หมอดูยอดอัจฉริยะ 780-783

 ตอนที่ 780 ติดต่อ

สาธารณรัฐซาฮาเป็นประเทศปกครองตนเองที่มีรัฐบาลกลางที่ใหญ่ที่สุด และมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ไม่เหมือนใคร


พื้นดินอันกว้างใหญ่อุดมไปด้วยสายแร่นานาชนิด ทำให้สาธารณรัฐซาฮาพัฒนาเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในแถบไซบีเรียอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบปี


เมืองยาคุตสค์เป็นเมืองศูนย์กลางของรัฐ อยู่ในภาคกลาง มีทรัพยากรธรรมชาติอันอุดม ดังนั้นจึงทำให้เมืองยาคุตสค์กลายเป็นเมืองเศรษฐกิจไปด้วย


เมื่อยามพลบค่ำ แสงสีจากร้านรวงบาร์เหล้าสถานที่ท่องเที่ยวทำให้เมืองยาคุตสค์ครึกครื้นราวกับนิวยอร์ค


ทั้งประชาชนซาฮาหรือหรือคนจากประเทศอื่นในโซเวียต ต่างมีความชื่นชอบในสิ่งเดียวกันนั่นก็คือสุราฤทธิ์แรง เมื่อดวงไฟถูกจุดขึ้น บรรยากาศทั้งถนนสายหลักจะมองเห็นบรรดานักดื่มที่กำลังเมาหัวราน้ำ


“พี่น้องทั้งหลาย ขอโทษจริงๆ ตอนนี้อากาศไม่ได้หนาวมาก คุณนอนตรงนี้ก็คงไม่หนาวตายหรอก!”


ในตรอกเงียบๆแห่งหนึ่ง เยี่ยเทียนกำลังถอดเสื้อผ้าของชายที่นอนอยู่บนพื้นออกอย่างคล่องแคล่ว จนชายที่นอนกรนอยู่เหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว


ภาพแบบนี้เป็นเรื่องปกติในเมืองแห่งสุรานี้ ทุกวันสถานีตำรวจได้รับการแจ้งความด้วยเรื่องแบบนี้หลายครั้ง


เพราะผู้ที่แจ้งความมักแจ้งความว่าของที่สูญหายไปนั้นก็คือเสื้อผ้าของพวกเขานั่นเอง แต่ไม่ค่อยมีนาฬิกาข้อมือ เพราะนาฬิกาของพวกเขาส่วนใหญ่มักถูกภรรยาที่บ้านถอดเก็บไว้แล้ว


“ให้ตายสิ กลิ่นอะไรเนี่ย?”


เยี่ยเทียนสวมเสื้อผ้าของชายคนนั้นแล้วกำลังจะเดินออกจากตรอก จมูกได้กลิ่นบางอย่างจนต้องขมวดคิ้ว กลิ่นหอมอ่อนๆที่ติดตัวเขายังไม่อาจกลบกลิ่นเต่าเหม็นของเจ้าของเสื้อคนเก่าได้เลย


“ช่างเถอะ ทนเอาหน่อยก็แล้วกัน!”


เขาอดกลั้นที่จะไม่เดินเข้าร้านขายเสื้อผ้าก่อน เยี่ยเทียนเดินไปถึงตู้โทรศัพท์แล้วควานหาเหรียญออกมาจากกระเป๋าได้ก็หยอดเข้าไปในตู้


“กรี๊ง กรี๊ง …..”


ห่างไปหลายพันกิโลเมตร เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นปลุกให้ชายชราที่เพิ่งจะหลับลงอย่างยากเย็นให้ตื่นขึ้น


“ฉัน ซ่งเฮ่าเทียน!”


หลายปีมาแล้วที่โทรศัพท์สายเข้าทั้งหลายจะมีเลขาเป็นผู้รับ มีเพียงโทรศัพท์ลับส่วนตัวเครื่องนี้เท่านั้นที่เขาจะเป็นผู้รับเอง และโทรศัพท์ส่วนตัวนี้ดังขึ้นแทบนับครั้งได้


“ท่านผู้เฒ่า นี่ผมเอง….”


เยี่ยเทียนเอ่ยอย่างเก้อเขิน เขารู้ว่าปักกิ่งกับที่นี่เวลาห่างกันหลายชั่วโมง แต่นอกจากจะโทรหาซ่งเฮ่าเทียนแล้ว เขาก็คิดไม่ออกว่าจะบอกใครก่อนดี


“คุณเป็นใคร?”


ซ่งเฮ่าเทียนยังสะลึมสะลือ ตอนที่เขาถามแล้วก็เบิ่งตาโพลงขึ้นมา “เยี่ยเทียนหรือ? เจ้าเด็กบ้า แกยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ?! ”


ไม่ใช่ว่าชายชราอยากให้หลานชายคนเดียวของเขาตายหรอก แต่เรื่องที่เยี่ยเทียนก่อไว้มันหนักหนาสาหัสมาก ทั้งยังก่อเรื่องโดยไม่ช่วยเก็บกวาดเลย


ฝ่ายรัสเซียได้หมายหัวเยี่ยเทียนไว้เป็นผู้ต้องสงสัย แม้ต่อมาการปรากฏตัวของติงหงจะชักนำความสนใจของกองทัพออกไป แต่พวกผู้ใหญ่ฝั่งเยี่ยเทียนที่อยู่ในจีน กลับไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ


เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝั่งซ่งเฮ่าเทียนต้องรับมือกับหัวหน้าระดับสูงของประเทศที่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก อีกด้านยังต้องรับมือกับบุตรสาวของตัวเองที่เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย หลายเดือนมานี้เป็นอะไรที่หนักหน่วงสำหรับชายชราอย่างยิ่ง


“ทำไมล่ะ อยากให้ผมตายขนาดนั้นเลยหรือ?”


เยี่ยเทียนตอบอย่างหงุดหงิด “อย่าพูดอะไรที่มันไม่มีประโยชน์เลย ตอนนี้ผมอยู่ในเมืองยาคุตสค์ ช่วยจัดการให้คนมารับผมที?”


เยี่ยเทียนตอนนี้สามารถกลับเข้าประเทศได้ผ่านทางมองโกเลียนอก แต่เขาไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางนั้นเป็นอย่างไร หากเรื่องที่เขาก่อบานปลายใหญ่โต เยี่ยเทียนจะแอบหลบไปอยู่ที่อื่นก่อนสักพัก


“ไอ้เด็กบ้า แกรู้ไหมว่าแกหายไปนานแค่ไหน?”


ฟังเยี่ยเทียนพูดจบ ซ่งเฮ่าเทียนถึงกับเส้นเลือดเขียวปูดขึ้นที่ขมับ หลานชายตัวดีพูดจากวนประสาท ราวกับว่าถ้าเขาส่งคนไปหาถึงเมืองยาคุตสค์แล้วหาเขาไม่เจอ ชายชราจะติดหนี้เขาไปตลอดชีวิต


“ไม่รู้ ท่านผู้เฒ่า ตอนนี้วันที่เท่าไหร่แล้วล่ะ?”


เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าเขาเข้าไปอยู่ในเหมืองทองนานแค่ไหน เมื่อครู่ที่เดินเข้ามาในเมืองนั้นเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ขาดวิ่นไปหมด แน่นอนว่าเขาไม่มีทางไปในที่ๆคนเยอะๆเพื่อหาดูปฏิทินได้


“แก….แกไม่รู้วันรู้เดือนเลยจริงๆเหรอ?”


ซ่งเฮ่าเทียนอึ้งไปที่กับคำตอบของหลานชาย ความโกรธที่พวยพุ่งถูกอุดกลับเข้าไปใหม่ เขาคิดว่าเขากับเยี่ยเทียนเวลาถกเถียงกัน เขาไม่เคยยอมแพ้เลยสักครั้งเดียว


คิดแล้วซ่งเฮ่าเทียนตอบว่า “ตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่ฉันคุยโทรศัพท์กับแกน่ะ ผ่านไปสามเดือนแล้ว ตอนนี้เดือนกรกฎาคมเข้าไปแล้ว!”


“สามเดือน? ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่ได้นานมาก!”


เยี่ยเทียนโล่งอก เขากลัวว่าเขาเก็บตัวฝึกวิชาครั้งนี้ใช้เวลาถึงสามปี ถ้าเป็นเช่นนั้นทางบ้านคงร้อนใจตายแล้ว คนทั่วไปถ้าหายสาบสูญไปสองปีก็สามารถแจ้งเสียชีวิตได้


“ไซบีเรียนี่มันนรกจริงๆ เข้าเดือนกรกฎาคมแล้วยังหนาวขนาดนี้?”


