เป็นบุรุษ แต่คนอื่นๆ ที่เหลือต่างมีสีหน้ากระวนกระวายและจริงจัง มีหวังเป่าเล่อเพียงคนเดียวที่ดวงตาล่องลอยเหมือนกำลังฝันกลางวันอยู่ เขาจึงไปเตะตาผู้บัญชาการกองทหารอันดับเจ็ดเข้าจนได้
หลงหนานจื่อรึ ประกายแสงสว่างวาบในแววตาของชายที่เพิ่งมาถึง ค่าหัวของหวังเป่าเล่อผุดขึ้นในสมอง ส่วนประมุขหลิงเถาก็ดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน
ประมุขหลิงเถาถือหอกเอาไว้ในมือ มีก้อนน้ำแข็งสีดำราวแปดก้อนอยู่แทบเท้า ทันทีที่พลังปราณก้าวเข้าสู่ขั้นแสร้งอมตะ ความมั่นใจของเขาก็เพิ่มมากขึ้น เมื่อเข้ามาในวงแหวนปราณได้ ประมุขหลิงเถาก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นด้วยความยโสโอหัง
“หลังการต่อสู้ในครั้งนี้ กองทหารของข้าจะต้องก้าวขึ้นมาสู่สิบอันดับแรกอย่างแน่นอน!” ประมุขหลิงเถาพูดพร้อมวาดหอกเป็นครึ่งวงกลม เขากวาดสายตามองรอบตัว และสังเกตเห็นหวังเป่าเล่อในทันทีเช่นเดียวกับผู้บัญชาการกองทหารอันดับทเจ็ด ภาพที่ทั้งสองมองเห็นคือ ภาพของหวังเป่าเล่อที่กำลังก้มหน้าครุ่นคิดเหมือนฝันกลางวันท่ามกลางผู้ฝึกตนหญิงมากมายที่รายล้อม
เมื่อเห็นดังนั้น ดวงตาของประมุขหลิงเถาก็วาววับ เขาดูประหลาดใจมาก รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏบนใบหน้าขณะพุ่งตรงเข้าไปหาหวังเป่าเล่อ ราวกับกลัวว่าปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารีจะชิงตัดหน้าเก็บหวังเป่าเล่อไปก่อน
ส่วนโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่ลอยอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มนั้น แน่นอนประมุขหลิงเถาย่อมรู้ว่ามันคือสิ่งใด แต่เขาก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เนื่องจากดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นโล่ระดับต่ำที่คงไม่ระคายผิวเขาแต่อย่างใด!
ความต้องการสังหารพุ่งออกจากร่างประมุขหลิงเถา ดวงตาของเขาไม่ได้มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าว่าเป็นหวังเป่าเล่อ หากแต่เป็น…รางวัลค่าหัวจำนวนมหาศาลที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำนำมาล่อ!
“เจ้าอยู่ที่นี่เอง!” เสียงของเขาก้องไปในอากาศ ร่างเข้ามาประชิดตัวในทันทีเหมือนสายฟ้าฟาด ประมุขหลิงเถาปล่อยพลังปราณของตนเองเต็มพิกัด เปลวไฟสีดำระเบิดออกมาจากปลายหอกในมือ แปรเปลี่ยนเป็นสุนัขป่าสีดำที่กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะทะยานเข้าหาหวังเป่าเล่อ
ภาพของสุนัขสีดำที่รวบรวมพลังปราณขั้นแสร้งอมตะของประมุขหลิงเถาเอาไว้ พุ่งเข้าปะทะหวังเป่าเล่อจากด้านหน้าในทันที ในตอนนั้นเอง โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาก็สะท้อนแสงสว่างเจิดจ้าราวกับเป็นดวงอาทิตย์ โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดทั้งหมด 20,000 ชิ้นผนึกรวมกำลังกันเป็นหนึ่งท่ามกลางแสงสว่างนั้น และปล่อยพลังอันน่าเหลือเชื่อของโล่ระดับสิบเจ็ดออกมาด้วยพลังสะท้อนกลับระดับตำนานที่ร้อยละ 170…
สิ่งที่ตามมา…คือเสียงกรีดร้องแหลมสูงด้วยความเจ็บปวดโหยหวนน่าขนลุกที่กระจายไปทั่วบริเวณ เสียงดังกล่วฟังดูตกใจจนแทบสิ้นสติ ไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมร่างของประมุขหลิงเถาที่ปลิวไปด้านหลังด้วยความเร็วมากกว่าตอนที่เขาพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อเสียอีก หอกในมือแตกสลาย ส่วนแขนก็ระเบิดกระจุยกระจาย เลือดสดๆ สาดกระเซ็นไปทุกหนแห่ง กระทั่งแขนอีกข้างก็ยังระเบิดออกดังโพละ…
สมรภูมิโดยรอบเงียบสงัดลงในวินาทีนั้น มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ยังคงมีท่าทีประหลาดอยู่ เขาเพิ่งคำนวณจุดสำคัญที่สุดในสมการ และมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดตนเองโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีบางสิ่งพุ่งเข้ามาใส่ตน จนส่งผลให้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาทำงาน…
“เกิดบ้าอะไรขึ้น” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้ารำคาญใจ
บทที่ 783 เป่าเล่อออกจากการถือสันโดษ!
เสียงกรีดร้องนั้นแหลมสูงชวนสันหลังวาบอย่างถึงที่สุด แม้แต่ในสนามรบเอง ทุกคนที่กำลังต่อสู่กันอยู่ยังต้องหยุดทุกอย่างเพื่อหันมามอง สมรภูมิที่เคยอึกทึกครึกโครมบัดนี้กลับเงียบสงัด…
ทุกคนมองไปยังประมุขหลิงเถาที่กำลังกรีดร้องอย่างเสียมิได้ แขนของเขาระเบิดหายไป เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว หน้าอกยุบ หอกแหลกสลาย ก้อนน้ำแข็งสีดำที่อยู่แทบเท้าก็เริ่มร้าว องค์ประกอบทุกอย่างทำให้ภาพนี้…ดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก!
