ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 776-797
ตอนที่ 776 แย่งอาหาร
พวกจ้าวเสวียหลินแต่ละคนคีบขาหมูชิ้นใหญ่ที่มันเยิ้ม แล้วมองไปที่เหยียนหมิงซุ่นอย่างลำพองใจ ราวกับคางคกขึ้นวอ
พ่อหนุ่มน้อย กล้ามาทำให้พวกเขาไม่เป็นสุขตอนอยู่เกสต์เฮาส์ ตอนเย็นก็จะไม่ให้นายกินเนื้อแม้แต่คำเดียว!
ทั้งสี่คนล้วนเป็นขุนพลตัวน้อยที่เคยฝึกฝนกังฟูของตระกูลจ้าวมาก่อน แต่จ้าวเสวียเอ๋อร์แสดงออกว่าจะไม่เข้าร่วมเกมที่ไร้สาระแบบนี้ อันที่จริงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาก็คือไม่อยากล่วงเกินเหยียนหมิงซุ่น สำหรับคนที่มีเงินและอาจจะกลายเป็นหุ้นส่วนของเขาในอนาคต จ้าวเสวียเอ๋อร์จะไม่ทำตัวโง่ ๆหรอก
ส่วนเด็กอ้วนน้อยยิ่งไม่ต้องพูดถึง ด้วยฐานะและความกล้าหาญของเขาแล้วจึงตัดสินใจถอนตัวอย่างไม่ต้องคิด กินไปด้วยดูละครไปด้วยแบบนี้สิถึงจะเหมาะสมกับเขาเสียยิ่งกว่า!
เหยียนหมิงซุ่นไม่โมโหเลยสักนิด ริมฝีปากยังมีรอยยิ้มและมารยาท เขาไม่ได้คีบขาหมูอีก แต่คีบผักขึ้นมาเคี้ยวอย่างช้าๆ
พวกจ้าวเสวียหลินยิ่งได้เห็นท่าทีเช่นนี้ก็ยิ่งลำพองใจ เคี้ยวขาหมูเหมือนว่ากำลังยั่วยวนความอร่อย ฝีมือของพ่อครัวหยวนดีมากจริงๆ เนื้อขาหมูมันเยิ้มแต่ไม่เลี่ยน ละลายในปาก เนื้อนั้นเยอะเพียงพอสำหรับพวกเขา ในเวลาไม่นานก็ถูกพวกเขาเคี้ยวละเอียดจนเกลี้ยง
เหยียนหมิงซุ่นเหลือบมองพวกเขาอยู่แวบหนึ่ง เขาหันตะเกียบยืนมือไปทางผัดหมูสามชั้นเสฉวน และเป็นไปตามคาด ตะเกียบทั้งสี่คู่ก็ยื่นเข้ามาในเวลาเดียว หลังจากนั้นผัดหมูสามชั้นเสฉวนที่มีอยู่ครึ่งจานก็หายหมดไปในพริบตา
แน่นอนว่าคุณปู่ก็มองออกถึงความไม่ปกติ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไร แม้กระทั่งคุณย่าที่คิดอยากจะอ้าปากห้ามก็ยังยั้งไว้ ยิ้มตาหยีมองดูการแสดงฉากใหญ่อย่างสนุกสนาน
อยากจะดูเสียหน่อยว่าเหยียนหมิงซุ่นคนนี้จะแย่งอาหารท่ามกลางตะเกียบแปดอันยังไง!
เจ้าหนุ่มที่ไร้ความสามารถก็ไร้คุณสมบัติที่จะอยู่ข้างกายหลานสาวของเขาเช่นกัน
เหยียนหมิงซุ่นคีบผักกินอีกครั้งเอาใส่ปากกินเข้าไปอย่างช้า ๆ แล้วก็ไม่รีบร้อนที่จะคีบอาหารอีก แน่นอนว่าเหมยเหมยก็สังเกตเห็นแล้ว เธอจ้องเขม็งไปทางพี่ชาย พวกจ้าวเสวียหลินก็เริ่มผวา แต่ก็ยังเสแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
ความแค้นที่เกสต์เฮาส์ พวกเขาไม่แก้แค้นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะเป็นการขายขี้หน้าจนเกินไป!
อีกอย่างน้องสาวของพวกเขาไม่ใช่ลูกหมาลูกแมวอะไรที่จะมาขอแต่งงานด้วยง่าย ๆ ได้ที่ไหนกันล่ะ?
ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ต้องสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้ฝั่งตรงข้ามเห็น ให้เขารู้ถึงความเก่งของพวกเราพี่น้อง!
เหมยเหมยคิดอยากจะคีบอาหารให้เหยียนหมิงซุ่น แต่กลับโดนสายตาปฏิเสธเหยียยหมิงซุ่นยั้งไว้ พูดอย่างไม่มีเสียงว่า “วางใจเถอะ!”
เหยียนหมิงซุ่นแน่นอนว่าไม่ใช่คนที่โอนอ่อนตาม ตรงกันข้ามเขากลับเป็นคนทะนงตัว ทะนงตัวมากกว่าใคร ๆ เสียอีก หรือจะพูดว่าความทะนงตัวแทรกซึมเข้าไปในกระดูกเลยก็ว่าได้ แต่เขากลับไม่ใช่คนที่มีความคิดคร่ำครึ รู้แก่ใจดีว่าคนที่ไม่มีภูมิหลังแบบเขา หากคิดอยากจะปีนขึ้นสูงก็ไม่มีสิทธิ์จะหยิ่งทะนงตัว
หากปรารถนาจะเป็นผู้ชายร่ำรวยที่ทรงอำนาจ ต้องเป็นหลานชายให้ได้ก่อน!
ไม่เหมือนพวกจ้าวเสวียหลินที่ถูกกำหนดฐานะที่ไม่ธรรมดามาตั้งแต่เกิด ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถหยิ่งทะนงได้ตามดั่งใจต้องการ!
เหยียนหมิงซุ่นรู้ดีถึงฐานะของตัวเขาเอง การแสดงออกที่เหมาะสมที่สุดก็คือการนอบน้อมถ่อมตนหรือการมีกิริยามารยาท ไม่ควรจะทำกิริยาท่าทางไม่เหมาะสมออกมา แต่ความหยิ่งทะนงของเขาที่ซ่อนอยู่ลึกๆนั้นไม่เห็นด้วย
เหตุผลที่สำคัญกว่าก็คือ เขาไม่สามารถให้เหมยเหมยคิดว่าเขานั้นเป็นผู้ชายอ่อนแอและรังแกได้ง่ายๆ!
ยิ่งไม่สามารถให้พวกตระกูลจ้าวดูถูกเขาได้!
เขาจะต้องกอบกู้หน้าตาคืนมาเพื่อเหมยเหมย!
ดังนั้นพวกจ้าวเสวียหลิน ——ก็ ——โชคร้ายแล้ว……
เหยียนหมิงซุ่นชำเลืองมองไปทางพวกจ้าวเสวียหลินที่กินผัดหมูสามชั้นเสฉวน รอพวกเขากินหมูชิ้นสุดท้ายเสร็จ เขาก็หันตะเกียบไปทางหมั่นโถวทอด อีกทั้งยังพูดกับเหมยเหมยอีกว่า “หมั่นโถวจานนี้ทอดได้เหลืองกรอบมาก รสชาติจะต้องอร่อยมากแน่ ๆ”
พวกจ้าวเสวียหลินทั้งสี่คนหูกระดิก กำตะเกียบแน่น เตรียมพร้อมจะโจมตีตลอดเวลา
หลังจากนั้นก็เป็นซี่โครงหมูผัดซอสแดง ข้าวเหนียวคลุกโป๊ยเซียน ปอเปี๊ยะทอด……เหยียนหมิงซุ่นเหมือนกับฮ่องเต้ที่สามารถเลือกถูกอย่างได้ตามใจชอบ และแน่นอนอาหารที่ทั้งมันเลี่ยนทั้งราคาถูกพวกนั้นเขาไม่ได้กินเลยสักคำ
พี่ชายซื่อบื้อทั้งสี่คนที่ร้อนรนจะปกป้องน้องสาวลูบท้องด้วยความทรมาน ส่งเสียงเรอขึ้นมาไม่หยุด
……………………………………….
ตอนที่ 777 ความหยิ่งทะนงตัวของเหยียนหมิงซุ่น
จ้าวเสวียหลินเฝ้าดูเหยียนหมิงซุ่นเล่นหยอกล้อกับน้องชายที่โง่เขลาทั้งสี่ของเขาอย่างสนใจ เขามองออกนานแล้วว่าหมอนี่คิดอะไรอยู่ แต่ว่าเขาก็จะไม่ไปเตือนน้องๆที่โง่เขลาหรอกนะ นั่งดูสนุกกว่าตั้งเยอะ!
คุณปู่ที่นั่งดูการหยอกล้อบนโต๊ะอาหารกลับเกิดอาการโมโหขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าหลานชายไม่กี่คนของเขาโง่เง่าเสียยิ่งกว่าหมูอีก การหยอกล้อที่ชัดเจนขนาดนี้กลับมองไม่ออก สมองโดนหมากินไปหมดแล้วมั้ง!
คุณปู่กลับลืมไปแล้วว่า คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์นั้นไม่มีทางมองออก แต่คนนอกที่มองดูอยู่จะเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งเลยล่ะ!
เหยียนหมิงซุ่นหน้านิ่งหันไปยิ้มให้กับพวกจ้าวเสวียไห่ที่กินจนตาเหลือก แล้วจึงหันตะเกียบไปทางขาหมู แต่ครั้งนี้กลับสงบสุข เจ้าพวกจุ้นจ้านนั้นต่อให้อยากจะทำเพียงใดแต่ก็ไร้เรี่ยวแรงแล้ว
“ขาหมูถือว่ารสชาติดีเลยทีเดียว เสวียหลินอยากกินไหม?”
เหยียนหมิงซุ่นยังจงใจแกว่งเนื้อไปมา ถามจ้าวเสวียหลินที่กำลังทั้งโกรธและหงุดหงิด แล้วได้คำตอบจากการกลอกตามองบนทั้งแปดลูกตากลับมาแทน
ในตอนนี้เองพวกจ้าวเสวียหลินก็ได้สติกลับคืนมา รู้ถึงเล่ห์เหลี่ยมของเหยียนหมิงซุ่นแล้ว ต้องโทษที่พวกเขาใจร้อนเกินไป ประเมินค่ากระเพาะของตัวเองสูงเกินไป แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะทำตัวเองเกือบตาย
เหยียนหมิงซุ่นคีบเนื้อชิ้นเล็กให้เหมยเหมย พูดยิ้มๆว่า “เนื้อชิ้นใหญ่ๆพวกพี่ชายเธอกินไปหมดแล้ว เหลือแต่เนื้อชิ้นเล็กๆแล้ว เหมยเหมยกินเยอะๆหน่อยนะ”
จ้าวเสวียหลินโมโหจนเรอออกมาเสียงดัง รู้สึกในปากเต็มไปด้วยน้ำมัน เขาเลี่ยนจะตายอยู่แล้ว คนที่รู้สึกเหมือนเขายังมีอีกสามคน เลี่ยนจนแทบจะอ้วกออกมาอยู่แล้ว
เหมยเหมยรับเนื้อชิ้นเล็กไป แถมยังจงใจใช้มีดแทงเข้าไปกลางหัวใจของพี่ทั้งสี่คนด้วยการยิ้มหวานๆแล้วพูดว่า “อร่อยจริงๆ พี่หมิงซุ่นพี่ก็กินเนื้อหน่อยสิถึงแม้ว่ามันจะไม่มีแล้วก็ตาม พี่ชายฉันพวกเขากินได้เกลี้ยงจริงๆ”
ในใจของเหยียนหมิงซุ่นรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ถึงแม้ว่าตระกูลจ้าวจะไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกหยิ่งในศักดิ์ศรีที่ติดตัวมาแต่เกิด เป็นสิ่งที่อยู่บนตัวสยงมู่มู่เมื่อก่อนที่ทำให้เขารู้สึกขัดตาหงุดหงิดเป็นที่สุด
ตระกูลจ้าวมีติดตัวทุกคน มีแค่เหมยเหมยที่ไม่มี
ความรู้สึกหยิ่งในศักดิ์ศรีแบบนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไรนัก แน่นอนเขารู้ว่านี่ไม่ใช่ความผิดของพวกจ้าวเสวียหลิน พวกเขาอาศัยอยู่ในครอบครัวสูงส่งอย่างครอบครัวจ้าวตั้งแต่เด็ก ความรู้สึกหยิ่งในศักดิ์ศรีนั้นได้แทรกซึมเข้าไปในกระดูกของพวกเขานานแล้ว แผ่กระจายออกมาโดยไม่รู้ตัว พวกเขาก็ไม่มีวิธีที่จะควบคุมมันได้
เพียงแต่ตัวเขาเองเป็นคนรับรู้ได้ไว เขาไม่ยินดีที่จะโดนคนอื่นใช้ท่าทีที่เหนือกว่าพูดคุยกับตัวเอง แล้วก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ต่อหน้าคนพวกนี้
แน่นอนว่าเขามีความเขื่อมั่นในตัวเอง เขาโดดเด่นดีเลิศกว่าคนมากมาย และมีความกล้ามากกว่าใครหลายคน เขาจะอาศัยเพียงความพยายามของตัวเองเท่านั้น ปีนขึ้นไปสู่จุดสูงสุดทีละก้าวทีละก้าว และเขายังจะพยายามย่นระยะเวลาให้น้อยที่สุดอีกด้วย
บรรยากาศมาคุชั่วขณะ เพื่อที่จะไกล่เกลี่ยคุณย่าจึงคีบหมั่นโถวทอดส่งให้กับเหยียยหมิงซุ่น ยิ้มอย่างเป็นกันเองพูดว่า “เสี่ยวเหยียนกินหมั่นโถว เธอชอบไม่ใช่เหรอ?”
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มกล่าวขอบคุณ ขมวดคิ้วมองหมั่นโถวทอดเบาๆ ในบรรดาของกินทั้งหมดเขาไม่ชอบอาหารที่ใช้น้ำมันทอดเป็นที่สุด ไม่ดีต่อสุขภาพอีกรสชาติสัมผัสที่ก็ไม่ได้อร่อย เมื่อครู่เขาแค่จงใจพูดหลอกล่อให้พวกจ้าวเสวียหลินตกหลุมพลางแค่นั้นเอง
แต่ว่านี่เป็นของที่คุณย่าของเหมยเหมยคีบให้ ต่อให้ไม่ชอบมากแค่ไหนเขาก็ต้องกิน เหยียนหมิงซุ่นเตรียมตัวจะกิน หมั่นโถวชิ้นเล็กก็โดนเหมยเหมยคีบไป
“หนูกำลังอยากกินหมั่นโถวพอดีเลย พี่หมิงซุ่นชิ้นนี้พี่ให้ฉันกินก็แล้วกัน พี่กินอย่างอื่นไปเถอะ” เหมยเหมยกัดหมั่นโถวไปครึ่งหนึ่งแล้วก็หันไปขยิบตาให้เหยียนหมิงซุ่นอย่างซุกซน
คุณย่าพูดอย่างไม่พอใจว่า “ในจานก็ยังมี ทำไมต้องไปคีบในจานของเสี่ยวเหยียนเขา?”
“จานมันอยู่ไกลไปค่ะ หนูไม่อยากยื่นมือไปหยิบนี่นา”
คำพูดของเหมยเหมยทำให้แววตาของคุณย่าไม่ค่อยพอใจนัก ไม่มีมารยาทเลยจริงๆ อีกครู่จะต้องคุยกับหลานสาวให้รู้เรื่องกันหน่อยเสียแล้ว
………………………………………
ตอนที่ 778 จำวันเกิดฉันได้หรือไม่
อาหารมื้อค่ำก็ผ่านพ้นไปด้วยดี หลังทานข้าวเสร็จเหยียนหมิงซุ่นก็ได้ฟังคุณปู่เล่าเรื่องราวหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ดูท่าทางของเขาแล้ว ต่อให้พูดอีกสามชั่วโมงก็ไม่ใช่ปัญหา
“คุณปู่คะ ฟ้ามืดแล้ว พี่หมิงซุ่นต้องกลับเกสต์เฮ้าส์แล้ว” เหมยเหมยพูดตัดบท
คุณปู่ถอนหายใจอยากจะพูดต่อ คิดอยากจะให้เหยียนหมิงซุ่นอยู่ต่อค้างคืนที่บ้าน แบบนี้เขาก็จะสามารถเล่าเรื่องต่อได้ แต่เขารู้ว่าทำเช่นนั้นคงไม่เหมาะสม จึงทำได้แค่ส่งเหยียนหมิงซุ่นกลับอย่างจำใจ
“หมิงซุ่นพรุ่งนี้ก็มาทานข้าวเย็นที่บ้านอีกสิ อย่าเอาแต่ทานข้างนอกเลย มันไม่สะอาดแล้วก็ไม่ดีต่อร่างกาย”
หัวหน้าใหญ่ของตระกูลจ้าวเชื้อเชิญด้วยตัวเอง ก็ไม่ต่างจากมีพายเนื้ออันโอชะก้อนใหญ่ตกลงมาจากฟากฟ้า กลัวแค่จะทับคนมากมายจนเป็นลมไปก็แค่นั้น แต่เหยียนหมิงซุ่นกลับเงียบสงบผิดปกติ แววตาเรียบนิ่ง และ ——
“ขอบคุณคุณปู่จ้าวสำหรับการเชื้อเชิญ ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงที่ต้องปฏิเสธน้ำใจของท่าน ครั้งนี้ผมมาเมืองหลวงยังมีเรื่องสำคัญเรื่องอื่นที่ต้องทำ เวลาไม่รอท่า ขอท่านได้โปรดให้อภัย!”
เหยียนหมิงซุ่นปฏิเสธอย่างนุ่มนวล จริงครึ่งไม่จริงครึ่ง เขามาเมืองหลวงไม่ใช่เพียงแค่เพื่อส่งทีวีจอสีเท่านั้น เป้าหมายที่สำคัญก็คือเพื่อมาฉลองวันเกิดกับเหมยเหมย ก็เลยถือโอกาสมาทำเรื่องอื่นไปด้วย เช่นมาหาสอดส่องบางอย่าง
เมืองหลวงแห่งนี้ก็เป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ในสมัยก่อน ของเก่าล้ำค่าคงมีไม่น้อย เหมือนกับลุงหมิงที่ร่ำรวยขึ้นจากเมืองหลวง ภายหลังถึงได้กลับไปพัฒนาต่อที่จินซื่อ ค่อยๆทำมาหาเลี้ยงชีพจนกลายเถ้าแก่
เมื่อก่อนเขาได้ยินลุงหมิงพูดเกี่ยวกับเรื่องของตัวเขาตอนสมัยหนุ่มๆเยอะมาก ความสามารถอันน่าทึ่ง จนเขาอยากยึดถือเป็นแบบอย่าง ต่อให้ไม่มีวันเกิดของเหมยเหมย เขาก็จะต้องมาเมืองหลวงสักครั้งก่อนไปเป็นทหารอยู่แล้ว เพื่อสนองความต้องอย่างที่ใฝ่ฝันสักครั้ง
คุณปู่ตะลึงงัน อยู่ตำแหน่งสูงมานาน เขายังไม่ขินกับการโดนคนปฏิเสธเสียจริงๆ โดยเฉพาะเด็กหนุ่มที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง ยิ่งทำให้เขาตกตะลึง
เขากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว พูดยิ้มๆแสร้งทำเป็นไม่สนใจว่า “ได้ เธอมีธุระก็ไปทำก่อน วันหลังมีเวลาว่างค่อยมาทานข้าวด้วยกันใหม่”
เหยียนหมิงซุ่นตอบรับอย่างเคารพนบน้อม แล้วก็บอกลาเพื่อขอตัวกลับ เหมยเหมยมาส่งเขาแค่ตรงลานบ้าน และไม่กล้าอยู่นานเพราะด้านหลังยังมีสายตานับสิบจ้องเขม็งอยู่!
“รอพี่ทำธุระเสร็จก่อนจะโทรหาเธอนะ รีบกลับเข้าไปเถอะ” เหยียนหมิงซุ่นพูดเสียงเบา
เหมยเหมยพยักหน้าอย่างว่าง่าย ในใจผิดหวังอยู่บ้าง อยากถามเหยียนหมิงซุ่นมากๆว่ายังจำวันเกิดของเธอได้ไหมแต่ด้วยความสำรวมของลูกผู้หญิงทำให้เธอถามไม่ออก อีกทั้งเธอยังรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่หน้าที่ของแฟนที่ควรจะรับผิดชอบหรือไงกัน?
ถ้าต้องรอเธอเตือนก่อนถึงจะจำได้ เช่นนั้นก็ไม่มีความหมายอะไรน่ะสิ!