เยี่ยเทียนบ่นในสาย ในจีนตอนนี้เป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุด ส่วนที่นี่อุณหภูมิสูงสุดยังไม่เกินสิบกว่าองศาเลย กลางคืนเวลาออกไปข้างนอกยังต้องสวมเสื้อแจ็คเก็ตอีกชั้น


“เจ้าเด็กบ้า บ่นอะไรเยอะแยะ? ฉันถามหน่อย นอกจากฉันแล้ว แกยังโทรไปหาใครอีกบ้าง?” ซ่งเฮ่าเทียนถูกหลานชายยั่วโมโหเข้าขั้นแล้ว จนป่านนี้หลานชายตัวแสบยังมีแก่ใจคิดเรื่องพวกนี้อีก?


“ยังเลย ท่านผู้เฒ่าคิดว่าผมโง่เหรอ นอกจากโทรศัพท์เครื่องนี้ โทรเครื่องอื่นก็ถูกดักฟังน่ะสิ?”


เยี่ยเทียนเบ้ปาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องโทรหาซ่งเฮ่าเทียนก่อนใคร ทางการรัสเซียออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทุกคนต้องรายงานการบันทึกกล้องวงจรปิดของตนเองและครอบครัว


ซ่งเฮ่าเทียนเป็นญาติผู้ใหญ่ของเยี่ยเทียน และยังมีตำแหน่งใหญ่โตอยู่ แผนกอื่นต่อให้กล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าดักฟังโทรศัพท์ของอดีตผู้นำประเทศหรอก


“เอาเถอะ เดี๋ยวแกโทรไปที่เบอร์นี้ แล้วฝ่ายนั้นเขาจะจัดการให้แกเอง แกทำตามที่บอกก็พอ”


ซ่งเฮ่าเทียนเปิดสมุดโทรศัพท์แล้วบอกเบอร์โทรหมายเลขหนึ่งให้เยี่ยเทียน พูดต่อว่า “ก่อนจะออกมาจากไซบีเรีย ห้ามติดต่อไปที่บ้านเด็ดขาด!”


ใครๆก็คิดออก หลังจากประเทศรัสเซียได้พบกับการคุกคามครั้งนี้ ชีวิตเบื้องหลังของเยี่ยเทียนถูกสืบค้นในทันที คนที่ฉลาดหน่อยต่างมองออกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรัสเซียถึงจะไม่ใช่ฝีมือเยี่ยเทียน แต่มากน้อยอย่างไรก็ต้องเกี่ยวกับเขาแน่


ดังนั้นเมื่อสองเดือนก่อน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมคนนั้นมาเหยียบประตูบ้านของซ่งเฮ่าเทียนบ่อยจนคานประตูแทบพัง เพื่อต้องการโน้มน้าวให้เขาบอกหลานชายให้เข้าร่วมรับใช้ชาติ


แต่ซ่งเฮ่าเทียนรู้ดีอยู่แล้วว่าเยี่ยเทียนนิสัยเป็นอย่างไร ถ้าให้เขาสวมชุดทหารไม่ต้องรอถึงวัน เขาอาจจะไปตีกับทหารในกรมสักคนก่อนที่จะถูกโยนออกมาจากค่าย อีกอย่างซ่งเฮ่าเทียนเองก็ตัดสินใจแทนหลานชายไม่ได้ จึงได้แต่ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่จนรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงยอมกลับไปเอง


ซ่งเฮ่าเทียนรู้ว่าคนอย่างหลานชายจะเป็นที่จับตามองจากทั้งประเทศเป็นอย่างมาก ถ้าเขายังไม่ถอยออกมา ไม่แน่ว่าอาจจะคิดแผนการหลอกล่อให้เยี่ยเทียนเข้าร่วมในกองทัพจนได้


ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าครอบครัวของบุตรสาวบุตรเขยของเขาถูก ฝ่ายที่เกี่ยวข้องของทางการจับตามองอยู่ ซ่งเฮ่าเทียนเกษีณอายุออกไปแล้วถ้าจะไปชี้นิ้วสั่งการคงจะดูไม่ดี จึงได้แต่ยอมปล่อยไป


“เข้าใจแล้ว เอาเถอะ ผมมีเงินติดตัวไม่มาก ตั๋วเครื่องบิน ที่บินตรงระหว่างประเทศก็แพงเหลือเกิน ผมไม่คุยกับท่านละ!”


เยี่ยเทียนมีสติปัญญาฉลาดหลักแหลม เข้าใจความหมายที่ผู้เป็นตาต้องการจะสื่อจึงวางสาย ซ่งเฮ่าเทียนทำให้เขาอัดอั้นจนอาการบาดเจ็บเกือบกำเริบ ไม่ให้เขาติดต่อคนในบ้านก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้คุยกับเขานานกว่านี้


เสียง “ตู้ด ตู้ด”ดังมาตามสาย ซ่งเฮ่าเทียนวางโทรศัพท์อย่างไม่สบอารมณ์ แต่การโทรสายนี้ทำให้เขาที่นอนหลับยากอยู่แล้วนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน


“ฉันคือเยี่ยเทียน!”


เยี่ยเทียนไม่รู้เลยว่าทำให้คุณตานอนพลิกไปพลิกมาบนเตียงอย่างไม่สบายใจ ตอนนี้เขากดหมายเลขที่ได้มา แล้วบอกชื่อของตัวเอง ตัวเขารู้สึกมีปมในใจกับตระกูลซ่งมาตลอด แต่เยี่ยเทียนเชื่อว่าท่านผู้เฒ่าคงไม่ส่งตัวเขาไปลงนรกแน่


“คุณอยู่ที่ไหน?” เมื่อได้ยินเสียงของเยี่ยเทียน ปลายสายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนรู้สึกว่าเสียงที่ตอบกลับมานั้นเป็นเสียงที่คุ้นเคย


เยี่ยเทียนมองออกไปนอกกระจกตู้โทรศัพท์ มองเห็นชื่อป้ายถนนเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ตอบกลับว่า “ที่นี่คือถนน XXX ผมอยู่ในตู้โทรศัพท์ข้างทาง”


“อย่าไปไหน ผมจะไปถึงเดี๋ยวนี้!” สายตัดไป ครั้งนี้เป็นฝ่ายตรงข้ามที่วางสายก่อน


“นั่นใครกันนะ? เสียงฟังดูคุ้นๆ?”


เยี่ยเทียนเกาผมที่ยาวประบ่า เดินออกมาจากตู้โทรศัพท์ แล้วหลบเข้าไปอยู่ในมุมถนนข้างทาง เงาดำของเขาค่อยๆจางลงเรื่อย ราวกับกำลังกลืนหายไปกับความมืดในยามราตรี


หลังจากนั้นสิบกว่านาที รถยนต์สีดำคันหนึ่งมาจอดอยู่ตรงหน้าตู้โทรศัพท์ที่เยี่ยเทียนใช้ กระจกหน้าต่างรถเลื่อนลงมากแล้ว เยี่ยเทียนเดินออกมาจากเงามืด


“เหล่าฝู ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่เล่า?”


เยี่ยเทียนนึกอยู่นานว่าเสียงที่ได้ยินจากปลายสายเป็นใคร เมื่อได้พบเจ้าตัวแล้วก็ตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าบอดี้การ์ดส่วนตัวของท่านผู้เฒ่าจะมาปรากฎตัวอยู่ต่างบ้านต่างเมืองนี่


คนๆนี้เคยมีอดีตที่น่าประทับใจกับเยี่ยเทียนมาก่อน เขาคือพันเอกฝูเจิ้งหมิง เยี่ยเทียนมองเข้าไปในรถ เหมือนว่าฝูเจิ้งหมิงจะได้เลื่อนยศทหารไปอีกขั้นแล้ว


“ขึ้นรถก่อนค่อยว่ากัน!”


ฝูเจิ้งหมิงสอดส่องรอบตัวด้วยความเคยชิน รอจนเยี่ยเทียนขึ้นรถแล้ว เขาเหยียบคันเร่งออกรถ สายตามีแววสับสนว้าวุ่นใจมองดูเยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ข้างๆ “ตอนนี้ผมเป็นทูตทหารต่างประเทศอยู่ในเมืองยาคุตสค์เป็นเวลาหนึ่งปี!”


