หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 776-781
บทที่ 776 องค์ชายผู้สูงศักดิ์!
ชายหนุ่มรู้สึกว่าสะเก็ดดาวชิ้นนี้ซึ่งดูคล้ายศีรษะมนุษย์ ดูคลับคล้ายคลับคลาใครสักคน…
เซี่ยไห่หยาง! หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะหรี่ตาลงอย่างปุบปับ ภาพของเซี่ยไห่หยางปรากฏชัดอยู่ในใจ เมื่อเปรียบเทียบกับสะเก็ดดาวแล้ว หัวใจของชายหนุ่มก็เต้นโครมครามขึ้น
ทั้งสองดูเหมือนกันจริงๆ แต่อาจเป็นเพราะสีของสะเก็ดดาว ทำให้มันดูเก่าแก่กว่า หากว่าสะเก็ดดาวชิ้นนี้เป็นศีรษะและใบหน้าจริงๆ คงดูเหมือนเซี่ยไห่หยางตอนแก่หรือผู้อาวุโสสักคนในตระกูลของเขา
แต่แม้ว่าจะเป็นผู้อาวุโสจากตระกูลเซี่ย ก็ไม่น่ามีใบหน้าคล้ายคลึงสะเก็ดดาวถึงเพียงนี้ หวังเป่าเล่อจึงไม่อาจตัดสินใจในนาทีนี้ได้ว่าความเป็นจริงคือสิ่งใด หรือมันอาจจะเป็นเพียงเหตุบังเอิญเท่านั้นก็เป็นได้
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิด จั่วอี้เซียนก็กำลังชั่งใจกับความคิดของตน แต่ชายหนุ่มก็มองเห็นว่าเจ้านายกำลังตกตะลึง แม้จะไม่รู้ว่ามีสาเหตุจากอะไร แต่จั่วอี้เซียนก็คาดเดาได้ว่ารูปร่างของสะเก็ดดาวเป็นสาเหตุให้หวังเป่าเล่อตกตะลึง
“น่าสนใจเสียจริง” จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมา ชายหนุ่มหรี่ตาก่อนจะยกมือขวาขึ้นชี้ไปทางจั่วอี้เซียน ทันใดนั้นแสงสีแดงก็พวยพุ่งออกมาจากนิ้วมือ ก่อนจะกลายเป็นกรงขังจั่วอี้เซียน พร้อมปิดผนึกเรือบินรบเอาไว้ในคราวเดียวกัน
“เจ้ารอตรงนี้เล่า ข้าจะเข้าไปสำรวจเสียหน่อย” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเย็นชา แม้การพาจั่วอี้เซียนมาด้วยจะช่วยให้สำรวจถ้ำได้ง่ายกว่า แต่หวังเป่าเล่อก็รู้เรื่องต่างๆ ของถ้ำจากบทสนทนากับจั่วอี้เซียนมาไม่น้อย อีกทั้งชายหนุ่มยังต้องปลดปล่อยพลังเต็มที่เพื่อปกป้องตนเองเมื่อเข้าไปในถ้ำ หากมีจั่วอี้เซียนอยู่ด้วย อีกฝ่ายอาจเห็นอะไรที่เขาไม่อยากให้เห็นก็เป็นได้
ดังนั้นการขังจั่วอี้เซียนเอาไว้จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
จั่วอี้เซียนไม่กล้าขัดขืนการคุมขังของหวังเป่าเล่อและรีบกุลีกุจอรับคำสั่งทันที แต่ชายหนุ่มยังคงรู้สึกเสียดายอยู่ในใจ เพราะอันที่จริงแล้ว เขาอยากกลับเข้าไปในถ้ำนั้นอีกครั้งหนึ่ง ลึกลงไปในใจ จั่วอี้เซียนยังมีความหวังว่าจะสามารถเดินทางกลับสหพันธรัฐได้จากที่แห่งนี้
หวังเป่าเล่อกระโจนลงจากเรือบินรบ เมินจั่วอี้เซียนไปเสียสนิท เมื่อชายหนุ่มปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็มายืนอยู่บนสะเก็ดดาวที่รูปร่างคล้ายศีรษะมนุษย์แล้ว เงาของหวังเป่าเล่อไม่ได้หยุดอยู่กับที่ มันเคลื่อนไปรอบๆ เพื่อสำรวจสะเก็ดดาวอย่างรวดเร็ว หวังจากที่ได้ภาพคร่าวๆ และขนาดของสะเก็ดดาวแล้ว หวังเป่าเล่อก็มุ่งหน้าตรงไปยังช่องที่ดูคล้ายปากทันที!
ช่องนี้เป็นทางเข้าเดียวของสะเก็ดดาว มันดูลึกมาก แถมยังมีอากาศเย็นไหลบ่าออกมาจากภายใน เมื่อเขาขยับเข้าไปใกล้ อากาศเย็นนั้นก็ดูราวกับจะมีชีวิตขึ้นมา เมื่อมันสัมผัสกายของหวังเป่าเล่อ ก็คล้ายจะแปรสภาพเป็นเข็มน้ำแข็งที่พยายามทิ่มแทงเข้าไปในร่างของชายหนุ่ม
แต่ร่างของหวังเป่าเล่อก็ยังแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นเพราะการฝึกฝนหรือด้วยพลังของวิญญาณจุติดวงดาราก็ตาม แม้ว่ามันจะไม่ใช่ร่างที่แท้จริงของเขา แต่ก็ยังเรียกได้ว่าแข็งแกร่งและหนังเหนียวไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะเมื่อชายหนุ่มเรียกเกราะจักรพรรดิออกมาใช้เพื่อเป็นการป้องกันร่างกายอีกชั้นหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเข็มน้ำแข็งจะพยายามทิ่มแทงเข้าไปในร่างกายของชายหนุ่มอย่างไม่หยุดหย่อนขณะกำลังมุ่งตรงไปข้างหน้า มันก็ไร้ซึ่งผลใดๆ
ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงเร่งความเร็วมุ่งหน้าไปตามทางได้เรื่อยๆ ยิ่งเดินเข้าไปลึก อากาศเย็นก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นทุกที ทว่าผนังที่รายล้อมทางอยู่กลับไม่มีทีท่าว่าจะเป็นน้ำแข็งแต่อย่างใด ความจริงแล้วหลายๆ บริเวณมีแสงเรื่อเรืองสีฟ้าส่องสว่างออกมาด้วยซ้ำ
ปรากฏการณ์ที่เห็นดึงดูดความสนใจของชายหนุ่ม ทำให้เขาระมัดระวังตัวขึ้นกว่าเดิม และเริ่มลดความเร็วลง เขาเดินต่อไปจนกระทั่งถึงกลางทางตามการคาดการณ์ของตนเอง จากนั้นหวังเป่าเล่อก็หยุดเดิน ก่อนจะเอียงศีรษะไปมองผนังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
ผนังนั้นมีสีดำสนิทมาตั้งแต่แรก แต่ทันทีที่สายตาของหวังเป่าเล่อจับจ้องไป ลูกไฟสีเขียวก็ปรากฏขึ้น ก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวอยู่ในผนังราวกับว่ากำลังล่องลอยอยู่ไปมา!
ขณะที่ลูกไฟกำลังเคลื่อนที่ไป ผนังก็ดูราวกับว่าโปร่งใสขึ้น โครงสร้างและความขุ่นมัวภายในปรากฏชัดขึ้นมาราวกับมีคนส่องไฟอยู่เบื้องหลังผนังกระนั้น สิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นก็คือ หวังเป่าเล่อเหมือนเห็นโครงร่างของตึกอยู่รางๆ ภายในลูกไฟที่กำลังเคลื่อนที่ไปมา!
ราวกับว่าภายในลูกไฟนั้นเป็นโลกอีกใบก็ไม่ปาน!
ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อต้องหรี่ตาลง ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน แต่จริงๆ มันผ่านไปเพียงสิบลมหายใจเท่านั้น และเมื่อลูกไฟนั้นจางหายไป ประกายแสงก็สว่างวาบขึ้นบนดวงตาของเขา
สะเก็ดดาวชิ้นนี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง… เป็นไปได้หรือว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จะไม่รู้เรื่องนี้ หรือบางทีพวกเขาอาจจะรู้และเข้ามาสำรวจที่นี่ไปแล้วแต่ตัดสินใจจะไม่ใส่ใจเสียเอง หวังเป่าเล่อรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ค่อยสมเหตุสมผล เพราะอย่างไรเสีย จั่วอี้เซียนก็ถูกพบตัวที่นี่ และสายธารสะเก็ดดาวแห่งนี้ก็อยู่ใกล้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มาก ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะไม่ได้มาสำรวจที่นี่อย่างถ้วนถี่
เมื่อคิดอยู่ครู่ใหญ่ ความคิดของหวังเป่าเล่อก็มัดเกี่ยวกันพัลวัน ชายหนุ่มออกเดินต่อไปพลางเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ แต่เมื่อเขาเดินลึกเข้าไป ก็ยิ่งเห็นลูกไฟที่เหมือนลูกไฟสีเขียวก่อนหน้านี้อยู่เบื้องหลังผนังมากขึ้น ลูกไฟเหล่านี้มีสีสันแตกต่างกันไป โดยเฉพาะเมื่อหวังเป่าเล่อเดินเข้าไปจนเกือบสุดทาง ลูกไฟในผนังที่รายล้อมอยู่ก็เริ่มหนาแน่นขึ้นและซ้อนทับกันไปมา ทำให้สีสันของพวกมันยิ่งงดงามตระการตาขึ้นไปอีก
สิ่งที่เขาเห็นต่อมาทำให้วิญญาณของหวังเป่าเล่อสั่นคลอนอย่างแท้จริง เมื่อชายหนุ่มเดินมาถึงสุดทางเดิน สายตาของเขาก็มองเห็นผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ ในบริเวณนั้น ลูกไฟหลากสีที่อยู่ในกำแพงก่อนหน้านี้ออกมาล่องลอยไปมาอยู่ในอากาศ!
ลูกไฟเหล่านี้นอกจากจะมีสีสันหลากหลายแล้วยังมีขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกัน มันล่องลอยรวมกลุ่มกันไปมาราวกับเป็นฝูงปลาอนุบาล ภาพตรงหน้าทำให้หวังเป่าเล่อตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ ชายหนุ่มเหมือนจมอยู่ในทะเลแห่งแสงไฟก็ไม่ปาน!
ต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่! ดวงวิญญาณของหวังเป่าเล่อถึงกับสั่นไหว ชายหนุ่มยังสังเกตเห็นด้วยว่ามีเงารูปร่างต่าๆ อยู่ภายในลูกไฟเหล่านี้ บ้างก็เป็นตึกราม บ้างก็เป็นซากปรักหักพัง บ้างก็เป็นพื้นผิวดิน และบ้างก็เป็น…สิ่งมีชีวิตมากมายหลายหลาก!
ไม่ว่าจะเป็นอสูรดุร้ายหรือพืชพันธุ์ พวกมันก็ดูคล้ายถูกผนึกอยู่ภายในลูกไฟเหล่านี้ ความจริง…หวังเป่าเล่อเห็นกระทั่งเงาของผู้ฝึกตนอยู่ภายในนั้นด้วย!
นอกจากนั้น เงาภายในลูกไฟบางลูกก็ดูเหมือนจะเป็นรูปสลัก รูปสลักที่อยู่ภายในลูกไฟขนาดใหญ่ลูกหนึ่งสุกสว่างเป็นพิเศษ เงาของมันเห็นได้ชัดเจนกว่าเงาในลูกไฟลูกอื่นๆ เพียงแค่กวาดตามองครั้งเดียว หวังเป่าเล่อก็เห็นทุกสิ่งที่อยู่ภายใน
รูปสลักในดวงไฟเป็นดาวเคราะห์ห้าดวง แม้จะไม่มีอะไรให้เทียบขนาด แต่เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นรูปสลักภายในลูกไฟเป็นครั้งแรก ชายหนุ่มก็รู้สึกแปลกประหลาดอย่างไม่รู้ตัว ราวกับว่า…ดาวเคราะห์ทุกดวงนั้นล้วนกินขนาดเกินครึ่งหนึ่งของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แห่งนี้ด้วยซ้ำ!
เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เลย และช่างตรงกันข้ามกับความรู้ในศีรษะของหวังเป่าเล่อโดยสิ้นเชิง แต่…สัมผัสรับรู้ของชายหนุ่มก็บอกเขาว่ามันเป็นเรื่องจริง!
ความรู้สึกนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อเกรงกลัวจนหัวใจสั่นไหวด้วยซ้ำ แต่ความเป็นจริงที่ว่า เมื่อชายหนุ่มมองไปยังดาวเคราะห์ทั้งห้า วิญญาณจุติดวงดาราในกายก็เริ่มสั่นคลอนต่างหากที่ทำให้เขาหวาดกลัว ราวกับว่า…มันมาจากที่เดียวกับดาวเคราะห์เหล่านั้นก็ไม่ปาน
วิญญาณจุติดวงดารา? หรือว่า…ดาวเคราะห์ทั้งห้านี้จะกำเนิดมาจากวิญญาณจุติดวงดารานี้ ความคิดอันโง่งมนี้ปรากฏขึ้นในมโนสำนึกของหวังเป่าเล่อ
สายตาของเขาอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นก็เป็นได้ เพราะในวินาทีเดียวกันนั้นเอง หัวใจของหวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงอันตราย จุดกำเนิดของอันตรายนั้นมาจากลูกไฟที่มีรูปสลักของดาวเคราะห์ทั้งห้าอยู่นั่นเอง!