สายตาทุกคู่ยังคงจับจ้องภาพของประมุขหลิงเถาที่ลอยไปในอากาศ และตกกระแทกพื้นดังตุบอย่างรุนแรงจนทำให้อิฐศิลาครามแตกร้าว เลือดสดๆ ยังคงไหลทะลักไม่หยุด ประมุขหลิงเถาที่แทบเอาชีวิตตนเองไม่รอด กำลังดิ้นพราดๆ อยู่บนพื้นด้วยแววตางุนงง เขามองหวังเป่าเล่อ จิตใจอัดแน่นด้วยความคิดมากมาย
เกิดบ้าอะไรขึ้น! ประมุขหลิงเถางุนงงจนคิดอะไรไม่ออก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ดูแทบเป็นไปไม่ได้ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าเขายังจิตใจเบิกบานมีชีวิตชีวา เชื่อมั่นว่าเมื่อปราณของตนพัฒนาถึงขั้นแสร้งอมตะแล้ว จะต้องสามารถนำกองทหารก้าวขึ้นมาอยู่ในสิบอันดับแรกได้อย่างแน่นอน และตัวเขาก็จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในที่สุด
ทว่าเมื่อไม่กี่นาทีต่อมา…เขาเพียงพุ่งหอกใส่หวังเป่าเล่อเท่านั้น แต่ด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่อาจทราบได้ หวังเป่าเล่อกลับสร้างพายุที่น่าสยองขวัญจับใจเข้ามากลืนกินตัวเขาจนสิ้นสภาพ โดยไม่ให้โอกาสเขาได้ตอบโต้ด้วยซ้ำ
ต้องมีอะไรผิดปกติเป็นแน่… นี่คือความคิดสุดท้ายของประมุขหลิงเถา ก่อนที่เขาจะกระอักเลือดออกมาชุดใหญ่และหมดสติไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่หรือตาย
การโจมตีของประมุขหลิงเถาเมื่อครู่รุนแรงด้วยความต้องการสังหารหวังเป่าเล่อ เขาไม่ต้องการให้คนอื่นมาซุบซิบนินทาตน จึงอัดพลังเข้าไปเต็มที่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แรงสะท้อนกลับจากโล่นั้นมากถึงร้อยละ 170 ซึ่งรุนแรงกว่าขีดจำกัดที่ร่างกายของเขาจะทานทนได้ เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะปัดป้องเสียด้วยซ้ำไป
ขณะที่ทุกคนไม่รู้ว่าประมุขหลิงเถายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เหล่าผู้บัญชาการระดับสูงซึ่งกำลังดูการสู้รบอยู่…รวมถึงผู้อาวุโสแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ต่างพากันสีหน้าเปลี่ยนในทันที สายตาทุกคู่จากทุกทิศทางมันหาจับจ้องหวังเป่าเล่อเป็นตาเดียว ก่อนจะสังเกตเห็นโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของเขา!
ตอนแรกไม่มีใครใส่ใจสังเกตโล่ของหวังเป่าเล่อ แต่เมื่อได้พิจารณาดูแล้ว ผู้ฝึกตนชั้นสูงจากหลายภาคส่วนก็เริ่มมีสีหน้าประหลาด และเมื่อมองดูดีๆ อีกครั้ง ก็เห็นได้ชัดเจนว่าโล่นี้เป็นโล่ระดับเจ็ด ไม่ใช่ระดับสามตามที่หน้าตาของมันปรากฏ ส่วนการสร้างปรากฏการณ์น่าตกใจเมื่อครู่นั้นเกิดจากวิธีการใดก็ไม่ทราบได้
แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้พวกเขาพากันมีสีหน้าประหลาด สิ่งที่ทำให้ทุกคนเป็นเช่นนั้น ก็คือความจริงที่ว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสูงที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ กลับถูกจงใจแปลงสภาพให้มีหน้าตาเหมือนโล่ระดับสาม
“เจ้าเล่ห์เป็นบ้า!”
“หมอนี่มัน…อย่าไปยุ่งกับมันจะเป็นการดีที่สุด!”
“หมอนี่ทำให้คนบาดเจ็บปางตายจนพิการแต่กลับไม่รู้สึกรู้สมอะไรเลย!”
ขณะที่ความคิดเหล่านี้กำลังผุดขึ้นมาในจิตใจของผู้ฝึกตนชั้นสูงของสำนัก หวังเป่าเล่อก็รู้สึกรางๆ ว่ามีสายตาจากเบื้องบนจ้องลงมายังตัวเขา จิตใจของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความรู้สึกตึงเครียดโดยไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุใด ชายหนุ่มทั้งรู้สึกสิ้นไร้ไม่ตอกและเป็นกังวล เขามองประมุขหลิงเถาที่ชะตากรรมเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ ก่อนจะหันไปมองโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาหน้าตาน่าเกลียดเบื้องหน้าตน จากนั้นก็กระแอมกระไอออกมา และกวาดตามองไปรอบตัว ทุกคนในที่แห่งนั้นมองจ้องเขาเป็นตาเดียว ทั้งยังปากอ้ากว้างด้วยความตกตะลึง หวังเป่าเล่อดึงสีหน้าใสซื่อ เขาเดินไปหาฝูงชนสองสามก้าว
“พวกเจ้าก็เห็นกันหมดไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ความผิดข้านะเรื่องนี้ ข้ายืนคิดนู่นนี่อยู่เงียบๆ คนเดียว จู่ๆ หมอนี่ก็เข้ามาแตะโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของข้า แล้วก็บาดเจ็บไปเสียอย่างนั้น… ข้าว่าเขาแสดงละครแล้วละ!”
คำพูดของหวังเป่าเล่อ รวมถึงการที่เขาก้าวเข้าไปหาฝูงชน เปรียบเสมือนการโยนหินก้อนเขื่องลงในน้ำนิ่งจนทำให้ผิวน้ำกระเพื่อมไหวเป็นระลอก ทำให้ฝูงชนโดยรอบหันไปมองเขาเป็นตาเดียวด้วยสายตาเหมือนเห็นผี และรีบถอยหลังเหมือนฝูงผึ้งแตกรัง…
“อย่าเข้ามา!”
“หยุดเดี๋ยวนี้ หลงหนานจื่อ อย่าเพิ่งวู่วามไป!”
ขณะที่กำลังล่าถอย บรรดาผู้ฝึกตนสตรีจากกองทหารวิหคน้ำแข็ง และผู้ฝึกตนจากกองทหารอันดับเจ็ดและแปดที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ ต่างพากันพูดเป็นเสียงเดียว และมองโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่ลอยวนรอบกายหวังเป่าเล่ออย่างช้าๆ ด้วยสายตาหวาดกลัวถึงขีดสุด
ผู้ฝึกตนสตรีจากกองทหารวิหคน้ำแข็งนั้นอยู่ในสังกัดเดียวกับหวังเป่าเล่อ การที่พวกเขาถอยหนีเพราะกลัวนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ผู้ฝึกตนจากกองทหารฝั่งตรงข้ามเองก็โยนความคิดที่จะแก้แค้นแทนประมุขหลิงเถาทิ้งไปเรียบร้อย และรีบถอยหนีอย่างรวดเร็วในทันที…
ราวกับว่าหวังเป่าเล่อเป็นฝันร้ายที่กำลังวิ่งไล่ตามพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น พวกเขามองว่าสิ่งที่กำลังลอยวนอยู่รอบตัวหวังเป่าเล่อนั้นหาใช่โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไม่ แต่เป็นอาวุธสังหารเลือดเย็นที่จะคร่าชีวิตทุกคนที่สัมผัสมันเข้า!
ไม่ใช่แค่เหล่ากองทหารเท่านั้นที่รู้สึกเช่นนี้ กระทั่งผู้บัญชาการกองทหารอันดับที่เจ็ด ปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารีที่มีปราณขั้นแสร้งอมตะและควบคุมกองกำลังเช่นกัน ยังมองเขาเหมือนเห็นผีและล่าถอยด้วยความเร็วที่มากกว่าคนอื่นๆ เสียอีก พอหายจากอาการตกใจเรียบร้อย ความรู้สึกว่าตนเองรอดความตายมาได้อย่างหวุดหวิดก็ผ่านเข้ามาในใจ
สวรรค์เป็นพยาน นั่นมันโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจริงหรือ ไม่มีทางเป็นอันขาด!