“พี่หมิงซุ่น พี่มาเมืองหลวงแค่เพื่อทำธุระเกี่ยวกับงานราชการอย่างเดียวหรอ?” เหมยเหมยถามอย่างนิ่มนวล
“แน่นอนว่าไม่ใช่”
เหมยเหมยพอได้ฟังสายตาก็เป็นประกาย มองเหยียนหมิงซุ่นอย่างคาดหวัง ใจเต้นจนกระดอนมาถึงคอหอยแล้ว แต่ว่า ——
“นอกจากงานราชการแล้ว พี่ยังต้องส่งทีวีจอสีให้เธออีกไง!” พอเหยียนหมิงซุ่นเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เหมยเหมยก็ซึมเหมือนลูกบอลลมรั่ว ดวงตาเศร้าสร้อย หน้ามุ่ยเบะปากอย่างกลั้นไม่อยู่
เหยียนหมิงซุ่นเห็นความผิดหวังและความไม่พอใจของสาวน้อยอย่างชัดเจน แน่นอนว่าเขารู้ว่าเหมยเหมยเป็นแบบนี้เพราะอะไร ก็แอบหัวเราะในใจ แสร้งทำเป็นไม่รู้ โบกไม้โบกมือให้เหมยเหมย แล้วก็เดินจากไป
ไม่ได้ยินคำตอบที่พอใจ เหมยเหมยก็กระทืบเท้าด้วยความโมโหอย่างแรง แลบลิ้นใส่หลังของเหยียนหมิงซุ่น “เกลียดเหยียนหมิงซุ่นแล้ว วันหลังฉันก็จะไม่จำวันเกิดของนายเหมือนกัน เชอะ!”
“เหมยเหมย เธอยังอยู่ข้างนอกทำอะไร?” มีเสียงคำรามของจ้าวเสวียหลินดังออกมาจากในห้อง
“มาแล้ว เรียกอะไรหนักหนา?”
เหมยเหมยกลับเข้าไปอย่างอารมณ์เสีย เดินกระทืบเท้าเสียงดังตึงๆๆกลับเข้าห้อง ก็เหลือบเห็นพวกจ้าวเสวียหลินกำลังทานยาย่อยอาหารกันอยู่ ท้องยื่นออกมา ดูแล้วคงอึดอัดน่าดู
“สมน้ำหน้า ใครใช้ให้พวกพี่แย่งอาหารพี่หมิงซุ่นล่ะ คนเลวก็ต้องรับผลกรรมแบบนี้แหละ”
เหมยเหมยพูดจาทิ่มแทงเข้าไปอย่างโหดเหี้ยมอีกครั้ง จึงได้รับสายตามองบนอย่างไม่พอใจทั้งสี่คู่ส่งกลับมา
………………………..
ตอนที่ 779 เปลี่ยนแปลงผันแปร
ถึงแม้จะปากคอเราะร้าย แต่เหมยเหมยก็ยังเข้าห้องครัวต้มซุปซานจาหม้อใหญ่ ให้พวกจ้าวเสวียหลินดื่มเพื่อช่วยย่อย
“พวกพี่เป็นคนโง่หรือยังไง? ทำกับพี่หมิงซุ่นสนุกมากเลยหรอ? ความคิดยิ่งกว่าเด็กน้อยอนุบาลเสียอีก ไอคิวที่มีโดนสุนัขกินไปหมดแล้วมั้ง” เหมยเหมยต่อว่าอย่างไร้ความปราณี
จ้าวเสวียหลินซดซุปซานจาไปแก้วใหญ่ จนเสียวฟันไปหมด รู้สึกเสียใจที่น้องสาวเห็นคนอื่นดีกว่าญาติพี่น้องของตนเอง ชี้หน้าอย่างโมโหว่า “เหมยเหมยเธอพูดให้ดี ๆ พวกเราเป็นพี่ชายของเธอ หมอนั้นเป็นคนนอก เธอพูดแบบนี้จิตใต้สำนึกส่วนดีของเธอไม่เจ็บปวดบ้างเหรอ?”
“ฉันช่วยคนมีเหตุผลไม่ใช่คิดแต่ช่วยญาติพี่น้องอย่างเดียว ใครมีเหตุผลก็ช่วยคนนั้น!” เหมยเหมยเชิดหน้าด้วยความ ขุ่นเคืองกลับไป กำลังหงุดหงิดพอดี ใครก็อย่ามาแหย่เธอเป็นอันขาด!
คุณย่าส่งเสียงไอดังขึ้นพูดสั่งสอนไปว่า “เหมยเหมย เมื่อครู่ที่หลานคีบอาหารในจานของเสี่ยวเหยียนไปถือว่าไม่มีมารยาทมากเลยนะ วันหลังอย่าทำแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะพูดได้ว่าที่บ้านไม่สั่งสอน”
“นั่นก็เป็นเพราะว่าพี่หมิงซุ่นไม่กินอาหารที่ใช้น้ำมันทอด ไม่กินเลยแม้แต่คำเดียว หนูก็แค่ช่วยพี่เขากิน ไม่อย่างนั้นหนูจะยอมกินของทอดเหรอคะ!” เหมยเหมยพูดเหตุผลออกมาด้วยท่าทีซื่อตรง แต่แค่ลดความสนิทสนมลงไม่เหมือนแต่ก่อน
คุณย่าไม่เชื่อ “จะเป็นไปได้ยังไง? ตอนทานข้าวเสี่ยวเหยียนยังจะคีบหมั่นโถวกินอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? แล้วยังเอ่ยปากชมอีกด้วย”
เหมยเหมยยักไหล่ แสดงให้เห็นว่าไม่อยากพูดต่อแล้ว
เธอเพิ่งค้นพบเหตุผลที่แท้จริงที่คุณย่าของตัวเองเป็นคนหลงๆลืมๆแล้ว ไอคิวความฉลาดไม่ค่อยมีเท่าไรจริงๆ เธอรู้สึกแปลกใจนัก ไอคิวแบบนี้ทำไมถึงได้เป็นหัวหน้าคุมกองทหารสู้รบได้นะ?
เหมยเหมยไม่รู้เลยว่าคุณย่าตระกูลจ้าวเป็นคนมีฝีมือมีความสามารถสู้รบที่แท้จริง แต่ในเรื่องการสื่อสารมักเสียเปรียบอยู่เสมอ มองธาตุแท้ของคนไม่เคยออก ก็เลยไม่เจอคนดี มักจะโดนคนแทงข้างหลังอยู่ตลอด
แต่ก็นับได้ว่าคนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่ หลายครั้งหลายคราที่เปลี่ยนอันตรายเป็นความสงบลงได้ หลบซ่อนจากการลอบทำร้าย อีกทั้งหลังจากที่แต่งงานกับคุณปู่จ้าวไปแล้ว ภายนอกคุณปู่อาจจูดูซื่อๆ ไร้เล่ห์เหลี่ยม แต่นั่นเป็นเพียงภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้นมาให้เห็น ในความเป็นจริงแล้วเขาฉลาดเฉียบแหลมเอามากๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะสามารถทนความทุกข์ยากมาจนถึงตอนนี้ได้ยังไง?
ช่วงเวลาที่ผ่านมามีคุณปู่คอยชี้แนะและดูแล ชีวิตความเป็นอยู่ของคุณย่าก็ผ่านมาได้ดีไม่น้อย เพียงแต่นิสัยที่กลายเป็นสันดารไปแล้วคงเปลี่ยนได้ยาก ต่อให้ตายไอคิวความฉลาดก็ไม่สูงขึ้นมาหรอก
จ้าวเสวียเอ๋อร์บอกคุณย่าอย่างใจดี “คุณย่า อันนั้นน่ะเหยียนหมิงซุ่นเขาตั้งใจเย้าเจ้าสี่กับเจ้าห้าพวกนั้นเล่นต่างหาก ไม่อย่างนั้นเจ้าโง่พวกนั้นจะกินจนอิ่มขนาดนั้นได้เหรอ คุณย่าไม่ได้สังเกตเวลาที่หมอนั้นคีบอาหารตรงหน้าล่ะสิ แบบนั้นไม่เรียกว่าพุงกางเพราะฝืนกินงั้นเหรอ?”
คุณย่าเข้าใจขึ้นมาทันที หันไปทางมองสี่คนนั้นที่ยังซดซุปซานจาแวบหนึ่ง ถอนหายใจพลางส่ายหัวพูดว่า “พวกแกนี่มันช่างโง่จริงๆ!”
พวกจ้าวเสวียหลินกัดฟันกรอด เจ้าคนแซ่เหยียนจะปลิ้นปล้อนเจ้าเล่ห์มากไปแล้ว!
แน่นอน ก็ต้องโทษพวกเขาที่ประมาทข้าศึกจนเกินไป กลยุทธ์ที่ชัดเจนขนาดนี้ยังมองกันไม่ออก พูดออกมาก็ขายขี้หน้า!
วันหลังจะต้องเอาคืนให้ได้ ต้องนองเลืองเพื่อล้างความอาย!
คุณปู่ค่อนข้างที่จะพอใจเหยียนหมิงซุ่นอยู่มาก เพียงแต่ว่าอายุของหลานสาวยังเด็กเกินไป แต่ทุกอย่างยังไม่สามารถสรุปได้หากยังไม่ถึงเวลา เด็กผู้หญิงจิตใจมักจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว วันนี้ชอบกระโปรงสีแดง พรุ่งนี้ก็เปลี่ยนไปชอบกระโปรงสีขาวแล้ว ใครจะรู้ว่าความชอบของพวกเขาจะรักษาให้คงอยู่ได้นานสักเท่าไร?
ความรักความผูกพันก็เฉกเช่นกัน ตอนนี้เหมยเหมยแค่สิบห้าขวบ กว่าจะโตก็อีกหลายปี ช่วงระหว่างนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกมากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นคุณปู่จึงไม่เอาเรื่องความรักความรู้สึกของเหมยเหมยและเหยียนหมิงซุ่นมาใส่ใจมากนัก
ในมุมมองของเขาแล้วนี่เป็นเพียงแค่การเล่นของเด็กน้อยเท่านั้น ไม่แน่ปีหน้าหลานสาวอาจจะวิ่งเข้ามาพูดว่า เธอคบหากับเพื่อนสนิทคนอื่นๆอีกแล้วก็เป็นได้!
“เหมยเหมยตอนนี้หน้าที่สำคัญของหลานก็คือเรียน เป็นเพื่อนกันปู่ไม่คัดค้าน แต่ว่าหลานก็ต้องรู้ตัวเองด้วย อย่าให้มันมากเกินไป เข้าใจหรือยัง?”
ถึงแม้ว่าคุณปู่จะพูดไม่ผิด แต่พอได้ฟังกลับทำให้เหมยเหมยไม่สบายใจเอาเสียเลย เหมือนกับเธอมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยดี เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
……………………………………………
ตอนที่ 780 สโมสรอันดับหนึ่ง
หลังจากที่เหยียนหมิงซุ่นออกจากบ้านตระกูลจ้าวแล้ว ก็ไม่ได้เดินมุ่งไปทางเกสต์เฮาส์ แต่กลับขึ้นรถโดยสารมุ่งหน้าไปอีกทาง ตอนกลางวันเขาศึกษาแผนที่ของเมืองหลวงไว้แล้ว จึงรู้เส้นทางในเมืองหลวงอย่างทะลุปรุโปร่ง
สถานที่ที่เขาจะไปมีชื่อเรียกว่าสโมสรอันดับหนึ่ง เป็นแหล่งใช้เงินที่โด่งดังไปทั่วประเทศ นับเป็นสถานที่ที่พวกลูกข้าราชการใช้ชีวิตมึนเมาอยู่ในความฝันไปวัน ๆ
เหตุผลที่เขาจะไปสถานที่แห่งนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อไปซื้อเหล้า แล้วก็ไม่ใช่เพื่อแสวงหาความสุข เรื่องพวกนี้เขาข้องแวะด้วยอยู่แล้ว เขาได้รับคนฝากฝังมาเพื่อมาหาคน ๆ หนึ่งซึ่งเป็นผู้ชายที่ชื่อว่าพี่เฉิง เล่าลือกันว่าเป็นเถ้าแก่คนที่สองของสโมสรแห่งนี้
เขาเคยหาสืบถามเรื่องเกี่ยวกับเถ้าแก่ใหญ่ของสโมสรแห่งนี้มาก่อน เป็นคุณหนูใหญ่อยู่ในกลุ่มนั้น เบื้องลึกภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา อีกทั้งยังเป็นสาวงามที่ทำให้ผู้คนต่างพากันตกตะลึงในความสวย เธอริเริ่มสร้างสโมสรแห่งนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง
แต่พี่เฉิงเป็นเถ้าแก่คนที่สองที่ออกแรงไม่ใช่ออกเงิน เพราะว่าคุณหนูใหญ่เฝิงอยากยืมอำนาจของเขา ไม่อย่างนั้นก็จะคุมสถานที่ไม่อยู่
พี่เฉิงเป็นนักเลงใหญ่ที่เร่ร่อนอยู่ที่เมืองหลวงมาหลายปี มีลูกน้องในมือคอยช่วยเหลือโดยกระจัดกระจายไปทุกที่อย่างกว้างขวาง
ด้วยเหตุผลนี้ทำให้คุณหนูใหญ่เฝิงถึงได้ขอให้เขาเป็นหุ้นส่วน เพราะเห็นถึงอิทธิพลของเขา พิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงที่ว่า สายตาของคุณหนูใหญ่เฝิงนั้นไม่เลวเลยทีเดียว ตั้งแต่ที่สโมสรมีพี่เฉิงเข้ามาคลื่นลมก็สงบลงในทันที สุขสงบร่มเย็น ไม่มีใครกล้ามาวุ่นวายที่สโมสรอีก
สโมสรอันดับหนึ่งไม่ได้อยู่ใจกลางเมือง แต่ตั้งไปทางเขตชานเมืองเล็กน้อย ป้ายรถเมล์ที่ใกล้ที่สุดยังต้องเดินเกือบสิบห้านาที เหยียนหมิงซุ่นลงจากรถเดินมุ่งไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ
ถึงแม้ว่าตอนนี้ฟ้าจะมืดแล้ว แต่สำหรับสโมสรนี้แล้วยังถือว่ามาเร็วไปด้วยซ้ำ เขาไม่รีบร้อน
การเดินทางที่ต้องใช้เวลาสิบห้านาที แต่เหยียนหมิงซุ่นกลับใช้เวลาเดินประมาณครึ่งชั่วโมง และได้เห็นบ้านหลังหนึ่งที่ใหญ่มากๆ เหมือนวังที่อยู่ในทีวี ประตูทางเข้าสีแดง กำแพงรั้วสูงใหญ่ ทำให้คนรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้
มองจากข้างนอกนี่ก็คือบ้านหลังใหญ่ของคนปกติ ไม่มีไฟนีออน เพียงแค่ประตูทางเข้าแขวนโคมไฟสีแดงสองอันก็เท่านั้น กำแพงสูงใหญ่ทำให้คนไม่สามารถเห็นเหตุการณ์ด้านในได้เลยแม้แต่น้อย และไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น วังเวงจนน่ากลัว
แต่ข้างนอกบ้านกลับมีรถจอดเต็มไปหมดละแวกใกล้เคียงก็ใช่ ทั้งรถลีมูซีน หงฉี รถซานทาน่าเรียงรายกันเต็มไปหมด ราวสักสามสิบสี่สิบคันได้ เกรงว่าขนาดรถในเมืองเล็ก ๆบางเมืองรวมกันยังมีเยอะไม่เท่าของบ้านหลังนี้เลยด้วยซ้ำ!
เหยียนหมิงซุ่นยังสังเกตเห็นเครื่องหมายทหารในรถพวกนี้อีกหลายคัน ใหญ่ขนาดนั้นจอดอยู่ข้างนอก ไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย ใจกล้าไม่เบา อดไม่ได้ที่จะต้องทำความเข้าใจในความสามารถของคุณหนูใหญ่เฝิงใหม่แล้ว
“นายทำอะไร?”
ผู้ชายที่อายุราวสามสิบกว่าสองคนเดินเข้ามา มองเหยียนหมิงซุ่นอย่างระมัดระวัง
ใจของเหยียนหมิงซุ่นหล่นไปถึงตาตุ่ม บอดี้การ์ดของที่นี่เข้มงวดมาก เขาเพียงแค่หยุดอยู่หน้ารถไม่กี่วิ ก็โดนสงสัยเสียแล้ว มิน่าล่ะทหารชั้นแนวหน้าพวกนี้ถึงได้ไม่เกรงกลัวสิ่งใดเลยสักนิด
“ผมมาหาพี่เฉิง มีคนฝากผมเอาของมาให้เขา” เหยียนหมิงซุ่นพูดอย่างใจเย็น
บอดี้การ์ดทั้งสองคนสองสองมองไปที่เขาอย่างสงสัย เหยียนหมิงซุ่นที่อยู่ตรงหน้าอายุน่าจะไม่เกินยี่สิบแน่ๆ แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเด็กที่มาจากบ้านมีการศึกษา อีกทั้งสำเนียงก็เห็นได้ชัดว่ามาจากทางใต้ทางนั้น นึกไม่ถึงว่าจะพูดว่าอยากจะมาหาหัวหน้า?
คิดว่าพวกเขาเป็นเด็กสามขวบหรือยังไง?
“ไป ๆ…อย่ามาก่อกวนที่นี่ รีบ ๆไป ไม่อย่างนั้นอย่างหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ” ผู้ชายสองคนไล่ไปอย่างรำคาญ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เหยียนหมิงซุ่นลำบากใจ
เหยียนหมิงซุ่นพูดอีกหลายประโยค แต่สองคนนี้กลับไม่เชื่อเขาสักนิด สายตาก็เริ่มดุดัน เหยียนหมิงซุนอุทานในใจ พอเริ่มเห็นท่าไม่ดีแล้วจึงทำได้แค่ยอมจากมาแต่โดยดี
………………………………………
ตอนที่ 781 โชคดีที่กระโดดได้เร็ว
เหยียนหมิงซุ่นกลับไม่ได้จากไปจริงๆ แต่ฉวยโอกาสตอนที่ผู้ชายสองคนนั้นไม่ทันได้สนใจ ซ่อนตัวอยู่ตรงหัวโค้ง วันนี้เขาดึงดันจะเจอพี่เฉิงให้ได้
วันนี้เป็นวันที่สิบ คนที่ไหว้วานให้เขาทำงานให้นั้น กำชับเขาเป็นพิเศษว่าก่อนวันที่สิบสอง จะต้องเอาของส่งให้ถึงมือพี่เฉิงให้ได้ ในเมื่อรับงานที่มีคนไหว้วานมาแล้ว เขาก็ต้องทำให้สำเร็จให้ได้
เหยียนหมิงซุ่นเดินวนไปตามทางกำแพงหนึ่งรอบ เขาเป็นคนหูตาไวจึงได้ยินเสียงสั่งงานรางเลือนอยู่ด้านในกำแพงรั้ว คาดการณ์ได้คร่าวๆว่าไม่น่าจะมีคน ก็กัดฟันถ่มน้ำลายลงบนฝ่ามือ กระโจนตัวขึ้นไป เตะขาถีบซ้ำอีกที ก็ปีนขึ้นมาบนกำแพงรั่วได้อย่างสบาย
เขามองไปความมืดมิดที่อยู่ด้านล่าง สามารถมองเห็นแสงไฟสลัว ๆ อยู่เบื้องหน้าหลายจุด เขาสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด กลิ่นหอมของดอกไม้ตลบอบอวล ข้างล่างจะต้องเป็นสวนดอกไม้แน่นอน มิน่าล่ะถึงไม่มีคนอยู่ตรงนี้
เหยียนหมิงซุ่นกระโดดลงไปอย่างวางใจ แต่ขณะที่หมุนกลับตัว กลับถูกทำให้ตกใจจนเกือบส่งเสียงออกมา ในความมืดกลับมีแสงสีเขียวที่ส่องแสงอยู่หลายดวง มองเขาอย่างเย็นชา แถมยังมีฟันสีขาวที่น่าสยดสยองนั้นอีก รวมทั้งเสียงขู่คำราม
เขาร้องในใจว่าแย่แล้ว อุตส่าห์วางแผนมาอย่างดิบดี กลับโดนหมาทำลายแผนจนพังไปหมด
ในความมืดทำให้มองไม่ชัดว่าหมานั้นตัวใหญ่ตัวเล็ก แต่คิดๆดูแล้วกุลสตรีอย่างคนแซ่เฟิ่งก็คงจะไม่เลี้ยงหมาพันธุ์หน้าย่นมาดูแลปกป้องสวนหรอก ไม่ใช่พันธุ์ทิเบตันแมสติฟก็คงเป็นเยอรมันเชพเพิร์ด แต่แบบไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น
เขานับแสงสีเขียวคร่าวๆ ดูแล้ว ฟันกรามขบกันด้วยความสยอง หากมีมากสุดก็สี่ตัว สองหมัดยังยากจะสู้กับสี่มือ แล้วนับภาษาอะไรกับสิบหกกรงเล็บล่ะ ?