ลมหายใจของชายหนุ่มหอบถี่ เขารู้สึกว่าด้วยระดับปราณของตนในตอนนี้ เขาต้องไม่ปลอดภัยแน่ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเผชิญความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น ในเมื่อหวังเป่าเล่อมาที่นี่เพียงเพื่อจะผ่อนคลายความเครียดเท่านั้น แม้ว่าชายหนุ่มจะเป็นเพียงร่างอวตาร แต่เขาก็พร้อมหนีด้วยการสะบัดกายเพียงครั้งเดียว
แต่ทันทีที่ร่างกายของหวังเป่าเล่อถอยหนี ลูกไฟที่มีรูปสลักดาวเคราะห์ทั้งห้าภายในดงลูกไฟซึ่งคล้ายปลาอนุบาลก็ส่องแสงกล้าขึ้น จู่ๆ มันก็เคลื่อนออกจากกลุ่มและพุ่งตรงเข้าหาหวังเป่าเล่อทันที ราวกับว่ามีความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างลูกไฟดวงนั้นกับตัวชายหนุ่ม
สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไป เขาเพิ่มความเร็วในการหนีมากขึ้น ชายหนุ่มสร้างผนึกฝ่ามือด้วยมือขวา เรียกเกราะจักรพรรดิออกมาสวมไว้พร้อมอาวุธเทพ เมื่อเกราะปรากฏขึ้น หวังเป่าเล่อก็ฟันใส่ลูกไฟที่ไล่ตามมาทันที!
ตอนที่ฟัน ชายหนุ่มก็ส่งพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลางของเขาออกไปด้วย ราวกับเขาฟันใส่ความว่างเปล่าจนฉีกขาด ก่อให้เกิดคลื่นสะเทือนที่พุ่งเข้าหาลูกไฟลูกนั้นอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น หวังเป่าเล่อก็เตรียมพร้อมที่จะหนี แต่ขณะที่ชายหนุ่มกำลังขยับตัวนั่นเอง ลูกไฟก็เร่งความเร็วเข้าใส่คลื่นที่อาวุธเทพของเขาสร้างขึ้น แสงสว่างจ้ารุนแรงระเบิดออกมาจากลูกไฟและสว่างปกคลุมไปทั้งถ้ำอย่างรวดเร็ว มันแปรเปลี่ยนถ้ำให้กลายเป็นทะเลแห่งแสง และเงาเลือนรางร่างหนึ่ง…ก็ก้าวออกมาจากลูกไฟลูกนั้น!
ร่างเงานั้นยืดตัวตรง น้ำเสียงเยียบเย็นแฝงไว้ด้วยไม่พอใจดังกังวานไปทั่วอย่างรวดเร็ว
“ที่นี่คือที่ใดกัน ไอ้เจ้าข้ารับใช้แก่เฒ่าโง่งม เจ้าเป็นผู้ที่เรียกข้าออกมาเช่นนั้นหรือ จงมาคุกเข่าแสดงความเคารพต่อองค์ชายของเจ้าเดี๋ยวนี้!”
เมื่อถ้อยคำของคนๆ นี้กระจายออกไป ทะเลแห่งแสงก็อ่อนแรงลงก่อนจะจางหาย ลูกไฟที่มีดาวเคราะห์ทั้งห้าอยู่ภายในก็เริ่มจางลงเช่นกัน หวังเป่าเล่อนัยน์ตาลุกโพลง ขณะที่ชายหนุ่มล่าถอย เขาก็หันกลับไปมองเงาที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยความระแวดระวัง
ร่างนั้นเป็นเด็กหนุ่ม ที่ดูเหมือนจะอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน เสื้อผ้าของเขาดูหรูหรา สีเขียวและแดงที่จับคู่กับกระจกบานจ้อยมากมายบนตัวทำเอาหวังเป่าเล่อคลื่นเหียน
ขณะที่หวังเป่าเล่อลอบสังเกตเด็กหนุ่มอยู่นั้น เด็กหนุ่มเองก็จ้องมองมาที่เขาอย่างหยิ่งยโสเช่นกัน เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อไม่ทำตามคำสั่ง เด็กหนุ่มก็ขมวดคิ้วก่อนจะพ่นลมออกมาทางจมูกอย่างขัดใจ เขายกมือขวาขึ้นหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาพลางขว้างไปทางหวังเป่าเล่อ และยกเท้าข้างขวาขึ้นเผยให้เห็นรองเท้าผ้าไหมสีดำขลับ
“มาเช็ดรองเท้าข้าให้สะอาดที โลกมนุษย์ของพวกเจ้าทำให้รองเท้าที่ทำขึ้นจากเส้นผมของสนมนับแสนของข้าต้องแปดเปื้อน”
บทที่ 777 แสดงความสำนึกเสียบ้าง เจ้าข...
นี่มันอะไรกัน หวังเป่าเล่อหยุดอยู่กับที่ก่อนจะส่งสายตามองเด็กหนุ่มอย่างฉงนใจ ชายหนุ่มรีบถอยหลังหลบผ้าเช็ดหน้าที่อีกฝ่ายขว้างมา เพราะกลัวว่าจะเป็นวัตถุเวททรงพลังที่อาจสร้างความเสียหายให้เขาอย่างรุนแรงหากไม่ระวัง
วิธีการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มช่างประหลาดเสียนี่กระไร ในขณะเดียวกัน ลูกไฟที่มีดาวเคราะห์ทั้งห้าอยู่ภายในซึ่งก่อนหน้านี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงอันตรายก็จางหายไปด้วย ดังนั้นตอนนี้ ชายหนุ่มจึงทั้งมีสมาธิและระวังตัวแจ เขาตัดสินด้วยสัญชาติญาณว่าชายผู้นี้แตกต่างจากจั่วอี้เซียน แม้ว่าจั่วอี้เซียนเองจะเคยถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากที่นี่ แต่ความรู้สึกที่เด็กหนุ่มคนนี้มอบให้หวังเป่าเล่อกลับแปลกประหลาดยิ่งกว่า
อย่างไรเสีย…แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่เคยลองทำให้ศัตรูหยุดนิ่งอยู่กับที่ด้วยการขว้างผ้าเช็ดหน้าใส่ก่อนจะโจมตีเพื่อเผด็จศึก แต่เขาก็คุ้นชินกับกลยุทธ์เช่นนี้ดี หากลองเอาตนเองเข้าไปอยู่ในตำแหน่งของเด็กหนุ่มคนนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มเป็นคนที่อันตรายอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มล่าถอยออกมา เกราะจักรพรรดิก็ปรากฏขึ้นคลุมร่างของเขาพร้อมเสียง “แกร็ก” และหวังเป่าเล่อก็ดูแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิงในทันที
ร่างกายของชายหนุ่มขณะนี้ทั้งใหญ่โตและน่าสะพรึงกลัว เสื้อคลุมสีแดงโลหิตที่สะบัดปลิวอยู่เบื้องหลังแม้ลมจะสงบนิ่ง และเส้นปราณจำนวนมหาศาลที่พลิ้วไหวอยู่นอกกายไม่ต่างจากฝูงอสรพิษสีแดงทำให้หวังเป่าเล่อมีรัศมีแห่งการฆ่าฟันรุนแรง ราวกับเป็นปีศาจร้ายที่ขึ้นมาปรากฏตัวอยู่บนโลกมนุษย์ เขาแผดเสียงออกมา “เจ้าเป็นใคร”
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังระมัดระวังตัวนั้น สายตาของเขาก็ทั้งเฉียบคมและเปี่ยมไปด้วยแรงกดดันมหาศาล ทำเอาหัวใจของเด็กหนุ่มตรงหน้าเต้นถี่ขึ้นอย่างสุดจะควบคุม เด็กหนุ่มสัมผัสไปถึงอันตรายจึงรีบล่าถอยไปหลายก้าว ก่อนจะกลืนน้ำลายด้วยความวิตกกังวลยิ่ง รีบยกมือขึ้นโบกแล้วละล่ำละลักออกมา
“ไม่ต้องห่วงไปมนุษย์ ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก” เขาพูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง มีความวิตกกังวลฉายชัดอยู่ในแววตา
“ไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไรเลยนะ!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายก่อนที่จะพูดออกมาอย่างแข็งกร้าว การที่ภูมิหลังของอีกฝ่ายเป็นปริศนาก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เขายังทำตนราวกับว่าอ่อนแอเสียเต็มประดา หากเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจริง เด็กหนุ่มคงไม่โง่เขลาขนาดที่จะพูดกับหวังเป่าเล่อด้วยน้ำเสียงเช่นเมื่อครู่
ไม่ผิดแน่ ชายคนนี้อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณเช่นกัน!
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ลงความเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในแน่นอน
ชายหนุ่มรู้ทันลูกไม้เหล่านี้ตั้งแต่อายุสามขวบ จึงไม่ได้คลายความระแวงลง กลับกัน เขาระวังตัวมากขึ้นอีกโข น้ำเสียงแฝงไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า
“เจ้าไม่มีอะไรจะพูดเช่นนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี…” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อสะท้อนประกายเยือกเย็น ยกมือขวาขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือแล้วชี้ไปที่เด็กหนุ่มปริศนา แสงสว่างจ้าพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว แปรสภาพเป็นคลื่นแสงที่เข้าไปปกคลุมล้อมรอบเด็กหนุ่มทันที
ขณะเดียวกัน ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็กระเถิบห่างออกไปจากเด็กหนุ่ม ขณะที่ถอยออกมานั้น เด็กหนุ่มก็เริ่มร้องโอดครวญ เขาขยับร่างกายถอยหนีและพยายามหลบ แต่ก็สายเกินไป คลื่นแสงเข้าประชิดตัวในพริบตาก่อนจะปะทะเข้ากับร่างของเด็กหนุ่ม
เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่น เด็กหนุ่มส่งเสียงร้องหวีดออกมา ร่างของเขาถูกชนกระเด็นไปไกลหลายสิบก้าวก่อนที่จะล้มลง สีหน้าของเด็กหนุ่มโกรธเกรี้ยวเมื่อส่งเสียงตะโกนใส่หวังเป่าเล่อ
“ไอ้มนุษย์บัดซบ เจ้ากล้าดีอย่างไร!”
“เจ้ากล้าโจมตีข้าอย่างนั้นหรือ ไอ้…ไอ้ขยะ! น่าขันสิ้นดี! เจ้าไม่รู้หรือว่าการได้เช็ดรองเท้าของข้านับเป็นเกียรติเพียงใด!”
