ลำนำบุปผาพิษ 775-798
บทที่ 775 ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้า
กู้ซีจิ่วในยามนี้ย่อมเป็นตี้ฝูอี เขาเปิดใช้งานป้ายหยก ลวดลายบนป้ายหยกแปรเปลี่ยนไป กลายเป็นกระจก ด้านในปรากฏใบหน้าของมู่เฟิง มูเฟิ่งมองเจ้านายของบ้านตนอย่างซับซ้อนยุ่งเหยิงอยู่บ้าง แต่ก็ยังสอบถามไปตามหน้าที่อันพึงปฏิบัติ “นายท่าน มีเรื่องใดจะสั่งการขอรับ?”
ตี้ฝูอีสั่งการอย่างรวบรัดยิ่ง “ส่งคนไปตรวจสอบว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่อยู่ข้างกายอวิ๋นชิงหลัวในเทศกาลความรักคืนนั้นคือผู้ใด เป็นมาอย่างไร ระยะนี้จับตามองอวิ๋นชิงหลัวไว้หน่อย ดูว่านางมีอะไรผิดปกติหรือไม่?”
มู่เฟิงทั้งตกใจและเดือดดาลยิ่งนัก มีคนกล้าสวมรอบเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหรือ?! หน่ายจะใช้ชีวิตแล้วหรือไร?!
เขารีบตอบรับ “ขอรับ!” แล้วไปจัดการทันที
ตี้ฝูอีเก็บป้ายหยก มือเคาะบนโต๊ะหินเบาๆ
มิน่าเล่ากู้ซีจิ่วถึงเป็นปฏิปักษ์ต่อตนมากขนาดนี้ ที่แท้ก็เห็นตนอี๋อ๋ออยู่กับอวิ๋นชิงหลัวนี่เอง…
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว กู้ซีจิ่วมิใช่คนหุนหันพลันแล่น โดยทั่วไปแล้วนางไม่มีทางมองผิด แถมคืนเทศกาลความรักนางพาเจ้าหอยยักษ์ลงเขาไปด้วย ด้วยประสาทรับกลิ่นของเจ้าหอยยักษ์ น่าจะวิเคราะห์ได้ว่ากลิ่นอายบนร่างเขาอีกคนเป็นจริงหรือเท็จ…
เจ้าตัวปลอมนั่นสมจริงจนแม้แต่เจ้าหอยยักษ์ก็แยกไม่ออกเลยหรือ?
ขณะที่เขาใคร่ครวญอยู่ ประตูก็ถูกเปิดเสียงดังปัง เพรียกวายุวิ่งห้อเข้าประตูมาดั่งสายฟ้าแลบ ลู่อู๋น้อยขี่อยู่บนหลังมัน และเจ้าหอยยักษ์หนีบอยู่ที่ปลายหางลู่อู๋น้อย…
เจ้าหอยยักษ์คึกคักมีชีวิตชีวา พอเข้าประตูมาก็ตะโกนว่า “เจ้านาย เจ้านาย ได้ยินว่าท่านได้รับบาดเจ็บเลยย้ายมาพักที่นี่ ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
มันกลิ้งเข้ามาหาทันที กำลังจะใช้ฝาหนีบชายชุดตี้ฝูอี
ตี้ฝูอียกเท้าเหยียบมันไว้
ลู่อู๋น้อยก็ร้องแง้วๆ อยู่หลายที กระโจนเข้าใส่พวงหางทั้งเก้าแกว่งไกวดั่งกงจักรเพลิง คิดจะใช้หางพันข้อมือตี้ฝูอีไว้ เพื่อแสดงความคิดถึงที่มันมีต่อผู้เป็นนาย
กลับถูกนิ้วหนึ่งของตี้ฝูอีกดไว้ตรงนั้น “เป็นเด็กดีหน่อย!” เขาเอ่ยเสียงต่ำ
ถึงแม้เขาจะใช้สังขารของกู้ซีจิ่ว แต่ดวงวิญาณแข็งแกร่งมาก เมื่อปลดปล่อยรัศมีทั้งหมด สามารถทำให้หนังศีรษะคนชาได้