ฝูเจิ้งหมิงติดตามท่านอดีตผู้นำมาหลายปี ตั้งแต่ได้เลื่อนยศเป็นพันเอก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่ได้หลุดพ้นจากทหารรักษาความปลอดภัย


แต่สำหรับตัวเขาก็ไม่ได้เป็นเรื่องแย่อะไร


สาธารณรัฐซาฮานั้นแม้จะเป็นประเทศเล็กๆที่ไม่มีความสำคัญทางการทูตเท่าไหร่ แต่การที่ได้มาอยู่ที่นี่หนึ่งปีแล้วค่อยกลับเข้าจีนนั้นทำให้ดาวสี่ดวงที่ประดับบนบ่าของเขาถูกเปลี่ยนเป็นลายสัญลักษณ์ยศนายพลแทนอย่างรวดเร็ว


ตอนที่ 781 ออกเดินทาง

สำหรับเหล่าทหารที่ติดยศแล้ว ยศแม่ทัพหรือนายพลเป็นยศที่พวกเขาใช้ชีวิตทั้งชีวิตต่อสู้แย่งชิงมา


ตั้งแต่นายพันจนถึงนายพล ที่กั้นประตูอันนี้จำกัดบุคคลส่วนใหญ่ไว้ นายทหารมากมายที่เลื่อนยศสูงสุดได้ถึงขั้นนายพัน แต่ก็ไม่มีทางขึ้นถึงชั้นนายพลที่เป็นแม่ทัพได้


อย่างเช่นสังกัดการรักษาความปลอดภัยที่ฝูเจิ้งหมิงสังกัดอยู่นั้น มีมาตรฐานและกฎเกณฑ์สูงมาก แต่ผู้บังคับบัญชายังเป็นแค่ระดับพลตรี ยศพันเอกของฝูเจิ้งหมิงนั้นถือว่าสูงสุดแล้ว แทบไม่มีความหวังเลื่อนยศให้สูงกว่านี้ได้


แม้จะออกจากสังกัดเดิมมาเป็นทูตทหารในต่างประเทศ แต่ฝูเจิ้งหมิงก็พอใจกับเรื่องนี้มาก ถึงขนาดความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์กับเยี่ยเทียนก็ลดลงไปเยอะ


“เหล่าฝู ยินดีด้วยนะ อีกไม่ถึงสองปี บนบ่าของคุณก็จะได้เปลี่ยนเครื่องหมายแล้ว!”


เยี่ยเทียนดูท่าทางพอใจของฝูเจิ้งหมิงออก ท่านผู้เฒ่าจัดการให้เขาเข้ามาอยู่ถึงสาธารณรัฐซาฮานี้เพื่อดูแลเขา แน่นอนว่าจะต้องให้ผลประโยชน์ตอบแทนอย่างงาม


“นี่ยังเร็วไป ผมเพื่งได้เลื่อนขั้นเป็นพันเอกยังไม่ถึงสองปีเลย”


ฝูเจิ้งหมิงส่ายหัว “เยี่ยเทียน คุณอยากจะไปจากที่นี่เมื่อไหร่? ผมจะได้จัดการให้!”


เขาติดตามซ่งเฮ่าเทียนมานาน พอจะได้ยินกิตติศัพท์ของหลานชายท่านอดีตผู้นำมาไม่น้อย และรู้ว่าเขาเป็นตัวก่อปัญหา ตั้งแต่ในประเทศ ต่างประเทศ ทั้งเหตุการณ์ช็อคโลก “911”ครั้งนั้นเขายังมีเอี่ยวด้วยเลย


พอได้รับโทรศัพท์ของเยี่ยเทียน ฝูเจิ้งหมิงคิดเอาไว้ว่าต้องส่งเยี่ยเทียนให้ออกจากซาฮาไปอย่างปลอดภัยถึงจะบรรลุภารกิจที่ท่านอดีตผู้นำมอบให้เขา ให้สมกับที่ท่านให้การสนับสนุน


“ให้ผมหาที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อย….” เยี่ยเทียนหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ แล้วถามต่อว่า “เหล่าฝู คุณส่งผมกลับประเทศได้ไหม?”


การเดินทางครั้งนี้ของเขากินเวลาหลายเดือน เขาไม่รู้ว่าทั้งพ่อแม่และภรรยาของเขาจะกังวลมากแค่ไหน ถ้าหากเป็นไปได้ เขาก็อยากจะกลับบ้านหรือไปฮ่องกงก็ได้ ดีกว่าไปอยู่ในที่ทุรกันดารอย่างแอฟริกา


“เยี่ยเทียน ท่านผู้นำอยากให้คุณไปเที่ยวแอฟริกาก่อนสักรอบหนึ่ง แล้วค่อยกลับเข้าจีน”


ฝูเจิ้งหมิงเหลือบมองเยี่ยเทียน แล้วพูดโน้มน้าว “หลายเดือนก่อนเรื่องราวมันใหญ่โตมาก คุณทำตามที่ท่านผู้นำบอกเถอะ อย่างนั้นถึงจะส่งผลกระทบน้อยหน่อย”


แม้ซ่งเฮ่าเทียนจะไม่ได้บอกเรื่องจริงกับฝูเจิ้งหมิงทั้งหมด แต่เมื่อมาถึงซาฮาแล้ว เขาก็ได้ยินข่าวการเสียชีวิตของนายพลลอฟสกี เขาไม่โง่พอที่จะเดาไม่ได้ เขาเอาเรื่องทั้งสองมาผูกกันแล้วก็เดาได้ว่าเป็นฝีมือของเยี่ยเทียน


พูดตามตรง ความกล้าหาญในการกระทำของเยี่ยเทียน ทำให้เขานับถือจริงๆ


การที่ลอบเข้าไปฆ่านายพลคนสำคัญของต่างชาติ ถูกกองทัพทหารเป็นแสนนายล้อมไว้แต่ยังสามารถหลบหนีออกมาได้โดยไม่บาดเจ็บเลย ความสามารถทางการรบแบบนี้ ต่อให้เป็นตัวเขาเองที่เก่งกว่านี้สิบเท่ายังทำไม่ได้


“เอาเถอะ เรื่องนี้ผมให้คุณจัดการ จะให้ดีพรุ่งนี้ออกเดินทางเลย!”


เยี่ยเทียนพยักหน้า เขารู้ดีว่าเรื่องบางเรื่องทุกคนเข้าใจดีอยู่แล้ว เช่นหลายคนที่อยู่ในประเทศจีนเดาได้ว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ในรัสซียครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเขา


เยี่ยเทียนทำเป็นเดินทางไปแอฟริกาก่อนแล้วค่อยกลับเข้าประเทศนั้นก็เพื่อไม่ให้ดูโจ่งแจ้งเกินไปสำหรับคนอื่น แล้วก็เพื่อไว้หน้าคนพวกนั้นด้วย


“ได้ ผมจะจัดการให้เดี๋ยวนี้!” ฝูเจิ้งหมิงพยักหน้า แล้วถามต่ออย่างสงสัยว่า “เยี่ยเทียน เรื่องที่เกิดขึ้นในรัสเซียน่ะ เป็นฝีมือคุณจริงๆหรือ?”


แม้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองถามมันเป็นการฝืนกฎ แต่สายลับได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปจนรู้กันทั่วแล้ว ตอนนี้ตัวต้นเหตุนั่งอยู่ข้างๆ ฝูเจิ้งหมิงเก็บความสงสัยอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ไม่อยู่


“เรื่องอะไร?” เยี่ยเทียนถามเสียงเรียบ “ฉันไปเที่ยวทั่วรัสเซียมา เรื่องอื่นฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย เหล่าฝู ความอยากรู้อยากเห็นทำให้คนตายมานักต่อนักแล้ว….”


“ได้ งั้นถือว่าผมไม่เคยถามก็แล้วกัน!”


คำเตือนของเยี่ยเทียนทำให้ฝูเจิ้งหมิงตกใจ เขาเป็นทหารผู้รักษากฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เขารู้ว่าผลที่ตามมาจะร้ายแรงแค่ไหน แค่คิดก็เหงื่อซึมแล้ว


ผ่านเหตุกาณ์แบบนี้ไปแล้ว ฝูเจิ้งหมิงไม่กล้าพูดอะไรกับเยี่ยเทียนอีก สิบนาทีหลังจากนั้น รถยนต์ทางการที่มีป้ายกระทรวงการต่างประเทศมาถึงศูนย์กลางการเมืองตรงใจกลางเมืองยาคุตสค์


ฝูเจิ้งหมิงดำรงตำแหน่งพันเอกรับผิดชอบความสัมพันธ์ทางการทูตทหารของประเทศเล็กๆอย่างนี้ สำหรับเขาถือเป็นเรื่องน่ารอคอย เขาพักอาศัยอยู่ในตึกสองชั้นเล็กๆหลังหนึ่ง


หลังจากจัดการให้เยี่ยเทียนเข้าห้องนอนแล้ว ฝูเจิ้งหมิงรีบออกมา พรุ่งนี้เยี่ยเทียนจะเดินทางแล้ว ยังมีธุระอีกมากที่เขาจำเป็นต้องเตรียมการพร้อม


“สภาพฉันแบบนี้ดูไม่ต่างจากศิลปินหนุ่มพวกนั้นเท่าไหร่?”


เยี่ยเทียนแช่ตัวในอ่างอาบน้ำในห้องนอนราวหนึ่งชั่วโมงแล้วมองตัวเองในกระจก ผมยาวเฟื้อยประบ่า ใช้มือขวาที่คมดังมีดวนไปรอบๆเส้นผม ทันใดนั้นทรงผมของเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนไป


“เอ๋? เหล่าฝู จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ?”


ได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านนอก เยี่ยเทียนยื่นมือออกไป เศษผมที่กระจายเต็มพื้นราวกับถูกแรงดูดมหาศาลลอยเข้ามากลางฝ่ามือของเยี่ยเทียน เขาโยนเศษผมแบบส่งๆลงไปในถังผง แล้วพันผ้าเช็ดตัวเดินออกมา


“เฮ้อ เยี่ยเทียน ผิวของคุณดีจริงๆ!”