เมื่อเห็นท่าทางที่เด็กหนุ่มถอยหลังก่อนจะล้มลง ขณะที่ร่างกายไม่มีรอยขีดข่วนแม้จะถูกโจมตี นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็หรี่เล็กลง แต่ในวินาทีถัดมา หลังจากที่ได้ยินเสียงคำรามของเด็กหนุ่ม ใบหน้าของเขาก็กระตุกขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
คำพูดของเด็กหนุ่มช่างรนหาที่นัก หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าหากเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ได้มีความสามารถแอบซ่อนเอาไว้ก็คงเป็นพวกโง่เง่าสติไม่เต็มเต็ง แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง หวังเป่าเล่อก็ทนไม่ได้อีกต่อไป ชายหนุ่มหมุนตัว ไปปรากฏตรงหน้าเด็กหนุ่มที่ส่งเสียงคำรามในทันที ก่อนจะเตะเข้าที่ท้องด้วยขาขวาเต็มแรง
หลังเสียงกระแทกดังพลั่ก เด็กหนุ่มก็ร้องออกมาอีกหน ก่อนที่ร่างกายจะลอยละลิ่วไปชนผนังด้านข้าง หลังจากที่ร่วงลงมาจากผนัง เสียงร้องโหยหวนของเด็กหนุ่มก็ยิ่งแหลมขึ้น เขาแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มไม่รับบาดเจ็บแต่อย่างใด การส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญนั้นไม่ใช่เพราะเขาบาดเจ็บ หากแต่เป็นเพราะการกระแทกนั้นทำให้เขาเจ็บต่างหาก
“ในอาณาจักรของข้า ขนาดผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ก็ยังเรียงแถวกันมาเช็ดรองเท้าให้ข้า การที่เจ้าที่อยู่เพียงขั้นเชื่อมวิญญาณปฏิเสธที่จะเช็ดรองเท้าให้ข้าก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เจ้ายังกล้าดีมาทุบตีข้าอีก!” น้ำตาร่วงเผาะลงมาจากดวงตาของเด็กหนุ่ม เขาทั้งเศร้าทั้งโกรธ พลางส่งเสียงตะโกนด่าหวังเป่าเล่อไม่หยุดหย่อน
เมื่อเห็นองค์ชายก่นด่า นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็เบิกโพลง จากการโจมตีทั้งสองครั้งและสังเกตดู ชายหนุ่มก็เห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นี้อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็นับได้ว่าร่างกายของเขานั้นช่างแปลกประหลาด ราวกับมีพลังต้านทานคาถาขั้นเชื่อมวิญญาณโดยเฉพาะ แต่ก็ดูเหมือนจะตอบสนองกับความเจ็บปวดรุนแรงมากเป็นพิเศษ
ความขัดแย้งนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อต้องหรี่ตา ขณะที่ชายหนุ่มกำลังวางแผนจะทดสอบอีกฝ่ายอีกครั้งเพื่อยืนยันทฤษฎีที่คิดได้เมื่อครู่ โทสะของเด็กหนุ่มก็ดูเหมือนจะพุ่งขึ้นสูงสุดจากความเจ็บปวดที่ได้รับ ทำให้เสียงก่นด่าดังก้องกลายเป็นเสียงคำราม
“ก็แค่ขั้นเชื่อมวิญญาณ ในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเพียงข้ารับใช้เฒ่าเท่านั้น เจ้าข้ารับใช้เฒ่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคนนี้เป็นใคร รู้หรือไม่ว่าบิดาของข้าคือราชาองค์ใด”
เมื่อได้ยินว่าตนเอง ซึ่งกำลังจะได้เป็นผู้นำของสหพันธรัฐ ถูกเรียกว่าข้ารับใช้เฒ่า หวังเป่าเล่อก็รู้สึกโกรธขึ้นมาเช่นกัน ชายหนุ่มจึงพลิกตัวพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง ครั้งนี้เขาใช้ทักษะการเตะที่ไม่ได้ใช้มาเป็นเวลานานและเล็งไปยังเป้ากางเกงของเด็กหนุ่มโดยตรง
“วันนี้ บิดาคนนี้จะแสดงให้เจ้าเห็นว่าราชาผู้เป็นบิดาที่แท้จริงของเจ้านั้นคือใคร!” ขณะที่หวังเป่าเล่อพูด ก็มีเสียงครั่นครืนดังขึ้นมา และเสียงร้องโหยหวนของเด็กหนุ่มก็แหลมสูงขึ้นอีกหลายช่วงตัวราวกับว่าสั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์ก็ไม่ปาน ชายหนุ่มยกมือทั้งสองบดบังบริเวณที่ความเจ็บปวดกำลังไหลบ่าเข้ามาก่อนจะกระโดดขึ้น
แต่การทดสอบของหวังเป่าเล่อยังไม่จบ เมื่อเด็กหนุ่มกระโดดขึ้นไป หวังเป่าเล่อก็ยกขาขวาขึ้นเตะไปที่เป้ากางเกงอีกครั้ง อันที่จริงแล้วเขาเตะไปถึงเจ็ดแปดครั้งติดๆ กัน!
“สั่งให้บิดาของเจ้าเช็ดร้องเท้าให้อย่างนั้นหรือ
“กล้าขึ้นเสียงใส่บิดาของเจ้าหรือ
“เจ้าเด็กโง่เง่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าดีอย่างไรมาสั่งให้บิดาทำโน่นนี่ให้”
“เจ้าลูกไม่รักดี กล้ามากที่เรียกบิดาของเจ้าว่าข้ารับใช้เฒ่า” หวังเป่าเล่อยิ่งพูดยิ่งโกรธ ชายหนุ่มเตะเด็กหนุ่มซ้ำทุกประโยคที่พูด เสียงโหยหวนของเด็กหนุ่มดังถึงขีดสุด ผู้ที่ได้ยินย่อมรู้สึกเหมือนว่าตนเองถูกเตะเสียเองและตัวสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม
แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการแสดงของหวังเป่าเล่อเท่านั้น ในความเป็นจริง ชายหนุ่มยังคงระแวดระวังอยู่ เขาหรี่ตาลง พยายามสังเกตปฏิกิริยาของเด็กหนุ่ม ในที่สุด หลังจากที่ยืนยันข้อสงสัยของตนได้แล้ว สีหน้าของเด็กหนุ่มก็ซีดเซียวเพราะความเจ็บปวด เขากรีดร้องเสียจนเสียงแหบแห้ง ก่อนจะยกมือชี้หน้าหวังเป่าเล่อ
“เจ้าข้ารับใช้เฒ่า ข้าเป็นองค์ชายแห่งอาณาจักรพิภพทมิฬ! เป็นองค์ชายองค์เดียว! ข้าต้องสืบทอดราชบังลังก์และนำพาระบบดาวเคราะห์นับหมื่นไปสู่อนาคตอันรุ่งโรจน์! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาหยามน้ำหน้าข้าเช่นนี้ ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย แล้วกวาดล้างอารยธรรมของเจ้า สังหารเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าไม่ให้เหลือ!”
หวังเป่าเล่อจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าใดนัก หากเด็กหนุ่มทรงพลังถึงเพียงนั้นจริง เขาจะอยู่เพียงขั้นกำเนิดวิญญาณได้อย่างไร แต่ถึงอย่างนั้น ร่างกายของเขาก็ช่างแปลกเสียจริง
แต่อย่างไรหวังเป่าเล่อก็อัดอีกฝ่ายไปเสียเละแล้ว…โดยเฉพาะเมื่อเจ้าเด็กหนุ่มทำตัวปากเปราะชวนให้โดนอัดเสียขนาดนั้น ชายหนุ่มจึงรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่ทำให้เขามีความสุขยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ เด็กหนุ่มคนนี้ไม่บาดเจ็บแต่รู้สึกเจ็บปวด ดังนั้นสำหรับคนที่ชอบอัดคนอื่นเช่นหวังเป่าเล่อ เด็กหนุ่มนี่ถือเป็นหุ่นซ้อมมวยคุณภาพสูงเลยทีเดียว
หวังเป่าเล่อจ้องมองก่อนจะยกมือขวาขึ้นจับนิ้วของเด็กหนุ่มงอเข้าหาตัวอย่างเชี่ยวชาญก่อนจะกล่าว
“เรื่องของเจ้าสิ หากเจ้าเป็นองค์ชาย ข้าก็เป็นจักรพรรดิแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ใครๆ ก็พูดได้ เรียกข้าว่าท่านบิดาเดี๋ยวนี้!”
สีหน้าของเด็กหนุ่มเขียวคล้ำลงทันที เขาแทบจะทรุดตัวลงคุกเข่าเพราะร่างกายเหมือนจะสูญเสียเรี่ยวแรงไปหมด ก่อนจะส่งเสียงหวีดร้องดังลั่น แต่ความหยิ่งยโสนั้นไม่ลดลงเลย องค์ชายยังคงกัดฟันพูดต่อแม้จะยังส่งเสียงร้องอยู่
“ปล่อยโว้ยย อ๊ากกกกกก…เจ้าข้ารับใช้เฒ่าบัดซบ บิดาของข้าจะควานหาข้าไปทั่วระบบดาวเคราะห์แน่นอน โอ๊ยๆๆ มาพูดกันดีๆ เถอะ โอ๊ยยยยย…ยังไม่สายที่เจ้าจะคุกเข่าลงขอความเมตตา ข้าจะยอมปล่อยเรื่องที่แล้วๆ มาและให้โอกาสเจ้าได้เช็ดรองเท้าข้าอีกครั้ง…
“สำนึกเสียบ้างสิโว้ย เจ้าข้ารับใช้เฒ่า!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าหนุ่ม หวังเป่าเล่อก็ถึงกับตะลึงไป ไม่ได้ตะลึงในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เพราะอย่างไรเสีย ชายหนุ่มก็ไม่รู้ว่ามันเป็นความจริง หรือเป็นเพียงเรื่องที่เด็กหนุ่มคุยโวเท่านั้น สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตกตะลึงคือการที่เด็กหนุ่มผู้นี้ยังโอหังได้อยู่ในเวลาเช่นนี้
ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้ใช้ทักษะนี้มานานเกินไปจนสนิทจับเสียแล้ว…หวังเป่าเล่อคิดในใจ ก่อนจะยกเท้าขวาขึ้นเตะผ่าหมากเด็กหนุ่มอีกครั้ง และเพราะลูกเตะของเขาว่องไว แถมมือก็ยังจับนิ้วของเด็กหนุ่มเอาไว้แน่น ทำให้อีกฝ่ายหนีไปไหนไม่ได้ หวังเป่าเล่อจึงได้เตะต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า…
สุดท้ายเมื่อใบหน้าของเด็กหนุ่มเขียวไปทั้งหน้า เขาจึงตระหนักได้ว่าการส่งเสียงร้องและการยกตนข่มท่านนั้นไม่เป็นผล ในขณะเดียวกัน ความเจ็บปวดตรงบริเวณหว่างขาก็เริ่มเสียดแทงมากขึ้นทุกขณะ จนทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว เด็กหนุ่มจึงยอมกัดฟัน งัดไพ่ตายออกมา!
“ได้โปรดหยุดตีข้าเถิด ท่านบิดา ข้าผิดไปแล้ว ท่านบิดา ข้ายอมรับผิดแล้วขอรับ ท่านบิดา!”
บทที่ 778 จี้อู๋จื่อ!
หวังเป่าเล่อกำลังจะเตะครั้งที่สองร้อย แต่ก็ยั้งเท้าเอาไว้เมื่อได้ยินเสียงของเด็กหนุ่ม ก่อนก้มศีรษะลงมองอีกฝ่าย
เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อลดเท้าลง เจ้าหนุ่มก็แอบผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะเงยศีรษะขึ้นมองหวังเป่าเล่อ เขายังคงสาปแช่งอีกฝ่ายอยู่ในใจแต่ไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้า กลับกัน เด็กหนุ่มกลับพ่นคำพูดประจบประแจงออกมาเพื่อหวังให้หวังเป่าเล่อพอใจ
“ท่านเหนื่อยหรือเปล่าขอรับ ท่านบิดา ข้านวดเก่งมากเลย ทำไมท่านไปนอนลงตรงโน้นเล่า เดี๋ยวข้าจะช่วยนวดให้ท่านผ่อนคลายความเมื่อยล้า แล้วท่านคอยสอนวิชาข้าเมื่อพักผ่อนเสร็จแล้วก็ได้”
หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะมองไปยังใบหน้าประจบประแจงของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มทำสิ่งนี้อย่างชำนิชำนาญเพราะทำมาเป็นประจำ ทำให้ความเคลือบแคลงสงสัยในใจหวังเป่าเล่อปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
ชายหนุ่มรู้สึกว่า นอกจากร่างกายที่แปลกประหลาดแล้ว เด็กหนุ่มนี่ก็ไม่มีอะไรที่ดูเหมือนองค์ชายอีกเลย โดยเฉพาะทักษะการประจบประแจงเข้าขั้นครูเช่นนี้ หวังเป่าเล่อพึงใจเป็นอย่างยิ่ง ท่าทีของเขาจึงดูอ่อนลง หลังจากลอบมองเด็กหนุ่มอยู่สองสามครั้ง หวังเป่าเล่อก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา
“หากเจ้าทำตัวดีตั้งแต่แรก เจ้าก็คงไม่ต้องทนรับการทุบตีจากข้า อันที่จริงแล้ว บิดาของเจ้าก็ไม่อยากจะทุบตีเจ้าหรอก ทำตัวดีๆ หน่อย ตอนนี้ก็บอกข้ามาว่าเจ้าถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่ได้อย่างไร” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวเด็กหนุ่ม
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ เด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนจะร้องไห้ออกมา เหตุผลหนึ่งคือเขาเพิ่งถูกทุบตีมา แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือ เขาก็เข้าใจดีว่าเหตุใดจึงถูกตี แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะทุบตีเขาอย่างร้ายกาจและเด็กหนุ่มควรจะเกลียดบุรุษผู้นี้ แต่…เมื่อหวังเป่าเล่อสัมผัสศีรษะและพูดถ้อยคำที่ฟังดูค่อนข้างอบอุ่นออกมา เด็กหนุ่มก็รู้สึกเต็มตื้นในอกอย่างประหลาด
เขารีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว พยายามรักษาท่าทางพินอบพิเทาเอาไว้ ก่อนจะกล่าว
“ท่านบิดา ข้ามาจากอาณาจักรพิภพทมิฬจริงๆ ขอรับ ข้าเป็นองค์ช…” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เจ้าหนุ่มก็มองเห็นประกายในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขาจึงกลืนคำพูดของตนเองก่อนจะเปลี่ยนประโยคเสียใหม่
“ท่านบิดา ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ใช่องค์ชายหรอกขอรับ ข้าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาในอาณาจักรพิภพทมิฬเท่านั้น ข้าประกอบอาชีพเป็นนักแสดง ข้ากำลังแสดงให้องค์ชายในวังได้ดู แล้วจู่ๆ ก็ถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่…” เด็กหนุ่มพูดพร้อมร้องห่มร้องไห้ เพราะกลัวว่าหวังเป่าเล่อจะไม่เชื่อ เขาถึงกับหยิบเอาตราประจำตัวออกมา
“ดูสิ ท่านบิดา สิ่งนี้คือประวัติบุคคลของข้าจากอาณาจักร ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรโกหกเลย โปรดอภัยให้ข้าเถิด ท่านบิดา”
นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ก่อนจะหยิบตราประจำตัวไปใช้ดวงจิตตรวจสอบดู ชายหนุ่มมองเห็นตัวตนของเด็กหนุ่มบนตราประจำตัวจริง แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีข้อมูลอื่นใด
หวังเป่าเล่อไม่เชื่อตอนที่อีกฝ่ายบอกว่าเป็นองค์ชาย แต่มาบัดนี้ เมื่อเด็กหนุ่มบอกว่าได้เป็น หวังเป่าเล่อก็ยังอดแคลงใจไม่ได้อยู่ดี
เป็นไปได้หรือไม่นะว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นองค์ชาย แต่ข้าตีเขาเสียจนไม่กล้าพูดอีกต่อไป หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นกดลงไปบนจุดรวมปราณเทียนหลิงของเด็กหนุ่ม แล้วจึงปล่อยวิชาค้นวิญญาณแห่งศาสตร์มืดออกมาโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวทัน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อใช้วิชาค้นวิญญาณ แต่ทันทีที่ชายหนุ่มเข้าไปค้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เป็นเพราะว่า…ความทรงจำของเด็กหนุ่มนั้นว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย!
สถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรเป็นไปได้ ต่อให้หวังเป่าเล่อค้นวิญญาณคนโง่ก็ตาม นอกเสียจากว่าความทรงจำจะถูกใครสักคนลบออกไปจนสิ้น และไม่ได้เพิ่มความทรงจำใหม่ลงไป แต่จากการแสดงออกของเด็กหนุ่มแล้ว เรื่องนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
น่าสนใจ…เขาไม่ขัดขวางการค้นวิญญาณของข้า แต่ความทรงจำของเขาว่างเปล่า หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงก่อนจะชั่งน้ำหนักความเป็นไปได้ที่เด็กหนุ่มผู้นี้จะเป็นองค์ชายจริงๆ…
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังคิด ร่างของเด็กหนุ่มก็สั่นไหว ความกลัวปรากฏขึ้นบนแววตา ดูเหมือนกลัวว่าจะถูกอัดอีกรอบ เขาจึงหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ท่านบิดาได้โปรดอย่าเข้าใจผิด ตั้งแต่ยังเล็ก ร่างกายของข้าก็แตกต่างจากคนอื่นๆ มีคนเคยค้นวิญญาณข้ามาก่อน แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรเช่นกัน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไม…ได้โปรดอย่าตีข้าอีกเลย” ขณะที่พูดไปนั้น น้ำตาเม็ดโตๆ ก็หล่นเผาะลงมาจากใบหน้าของเด็กหนุ่ม และร่วงลงไปใส่รองเท้าที่เขาอ้างว่าสนมนับแสนใช้เส้นผมสานขึ้นมา
เมื่อเห็นกริยาขี้ขลาดของเด็กหนุ่มและคิดได้ว่าระดับปราณของอีกฝ่ายอยู่เพียงขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้น แถมยังดูแสนธรรมดา ไม่ได้เปล่งรัศมีเช่นเดียวกับเขา หวังเป่าเล่อก็ครุ่นคิดอีกครั้งก่อนจะค้นตัวเด็กหนุ่ม รวมไปถึงกระเป๋าคลังเก็บ แถมไม่ได้ละเลยกระจกอันเล็กจิ๋วบนเสื้อผ้าด้วย
หลังจากที่ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่ามีแต่ขยะ หวังเป่าเล่อก็ขมวดคิ้ว ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีสมบัติเวทอยู่กับตัว แถมยังดูรู้ว่ายากจนตั้งแต่มองปราดแรก ต่อให้เป็นองค์ชายจริง อารยธรรมที่เขาจากมาก็ต้องอ่อนแอมากเป็นแน่
หลังจากที่สรุปได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็เลิกสนใจเด็กหนุ่มไปโดยสิ้นเชิง ไม่อยากแม้กระทั่งจะถามชื่อ เขาพูดอย่างเย็นชา
“เอาละ ไม่ว่าตัวจริงของเจ้าจะเป็นใครและภูมิหลังเป็นอย่างไร ก็ไม่ใช่เรื่องของข้า ระวังตัวด้วยเล่า” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็หันหลังเตรียมจะกลับออกไป
ชายหนุ่มมาที่นี่เพื่อผ่อนคลาย และไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับอะไร ถึงตอนนี้นี้ เขาก็ตัดสินใจจะเดินไปสำรวจที่อื่นก่อนแล้วค่อยกลับไปยังกองทหารวิหคน้ำแข็ง จากนั้นจึงเริ่มค้นคว้าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาต่อไป
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ เด็กหนุ่มก็หยุดนิ่งแล้วแหงนหน้ามองสิ่งรอบข้างด้วยสายตาสับสน เขาเห็นว่าหวังเป่าเล่อหันหลังกลับไป จึงทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่าย หลังจากอึกอักอยู่นาน เด็กหนุ่มก็ตะโกนออกไปว่า “ท่านบิดา พวกเราอยู่ที่ไหนหรือ…”
หวังเป่าเล่อหยุดอยู่กับที่ ในเมื่อเด็กหนุ่มเรียกเขาว่าท่านบิดา เขาก็คงต้องดูแลอีกฝ่ายบ้างตามสมควร หวังเป่าเล่อจึงโยนคัมภีร์หยกที่มีแผนที่ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ออกไป
เด็กหนุ่มรับเอาไว้ได้ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดเซียวเมื่อได้เห็น เขาไม่คุ้นเคยกับแผนที่ดวงดาวนี้เอาเสียเลย จากนั้นความสับสนที่เกิดจากความไม่คุ้นเคยก็แปรเปลี่ยนความรู้สึกอันตรายและไม่สบายใจอย่างรวดเร็ว
“ระวังตัวเล่าด้วยเวลาที่ออกไปข้างนอก อย่าให้ใครจับไปเป็นสัตว์เลี้ยงเอาได้” หวังเป่าเล่อมองเห็นความไม่สบายใจของเด็กหนุ่ม แต่เขาก็รู้สึกว่าได้ช่วยเท่าที่ทำได้แล้ว เรื่องที่ว่าอีกฝ่ายจะออกไปอย่างไรนั้น หวังเป่าเล่อไม่สนใจ จากนั้นชายหนุ่มจึงพลิกตัวและพุ่งออกจากบริเวณนั้น กลับมายังทางเดินและเริ่มเดินกลับออกไป
เมื่อหวังเป่าเล่อมาถึงทางเดิน ก็มีเสียงฝีเท้าของเด็กหนุ่มก็ตามมาพร้อมด้วยเสียงตะโกนด้วยความวิตกกังวลดังก้อง
“โปรดรอข้าด้วยท่านบิดา…” เด็กหนุ่มไม่มีทางเลือก เมื่อมองดูแผนที่ดวงดาว เขาก็รู้สึกอึดอัดอย่างรุนแรง ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าเป็นผู้เดียวที่จะช่วยเขาในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยนี้ได้ เพราะอย่างไรเสีย แม้ว่าบุรุษผู้นี้จะแปลกๆ แถมยังทุบตีเขา แต่ก็ไม่ได้สังหารเขาแต่อย่างใด เด็กหนุ่มจึงเชื่อสัญชาติญาณของตนและเดินตามหวังเป่าเล่อมา
องค์ชายกำมะลอมองเห็นความรำคาญใจบนสีหน้าของหวังเป่าเล่อ แต่ความไม่สงบในจิตใจก็ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น หลังจากตามหวังเป่าเล่อทันแล้ว เด็กหนุ่มก็เริ่มประจบประแจงอีกฝ่ายไม่หยุดหย่อน เรียกได้ว่าทุ่มสุดตัวก็ไม่ผิด
หวังเป่าเล่อที่เดินอยู่เบื้องหน้าหันมามองเด็กหนุ่มที่ตามเขามาติดๆ ยิ่งได้ยินถ้อยคำประจบประแจงจากอีกฝ่ายมากเพียงใด ก็ยิ่งแน่ใจว่าเด็กหนุ่มนี่ไม่ใช่องค์ชายแน่นอน หวังเป่าเล่อจึงปั้นหน้าบึ้งตึงขณะที่เดินออกไปจากถ้ำ เมื่อมายืนอยู่บนสะเก็ดดาวและกำลังจะก้าวขึ้นเรือบินรบที่จอดอยู่บนอวกาศ เขาก็หันไปถลึงตาใส่เด็กหนุ่มครั้งหนึ่ง
“เลิกตามข้ามาเสียที!”
“ท่านบิดา โปรดอย่าทิ้งข้าไว้ที่นี่ขอรับ…ข้ามีน้องสาว นางเป็นสตรีรูปงามที่ลือเลื่องไปทั้งอาณาจักรพิภพทมิฬ ข้าจะพานางมาแนะนำให้ท่านรู้จัก ได้โปรดอย่าห่วง หากได้ข้าช่วยเหลือ ท่านต้องจีบนางสำเร็จแน่นอน!” เจ้าหนุ่มยกมือขึ้นตบอกผาง หลังจากที่ประจบประแจงอยู่นานโดยไม่ได้ผล เขาจึงต้องเริ่มใช้วิธีอื่น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับสตรีที่ถูกเสนอตั้งแต่ก่อนจะได้พบหน้ากัน แต่คำพูดของเด็กหนุ่มก็กระตุ้นจินตนาการของหวังเป่าเล่ออยู่เล็กๆ ชายหนุ่มคิดว่า เด็กหนุ่มผู้นี้นิสัยคล้ายเจ้าลาของเขา เป็นประเภทที่หากไม่โดนทุบตีก็จะไม่ฟัง เขาจึงกลอกตาก่อนจะหันมามองเด็กหนุ่มอยู่ไปมา
“หากเจ้าจะพาน้องสาวมาแนะนำให้บิดาของเจ้าคนนี้ได้รู้จัก แล้วหลังจากนั้นเจ้าจะเรียกน้องสาวของตัวเองว่าอย่างไรเล่า”
เจ้าหนุ่มชะงัก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วตอบอย่างรวดเร็วว่า “ท่านบิดา ข้ามีน้าสาวที่สวยสะ บิดาข้าก็เพิ่งจะรับสนมใหม่มาอีกคน นางงดงามเป็นอย่างยิ่ง ข้าจะแนะนำให้ท่านได้รู้จักด้วย! สตรีสามนางจะมาปรนนิบัติท่านพร้อมๆ กันและจะกลายเป็นที่เลื่องลือในระบบดาวเคราะห์อย่างแน่นอน!”
หวังเป่าเล่อถึงกับอับจนถ้อยคำ และกำลังจะโบกมือบอกปัดความคิดของเด็กหนุ่ม แต่เด็กหนุ่มก็ฉลาดเป็นกรด จึงเริ่มทำทีเป็นวิตกกังวล ก่อนจะกวาดสายไปทั่วร่างของหวังเป่าเล่อและวิเคราะห์ความต้องการของชายหนุ่มออกมา พยายามจะเพิ่มค่าของตัวเองในใจของอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อเด็กหนุ่มมองไปยังเรือบินรบที่จอดอยู่บนอวกาศ นัยน์ตาของเขาก็ลุกโชน รีบตะโกนออกมาว่า “ท่านบิดา ข้ามีสูตรหลอมอาวุธเทพอยู่ในความทรงจำ ข้าจะมอบให้ท่าน ได้โปรดรับข้าไปอยู่ด้วยสักระยะหนึ่งเถิด ท่านบิดา!”
เด็กหนุ่มไม่มีท่าทีบีบบังคับแต่อย่างใด กลับกันเขาหยิบคัมภีร์หยกออกมาและเริ่มเขียนสูตร ที่ถือว่าเป็นระดับสูงในอาณาจักรพิภพทมิฬลงไปทันที ก่อนจะยื่นคัมภีร์นั้นมาให้หวังเป่าเล่ออย่างนอบน้อม
เมื่อเห็นกริยาและความมุ่งมั่นตั้งใจของเด็กหนุ่ม หวังเป่าเล่อก็อดหยุดยืนมองไม่ได้ ชายหนุ่มรับคัมภีร์หยกมาก่อนจะตรวจสอบด้วยดวงจิต เขาหรี่ตาลงทันที ภายในชั่วอึดใจ หวังเป่าเล่อก็เงยศีรษะขึ้น มองไปทางเด็กหนุ่มด้วยสายตาลึกล้ำและเริ่มครุ่นคิด
สูตรนี้เป็นสูตรหลอมอาวุธเทพจริงๆ เสียด้วย มันช่างแปลกประหลาดนัก และดูเหมือนจะเป็นวิชาหลอมมากกว่า ด้วยวิชาหลอมนี้ ชายหนุ่มจะสามารถแยกส่วนอาวุธเทพออกมา จากนั้นก็นำไปติดไว้บนอาวุธเทพของศัตรูราวกับเป็นปรสิต ซึ่งจะทำให้สามารถดูดกลืนและขโมยอาวุธเทพมาได้!