หากเขาไม่ได้ขยับตัวช้ากว่าเล็กน้อยจนถูกประมุขหลิงเถาแซงหน้าไปก่อน คนที่ต้องบาดเจ็บปางตายนอนหายใจรวยริน หรืออาจไปโลกหน้าแล้ว คงไม่ใช่หลิงเถา แต่เป็นเขานั่นเอง
ทว่าในตอนนั้นเอง… แม้เขาจะอยู่ในหมู่ผู้ที่หลบหนี แต่ด้วยความที่มีพลังปราณสูงสุดในหมู่คนทั้งหมด หวังเป่าเล่อจึงสังเกตเห็นเขา และยกมือขึ้นทักทาย
“สหายเต๋าตรงนั้นน่ะ ท่านก็เห็นเหมือนกันใช่หรือไม่ ท่านต้องช่วยข้าพิสูจน์นะว่าหมอนั่นมันแกล้งทำ!” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดเล็กน้อย เขารู้สึกว่าชายที่ตนเองส่งปลิวออกไปเมื่อครู่น่าจะเสียชีวิตไปแล้ว
ปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารีที่กำลังถอยหลังอยู่ในอากาศ รู้สึกถึงอารมณ์มากมายที่ถาโถมเข้ามาในใจเมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ และกำลังจะระเบิดความรู้สึกทั้งหลายออกมา แต่ดูเหมือนเขาจะกลัวการถูกหวังเป่าเล่อตามตื๊อมากกว่า จึงตัดสินใจหันหลังกลับและรีบเร่งทะยานออกจากวงแหวนปราณของกองทหารวิหคน้ำแข็งไป เขาเหาะหนีออกไปจากที่แห่งนี้ในทันที บรรดาผู้ฝึกตนจากกองทหารอันดับที่เจ็ดและสิบเอ็ดต่างก็ล่าถอยอย่างรวดเร็วเช่นกัน ไม่นานนัก พวกเขาก็ออกจากไปจนหมดเกลี้ยง…
เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อทำตัวไม่ถูกอย่างถึงขีดสุด เขามองผู้ฝึกตนหญิงรอบกาย ใบหน้าเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอบอุ่นใจดี ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ทุกคนก็พากันถอยหนีอีกครั้งด้วยความยำเกรงและหวาดกลัว
“เป็นอะไรกันไปหมด ข้าไม่ใช่อสูรกายกินคนนะ…” หวังเป่าเล่อตบหน้าผากตนเองและถอนใจยาว
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ในสายของของผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่ที่ควบคุมการรบทั้งสิ้น นางตัวแข็งอยู่กับที่ ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง การจากไปของผู้ฝึกตนคู่อริจำนวนมากทำให้ผู้คนที่อยู่ภายนอกวงแหวนปราณสังเกตเห็นด้วยเช่นกัน ทุกคนหันไปมองสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวงแหวนปราณด้วยสีหน้าตกใจ แม้จะไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่ก็เห็นร่างของประมุขหลิงเถานอนนิ่งไม่ไหวติงได้อย่างชัดเจน
“เกิดอะไรขึ้น”
“หลิงเถาไม่ได้เพิ่งเข้าไปหรือ นี่มันอะไรกัน…”
“ผู้บัญชาการเมฆาวารี เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ!”
เมื่อถูกเหล่าผู้ฝึกตนรอบกายกดดันเช่นนี้ ปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารีก็ดึงสีหน้าเหยเกแล้วเอ่ยว่า “ใครอยากสู้ต่อก็ตามใจพวกเจ้า แต่ข้าพอแล้ว ใครมันจะไปต่อกรกับปีศาจร้ายที่กองทหารวิหคน้ำแข็งซ่อนเอาไว้ได้กัน…”
หลังจากที่ตะโกนตอบคำถามเรียบร้อย ปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารีก็จากไปพร้อมบริวารของตนอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้หันหลังกลับมามองอีก
การจากไปของเขา กับความจริงที่ว่าไม่มีใครทราบชะตากรรมของประมุขหลิงเถา ทำให้กลุ่มพันธมิตรอ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนมังกรแดงก็กำลังห้ำหั่นกับเทพธิดาหลิงโยวอย่างเอาเป็นเอาตาย จึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้กองทหารวิหคน้ำแข็งจึงได้โอกาสโต้กลับ!
ผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่สั่งให้คนเข้าจับกุมประมุขหลิงเถาในทันที นับว่าเขาโชคดีที่ไม่ได้เสียชีวิต… นางเหาะไปดูอาการของอีกฝ่ายด้วยตนเอง พลางหายใจเข้าลึก ก่อนจะมาหยุดที่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ และโค้งคำนับเป็นมุมฉากด้วยความเคารพ
“ในสมรภูมินี้ สหายเต๋าหลงหนานจื่อได้ทำคุณงามความดีเอาไว้มากที่สุด! โปรดช่วยโจมตีศัตรูของเราต่อ และช่วยให้กองทหารของเราได้รับชัยชนะด้วยเถิด!” ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความจริงใจ นางโค้งต่ำให้หวังเป่าเล่ออีกครั้งหลังจากที่พูดจบ
หวังเป่าเล่อมองหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า พลางพยายามคิดหาวิธีปฏิเสธอย่างสุภาพ ตอนนี้ความต้องการของเขาแน่วแน่ชัดเจนมาก ซึ่งก็คือการเดินหน้าวิจัยเรื่องโล่ต่อไป แต่ภายในอึดใจเดียวผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่ก็พูดอีกครั้งด้วยเสียงแผ่วเบา
“หลังจบการรบเราจะมอบรางวัลให้ผู้ที่มีบทบาทให้เราได้กำชัยมากที่สุด ข้าสัญญาว่าท่านจะพึงพอใจกับผลตอบแทนอย่างแน่นอน!”
เมื่อได้ยินดังนั้นหวังเป่าเล่อก็กะพริบตาปริบ เขาคิดย้อนไปว่าชีวิตของตนในกองทหารวิหคน้ำแข็งก็มีความสุขดี แม้เทพธิดาหลิงโยวจะไม่ได้ยินดียินร้ายกับเขา แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องปกติ ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงเงยหน้าขึ้น มองไปรอบๆ สนามรบภายนอกวงแหวนปราณ และพยักหน้าตอบรับ
“ข้าก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของกองทหารวิหคน้ำแข็ง เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วที่ต้องรับใช้กองทัพ!” หวังเป่าเล่อเอ่ย พร้อมขยับตัวทะยานออกนอกวงแหวนปราณไป!