ร่างกายที่สะอาดหมดจดไม่มีรอยตำหนิ ผิวขาวผ่องอ่อนนุ่มน่าสัมผัสของเยี่ยเทียนทำให้ฝูเจิ้งหมิงมองตาค้าง อย่าว่าแต่ผู้ชายเลย ต่อให้เป็นผู้หญิงก็ยังสู้เยี่ยเทียนไม่ได้


“น้อยๆหน่อย ในมือคุณถืออะไรอยู่?”


เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว ความดุดันของเขากระตุ้นให้ฝูเจิ้งหมิงดึงสติกลับมา แล้วรีบส่งข้อมูลในมือให้เยี่ยเทียนพลางบอกว่า “ในนี้เป็นเอกสารรับรองชุดหนึ่งใช้ตอนคุณออกเดินทางพรุ่งนี้ ตั๋วเครื่องบินจองแล้ว เดินทางไปที่เคปทาวน์แอฟริกาใต้ เมื่อถึงที่นั่นเอกสารนี้ก็ทำลายทิ้งได้เลย”


ฝูเจิ้งหมิงบอกต่อว่า “เมื่อไปถึงที่เคปทาวน์แล้ว ยังมีคนคอยติดต่อคุณอยู่ ถึงตอนนั้นเอกสารที่คุณจะใช้กลับประเทศจีน เขาจะเป็นคนมอบให้คุณ!”


เรื่องที่ซ่งเฮ่าเทียนสั่งการลงมาจะต้องเป็นความลับสูงสุด ตอนที่เยี่ยเทียนเกิดเรื่อง ได้มีคนถือเอกสารของเยี่ยเทียนไปแต่ละประเทศทั่วทั้งแอฟริกาเพื่อเตรียมการเข้าเมือง


แต่เอกสารของเยี่ยเทียนที่รัสเซีย ก็ถูกแยกแยะว่าเป็นของปลอม แล้วผลักดันเหตุการณ์ในรัสเซียให้ตกไป จึงเป็นการกำจัดผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับเยี่ยเทียน


“ดี เหล่าฝู ขอบคุณมาก”


เยี่ยเทียนพยักหน้า วางเอกสารลงบนโต๊ะ เมื่อมองฝูเจิ้งหมิงอีกครั้ง เขายิ้มให้แล้วเอ่ยว่า “เหล่าฝู พวกเราถือว่ามีวาสนาต่อกัน ผมจะมอบของสิ่งหนึ่งให้คุณ รอให้ลูกชายของคุณคลอดแล้ว คุณค่อยให้เขาติดตัว!”


โบราณว่าไว้ “เก็บสารจิงไว้ในกระดูก สารจิงจะออกมาทางคิ้ว” หากมีบุตรชาย ผู้ชายให้ดูที่คิ้ว ผู้หญิงให้ดูที่ปาก เยี่ยเทียนเห็นว่าคิ้วของฝูเจิ้งหมิงดกดำเข้มขึ้นกว่าครั้งก่อนที่พบกัน มีลักษณะว่าจะได้บุตรชาย


“ลูก….ลูกชาย?”


ฝูเจิ้งหมิงไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนเอาจากไหนมาพูด เอ่ยตอบว่า “เยี่ยเทียน คุณล้อเล่นใช่ไหม? ผมจากบ้านมาเกือบครึ่งปีแล้ว ไม่ได้ข่าวว่าภรรยาตั้งครรภ์เลย!”


ฝูเจิ้งหมิงอายุสี่สิบสองแล้ว ด้วยการงานอาชีพที่ค่อนข้างพิเศษ ทำให้เขาเพิ่งจะได้แต่งงานตอนอายุสี่สิบ ทั้งกับภรรยาก็ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน ครั้งนี้เขาจากบ้านมาครึ่งปี ยังไม่มีโอกาสกลับไปเลย และไม่ได้ยินภรรยาบอกว่าตั้งครรภ์ด้วย


“อาจเป็นเพราะภรรยาไม่อยากให้คุณกังวลเรื่องงาน?” เยี่ยเทียนหัวเราะ “เหล่าฝู คุณนี่ก็เหลวไหลจริง คุณโทรศัพท์กลับไปถามก็รู้แล้ว?”


“จริงหรือเปล่า?” ฝูเจิ้งหมิงมองเยี่ยเทียนอย่างหวาดระแวง แต่คำทำนายของเยี่ยเทียนทำให้เขาตื่นเต้นมาก เขาคิดครู่หนึ่งแล้วเดินกลับห้องไปโทรศัพท์


“หยกของรัสเซียก็ไม่เลว พอจะนำมาทำเป็นเครื่องรางได้…..”


เยี่ยเทียนส่ายหัวแล้วขำออกมา เขาเอื้อมมือไปหยิบชิ้นหยกทับกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา ใช้มือบีบไปคลึงมา ที่ทับกราะดาษอันนั้นเล็กลงเหลือแค่ขนาดนิ้วหัวแม่มือ


มือทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนเหมือนกับมีด แกะสลักหยกรัสเซียชิ้นนั้นได้ภายในไม่กี่นาที ฝูเจิ้งหมิงยังไม่ทันคุยโทรศัพท์จบ หยกห้อยเอวรูปม้าทะยานที่ดูราวกับมีชีวิตได้วางอยู่บนมือของเยี่ยเทียนแล้ว


เขาวางชิ้นหยกไว้กลางฝ่ามือ แล้วปล่อยพลังดั้งเดิมของตัวเองเพื่อแปรสภาพมวลสารในหยกให้กลายเป็นเครื่องรางที่ดูดซับพลังวิเศษได้ ของชิ้นนี้ถ้าเทียบกับเครื่องรางของเยี่ยเทียนเมื่อก่อนยังมีอานุภาพสูงกว่า


“เมื่อก่อนเหมือนกบในกะลา ไม่รู้ว่าโลกนี้กว้างใหญ่แค่ไหน!” ชูหยกในมือขึ้นดู แล้วทอดถอนใจ


นึกถึงปีนั้นที่ถังเหวินหยวนยอมใช้เงินหลายสิบล้านซื้อเครื่องรางของเขา เขายังไม่ยอมขายให้ มาตอนนี้เครื่องรางแบบนี้จะทำขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ เยี่ยเทียนนึกแล้วสมเพชตัวเองไม่หาย


“เยี่ยเทียน ผม….เมียผมท้องจริงๆ!”


เยี่ยเทียนเพิ่งทำเครื่องรางในมือเสร็จ ฝูเจิ้งหมิงวางสายโทรศัพท์แล้วเดินเข้ามาหาเขาด้วยความดีใจ


เป็นไปตามที่เยี่ยเทียนพูด คนที่บ้านต้องการให้เขาตั้งใจทำงานจึงไม่ได้บอกข่าวนี้ให้เขารู้ แต่อยากรอให้เขากลับบ้านไปก่อนแล้วค่อยทำเรื่องให้เขาประหลาดใจ


เยี่ยเทียนหัวเราะ ยื่นชิ้นหยกในมือให้เขา บอกว่า “ลูกชายของคุณจะขาดธาตุน้ำ เวลาตั้งชื่อให้เลือกคำที่มีอักษรตัวน้ำจะดีมาก ของชิ้นนี้ผมให้คุณ จะช่วยปกป้องเขาให้รอดพ้นจากภัยอันตราย!”


แม้ว่าการเคลื่อนไหวของฝูเจิ้งหมิงจะมีประโยชน์ต่อตัวเยี่ยเทียนเอง แต่เขาอยู่ในประเทศกันดารแบบนี้รอตนเองมาเป็นครึ่งปี สรุปว่าเยี่ยเทียนติดหนี้เขาอยู่ แต่คำทำนายกับเครื่องรางชิ้นหนึ่งนี้ถือว่าคืนหนี้หมดแล้ว


“ขอบคุณ ขอบคุณ!”


ฝูเจิ้งหมิงเป็นทหารโดยชาติกำเนิด พูดอะไรไพเราะไม่ค่อยเป็น รับของมาแล้วยิ้มหน้าบาน ผ่านไปครู่หนึ่งเขาตบหัวตัวเองแล้วพูดว่า “ผมมีเหล้าดีๆอยู่หลายขวด พวกเราคืนนี้ไม่เมาไม่กลับ”


การดื่มกับเยี่ยเทียน แน่นอนว่าฝูเจิ้งหมิงเมาแอ๋ก่อนใคร เช้าวันรุ่งขึ้นเยี่ยเทียนไม่ได้ปลุกเขาตื่น เขาหยิบเงินดอลลาร์ออกมาจากตัวฝูเจิ้งหมิง แล้วออกไปหน้าสถานทูตเรียกรถไปที่สนามบินเอง


“เอกสารเล่มนี้สะดวกดีจริง เจ้าหน้าที่ตรวจสอบไม่เจอแน่”


เยี่ยเทียนนั่งอยู่บนเครื่องบินเดินทางไปเคปทาวน์ด้วยจิตใจเบิกบาน มีดบินที่อยู่ในร่างกายของเยี่ยเทียนเป็นโลหะแต่ตอนที่อยู่ในสนามบินกลับไม่ถูกเครื่องดักจับโลหะจับได้


ตอนที่ 782 เลือดตกยางออก

“เฮ้อ อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น!”