เพียงเวลาอันรวดเร็วเหยียนหมิงซุ่นก็ตัดสินใจด้วยความเร็วสูง ก่อนที่หมาดุร้ายพุ่งจู่โจมเข้ามา เขาก็ชิงกระโดดขึ้นไปบนกำแพงด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด ขาดแค่เพียงวินาทีเดียวเท่านั้น ขาของเขาก็จะโดนหมาดุร้ายสี่ตัวนี้กัดขาดไปแล้ว
เหยียนหมิงซุ่นมองไปทางหมาดุร้ายที่คำรามอยู่ด้านล่างอย่างคับแค้นใจ ทันใดนั้นแสงจันทร์ก็ทะลุผ่านชั้นเมฆ จากแสงจันทร์สลัว ๆ ที่สาดส่องลงมา ครั้นพอเขาเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของหมาสี่ตัวนั้นก็สูดหายใจเข้าไป
สี่ตัวนั้นเป็นพันธุ์ทิเบตันแมสติฟทั้งหมด และทั้งสี่ก็มีขนาดเหมือนกับลูกวัวก็ไม่ปาน ทันทีที่มันโตหมาพันธุ์ทิเบตันแมสติฟก็จะกล้าต่อสู้กับกลุ่มหมาป่าแล้ว แล้วยิ่งมีถึงสี่ตัว เหยียนหมิงซุ่นแอบดีใจที่ตนเองหนีเอาชีวิตรอดได้ทัน ไม่อย่างนั้นเกรงว่าเขาคงจะโดนทิเบตันแมสติฟสี่ตัวนี้เคี้ยวจนไม่เหลือแม้กระทั่งเศษซาก
ส่วนเรื่องฝีมือของคุณหนูแซ่เฟิ่ง ต่อให้มีคนตายสวนในบ้าน เธอเองก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไร กลัวก็แค่พอถึงตอนนั้นเขาก็จะกลายเป็นหนึ่งในประชากรไร้ญาติที่หายสาบสูญไปเท่านั้น
เหยียนหมิงซุ่นไม่กล้าดันทุรังสู้กับทิเบตันแมสติฟสี่ตัวนี้ ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ไถลตัวลงมาที่สันกำแพง กลับไปคิดหาวิธีจัดการกับหมาดุร้ายพวกนี้ก่อนดีกว่า โชคดีที่ไม่รีบร้อนยังมีเวลาอีกสองคืน
ที่เหยียนหมิงซุ่นไม่รู้ก็คือ อันที่จริงทิเบตันแมสติฟสี่ตัวนี้เป็นเพื่อนรักกับเจ้าหญิงของเขา คุณหนูเซียวฝึกฝนสั่งสอนด้วยตัวเองเลย!
ตั้งแต่เด็กก็กินแต่สัตว์ที่ยังมีชีวิต อีกทั้งยังต่อสู้กับไท่โฮ่วอีก ไม่แน่นิสัยอาจบ้าระห่ำคงจะรุนแรงยิ่งกว่าทิเบตันแมสติฟในเขตธิเบต เหยียนหมิงซุ่นก็กระโดดอย่างรวดเร็วไม่อย่างนั้นเขากลัวว่าคงโดนเคี้ยวจนแหลกละเอียดไปจริง ๆ
วันต่อมาเหมยเหมยไม่ได้ออกไปไหน แต่ตั้งใจทำงานตัวเองอยู่ในห้องกับอู่เชาและสยงมู่มู่สามคน สยงมู่มู่เขียนเพลง อู่เชาเขียนบทความ เหมยเหมยเขียนการ์ตูน
“พวกเธอช่วยฉันฟังหน่อยสิว่าเพลงนี้เป็นยังไงบ้าง?”
สยงมู่มู่ดีดกีตาร์บรรเลงอย่างตื่นเต้น ทำนองเพลงเร็วมาก เนื้อเพลงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับความรักมิตรภาพเลย เด็กน้อยอายุสิบห้าอย่างเขาจะเข้าใจอะไรในความรัก ก็เป็นแค่ความไม่พอใจและระบายวิธีการเรียนที่ชอบอัดความรู้มากเกินไป เนื้อเพลงมีความหมายน่าสนใจไม่น้อย
ฟังสยงมู่มู่ร้องตะโกนแหกปากจะเป็นจะตายเสร็จ เหมยเหมยและเสี่ยวเชาถึงได้หยิบผ้าฝ้ายที่อุดหูไว้ออกมา ช่างเป็นเหมือนเสียงปีศาจที่เจาะทะลุสมองพรุนไปหมดแล้วจริง ๆ ให้อภัยพวกเขาด้วยที่ไม่ GET ท่วงทำนองเพลงที่ล้ำเลิศแบบนี้
“เพราะไหม?” สยงมู่มู่สายตาเป็นประกายวาววับ ทำหน้าหวังจะได้รับคำชมเชยและการยอมรับ
เด็กอ้วนน้อยลังเลสองจิตสองใจอยู่บ้าง ไม่ค่อยอยากซ้ำเติมเพื่อนสักเท่าไร แต่เขาก็ไม่สามารถพูดคำพูดที่ขัดกับความรู้สึกได้
เหมยเหมยกลับพูดอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อยว่า “ไม่เพราะ อย่างกับเสียงผีร้องครวญคราง แต่ว่าเนื้อเพลงมีความแปลกใหม่ดี”
…………………………………………
ตอนที่ 782 ความสามารถทางด้านการประพันธ์ของเด็กอ้วนน้อยที่พรั่งพรูออกมา
ถึงแม้ว่าสยงมู่มู่จะผิดหวังมาก แต่เขาก็ไม่ถอดใจ ปรับปรุงแก้ไขเพลงต่อไป ความฮึกเหิมแผ่ซ่านออกมา
บทความของเด็กอ้วนน้อยก็เขียนใกล้จะเสร็จแล้ว เป็นบทความที่สำนวนโวหารสละสลวยมาก ลีลาการใช้ภาษาและตัวหนังสือของเด็กอ้วนน้อยไม่สัมพันธ์กันกับนิสัยอย่างสิ้นเชิง คำพูดคมกริบและเสียดสี แฝงไปด้วยการเย้ยหยัน อีกทั้งยังมีการอ้างอิงตำราเป็นการโต้แย้ง เหมือนหยิบยกมาจากตำราโบราณ ไม่เหมือนสำนวนการเขียนของเด็กที่มีอายุแค่เพียงสิบห้าเลยสักนิด
การเสียดสีประชดประชันของเด็กอ้วนน้อยก็เป็นการเสียดสีโรงเรียนที่สั่งสอนยัดความรู้ให้อย่างไร้ประโยชน์ เหมือนจะด่าแต่ก็แค่ล้อเล่น เอารูปแบบการสอนมาเหน็บแนมย่างหมดเปลือก ดูแล้วน่าสนใจเป็นอย่างมาก
เจ้าสองคนนี้ต่างก็เขียนออกมาในทิศทางเดียวกัน คงต้องเคยปรึกษาหารือกันมาแล้วแน่ๆ
“เสี่ยวเชาเขียนได้ดีจริงๆ ฉันว่าจะต้องได้เผยแพร่แน่นอน นายแก้คำที่เขียนผิด ฉันจะลองโทรศัพท์ถามให้นายดู”
เหมยเหมยชื่นชมไม่หยุดปาก เด็กอ้วนน้อยสมแล้วที่เป็นหนุ่มอัจฉริยะในอนาคต เวลานี้ความสามารถก็โดดเด่นกว่าผู้อื่นแล้ว ความสามารถพิเศษทางการประพันธ์ก็ยิ่งพรั่งพรูอย่างไม่ต้องพูดถึง
เพียงแต่ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะมีส่วนร่วมในการส่งบทความไปลงหนังสือพิมพ์ตามที่เธอคิดในตอนแรก แต่เป็นการส่งภายใน เพราะว่าครั้งที่แล้วหลังจากที่ได้พูดคุยกับเซียวเซ่อขึ้นมา ถึงได้รู้ว่าคุณหนูเฟิ่งหรือว่าเซียวจิ่งหมิงมีความคุ้นเคยกับอุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์นิตยสารอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเซียวจิ่งหมิง ตัวเขาเองก็จะติดต่อคบค้ากับอุตสาหกรรมพวกนี้อยู่บ่อยๆ จนคุ้นเคยกันดี
ในเมื่อมีเส้นสายแล้ว หากไม่ใช้ก็คงเปล่าประโยชน์ มากไปกว่านั้นบทความของเด็กอ้วนน้อยก็เขียนได้ดีมากจริงๆ
เหมยเหมยโทรศัพท์ให้เซียวเซ่อ หญิงสาวคนนี้กำลังเบื่อๆอยู่บ้านไม่มีอะไรทำพอดี จึงให้อู่เหมยเอาบทความไปให้เธออ่านสักรอบ ถ้าเธออ่านแล้วเข้าตาจะต้องหาคนช่วยได้แน่นอน
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เหมยเหมยก็ไปบ้านตระกูลเซียว สยงมู่มู่และเด็กอ้วนน้อยไม่ได้ไปด้วย พวกเขาไม่อยากโดนสัตว์เลี้ยงสยอสยองพวกนั้นมาเล่นกับพวกเขาอีกแล้ว ครั้งเดียวก็เกินพอ
เซียวเซ่อกำลังเอนตัวพิงอยู่บนโซฟาอย่างขี้เกียจ ในห้องรับแขกหนาวเย็นจนอู่เหมยตัวสั่น รีบคลุมผ้าห่มอย่างรวดเร็ว
“เซ่อเซ่อเธอปรับให้อุณหภูมิสูงขึ้นหน่อยได้ไหม? อุณหภูมิต่ำขนาดนี้มันไม่ดีต่อร่างกาย” เหมยเหมยเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งๆที่รู้ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่เธอก็อดไม่ได้
เซียวเซ่อไม่ชอบท่าทางความอ่อนแอของเหมยเหมยเลย จึงตั้งใจพูดยั่วโมโหเธอว่า “ปรับให้ร้อนขึ้นจะยังว่าเรียกเครื่องทำความเย็นไหมล่ะ? อย่างนั้นเรียกว่าเครื่องทำความร้อนแล้ว วันร้อนๆแบบนี้ฉันจะเปิดเครื่องทำความร้อนไปทำไมกัน สมองไม่ได้มีปัญหาสักหน่อย”
“แล้วแต่เธอ อยากจะปรับไม่ปรับก็แล้วแต่”
เหมยเหมยคิดไว้อยู่แล้วว่าผลสุดท้ายจะเป็นแบบนี้ มักจะรู้สึกว่าเธอเป็นพวกชอบหาเรื่อง ทุกครั้งต้องโดนเซียวเซ่อประชดประชันใส่ก่อนถึงจะมีความสุข ไม่เรียกว่าพวกชอบหาเรื่องแล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะ!
เซียวเซ่อมองปราดเดียวสิบบรรทัด อ่านได้ไวมากๆ อีกทั้งยังทำอย่างสุกเอาเผากิน ไม่ได้ใส่ใจในบทความที่เพื่อนนำมาเลย แต่อ่านไปเพียงย่อหน้าแรก เธอก็เปลี่ยนท่าทีเป็นค่อยๆตั้งใจอ่าน แล้วค่อยเอาจริงเอาจังขึ้นมา
“นี่เป็นเด็กอ้วนน้อยขี้กลัวคนนั้นเขียนจริงๆเหรอ?” เซียวเซ่อสงสัย เด็กอ้วนที่เอาแต่จะร้องไห้คนนั้นคาดไม่ถึงว่าการเขียนจะเผ็ดร้อนแสบทรวงขนาดนี้ ช่างทำให้เธอไม่กล้าเชื่อเลยจริงๆ!
เหมยเหมยไม่ดีใจแล้ว “แน่นอน ทำไมฉันต้องโกหก เสี่ยวเชาเขามีความสามารถทางด้านการประพันธ์มาก เซ่อเซ่อเธออย่าตัดสินคนที่ภายนอกสิ”
เซียวเซ่อลูบจมูกอย่างเก้อเขิน หัวเราะแหะๆ พูดเอาใจว่า “ฉันจะไปโทรหาหัวหน้ากองบรรณาธิการนิตยสารฮวาหยู่เดี๋ยวนี้แหละ เอาบทความของเด็กอ้วนน้อยส่งไปให้เธอดู”
“เซ่อเซ่ออำนาจใหญ่พอไหม? ไม่อย่างนั้นก็ให้พ่อของเธอออกหน้าแทนเถอะ!” เหมยเหมยสงสัยในความสำคัญของเพื่อนรักมาก
เด็กเล็กๆเพียงคนหนึ่ง หัวหน้ากองบรรณาธิการจะสนใจเหรอ?
เซียวเซ่อขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดเน้นแต่ละคำแต่ละประโยคว่า “อำนาจของฉันใหญ่กว่าเธอแน่นอน ส่วนตาแตงกวาแก่นั้นเธออยากจะไปหาก็ไปเอง ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ไป”
เหมยเหมยรีบปิดปากเงียบ ไม่กล้ายุแหย่คุณหนูเซียวอีก เพียงแต่ตาแตงกวาแก่คืออะไรอีกล่ะ?
เมื่อก่อนคุณหนูเซียวไม่ใช่ว่าเรียกพ่อเต็มยศหรอกเหรอ?
………………………………………..
ตอนที่ 783 คุณชายน่าหลาน
โทรศัพท์ต่อสายตรงได้ไวมาก เป็นการยืนยันความจริงที่ว่าอำนาจของคุณหนูเซียวนั้นถือว่าใหญ่พอสมควรเลยทีเดียว เพิ่งจะพูดคุยได้ไม่นาน หัวหน้ากองบรรณาธิการก็ให้คุณหนูเซียวแฟกซ์ส่งบทความไปให้ ยังพูดอีกว่าบังเอิญเธอว่างพอดี อีกหนึ่งชั่วโมงจะให้คำตอบเธอ
หลังจากเอาบทความส่งแฟกซ์เรียบร้อยแล้ว เซียวเซ่อเชิดคางอย่างลำพองใจ
“เซ่อเซ่อเธอเก่งมากเลย วันหลังฉันมีเรื่องอะไรก็จะมาหาเธอเนี่ยแหละ”
เหมยเหมยพูดยกยอสรรเสริญ ชื่นชมจนคุณหนูเซียวหน้าบานลืมความโกรธไปเสียสนิท และยังแสดงออกว่าจะยอมทำทุกอย่างเพื่อเพื่อนอีกด้วย ต่อให้บุกน้ำลุยไฟก็ไม่ปฏิเสธ!
หัวหน้ากองบรรณาธิการตอบกลับมาไวมาก ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเสียด้วยซ้ำ ฝ่ายตรงข้ามโทรศัพท์กลับมา น้ำเสียงนั้นฟังขึ้นมาแล้วดูตื่นเต้นมาก ถามเซียวเซ่อว่าบทความนั้นใครเป็นคนเขียน
เซียวเซ่อไหนเลยจะยังจำได้ว่าเด็กอ้วนน้อยชื่ออะไร หันไปทางเหมยเหมยที่มองกลับมาพอดี
“คุณชายน่าหลาน” เหมยเหมยคิดชื่อนามปากกาขึ้นมาให้ใหม่ กลับไม่ได้พูดชื่ออู่ต้าหลางที่เด็กอ้วนน้อยใช้ในชาติที่แล้ว
คบหากับเด็กอ้วนน้อยมาตั้งสองปี เธอรู้ว่าเด็กอ้วนน้อยอันที่จริงแล้วสนใจส่วนสูงและรูปร่างของตัวเองมาก คิดๆดูแล้วที่ชาติก่อนเขาตั้งชื่อนามปากกาให้ตัวเองว่าอู่ต้าหลาง อาจดูเหมือนว่าเบื้องหลังเขาเป็นคนง่ายๆสบายๆ แต่นั่นอาจจะเป็นเพราะจำใจและน้อยใจคิดว่าสู้คนอื่นไม่ได้ล่ะมั้ง!
หัวหน้ากองบรรณาธิการเกิดความสับสน ในความทรงจำของเธอไม่เคยได้ยินนักเขียนนามปากกาคุณชายน่าหลานมาก่อน หรือว่าเธอจะมัวเป็นกบที่อยู่ในกะลาจนเกินไป?
เซียวเซ่อนั้นเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก เพียงแค่คาดเดาเล็กน้อยก็รู้ว่าหัวหน้ากองบรรณาธิการกำลังงงอยู่กับอะไร พูดย้ำขึ้นมาว่า “คุณชายน่าหลานยังมีอายุแค่เพียงสิบห้าปีเท่านั้น เป็นเด็กชั้นมัธยมต้นปีที่หนึ่ง บทความบทนี้เป็นผลงานการประพันธ์ชิ้นแรกของเขา คุณน้าเจี่ยรู้สึกว่าเขียนเป็นยังไงบ้างคะ?”
เหมยเหมยได้ยินเสียงร้องตกใจในโทรศัพท์ดังผ่านออกมา ก็หัวเราะอย่างชอบใจกับเซียวเซ่อไม่หยุด สิ่งที่ชอบดูที่สุดก็คือการได้เห็นผู้ใหญ่พวกนี้ทำท่าทางตกใจสุดขีด
จะปล่อยให้พวกเขาดูถูกเด็กน้อย!
“สามารถตีพิมพ์ได้ มีบางที่ฉันแก้ไปบ้างแล้ว ฉันจะส่งแฟกซ์ให้ตอนนี้แหละ เซ่อเซ่อเธอก็ให้เพื่อนเกลาคำให้ดูดีอีกสักหน่อย อาทิตย์หน้าก็สามารถตีพิมพ์ได้เลย” หัวหน้ากองบรรณาธิการพูดอย่างร่าเริง เธอกำลังกลุ้มใจพอดีว่าช่วงนี้นิตยสารสำนักพิมพ์ของเธอไม่มีอะไรใหม่ๆเลย เซียวเซ่อก็บังเอิญส่งหมอนมาให้ในตอนที่กำลังจะหลับสัปหงกพอดี
เซียวเซ่อกลับใจเย็น และทำท่าทางจริงจังถามว่า “คุณน้าเจี่ย บทความของเพื่อนหนูจะคิดเงินยังไง? ร้อยคำได้เท่าไร?”
หัวหน้ากองบรรณาธิการก็ใจกว้างมาก ให้ราคาหนึ่งหยวนต่อหนึ่งร้อยตัวอักษร บทความนี้ของเด็กอ้วนมีอย่างน้อย ๆ ก็น่าจะประมาณหนึ่งพันห้าร้อยกว่าตัว พูดได้ว่าเขาได้ค่าตอบแทนของการเขียนบทความถึงสิบห้าหยวน ไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงอย่างไรเงินเดือนของคนมากมายในตอนนี้ก็ได้แค่สิบกว่าหยวนเท่านั้นเอง!
เซียวเซ่อขมวดคิ้ว ไม่ค่อยพอใจกับราคานี้เท่าไร หัวกองบรรณาธิการคนนั้นรีบร้อนพูดขึ้นมาว่า “เซ่อเซ่อเธอต้องเข้าใจน้าเจี่ยหน่อยนะ เพื่อนของเธอคนนี้ยังเป็นนักเขียนหน้าใหม่ โดยทั่วไปแล้วราคาที่สำนักงานของพวกเราให้หน้าใหม่นั้นคือร้อยตัวอักษรห้าสตางค์ถึงแปดสตางค์ หนึ่งหยวนที่ให้เนี่ยเพราะเห็นแก่หน้าของเซ่อเซ่อถึงให้หรอกนะ!”
“ถ้าอย่างนั้นก็หนึ่งหยวนก่อนก็ได้ วันข้างหน้าเพื่อนของหนูกลายเป็นคนเก่าคนแก่แล้ว ถึงตอนนั้นคุณน้าเจี่ยก็ค่อยคิดราคาเรทตามคนเก่าคนแก่ก็แล้วกัน”
เซียวเซ่อก็พูดจาได้ดีมาก พูดแค่คำสองคำก็จัดการได้อย่างเรียบร้อย เหมยเหมยแอบปิดปากหัวเราะ
เธอจินตนาการอารมณ์สีหน้าของหัวหน้ากองบรรณาธิการคนนั้นได้เลย คงไม่ดูดีไปกว่าสีหน้าตอนท้องผูกแน่นอน
“เธอเอาไปให้เด็กอ้วนน้อยแก้ไป แก้เสร็จแล้วค่อยเอามาให้ฉัน”
เซียวเซ่อเอาบทความที่แก้มาแล้วโยนไปให้เหมยเหมย แล้วก็ไม่สนใจเรื่องนี้อีก คว้าไอศกรีมที่อาสะใภ้ซูซือเพิ่งจะทำเสร็จมาเลียกิน
“ขอบใจนะเซ่อเซ่อ เดี๋ยวอีกไม่กี่วันฉันเลี้ยงเคเอฟซี ถึงตอนนั้นจะแนะนำเพื่อนให้รู้จักด้วยคนหนึ่ง!” เหมยเหมยดีใจอย่างถึงที่สุด
“เพื่อนผู้ชายเจอได้ ผู้หญิงไม่ต้อง ฉันไม่สนใจผู้หญิง” เซียวเซ่อพูดอย่างเท่ๆ เมินเฉยต่อคำขอบคุณ
…………………………………………..