ทันทีที่เท้าสัมผัสพื้น ร่างของชายหนุ่มก็อันตรธานไป และมาปรากฏตัวอีกครั้งที่ท้องฟ้านอกวงแหวนปราณ ทันทีที่เขามาถึง ผู้ฝึกตนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ราวแปดคนก็พุ่งเข้าโจมตี ก่อนจะปลิวว่อนพร้อมเสียงกรีดร้องทรมาน ทั้งเลือดพร้อมเศษเนื้อสาดกระเซ็น หวังเป่าเล่อถอนใจ เขาตระหนักดีว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจะต้องถูกคนที่มียศสูงกว่าในสำนักนี้ยึดไปอย่างแน่นอน
แต่จากการคำนวณของข้า ข้าเพียงตั้งใจว่าจะทดลองใช้วิธีซ้อนอักขระจนสุดทางเท่านั้น จากนั้นก็จะเลิกใช้วิธีนี้และหันไปเปลี่ยนโครงสร้างของโล่แทน ดังนั้นต่อให้มีคนเอามันไปจากข้า…มันก็จะเป็นเพียงโล่รูปแบบเก่าเท่านั้น นอกจากนี้ข้าเองก็เป็นสมาชิกของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ด้วย ถึงอย่างไรพวกเขาก็คงจะใช้กำลังยึดไปจากข้าไม่ได้ หากรูปการณ์เป็นไปในแนวนี้แล้วละก็…ข้าก็ควรใช้โอกาสนี้สำแดงอำนาจของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาให้ถึงขีดสุด เพื่อที่จะทำให้มูลค่าของมันพุ่งสูงขึ้นไปอีก!
บทที่ 784 ตีข้าเลยสิ!
เมื่อคิดได้ดังนั้น ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องประกายวาบ เขาสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่กำลังหมุนวนรอบกายพลันปล่อยแสงสว่างเจิดจ้า แต่แสงนั้นก็มอดดับลงทันทีหลังจากนั้น ภายในไม่กี่วินาที โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาก็โปร่งแสง กลืนตนเองไปกับบรรยากาศโดยรอบ
ถึงเวลาแสดงความสามารถในการพรางตนของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของข้าแล้ว หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ รู้สึกเหมือนเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต เขาอดไม่ได้ที่จะย้อนนึงไปถึงเรื่องราวที่ตนเองเคยโฆษณาขายสินค้าในการประลองที่สำนักศึกษาศักดิ์สิทธิ์สมัยยังเยาว์วัย
หรือว่าข้าเลือกทางเดินผิดกันนะ ความจริงแล้วข้าไม่เหมาะจะเป็นผู้นำสหพันธรัฐแต่ควรเป็นนักธุรกิจมากกว่า ต้องเป็นเพราะเหตุนี้แน่ๆ เซี่ยไห่หยางถึงใจดีกับข้านัก หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกซาบซึ้งในความยอดเยี่ยมของตนเองขึ้นมาในใจ แต่ก็ไม่ได้หยุดตัวเองแต่อย่างใด ชายหนุ่มพุ่งทะยานไปข้างหน้าเหมือนดาวหางในสนามรบขนาดยักษ์มีคู่ต่อสู้อยู่มากมาย
เขากระโจนเข้าใส่กลุ่มผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่ง ทันทีที่เข้าไปอยู่กลางวง เหล่าผู้ฝึกตนบ้าดีเดือดก็พลันพุ่งเข้าโจมตีเขา เสียงการสู้รบดังสะเทือนเลื่อนสั่น วัตถุเวทราวแปดชิ้นปล่อยพลังโจมตีรุนแรงออกมา ก่อนพุ่งเข้าปะทะหวังเป่าเล่อที่ด้านหน้า
ขณะที่วัตถุเวทเหล่านี้กำลังจะเข้าถึงตัวชายหนุ่ม เกราะโปร่งแสงก็พลันก่อตัวขึ้นเบื้องหน้าเขา เกราะนั้นมีความหนาถึงสองหมื่นชั้น ซ้อนเรียงรายกันแถวแล้วแถวเล่า เกราะโปร่งแสงพุ่งเข้าหาวัตถุเวทด้วยความเร็วที่ไม่ต่างกัน เสียงปะทะดังกัมปนาทไปทั่วสนามรบ วัตถุเวทที่เข้าปะทะโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาสั่นสะท้านและระเบิดจากภายใน ทว่าแรงสะท้อนทำให้ภายนอกของวัตถุเวทถูกบีบอัดอย่างรุนแรงจนระเบิดออกมาไม่ได้ วัตถุเวทเหล่านั้นพุ่งพรวดกลับไปทางที่มันมาด้วยแรงมากกว่าเดิมถึงร้อยละ 170 และระเบิดใส่หน้าเจ้าของของมันทันที
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังไปทั่วบริเวณ แม้จะถูกกลบด้วยเสียงการต่อสู้ครึกโครมรอบกายอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ฝึกตนเจ้าของวัตถุเวทผู้เคราะห์ร้ายก็ยังกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ ร่างถูกซัดกระเด็นไปด้านหลัง ได้รับบาดเจ็บสาหัสในทันที ภาพนี้ทำให้ทุกคนโดยรอบที่เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นตกใจเป็นอันมาก
หวังเป่าเล่อขยับตัวพุ่งเข้าใส่ฝูงชนอีกครั้ง โดยไม่รอให้คู่ต่อสู้ตั้งสติได้และเริ่มโจมตีกลับ เสียงกรีดร้องดังขึ้นทุกที่ที่เขามุ่งหน้าไป ชายหนุ่ม…เปรียบเสมือนเม่นหนามแหลม หากไม่มีใครคิดโจมตี ก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่หากพุ่งเข้าใส่ด้วยพลังที่ตนเองมี ก็อาจโดนพลังสะท้อนกลับจนถึงตายได้
ตอนแรกหวังเป่าเล่อสร้างความโกลาหลในวงแคบเท่านั้น แต่เมื่อเขาพุ่งไปทั่วสมรภูมิ ทุกคนที่เข้าต่อกรกับเขาก็พากันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด หากไม่ได้ใส่พลังทั้งหมดที่ตนเองมี ก็คงไม่เป็นอะไรมากนักนอกจากได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่คนที่ใช้พลังทั้งหมดในการต่อกรกับชายหนุ่ม ย่อมถึงแก่ความตายต่อหน้าต่อตาแน่นอน!
หากเป็นเพียงเท่านั้นก็คงไม่แย่เท่าไร แต่เพื่อเพิ่มอำนาจของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา และเพิ่มราคาของมันให้พุ่งสูงขึ้นในอนาคต หวังเป่าเล่อจึงคำรามก้องไปตลอดทางที่พุ่งตัวออกไป ราวกับกลัวว่าจะไม่มีคนสนใจตนอย่างไรอย่างนั้น
“มาตีข้าสิ! อย่าหนี!
“ไอ้พวกตาขาว! จะหนีไปไหนกัน มาต่อยข้าเสียถ้าเจ้าแน่พอ!
“สหายเต๋าทั้งหลาย จงโจมตีข้าด้วยไพ่ตายของเจ้าเสีย!!”