หลังจากนั้นสิบกว่าชั่วโมง เยี่ยเทียนเดินลงจากเครื่องบินที่เคปทาวน์ รู้สึกถึงไอร้อนที่พัดใส่ใบหน้า เสื้อผ้าชุดหนาที่เขาสวมมาจากไซบีเรียนั้นไม่เข้ากับอากาศที่นี่ราวกับอยู่คนละโลก


“สวัสดีครับ คุณคือคุณจ้าวใช่ไหม?”


เมื่อเยี่ยเทียนเดินออกจากประตูสนามบิน ก็มีชายวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบกว่าเดินเข้ามาหา แล้วยื่นมือขวาออกมาให้เยี่ยเทียน


“คุณจ้าว?” เยี่ยเทียนงงไปครู่หนึ่ง แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า ในพาสปปอร์ตที่ถืออยู่ตอนนี้ใช้แซ่จ้าว


“คุณจ้าว ผมคือเฉียวเฟิงหลิน ผมเป็นผู้รับผิดชอบจากบริษัทการลงทุนกวนหวาแอฟริกาใต้จำกัดครับ”


จับมือกับเยี่ยเทียนแล้วเฉียวเฟิงหลินยิ้มแก้มปริ “รถรอคุณอยู่ด้านนอกแล้ว เราออกไปกันเถอะครับ”


“ครับ ลำบากคุณเฉียวแล้ว”


เยี่ยเทียนพยักหน้า เขามองออกว่ารอยยิ้มของคุณเฉียวคนนี้ดูเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีพิษภัย แต่ในความจริงแล้วได้แอบซ่อนรัศมีบางอย่างเอาไว้ สถานภาพที่แท้จริงของเขาไม่ได้เป็นเพียงผู้จัดการบริษัทธรรมดาอย่างที่บอกไว้เท่านั้น


เยี่ยเทียนยังรู้อีกว่า สถานกงสุลในต่างประเทศกับพวกที่เข้าร่วมกับการทหารนั้นต่างเป็นสายลับที่ทำงานอย่างโจ่งแจ้ง


ส่วนที่บอกว่าบริษัทการลงทุนนั้นหมายถึงสายลับที่คอยรวบรวมข่าวสารจากประเทศนี้ เฉียวเฟิงหลินคงจะเป็นผู้รับผิดชอบงานสายนี้นั่นเอง


ทั้งสองเดินออกมาจากสนามบิน เฉียวเฟิงหลินนำเยี่ยเทียนไปที่รถตะลุยป่าคันหนึ่ง แล้วขับออกไป


“คุณเฉียวครับ รถคันนี้ถูกดัดแปลงมาแล้วใช่ไหมครับ ในเคปทาวน์นี่สถานการณ์ไม่สู้ดีหรือครับ?” เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามไม่ได้พูดอะไร เยี่ยเทียนก็ไม่อยากซักไซ้ จึงชวนคุยไปเรื่องอื่น เขาสังเกตรถตะลุยป่าที่ตัวเองนั่งอยู่


รถคันนี้เป็นรถสัญชาติญี่ปุ่นที่พบได้ทั่วไปในต่างประเทศ แต่เยี่ยเทียนเห็นว่าตัวรถไม่เพียงแต่เปลี่ยนไปใช้กระจกกันกระสุน ทั้งยังติดตั้งเหล็กกล้าที่ประตูอีกชั้น ถ้าไม่เห็นสัญลักษณ์ยี่ห้อรถ เขาคงคิดว่านี่เป็นรถสัญชาติอเมริกา


“คุณจ้าว ไม่ใช่ไม่สู้ดี แต่ที่แอฟริกาใต้นี่ ไม่มีความสงบเลยต่างหาก!”


ได้ยินคำถามของเยี่ยเทียนแล้ว เฉียวเฟิงหลินยิ้มแห้ง เห็นเยี่ยเทียนไม่ได้ปิดหน้าต่างรถเขาจึงรีบกดปิดทันที “ในแอฟริกาใต้นี่ ทุกๆสิบนาทีจะเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นครั้งหนึ่ง ทุกๆนาทีจะมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น….”


เฉียวเฟิงหลินพูดมือขวาก็ล้วงเข้าไปใต้เบาะเก้าอี้ ควักเอาปืนไรเฟิลออกมา บอกอีกว่า “คุณจ้าวครับ ที่นี่ไม่เหมือนกับประเทศจีน ถ้าไม่ปิดหน้าต่างรถละก็ พอถึงแยกไฟแดงอาจจะถูกคนร้ายเอาปืนจ่อหัวได้!”


เฉียวเฟิงหลินตอนที่เพิ่งมาอยู่ที่เคปทาวน์ใหม่ๆ ก็ได้ลิ้มรสชาติไปแล้วครั้งหนึ่ง เขาขับรถธรรมดา พอถึงแยกไฟแดงถูกคนร้ายทุบกระจกรถแล้วเอาปืนจ่อขมับเขาเพื่อแย่งกระเป๋าไป


“แย่ขนาดนี้เลย? แล้วประเทศจะพัฒนาไปได้อย่างไร?”


เยี่ยเทียนฟังแล้วอึ้งไป ประเทศหนึ่งหากเกิดเหตุวุ่นวายภายในถึงขนาดนี้ ใครยังอยากจะมาลงทุน? นี่ไม่เป็นการขุดหลุมฝังตัวเองหรอกหรือ?


“แอฟริกาใต้ไม่กลัวจะไม่มีใครมาหรอก”


เฉียวเฟิงหลินยิ้ม “ที่นี่มีเหมืองแร่กับเหมืองทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก พูดได้ว่าเป็นประเทศที่มีสมบัติใต้ดินมากที่สุด แล้วการปกครองให้เกิดความสงบยังจะสำคัญอยู่อีกหรือ? ขอแค่หาเงินได้ ใครๆก็อยากมาลงทุนที่นี่!”


“คนตายเพราะความโลภ นกตายเพราะหาอาหาร”


เยี่ยเทียนพยักหน้า เขาพูดตามที่ตัวเองคิด “คุณเฉียวครับ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ เมื่อไหร่คุณจะช่วยดำเนินการให้ผมกลับประเทศ?”


ตามความหมายของเยี่ยเทียน ตอนที่เขาลงจากเครื่องบินที่เคปทาวน์ แทบอยากจะขึ้นเครื่องบินกลับจีนเดี๋ยวนี้เลย แต่ซ่งเฮ่าเทียนจัดการให้เขาแบบนี้ เยี่ยเทียนจึงต้องไว้หน้าชายชราด้วย


เฉียวเฟิงหลินได้ฟังแล้วตอบอย่างขอโทษขอโพย “คุณจ้าวครับ ต้องขอโทษจริงๆนะครับ มันฉุกละหุกเกินไป ขั้นตอนบางอย่างยังไม่สามารถดำเนินการได้”


ตั้งแต่เยี่ยเทียนเดินทางจากไซบีเรียมาจนถึงเคปทาวน์ใช้เวลาทั้งหมดยี่สิบกว่าชั่วโมง เครือข่ายลูกน้องของซ่งเฮ่าเทียนกว้างขวาง ระยะห่างไกลหลายหมื่นกิโลเมตร ยังไงก็ต้องให้เวลาพวกเขาใช้เวลาเดินเรื่อง


อีกอย่างระหว่างทางเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นก็คือ “เยี่ยเทียน” ตอนนี้ถือพาสปอร์ตท่องเที่ยวอยู่ในอเมริกา ดังนั้นเขายังต้องใช้ชื่อคุณจ้าวเพื่ออยู่ในเคปทาวน์ไปอีกหลายวัน


เรื่องนี้มีคนเพียงไม่กี่คนที่รับรู้ เฉียวเฟิงหลินคนนี้ไม่รู้ความจริง เขาได้รับเพียงคำสั่งให้ไปรับและพาเยี่ยเทียนเข้าที่พักเท่านั้น


เยี่ยเทียนฟังจบก็ตอบอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “เอาเถอะ ให้เร็วหน่อยแล้วกัน ผมยังมีธุระที่ต้องกลับไปทำ”


“วางใจเถอะครับ คุณจ้าว ผมจะรีบจัดการให้”


พูดจบเฉียวเฟิงหลินขับรถเข้าไปจอดหน้าประตูโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง “ผมจองห้องพักให้คุณแล้ว คุณเข้าไปยื่นพาสปอร์ตให้เขาก็จะได้กุญแจห้องมา คุณจ้าว ในช่วงหลายวันนี้ถ้ามีเรื่องอะไรให้รีบโทรศัพท์ติดต่อผมทันทีเลยนะครับ!”