ตอนที่ 784 คนแก่หัวโบราณ
เหมยเหมยเขินจนแทบเอาหน้ามุดดิน เซียวเซ่อมองแค่แวบเดียวก็มองออกถึงหัวใจสีชมพูของเพื่อนตัวเอง จึงไม่มีกระจิตกระใจเลียไอศกรีม มีอารมณ์สนใจอยากจะถามไถ่เสียมากกว่า
“ก็คือพี่หมิงซุ่นที่เมื่อก่อนฉันพูดให้เธอฟังอยู่บ่อย ๆไง เมื่อสองวันก่อนเขามาแล้ว เมื่อก่อนเธอพูดอยู่ไม่ใช่เหรอว่าอยากรู้จักเขา” เหมยเหมยเขินอายอยู่บ้าง
“ได้สิ ฉันจะช่วยเธอแสกนให้ เผื่อเธอจะได้ไม่โดนผู้ชายหลอก เหมยเหมยฉันจะบอกอะไรเธอให้นะ ผู้ชายสิบคนเลวไปแล้วเก้า ที่เหลืออีกคนก็ไม่ใช่คนดีอะไร เธอต้องดูให้ดี ๆรู้ไหม” เซียวเซ่อสั่งสอนเหมือนคนแก่
“พี่หมิงซุ่นไม่ใช่คนไม่ดี เขาดีมาก เซ่อเซ่อเธออย่าเหมารวมว่าทุกคนจะเป็นเหมือนกันไปหมดสิ” เหมยเหมยรู้สึกว่าคำพูดของเพื่อนเธอออกจะรุนแรงเกินไปหน่อย
เซียวเซ่อยักไหล่ ไม่ได้พูดอะไรอีก ตอนนี้เหมยเหมยกำลังตกหลุมรักจนโงหัวไม่ขึ้น ก็เหมือนกับแม่ของเธอตอนสมัยวัยรุ่นนั้นแหละ ตาบอด หูก็หนวก หมูยังฉลาดกว่าเธออีก พูดมากขนาดไหนก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
ถึงอย่างไรพอถึงตอนนั้นก็จะเห็นหมอนั่นแล้ว ดีหรือเลว ภายใต้ดวงตาที่ส่องได้ดีกว่าไฟส่องสำรวจนำทางของเธอแล้วก็คงพอจะเห็นตัวตนที่แท้จริงได้
”เหมยเหมย พวกเธอแบบอันนั้น…หรือยัง?”
สายตาของเซียวเซ่อล่อกแล่ก เธอไต่ถามเรื่องราวของเพื่อนด้วยความสนอกสนใจ ทำเอาเหมยเหมยเขินจนหน้าแดงยกใหญ่
”เธอถามเรื่องพวกนี้ทำไม? เปล่าเสียหน่อย…”
เหมยเหมยให้ตายก็ไม่ยอมรับ แต่ใบหน้าของเธอสีเข้มยิ่งกว่าดอกท้อเสียอีก หน้าเต็มไปด้วยความเสน่ห์ เปิดเผยความเป็นจริงออกมาอย่างชัดเจน คุณหนูเซียวที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนมองแค่แวบเดียวก็เข้าใจ ส่งเสียงฮึเบา ๆอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก
“จูบสองสามครั้งก็ไม่เห็นจะเป็นไร ส่วนที่เหลือพวกนั้นเธอก็อย่าไปทำ อย่าโทษฉันว่าไม่เตือนเธอก็แล้วกัน!”
เหมยเหมยทั้งเขินทั้งโมโห ในใจกลับรู้สึกได้ถึงความห่วงใย เพื่อนที่แท้จริงถึงจะพูดคำที่ขัดหูไปบ้างแต่ก็จริงใจที่สุด!
“ฉันรู้ พี่หมิงซุ่นเขาไม่ทำตัวเหลวไหลหรอก ฉันไม่ใช่คนไม่รักตัวเองเสียหน่อย เซ่อเซ่อเธอดูถูกฉันเกินไปแล้ว!” เหมยเหมยพูดอย่างไม่พอใจ
“นี่ไม่ใช่ว่ากลัวเธอจะผิดพลาดแค่ครั้งเดียวแล้วจะเสียใจไปทั้งชีวิตละก็นะ ในช่วงมีความรักผู้หญิงสิบคนมีไปเก้าคนแล้วที่โง่ ที่เหลือพวกนั้นหัวสมองก็ไม่ได้ดีไปกว่าหมูสักเท่าไร”
เซียวเซ่อใช้แรงตักไอศกรีมช้อนใหญ่เข้าปากอย่างดุดัน เหมือนมีความแค้นกับใครมาก็ไม่ปาน
เหมยเหมยได้ยินก็หลุดขำออกมา “ฟังน้ำเสียงของเธอเข้าสิ เหมือนภรรยาที่แค้นเคืองเพราะโดนผู้ชายทอดทิ้งอย่างนั้นแหละ เธอกับฉันอายุเท่ากัน อย่ามาทำเป็นเชี่ยวชาญต่อหน้าฉันเลย ใครจะเข้าใจมากกว่ากันยังไม่รู้เลย!”
“ไร้สาระ แน่นอนว่าต้องเป็นฉันที่เข้าใจอะไรมากกว่าเธอ ฉันน่ะแม้กระทั่งเรื่องที่ผู้ใหญ่เขาทำกันเรื่องนั้นฉันก็เคยเห็นมาแล้ว เธอเคยเห็นหรือไง?”
เหมยเหมยตกใจจนเกือบลื่นตกโซฟา มองคุณหนูเซียวที่กินไอศกรีมนิ่ง ๆอย่างตกตะลึงที่ทำตัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น โมโหจนถามขึ้นอย่างร้อนรนว่า “เธอพูดกับฉันมาให้ชัดเจน เธอเห็นที่ไหน? คุณน้าเฝิงกับคุณอาเซียวรู้หรือไม่
เซียวเซ่อไม่ได้สนใจกับท่าทีเหมือนกระต่ายตื่นตูมของเพื่อนสักนิด ยังคงกินไอศกรีมอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร เห็นเหมยเหมยร้อนใจจริง ๆถึงได้พูดออกมาว่า “สโมสรอันดับหนึ่งของแม่ฉันเธอคงได้รู้มาบ้างใช่ไหม ที่นั่นน่ะอันที่จริงแล้วเป็นซ่องโสเภณี ผู้ชายไปที่นั่นก็เพื่อนอนกับผู้หญิง แน่นอนว่าก็มีบ้างอยู่ไม่กี่คนที่นอนกับผู้ชาย”
เหมยเหมย: ……
เซียวเซ่อพูดต่อไปว่า “ถึงอย่างไรที่นั่นก็ไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไร เมื่อก่อนฉันว่างไม่มีอะไรทำก็จะไปเล่นที่นั่นบ่อย ๆ มักจะเห็นพวกผู้ใหญ่ไปทำธุระแถวสวนดอกไม้ ร้องครวญครางเหมือนกับฆ่าหมูอยู่ แล้วก็ไม่รู้ว่าเรื่องแบบนั้นน่าสนุกตรงไหน น่ารำคาญชะมัด!”
“คุณน้าเฝิงพาเธอไปที่นั่น?” เหมยเหมยถาม
ถ้าหากว่าเป็นคุณน้าเฝิงพาเซียวเซ่อไปสถานที่สกปรกแบบนั้น เธอจะต้องให้จ้าวอิงหนานสั่งสอนผู้หญิงคนนั้นแรง ๆสักยก ไม่คู่ควรเป็นแม่เลยแม้แต่นิด
สโมสรที่ตัวเองสร้างขึ้นมาไม่รู้เลยหรือไงว่าเป็นสถานที่แบบไหน?
ไม่กลัวว่าเซียวเซ่อจะมีปมในใจบ้างเหรอ?
………………………………………..
ตอนที่ 785 ทางลับ
เซียวเซ่อมองบน “แม่จะพาฉันไปได้ยังไง ป้องกันแล้วป้องกันอีกเหมือนป้องกันไม่ให้ขโมยเข้าบ้าน ฉันแอบเข้าไปด้วยตัวเองต่างหาก ที่นั่นมีทางลับที่มีแต่ฉันเพียงคนเดียวที่รู้ อยากจะไปตอนไหนก็ไป สะดวกสบายจะตาย”
เหมยเหมยพอได้ฟังว่าคุณหนูใหญ่เฝิงไม่รู้เรื่องถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก โชคดีที่ความเป็นแม่ของคน ๆนี้ยังพอไว้ใจได้อยู่บ้าง
“เซ่อเซ่อวันหลังเธออย่าไปแอบดูอีกเลย แล้วก็ไม่กลัวเป็นตากุ้งยิงหรือไง” เหมยเหมยหมดคำจะพูดกับงานอดิเรกความชอบพิสดารของเพื่อนจริง ๆ
เซียวเซ่อโมโหด้วยความอายและขุ่นเคือง ตะโกนเสียงสูงว่า “ฉันไม่ได้อยากจะดูสักหน่อย พวกหน้าไม่อายพวกนั้นวิ่งออกมาทำเรื่องแบบนั้นกันเอง ฉันจะไม่ดูก็ไม่ได้”
เหมยเหมยรีบพูดคำดี ๆน่าฟังหลายประโยค คุณหนูเซียวถึงได้ลดความโมโหลง กินไอศครีมลงไปในคำเดียวจนหมด แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่พอจึงเลียริมฝีปาก อยากจะกินอีกสักแก้ว แต่คุณป้าซูซือจะต้องไม่เห็นด้วยแน่ ๆ
“เซ่อเซ่อ ข้างในสโมสรของคุณน้าเฝิงเป็นอย่างไรเหรอ? ที่นั่นมีผู้หญิงสวยเยอะเลยใช่หรือไม่?” เหมยเหมยถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เธออยากรู้เกี่ยวกับสโมสรของคุณน้าเฝิงมาก ๆว่าจะเหมือนกับในทีวีเมื่อชาติที่แล้วหรือไม่ มีหญิงสาวที่ใส่เสื้อผ้าเปิดโชว์เนื้อหนังยืนอยู่เป็นแถว ข้างหน้ามีคุณแม่ที่แต่งหน้าจัดจ้านอยู่หนึ่งคน พวกผู้ชายก็ยืนอยู่ตรงหน้าพวกหญิงสาว ถูกเลือกไปทีละคน ๆเหมือนกับเลือกซื้อสินค้าอย่างไรอย่างนั้น
เซียวเซ่อขี้เกียจเปลืองน้ำลาย “ฉันพูดไปเธอก็ไม่เข้าใจ ไม่อย่างนั้นวันนี้ตอนเย็นฉันพาเธอไปสักครั้งก็ได้ เธอดูเอาเองก็จะเข้าใจทั้งหมดเองแหละ”
เหมยเหมยใจเต้นในทันที เธอรู้ว่าเด็กผู้หญิงไม่ควรไปสถานที่แบบนั้น แต่เธออยากจะไปดูมาก ๆ อยากจะไปมากจริง ๆ ความปรารถนาอันแรงกล้าทำให้เธอลืมคำกำชับของเหยียนซินหย่าไปเลย
เธอขี้เกียจกลับบ้าน กลับไปคงจะไม่ได้ออกมาเถลไถลอีกแล้ว สู้อยู่บ้านตระกูลเซียวยังมีอิสระเสียกว่า!
เหมยเหมยโทรไปขอคุณย่า อธิบายว่าเธอขออยู่ที่บ้านตระกูลเซียวหนึ่งคืน คุณย่าซักไซ้อยู่นาน ไม่ง่ายเลยกว่าจะเห็นด้วย
เซียวเซ่อมองอยู่เงียบ ๆเห็นเพื่อนสนิทและคุณย่าอารมณ์ท่าทางเวลาพูดคุยกันผิดปกติกว่าเคย ไม่สนิทสนมกันเหมือนเมื่อก่อน เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนแปลกหน้า รอจนเหมยเหมยวางสาย เธอก็ถามขึ้นว่า “เธอกับคุณย่าทะเลาะกันเหรอ?”
“ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะคนน่ารังเกียจไร้ยางอายสองคนนั้นหรือไง”
เหมยเหมยเล่าเรื่องสองแม่ลูกหวงอวี้เหลียนให้ฟัง เซียวเซ่อยิ้มเยาะ “คุณย่าของเธอช่างเป็นคนที่เลอะเลือนไปแล้วจริง ๆ หัวสมองโดนลาถีบไปแล้วมั้ง!”
“เธอก็อย่าเพิ่งใจร้อนไป คนน่ารังเกียจไร้ยางอายสองคนนั้นพวกเราค่อย ๆจัดการกันเอา คืนนี้เล่นให้สนุกก่อน พรุ่งนี้ฉันจะช่วยเธอหาวิธีจัดการนังตะพาบน้ำสองแม่ลูกนั่นเอง” เซียวเซ่อตบหน้าอกด้วยทำท่ามีคุณธรรมสูงส่งล้นเปี่ยม สายตาประกายวิบวับ ปิดเทอมหน้าร้อนนี้ก็ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป
เหยียนหมิงซุ่นอยู่เกสต์เฮาส์กินข้าวเย็นอย่างไม่รีบร้อนอะไร ตอนกลางวันเขาก็ไม่ได้ว่าง เขาซื้อไอศกรีมสิบแท่งให้ผู้จัดการถือเป็นค่าห้องอยู่เวรเพื่อนำสถานที่มาใช้ทำไส้กรอกสิบกว่าแท่งจนส่งกลิ่นหอมลอยตลบอบอวลไปหมด ทำเอาผู้จัดการน้ำลายสอไปทั้งบ่าย พวกเขาอยากกินจะตายอยู่แล้ว
ขนาดคนยังต้านทานไม่ไหวเลย เขาไม่เชื่อว่าหมาจะต้านอยู่!
เขาเอาไส้กรอกสิบกว่าอันใส่ลงไปในกระเป๋า ท้องฟ้าใกล้จะมืดลงแล้ว เขาเรียกรถตู้สีเหลืองคันเล็กหนึ่งคัน ในตอนนี้รถแท็กซี่ของเมืองหลวงก็คือรถตู้สีเหลืองคันเล็กพวกนี้ สามารถนั่งได้ราวเจ็ดแปดคน ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งหยวน ราคาถูกมาก เพียงแต่ประชาชนคนธรรมดาไม่นั่งหรอก
เหยียนหมิงซุ่นให้คนขับรถปล่อยเขาลงข้าง ๆสโมสร เขามาถึงตรงที่เมื่อคืนวานเกือบโดนทิเบตันแมสติฟฟ์สี่ตัวไล่จับอีกครั้ง กระโจนปีนขึ้นกำแพงขึ้นไป
ในเวลาเดียวกันนั้น กำแพงอีกฝั่งหนึ่งก็มีเงาสองคนที่กำลังทำท่าทางลับ ๆล่อ ๆ นั่นก็คือเซียวเซ่อและเหมยเหมยนี้เอง พวกเธอกำลังมองหาทางลับที่เซียวเซ่อพูดถึงอยู่
………………………………………..
ตอนที่ 786 มุดรูหมา
เหยียนหมิงซุ่นเจตนาหยุดอยู่ที่สันกำแพงครู่หนึ่ง เป็นอย่างที่คาดไว้ทิเบตันแมสติฟฟ์สี่ตัวนั้นก็สังเกตเห็นอีกแล้ว ดวงตาสีเขียวส่องประกายสะดุดตาท่ามกลางความมืด มองจนคนหวาดกลัวหัวหด
ครั้งนี้เหยียนหมิงซุ่นไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย เขาหยิบไส้กรอกออกมาหนึ่งชิ้นแล้วโยนลงไป หมาใหญ่ทั้งสี่ตัวไม่ได้กินในทันที แต่กลับดมไส้กรอกอยู่นาน เมื่อมั่นใจว่าไม่มีพิษพวกมันจึงเริ่มแย่งอาหารกัน
เหยียนหมิงซุ่นแอบดีใจ โยนไส้กรอกลงไปอีกครั้ง หมาใหญ่ก็แย่งกันในทันที กินกันอย่างมีความสุข เนื้อที่เจ้าหนุ่มปีนกำแพงคนนี้โยนมาหอมอร่อยกว่าเนื้อที่พวกมันกินกันประจำเป็นไหน ๆ อร่อยจริง ๆ!
ฉวยจังหวะตอนที่พวกมันกำลังต่อสู้แย่งอาหารกันอยู่นั้น เหยียนหมิงซุ่นก็รีบสไลด์ตัวลงไปอย่างว่องไว หันไปทางหมาใหญ่แล้วโยนไส้กรอกให้อีกครั้ง
ตามคำพังเพยกินของเขาแล้วก็ต้องหาตอบแทนเขาด้วย สำหรับหมาก็เหมือนกัน หมาใหญ่ดุร้ายสี่ตัวจึงรู้สึกเกรงใจที่ไปขัดขวางเหยียนหมิงซุ่นอีก คาดไม่ถึงว่าจะปล่อยไปอย่างง่ายดาย
“ขอบใจนะ ให้ไส้กรอกกับพวกนายอีกอันแล้วกัน!”
เหยียนหมิงซุ่นโยนลงไปอีก ปราบหมาสี่ตัวได้อยู่หมัด เขาเริ่มสังเกตสภาพแวดล้อมรอบ ๆเดินไปตามทางที่มีแสงสว่าง เขาเพิ่งเข้าไปได้ไม่นานเท่าไรก็มีหัวขโมยลับ ๆล่อ ๆสองคนโผล่ออกมาจากรูตรงกำแพง
ได้กลิ่นของคนแปลกหน้า พวกหมาใหญ่ก็เริ่มคำรามอีกครั้ง ล้อมเหมยเหมยที่เข้ามาคนแรกไว้ตรงกลาง จ้องมองอย่างดุร้าย
เหมยเหมยตกใจจนเข่าอ่อน แต่เธอเห็นว่าพวกหมาทำเพียงแค่ล้อมตัวเธอเอาไว้ ไม่ได้กระโจนเข้าใส่ ในใจก็สงบลงเล็กน้อย ตอนนี้ฉิวฉิวที่อยู่ในกระเป๋าเป้ก็ส่งเสียงออกมา
“เจ้านายอย่ากลัว มีฉันและเสี่ยวฉาอยู่ พวกมันไม่กล้าทำอะไรหรอก”
เหมยเหมยพลิกฝ่ามือไปตบฉิวฉิวที่อยู่ในกระเป๋าเป้ ใจก็ยิ่งสงบลง เซียวเซ่อที่อยู่ข้างหลังก็โผล่ตัวออกมาจากรู ทั้งหัวทั้งหน้าเต็มไปด้วยหญ้า เธอโมโหจนด่าพึมพำไม่หยุด
หมาสี่ตัวใหญ่ได้กลิ่นอันคุ้นเคยอย่างรวดเร็ว ดีใจจนส่งเสียงเห่าเรียก หางกระดิกส่ายไปมาไม่หยุด แต่ละตัวต่างก็พุ่งเข้าหาอ้อมกอดของเซียวเซ่อ
เซียวเซ่อเห็นพวกเพื่อนเก่าก็ดีอกดีใจ เล่นกับพวกมันอยู่สักพักก็พาเหมยเหมยเดินเข้าไปข้างในอย่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่โชคของพวกเธอไม่ค่อยดีเท่าไร เพิ่งเดินไปได้ไม่เท่าไร ก็เห็นผู้ชายผู้หญิงคู่หนึ่งกอดรัดฟัดเหวี่ยงพุงตรงมาทางนี้ ทั้งจูบทั้งลูบคลำ แค่มองก็รู้เลยว่าจะไปทำเรื่องอะไรกัน
“ครั้งนี้เธอรู้แล้วใช่ไหมล่ะ แค่เพียงออกมาจากรูนี้ ไม่อยากดูแค่ไหนก็ทำไม่ได้” เซียวเซ่อแบมือ ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ เธอกับเหมยเหมยปีนขึ้นต้นไม้ในละแวกนั้นและเพลิดเพลินกับการชมหนังสดตรงหน้า
ส่วนทางด้านเหยียนหมิงซุ่นก็เดินเข้าไปในห้องรับแขกแล้ว ที่นี่และข้างนอกต่างกันอย่างกับคนละโลก ดูสวยงามโอ่อ่า หรูหรามีมนต์ขลัง มีผู้ชายแต่งตัวดีโอบกอดผู้หญิงที่แต่งหน้าจัดจ้านอยู่ตลอดทั่ว กลิ่นเหล้าแรงหึ่ง
จู่ ๆเหยียนหมิงซุ่นก็ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี ต่อให้เขาเก่งกาจมีความสามารถเช่นไร สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ผู้ชายที่ขาดประสบการณ์เกี่ยวกับสังคมพวกนี้อยู่ดี ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน!
“คุณคะไม่ทราบว่านัดใครไว้คะ?” มีผู้หญิงวัยกลางคนหน้าตาสะสวยเดินปรี่เข้ามา โผประชันหน้าพร้อมกลิ่นน้ำหอม กลิ่นฉุนจนเหยียนหมิงซุ่นอยากจะจาม
เหยียนหมิงซุ่นพลันนึกอะไรบางอย่างออกพูดขึ้นว่า “พี่เฉิงให้ผมมาหาครับ เขามีเรื่องจะให้ผมไปทำ”
“เธอเป็นลูกน้องของพี่เฉิง? ทำไมเมื่อก่อนฉันไม่เคยเห็นเธอมาก่อนเลย?” ผู้หญิงสวยคนนี้มองเหยียนหมิงซุ่นอย่างระแวงสงสัย
“ผมเป็นคนที่พี่เฉิงเพิ่งจะรับเข้ามาใหม่ คุณไม่รู้จักผมก็เป็นเรื่องปกติ พี่เฉิงอยู่ไหนครับ รบกวนคุณพาผมไปพบเขาหน่อย ผมจะสายแล้ว พี่เฉิงจะโมโหได้นะ” เหยียนหมิงซุ่นสีหน้าท่าทางสงบนิ่งมาก ตาไม่กระพริบสักนิด
ผู้หญิงสวยคนนี้ทำท่าทางเชื่อครึ่งสงสัยครึ่งแต่ก็ไม่กล้าไม่เชื่อ ถ้าหากเป็นเรื่องจริงคงทำให้ธุระของพี่เฉิงล่าช้าเสียเวลา เธอก็อาจจะต้องรับผลที่ตามมาด้วย
เธอตบมือเรียกบริกรเข้ามา “เสี่ยวหนาน นายพาเขาไปหาพี่เฉิงที่สวนกล้วยไม้ไป”
……………………………………
ตอนที่ 787 ปลอมตัวเข้าไป
บริกรตอบกลับด้วยความเคารพและพาเหยียนหมิงซุ่นไปตามทางเดินลาดยาว จนมาถึงลานที่เงียบสงบซึ่งแตกต่างจากลานด้านหน้าที่มีชีวิตชีวาและหรูหราก่อนหน้านี้ ที่นี่มีกลิ่นอายความโบราณ ของที่จัดไว้ในห้องรับแขกเป็นของแท้ทั้งหมด คุณหนูใหญ่เฝิงใช้เงินมือเติบจริง ๆ!