มันเป็นวิชาระดับสูง สูงยิ่งกว่าทักษะการหลอมวัตถุเวทใดๆ ที่หวังเป่าเล่อเคยพบพานมาก่อน หลังจากการกวาดตาดูครั้งแรก แม้แต่หวังเป่าเล่อก็เข้าใจสูตรนี้เพียงร้อยละสิบเท่านั้นก็ตาม
หวังเป่ามีความรู้สึกว่าเมื่อใดที่เขาใช้สูตรนี้ได้อย่างชำนาญ ทักษะการหลอมวัตถุเวทของเขาจะพุ่งทะยานไปสู่อีกระดับอย่างแน่นอน ความเป็นจริงข้อนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเต็มตื้น และทำให้เขาเริ่มให้ความสนใจเด็กหนุ่มขึ้นมา หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน หวังเป่าเล่อจึงเอ่ยปากถาม “เจ้าชื่ออะไร”
“สัญลักษณ์ประจำอาณาจักรพิภพทมิฬคือนกแก้ว บิดาข้าจึงตั้งชื่อให้ข้าว่าจี้อู๋จื่อ ท่านเรียกข้าว่าอู๋น้อยก็ได้ขอรับ ท่านบิดา!”
บทที่ 779 ไล่เรียงลำดับชั้น!
“อู๋น้อยรึ” หวังเป่าเล่อเหล่ตามองเด็กหนุ่มในชุดไร้รสนิยมที่เต็มไปด้วยกระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อยส่องแสงวิบวับ พอนึกได้ว่าสัตว์ประจำอาณาจักรของหมอนี่เป็นนกแก้วก็รู้สึกว่าเหมาะสมดีแล้ว และเมื่อพาลนึกไปถึงบิดาของเด็กหนุ่ม หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าช่างเป็นชายที่มีพรสวรรค์ในการตั้งชื่อเหมือนกับตนเสียจริง
เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ หวังเป่าเล่อก็กำลังจะพยักหน้าตอบรับ แต่กลับหรี่ตาลงเสียก่อนและมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง สายตาของเขาในครั้งนี้แตกต่างจากคราวก่อนๆ ทำให้อู๋น้อยรู้สึกเครียดขึ้นมาในทันที ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่าตนเองเผลอปากพล่อยพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
น่าสนใจดี เหตุใดข้าถึงไม่รู้สึกตั้งแต่แรกนะ…ภาษาที่หมอนี่พูดไม่ใช่ทั้งภาษาของสหพันธรัฐและอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ข้ากลับเข้าใจสิ่งที่เจ้านี่พูดได้ แถมยังอ่านเนื้อหาในแผ่นหยกที่เขาให้มารู้เรื่องอีกด้วย! หวังเป่าเล่อหัวใจเต้นแรงอย่างไม่ตั้งตัว เขาก้มลงมองแผ่นหยกในมืออีกครั้ง เมื่อลองดูตัวอักษรทีละตัวก็มั่นใจว่าเป็นภาษาต่างดาวที่ตนเองไม่รู้จักแน่นอน ทว่าแต่ละคำนั้นกลับมีพลังประหลาดบางอย่างที่ทำให้เขาเข้าใจได้ในทันที!
นี่เป็นเรื่องที่ทั้งลึกลับและแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก แต่เรื่องที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งกว่าคือการที่เขาเพิ่งมาตระหนักถึงความแตกต่างด้านภาษาก็ในตอนนี้เอง ราวกับว่าภาษาที่เด็กหนุ่มตรงหน้าพูดมีพลังลึกลับที่ทำให้เขามองข้ามความจริงข้อนี้ไปได้ในตอนแรก
อาณาจักรพิภพทมิฬรึ หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่สักพัก ขณะที่เด็กหนุ่มต่างดาวกำลังมีท่าทีกระสับกระส่าย ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็เอื้อมมือออกไปคว้าตัวอีกฝ่ายเอาไว้ และกระโจนออกสู่ห้วงอวกาศในทันทีเพื่อมุ่งหน้าสู่เรือบินรบของตน
พลังของหวังเป่าเล่อทำให้เขาก้าวเพียงทีเดียวก็เกือบถึงที่หมาย หลังจากที่เขาไปในเรือเรียบร้อย จั่วอี้เซียนที่ถูกกักขังไว้ภายในก็เห็นชายแปลกหน้าที่หวังเป่าเล่อลากมาในทันที
ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย ส่วนหวังเป่าเล่อก็โยนเจ้าอู๋น้อยลงพื้นเรียบร้อย และปล่อยตัวจั่วอี้เซียน
ทันทีที่เป็นอิสระ จั่วอี้เซียนก็ขาอ่อน เขาเซถลาไปด้านหลัง กำลังจะทำความเคารพหวังเป่าเล่อ แต่ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ เขาเอียงคอมองแล้วก็เห็นว่าชายแปลกหน้าที่หลงหนานจื่อนำกลับมาด้วยนั้น กำลังมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอย่างรุนแรง
“นายท่าน นี่คือ…” จั่วอี้เซียนหยุดกลางคัน เมื่อสัมผัสได้ว่าขั้นปราณของอีกฝ่ายเป็นขั้นกำเนิดแก่นในเช่นกัน เขาก็พอเดาออก
“เหมือนเจ้านั่นละ” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเย็นชา เลิกสนใจทั้งสองในทันที เขานั่งขัดสมาธิ ใช้พลังบังคับเรือบินรบให้มุ่งหน้ากลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ขณะคิดถึงอาวุธเทพที่เจ้าอู๋น้อยเพิ่งมอบให้เขา
ขณะที่เรือบินรบกำลังทะยานไปในห้วงอวกาศ เจ้าอู๋น้อยก็เริ่มบิดตัวไปมา เขามองหวังเป่าเล่อที่กำลังหลับตานั่งสมาธิก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เอียงคอไปมองจั่วอี้เซียน
จั่วอี้เซียนเองก็กำลังประเมินเจ้าอู๋น้อยอยู่เช่นกัน เมื่อทั้งสองประสานสายตากัน ประกายความเป็นปฏิปักษ์ก็ฉายชัดขึ้นในแววตาของเจ้าอู๋น้อย ท่ามกลางความงุนงงของจั่วอี้เซียน เขาสะบัดชายแขนเสื้อ กระจกบานเล็กบานน้อยบนร่างกายส่องประกายวิบวับ น้ำเสียงเย็นชา “ไอ้มนุษย์ต่ำต้อย เจ้ากำลังเข้าเฝ้าองค์ชายอยู่นะ เหตุใดจึงยังไม่คุกเข่าลงอีก!”
จั่วอี้เซียนนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก
“ฟังข้าพูดไม่รู้ความรึ ก็ไม่แปลกใจ ดูจากหน้าเจ้าแล้วก็ดูปัญญาทึบอยู่ สมองคงหนาจนใช้การไม่ได้สินะ เจ้าจำเอาไว้แล้วกันนะว่าจากนี้ ท่านบิดาคืออันดับหนึ่ง ข้าคืออันดับสอง ส่วนเจ้าเป็นอันดับสาม เข้าใจหรือไม่” เจ้าอู๋น้อยเชิดคางขึ้น สายตาเต็มเปี่ยมด้วยความเย่อหยิ่ง เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากตัวและโยนไปให้จั่วอี้เซียน
“เอาละ จงมาขัดรองเท้าที่ถักทอมาจากผมสนมทั้งแสนคนของข้าในวาววับเดี๋ยวนี้”
“ไอ้ประสาท!” จั่วอี้เซียนมีปฏิกิริยาตอบโต้ในที่สุด เขาฮึดฮัดฟึดฟัด แววตาวาวโรจน์ด้วยความเกลียดชัง
“บังอาจนัก” เจ้าอู๋น้อยกำลังจะคำรามออกมาด้วยความโกรธ แต่เมื่อนึกได้ว่าหวังเป่าเล่อกำลังทำสมาธิอยู่และจะทำเสียงดังรบกวนไม่ได้ ถ้อยคำที่ควรจะเป็นเสียงคำรามก็แผ่วเบาลง กระนั้นเจ้าอู๋น้อยก็ขยับตัวเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็ว พุ่งตรงเข้าไปหาจั่วอี้เซียนในทันที เมื่อเข้าไปใกล้ก็ยกขาขึ้นเตะอัดไปที่ท้องของอีกฝ่าย
ภาพนี้เหมือนตอนที่หวังเป่าเล่อเตะเขาก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
จั่วอี้เซียนรู้สึกโกรธอย่างประหลาด แค่ต้องมาเป็นสัตว์เลี้ยงในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ทำให้เขาหดหู่คับแค้นใจมากพอแล้ว เมื่อมีชายในชุดงิ้วสติฟั่นเฟือนมาข่มเหงเขาอีก ชายหนุ่มก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขาโต้กลับในทันที ก่อนจะกลายเป็นการต่อสู้กันอย่างดุเดือดพัลวันในเรือบินรบของหวังเป่าเล่อ
ทั้งสองเกรงกลัวหวังเป่าเล่อมาก จึงไม่กล้าหยิบสมบัติเวทหรือนำกระบวนเวทออกมาใช้ ได้แต่อัดพลังปราณเข้าไปในแขนขาของตนเองเพื่อใช้ต่อยตีแทน ทั้งสองดูมีกำลังกายสูสีกัน แต่จั่วอี้เซียนก็ตกเป็นรองอย่างรวดเร็ว แม้แต่หวังเป่าเล่อเองยังคิดว่าความทนทานแรงโจมตีของร่างกายเจ้าอู๋น้อยนั้นยอดเยี่ยม แล้วนับประสาอะไรกับจั่วอี้เซียนเล่า แม้การโจมตีของเขาจะไม่ได้เบาเหมือนจักจี้ แต่ก็ยังเบากว่าหวังเป่าเล่อมากนัก
ภายในสิบวินาที จั่วอี้เซียนก็กลายเป็นฝ่ายถูกอัดอย่างรวดเร็ว เจ้าอู๋น้อยกระโจนกดร่างของชายหนุ่มไว้กับพื้น เสียงการต่อสู้คำรามขู่ดิ้นรนต่อยตีกันของทั้งสองดังขึ้นเรื่อยๆ จนหวังเป่าเล่อรู้สึกตัว เขาลืมตาขึ้นมุ่นคิ้วมองนักมวยทั้งสอง
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เมื่อเห็นว่าสีหน้าของจั่วอี้เซียนเปลี่ยนไป หวังเป่าเล่อก็พูดปรามขึ้นมา เจ้าอู๋น้อยถอยทันทีที่ได้ยิน ใบหน้าเปลี่ยนเป็นอาการประจบเอาใจ เขารีบพูดโพล่งขึ้นในทันที
“ท่านบิดา ข้าผิดเองขอรับ!”