คนอย่างเฉียวเฟิงหลินนอกจากจะรวบรวมข้อมูลจากต่างชาติแล้วยังมีงานที่สำคัญอีกอย่างคือ การต้อนรับ ทุกๆปีเขาจะต้องทำหน้าที่ให้การต้อนรับดูแลแขกผู้มาเยือนหน้าใหม่


เรื่องของเยี่ยเทียนถือเป็นความลับขั้นสุดยอด แน่นอนว่าเฉียวเฟิงหลินไม่มีสิทธิ์รับรู้ เขาจึงจัดให้เยี่ยเทียนเป็นแขกที่เขาต้องดูแลคนหนึ่ง ไม่ได้ให้ความใส่ในเป็นพิเศษ


“คุณเฉียว ผมไม่รบกวนคุณหรอก”


เยี่ยเทียนพยักหน้ายิ้ม เปิดประตูโรงแรมเดินเข้าไปที่เคาท์เตอร์ หยิบพาสปอร์ตออกมายืนยันเพื่อรับกุญแจห้อง แล้วขึ้นห้องพักไป


แม้เฉียวเฟิงหลินไม่ได้ให้ความสำคัญกับการต้อนรับเยี่ยเทียน แต่โรงแรมที่เขาจองให้นั้นดีมาก เยี่ยเทียนพักอยู่ชั้นยี่สิบแปด เมื่อยืนมองจากหน้าต่างห้องพัก สามารถมองเห็นวิวเมืองเคปทาวน์ได้ครึ่งเมือง


“มาถึงที่นี่ก็โทรกลับบ้านได้แล้วล่ะสิ?”


เยี่ยเทียนโยนกระเป๋าเป้ที่ฝูเจิ้งหมิงมอบให้เขาลงไปบนโซฟา แล้วหยิบโทรศัพท์ของโรงแรมขึ้นมา คิดเล็กน้อย เขาไม่ได้โทรกลับบ้านโดยตรง แต่โทรเข้ามือถือของมาลาไกย์


“คุณเป็นใคร? ต้องการคุยกับใครครับ?”


สายโทรศัพท์ดังอยู่สิบกว่าครั้ง ฝ่ายนั้นถึงจะได้ยิน เสียงมาลาไกย์ถามมาในสายแสดงให้เห็นว่าเขาระแวดระวังกับเบอร์โทรแปลกหน้ามาก


มาลาไกย์ไม่ระวังไม่ได้ แม้สามเดือนก่อนเขาพาต่งต้าจ้วงลุงและหลานหนีออกจากรัสเซียได้สำเร็จแต่ด้วยเขาเป็นคนต่างชาติที่อยู่ในไซบีเรียในช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อน ทำให้ชื่อของมาลาไกย์ถูกขึ้นบัญชีดำไว้แล้วเรียบร้อย


สามเดือนที่ผ่านมา มีคนแปลกหน้ามาปรากฏตัวขึ้น ยิ่งกว่านั้นมีหลายครั้งที่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ถ้าเขาไม่ระวังตัวมากพอ ป่านนี้คงถูกเชิญไปนั่งดื่มกาแฟอยู่ที่ไหนสักแห่งในรัสเซีย


“เหล่าหม่า นี่ผมเอง!”


เยี่ยเทียนตอบเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงปักกิ่ง มาลาไกย์ได้ยินก็ตะลึงตาค้าง แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงตกใจว่า “บอสส์? คุณ ….คุณยังมีชีวิตอยู่?”


ถ้าสายนี้เป็นความรักครั้งแรกของมาลาไกย์ เขาจะยังไม่ตกใจเท่านี้ พอได้ยินเสียงของเยี่ยเทียน มาลาไกย์รู้สึกตื่นเต้นจนขนหัวลุก


หลังจากส่งต่งต้าจ้วง ลุงและหลานกลับปักกิ่งเรียบร้อยแล้ว มาลาไกย์ได้ข่าวจากพรรคพวกที่ไซบีเรียว่า กองทัพรัสเซียหนึ่งแสนนายได้สังหารชายชาวจีนที่มีความสามารถเก่งกล้าไปคนหนึ่ง


ข่าวนี้ทำให้มาลาไกย์คิดว่าผู้ตายต้องเป็นเยี่ยเทียนอย่างแน่นอน เขาถึงกับล้มเลิกความคิดที่จะทวงเงินยี่สิบล้านตามคำสัญญาของเยี่ยเทียนไปเลย


มาตอนนี้ได้ยินเสียงของเยี่ยเทียนอีกครั้ง มาลาไกย์รู้สึกเย็นยะเยือกในสันหลังจนขนลุกชูชันไปทั้งตัว


“เหลวไหล ตายแล้วก็ต้องเป็นผีสิ เป็นผีแล้วจะมาคุยกับคุณได้ยังไง?”


เยี่ยเทียนได้ยินเสียงที่ตกใจจนแหบห้าวของมาลาไกย์แล้วก็หงุดหงิด “เหล่าหม่า คุณเล่าสถานการณ์ทางฝั่งนั้นมาให้ผมฟังคร่าวๆหน่อย ถ้าภารกิจสำเร็จเงินก้อนนั้นผมจะเพิ่มจำนวนโอนให้คุณเลย!”


“จริง….จริงเหรอ บอสส์?”


มาลาไกย์เสี่ยงชีวิตยิงปืนฝ่าออกมาจากห่ากระสุนหนีเอาตัวรอดมาได้ เขาดึงสติกลับมาจากความตกใจ รีบตอบกลับว่า “ต่งต้าจ้วง ลุงและหลานน่ะผมส่งตัวให้คนที่ชื่อจู้เหวยเฟิงแล้ว พวกเขาไม่ได้รับอันตรายใดๆ”


ตอนแรกเขาอยากจะคุยโม้ว่าตัวเองพาต่งต้าจ้วงหลบหนีจากอันตรายด้วยความยากลำบากอย่างไร แต่พอนึกถึงเยี่ยเทียนที่หลบหนีจากกองทัพรัสเซียเป็นแสนนายได้ เขาก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป


“ดีแล้ว ผมรู้แล้วล่ะ เงินนั่นอย่างเร็วครึ่งเดือน อย่างช้าหนึ่งเดือน ผมจะโอนเข้าบัญชีให้คุณ”


เมื่อได้ยินว่าต่งต้าจ้วง ลุงและหลานถูกส่งตัวให้จู้เหวยเฟิงแล้ว เยี่ยเทียนก็วางใจ เขากำลังจะวางสายจู่ๆเกิดภาพขึ้นในหัว รีบบอกมาลาไกย์ว่า “เหล่าหม่า ช่วงนี้คุณดวงไม่ค่อยดี ไปอยู่เมืองจีนสักหลายวันหน่อยเถอะ ไม่อย่างนั้นจะมีภัยให้เลือดตกยางออก”


ไม่รู้ว่าเพราะการฝึกวิชาที่ก้าวหน้า ทำให้การทำนายของเยี่ยเทียนเกิดความเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ขอแค่ในหัวเขาผุดภาพของใครขึ้น ก็มักจะเกิดเรื่องกับคนๆนั้น


เมื่อครู่ตอนที่คุยกับมาลาไกย์อยู่นั้น เยี่ยเทียนมองเห็นภาพมาลาไกย์ถูกคนกลุ่มหนึ่งไล่ตามอย่างน่าสมเพช เขาจึงเอ่ยเตือนไป


“เลือดตกยางออก? หมายความว่ายังไง?” มาลาไกย์แม้จะเรียนภาษาจีนมาเล็กน้อย แต่ไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งของคำนี้


ภาพในหัวของเยี่ยเทียนสลายไป เยี่ยเทียนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ก็คือคุณไปเที่ยวผู้หญิงแล้วไม่ยอมจ่ายเงินไงเล่า เลยถูกเขาตีหัวแตก เข้าใจหรือยัง?”