บริกรพาเหยียนหมิงซุ่นมาถึงห้องที่อยู่ลึกที่สุดของทางเดิน เคาะประตูเบา ๆข้างในมีเสียงต่ำของผู้ชายตอบกลับมา บริกรพูดอย่างกล้า ๆกลัว ๆว่า “พี่เฉิง พี่หงให้ผมพาคน ๆหนึ่งมาหา บอกว่าพี่เรียกเขามาเพื่อให้มาจัดการธุระให้”
บรรยากาศเงียบอยู่หลายวินาที เหยียนหมิงซุ่นเกิดอาการตึงเครียดจนกลืนน้ำลาย ฝ่ามือก็มีเหงื่อซึมออกมา ตอนนี้เขากลับหวังว่าตรงทางเดินจะมีเสียงดังขึ้นมาบ้าง แบบนี้มันทำให้เขารู้สึกกดดัน
“ให้เขาเข้ามาเถอะ” เสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง
บริกรกับเหยียนหมิงซุ่นพรูลมหายใจพร้อมกัน บริกรผลักประตูเปิด ผายมือเชิญให้เหยียนหมิงซุ่นเดินเข้าไป พูดอีกว่า “พี่เฉิงยังมีเรื่องอื่นต้องการสั่งงานอีกหรือไม่ครับ?”
“ลงไปเถอะ ไม่มีธุระของนายแล้ว”
บริกรรีบวิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนนักโทษที่ได้รับนิรโทษกรรม เหยียนหมิงซุ่นหายใจเข้าลึก ๆก้าวเท้าเดินมุ่งเข้าห้องไป
ห้องไม่ได้ใหญ่มาก อย่างมากใหญ่พอ ๆกับห้องรับแขกของคนธรรมดา ของที่จัดเรียงก็ธรรมดาเช่นกัน แตกต่างกับห้องรับแขกที่หรูหรานั้นอย่างสิ้นเชิง เหยียนหมิงซุ่นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็พอจะมองสภาพห้องออกอย่างคร่าว ๆ
ตรงกลางห้องมีโต๊ะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวซึ่งมีผู้ชายประมาณห้าหรือหกคนนั่งโอบกอดเด็กสาวสวยๆไว้ในอ้อมแขน เด็กสาวเหล่านี้มีความแตกต่างกับผู้หญิงงดงามที่เห็นในลานอื่นก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
รูปร่างหน้าตาสวยสะอาด สายตาสดใส อีกทั้งมองดูแล้วยังเด็กมาก ใส่เสื้อผ้าแต่งหน้าแต่งตัวก็ไม่โป๊ ไม่ต่างกับสาวมหาวิทยาลัยที่เดินอยู่ตามท้องถนนหรอก
ที่เหยียนหมิงซุ่นไม่รู้ก็คือ เด็กผู้หญิงพวกนี้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยจริง ๆบางส่วนยังเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังอีกต่างหาก!
ผู้ชายพวกนี้กำลังเล่นโป๊กเกอร์อยู่ซึ่งเป็นเกมที่นิยมมากในระดับนานาชาติ เหยียนหมิงซุ่นเคยได้ยินจากลุงหมิงมาก่อน และเขาก็ศึกษาการเล่นอยู่พักหนึ่ง การเล่นนั้นง่ายมาก แต่ก็ง่ายต่อการถูกโกงเช่นกัน แพ้ชนะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ภายในคืนเดียวก็สามารถสูญเสียบ้านและของมีค่าได้อย่างง่ายดาย
มองการแต่งตัวของพวกผู้ชายพวกนี้และราศีแล้วคิดว่าน่าจะเล่นกันไม่น้อย มุมห้องยังมีโซฟายาว ตรงนั้นก็มีคนนั่งอยู่เจ็ดแปดคน มีทั้งผู้ชายผู้หญิง อีกทั้งการกระทำของพวกเขาก่อนหน้านี้กำลังทำบางสิ่งที่ไม่ค่อยหน้ามองนัก ตอนนี้ทุกคนกลับหยุดชะงักกันหมด แล้วเพ่งมองเหยียนหมิงซุ่นที่ยืนอยู่หน้าประตูกันอย่างพร้อมเพรียง รอยยิ้มบนใบหน้าดูมีเลศนัย ผู้ชายพวกนี้เพิ่งจะพนันกันไปแล้วหลายเกม กำลังเบื่อ ๆพอดีได้ยินว่ามีคนสวมรอยเป็นลูกน้องของพี่เฉิงจึงต่างพากันให้ความสนใจ จึงให้พี่เฉิงเรียกเจ้าหนุ่มน้อยใจกล้าเข้ามาถามไถ่เพื่อฆ่าเวลาเล่น ๆ
พวกผู้ชายส่วนใหญ่อายุยังน้อยมาก มากที่สุดก็น่าจะประมาณสามสิบกว่าปีได้ ยังมีบางคนที่น่าจะเพิ่งยี่สิบต้น ๆด้วยซ้ำถึงแม้ว่าหน้าตาของพวกเขาจะไม่เหมือนกัน แต่กลับมีบางอย่างที่เหมือนกันมาก เพราะบนตัวพวกเขาต่างก็มีกลิ่นอายความหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างรุนแรงเหมือนกัน สายตาที่มองมาที่เขาคล้ายกับกำลังมองบุคคลที่ต่ำต้อยกว่าก็ไม่ปาน
นี่ทำให้เหยียนหมิงซุ่น ๆรู้สึกอึดอัดเป็นไหน ๆ หลังเหยียดตั้งตรงโดยไม่รู้ตัวเหมือนกับต้นสนก็ไม่ปาน
“หมอนี่อายุไม่มาก แต่ความกล้าไม่เบาเลยนะเนี่ย”
มีผู้ชายคนหนึ่งเปล่งเสียงพูดขึ้น อายุน่าจะประมาณสามสิบกว่าปีได้ หน้าตาธรรมดา หากโยนเขาเข้าไปท่ามกลางผู้คนเพียงครู่เดียวก็หายกลมกลืนไปกับคนอื่นแล้ว แต่สายตาของผู้ชายคนนี้กลับมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ ไม่เหมือนคนดีเท่าไรนัก
ผู้ชายที่อายุยี่สิบต้นก็หัวเราะออกมา พูดหยอกล้อว่า “คลื่นทะเลซัดขึ้นมาจากทางด้านหลังเป็นระลอกไม่มีหยุด เด็กเดี๋ยวนี้มันใจเด็ดนะ เห็นเด็กวัยรุ่นพวกนี้ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองแก่ไปเลยทีเดียว”
ผู้ชายอีกคนหัวเราะและด่าออกมาว่า “นายอย่ามาพูดจาไร้สาระ ถ้าเอาตามที่นายพูด ฉันไม่ต้องกระโดดลงไปในหลุมแล้วเอาดินกลบฝังหรือไง?”
ทุกคนต่างปล่อยเสียงหัวเราะออกมา เด็กสาวก็หัวเราะไปกับพวกเขาด้วย แม้ว่าพวกเธอจะไม่คิดว่ามันตลก แต่พวกเธอก็จำเป็นต้องหัวเราะไปด้วย
……………………………………….
ตอนที่ 788 ของล้ำค่าอะไร
เหยียนหมิงซุ่นกลับไม่ได้หัวเราะออกมา เขารู้แล้วว่าใครคือพี่เฉิง เขาหันไปมองทางผู้ชายคนหนึ่งที่อายุเยอะที่สุดในนั้น ผู้ชายคนนี้อายุน่าจะประมาณสี่สิบกว่าปี ร่างกายซูบผอม หน้าขาวไร้หนวดเครา หน้าตาหล่อเหลา ดูภูมิฐาน นับได้ว่าหน้าตาชวนมองมากที่สุดในกลุ่มผู้ชายกลุ่มนี้เลย
ผู้ชายที่ไม่ได้ส่งเสียงมาโดยตลอด มุมปากค่อย ๆกระตุกรอยยิ้มเรียบง่ายออกมา เหยียนหมิงซุ่นเดินเข้าไปใกล้อีกหลายก้าว หันไปพูดกับเขาว่า “ลุงเฉิง ลุงหมิงไหว้วานให้ผมเอาของมาให้คุณ แล้วให้ผมบอกคุณอีกด้วยว่าสุขสันต์วันเกิด!”
ผู้ชายซูบผอมคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองในทันที สายตาที่อ่อนโยนเปลี่ยนเป็นดุดัน น้ำเสียงดุดันตวาดถามด้วยเสียงดัง “เฉินหมิงเป็นอะไรกับนาย?”
เหยียนหมิงซุ่นกลับไม่รู้สึกกลัว พูดอย่างสงบนิ่งว่า “เป็นอาจารย์ที่คอยชี้แนะของผม”
จู่ ๆพี่เฉิงก็หัวเราะออกมา เปลี่ยนกลับไปอ่อนโยนอีกครั้ง ความดุดันเมื่อกี้เหมือนกับเป็นแค่เพียงภาพลวงตา เขามองเหยียนหมิงซุ่นดวงตานิ่งสงบ เหมือนกับว่าลุงหมิงที่เหยียนหมิงซุ่นพูดถึง จะเป็นแค่เพียงคนแปลกหน้าสำหรับเขาก็เท่านั้นเอง
“เอาของมาสิ”
เหยียนหมิงซุ่นเดินเข้าไปหา หยิบกระเป๋าผ้าสีแดงออกมาจากกระเป๋าเป้ ตอนนี้เขายังไม่ค่อยเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของลุงหมิงและพี่เฉิงที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาลุงหมิงก็บอกแค่ให้เขามาหาพี่เฉิง เอาของมอบให้พี่เฉิง แล้วบอกว่าเป็นของขวัญวันเกิด
เขานึกว่าลุงหมิงกับพี่เฉิงน่าจะเป็นเพื่อนกัน แต่ตอนนี้ดูท่าทางของพี่เฉิงแล้ว กลับเหมือนกับคู่อริเสียกว่า
เหยียนหมิงซุ่นเกิดความระแวงตื่นตัว แอบพิจารณาภาพรวมของห้องนี้ หาเส้นทางเอาชีวิตรอดก่อน พี่เฉิงมองออกถึงความคิดของเหยียนหมิงซุ่นอย่างทะลุปรุโปร่ง ก็แอบขำในใจ แล้วก็มีความชื่นชมขึ้นมา เจ้าหนุ่มนี้มีนิสัยตื่นตัวระแวดระวังสูงมาก สายตาของเฉินหมิงถือว่าใช้ได้
พี่เฉิงรับเอากระเป๋าผ้าสีแดงไป กระเป๋าผ้าสี่เหลี่ยมไม่ใหญ่นัก มีขนาดเท่ากับฝ่ามือของเด็กน้อย พี่เฉิงเปิดกระเป๋าผ้า ข้างในมีกล่องเล็กๆ สีดำขลับ บนฝามีการแกะสลักลวดลายโบราณ มองดูแล้วน่าจะหลายชั่วอายุคนแล้ว
ในสายตาที่ปิดบังอารมณ์ของชายวัยกลางคนมีความประหลาดใจแล่นผ่านออกมา หัวเราะพูดว่า “กล่องใบนี้ไม่เลว เลย มองดูแล้วเหมือนจะเป็นไม้สีดำ”
พี่เฉิงยิ้มบางแล้วพูดว่า “คุณชายปินสายตาหลักแหลมดี แต่ไม่ใช่ไม้ดำธรรมดานะ”
ผู้ชายที่โดนเรียกคุณชายปินสายตาเปล่งประกาย ดูท่าทางแล้วเขาก็มีความสนใจในกล่องใบเล็กนี้พอสมควร พี่เฉิงความคิดเฉียบแหลมพูดยิ้ม ๆกับเขาว่า “กล่องใบนี้เล็กเกินไป ไม่คู่ควรกับฐานะของคุณชายปิน ถ้าหากคุณชายปินไม่รังเกียจ ตรงนั้นฉันมีกล่องไม้ดำใส่เครื่องสำอางแกะสลักขอมอบให้คุณชายปินเอาไปชมเล่น”
คุณชายปินจงใจพูดขึ้นว่า “อย่างนั้นก็รู้สึกเกรงใจมากไปหน่อย ไหนเลยที่ฉันจะยึดเอาของรักของอาเฉิงไปได้ล่ะ!”
ถึงแม้ว่าปากของเขาจะพูดแบบนี้ แต่ความโลภในตากลับเปิดเผยออกมาจนเกลี้ยง ในตาของพี่เฉิงมีความเหยียดหยามแล่นผ่านออกมาแวบหนึ่ง พูดอย่างไม่แยแสว่า “ก็แค่กล่องไม้ดำใส่เครื่องสำอางอันหนึ่งเท่านั้นเอง สามารถเข้าตาคุณชายปินได้ ก็เป็นโชคของมัน”
พูดจบพี่เฉิงก็ตบมือสองที เสียงตบมือสิ้นสุดลงก็มีผู้ชายสูงใหญ่คนหนึ่งเข้ามา สีหน้าท่าทางเคารพนบน้อม พี่เฉิงสั่งการว่า “ไปห้องฉันเอากล่องไม้ดำใส่เครื่องสำอางนั้นมา”
ผู้ชายสูงใหญ่รับคำสั่งแล้วจากไป คุณชายปินที่ได้รับของล้ำค่าก็อารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย ยิ้มตาหยีพูดกับพี่เฉิงว่า “ฉันก็จะไม่ทำให้ของดี ๆของนายต้องเสียเปล่า ครั้งที่แล้วที่นายขอให้ฉันเห็นด้วยกับขอเสนอ พรุ่งนี้ก็จะเอาให้มาให้ ส่วนค่าตอบแทนครั้งนี้ใหญ่พอสมควร”
พี่เฉิงพูดในทันทีว่า “กล่องใส่เครื่องสำอางนี้ผมให้เพราะความเคารพนับถือคุณชายปินต่างหาก คนละเรื่องกับการขอให้เห็นด้วยกับขอเสนอ ถึงเวลานั้นผมค่อยมอบของให้กับคุณชายทุกท่าน คุณชายทุกท่านกินเนื้อ ผมขอแค่เพียงดื่มน้ำแกงนิดหน่อยก็พอแล้ว”
คุณชายปินหรือผู้ชายคนอื่น ๆต่างก็หัวเราะอย่างลำพองใจ พอใจกับการรู้จักเอาตัวรอดของพี่เฉิงเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างพากันดีอกดีใจเพราะกำลังจะได้รับเงินก้อนใหญ่กันแล้ว
คุณชายปินสนใจของในกล่องไม้ดำเป็นอย่างมาก จึงพูดเร่งขึ้นมาว่า “นายอย่ามายั่วพวกเราอยู่แบบนี้เลย รีบเปิดกล่องนี้เถอะ ดูว่าของข้างในคือของล้ำค่าอะไร”
………………………………………
ตอนที่ 789 ของชำรุดทรุดโทรม
พี่เฉิงยิ้มเบา ๆนิ้วมือที่เรียวยาวและขาวสะอาดกดเบา ๆก็มีเสียงเปิดฝาลอยดังขึ้นมา บนผ้าที่มีขนปุยสีแดงมีเงินโบราณทั้งเก่าและชำรุดอยู่หนึ่งเหรียญ ซากวัตถุโบราณที่เป็นด่าง ๆ อีกทั้งด้านบนยังมีรูโหว่ ไม่เหมาะสมคู่ควรกับกล่องอันสูงส่งเลยสักนิด
คุณชายปินตกตะลึงพรึงเพริด เหมือนกับว่าคาดไม่ถึงว่าในกล่องจะมีของผุพังขนาดนี้
“เพื่อนของพี่นี่เขากำลังทำอะไรน่ะ ส่งเหรียญกษาปณ์ที่ผุพังมาให้จากแดนไกลงั้นเหรอ” ผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งพูดหยอกล้อ
คนอื่น ๆก็ร่วมหัวเราะเสียงดังไปด้วย แต่คุณชายปินกลับไม่หัวเราะ สายตาวาววับจ้องมองเงินเก่า ๆที่อยู่ในกล่อง ส่งสายตาเป็นประกายออกมา เขาเข้ามาใกล้อีกสักหน่อย อยากจะเห็นให้ชัดกว่านี้
ในขณะเดียวกันพี่เฉิงก็หยิบเหรียญเก่า ๆขึ้นมา เอาอิงแสงแล้วพินิจพิเคราะห์ คุณชายปินเห็นตัวหนังสือบนเหรียญอย่างชัดเจน สีหน้าก็เปลี่ยน ถามอย่างตกตะลึงว่า “นี่คือเหรียญชนิดแรกของราชวงศ์ถังใช่ไหม?”
พี่เฉิงพยักหน้ายิ้ม ๆ “ปินเส่าสายตาเฉียบแหลมมาก นี่คือเหรียญชนิดแรกของราชวงศ์ถังจริง ๆ เพื่อนฉันคนนี่รู้ใจจริง ๆ รู้ว่าฉันกำลังขาดอยู่ก็ให้คนเอามาส่งให้ ความปรารถนาของฉันก็ถือว่าสมหวังแล้ว”
คุณชายปินกลืนคำพูดที่ว่าอยากได้ลงไป ผู้อื่นมีน้ำใจเอามาให้ เขาอย่าเปิดปากพูดจะดีกว่า เพียงแต่ว่าในใจกลับคันยุบยิบจนทนไม่ไหว เหรียญชนิดแรกของราชวงศ์ถังเป็นของล้ำค่าที่มีเงินก็ซื้อไม่ได้!
พี่เฉิงเห็นความโลภบนใบหน้าของปินเส่าอย่างชัดเจน หัวเราะเยาะในใจ ใจคนโลภไม่มีที่สิ้นสุดก็เหมือนงูที่อยากจะกินช้างทั้งตัว ถือเอาตัวเองเป็นสิ่งใดไปแล้ว!
ถ้าหากไม่ใช่ว่าคุณหนูใหญ่เฝิงกำชับมาเป็นพิเศษ เขาไม่มีทางเกรงใจขนาดนี้แน่นอน แม้กระทั่งกล่องไม้ดำใส่เครื่องสำอางยังต้องมอบให้อย่างจำใจ ก็แค่คุณชายเสเพลของวงศ์ตระกูลที่กำลังตกต่ำไม่ใช่หรือไง โชคดีที่ในมือยังมีอำนาจอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นเจ้าสารเลวนี่เขาก็ไม่อยากแลเสียด้วยซ้ำ!
ในกล่องยังมีจดหมายอยู่หนึ่งฉบับ พับเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส พี่เฉิงคลี่จดหมายออก กระดาษหนึ่งแผ่นใหญ่เท่าฝ่ามือ มีแค่คำไม่กี่คำ พี่เฉิงแค่กวาดตามองครู่เดียวก็อ่านจบแล้ว เขาเก็บจดหมายกลับอย่างรวดเร็ว พิจารณาเหยียนหมิงซุ่นที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างระมัดระวัง
เฉินหมิงเอาใจใส่ลูกศิษย์คนนี้จริง ๆ!
“ของก็ส่งถึงแล้ว นายก็ไปได้แล้ว” พี่เฉิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ
เหยียนหมิงซุ่นตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าพี่เฉิงจะไม่ถามถึงลุงหมิงบ้างเลย เขาหันไปมองคนข้างกายพี่เฉิงแวบหนึ่ง คิดว่าตอนนี้คงจะไม่สะดวกที่จะถาม จึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะครับ”
เพิ่งจะเดินถึงหน้าประตู อยู่ดี ๆคุณชายปินก็เรียกให้เขาหยุด “เดี๋ยวก่อน เจ้าหนุ่มน้อยมาจากทางใต้ใช่ไหม?”
เหยียนหมิงซุ่นพยักหน้า คุณชายปินก็ถามอีก “ที่ไหนของทางใต้?”
“เมืองจิน” เหยียนหมิงซุ่นไม่ปิดบัง
บนใบหน้าของคุณชายปินเต็มไปด้วยความครุ่นคิด ถามพี่เฉิงว่า “เฉินหมิง อาจารย์ของเจ้าหนุ่มนี่ใช่เฉินหมิงคนนั้นหรือเปล่า?”