ประสาทสัมผัสของสัตว์ไวเป็นที่สุด ดังนั้นลู่อู๋น้อยจึงตกใจจนไม่กล้าขยับ กะพริบตามองตี้ฝูอีอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่เข้าว่าทำไมเจ้านายถึงไม่ยอมใกล้ชิดกับมัน
ตี้ฝูอีย่อมไม่ทราบว่าการกระทำตามความเคยชินของตนได้ทำร้ายจิตใจของลูกสัตว์วัยแบเบาะตัวหนึ่งแล้ว
เขาก็ไม่สนใจเช่นกัน หลังจากให้เจ้าสามตัวนี้ทำตัวดีๆ แล้ว เขาถึงเปิดปากเอ่ย “พวกเจ้าสามตัวล้วนเป็นเด็กดี ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้า”
บอกว่าถามพวกมัน ทว่าความจริงแล้วตัวที่เขาจะถามก็มีแค่เจ้าหอยยักษ์ที่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ตัวนี้
แน่นอน เขาไม่คิดจะให้เจ้าสามตัวนี้รู้ว่าร่างกายของเจ้านายตนเปลี่ยนผู้ถือครองแล้ว ดังนั้นเขาเลยคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วใช้นโยบายสันติวิธี ก่อกองไฟขึ้นมากองหนึ่ง เตรียมย่างปลาให้พวกเจ้าหอยยักษ์กิน
ระหว่างที่ย่างอยู่ เขาก็ทำทีสนทนาเรื่อยเปื่อยกับเจ้าหอยยักษ์อยู่หลายประโยค ในที่สุดก็ได้ทราบรายละเอียดทุกอย่างในยามที่กู้ซีจิ่วได้พบหน้ากับอวิ๋นชิงหลัวและ ‘ตี้ฝูอี’ในเทศกาลความรักคืนนั้น…
….
และไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ ก็มีฟองน้ำผุดพรายขึ้นมาบนผิวทะเลสาบ ตามด้วยระลอกคลื่นกระเพื่อมไหว จากนั้นอวิ๋นชิงหลัวก็โผล่ขึ้นมาดั่งคนเป็นโรคลมชัก
เมื่อนางโผล่ขึ้นมาจากน้ำก็สำลักออกมาทันที ใบหน้าเพริศพริ้งหมองคล้ำปานมะเขือม่วง
เนื่องจากข่มกลั้นอยู่นานเกินไป นางจึงกระอักโลหิตออกมาคำแล้วคำเล่า
ก่อนหน้านี้ยามที่จมลงสู่น้ำนางได้กลั้นหายใจไว้ เนื่องจากนางทราบว่าเข็มอาคมของนางทำให้คนชาได้หนึ่งเค่อ ขอเพียงนางผ่านพ้นช่วงหนึ่งเค่อไปก็จะได้อิสระกลับมา
แต่พูดแล้วดูเหมือนง่าย ทว่าทำแล้วกลับยากเย็นนัก
เมื่อก่อนนางรู้สึกว่าหนึ่งเค่อเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น แต่เมื่ออยู่ใต้น้ำระยะเวลาหนึ่งเค่อกลับคล้ายว่าจะยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด
————————————————————————————-
บทที่ 776 ฉากนี้อบอุ่นเหลือเกิน
ทุกวินาทีช่างแสนทรมานนัก นางกลั้นจนเวียนหัวตาลาย หูอื้อสมองเบลอ…
วินาทีสุดท้ายนางกลั้นไว้ไม่ไหวอีกต่อไป สูดหายใจอย่างอดไว้ไม่ได้ จากนั้นก็สำลักน้ำ…
ไม่ง่ายเลยกว่าร่างกายจะได้อิสระคืนมา ยามที่นางตะเกียกตะกายว่ายขึ้นมา นางสำลักจนทั้งร่างสั่นเทา
การสำลักและไอทำให้ปอดที่ได้รับบาดเจ็บของนางบาดเจ็บหนักขึ้น รอจนยามที่นางปีนขึ้นฝั่งมาได้ อาการคนก็ไม่ดีแล้ว…
….