“เข้าใจ…เข้าใจแล้ว แต่ว่าบอสส์ ทำไมถึงรู้ว่าผมไปเที่ยวผู้หญิงแล้วไม่จ่ายเงินเล่า?” มาลาไกย์ได้ฟังก็งุนงง สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ


เมื่อเดือนก่อน มาลาไกย์หลบหนีจากการติดตามของหน่วยพิเศษรัสเซีย เข้าไปหลบในบ้านของสาวโสดคนหนึ่ง ตอนแรกคิดแค่ว่าเล่นสนุก กลับคิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นโสเภณี หลังจากเสร็จกิจแล้วเธอได้แบมือขอเงินเขาห้าร้อยดอลลาร์เป็นค่าตอบแทน


มาลาไกย์ค้นเงินออกมามีเพียงห้าร้อยดอลล่าร์เท่านั้นที่ติดตัว ตอนที่เขากำลังสวมกางเกงเตรียมจะไปนั้น ก็ถูกหญิงโสเภณีใช้แจกันฟาดหัวทีหนึ่ง


แม้จะทำอะไรมาลาไกย์ไม่ได้มากไปกว่านี้ แต่รอยแผลบนหัวของเขาก็คือภัยเลือดตกยางออกที่เยี่ยเทียนพูดถึง


ตอนที่ 783 ข่าวของซ่งเสี่ยวหลง

“เลิกโม้ได้แล้ว จะเชื่อหรือไม่แล้วแต่คุณ ผมวางสายล่ะ”


ในความทรงจำของเยี่ยเทียน มาลาไกย์ผู้เป็นสุภาพบุรุษคนนั้นหายไปแล้ว สุนัขที่ไม่เห่านี่กัดเจ็บจริงๆ เยี่ยเทียนไม่เคยคิดเลยว่า มาลาไกย์ผู้ซึ่งสงบนิ่งอย่างน่าประหลาดใจนั้น จะมีชีวิตแง่มุมนี้เหมือนกัน


แต่จะโทษเขาก็ไม่ได้ สถานที่ๆทหารจากนานาชาติเดินทางเข้าออกตลอดนั้น ส่วนใหญ่มักเป็นสมรภูมิรบ


พวกเขาเหมือนใช้ชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อหาเงิน วันนี้ยังอยู่ พรุ่งนี้อาจจะตายก็ได้ ดังนั้นคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่คิดเก็บออม เมื่อหาเงินมาได้ถ้าไม่เอาไปละลายในบ่อนก็หมดไปกับเรื่องผู้หญิง


วางสายจากมาลาไกย์แล้ว เยี่ยเทียนไตร่ตรองครู่หนึ่งค่อยกดเบอร์โทรศัพท์มือถือของจู้เหวยเฟิง


“ฮัลโหล ใครครับ?” เสียงของจู้เหวยเฟิงที่รับโทรศัพท์ฟังดูเหนื่อยอ่อน


“ฉันเยี่ยเทียน เหล่าต่งตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”


เยี่ยเทียนไม่ทักทายให้เสียเวลา เขาถามถึงต่งเซิงไห่ว่าเป็นอย่างไร แม้เหตุการณ์ในเมืองไทยเกิดขึ้นเพราะความโลภของจู้เหวยเฟิงและต่งเซิงไห่ทั้งคู่ แต่ราชครูแห่งประเทศไทยคนนั้นกลับมาลงมือที่เยี่ยเทียน


“เยี่ยเทียน?!”


เสียงจู้เหวยเฟิงแหลมแปร่งขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงแก้วแตกดังมาตามสาย เพราะเขากำลังนั่งจิบไวน์อยู่ในบ้านและตกใจจนแก้วไวน์หล่นลงพื้น


จู้เหวยเฟิงไม่สนใจรอยเปื้อนจากไวน์แดงที่หกรดกางเกงและรองเท้า เขาตะโกนเข้ามาในสาย “เยี่ยเทียน นายไม่เป็นไรใช่ไหม เฮ้อ ฉันกังวลแทบแย่แหนะ!”


สำหรับบุคคลทั่วไปแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นแต่มันช่างห่างไกลจากชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาเกินกว่าจะสนใจ


แต่จู้เหวยเฟิงไม่เหมือนคนอื่น ข่าวกรองที่ส่งมาจากมอสโควนั้น เขารู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของเยี่ยเทียน


ลำพังเรื่องขบวนการใต้ดินในมอสโคว จู้เหวยเฟิงไม่ได้รู้สึกตกใจ เพราะเขารู้ว่าเยี่ยเทียนร้ายกาจแค่ไหน


แต่หลังจากข่าวการเสียชีวิตของลอฟสกี้ถูกเผยแพร่มาถึงประเทศจีน ทำให้จู้เหวยเฟิงตกใจมาก เข้าไม่คิดว่าเยี่ยเทียนจะทำให้เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้


ตำแหน่งของลอฟสกี้ในรัสเซียนั้น เกือบจะเท่าๆกับผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนเลยทีเดียว ถ้าเสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ทางการรัสเซียจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้จบลงง่ายๆแน่?


เป็นอย่างที่จู้เหวยเฟิงคิดไว้ การซ้อมรบทางทหารของกองทัพรัสเซียทำให้คนทั้งโลกแตกตื่น และสิ่งที่ยิ่งทำให้จู้เหวยเฟิงใจคอไม่ดีนั้นคือหลังจากการซ้อมรบจบลง เยี่ยเทียนก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย


หลายเดือนที่ผ่านมา จู้เหวยเฟิงใช้เส้นสายที่รู้จักคอยสืบข่าวของเยี่ยเทียนมาตลอด แต่ก็ไม่ได้ความ จนเขาคิดว่าเยี่ยเทียนอาจจะถูกตัดสินโทษประหารชีวิตไปแล้วก็ได้


พอรับโทรศัพท์ได้ยินเสียงเยี่ยเทียนอีกครั้ง คุณชายจู้ดีใจมาก และทั้งตกใจเหมือนกัน ตอนที่ได้ยินเสียงเยี่ยเทียนเขาเกือบจะตกเก้าอี้แล้ว


“ถ้ามีเรื่องจริงๆ ผมยังจะโทรหาคุณได้อีกหรือ?”


เยี่ยเทียนกลอกตา ปฎิกิริยาของเจ้านี่กับมาลาไกย์เหมือนกัน เพราะต่างก็คิดว่าเยี่ยเทียนน่าจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว?


“เยี่ยเทียน นายอยู่ที่ไหน นี่เป็นเบอร์ต่างประเทศนี่?”


จู้เหวยเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อให้ใจเย็นลง “นายบอกสถานที่มา ฉันจะบินไปหาทันที ต้องขอบคุณนายจริงๆ เรื่องนั้นทำได้ดีมากเลย!”


จู้เหวยเฟิงโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยเสียเปรียบครั้งไหนร้ายแรงเท่าตอนที่อยู่เมืองไทย เขาไม่เพียงต้องยอมก้มหัวให้คนอื่น ชีวิตก็เกือบเอาตัวไม่รอดทำให้ต่งเซิงไห่ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจนตัวเองพิการ


เยี่ยเทียนกวาดล้างขบวนการใต้ดินในรัสเซีย ทั้งยังฆ่าฟรุสที่ไซบีเรียด้วย เมื่อรู้ข่าวนี้จู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่ดีใจฉลองจนดื่มเหล้าเหมาไถหมดเป็นลัง


“อีกไม่กี่วันฉันก็กลับแล้ว คุณไม่ต้องมาหรอก”


เยี่ยเทียนรีบห้ามจู้เหวยเฟิงไว้ “เหล่าต่งเป็นยังไงบ้าง? ต่งต้าจ้วงนั้นฉันส่งเขากลับประเทศไปแล้ว ยังมีลูกชายคนหนึ่งติดตามไปด้วย”


“เยี่ยเทียน ตอนนั้นเหล่าต่งแทบจะก้มกราบนายสามครั้ง เรื่องนี้นายทำได้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ ฉันขอบคุณนายแทนเหล่าต่งด้วย ไม่งั้น ฉันก้มกราบนายสามครั้งแทนดีไหม?”


จู้เหวยเฟิงเป็นผู้ใหญ่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ถ้อยคำแบบนี้คุยกับคนอื่น เขาติดหนี้ชีวิตต่งเซิงไห่ ต่อให้เขาต้องก้มกราบโขกหัวให้เยี่ยเทียนหลายต่อหลายครั้ง เขาก็ยินดี


“บ้าเหรอ ผมยังไม่ตาย คุณมาโขกหัวให้ผมทำไม?”


เยี่ยเทียนบอกปัด ฟังดูแล้วต่งเซิงไห่ไม่น่าจะอยู่กับจู้เหวยเฟิงตอนนี้ เขาจึงสบถด่าออกมาได้หลายคำ แล้วถามต่อว่า “เหล่าต่งล่ะ อยู่ที่ไหน?”


“เดือนที่แล้วเหล่าต่งไปที่ซานฟรานซิสโกแล้ว เขามีธุรกิจเล็กๆอยู่ที่นั่น เยี่ยเทียน นายวางใจเถอะ ฉันจัดการให้คนติดตามเขาไปด้วย เรื่องความปลอดภัยไม่ต้องเป็นห่วง”


แค้นใหญ่ต้องชำระ ในตระกูลยังมีเลือดเนื้อเชื้อไขหลงเหลืออยู่ ต่งเซิงไห่ค่อยๆฟื้นตัวกลับมาได้


เขาอยู่ต่างประเทศมาเกินครึ่งชีวิต จึงไม่อยากอยู่ในเมืองจีนนาน สุดท้ายจึงยืนยันจะเดินทางกลับไปที่ศูนย์บัญชาการใหญ่ของสมาคมหงเหมินในซานฟรานซิสโก ที่นั่นเขายังมีกิจการอยู่ที่อยากจะสืบทอดให้กับบุตรชายต่อไป


“อืม ชะตาของเหล่าต่งต้องพบกับเคราะห์กรรมครั้งนี้ ไม่ตายก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ต่อไปเขาจะได้เสพสุขในบั้นปลายชีวิตเสียที”


ฟังจู้เหวยเฟิงพูดจบ เยี่ยเทียนพยักหน้ารับ “หลังจากฟรุสตายแล้ว ค่ายมวยใต้ดินที่ญี่ปุ่น เมืองไทยแล้วก็รัสเซียเป็นยังไงบ้าง?”