พี่เฉิงพยักหน้าบอกว่าใช่ คุณชายปินมองพี่เฉิงแล้วถามอย่างยิ้มเยาะว่า “นายกับเฉินหมิงยังติดต่อกันอยู่? ปิดบังได้แยบยลเสียจริง”
พี่เฉิงสีหน้าสุขุม พูดเบา ๆกลับไปว่า “อย่างไรเสียก็เป็นพี่น้องที่เคยผ่านความยากลำบากด้วยกัน ฉันกำลังคิดอยากจะติดต่อเขา แต่หมอนั้นกลับซ่อนตัวอย่างมิดชิด หกปีไม่เคยมาหาฉันเลยสักครั้ง ครั้งนี้คาดไม่ถึงว่าจะส่งคนเอาของขวัญวันเกิดมาให้ ช่างทำให้ฉันประหลาดใจจริง ๆ!”
เขาชำเลืองมองไปที่คุณชายปินแล้วพูดว่า “อย่างว่ากันเลยนะฉันขอพูดสักประโยค ไม่ใช่ว่าแค้นจนเอาเป็นเอาตายอะไรกันสักหน่อย ผู้ใหญ่อย่างคุณชายปินลองวิเคราะห์ดูก็น่าจะวางความแค้นนี้ลงได้แล้วใช่ไหม?”
คุณชายปินมองพี่เฉิงอยู่ครู่หนึ่งด้วยใบหน้าที่กำลังครุ่นคิด ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าจะยิ้มขึ้นมาแล้วพูดว่า “พูดได้มีเหตุผล มิน่าล่ะที่ทุกคนเขาพูดกันว่าคุณเป็นคนมีน้ำใจ รักษาน้ำใจต่อมิตรสหายด้วยความชอบธรรม เรื่องนี้ก็เอาตามนี้แล้วกัน อีกทั้งหมอนี่ก็รักษาคำพูด พูดว่าไม่มาก็ไม่มาจริง ๆ”
เขาหันมาทางเหยียนหมิงซุ่นถามอีกครั้งว่า “อาจารย์ของนายตอนนี้ทำอะไรล่ะ?”
………………………………..
ตอนที่ 790 คนตระกูลโอหยาง
เหยียนหมิงซุ่นเกิดอาการตื่นตัวขึ้นมา ลางสังหรณ์คิดว่าคุณชายปินคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร อีกทั้งฟังแล้วก็เหมือนว่าจะมีความแค้นกับลุงหมิงอยู่ ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าที่ลุงหมิงต้องอยู่ที่คับแคบเหมือนรังหนูที่เมืองจินก็อาจจะเป็นเพราะผู้ชายคนนี้ก็ได้!
เขาตอบกลับอย่างระมัดระวัง “อาจารย์สุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี เปิดร้านกระดาษ เวลาว่างก็ไปหางานพิเศษทำ พออยู่ได้ไปวัน ๆครับ”
คุณชายปินส่งเสียงยิ้มเยาะ “หมอนี่คงฝึกฝนทำสมาธิเพื่อพัฒนาตัวเองแล้วแน่ ๆ”
คนอื่น ๆได้ยินก็ต่างพากันสับสน มีผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งถามอย่างอดไม่ได้ว่า “ โอหยางปิน ที่คุณพูดมามันไม่สอดคล้องกับเหตุผลเลย แท้ที่จริงเฉินหมิงคนนี้เป็นคนยังไง? ทำไมถึงได้ไม่ลงรอยกับพวกคุณล่ะ?”
เหยียนหมิงซุ่นสะดุ้งตัวแข็ง โอหยางปิน?
วงศ์ตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงก็มีแค่เพียงแซ่โอหยางแค่เพียงตระกูลเดียว เป็นโอหยางซานซานคนนั้นที่ไม่ลงรอยกับเหมยเหมย
โอหยางปินคนนี้กับโอหยางซานซานคนนั้นเกี่ยวพันกันยังไง?
เหยียนหมิงซุ่นอดไม่ได้ที่จะพินิจพิเคราะห์โอหยางปินอย่างละเอียด จึงสังเกตเห็นว่าหน้าตาของผู้ชายคนนี้กับโอหยางซานซานเหมือนกันอยู่หลายส่วน หากไม่สังเกตอย่างละเอียดก็คงมองไม่ออก ยิ่งยืนยันได้ว่าโอหยางปินกับโอหยางซานซานนั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาแน่
คิดดูแล้วถ้าไม่ใช่พ่อลูกก็พี่น้อง แต่ถ้าอิงตามอายุ ความเป็นไปได้ที่จะเป็นพ่อลูกมีมากกว่า แต่อันหลังก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรหวงอวี้เหลียนมองขึ้นมาแล้วก็ดูโตกว่าโอหยางปิน รู้สึกเหมือนไม่ใช่คู่สามีภรรยา
โอหยางปินยิ้มเยาะพูดว่า “เจ้าเฉินหมิงหมอนี่น่ะเหลือจะทน เมื่อก่อนฉันยังเคยซวยเพราะมันด้วยล่ะ!”
คนอื่นต่างทำสีหน้าไม่ค่อยเชื่อ ยังนึกว่าโอหยางปินกำลังพูดเล่น “เมืองหลวงมีคนที่เจ๋งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? คาดไม่ถึงว่าจะสามารถทำให้คนอย่างโอหยางปินซวยได้? อาเฉิงคุณพูดหน่อยสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
พี่เฉิงพูดยิ้ม ๆว่า “ก็เป็นเรื่องเก่าๆ ซ้ำซากเหมือนเดิมนั้นแหละ ปีนั้นเฉินหมิงยังวัยรุ่นอารมณ์ร้อนหัวรุนแรง ทะเลาะกับโอหยางปินด้วยเรื่องเล็ก ๆ ทำให้โอหยางปินไม่พอใจ เรื่องนี้เฉินหมิงก็ทำไม่ถูก ดังนั้นเขาเลยออกไปจากเมืองหลวงด้วยตัวเอง เรื่องก็เกิดขึ้นมาสิบกว่าปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้ย่างกรายเข้ามาในเมืองหลวงเลยแม้แต่ครึ่งก้าว!”
เหยียนหมิงซุ่นแอบตกใจเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าลุงหมิงที่ดูเป็นคนสบาย ๆ ดั่งปุยเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าแบบนั้น คาดไม่ถึงว่าจะมีอดีตแบบนี้ด้วย?
คิด ๆดูแล้วเรื่องในปีนั้นพี่เฉิงคงจะพูดหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญไป แค่ดูก็รู้ว่าโอหยางปินเป็นหน้าเนื้อใจเสือ ปีนั้นจะต้องมีลงไม้ลงมือลับหลังแน่นอน ไม่อย่างนั้นลุงหมิงจะยินดีที่จะออกจากเมืองหลวงแล้วไปเป็นเถ้าแก่ร้านกระดาษที่เมืองได้อย่างไร?
คนอื่น ๆต่างก็รู้ดีแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ แน่นอนว่าโอหยางปินจะต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมบางอย่างจนเกิดเรื่องขึ้น แต่พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็เป็นแค่เพียงคนชั้นต่ำธรรมดาคนหนึ่งก็เท่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะกล้าเทียบกับคนที่มีฐานะอย่างพวกเขา ช่างเป็นเสือที่อาจหาญทะเยอทะยานเสียจริง!
แค่ไล่ออกไปจากเมืองหลวงยังนับว่าปราณีเสียด้วยซ้ำ ถ้าหากทำให้พวกเขาโกรธล่ะก็ ชีวิตน้อย ๆก็คงจะไม่อยู่มาถึงวันนี้หรอก!
อันที่จริงปีนั้นโอหยางปินเดิมนั้นมีความคิดที่จะทำให้ลุงหมิงตาย แต่ลุงหมิงก็ไม่ใช่ว่าจะจัดการได้ง่าย ๆ เขามอบหมายให้ชายร่างใหญ่อีกคนหนึ่งเป็นคนกลาง ถึงแม้ว่าจะยอมรับความพ่ายแพ้ แต่กลับรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ก็ทำให้โอหยางปินยิ่งเกลียดจนเข้ากระดูกดำเพราะว่าทำให้เขาต้องเสียหน้า
มีผู้ชายคนหนึ่งที่ปกติไม่ค่อยลงรอยกับโอหยางปินเท่าไรนัก ถามอย่างจงใจว่า “โอหยางปินคุณทำไมถึงได้ใจอ่อนล่ะ? คนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีแบบนี้ เวลานั้นควรจะเอาเขาให้ตายเสีย คาดไม่ถึงว่ายังจะให้เขาได้ใช้ชีวิตดี ๆอยู่อีก คุณทำให้ผมต้องมองคุณใหม่แล้วจริง ๆ!”
สีหน้าของโอหยางปินเริ่มเย็นชา กัดฟันกรอด แต่ก็ยังตอบกลับไปด้วยเสียงหัวเราะว่า “ฉันเป็นคนดีจะตายไป จิตใจไม่ได้โหดเหี้ยมอำมหิตเหมือนคุณชายโจว ให้เขาออกจากเมืองหลวงไปก็พอแล้ว”
คุณชายโจวส่งเสียงยิ้มเยาะออกมา “เถอะน่า โอหยางปินคุณเป็นคนเมตตาใจอ่อนตั้งแต่เมื่อไรกัน? หมวกสีเขียว[1]ของพ่อยังกล้าสวม คุณยังมีอะไรที่ไม่กล้าทำอีก?”
…………………………………….
[1] คบชู้
ตอนที่ 791 แม้แต่”ผ้าเตี่ยว”ผืนสุดท้ายก็ไม่เอาแล้ว
ทุกคนต่างก็หัวเราะขึ้นมาอย่างเสียงดังด้วยท่าทีที่มีเลศนัย เรื่องที่คุณชายโจวพูด ในวงสังคมของพวกเขาดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอะไรกลับเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้กันดีอยู่แล้ว
โอหยางปินก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร เขายิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าเรื่องความลามกเนี่ย ผมยอมรับนะ ว่าผมไม่เบา แต่เรื่องฆ่าคนเนี่ย ผมคงไม่กล้าจริง ๆ”
คุณชายโจวพูดแกมเสียดสีว่า “สาวใหญ่รสชาติเป็นอย่างไรบ้างล่ะ เหมือนเหล้าหรือเปล่าที่ยิ่งมีอายุก็ยิ่งรสชาติดี”
ทุกคนต่างก็ฮือฮาขึ้นมา หัวข้อสนทนาตอนนี้ออกนอกเรื่องไปไกลแล้ว จากเรื่องของเฉินหมิงก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องของผู้หญิงแทน บรรยากาศเริ่มคุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ
สีหน้าโอหยางปินไม่ได้เปลี่ยนไป เขาจับไปที่คางของหญิงสาวในอ้อมกอด แล้วพูดขึ้นว่า “แน่นอนอยู่แล้ว รสชาติของสาวใหญ่ย่อมดีกว่าลูกท้อเขียว ๆพวกนี้อยู่แล้ว คุณชายโจวไม่สนใจเหรอ”
“ไม่ดีกว่า ลูกท้อแก่ ๆคุณก็เก็บไว้ค่อย ๆกินคนเดียวเถอะ ผมชอบกินลูกท้อสีเขียวที่ยังอ่อน ๆอยู่มากกว่า”
คุณชายโจวกระชับตัวของหญิงสาวในอ้อมกอด หญิงสาวส่งเสียงร้องเบา ๆ กระตุ้นอารมณ์ของคุณชายโจวได้เป็นอย่างดี เสื้อผ้าบนตัวของหญิงสาวหลุดลุ่ย เผยให้เห็นผิวขาวผ่องภายใต้ร่มผ้าของหล่อน สะท้อนความเยาว์วัยของหล่อนได้เป็นอย่างดี
ผู้ชายคนอื่นก็ไม่สามารถทนกับการกระตุ้นเช่นนี้ได้ ต่างก็ลงมือกระทำกับหญิงสาวในอ้อมกอดของตัวเอง บรรยากาศภายในห้องได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง ช่างน่าเขินอายเสียจริง
เหยียนหมิงซุ่นก้มหน้าลงอย่างช้า ๆตามสัญชาตญาณของตัวเอง เขาหน้าแดงด้วยความเขินอาย แต่ก่อนเขาเคยได้ยินลุงหมิงพูดว่า คุณชายพวกนี้ใช้ชีวิตเสเพลมาก มากเสียจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ตอนนั้นเขากลับไม่ค่อยเชื่อ แต่ตอนนี้จากที่เห็น สิ่งที่ลุงหมิงพูดอาจจะยังเบาเกินไป คุณชายพวกนี้แม้แต่ผ้าเตี่ยวผืนสุดท้ายที่ปกคลุมร่างกายของพวกเขา พวกเขายังไม่เอาแล้วเลย
เสียงกระเส่าภายในห้องเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ปืนของพวกผู้ชายบางคนพร้อมที่จะปล่อยกระสุนอย่างเต็มที่แล้ว พี่เฉิงลุกขึ้นยืน ส่งสายตามาให้เหยียนหมิงซุน ทิ้งห้องไว้ให้คุณชายพวกนี้หาความสุขสำราญ แล้วก็ปิดประตูห้องนี้ลงอย่างช้า ๆ อีกทั้งยังเรียกให้พนักงงานสองคนมาเฝ้าหน้าประตูห้องไว้ ไม่ให้ใครหลุดเข้าไปได้
พี่เฉิงไม่ได้เป็นคนที่สูงมากนัก เขาเตี้ยกว่าเหยียนหมิงซุ่นประมาณหนึ่งคืบ ดูแล้วเหมือนกับเป็นอาจารย์ที่ให้ความรู้ในรั้วมหาวิทยาลัย มากกว่าเป็นลูกพี่ใหญ่ในแวดวงสังคม
“รู้จักโรงน้ำชาหวังปาไหม” พี่เฉิงถามขึ้น
เหยียนหมิงซุ่นพยักหน้า “รู้จักครับ”
โรงน้ำชาแห่งนี้เขารู้จักจริง ๆ เพราะว่าชื่อของมันพิเศษมาก ๆ ได้ยินมาว่าเจ้าของโรงน้ำชาแซ่หวัง เป็นลูกคนที่ 8 ก็เลยตั้งชื่อโรงน้ำชาว่า โรงน้ำชาหวังปา แล้วยังได้รับความนิยมมากอีกเสียด้วย
พี่เฉิงชื่นชมอยู่ในใจ แล้วถามขึ้นอีกว่า “เข้าเมืองครั้งแรกเหรอ”
เหยียนหมิงซุ่นพยักหน้าอีกครั้ง พี่เฉิงมองไปที่เขาด้วยสายตาที่ชื่นชมมากกว่าเดิม เขานิ่งไปสักพัก แล้วพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้บ่ายสามไปที่โรงน้ำชาหวังปา”
หลังจากพูดจบ เขาก็ไม่ได้สนใจเหยียนหมิงซุ่น แล้วก็เดินจากไปด้วยท่าทีที่สบายใจ จังหวะการเดินของเขาดูแล้วไม่ได้เร็วมากนัก แต่ความเร็วในการเดินกลับไม่ได้ช้าเลย เพียงครู่เดียวก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาแล้ว
เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย ไม่รู้ว่าพี่เฉิงเรียกเขาไปพบจะมีเรื่องอะไร แต่อย่างไรก็ตามพรุ่งนี้เขาก็ต้องไป ดูแล้วพี่เฉิงน่าจะเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรูของลุงหมิง เขาน่าจะไม่ได้คิดร้ายอะไร คงอยากจะถามเรื่องของลุงหมิงละมั้ง
เขายืนอยู่ที่เดิมสักพัก เสียงในห้องดังขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะปิดประตูไว้ก็ไม่สามารถปิดเสียงความเร่าร้อนจากภายในห้องไว้ได้เลย ยิ่งฟังยิ่งทำให้เขารุ่มร้อน เลือดพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย เขารีบสาวเท้าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เหมยเหมยที่อยู่หลังสวนดอกไม้ก็มีอารมณ์เดียวกันกับเหยียนหมิงซุ่น นกเป็ดน้ำคู่นั้นสมสู่กันมาจะครึ่งชั่วโมงแล้ว เสียงของพวกเขาดังขึ้นเรื่อย ๆไม่ได้มีท่าทีว่าจะผ่อนแรงลงเลย
เหมยเหมยอุตส่าห์มาตั้งไกลแต่กลับต้องมาดูถ่ายทอดสดการสมสู่ของนกเป็ดน้ำ หล่อนไม่รู้ว่าสมองของหล่อนทำด้วยอะไร ในขณะเดียวกันคุณหนูเซียวที่ได้ยินเช่นกัน กลับไม่ได้รู้สึกอะไร หนังตาไม่ได้กระพริบเลยแม้แต่ครั้งเดียว หล่อนเห็นเหมยเหมยทำท่าทีเขินอาย จึงพูดขึ้นมาว่า “เธอก็คิดเสียว่ามันเป็นหมาสองตัวสิ มีอะไรน่าอายกัน”
………………………………………….
ตอนที่ 792 ตกลงมาแล้ว
เหมยเหมยถลึงตาใส่เธอ หมาจะร้องได้เสียงดังขนาดนั้นเลยเหรอ?
เหมยเหมยที่ทั้งโมโหและอับอายก็โผล่หัวออกมาจากหลังกระเป๋าเป้ เธอตีฉิวฉิวที่มองด้วยความอยากรู้อยากเห็นให้กลับเข้าไป แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “ดูอะไรนักหนา ระวังจะเป็นตากุ้งยิง!”
ฉิวฉิวกลอกตามองบนอย่างไม่สนใจเจ้าของและโผล่หัวออกมาอีกครั้ง เพลิดเพลินกับภาพลามกอนาจารตรงหน้าต่อไป นี่เป็นครั้งแรกที่มันเห็นมนุษย์ทำเรื่องแบบนี้แล้วยังสามารถขยับตัวเคลื่อนไหวสุดแรงได้ด้วย ช่างสนุกจริง ๆ!
เซียวเซ่อหรี่ตามองฉิวฉิวอย่างมีเลศนัย หัวเราะเยาะพูดว่า “ฉิวฉิวของเธอยังใจกว้างกว่าเธออีก”
เหมยเหมยโมโหจนตีฉิวฉิวอีกครั้ง เอากระเป๋าเป้มาปิด แต่ไหนเลยจะปิดความหื่นกระหายของคุณชายฉิวได้ มันจึงมุดหัวโผล่ออกมาจากซอกอีกครั้ง ตาที่เหมือนถั่วดำจ้องไม่กระพริบ อย่าให้พูดเลยว่ามีชีวิตชีวาขนาดไหนเชียว
คู่รักที่เป็นแค่สถานะชู้ด้านล่างนั้นยิ่งนานเข้าก็ยิ่งคึกคักเร้าใจ อีกด้านทำกิจไปส่วนอีกด้านก็ขยับตัวเปลี่ยนท่วงท่าไปทั่วสารทิศ ขยับเข้าใกล้ต้นไม้ที่พวกเหมยเหมยอยู่ขึ้นเรื่อย ๆ ในไม่ช้าก็มาถึงใต้ต้นไม้อย่างรวดเร็ว
ผู้หญิงดันต้นไม้ด้วยมือทั้งสองข้าง ส่งเสียงร้องครางอู้อ้า ท่วงท่าของผู้ชายรุนแรงเร่าร้อน น่าสงสารต้นไม้ที่โดนพวกเขาทำให้สั่นโยกไปมา ทำเอาเหมยเหมยเกือบตกลงพื้น และสิ่งที่ยิ่งทำให้เธอโมโหก็คือภาพลามกอนาจารอยู่ใกล้แค่ตรงหน้า ต่อให้ปิดหูก็ยังสามารถได้ยินอย่างชัดเจน เธออายจะตายอยู่แล้ว
“คุณชายเช่อ คุณจะทำให้ทาสน้อยอย่างฉันขาดใจตายอยู่แล้ว อา…คุณชายเช่อ คุณเบา ๆหน่อย ฉันจะขาดใจตายอยู่แล้ว…”
ผู้หญิงร้องครวญครางเสียงขาด ๆหาย ๆ เซียวเซ่อและเหมยเหมยลูบขนที่ลุกซู่พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ผู้หญิงคนนี้ช่างน่าเหยียดหยามเสียจริง เป็นคนดี ๆไม่ชอบ อยากจะลดตัวไปเป็นทาส
ผู้ชายที่อยู่ข้างหลังผู้หญิงหัวเราะอย่างลำพองใจ พูดคำพูดที่ทำให้ผู้คนยิ่งอับอาย ท่วงท่าที่ยิ่งรุนแรง เหมยเหมยเขินจนเลือดบนใบหน้าจะไหลออกมาหมดตัวแล้ว แม้กระทั่งเซียวเซ่อเจ้าปาท่องโก๋น้อยก็มีท่าทางไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ เมื่อก่อนแอบมองอยู่ไกล ๆ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเห็นใกล้เหมือนวันนี้มาก่อน
อีกทั้งเมื่อก่อนผู้ชายก็ไม่มีผู้ชายคนไหนที่ยืนหยัดได้ยาวนานเหมือนคนที่เรียกว่าคุณชายเช่อคนนี้ ไหนเลยจะมีคนที่ทำได้เกือบหนึ่งชั่วโมงโดยไม่พักเลยเหรอ?