จั่วอี้เซียนก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน ใบหน้าบวมปูดทำให้เขาดูน่าสมเพชกว่าเดิม ความโกรธที่สุมอยู่ในใจรุนแรงจนแทบระเบิดได้กระทั่งท้องฟ้า แต่ก็ไม่กล้าขวางหูขวางตาหลงหนานจื่อ จึงทำได้เพียงพูดเสียงแผ่วเท่านั้น
“นายท่าน ไอ้นี่เริ่มก่อนขอรับ”
หวังเป่าเล่อหลับตาลง เลิกสนใจทั้งสอง จิตใจคิดถึงแต่สูตรการหลอมอาวุธเทพที่เจ้าอู๋น้อยมอบให้เขาเท่านั้น เขาเข้าใจมันมากขึ้น และรู้สึกว่าสูตรนี้สามารถนำไปใช้หลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแปดได้ ทั้งยังคิดวิธีพลิกแพลงเอาไว้สองสามวิธีด้วยกัน ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงไม่รู้ว่าหลังจากที่หลับตาลงอีกครั้ง เจ้าอู๋น้อยก็มีสีหน้าพอใจคำที่ตนเองเลือกใช้เรียกหวังเป่าเล่อ จนเอ่ยทับถมจั่วอี้เซียนออกมา
“ข้าเรียกเขาว่าบิดา เจ้าเรียกเพียงนายท่านเท่านั้น ยังไม่เห็นอีกหรือว่าใครเหนือกว่าใคร”
“ไอ้ประสาท!” จั่วอี้เซียนพยายามสะกดความโกรธของตนเองเอาไว้ เขาเกลียดเจ้าอู๋น้อยมาก จึงเดินไปนั่งที่มุมหนึ่งของยานแล้วเลิกสนใจอีกฝ่าย เวลาเดินหน้าผ่านไปอย่างเชื่องช้า โดยมีเจ้าอู๋น้อยยั่วยุกวนประสาทจั่วอี้เซียนไปตลอดทาง
เรือบินรบซึ่งกำลังเดินทางกลับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เข้ามาในอาณาเขตที่ควบคุมโดยสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะลงจอดบนดวงจันทร์บริวารที่เป็นของกองทหารวิหคน้ำแข็ง ข้างดาวเคราะห์มหาทัณฑ์
ทันทีที่กลับมาถึง หวังเป่าเล่อก็รีบกลับถ้ำที่พัก และเตรียมตัวปลีกวิเวกเพื่อทดสอบทฤษฎีเกี่ยวกับสูตรหลอมอาวุธเทพที่คิดได้ก่อนหน้านี้ เขารู้สึกว่าหากตนเองหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาด้วยวิธีที่คิดไว้ ก็น่าจะเสริมพลังเป็นระดับแปดได้สำเร็จอย่างง่ายดาย และอาจได้ผลลัพธ์ที่สูงกว่าระดับแปดเสียด้วยซ้ำ
ความคิดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเป็นอันมาก หลังจากที่จัดแจงให้จั่วอี้เซียนและเจ้าอู๋น้อยเฝ้ายามประตูเอาไว้แล้ว เขาก็เริ่มการทดลองในทันที
ทว่า…หวังเป่าเล่อที่กำลังสาละวนอยู่กับการวิจัยก็หัวเสียอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก…พอไม่มีเขาคอยเฝ้ามอง ข้ารับใช้ทั้งสองก็เริ่มทะเลาะกันเองอยู่ตรงหน้าประตูราวกับเป็นลิ้นกับฟัน เสียงครึกโครมจากการวางมวยของทั้งสองดังลั่นไปทั่ว ทำให้ผู้ฝึกตนจากกองทหารวิหคน้ำแข็งที่ผ่านไปผ่านมาหันมาสนใจ พวกนางวิพากษ์วิจารณ์การต่อสู้อย่างออกรสออกชาติ เหมือนดูสุนัขกัดกัน
เสียงดังอึกทึกนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหงุดหงิดมาก เขาเรียกเจ้าลาที่กำลังวิ่งเริงร่าอยู่ที่ไหนสักแห่งกลับมา และสั่งให้มันเฝ้าสองคนนั้นเอาไว้ ทั้งยังปรามไม่ให้มันเปิดเผยตัวตนอีกด้วย
วิธีนี้ได้ผลชะงัด เจ้าลาที่กำลังเล่นอย่างสนุกสนานอยู่ดูจะอารมณ์เสียเพราะถูกขัดจังหวะ แม้มันจะเห็นจั่วอี้เซียนที่เป็นคนคุ้นเคย ก็ยังไม่สามารถทำให้มันอารมณ์ดีขึ้นได้ ทุกครั้งที่จั่วอี้เซียนขยับตัวจากการยืนเฝ้าหน้าปากประตู มันจะร้องฮี้ออกมาพร้อมยิงฟันขู่ ก่อนหันไปกัดก้อนหินข้างหลังกินด้วยเสียงดังน่ากลัว
เจ้าลารำคาญเจ้าอู๋น้อยผู้ที่เป็นคนแปลกหน้าเสียยิ่งกว่า โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินเจ้าอู๋น้อยเรียกหวังเป่าเล่อว่าบิดา ซึ่งทำให้มันรู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอันมาก ทุกครั้งที่เจ้าอู๋น้อยขยับตัว มันไม่ได้หันไปขู่ด้วยการกินหิน แต่จะเลียริมฝีปากตนเองขณะมองจ้องเด็กหนุ่มแทน
ท่าทีนี้ทำให้เจ้าอู๋น้อยรู้สึกเครียดขึงเป็นอันมาก แต่เจ้าอู๋น้อยคุ้นเคยกับการพะเน้าพะนอเอาใจผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเป็นอย่างดี เขาจึงเลิกตีกับจั่วอี้เซียนและหันมาประจบประแจงเจ้าลาแทน เด็กหนุ่มเริ่มเรียกเจ้าลาว่านายท่านคนที่สอง และยังคอยนวดเฟ้นให้มันอีกด้วย การกระทำนี้ทำให้เจ้าลาส่งเสียงร้องฮี้ให้เจ้าอู๋น้อยอย่างเป็นมิตรมากขึ้น
จั่วอี้เซียนกลับเป็นฝ่ายที่รู้สึกสยองถึงขีดสุด เขากลัวความโหดร้ายของเจ้าลา แต่ก็ยังรู้สึกว่าเจ้าลาดูคุ้นตามากเหลือเกิน เหมือนสัตว์เลี้ยงของชายในความทรงจำที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำไม่มีผิด
แต่สัญชาตญาณก็บอกเขาว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงคิดว่าในอารยธรรมการฝึกตนนั้นคงมีอสูรร้ายที่หน้าตาเหมือนกันเต็มไปหมด
ขณะที่ทาสรับใช้ทั้งสองกำลังทำความคุ้นเคยกับเจ้าลาอยู่นั้น เวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน หวังเป่าเล่อที่ถือสันโดษอยู่ในถ้ำที่พัก แม้จะมีใบหน้าซีดเซียวตาโหลจากการตรากตรำทำวิจัยอย่างหนักเป็นเวลานาน แต่ดวงตากลับเป็นประกายแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ผ่านไป
การหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแปด…ใกล้ความจริงแล้ว!
บทที่ 780 ยังไม่สำนึกบุญคุณอีกรึ
โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเป็นสมบัติเวทที่เหมาะกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะภายใต้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ระดับที่มากขึ้นแปรผันตรงกับความแข็งแกร่งของโล่ด้วยเช่นกัน เมื่อหลอมไปจนถึงระดับแปดแล้ว ก็จะสามารถปกป้องและสะท้อนการโจมตีกลับของทั้งพลังเทพและพลังเวทได้ถึงร้อยละ 40 ถือเป็นสมบัติล้ำค่าภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เลยทีเดียว
แม้การหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับต้นๆ จะทำได้ง่าย แต่ยิ่งระดับสูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งหลอมยากขึ้นเท่านั้น แม้แต่ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เอง ก็ยังมีไม่ถึงสิบคนที่สามารถหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจนถึงระดับแปดได้!
ดังนั้น…ถึงแม้โล่นี้จะพบได้ทุกหนแห่ง และเป็นสิ่งของที่แลกเปลี่ยนกันทั่วไปภายในสำนัก แต่ส่วนใหญ่แล้วระดับของมันก็อยู่ที่ระดับสามหรือสี่เท่านั้น แค่เพียงระดับสามและสี่ก็ถือว่าเป็นสมบัติเวทสำหรับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณแล้ว ส่วนโล่ที่มีระดับความแข็งแกร่งระดับห้าขึ้นไปนั้นถือว่าหาได้ยากยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทคนอื่นๆ ในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็คิดเช่นเดียวกับตอนที่หวังเป่าเล่อเห็นโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเป็นครั้งแรก ว่าโล่นี้น่าจะสามารถเสริมพลังให้สูงกว่าระดับแปดได้ โดยอาจพัฒนาไปได้ถึงระดับเก้า สิบ หรือมากกว่านั้นก็เป็นได้!
หลายคนมุ่งมั่นกับการค้นคว้าเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดนี้ไปให้ได้ หากทำสำเร็จแล้วละก็ ทั้งสถานะทางสังคมและการงานในสำนัก ย่อมก้าวหน้าไปจนถึงขั้นที่ไม่มีผู้ใดจะมาแทนที่ได้เลยทีเดียว!
แต่ยิ่งค้นคว้าไปไกลเท่าใด ก็ยิ่งพบว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกานั้นหลอมยากมากขึ้นเป็นเงาตามตัว จนถึงตอนนี้ ระดับการเสริมพลังสูงสุดของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาอยู่เพียงระดับแปดเท่านั้น ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อเสริมพลังโล่ได้ถึงระดับเจ็ด แต่ทฤษฎีและวิธีการหลอมที่ได้มาจากสูตรอาวุธเทพของเจ้าอู๋น้อย ทำให้เขาคิดการใหญ่ขึ้นมา
ชายหนุ่มได้รับความรู้มากมายจากการพยายามอ่านสูตร แม้เขาจะนำสูตรทั้งหมดมาใช้หลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถดึงเคล็ดลับบางส่วนมาใช้งานได้ การใช้สูตรจากอาณาจักรพิภพทมิฬนั้น เรียกได้ว่าเป็นทั้งการยืมและการคิดค้นสูตรลับเฉพาะตัวของหวังเป่าเล่อก็ว่าได้ ถือเป็นความดึงดันถึงสุดขีดที่จะบรรลุผลของชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อเดินหน้าหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาด้วยการสลักอักขระลงไปชั้นแล้วชั้นเล่า ซึ่งเรียกว่าการซ้อนอักขระนั่นเอง!
การสลักอักขราจารึกลงไปเป็นชั้นๆ นั้นทำเพื่อสองอย่าง อย่างแรกคือเพื่อสนองความคิดของหวังเป่าเล่อที่ว่า ในเมื่อระดับเจ็ดไม่เพียงพอต่อการใช้งาน เขาก็ต้องรวบรวม สลัก และซ้อนอักขราจารึกลงบนโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดของตนเองไปเป็นชั้นๆ เพื่อเพิ่มพลังให้โล่ตามทฤษฎี
เขาไม่ได้คิดสิ่งนี้ขึ้นเอง ความจริงแล้วผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ก็มีความคิดแบบเดียวกัน กระนั้นการจะทำสิ่งนี้ได้ก็ต้องจัดการปัญหาถึงสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือต้องดูให้แน่ใจว่าโล่จะทนต่อจำนวนอักขราจารึกที่เพิ่มขึ้นได้ และจะไม่แตกสลายลงเนื่องจากแบกรับพลังจำนวนมากเอาไว้ไม่ไหว ส่วนปัญหาที่สองคือการสร้างจำนวนอักขราจารึกที่ไม่ซ้ำกันให้มากพอที่จะสลักลงไปได้ เนื่องจากทุกสิ่งย่อมมีข้อจำกัดเสมอ
ปัญหาทั้งสองนี้เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ขวางกั้นการใช้วิธีซ้อนอักขระ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวททำได้เพียงนั่งคิดและถอนหายใจเพราะไม่สามารถเอาชนะอุปสรรคทั้งสองไปได้
แต่วิธีที่หวังเป่าเล่อคิดได้นั้นคือการใช้วิธีการซ้อนอักขระรูปแบบที่สอง เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากการถอดชิ้นส่วนและฝากปรสิตที่ระบุไว้ในสูตรอาวุธเทพจากอาณาจักรพิภพทมิฬเข้าไป เขาใช้สองวิธีนี้ในการผูกโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดหลายชิ้นเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเป็นวงแหวนที่ใกล้เคียงวงแหวนปราณ!
แม้วงแหวนนี้จะดูไม่สมประกอบ แต่ทันทีที่รับการโจมตี มันจะสร้างพลังต้านกลับที่เท่าเทียมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแปดเลยทีเดียว!
แม้สถานะที่ว่านี้จะไม่จีรังยั่งยืน แต่ข้อดีของวิธีนี้ก็มีอยู่มาก พลังป้องกันนี้เกิดจากการนำโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาหลายชิ้นมาซ้อนกัน เพื่อกระจายพลังการโจมตีให้โล่ทุกชิ้นโดยทั่วกัน ซึ่งนอกจากจะก่อกำเนิดเป็นพลังป้องกันที่ทำลายได้ยากแล้ว ระดับการป้องกันก็อาจจะมากกว่าร้อยละ 40 เลยทีเดียว!
ถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาในรูปแบบหนึ่ง จนอาจตั้งชื่อใหม่ให้อาวุธนี้ได้เลยด้วยซ้ำ เมื่อข่าวเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป ทั้งสำนักจะต้องตกใจอย่างแน่นอน!
แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจอย่างอื่นแม้แต่น้อยในตอนนี้ เขาหมกมุ่นอยู่กับการซ้อนอักขระและการผูกโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดเข้าด้วยกัน แม้แต่ตอนที่ได้รับข้อความจากเทพธิดาหลิงโยว เขาก็ตอบเพียงสั้นๆ และไม่ได้ใส่ใจมันมากนัก ยิ่งกับข้อความขอซื้อจั่วอี้เซียนจากผู้ฝึกตนหญิงอีกคนซึ่งอ้างว่าเป็นน้องสาวของเทพธิดาหลิงโยวยิ่งแล้วใหญ่
สำหรับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ หวังเป่าเล่อจะเมินทันที ความหมกมุ่นตัดขาดจากโลกภายนอกเช่นนี้ อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้หวังเป่าเล่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทระดับสูงเฉกเช่นทุกวันนี้ก็เป็นได้
หลายวันต่อมา เมื่อชายหนุ่มผูกโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดสิบชิ้นเข้าด้วยกันได้สำเร็จ สิ่งประดิษฐ์ของเขาก็มีพลังเทียบเท่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแปดในที่สุด!
แต่เขาไม่หยุดเพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อหมกมุ่นถึงขีดสุดกับการหลอมอาวุธเวทชนิดนี้ เขามองโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเบื้องหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำจากการอดนอน พูดพึมพำศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการคำนวณซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ ครู่หนึ่งก็ยกมือขวาขึ้นโบก และเริ่มหลอมใหม่อีกครั้ง
คราวนี้เขาตั้งใจจะผูกโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดร้อยชิ้นเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างโล่ระดับเก้าซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน!