ยามที่กู้ซีจิ่วตื่นขึ้นมาบนเตียงใหญ่กว้างขวางอ่อนนุ่มหลังนั้น ท้องฟ้าด้านนอกก็เป็นสีดำแล้ว
มู่เฟิงที่อยู่ด้านนอกเคาะประตูเบาๆ “นายท่าน?”
กู้ซีจิ่วบิดเอวอย่างเกียจคร้าน มองร่างกายของตนอย่างปวดใจ เธอยังคงอยู่ในร่างของตี้ฝูอี มิใช่เนื่องจากนอนหลับเพียงตื่นเดียวก็สามารถกลับร่างได้
ตอนนี้เธอยังคงเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้สูงส่ง
เธอลองตรวจสอบร่างกายดู ภายในร่างเริ่มมีพลังวิญญาณไหลเวียนเอื่อยๆ แล้ว ดูเหมือนร่างนี้กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟู และความเร็วในการฟื้นฟูก็ไม่นับว่าช้า
ตั้งแต่เธอเข้าอยู่ในร่างนี้ ก็รู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างขี้เซา ตอนเที่ยงหลังจากเข้าร่วมพิธีปักปิ่นเสร็จ กลับมาในยามบ่ายเดิมทีคิดจะพลิกดูตำราในมิติเก็บของของตี้ฝูอีเสียหน่อย ดูว่ามีวิชาที่เหมาะใช้สลับร่างคืนหรือไม่ แต่รู้สึกอ่อนล้ายิ่งนัก จึงนอนหลับไปเสียดื้อๆ…
นอนหลับมาจนถึงตอนนี้
“นายท่าน? ตื่นหรือยังขอรับ?” มู่เฟิงที่อยู่ด้านนอกเคาะประตูต่อ
“เข้ามาเถอะ” กู้ซีจิ่วเอ่ย หมุนตัวไปนั่งลงหน้าโต๊ะ
มู่เฟิงมาพบทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเพื่อนคุยธุระด้วยเสมอ ดังนั้นพอเขาเข้าก็เข้าประเด็นทันที “นายท่าน พรุ่งนี้ท่านมีบทเรียนในชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่ง ต้องการให้ข้าน้อยจัดเตรียมสิ่งใดหรือไม่ขอรับ?”
สมองกู้ซีจิ่วส่งเสียงดังหึ่งๆ “มีเรียน?” หนนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาด้วยธุรการงานมิใช่หรือ? มีเรียนอะไร?
“นายท่าน ท่านรับปากอาจารย์ใหญ่กู่ไว้ว่าจะอยู่สอนที่นี่สามเดือน สอนวิชาเหินหาวเป็นหลักขอรับ…”
กู้ซีจิ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็แจ้งความประสงค์ “เจ้าสามารถเตรียมเนื้อหาการบรรยายให้ข้าได้” ถึงเธอจะไม่รู้วิชาเหินหาวอะไรนั้น แต่ขอเพียงมีเนื้อหาบรรยายเธอก็สามารถวาดกระบวยตามน้ำเต้าได้
มู่เฟิงลำบากใจ “นายท่าน วิชานี้นายท่านเพิ่งจะบรรยายเป็นครั้งแรก ข้าน้อยก็ไม่รู้วิชานี้เช่นกันขอรับ”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “…เช่นนั้นเจ้าเตรียมอะไรให้ข้าได้บ้าง?”
มู่เฟิงรีบตอบทันที “ข้าน้อยเทน้ำรินชาให้นายท่านได้ เรียกเหล่าศิษย์มารวมตัวให้นายท่านได้ ตอนเรียนวิชานี้น่าจะต้องเตรียมอุปกรณ์บางอย่าง ข้าน้อยสามารถจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าได้ขอรัยบ”
กู้ซีจิ่วนวดคลึงหว่างคิ้ว “ข้าต้องใคร่ครวญดูหน่อย เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
มู่เฟิงส่งเสียงตอบรับ ขณะที่กำลังจะหันหลังจากไป กู้ซีจิ่วก็เอ่ยถามอีก “แล้ว…แม่นางกู้อยู่ที่ใด?”