แรงขย่มของผู้ชายก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ต้นไม้โดนเขาเขย่าจนเสียงดังอี๊ดอ๊าด เหมยเหมยเกือบลื่นตกลงมาอยู่หลายครั้ง เซียวเซ่อมองแล้วรู้สึกไม่ถูกต้อง หันไปบุ้ยปากเป็นสัญญาณให้กับเหมยเหมย อยากให้เหมยเหมยจับตัวเองไว้ให้แน่น ๆ ถึงอย่างไรแรงของเธอก็เยอะกว่าหน่อย แต่เหมยเหมยกลับนิ่งงงงวยไม่เข้าใจสิ่งที่เธอจะสื่อ
ขณะที่กำลังงงงวยนี่แหละ ต้นไม้ก็สั่นไหวโครมครามอีกครั้ง เธอยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไร ร่างก็ตกลงมาก้นกระแทกพื้น หน้าคะมำสี่ขาชี้ฟ้า ก้นกระแทกเข้าอย่างแรง
เซียวเซ่อที่อยู่บนต้นไม้มองอย่างจนปัญญา คิดอยู่ครู่หนึ่งก็คิดได้ว่าลงไปจะดีกว่า เธอเป็นเซียวเซ่อผู้มีน้ำใจต่อมิตรสหายเชียวนะ
ผู้ชายโดนหญิงสาวที่ตกลงมาทำเอาสะดุ้งตกใจ เกร็งตัวเพราะอารมณ์โกรธ แผ่กลิ่นอายอันตรายออกมา เพียงแต่ตอนที่เขาเห็นว่าเป็นแค่เพียงเด็กน้อยที่หน้าตาสะสวยคนหนึ่งเท่านั้น ร่างกายจึงผ่อนคลายลง กวาดตาสำรวจเหมยเหมยอย่างสนใจ
ผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่าทาสรับใช้ก็เห็นหน้าตาของเหมยเหมยอย่างชัดเจน เด็กสาวที่หน้าตาสะสวยทำให้เธอรู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก อีกทั้งเด็กสาวคนนี้ยังทำลายเรื่องดี ๆระหว่างเธอกับคุณชายเช่อจนพัง คุณชายเช่อทำให้เธอต้องเปลืองแรงกายแรงใจถึงจะยั่วมาได้นะ
นึกไม่ถึงว่าเพิ่งจะทำได้แค่ครึ่งทาง ก็โดนนังสารเลวตัวน้อยนี่มาทำลายเสียได้ วันหลังอยากจะเข้าใกล้คุณชายเช่ออีกก็ไม่รู้ว่าจะต้องเปลืองแรงขนาดไหน!
“เธออยู่บ้านไหน? ไม่รู้กฎระเบียบของที่นี่เหรอ? ใครให้เธอวิ่งวุ่นวายซี้ซั้วกัน?” ผู้หญิงตวาดถามเสียงดัง
เธอนึกว่าเหมยเหมยก็คือโสเภณีที่อยู่ในสโมสรเช่นกัน ถึงอย่างไรก็มีแขกบางคนที่มีความชอบเฉพาะตัว ชื่นชอบเด็กสาวจำพวกที่ยังโตไม่เต็มวัย
เหมยเหมยถูกถามขึ้นด้วยคำถามประหลาด จึงได้แต่มองผู้หญิงคนนั้นอย่างฉงน แต่กลับถูกเสื้อผ้าที่โชว์วับแวมทำให้เขินจนก้มมุดหัวลงไปอีกครั้ง คุณชายเช่อโดนความเขินอายของเธอกระตุ้นให้ตื่นเต้นขึ้นมา เด็กสาวคนนี้เป็นสาวสวยที่นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์บนโลกมนุษย์เสียจริง ตอนนี้ยังเย้ายวนได้ขนาดนี้แล้ว ถ้าหากโตขึ้นอีกหน่อยคงไม่มีผู้ชายคนไหนหนีรอดไปได้สักคน!
ผู้หญิงมองดูสีหน้าของคุณชายเช่อที่เปลี่ยนไปอยู่ตลอดจึงเกิดอาการทุรนทุราย กลัวว่าคุณชายเช่อจะใจเต้นเพราะเด็กสาวคนนี้ ถึงอย่างไรผู้ชายข้างกายคนนี้ก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงที่ทุกคนในกลุ่มอยากกินกันมากที่สุด!
……………………………………..
ตอนที่ 793 ผู้ชายที่ลึกลับเย็นชา
หญิงสาวที่อยู่บนพื้นหน้าตาสวยขนาดนี้ สามารถทำให้คุณชายเช่อใจเต้นได้นั้นเป็นเรื่องปกติ ผู้หญิงเกิดอาการกระวนกระวายใจ เธอจะให้ความพยายามเสียเปล่าไม่ได้
“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก หรือว่าเธออยากจะโดนพี่หงลงโทษ!” ผู้หญิงตำหนิด้วยเสียงอันดัง
ประโยคนี้เหมยเหมยกลับฟังเข้าใจแล้ว รีบลุกขึ้นจากพื้นจะเดินหนีไป เธอก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นักหรอก กลิ่นอายบนตัวผู้ชายคนนั้นทำให้เธอรู้สึกอึดอัดจะตายไป
ผู้ชายกลับเรียกให้เธอหยุด พูดด้วยเสียงเรียบนิ่ง น้ำเสียงยากที่จะขัดขืนได้ “ฉันให้เธอไปได้แล้วงั้นเหรอ?”
เหมยเหมยเงยหน้ามองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า อายุน่าจะประมาณสามสิบกว่า ๆ มองอายุที่แท้จริงของเขาไม่ออก หน้าตาหล่อเหล่าแต่กลับดูลึกลับเย็นชามาก คล้ายกับงูพิษที่อยู่ท่ามกลางความมืด เหมยเหมยรู้สึกไม่ถูกชะตากับผู้ชายคนนี้ทันที แต่เธอรู้สึกได้ว่าฐานะของผู้ชายคนนี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่
เดิมทีเธอคิดอยากจะพูดถึงสถานะตัวตนของตัวเองออกไป อิทธิพลของตระกูลจ้าวในเมืองหลวงก็มีอยู่บ้าง ผู้ชายคนนี้น่าจะไม่ทำร้ายเธอหรอก แต่เธอยังไม่ทันได้อ้าปากพูด เซียวเซ่อก็ลงมาจากด้านบนแล้วขวางหน้าเธอไว้
เซียวเซ่อหันไปพูดกับคุณชายเช่อเสียงดังฟังชัดว่า “ฉันพาเพื่อนฉันมาเที่ยวสวนดอกไม้หลังบ้านตัวเองแล้วมันจะทำไม? อยากมาก็มา อยากไปก็ไป คุณมีสิทธิ์อะไรมาบอกไม่ให้เพื่อนฉันไป?”
คุณชายเช่อเลิกคิ้ว ไม่ได้แสดงท่าทีโมโหอะไร มองพินิจพิเคราะห์เด็กสาวสองคนตรงหน้าที่ต่างก็ดูมีเอกลักษณ์อย่างสนใจ สวยทั้งคู่ และต่างก็ทำให้เขาใจเต้นโครมครามได้ทั้งคู่ แต่เขากลับรู้สึกสนใจเด็กสาวที่ลงมาทีหลังมากกว่าหน่อย
เด็กสาวคนนี้มีนิสัยเฉพาะตัว ทำให้ฮอร์โมนทั่วร่างของเขาเดือดพล่าน เหมือนหมาป่าที่เห็นเนื้อสดที่มีเลือดติดอยู่ ตื่นเต้นจนอยากจะกระโจนเข้าไปกดเด็กสาวตรงหน้านี้ไว้
แต่ว่าเขากลับไม่ได้บุ่มบ่ามเช่นนั้น คำพูดเมื่อครู่ของเซียวเซ่อเขาได้ยินอย่างชัดเจน พูดว่าสวนดอกไม้หลังบ้านของตัวเอง ดูแล้วเด็กสาวคนนี้กับคุณหนูใหญ่เฝิงคงจะมีความเกี่ยวพันกัน
“เธอกับเฝิงไห่ถังมีความสัมพันธ์เป็นอะไรกัน?” ผู้ชายถาม
ถึงแม้ว่าเซียวเซ่อจะไม่อยากยอมรับว่าตังเองเป็นลูกสาวของเฝิงไห่ถัง แต่ด้วยตอนนี้สถานการณ์คับขัน เธอก็รู้ว่าไม่สามารถดื้อดึงกับแม่ของตัวเองได้อีก จึงตอบกลับไปด้วยเสียงดังว่า “เป็นแม่ของฉัน”
ในแววตาของผู้ชายมีความประหลาดใจแทรกผ่านเข้ามา คาดไม่ถึงว่าเฝิงไห่ถังจะมีลูกสาวที่หน้าตาสะสวยขนาดนี้!
เขาอดรู้สึกผิดหวังขึ้นมาไม่ได้ เฝิงไห่ถังเป็นผู้หญิงที่ไม่ธรรมดา ตอนนี้เขายังไม่คิดอยากจะเป็นศัตรูกับเฝิงไห่ถัง ดูท่าเขาคงทำได้แค่เพียงวางเนื้อสดชิ้นนี้ลงชั่วคราวก่อน คุณชายเช่อมองเซียวเซ่ออย่างเสียดาย สายตาพลันหันไปเห็นเหมยเหมยที่อยู่ข้างหลัง ทันใดนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่เป็นไร สวรรค์ถือว่ายังไม่ใจจืดใจดำกับเขา แค่ช่วงเวลาสั้น ๆก็ส่งคนลงมาถึงสองคน อีกทั้งสองคนนี้ต่างก็ยังเป็นของดีชั้นเลิศ ในเมื่อคนแรกกินไม่ได้ งั้นอีกคนก็ต้องกินได้สิ
ผู้หญิงข้างกายเขาคุ้นเคยกับสายตาท่าทางในตอนนี้ของเขาเป็นที่สุดจึงได้แต่โกรธเกลียดอยู่ในใจ ตอนนี้เธอยังไม่สำนึกถึงฐานะของเซียวเซ่อ ถึงกับยังคิดว่าเซียวเซ่อเป็นเด็กผู้ชาย เหมือนกับเหมยเหมยที่ต่างก็เป็นเด็กในสังกัดของสโมสร
ในสโมสรมีบ้านอยู่มากมาย ในลานบ้านแต่ละบ้านต่างก็มีคนสวยที่แตกต่างกัน มีบ้านพิเศษหลังหนึ่งที่เต็มไปด้วยหนุ่มรูปหล่อและสาวรูปงาม ซึ่งรูปลักษณ์เหมือนกับเซียวเซ่อและเหมยเหมย ต่างก็เป็นคนที่คุณหนูใหญ่เฝิงไห่ถังตั้งใจเสาะแสวงหามาจากแดนไกลหรือนอกประเทศเป็นพิเศษเพื่อสนองให้แขกที่มีความชอบพิเศษพวกนั้นพึงพอใจ
เหมือนผู้ชายข้างกายเธอผู้นี้ที่เป็นแขกประจำของบ้านหลังนั้น ค่ำคืนนี้เธอทุ่มเทแรงกายแรงใจมาตลอดครึ่งปีกว่าจะสามารถทำให้คุณชายเช่อเลือกตัวเองได้ แล้วจะให้นังเด็กสารเลวสองคนนี้มาทำลายได้เช่นไรกัน
ผู้หญิงทำเป็นใจกล้า ตำหนิดุด่าเสียงดังไปว่า “พวกเธอสองคนยังไม่รีบไสหัวกลับบ้านของตัวเองไปอีก หรือแส่หาที่ตายกันหะ?”
แววตาของคุณชายเช่อเปลี่ยนเป็นเย็นชา รำคาญผู้หญิงข้างกายที่คิดว่าตัวเองฉลาด จึงยกขาถีบจนผู้หญิงทำแค่ร้องเสียงหลงและลอยไปกลางอากาศ แล้วตกลงบนพื้นเสียงดังพลั่ก
……………………………………….
ตอนที่ 794 ภูมิหลังไม่เล็ก
ผู้หญิงที่ปรนนิบัติอยู่ใต้ร่างเขาเมื่อครู่ ตอนนี้กลับกระเด็นไปอยู่บนพื้น กุมท้องร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด มุมปากมีเลือดไหลซึมออกมา พิสูจน์ได้ว่าผู้ชายคนนี้ใจดำอำมหิตและหงุดหงิดขี้โมโห
“ไสหัวไป!”
เสียงของผู้ชายเหมือนเสียงที่ดังออกมาจากนรก ผู้หญิงที่อยู่บนพื้นสะดุ้งตกใจจนวิญญาณเกือบออกจากร่าง เธอรู้ว่าตัวเองล้ำเส้นไปแล้ว สามารถมีชีวิตต่อไปได้ก็ถือว่าโชคดีไม่น้อย ไหนเลยยังจะกล้าทะเลาะตบตีหึงหวงอยู่อีก!
เธอรีบร้อนตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา แม้กระทั่งเสื้อผ้าก็ยังไม่ทันใส่ให้เรียบร้อย ก็เดินโซซัดโซเซหนีหัวซุกหัวซุนไปแล้ว
ผู้ชายหันมามองเหมยเหมยด้วยท่าทีอ่อนโยนยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องกลัว ขอแค่เธอเชื่อฟัง ฉันจะทำดีกับเธอแน่นอน เธอชื่อว่าอะไรเหรอ?”
เซียวเซ่อพูดแทรกขึ้นมาว่า “เธอเป็นเพื่อนของฉัน จะชื่ออะไรเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย”
พูดจบเซียวเซ่อก็ดึงเหมยเหมยเดินมุ่งไปทางกำแพง แต่พวกเธอกลับก้าวขาไม่ออก ไม่รู้ว่าบนมือของชายหนุ่มมีแส้เส้นหนังบางตั้งแต่ตอนไหน รัดเอวของพวกเธอสองคนเอาไว้ ไม่ว่าจะทำเช่นไรใช้แรงแค่ไหนก็ขยับเขยื้อนไม่ได้
เซียวเซ่อจึงโมโหชักมีดเล่มเล็กที่ส่องประกายวาววับออกมา คิดจะตัดแส้หนังให้ขาด แต่แส้หนังเส้นนี้ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร เซียวเซ่อใช้แรงจนเหนื่อยหอบแต่แส้หนังก็ยังเหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผู้ชายทำราวกับว่ากำลังหยอกหมาน้อยเล่น ทำแค่เพียงมองพวกเธอด้วยใบหน้าที่หยอกเย้า เซียวเซ่อตะโกนเสียงดังอย่างโมโหว่า “คุณจะทำอะไร? แม่ของฉันคือเฝิงไห่ถังนะ ที่นี่คือบ้านของฉัน คุณจะมาทำตัวเป็นอันธพาลในบ้านฉันเหรอ?”
ผู้ชายแค้นเสียงหึขึ้นมาอย่างเยือกเย็น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นว่า “ถ้าหากแม่ของเธอไม่ใช่เฝิงไห่ถัง เธอนึกว่าเธอพูดกับฉันด้วยท่าทีแบบนี้ แล้วจะยังมายืนปากดีโดยไม่เจ็บตัวได้เหรอ?”
แม้ว่าเซียวเซ่อนั้นจะเป็นคนที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน แต่ก็โดนกลิ่นอายความเย็นชาของผู้ชายคนนี้ปกคลุมไปทั่วร่างจนตัวสั่นสะท้าน เป็นครั้งแรกที่เธอลุกลี้ลุกลน ในใจเกิดความหวาดกลัว ดูท่าทางของผู้ชายคนนี้แล้ว ได้ยินชื่อของแม่เธอแล้วยังอวดดีเย่อหยิ่งขนาดนี้ ดูแล้วภูมิหลังของผู้ชายคนนี้จะต้องไม่กระจอกอย่างแน่นอน
เซียวเซ่ออายุยังน้อย อีกทั้งปกติแล้วก็ไม่ได้คบหาสมาคมสนิทสนมกับคนในสโมสรพวกนั้นเสียเท่าไร ดังนั้นเธอจึงไม่รู้จักผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าและไม่รู้ถึงความน่ากลัวของเขา
เธอไม่สามารถหลุดพ้นจากแส้หนังนี้ไปได้ ก็ร้อนใจทันที ตัวเธอเองนั้นไม่เป็นไร แต่เหมยเหมยเป็นคนที่เธอพามาด้วยจะเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด เธอกัดฟันคิดจะสู้กับผู้ชายคนนี้
เหมยเหมยดึงชายเสื้อของเธอไว้ หันไปส่ายหน้าให้เธอเบา ๆ ห้ามไม่ให้เธอทำอะไรผลีผลาม เธอหันไปพูดกับผู้ชายคนนั้นเสียงดังฟังชัดว่า “ฉันชื่อจ้าวเหมยเป็นหลานสาวของจ้าวหวายซาน ปู่ของฉันบอกว่าคืนวันนี้จะต้องถึงบ้านก่อนสามทุ่ม ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ขอร้องคุณอาอย่าล้อพวกเราเล่นอีกเลย!”
แววตาของเขาเกิดอาการสนใจแวบผ่านเข้ามาชั่วขณะ จ้าวหวายซานตาแก่ไร้การศึกษานั้นเหรอ คาดไม่ถึงว่าจะสามารถมีหลานสาวที่สวยขนาดนี้ได้? หลายปีมานี้ตระกูลจ้าวถือว่าได้ใจพอสมควร แค่ช่วงเวลาสั้น ๆก็กลายเป็นคนสนิทของนายใหญ่ แต่แล้วจะทำไมล่ะ?
แม้กระทั่งนายใหญ่ยังไม่อยู่ในสายตาเขาเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลจ้าวเล็ก ๆแค่นี้
“ฉันไม่ชอบให้คนอื่นเรียกฉันว่าคุณอาเป็นที่สุด หรือว่าฉันดูแก่ขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
จู่ ๆใบหน้าของผู้ชายคนนี้ก็เรียบนิ่ง ท่าทางอ่อนโยนเมื่อครู่หายไปจนหมดแล้ว แทนที่ด้วยสายตาที่ดุดันอย่างรวดเร็ว เหมยเหมยและเซียวเซ่อสะดุ้งตกใจจนตัวสั่น อยากจะก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ แต่ร่างกายกลับโดนแส้หนังรัดไว้แน่น แค่ครึ่งก้าวก็ยังถอยไม่ได้เลย
ผู้ชายแค่นเสียงหึออกมาอย่างเย็นชา แค่สะบัดมือเบา ๆพวกเธอสองคนก็เดินก้าวขึ้นมาข้างหน้าหลายก้าวอย่างควบคุมตนเองไม่ได้จนห่างจากผู้ชายไม่ถึงครึ่งเมตร ความปรารถนาประกายอยู่ในดวงตาของเขาอย่างปิดไม่มิด
เหมยเหมยใจตกไปถึงตาตุ่ม ตกลงแล้วผู้ชายคนนี้มีภูมิหลังเป็นมาอย่างไร? ขนาดเธอเปิดเผยฐานะของตัวเองแล้ว แต่ผู้ชายคนนี้กลับยังไม่วางมือ แสดงให้เห็นว่าผู้ชายคนนี้ไม่เห็นตระกูลจ้าวอยู่ในสายตา
……………………………………….
ตอนที่ 795 เธอจะต้องหนีออกไป
ผู้ชายยื่นมือออกมาคิดจะจับคางเหมยเหมยเชิดขึ้น เซียวเซ่อร้องเสียงดังว่า “หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไอ้กุ๊ยน่ารังเกียจ!”
ผู้ชายมองเซียวเซ่อด้วยสายตาเย็นชาราวกับงูพิษ เซียวเซ่อที่อยู่ภายใต้สายตาของเขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง แม้กระทั่งจะยืนก็ยังยืนไม่มั่นคง เธอคิดจะปกป้องเพื่อน แต่กลับไม่มีกำลังพอที่จะช่วยเหลือได้ จึงทำให้เธอเสียใจอย่างที่สุด
ในสถานการณ์คับขัน เซียวเซ่อเอานิ้วมือเข้าปากแล้วเป่าออกมาเป็นเสียงเรียก สี่ทิศมีเงาสีดำพุ่งเข้ามา เป็นทิเบตันแมสติฟฟ์สี่ตัวก่อนหน้า ทันทีที่เห็นเจ้าของโดนคนชั่วจับตัวไว้ ก็พุ่งตัวไปทางผู้ชายคนนั้นอย่างพร้อมเพียง
ผู้ชายขมวดคิ้ว กลับไม่ตื่นตระหนกอะไร และไม่ได้ปล่อยแส้หนัง เอียงตัวเบี่ยงหลบอยู่หลายครั้ง มืออีกข้างก็สะบัดไปมาไม่หยุด แล้วปล่อยแสงสีขาวออกไป เหล่าทิเบตันแมสติฟฟ์สี่ตัวก็ล้มไปกองลงอยู่บนพื้น แม้กระทั่งเสียงก็ยังไม่มีร้องออกมาสักแอะ
เซียวเซ่อตกตะลึงจนหน้าถอดสี หันไปตะโกนใส่ผู้ชายว่า “อย่าฆ่าพวกมัน!”