เมื่อการสร้างโล่ระดับเก้าเสร็จสมบูรณ์ หวังเป่าเล่อที่กำลังลิงโลดกับความสำเร็จของตนเองก็ได้รับข้อความจากน้องสาวของเทพธิดาหลิงโยวอีกครั้ง เสียงของนางคราวนี้ดูไม่เป็นมิตรเป็นอย่างมาก นางยืนยันที่จะขอซื้อจั่วอี้เซียนต่อจากเขา
ซื้อจั่วอี้เซียนรึ หวังเป่าเล่อไม่ได้อ่านข้อความอย่างละเอียดด้วยซ้ำ แต่ก็บอกปัดไปในทันที หลังจากนั้นจิตใจของเขาก็จดจ่ออยู่กับการสร้างโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบ
คราวนี้เขาต้องใช้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจำนวนมาก ชายหนุ่มจึงต้องขายเรือบินรบทำลายตนเองของเขาให้กองทหารวิหคน้ำแข็ง และใช้กำไรที่ได้ซื้อวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้
หวังเป่าเล่อหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดออกมา 500 ชิ้นด้วยกัน จากนั้นก็หลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบซึ่งฉีกทุกกฎเกณฑ์ขึ้นมาได้สำเร็จ!
โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบที่ไม่เคยมีมาก่อน มีพลังต้านการโจมตีถึงร้อยละ 80 เนื่องจากหลอมโดยใช้วิธีการซึ่งแตกต่างไปจากปกติ มันจึงสามารถสะท้อนทั้งพลังเทพและพลังเวทกลับไปใส่ศัตรูได้ถึงร้อยละ 80 ของพลังการโจมตีที่ได้รับมาเลยทีเดียว!
เพียงเท่านี้ก็ถือว่าน่ากลัวมากแล้ว แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ…หวังเป่าเล่อที่ยังไม่พอใจในผลงานของตนเอง!
ยังอ่อนแอเกินไป!
ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงขายทุกอย่างที่ตนเองมีเท่าที่จะขายได้ และสร้างโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดออกมาถึง 2,000 ชิ้น!
ชายหนุ่มผูกโล่ทั้งหมดเข้าด้วยกัน จนกลายเป็น…โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบสอง!
พลังสะท้อนการโจมตีของโล่นี้สูงเกิดขีดจำกัดไปถึงร้อยละ 20 เลยทีเดียว!
กล่าวโดยสรุปคือ…สำหรับสมบัติเวทที่มีคุณสมบัติคล้ายอาวุธเทพนี้ หากคู่ต่อสู้ไม่ได้ปล่อยพลังการโจมตีเต็มร้อยก็จะไม่เป็นไร แต่หากอีกฝ่ายระเบิดพลังใส่โล่เต็มที่แล้วละก็… คนผู้นั้นจะได้รู้ซึ้งถึงรสชาติของการตีแสกหน้าตนเองในทันที!
และหากผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทคนอื่นของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้มาเห็นสิ่งที่สร้างขึ้นใหม่นี้กับตาตนเอง พวกเขาต้องรู้สึกตกใจกับความประหลาดของมันเป็นแน่… โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเป็นสมบัติเวทที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่เมื่อหวังเป่าเล่อนำมาดัดแปลง โล่นี้ก็กลายเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติไปในทันที
แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นแม้แต่น้อย ซ้ำยังคิดไปว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาชิ้นนี้ยังลึกลับไม่พอ เขาคิดอยู่สักพัก แล้วจึงปล่อยให้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดเพียงชิ้นเดียวลอยวนอยู่รอบกาย ชายหนุ่มใช้ประโยชน์จากร่างอวตารของตนในการซ่อนโล่ที่เหลืออีกทั้ง 1,999 ชิ้นไว้ภายในกายตนเพื่อไม่ให้เตะตาผู้อื่น
ทันทีที่ซ่อนโล่ทั้งหมดได้สำเร็จ เขาก็พึงพอใจในผลงานของตนเองได้เสียที แต่ขณะที่กำลังจะเริ่มหลอมระดับสิบสามนั้นเอง เรื่องน่าเศร้าก็ชิงเกิดขึ้นเสียก่อน เขา…เงินหมด
ในตอนนั้นเองผู้ฝึกตนหญิงหัวรั้นที่ดึงดันจะซื้อจั่วอี้เซียนไปให้ได้ก็ส่งข้อความมาหาเขาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“หลงหนานจื่อ ข้าอยู่นอกบ้านเจ้า วันนี้ข้าจะต้องซื้อสัตว์เลี้ยงตัวนี้กลับไปให้ได้!”
หลังจากฟังเสียงตามสายที่เกรี้ยวกราด หวังเป่าเล่อก็รู้สึกประหลาดขึ้นอีก เขาไม่ได้เดินออกจากบ้านในทันที แต่ส่งจิตของตนเองผ่านเจ้าลาเพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก หลังจากที่พูดคุยกับเจ้าลาเรียบร้อย สีหน้าของเขาก็ปุเลี่ยนขึ้นอีก
สตรีที่อยากซื้อจั่วอี้เซียนเป็นหนึ่งในผู้ที่มาดูจั่วอี้เซียนและเจ้าอู๋น้อยต่อสู้กัน หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้นางอยากได้จั่วอี้เซียนถึงเพียงนี้ แต่นางมาที่หน้าบ้านหวังเป่าเล่อหลายรอบแล้ว ทุกครั้งที่มานางจะเอาอาหารมาให้จั่วอี้เซียนเสมอ อาจเป็นเพราะคิดว่าหวังเป่าเล่อไม่ดูแลเอาใจใส่สัตว์เลี้ยงของตนก็เป็นได้ จึงทำให้นางต้องการซื้อจั่วอี้เซียนไปดูแลเอง
หรือว่าการที่โดนข้าปฏิเสธไปหลายที ทำให้นางอยากได้มากขึ้นกันนะ หวังเป่าเล่อเกาคางตนเอง หรี่ตาลงครุ่นคิด เขาส่งกระแสจิตของตนเองออกไปอีกครั้ง และเห็นสตรีผู้นั้นกำลังลูบศีรษะจั่วอี้เซียนด้วยความรัก และพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่ต้องกังวลไปนะ ข้าจะต้องพาเจ้ากลับไปด้วยให้ได้เลยในคราวนี้ ไอ้หลงหนานจื่อนี่จิตใจโหดร้ายเสียจริง ช่างไม่มีความเมตตาแม้แต่น้อย แล้วเจ้าละ…เจ้าชื่อเจ้าอู๋น้อยใช่หรือไม่ ข้าซื้อเจ้าด้วยก็ได้นะ เจ้าอยากไปกับข้าไหม”
เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าอู๋น้อยที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งก็อ้าปากหาวหวอด สีหน้าดูไม่สนใจแม้แต่น้อย ก่อนจะเอ่ยปากปฏิเสธนางไป
แต่จั่วอี้เซียนกลับพยักหน้าเบาๆ ตอบรับ เมื่อเห็นฉากนี้หวังเป่าเล่อก็เลิกคิ้วขึ้นและตั้งใจดูภาพตรงหน้าอีกครั้ง เขาเห็นความซาบซึ้งใจและความต้องการในแววตาของจั่วอี้เซียน ซึ่งทำให้หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง
ด้วยความที่เคยเป็นเจ้าพนักงานระดับสูงในสหพันธรัฐ ทำให้หวังเป่าเล่อมองคนออกในระดับหนึ่ง ชายหนุ่มรู้ได้ว่าความรู้สึกในแววตาของจั่วอี้เซียนมากกว่าครึ่งนั้นเป็นความรู้สึกที่แท้จริง และด้วยความที่เขารู้จักจั่วอี้เซียนดี หวังเป่าเล่อจึงรู้ว่าหมอนี่เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงไม่น้อย
ไม่สำนึกบุญคุณข้ารึ คิดว่าแม่นางคนนี้ดีกว่าข้าเช่นนั้นรึ ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจลึกๆ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย จั่วอี้เซียนเห็นแววตาของแม่นางคนนี้ และคิดคำนวณถึงข้อดีข้อเสียของการย้ายไปอยู่กับนางในใจ เขาคิดว่าแม้หวังเป่าเล่อจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่สถานะทางสังคมของเขาก็ยังเทียบกับน้องสาวของผู้บัญชาการกองทหารไม่ได้
แต่แม้จะตอบตกลงในใจไปแล้วพันรอบ เขาก็ยังกลัวหวังเป่าเล่ออยู่มาก จึงทำได้เพียงบุ้ยใบ้ให้นางไปเจรจากับหวังเป่าเล่อเท่านั้น
บทที่ 781 ปักษา จงผงาด!
แม้หวังเป่าเล่อจะไม่รู้ว่าจั่วอี้เซียนคิดสิ่งใดอยู่โดยละเอียด แต่ก็พอเดาได้เป็นส่วนๆ เมื่อนำการวิเคราะห์นั้นมารวมกับนิสัยจั่วอี้เซียนที่เขารู้ดีอยู่แล้ว ชายหนุ่มก็พอคาดการณ์ได้ในใจ
เขาหรี่ตาครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนประกาศ “ข้าไม่ขาย!”
เสียงของเขาดังออกมาจากถ้ำที่พัก ลอยไปเข้าหูสามคนและหนึ่งลาที่อยู่ข้างนอก หูของเจ้าลากระตุก แววตาของเจ้าอู๋น้อยสว่างวาบ มีเพียงจั่วอี้เซียนแล้วผู้ฝึกตนหญิงเท่านั้นที่สีหน้าเปลี่ยน
จั่วอี้เซียนดูกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ส่วนน้องสาวเทพธิดาหลิงโยวเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางมุ่นคิ้วจ้องประตูถ้ำ น้ำเสียงเย็นเยียบ
“สหายเต๋าหลงหนานจื่อ ข้าชอบสัตว์เลี้ยงของเจ้ามาก โปรดขายให้ข้าเถิด ข้าขอแลกด้วยผลดวงใจน้ำแข็งหนึ่งผล!”