เสียงของเขาดังก้องไปทั่วบริเวณ กินวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ร่างก็วิ่งวุ่นไปทั่วสนามรบ เมื่อรวมพลังของโล่เข้ากับพฤติกรรมเช่นนี้ของชายหนุ่มแล้ว หวังเป่าเล่อก็ดูน่ารังเกียจเป็นอันมากต่อทุกคนในที่แห่งนั้น…
ชายหนุ่มทะยานไปทั่วเหมือนปลาไหล ก่อกวนให้สมรภูมิปั่นป่วนวุ่นวาย เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทำให้ทุกคนรีบถอยหนีออกจากเขา สีหน้าเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นว่าชายหนุ่มกำลังพุ่งเข้าหาตน พฤติกรรมก่อความไม่สงบเช่นนี้ย่อมทำให้เหล่าผู้ที่มีตำแหน่งสูงของทั้งสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันอยู่สังเกตเห็น!
ผู้อาวุโสจากกองทหารอันดับห้าพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว พลังปราณของเขาอยู่ที่ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสคนนี้จะอยู่ไกลออกไป จึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งเพียงใด ด้วยเหตุนี้…เขาจึงกระโจนใส่หวังเป่าเล่อ พร้อมปรามาสอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นยโส
“ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลางอย่างเจ้ากล้าทำตัวจองหอง คิดว่าตนเองไร้เทียมทานเพียงเพราะมีโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการึ ข้าจะสอนเจ้าเองว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงเป็นเช่นไร!” เสียงของผู้อาวุโสระเบิดมาแต่ไกลขณะที่มุ่งหน้าเข้าหาหวังเป่าเล่อเหมือนดาวหาง เมื่อเห็นร่างที่มาพร้อมเสียง หวังเป่าเล่อก็รู้สึกดีใจเป็นอันมากอยู่ภายใน เขากลัวว่าคู่ต่อสู้อาจเปลี่ยนใจและถอยหนีไปก่อน จึงพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายด้วยความเร็วสูงสุดเช่นกัน
ภายในพริบตา…ทั้งสองก็เข้าปะทะกันกลางอากาศ เสียงดังสะเทือนสะท้อนไปทั่วจนทุกสิ่งโดยรอบสั่นไหว ดวงตาของผู้อาวุโสเบิกโพลง ศีรษะสะท้าน ร่างของเขาสั่นอย่างรุนแรง แขนขาทั้งหมดระเบิดโพละออกมา เขากระอักเลือดชุดใหญ่ ร่างที่ไร้แขนขาปลิวไปด้านหลัง เสียงกรีดร้องโหยหวนบาดลึกด้วยความเจ็บปวดทำให้หัวใจของใครก็ตามที่ได้ยินสั่นสะท้าน
ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นก็กะพริบตาปริบๆ และกรีดร้องเสียงแหลมออกมาเช่นกัน เขาจับหน้าอกตนเอง ร่างเซถลาไปด้านหลัง กระทั่งโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่หมุนวนรอบกายก็ดูเหมือนจะสลายหายไป
แม้ภาพนั้นจะดูเหมือนการแสดงเสียมากกว่า…แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้สึกตัวได้เร็วขนาดนั้นว่าเป็นเรื่องหลอกลวง หลายคนคิดชิงโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไปจากชายหนุ่ม จึงพุ่งเข้าใส่ภายในพริบตา
แต่ทันทีที่พวกเขาเข้าใกล้หวังเป่าเล่อ โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่เคยดับแสงไปก่อนหน้านี้ก็ส่องสว่างเจิดจ้าขึ้นอีกครั้ง เสียงกรีดร้องโหยหวนดังประสานกันขึ้นเหมือนวงดนตรีสยองขวัญ ผู้ฝึกตนที่หมายชิงโล่ไปจากชายหนุ่มต่างถูกซัดกระเด็นกระดอนไปด้านหลังด้วยความเร็วสูง
“ชั่วช้า ชั่วช้ามากเกินไปแล้ว!” หวังเป่าเล่อชิงคำรามออกมาก่อนที่ใครจะทันได้พูดอะไร แต่ผลลัพธ์ของการกระทำทั้งหมดของเขานั้นหนักหน่วงยิ่งนัก จึงไม่มีใครเชื่ออีกต่อไปตอนที่เขาพยายามแสดงละครแสร้งทำเป็นอ่อนแอ ชายหนุ่มถอนใจ ทำได้เพียงมองฝูงชนโดยรอบด้วยพลังงานมากล้นที่มี ขณะที่ฝูงชนโดยรอบต่างก่นด่าเขาอยู่ในใจ
แต่คนเหล่านั้นก็ทำอะไรไม่ได้ จะเข้าไปจัดการหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ จึงทำได้เพียงหลบซ่อนตัวให้พ้นจากเงื้อมมือของชายหนุ่มเท่านั้น ดังนั้น…ภาพแสนประหลาดก็ปรากฏขึ้นในสนามรบ หลายคนที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดจะถอยหนีและหยุดปล่อยพลังเทพของตนเองทันทีที่มีคนตะโกนว่าหลงหนานจื่อกำลังมาทางนี้
ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะขยับตัวไปที่ไหน ทะเลฝูงชนก็พลันแหวกออก เขาเปรียบเสมือนเชื้อโรคที่ทุกคนพากันถอยหนี… แม้กระทั่งฝ่ายเดียวกัน…ก็ยังกลัวโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของหวังเป่าเล่อ จนทำให้เขากลายเป็นเหมือนเม่นขนแหลมร้ายกาจ นั่นเพราะโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไม่แยกมิตรออกจากศัตรู
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่ที่ชวนหวังเป่าเล่อให้เริ่มโจมตีตกใจเป็นอันมาก แม้เหตุการณ์ทั้งหมดจะเป็นไปตามที่นางคาดการณ์ไว้ แต่ฤทธิ์เดชของหวังเป่าเล่อก็สมบูรณ์แบบมากเกินไป จนนางอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกเมื่อเห็นภาพตรงหน้า นางรู้สึกเหมือนตนเองได้เปิดหีบที่บรรจุความชั่วร้ายมหาศาลไว้ภายในออกมา…สนามรบเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันทีที่หวังเป่าเล่อก้าวเข้ามา
ชายหนุ่มเองก็เริ่มจนปัญญาเช่นกัน เมื่อเห็นว่าทุกคนพากันหลีกหนีไป เขาก็ถอนหายใจ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะสองคนที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่บนท้องฟ้าไกลออกไป เขาหยุดคิดอยู่สักพัก ก่อนจะขยับตัวพุ่งเข้าใส่คนทั้งสองในทันที
แต่ทั้งสองก็ไม่ปล่อยให้เขาเข้ามาใกล้ พวกเขาถอยหนี…และหยุดต่อสู้กันในทันที!
ทั้งสองไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญา และสังเกตเห็นนานแล้วว่าชายหนุ่มตรงหน้ามีบางอย่างผิดปกติ นอกจากนี้ยังนึกไปถึงชะตากรรมที่ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรของประมุขหลิงเถา และคำพูดแสนหดหู่ของปรมาจารย์เมฆาวารีก่อนจะจากไปอีกด้วย แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขาพอเดาได้ลางๆ
ขี้ขลาดกันเสียเหลือเกิน! หวังเป่าเล่อตบหน้าผากตนเองดังผัวะ เขาอยากแสดงพลังของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาอีก แต่ไม่มีโอกาสให้ทำเช่นนั้นเลย หลังจากที่มองไปรอบกาย ดวงตาของชายหนุ่มก็ไปหยุดอยู่ที่จุดสูงสุดของสนามรบ ที่ที่… ศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงและเทพธิดาหลิงโยวกำลังต่อสู้กันอยู่!