“วุ่นวาย วุ่นวายยิ่งกว่ามดแตกรังเสียอีก!”


จู้เหวยเฟิงยิ้มฝืน “สนามมวยใต้ดินในรัสเซียถูกฟรุสควบคุมอยู่คนเดียว พอมังกรไม่มีหัว คนจากที่อื่นก็ยื่นมือเข้ามาเกี่ยว แย่งกันแบบไม่มีใครยอมใคร!”


ค่ายมวยใต้ดินในเอเชียเหล่านี้ ต่างเป็นตลาดที่พรั่งพร้อมอยู่แล้ว โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่นกับไทย ถ้าเทียบกับที่ลาสเวกัสนั้นยังดีกว่าด้วยซ้ำ พอฟรุสตาย ตอนนี้จึงมีแต่ฝูงจระเข้ที่เฝ้าคอยจะขย้ำชิ้นเนื้อสองชิ้นนี้


ตอนมีชีวิตอยู่ฟรุสแข็งแกร่งมาก พอเขาตายไปก็ไม่มีใครเข้ามาควบคุมงานของเขาได้ ดังนั้นนอกจากเหตุกาณ์นองเลือดที่เพิ่งเกิดขึ้นในมอสโก ในประเทศไทยกับญี่ปุ่นได้มีคนตายจากการแก่งแย่งกันทุกวี่วัน


“หมาป่าต้องกินเนื้อ ให้พวกเขาแย่งกันไปเถอะ!” เยี่ยเทียนเลิกคิ้วสูง หัวเราะแล้วถามต่อ “คุณล่ะ คุณเองก็มีโอกาสดีเหมือนกันนี่ ยังไม่ลงมืออีกเหรอ?”


“ฉัน?”


จู้เหวยเฟิงถอนหายใจแล้วตอบว่า “เยี่ยเทียน ฉันไม่ปิดบังหรอกว่าครั้งนี้น่ะฉันแย่เลย ค่ายมวยในจีนถูกปิดหมด อย่าว่าแต่ต่างประเทศเลย….”


จู้เหวยเฟิงทำธุรกิจอะไร พวกผู้อาวุโสในประเทศต่างรับรู้ เพียงแต่ยังเห็นแก่ดวงวิญญาณของปู่ของเขา จึงได้แต่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่มีใครไปเข้มงวดอะไรกับเขามาก


แต่ครั้งนี้เหตุที่เกิดในรัสเซีย สืบสาวไปมาดันไปเกี่ยวข้องกับจู้เหวยเฟิง เรื่องจึงใหญ่โตขึ้น


หลังจากลอฟสกี้ตายแล้ว จู้เหวยเฟิงถูกสอบสวนอยู่เป็นเดือนกว่า ข่าวเพิ่งจะซาลงเขาเลยเพิ่งได้รับอิสระเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่ตลาดมวยใต้ดินของเขาคงเปิดต่อไปไม่ได้แล้ว


เมื่อเรื่องนี้จบลง นิสัยชอบความตื่นเต้นท้าทายของจู้เหวยเฟิงลดลงมาก เมื่อเดือนก่อนนี่เองเขาขายค่ายมวยออกไป ตอนนี้เหมือนจะมีแค่ข้าราชการคนหนึ่งเท่านั้นที่กำลังทำการค้าด้วยการพนัน


“แบบนี้ก็ดี เอาเถอะ ผมยังมีธุระอีก แค่นี้แหละ!”


เมื่อไต่ถามถึงข่าวคราวที่ตนอยากรู้แล้ว เยี่ยเทียนไม่อยากคุยกับจู้เหวยเฟิงต่อจึงตัดสายไป เจ้านั่นดูท่าจะถูกกระทบกระเทือนไม่น้อย แม้ในสายโทรศัพท์ยังรู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อย


หลังจากวางสายแล้ว เยี่ยเทียนกดเบาๆบนแป้นโทรศัพท์อีกครั้ง สายนี้ที่กำลังโทรออกไปต้องถูกปลายสายบ่นจนหูชาแน่


เขานึกอยู่ครู่หนึ่งแล้วกดเบอร์มือถือของมารดา เสียงรอสายดัง “ตู้ด ตู้ด” ทำให้เยี่ยเทียนผู้ปกติไม่เดือดเนื้อร้อนใจกลับหัวใจเต้นระรัว


ปลายสายรับสายแล้ว เยี่ยเทียนรีบยิ้มออกมาจนแก้มปริ “แม่ นี่ผมเอง เยี่ยเทียน”


“เด็กบ้า แกยังอุตส่าห์รู้จักโทรกลับมาบ้านอีกหรือ? แกยุ่งเรื่องอะไรอยู่ ไม่ส่งข่าวมาตั้งหลายเดือน? ถ้าแกยังไม่กลับมาเมียแกจะหนีไปอยู่ที่อื่นแล้วนะ!”


ปกติซ่งเวยหลันคุยกับคนอื่นจะพูดด้วยน้ำเสียงเล็กเบานุ่มนวล มีแค่สามีและกับบุตรชายที่มักทำให้เธอกลุ้มใจอยู่เรื่อย ถึงจะพูดด้วยน้ำเสียงดุดันราวกับแม่เสือ


“เอ๋? แม่ แม่ไม่รู้หรือว่าผมไปทำอะไรมา?”


เยี่ยเทียนทำหน้าไม่ถูก เขาเดาว่าตัวเองน่าจะถูกผู้เป็นตาใช้ลูกเล่นเข้าให้แล้ว ตาของเขาต้องหาเหตุผลอะไรบางอย่างมาเพื่อปิดบังเรื่องร้ายแรงที่ตัวเขาก่อขึ้น


เรื่องจริงก็เป็นดังนั้น ซ่งเฮ่าเทียนกลัวว่าบุตรสาวจะกังวลใจ จึงบอกเธอว่าเยี่ยเทียนไปทำธุระที่ต่างประเทศ น่าจะต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะติดต่อกลับมาได้


ไม่เช่นนั้นซ่งเวยหลันยังจะมีจิตใจอยู่ในปักกิ่งนี้ต่อได้หรือ เกรงว่าเธอคงจะเกณฑ์ทหารรับจ้างเป็นพันคนบุกไปถึงรัสเซียให้ได้


คำตอบของบุตรชายทำให้เธอหงุดหงิด “ตาของแกน่ะก็ทำลับๆล่อๆไม่ยอมบอกความจริงกับฉัน ฉันจะรู้ไหมว่าแกไปทำอะไรมา? ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน?”


ซ่งเวยหลันเชื่อมั่นในตัวบิดาของเธอมาก เธอจึงไม่ค่อยกังวลเรื่องความปลอดภัยของบุตรชาย เพียงแต่กล่าวโทษเขาที่ไม่ติดต่อกับคนที่บ้านเลย


“แม่ ผมอยู่ที่เคปทาวน์ แอฟริกาใต้ อย่างช้าอีกสัปดาห์หนึ่งผมถึงจะกลับ!”


ฟังคำกล่าวหาของมารดาแล้ว เยี่ยเทียนแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเผชิญหน้ากับศัตรูได้โดยไม่หวาดหวั่น แต่กับคนในครอบครัวเขาให้ความสำคัญมาก


“ลูกอยู่ที่เคปทาวน์? ลูกไปทำอะไรที่นั่น?” พอรู้ที่อยู่ของลูกชายแล้ว น้ำเสียงของซ่งเวยหลันที่ส่งผ่านสายโทรศัพท์มาฟังดูผิดแปลกไปจากเดิม


“แม่ ทำไมหรือครับ? มีอะไรหรือเปล่า?” แม้เขาจะอยู่ร่วมกับมารดาได้ไม่นาน แต่เยี่ยเทียนฟังออกว่ามารดากำลังกังวลอะไรบางอย่าง


ซ่งเวยหลันตอบปฏิเสธทันใด “เปล่า ไม่มีอะไรจ้ะ ลูกรีบกลับมาก็แล้วกัน แล้วอยู่ที่นู่นก็ต้องระวังตัวด้วย แอฟริกาใต้ไม่ค่อยสงบเรียบร้อย!”


“แม่ มีเรื่องปิดบังผมใช่ไหม?” เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว จู่ๆก็โพล่งขึ้นว่า “แม่ หรือว่าซ่งเสี่ยวหลงจะอยู่ที่แอฟริกาใต้เหมือนกัน?”


ความผูกพันของมารดากับซ่งเสี่ยวหลงนั้นเยี่ยเทียนพอเข้าใจ แม้ซ่งเสี่ยวหลงจะทำเรื่องผิดต่อเธอ แต่ซ่งเวยหลันก็ยังไม่รู้ว่าจะลงโทษเขาอย่างไร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)