เมื่อหวังเป่าเล่อซึ่งสังเกตการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกมาตลอดได้ยินคำว่าผลดวงใจน้ำแข็ง ดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อย เมื่อหลายวันก่อนตอนที่เขาซื้อวัตถุดิบ เขาไปเห็นเจ้าผลนี่เข้า ซึ่งมีเฉพาะในอาณาเขตของกองทหารวิหคน้ำแข็งเท่านั้น
ต้นของผลไม้ชนิดนี้มาจากอารยธรรมต่างดาว หลังจากที่กองทหารวิหคน้ำแข็งไปปล้นทำลายอารยธรรมต้นกำเนิดของต้นไม้นี้เรียบร้อย พวกเขาก็นำต้นกลับมาปลูกที่บริเวณต้องห้ามของอาณาเขต ต้นไม้นี้จะออกผลทุกร้อยปี ครั้งละราวร้อยผล ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่น้อยและไม่เยอะเกินไป จึงทำให้ราคาของแต่ละผลนั้นแพงเอาเรื่องเลยทีเดียว เมื่อใส่ผลไม้ชนิดนี้เข้าไปในโอสถก็จะช่วยเพิ่มฤทธิ์ของยาได้
หากกินโดยตรง ก็จะมีฤทธิ์ทำให้พลังปราณของผู้ที่กินเสถียรขึ้น ด้วยความที่ผลดวงใจน้ำแข็งนั้นหายากมาก หวังเป่าเล่อจึงสนใจมันเช่นกัน
“ข้าเลี้ยงเจ้าตัวนี้มานาน เราทนแยกจากกันมิได้หรอก ดังนั้น…ลืมไปเสียเถิดนะ” หลังจากผ่านไปสักพัก เสียงถอนใจยาวของหวังเป่าเล่อก็ลอยออกมาจากถ้ำที่พัก เมื่อประโยคนั้นเข้าหูเจ้าลา มันก็ส่งเสียงร้องฮี้ดีใจออกมาทันที เจ้าอู๋น้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบเดินเข้าไปจัดขนมันให้เรียบด้วยดวงตากระตือรือร้นอย่างประหลาด
ส่วนจั่วอี้เซียนนั้นเดือดดาลเป็นอันมาก หากไม่กลัวจนไม่กล้าพูด เขาคงบอกผู้ฝึกตนหญิงข้างกายเป็นแน่ ว่าหลงหนานจื่อเพิ่งซื้อเขามาไม่นาน และยินยอมพร้อมใจจะจากเขาไปอย่างแน่นอน
“ผลดวงใจน้ำแข็งสองผล!” น้องสาวของเทพธิดาหลิงโยวเลิกคิ้วขึ้น ต่อให้นางรู้ว่าหวังเป่าเล่อโกหก ก็ยังขี้เกียจเกินกว่าจะเถียงด้วย จึงเลือกเพิ่มมูลค่าการแลกเปลี่ยนแทน
ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกาย เขายังคงพูดต่อไปโดยไม่พยายามซ่อนเสียงลมหายใจเข้าที่เจือความตื่นเต้นแม้แต่น้อย
“แต่ว่า…ข้าใช้เงินกับเจ้านี่ไปมาก ข้าซื้ออาหารชั้นดีให้มันกินทุกวัน จนทำให้หน้าตาของมันหล่อเหลาเอาการ ซึ่งความหน้าตาดีของสัตว์เลี้ยงข้านี้ไม่เกี่ยวกับราคาอย่างแน่นอน แต่เป็นสายสัมพันธ์ฉันเจ้าของสัตว์เลี้ยงของเราต่างหากที่…”
“สี่ผล!” ผู้ฝึกตนหญิงเริ่มรำคาญเล็กน้อย
“สายสัมพันธ์ของเรานั้น…”
“สิบผล หลงหนานจื่อ แค่นี้ก็แพงมากเกินพอแล้ว หากเจ้ายังไม่ยอมขาย ก็อย่าหวังว่าจะได้ไปจากข้าแม้แต่ผลเดียวเลย!” นางพูดขัดหวังเป่าเล่อด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด พร้อมด้วยกลิ่นอายการข่มขู่
หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นระรัว เขาพยักหน้าตกลงไปล้านรอบแล้วในใจ แต่เพื่อให้การแลกเปลี่ยนเป็นไปอย่างไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ เขาก็ทำทีเหมือนคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตอบตกลงด้วยน้ำเสียงลังเลใจ
เมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อตอบตกลง จั่วอี้เซียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ภายใน ขณะที่เขากำลังแอบเนื้อเต้นอยู่คนเดียวนั้น ผู้ฝึกตนหญิงก็รีบสรุปการแลกเปลี่ยนกับหวังเป่าเล่อ จ่ายค่าสัตว์เลี้ยง และพาชายหนุ่มจากไป
เจ้าอู๋น้อยที่ยืนมองการแลกเปลี่ยนอยู่ด้วยตาของตนเองนั้น เดินไปยังที่ที่จั่วอี้เซียนยืนอยู่เมื่อครู่ ก่อนถ่มน้ำลายลงบนพื้นด้วยสีหน้ารังเกียจถึงขีดสุด
“ไอ้สมองหน้าปัญญาควาย ได้อยู่กับท่านบิดาก็ดีแค่ไหนแล้ว ถึงพวกเราจะแค่ทำหน้าที่เฝ้าประตู แต่อย่างน้อยท่านบิดาก็ปฏิบัติกับมันเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติกันข้า แต่ตอนนี้มันกลับลอยหน้าไปเป็นสัตว์เลี้ยงคนอื่นเสียแล้ว โง่เป็นบ้า ท่านเห็นด้วยกับข้าหรือไม่ นายท่านคนที่สอง” ขณะที่พูดเขาก็ยังไม่วายจัดขนเจ้าลาไปด้วย
ดูเหมือนความสามารถในการจัดขนของเขาจะดีเยี่ยม เจ้าลารู้สึกสบายจนถึงกับส่ายหางเล็กน้อย พร้อมส่งเสียงร้องฮี้แสดงความเห็นด้วย
หวังเป่าเล่อไม่สนใจปาหี่ที่หน้าถ้ำตนเองแม้แต่น้อย เขาเก็บผลดวงใจน้ำแข็งเอาไว้หนึ่งผล และขายเก้าผลที่เหลือไปทั้งหมดเพื่อแลกเป็นวัตถุดิบจำนวนมาก จากนั้นก็เริ่มหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบสามทันที
ด้วยกระบวนการหลอมที่เคยใช้ หวังเป่าเล่อจึงใช้เวลาไม่นานก็บรรลุระดับสิบสาม พลังสะท้อนกลับของโล่เพิ่มเป็นร้อยละ 130 ซึ่งทำให้มูลค่าของมันพุ่งสูงขึ้นด้วย
แต่ชายหนุ่มไม่หยุดเพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อรวบรวมทรัพยากรที่จำเป็นอีกครั้ง และบรรลุความสำเร็จครั้งใหญ่เพราะสามารถเสริมพลังโล่จากระดับสิบสามไปเป็นระดับสิบเจ็ดได้!
โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบเจ็ดสร้างมาจากการผูกโล่ระดับเจ็ด 20,000 ชิ้นเข้าด้วยกัน พลังสะท้อนกลับคือร้อยละ 170 แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะยังต้องระวังหากเผชิญหน้ากับโล่นี้เพราะเป็นไปได้ที่จะได้รับผลสะท้อนกลับซึ่งเป็นอันตรายมหาศาล
นั่นเพราะโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของหวังเป่าเล่อเก็บซ่อนความสามารถที่แท้จริงเอาไว้ภายใน หากดูจากภายนอก โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่ลอยวนอยู่รอบกายเขาหน้าตาดูเหมือนระดับสาม แต่ในความจริงแล้วมันคือโล่ระดับเจ็ด ดังนั้นใครที่ไม่ระวังตัวอาจพลาดจนถึงแก่ความตายได้
ทว่าหลังจากที่หลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกามาได้ถึงขั้นนี้ หวังเป่าเล่อก็ยังไม่พอใจในผลงาน ยิ่งหลอมมากเท่าไหร่ จิตใจของเขายิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้นเท่านั้น หลังจากวิเคราะห์อยู่สักพัก เขาก็คิดได้ว่าปัญหาอยู่ที่การซ้อนอักขระ แม้วิธีการนี้จะเพิ่มระดับของโล่ได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่
ขีดจำกัดของมันอยู่ที่ระดับสิบแปด หากคิดจะเดินหน้าเพิ่มระดับของมันต่อไป…ข้าต้องเปลี่ยนวิธีการ! หวังเป่าเล่อถอนหายใจและนวดหน้าผากตนเอง หลังจากพักสักครู่ เขาก็คิดต่อ จนเวลาผ่านไปสามวันเต็ม
สามวันต่อมา เมื่อหวังเป่าเล่อเริ่มได้แรงบันดาลใจจากการคิดวิเคราะห์อย่างหนัก เขาก็ได้รับคำสั่งให้ผู้ฝึกตนแห่งกองทหารวิหคน้ำแข็งทุกคนไปรวมตัวกันที่ลานสาธารณะ คำสั่งนั้นระบุชัดเจนว่ากองทหารอันดับที่สิบเอ็ด ท้ากองทหารวิหคน้ำแข็งประลอง!
คำสั่งดังกล่าวทำให้การคิดวิเคราะห์ของหวังเป่าเล่อถูกขัดจังหวะ เขาขมวดคิ้วและตัดสินใจไม่ไปตามคำสั่ง ทว่า…คำสั่งที่สอง สาม และสี่ก็ตามมาอย่างรวดเร็ว
“กองทหารอันดับที่ห้า หก และเจ็ด จะให้การช่วยเหลือกองทหารที่สิบเอ็ด พวกเขาจะมาถึงในอีกหกชั่วโมง!”
“การประลองระหว่างสองกองทหารจะเกิดขึ้นภายในหกชั่วโมงนับจากนี้!”
ประกาศนี้มาพร้อมการเรียกระดมพลทหารทั้งกองทัพ และยังมีภารกิจส่งมาถึงหวังเป่าเล่อด้วย เขาถูกส่งไปที่ชายแดนเพื่อช่วยสหายซ่อมแซมวัตถุเวทของกองทหารตามคำสั่ง
ในตอนเดียวกันนั้น เสียงประกาศของเทพธิดาหลิงโยวก็ดังไปทั่วกองทหาร นางบอกให้ผู้ฝึกตนภายใต้สังกัดกองทหารวิหคน้ำแข็งทุกคนเตรียมรับมือการประลองกับกองทหารอันดับที่สิบเอ็ด และกองทหารอันดับแปดและเก้าจะมาช่วยพวกเขาในการประลองในฐานะพันธมิตร
ประกาศเหล่านี้ทำให้หวังเป่าเล่อหรี่ตาเมื่อได้อ่าน แม้เขาจะไม่อยากเข้าร่วมการต่อสู้ แต่ก็ยังต้องเดินออกจากถ้ำที่พักไปประจำที่ตามภารกิจซึ่งได้รับมอบหมาย
ระหว่างทาง เขาเห็นทุกคนในกองทหารมีสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่ชายหนุ่มกำลังทะยานไปในห้วงอวกาศเพื่อประจำที่นั้น บรรยากาศทั้งหมดก็กดทับลงมาบนตัวเขา
หวังเป่าเล่อเดินทางมาถึงที่ที่ตนเองต้องประจำการอย่างรวดเร็วตามคำสั่งท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดกดดัน ที่แห่งนี้คือชายแดนอาณาเขตกองทหารวิหคน้ำแข็งซึ่งรายล้อมไปด้วยรูปปั้นยักษ์นับสิบ ผู้ฝึกตนหลายคนกำลังล้อมรอบรูปปั้นเหล่านั้นและตรวจดูสภาพ เมื่อเสร็จเรียบร้อย พลังอำนาจของรูปปั้นยักษ์ก็ถูกปลุกขึ้นมา รูปปั้นทั้งหมดหมุนวนเป็นวงกลม ปล่อยคลื่นกดดันออกมาเป็นริ้วๆ
เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่ยุ่งสาละวนแล้ว หวังเป่าเล่อกลับยืนทื่ออยู่ตรงนั้น หน้าตาเหมือนโดนสะกดจิต ในใจคิดถึงแต่แรงบันดาลใจจากโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่ตนเองคิดขึ้นได้ เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนเวียนมาบรรจบครบหกชั่วโมง หลังจากที่เตรียมตัวมาครบหกชั่วโมง กองทหารวิหคน้ำแข็งทั้งหมดก็ดูเหมือนอสูรร้ายที่ลืมตาตื่นขึ้นจากการจำศีล
บนพื้นดิน กองทัพหุ่นเชิดนับไม่ถ้วนยืนเรียงรายสุดลูกหูลูกตา ในบรรดาหุ่นเชิดทั้งหมดนี้ มีอยู่ตัวหนึ่งที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อน เมื่อดูที่ศีรษะของมัน จะเป็นว่ามีผู้ฝึกตนหญิงในชุดเกราะนั่งไขว้ห้างอยู่ รูปลักษณ์ของนางดูเหมือนเทพธิดาแห่งสงครามอย่างไรอย่างนั้น
สตรีผู้นี้คือผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ซึ่งเป็นคนวงในของเทพธิดาหลิงโยว และหวังเป่าเล่อก็เคยพบนางมาก่อน
ส่วนบนท้องฟ้านั้น เรือบินรบมากมายปกคลุมทั่วน่านฟ้าจนมองไม่เห็นดวงจันทร์ เรือบินรบเหล่านั้นกระจายไปทั่วบริเวณ สตรีขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์อีกผู้หนึ่งซึ่งมีรูปร่างอวบอัดยั่วยวนใจ กำลังยืนอยู่บนเรือบินรบลำหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองที่ขอบฟ้าไกลออกไป
นอกจากนั้นยังมีแท่นบูชาแท่นหนึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือทุกสิ่ง บนแท่นบูชามีสตรีอีกนางหนึ่งยืนอยู่ สตรีผู้นั้นไม่ใช่เทพธิดาหลิงโยว หากแต่เป็น…สตรีหน้ารูปไข่ที่หวังเป่าเล่อเคยเจอก่อนหน้านี้ นางรับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการเอกสำหรับการต่อสู้นี้!
ส่วนเทพธิดาหลิงโยวนั้นกำลังนั่งสมาธิอยู่ในตำหนักเบื้องหลัง!
บรรยากาศเคร่งขรึมจริงจังส่งผลต่อจิตใจของผู้ฝึกตนทุกคนในที่แห่งนี้ แต่ไม่ใช่กับหวังเป่าเล่อ…เขายืนอยู่ตรงนั้นก็จริง แต่ในใจกลับมีแต่สูตรการคำนวณที่เกี่ยวข้องกับโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา ชายหนุ่มแทบไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ และในตอนนั้นเอง…การต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้น!
เมื่อเวลาที่รอคอยมาถึง สายลมก็พัดโหมกระหน่ำ หมู่เมฆบนฟากฟ้าเหนือกองทหารวิหคน้ำแข็งเคลื่อนถอยหลังกลับ เสียงกึกก้องกัมปนาทดังขึ้นพร้อมรอยแยกที่ปรากฏขึ้นในอากาศ ราวกับว่ามือยักษ์กำลังฉีกทำลายสวรรค์ให้ขาดเป็นชิ้นๆ !
ในตอนนั้นเอง เรือบินรบจากกองทหารอันดับที่ห้า หก เจ็ด และสิบเอ็ด ก็ปรากฏออกมาจากรอยแยก!
ทันทีที่ศัตรูมาถึง ประกายแสงก็สว่างวาบขึ้นในดวงตาของผู้ฝึกตนหน้ารูปไข่ในชุดยาวสีส้มเหนือรูปปั้น นางพูดเสียงเย็นก้องสะท้อนไปทั่วสมรภูมิรบ
“ปักษา จงผงาด!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น