“สัตว์เดรัจฉานที่ไม่เชื่อฟังมีความจำเป็นใดที่จะต้องมีชีวิตอยู่?” ผู้ชายสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา อย่าพูดว่าแค่หมาสี่ตัวเลย ต่อให้เป็นคนสี่คนเขาก็ฆ่าได้เหมือนกัน
เซียวเซ่อมองทิเบตันแมสติฟฟ์ที่นอนอยู่บนพื้นอย่างเสียใจ รู้สึกเศร้าใจที่เรียกพวกมันมา เป็นเธอที่ทำให้พวกมันต้องตาย ตอนนี้เซียวเซ่อสำนึกได้ว่าเรื่องราวร้ายแรงขึ้นแล้ว เธออ้าปากคิดอยากจะเรียกบอดี้การ์ดของสโมสร แต่เพิ่งจะอ้าปาก ผู้ชายก็ปัดคางของเธอ
“ซื่อสัตย์กับฉันหน่อย เห็นแก่หน้าแม่ของเธอหรอกนะ ฉันถึงไม่แตะต้องตัวเธอ แต่เธออย่าทำให้ฉันโมโห ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่รับรองว่าจะปล่อยเธอไป”
ผู้ชายยื่นมือไปจับเหมยเหมย มุมปากมีรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหื่นกระหาย เหมยเหมยไม่ใช่เด็กน้อย เธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้คิดจะทำอะไรกับตัวเอง ถึงแม้ว่าเธอจะรังเกียจจนอยากจะอ้วก แต่เธอก็ยังฝืนใจให้ตัวเองอยู่นิ่ง ๆ อย่าตื่นตระหนกไป
เธอพูดกับผู้ชายว่า “ถ้าหากคุณทำอะไรฉัน ปู่ของฉันไม่ปล่อยคุณไว้แน่!”
ผู้ชายยิ้มอย่างเหยียดหยาม มือไล้มาถึงคางของเธอ มือของเขาทั้งชื้นทั้งเย็นเหมือนงูที่กำลังเลื้อยคดเคี้ยวไปมา เหมยเหมยขนลุกไปทั้งตัว เธอสะบัดหน้าออก อยากจะให้มือของผู้ชายหลุดไปด้วย แต่ผู้ชายกลับบีบไว้แน่น แม้กระทั่งขยับก็ยังขยับไม่ได้
“คุณจะทำอะไร?” เหมยเหมยกลับไม่ได้ตื่นตระหนก ยังคงรักษาท่าทีนิ่งสงบไว้เช่นเคย ถึงแม้จะสั่นไปทั้งตัวแล้วก็ตาม
ผู้ชายหัวเราะร่า นิ้วมือไล้ลำคอเรียวยาวเนียนนุ่มของเหมยเหมย ลูบสัมผัสเบาๆ ทุกซอกทุกมุม ร่างของเหมยเหมยจะเกร็งตามไปด้วย เธอถลึงตาใส่ผู้ชายคนนั้นอย่างรังเกียจ
“ฉันจะพาเธอไปขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ด เธอจะต้องหยุดไม่ได้ และตกหลุมรักมันตั้งแต่นี้ไป!”
ผู้ชายพูดอย่างยั่วยวน มือกลับไม่ได้หยุด เหมยเหมยบิดตัวไปมาอย่างแรง เธอจะไม่ให้ผู้ชายคนนี้ทำลายความบริสุทธิ์ของตัวเองอย่างแน่นอน
ร้องตะโกนอย่างเคียดแค้นว่า “คุณปล่อยฉันนะ คุณปู่จะต้องไม่ยกโทษให้คุณแน่”
ผู้ชายไม่รีบร้อนเขมือบอาหารอันโอชะตรงหน้า ก่อนหน้านั้นเขาได้ระบายความปรารถนากับผู้หญิงไปแล้วไม่น้อย ตอนนี้มีเวลาอีกเยอะ เขาอยากจะค่อย ๆ สัมผัสลิ้มรส
จ้าวหวายซานตาแก่โง่นั่นตอนนี้เขายังไม่มีวิธีจัดการ งั้นจัดการหลานสาวของมันก่อนก็ไม่เลวเหมือนกัน ต่อให้จ้าวหวายซานรู้แล้วมันจะทำอะไรได้?
ตัวเขาเองมีฝีมือเป็นอย่างไร?
โดยเฉพาะหลานสาวของตระกูลจ้าววิ่งมาที่สโมสรอันดับหนึ่งกลางดึก ใครจะไปเชื่อคำพูดพวกนี้?
ครั้งนี้ตระกูลจ้าวคงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คงต้องยิ้มรับอย่างกล้ำกลืนฝืนทน!
พูดได้แค่ว่าสวรรค์ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ อุตส่าห์ประทานเจ้าหญิงน้อยของตระกูลจ้าวมาให้เขาตรงหน้า หากเขาไม่กิน ก็คงจะเป็นการเสียมารยาทต่อสวรรค์ไปแล้ว!
เหมยเหมยต่อสู้ดิ้นรนอย่างแรง แต่แส้หนังที่เอวของเธอกลับยิ่งรัดแน่นขึ้น เสียดสีโดนเนื้อของเธออย่างเจ็บแสบ แต่กลับสามารถทำให้เธอรักษาสติเอาไว้ได้
เธอรู้ว่าคืนนี้จะต้องหนีออกไปให้ได้ ผู้ชายคนนั้นคิดขึ้นได้ เธอเองก็คิดขึ้นได้เหมือนกัน ถ้าหากเธอโดนผู้ชายคนนี้ทำให้อับอายได้ กลัวว่าเธอคงทำได้แค่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่มีใครจะเชื่อหรอกว่าดึกๆดื่นๆเธอจะมาที่สโมสรนี้ได้ ต่อให้จะมีคนเชื่อ แต่ก็กลัวว่าคนอื่นจะพูดกันไปว่า ——
เด็กสาวที่ไปสถานที่แบบนั้น ตัวเองก็คงจะไม่ใช่ของดีสักเท่าไรนัก!
………………………………………
ตอนที่ 796 เหยียนหมิงซุ่นมาแล้ว
ตอนที่เหมยเหมยวางแผนคิดจะสู้เพื่อปกป้องความบริสุทธิ์ของตัวเอง ฉิวฉิวที่อยู่ในกระเป๋าเป้ก็พูดกับเธออยู่หลายประโยค เหมยเหมยตาเป็นประกาย ความหวังปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ฉวยโอกาสตอนที่ผู้ชายกำลังลำพองใจ เธอก็ใช้แรงทั้งหมดที่เธอมีถีบเข้าไปที่เป้ากางเกงของเขาอย่างแรง
โชคของเธอนับว่ายังดีอยู่ที่ถีบเข้าใจกลางกล่องดวงใจพอดี ผู้ชายงอตัวในทันทีตามสัญชาตญาณ สีหน้าดูเจ็บปวดทรมาน
ปฏิกิริยาโต้ตอบของเซียวเซ่อรวดเร็วมาก ถีบซ้ำเข้าไปอีกที แรงของเธอเยอะกว่าเหมยเหมยอยู่มาก ผู้ชายเจ็บจนเหงื่อเย็นไหลซึมออกมา ยิ่งงอตัวกว่าเดิม สายตาที่มองมาที่พวกเธอสองคนยิ่งขึงขังเย็นชา
ผู้ชายสะบัดฝ่ามือฟาดลงไป เหมยเหมยและเซียวเซ่อหันหลังก้มตัวหลบได้ทัน เงาสีขาวพุ่งมาทางแส้หนัง ผู้ชายยังไม่ทันได้เห็นอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น แส้หนังก็ขาดไปเสียแล้ว
หลังจากนั้นก็มีลำแสงสีเขียวปล่อยออกมา เป็นฉาฉานี่เอง มันคิดจะกัดผู้ชายเข้าสักที แต่กลับโดนผู้ชายเบี่ยงหลบไปได้และยังจู่โจมกลับมาอย่างรวดเร็ว แสงสีขาวพุ่งปล่อยมาทางฉาฉา ดูก็รู้ว่าต้องการตัดฉาฉาออกเป็นสองท่อน เหมยเหมยตื่นตระหนกจนหัวใจพุ่งขึ้นมาถึงคอหอยเลยทีเดียว
ฉิวฉิวหมุนตัวหนึ่งตลบ กรงเล็บตวัดแสงสีขาวตกลงไปที่พื้น ที่แท้ก็เป็นมีดปลายแหลมที่จู่โจมเข้ามากะทันหัน มิน่าล่ะเมื่อครู่ถึงสามารถฆ่าหมาใหญ่สี่ตัวนั้นได้อย่างง่ายดาย
ฉิวฉิวส่งเสียงร้องเบา ๆอยู่หลายครั้ง “รีบไป เจ้าหมอนี่ภูมิหลังไม่ธรรมดา ฉันจัดการเขาไม่ไหว!”
เหมยเหมยไหนเลยจะต้องรอฟังคำสั่งของมันอีก ลากเซียวเซ่อวิ่งไปทางกำแพง ฉวยโอกาสที่ผู้ชายคนนั้นยังไม่คืนสู่สภาพเดิม รีบวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต รถประจำบ้านตระกูลเซียวอยู่นอกกำแพงนั้น ขอแค่เพียงผ่านกำแพงนี้ไปได้ก็ปลอดภัยแล้ว
แต่ผู้ชายนั่นมีหรือจะปล่อยพวกเธอไปได้ง่าย ๆ? ตอนนี้เขาคิดแค่เพียงอยากจะจับนังสารเลวที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนี่มาให้ได้ จับพวกเธอมาทรมานอย่างโหดเหี้ยม คงต้องรอให้เอากระบี่มาจ่ออยู่ตรงหน้าก่อนสินะจึงจะยอมทำตาม เขาจะไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว!
เหมยเหมยและเซียวเซ่อหนีไปด้วยความตื่นกลัว เห็นอยู่ว่าจะโดนผู้ชายจับตัวได้อยู่แล้ว แต่โชคดีที่ฉิวฉิวช่วยขวางไว้อยู่หลายครั้ง ผู้ชายจึงจัดการไม่ได้ง่าย ๆขนาดนั้น แต่พวกเธอคิดอยากจะหนีเอาชีวิตรอดก็ไม่ง่ายเช่นกัน
เหยียนหมิงเพิ่งเดินออกมาจากลานบ้าน พี่เฉิงก็หายตัวไปไม่เห็นเงาแล้ว ข้างนอกเป็นสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง แต่กลับไร้เงาผู้คน เขาอยากจะถามหาทางออกแต่ก็ไม่เจอใครสักคน คิด ๆดูแล้วกลับไปทางเดิมก็แล้วกัน!
แต่เขาเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมของเด็กสาว เสียงคุ้นหูมาก ๆจึงหยุดชะงักในทันที ตั้งใจเงียหูฟังอีกครั้ง ครั้งนี้กลับได้ยินอย่างชัดเจน เสียงของเด็กสาวที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองนัก เหมยเหมยจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?
หรือว่าจะมีคนอื่นที่เสียงเหมือนกับเธอ?
เหยียนหมิงซุ่นปัดความเป็นไปได้ข้อนี้ตกไปอย่างรวดเร็ว หูของเขามีความสามารถพิเศษในการแยกแยะเสียงได้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงของใคร ขอแค่เพียงเขาเคยได้ยินแค่ครั้งเดียวก็สามารถจำได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเสียงของผู้หญิงที่เขารักเลย ต่อให้ตะโกนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย เขาก็สามารถแยกออกได้
ตอนนี้เสียงกรีดร้องของเด็กสาวก็คือเหมยเหมย อีกทั้งยังเป็นการร้องขอให้ช่วยชีวิต เหยียนหมิงซุ่นหน้าถอดสี พุ่งตัวไปทางเสียงวิ่งอย่างสุดชีวิต เสียงมาจากทางสวนดอกไม้อีกลานบ้านหนึ่งซึ่งไม่ได้ไกลมาก และเขาก็หาเจออย่างรวดเร็ว
มาเห็นในจังหวะที่เหมยเหมยกำลังต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในมือของผู้ชายคนหนึ่ง หัวใจของเขาบีบแน่นด้วยความเจ็บปวด พุ่งเข้าใส่อย่างไม่ยั้งคิด ชกเข้าไปที่กลางหลังของผู้ชายคนนั้น ผู้ชายคนนั้นมีปฏิกิริยาโต้ตอบไวมาก โยนเหมยเหมยและเซียวเซ่อทิ้งไป หันไปสู้กับเหยียนหมิงซุ่น สู้กันอย่างดุเดือดน่ากลัว
คนหนึ่งเรียนศิลปะป้องกันตัวมาตั้งแต่เด็ก แต่กลับไม่มีประสบการณ์ต่อยตีจริงจังมาก่อน แต่อีกคนมีประสบการณ์เอาชีวิตคนมาแล้วนับไม่ถ้วน เหยียนหมิงซุ่นจึงร่วงลงพื้นอย่างรวดเร็ว ถูกผู้ชายซัดหมัดชกเข้าไปอยู่หลายครั้ง
โชคดีที่เขามีกริชที่เหมยเหมยเคยให้ไว้ เหวี่ยงกริชไปมาสร้างบาดแผลบนตัวของผู้ชายคนนั้นอยู่หลายรอย ทำเอาผู้ชายคนนั้นค่อนข้างจะหวาดกลัว เวลานี้แยกไม่ออกว่าใครแพ้ใครชนะแต่ก็แค่ชั่วขณะ หากเวลาผ่านไปนานกว่านี้เหยียนหมิงซุ่นจะต้องพ่ายแพ้แน่นอน
……………………………………….
ตอนที่ 797 ปล่อยพิษสองอย่างพร้อมกัน
เหยียนหมิงซุ่นรู้อยู่แก่ใจถึงสถานการณ์อันเลวร้ายในตอนนี้ ตะโกนเสียงดังบอกเหมยเหมยว่า “พวกเธอรีบหนีไป!”
เหมยเหมยส่ายหัวร้องไห้ เธอจะทิ้งเหยียนหมิงซุ่นไว้โดยลำพังแล้ววิ่งหนีเอาชีวิตรอดไปได้อย่างไรกัน?
อีกทั้งเธอเป็นคนที่นำพาปัญหาความยุ่งยากนี้มา เธอไม่สามารถให้เหยียนหมิงซุ่นติดร่างแหไปด้วยได้ เซียวเซ่อพุ่งขึ้นไปเรียบร้อยแล้วเพื่อช่วยเหยียนหมิงซุ่นรับมือกับผู้ชายคนนี้ แต่เหมยเหมยกลับทำอะไรไม่ได้เลย
เวลานี้เธอเกลียดตัวเองมากที่ไร้ความสามารถ เธอถือโอกาสกวาดตามองหาอาวุธบนพื้นอย่างร้อนใจ เธอไม่สามารถมองดูเฉย ๆได้ เธอก็จะไปร่วมสู้ด้วย!
ฉาฉาวนเวียนอยู่บนหัวของฉิวฉิว พวกมันจ้องผู้ชายคนนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย เวลานี้ผู้ชายคนนั้นโดนเหยียนหมิงซุ่นและเซียวเซ่อขัดขวางเอาไว้อยู่ จึงไม่ได้สนใจทางด้านนี้ ฉิวฉิวส่งเสียงร้องจิ๊จิ๊อยู่หลายครั้ง
เงาสีขาวและแสงสีเขียวปล่อยออกมาพร้อมกัน แยกย้ายไปกัดบนตัวผู้ชายคนนั้นคนละที พิษอันดับหนึ่งบนโลกและพิษอันดับสองของโลกไม่ได้มีไว้พูดเล่น ๆ สองพิษร้ายจะต้องสามารถทำให้ผู้ชายคนนี้ตายคาที่แน่นอน
ฉิวฉิวที่ทำสำเร็จบรรลุเป้าหมายก็แอบลำพองใจ ขอแค่เพียงคุณชายฉิวผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาออกรบ ก็ไม่มีเรื่องที่จัดการไม่ได้!
ฉิวฉิวหันไปพูดกับเหมยเหมยที่ยังหาเศษอิฐบนพื้นอย่างเยาะเย้ยว่า “ไม่ต้องหาแล้ว ไอชั่วช้าสารเลวนั่นถูกฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว เธอดูเอาเถอะไม่ถึงสามนาทีจะต้องเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ดจนตายไปเลย!”
เหมยเหมยมองด้วยความดีใจ แต่กลับเห็นผู้ชายคนนั้นทำหน้าตื่นตะลึง มองฉิวฉิวบนไหล่ของเธออย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง เหมยเหมยจับฉิวฉิวยัดลงกระเป๋าเป้ตามสัญชาตญาณ แล้วจ้องมองผู้ชายคนนั้น นับเลขในใจ หนึ่ง…สอง…สาม…
รอเวลาที่ผู้ชายคนนั้นเลือดออกจาทวารทั้งเจ็ดจนตาย
ฉิวฉิวกัดไปที่มือของผู้ชายคนนั้น ฉาฉาโจมตีไปที่ก้นของเขา ในตอนแรกผู้ชายคิดแค่ว่าโดนยุงกัด แต่สักพักถึงสังเกตเห็นความผิดปกติ มือและขาชาอย่างรวดเร็วและแผ่กระจายไปทั่วร่าง ในไม่ช้าเขาก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้
ในใจของผู้ชายคนนี้มีคลื่นแห่งความตกใจโหมซัดเข้ามา คาดไม่ถึงว่าบนโลกใบนี้ยังมีพิษที่จัดการเขาได้อยู่? จะเป็นไปได้อย่างไร?
เดิมทีร่างกายธาตุแท้ของร่างกายผู้ชายคนนี้มีความพิเศษ พูดได้ว่าร้อยพิษก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ หากให้คนทั่วไปพูดถึงยาพิษที่เปลี่ยนสีได้อย่างสารหนูขาวหรือเรียกว่าพิษนกกระสาแดงพวกนี้ มันไม่มีผลต่อผู้ชายอย่างเขาเลยสักนิด เขาสามารถดื่มเป็นเครื่องดื่มได้โดยสีหน้าเรียบเฉย
แต่ตอนนี้พิษของฉิวฉิวและฉาฉากลับทำให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้ ผู้ชายคนนี้จะไม่ตกตะลึงได้อย่างไรกัน?
เขากลับไม่รู้ว่าคุณชายฉิวผู้ยิ่งใหญ่ในกระเป๋าเป้กลับตกตะลึงเสียยิ่งกว่าเขาอีก พิษของเขาและพิษของฉาฉาสมทบรวมกันแล้ว ต่อให้วาฬในมหาสมุทรก็ไม่สามารถต้านทานได้ แต่เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้วทำไมผู้ชายคนนี้ถึงยังยืนอยู่ตรงนี้ได้
ทำไมยังไม่ตาย?
เหยียนหมิงซุ่นค้นพบความไม่ปกติของผู้ชายคนนี้แล้ว ถีบผู้ชายคนนี้ล้มไปกองที่พื้น ผู้ชายคนนี้เหมือนกับท่อนไม้ตกลงบนพื้นเสียงดังโครม สองมือสองขาต่างก็แข็งทื่อ มองดูแล้วน่าขบขันเสียจริง
ใบหน้าของผู้ชายดูโกรธแค้น แววตายิ่งดุดันขึ้นกว่าเดิม แต่เขาพูดไม่ออก เพราะว่าลิ้นของเขาก็โดนแช่แข็งเรียบร้อย มีแต่เพียงดวงตาที่ยังสามารถกลอกมองไปมาได้
“รีบไป!”
เหยียนหมิงซุ่นวิ่งไปทางกำแพงรั่ว เซียวเซ่อก็ตามมาด้านหลังติด ๆ ในไม่ช้าทั้งสามคนก็ปีนข้ามกำแพงออกมาได้ ผู้ชายคนนั้นได้แต่มองอย่างทำอะไรไม่ได้ จ้องมองด้วยความโกรธ เขาคิดอยากจะเรียกลูกน้องมา แต่กลับเปล่งเสียงไม่ออกเลยสักนิด
อีกทั้งบอดี้การ์ดของสถานที่แห่งนี้ก็โดนเขาไล่ไปเรียบร้อยนานแล้ว คนในสโมสรต่างก็รู้ ตอนที่คุณชายเช่อกำลังทำกิจไม่ชอบให้คนมารบกวน ดังนั้นไม่มีคนโง่ที่ไหนกล้าวิ่งมาหาที่ตายหรอก
โชคดีที่บอดี้การ์ดของผู้ชายคนนี้ไม่ได้โง่ เมื่อพวกเขาเห็นว่าผ่านไปแล้วสองชั่วโมงเจ้านายของเขาก็ยังทำกิจไม่เสร็จ จึงรีบเร่งมาหา กลับพบว่าเจ้านายของพวกเขาขยับเขยื้อนไม่ได้นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น ต่างพากันตื่นตกใจ ชุลมุนวุ่นวายช่วยกันคนละไม้คนละมือประคองเจ้านายขึ้นมา
ความร้ายแรงของพิษในร่างกายยังไม่หมดไปทั้งร่างจึงแข็งเหมือนกับท่อนไม้ กลอกตาไปมาไม่หยุด ช่างน่าขบขันเสียจริง แต่ลูกน้องของเขากลับหัวเราะไม่ออกต่างพากันตกใจจนเข่าอ่อนไปหมด ถ้าหากเจ้านายเกิดเรื่องอะไรขึ้น ชีวิตน้อย ๆของพวกเขาคงจะรักษาเอาไว้ไม่ได้แน่
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น