ข้าไม่แน่ใจว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจะทานทนพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะได้หรือไม่…แต่ทางทฤษฎีแล้ว ก็น่าจะเป็นไปได้ ชายหนุ่มหรี่ตาครุ่นคิด เขาอยากลองดูแต่ในที่สุดก็ไม่ได้ทำ ไม่ใช่เพราะไม่อยาก แต่เป็นเพราะว่า…ในตอนนั้นเอง เวลาแห่งการประลองก็จบสิ้นลงพอดี!
การประลองนี้ไม่ได้ดำเนินไปจนกว่าจะตายตกกันไปข้างหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายมีเวลาสองชั่วโมงเท่านั้น ภายในเวลาสองชั่วโมงนี้พวกเขาต้องยึดพื้นที่ของคู่ต่อสู้ หรือทำให้อีกฝ่ายยอมแพ้ จึงจะคว้าชัยไปครองได้สำเร็จ
แต่ในตอนนี้…แม้ศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงจะต่อกรกับเทพธิดาหลิงโยวได้ แต่คนอื่นๆ ก็ไม่ได้ยึดพื้นที่ได้สำเร็จแต่อย่างใด จนเสียงระฆังตีบอกจุดสิ้นสุดของการแข่งขันในที่สุด
หวังเป่าเล่อถือเป็นไพ่ตายของการต่อสู้นี้ ขณะที่ม่านกำลังจะปิดฉากลงนั้น หลายคนไม่ทันสังเกตเห็นว่าอักขระที่แทบมองไม่เห็นบนแท่นบูชาแทบเท้าของผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่ ได้อับแสงลงทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังทอแสงอ่อนเรื่อเรืองออกมา
อักขระเหล่านั้น…คือไพ่ตายของกองทหารวิหคน้ำแข็ง อย่างไรเสียเหตุการณ์ของหวังเป่าเล่อก็เป็นเพียงเรื่องไม่คาดคิดเท่านั้น ตามแผนการเดิมของพวกเขา อักขระเหล่านี้จะช่วยชะลอทุกอย่างให้ช้าลงได้จนกว่าการประลองจะจบลง
เมื่อการต่อสู้จบลง เหล่าผู้ทรงอำนาจมากมายที่กำลังดูการต่อสู้อยู่ก็มองดูหวังเป่าเล่อด้วยสายตาล้ำลึก ขณะที่พวกเขากำลังถอนสายตานั้น พลัน…เสียงของจักรพรรดิแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ดังกังวานมาจากห้วงอวกาศเบื้องบน
“กองทหารวิหคน้ำแข็ง พวกเจ้าไม่ต้องจัดประลองอีกรอบแล้ว พวกเจ้าจะได้รับตำแหน่งกองทหารอันดับห้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กองทหารอื่นๆ ในอันดับที่อยู่ต่ำลงมาจะถูกเลื่อนลงหนึ่งอันดับ!
“หลงหนานจื่อ เจ้าจงมาเข้าเฝ้าข้าพรุ่งนี้ตอนเที่ยง!”
บทที่ 785 ยื่นไมตรีจิต!
รูม่านตาของหวังเป่าเล่อหดแคบลงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและพูดตอบ โดยไม่สนใจสายตาของผู้คนมากมายที่กำลังมองมา ชายหนุ่มพูดด้วยท่าทีเคารพสุดใจ
“ถวายบังคมจักรพรรดิผู้สูงส่ง! ขอให้หนึ่งรัชสมัยของท่านเจริญรุ่งโรจน์ ให้สองมังกรยอมสยบอยู่ใต้บัญชาท่าน ให้สามดินแดนยอมกำราบในความองอาจ ให้สี่ทิศของโลกยอมจำนนเป็นข้ารองบาท ให้นิ้วทั้งห้าของท่านลงทัณฑ์บัญชา! ขอให้ท่านหลุดพ้นจากสังสารวัฏหกวิถี ให้วิญญาณของท่านคงอยู่ตราบนานเท่าที่เจ็ดดาวฤกษ์ยังส่องสว่าง ให้จิตใจของท่านแข็งแกร่งเหนือการยั่วยุจากหมู่มารทั้งแปดแคว้น ให้สติปัญญาของท่านแจ่มชัดปราดเปรื่องในเก้าอารมณ์ และขอให้ระดับดารานิรันดร์อยู่ห่างจากท่านแค่เพียงสิบก้าว!”
คำพูดที่หวังเป่าเล่อเคยพูดในการประชุมสามัญของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก่อนหน้านี้ หลั่งไหลออกจากริมฝีปากของเขาอีกครั้ง และดังสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ คำสรรเสริญยาวเป็นหน้ากระดาษของเขาทำให้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู หันมามองหน้ากันอย่างจนด้วยคำพูด จิตใจเนืองแน่นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ทุกคนมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไร ตอนนั้นเขากำลังดึงสีหน้าเคารพถึงขีดสุด ดวงตาโชติช่วงด้วยความรักใคร่สรรเสริญ จนทำให้จักรพรรดิแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ที่กำลังจะถอดจิตจากที่แห่งนั้นไป กระแอมกระไอออกมาและเปิดปากพูดอีกครั้ง
“พอได้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นจะต้องแสดงความเคารพข้าเช่นนี้อีกในอนาคต”
“ข้าน้อมรับบัญชาของท่านขอรับ ท่านจักรพรรดิ ท่านช่างแสนยอดเยี่ยมหาใครเทียม ท่านเป็นที่เคารพรักของพวกเราทุกคน ทั้งที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่สุดในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ท่านก็ยังถ่อมตัวได้อย่างน่านับถือ ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ทุกคน ท่านทำให้พวกเราได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย ต้องขอบคุณท่านที่ช่วยประสิทธิ์ประสาทวิชาให้พวกเรา ข้า หลงหนานจื่อคนนี้ จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน ข้าสัญญาว่าจะทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ยิ่งใหญ่ที่สุดในปฐพี!”
หวังเป่าเล่อตบอกตนเองดังป้าบด้วยความตื่นเต้นขณะประกาศเสียงดังลั่น
จักรพรรดิแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อับจนด้วยคำพูดเมื่อได้ยินคำสรรเสริญยกต่อไปของหวังเป่าเล่อ จึงทำได้เพียงเงียบและกระแอมกระไออีกครั้งเท่านั้นก่อนจะถอดจิตจากไป ส่วนหวังเป่าเล่อก็หันไปมองหน้าคนอื่นๆ อย่างยินดีปรีดา ในขณะที่ทุกคนรอบกายจ้องมองชายหนุ่มราวกับเขาเป็นเทพยดา เขาถูมือทั้งสองเข้าด้วยกัน จากนั้นก็หันไปหาฝูงชนและทำมือคารวะ
“สหายเต๋าร่วมสำนักทั้งหลาย พวกเราทุกคนล้วนอยู่ใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรเดียวกัน หากข้าได้ทำอะไรให้พวกท่านไม่สบายใจ ข้าหวังว่าท่านจะไม่ขุ่นข้องเคืองใจกับการกระทำของข้า ข้าเป็นชายที่ใจกว้างราวแม่น้ำใหญ่ และไม่เคยคิดจองเวรต่อใคร แม้บางทีข้าจะเซ่อซ่าไปบ้าง แต่ข้าก็รักสหายของตนเองสุดหัวใจ ข้าหวังว่าพวกท่านทั้งหลายจะไม่รังเกียจข้า ทั้งยังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเราจะเป็นสหายกันได้ในอนาคต”
หลังจากที่ฟังคำพูดของหวังเป่าเล่อจบ สีหน้าของผู้คนรอบกายเขาก็เปลี่ยนเป็นแปลงแปร่ง นั่นเพราะว่า หวังเป่าเล่อมีชื่อเสียงโด่งดังมาจาก…การตามจองเวรแก้แค้นกองทหารมังกรหยดหมึกจนสุดขอบโลก
การที่ชายบ้าบิ่นเลือดขึ้นตาเช่นนี้ มาประกาศปาวๆ ว่าตนเองเป็นคนใจกว้างเหมือนแม่น้ำไม่เคยคิดจองเวรใคร คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อลงไปได้ แม้กระทั่งคนโง่ก็อาจเฉลียวใจไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำ!
เมื่อเห็นว่าฝูงชนไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับกับคำพูดที่จริงใจของเขา หวังเป่าเล่อก็รู้สึกละอายขึ้นมาบ้างในใจ เขาทำมือคารวะอีกครั้ง หันหลังกลับและรีบเหาะไปยังค่ายประจำกองทหารวิหคน้ำแข็ง
ทันทีที่เขาออกจากสนามรบไป ผู้ฝึกตนจากทั้งสองฝ่ายที่อยู่รอบกายชายหนุ่มก็สูดหายใจเข้าลึก ก่อนเริ่มแสดงความคิดเห็นของตนเองออกมา
“หมอนี่มันขี้ประจบในแบบที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ไอ้หลงหนานจื่อคนนี้มันช่างไร้ยางอายเสียจริง!”
“เงียบปากเสีย ต่อให้หมอนี่หน้าด้านหน้าทนจริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีความสามารถจริง อย่าริอ่านไปขัดใจหมอนี่เชียว!”
“บัดซบที่สุด หากข้าเป็นแบบมันละก็ ป่านนี้คงได้เป็นผู้บัญชาการกองทหารไปแล้ว…”
ไม่ใช่เพียงผู้ฝึกตนทั่วไปเท่านั้นที่อิจฉาหวังเป่าเล่อ แม้แต่ผู้บัญชาการกองทหารหลายคนที่ได้ยินคำพูดนี้มาหลายครั้งแล้วก็พากันตกใจเช่นกัน พวกเขาเคยได้ยินคำสรรเสริญที่ไม่ผิดเพี้ยนนี้จากปากหวังเป่าเล่อมาครั้งหนึ่งแล้วในการประชุม แม้เขาจะโด่งดังมาก่อน แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก จึงไม่ได้เป็นคู่แข่งที่อยู่ในสายตา
แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาได้เห็นความสามารถทางการยุทธ์ของหวังเป่าเล่อใน ซึ่งทำให้ทุกคนต้องหันมามองเขาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างเสียมิได้ นอกจากนี้ชายหนุ่มยังมีความสามารถในการประจบประแจงที่ยอดเยี่ยมเสียจนหากยังทำเช่นนี้ต่อไป การที่เขาจะไต่เต้าขึ้นมามีตำแหน่งสูงในสำนักก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
กระทั่งศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงยังมุ่นคิ้ว แม้เขาจะไม่ชอบหวังเป่าเล่อ แต่ก็ต้องยอมรับว่าบทสนทนาระหว่างหวังเป่าเล่อและจักรพรรดิเมื่อครู่นี้ ทำให้ความโกรธเคืองในตัวของชายหนุ่มเบาบางลงมาก
หากมีใครกล้าดูแคลนผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่สามารถพูดจากับจักรพรรดิได้เช่นนั้นละก็ คนผู้นั้นก็อาจจะมีปัญหาได้ในอนาคต ศิษย์แห่งเจ๋ามังกรแดงมองดูหวังเป่าเล่อที่กำลังจะเข้าไปยังฐานทัพวิหคน้ำแข็งด้วยความเงียบงัน ดวงตาทอแสงวาบ เขายิ้มก่อนตะโกนหาชายหนุ่ม “สหายเต๋าหลงหนานจื่อ เจ้าอยากมาทำงานให้กองทหารมังกรแดงของข้าหรือไม่”
เมื่อได้ยินดังนั้น แววตาของเทพธิดาหลิงโยวก็สว่างวาบ นางทำท่าฮึดฮัด
ส่วนหวังเป่าเล่อก็หยุดชะงักอยู่กลางทางเมื่อได้ยิน เขาหันไปมองศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า โค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพพร้อมทำมือคารวะ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงของชายหนุ่มกลับเคร่งขรึมจริงจังยิ่ง
“ผู้บัญชาการหลิงโยวมอบความไว้วางใจให้ข้าแล้ว ตอนที่ข้าเข้าร่วมกองทหารวิหคน้ำแข็งเป็นครั้งแรก นางสนับสนุนข้ามาตลอด ข้าหวังว่าศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงจะเข้าใจ หลงหนานจื่อคนนี้จะจงรักภักดีกับกองทหารวิหคน้ำแข็งตราบชั่วกัลปาวสาน นอกเสียจากว่าจะเป็นคำสั่งจากเบื้องบนที่ข้าขัดไม่ได้เท่านั้น นี่เป็นทางเดียวที่ข้าจะตอบแทนน้ำใจของผู้คนเหล่านี้ได้!”
ชายหนุ่มทำมือคารวะอีกครั้ง ก่อนหันหลังกลับเข้าไปค่ายพักของกองทหารวิหคน้ำแข็ง
มังกรแดงมีสีหน้าเสียใจที่ไม่สามารถเชิญชวนหวังเป่าเล่อมาร่วมกองทหารของตนเองได้ จึงอ้าปากตะโกนไปอีกครั้ง “เจ้าไม่ต้องให้คำตอบข้าในวันนี้ก็ได้ หลงหนานจื่อ ตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองทหารมังกรแดงจะยังรอเจ้าอยู่เสมอ!”
เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและพากองทัพของตนจากไป
กองทหารอื่นๆ ที่มาช่วยเหลือกองทหารอันดับที่สิบเอ็ดก็จากไปด้วยเช่นกัน ความคิดมากมายปั่นป่วนอยู่ในใจเทพธิดาหลิงโยวที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น หลังจากกดความคิดเหล่านั้นลงไปได้ หลิงโยวก็แสดงไมตรีจิตต่อกองทหารที่มาช่วยนางรบในครั้งนี้ เมื่อส่งพวกเขาเสร็จเรียบร้อย นางก็กลับไปยังค่ายพักของกองทหารวิหคน้ำแข็ง
สิ่งแรกที่นางทำคือเรียกผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่เข้ามาไถ่ถามว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
เมื่อได้ทราบชะตากรรมของประมุขหลิงเถา รวมถึงความสามารถอันหาตัวจับยากของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของหวังเป่าเล่อ เทพธิดาหลิงโยวก็ตกใจเป็นอันมาก ความคิดของนางก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าหวังเป่าเล่อจะใช้เวลาหลายปีกว่าจะหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาให้ถึงระดับสามหรือสี่ได้ นางจึงไม่ได้ใส่ใจเขาแม้แต่น้อย อันที่จริงแล้ว ตอนที่จักรพรรดิส่งหวังเป่าเล่อมาที่กองทหารของนาง หญิงสาวยังรู้สึกรำคาญใจและคิดว่าเขาเป็นตัวถ่วงเสียด้วยซ้ำ นางไม่ได้คาดคิดเลยว่า อัจฉริยภาพด้านการหลอมอาวุธเวทของหวังเป่าเล่อนั้นจะยอดเยี่ยมเหนือผู้ใดในโลกหล้า
ตอนนี้นางรู้แล้วว่าหวังเป่าเล่อไม่ใช่ตัวถ่วงแม้แต่น้อย แต่เป็นหีบสมบัติที่เคลื่อนที่ได้ต่างหาก! ทั้งยังเป็นหีบสมบัติที่ใหญ่มากเสียด้วย!
ด้วยความสามารถในการหลอมอาวุธเวทของชายหนุ่ม อาจเรียกได้ว่ากองทหารใดที่ได้ตัวเขาไปครอบครองจะทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว เรื่องนี้ทำให้เทพธิดาหลิงโยวหายใจสะดุด ดวงตาสว่างวาบเป็นประกาย นางอยากเรียกหวังเป่าเล่อเข้าพบ แต่เมื่อลองทบทวนดูอีกครั้ง นางก็ปล่อยให้คนอื่นจัดการกิจการที่เหลือ และเดินทางไปหาหวังเป่าเล่อที่ถ้ำที่พักด้วยตนเอง
หญิงสาวมาถึงอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อไม่ได้ตกใจแม้แต่น้อยที่อีกฝ่ายมาเยี่ยม แต่กลับเชิญเขาเข้ามาในบ้านด้วยความเคารพ
นี่เป็นครั้งแรกที่เทพธิดาหลิงโยวเข้ามาในถ้ำที่พักของหวังเป่าเล่อ นางสำรวจบริเวณโดยรอบ มองดูเจ้าอู๋น้อยและเจ้าลา แต่ก็ทำเพียงปราดตาและไม่ได้สนใจทั้งสองมากนัก เมื่อเทพธิดาหลิงโยวหันกลับมามองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง นางก็เงียบไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปากอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
“สหายเต๋าหลงหนานจื่อ ข้ามั่วแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องอื่นในกองทหาร และมองเจ้าผิดไปหลายประการ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่โกรธเคืองข้าที่เคยเมินเฉยเจ้า”
ทันทีที่หวังเป่าเล่อได้ยิน เขาก็พลันรู้สึกประหลาดขึ้นมาในใจ หวังเป่าเล่อเดาได้ว่านางจะมาหาตนยังที่พัก แต่ไม่ได้คาดคิดว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะซึ่งได้รับสมญานามว่า “ราชินีน้ำแข็ง” จะเป็นคนจริงใจ เปิดกว้าง และตรงไปตรงมาได้ถึงเพียงนี้ เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกดีกับนางขึ้นมาในทันที
“ท่านช่างมีเมตตาเหลือเกิน ท่านผู้บัญชาการ เพียงแค่ข้าได้พักอยู่ที่นี่ และได้เรียกกองทหารวิหคน้ำแข็งว่าเป็นบ้าน ก็ถือเป็นโชคดีของข้าแล้ว…เพราะอย่างไรเสียเราต่างก็รู้กันอยู่ว่าตัวข้าเป็นที่ต้องการของโลกภายนอก” หวังเป่าเล่อคิดอยู่สักพักแล้วจึงตัดสินใจเปิดใจเล็กน้อยด้วยเช่นกัน พร้อมฝืนยิ้มออกมา
หลังจากที่หวังเป่าเล่อพูดจบ เทพธิดาหลิงโยวก็เงียบลงอีกครั้ง ราวกับไม่รู้ว่าจะสนทนาต่ออย่างไร หวังเป่าเล่อเองก็ดูงุนงงเช่นกัน เขายืนอยู่ฟากหนึ่งของห้อง กะพริบตาปริบ พลางคิดว่าตนเองควรหาเรื่องมาคุยต่อดีหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ตัดสินใจเงียบด้วยเช่นกัน
ทั้งสองเงียบอยู่สักพัก เทพธิดาหลิงโยวมองจ้องหวังเป่าเล่อ ก่อนพูดด้วยเสียงต่ำอย่างช้าๆ
“หลงหนานจื่อ ข้าขอดูโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของเจ้าได้หรือไม่”
หวังเป่าเล่อคิดอยู่สักพัก ก่อนจะหยิบโล่ของตนออกมา ขณะที่หยิบออกมานั้น แสงสว่างเรืองรองเจิดจ้าก็สาดไปบนร่างกายของชายหนุ่ม แสงนั้นกำเนิดมาจากโล่ที่ซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า เมื่อเขาหยิบทุกอย่างออกมาเรียบร้อย ทั่วทั้งถ้ำก็สว่างวาบ โล่ทอแสงสีทองอร่ามอยู่บนมือของหวังเป่าเล่อ ก่อกำเนิดเป็นก้อนแสงยักษ์สว่างเจิดจ้า
ชายหนุ่มส่งก้อนแสงต่อให้เทพธิดาหลิงโยว หญิงสาวรับมันไปตรวจดูอย่างถี่ถ้วน สีหน้าของนางค่อยๆ เปลี่ยนไปช้าๆ ประกายความตกใจฉายชัดขึ้นในแววตา หลิงโยวตรวจดูโล่นั้นอยู่นาน ก่อนจะยอมถอนสายตาออกจากมันในที่สุด นางมองหวังเป่าเล่อและเอ่ยออกมาในทันที
“หลงหนานจื่อ ด้วยความสามารถของเจ้า ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่ได้อยู่ในกองทหารวิหคน้ำแข็งของข้าอีกต่อไปแล้ว แต่ข้าต้องการยื่นไมตรีจิตให้เจ้า เห็นได้ชัดว่าสมบัติเวทชิ้นนี้เป็นที่ถูกตาต้องใจของจักรพรรดิเป็นอย่างมาก เช่นนั้นแล้ว…เจ้าต้องการสิ่งใดบ้าง ข้าจะช่วยเจ้าทุกอย่าง ถือเสียว่าเป็นการชดใช้ที่ข้าเพิกเฉยเจ้าก่อนหน้านี้ และถือเป็นการตอบแทนสำหรับความช่วยเหลือของเจ้าในการแข่งขันเมื่อครู่!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น