“โอ้ นางน่าจะพักอยู่ในเรือนของตนขอรับ ใช่แล้ว ยามนี้อาการแม่นางกู้ดีขึ้นมาแล้วขอรับ เย็นวันนี้นางออกไปตกปลามาด้วย จนพลบค่ำถึงได้กลับมา”
กู้ซีจิ่วลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก “ข้าจะไปเยี่ยมนาง”
….
กู้ซีจิ่วยังไม่ทันก้าวเข้าไปในเรือนเล็กหลังนั้นก็ได้กลิ่นหอมของปลาย่าง
เมื่อผลักประตูเข้าไปแล้วมองแวบหนึ่ง ก็เห็นตี้ฝูอีนั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งหินตัวหนึ่ง ด้านหน้าคือกองไฟกองหนึ่ง บนกองไฟย่างปลาไว้ ถัดไปคือเจ้าหอยยักษ์ที่อาฝ้ารออยู่ตรงนั้นอย่างเรียบๆ ร้อยๆ ลู่อู๋น้อยก็นั่งอยู่บนฝาหอย ดวงตาคู่นั้นจับจ้องปลาย่างอยู่เช่นกัน ส่วนเพรียกวายุแกว่งหางเงียบๆ อยู่ด้านข้าง
ฉากนี้อบอุ่นเหลือเกิน กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปาก ทอดถอนใจอยู่ภายในใจ
ฉากอันอบอุ่นนี้เดิมทีควรเป็นของเธอ
เจ้าหอยยักษ์ ลู่อู๋น้อย เพรียกวายุ เดิมทีก็เป็นสัตว์เลี้ยงของเธอ ยามนี้กลับไปห้อมล้อมรอบกายตี้ฝูอี ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก
————————————————————————————-
บทที่ 777 เจ้ามองข้านานขนาดนี้ทำไม
เพียงแต่ ช่วงเวลาที่เจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋น้อยว่านอนสอนง่ายเช่นนี้พบเห็นได้ยากนัก
เมื่อก่อนยามเธออยู่ตรงนั้นไม่ว่าจะย่างปลาเอย ย่างเนื้อเอย เจ้าหอยยักษ์ตัวนี้ล้วนต้องโหวกเหวกโวยวายอยู่ข้างกายเธอเสมอ ท่าทางกระตือรือร้นนัก น้ำลายไหลนองจนกลายเป็นแม่น้ำได้
ลู่อู๋น้อยยิ่งไม่ต้องพูดถึง เจ้าตัวนี้ขอเพียงได้พบเธอ จะชอบมุดอยุ่ในแขนเสื้อเธอ ขดหางเป็นก้อนปุกปุย กะพริบตาใส่เธออย่างน่ารักน่าเอ็นดู
แต่ยามนี้เจ้าสองตัวนี้กลับว่าง่ายถึงเพียงนี้!
หลังจากกู้ซีจิ่วมาถึงสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ยามปกติเนื่องจากฝึกซ้อมและประลองเสียเป็นส่วนใหญ่ เจ้าสามตัวนี้ล้วนปล่อยไว้ในหุบเขาด้านนอก เดิมทีเจ้าสามตัวนี้ก็ราชาในหุบเขาอยู่แล้ว ดังนั้นส่วนมากจึงใช้เวลาอยู่ในหุบเขา สามวันห้าวันถึงจะยกโขยงกลับมาติดต่อเยี่ยมเยือนผู้เป็นนายที
ทุกครั้งที่กลับล้วนต้องสั่งอาหาร บางครั้งก็ให้กู้ซีจิ่วพาพวกมันไปกินที่โรงอาหาร บางครั้งก็จับสัตว์มาให้กู้ซีจิ่วช่วยย่าง ไปมาหาสู่กันเช่นนี้ตลอดสามเดือน
ยามนี้สังขารของเจ้านายมันเปลี่ยนผู้ถือครองแล้ว ทว่าดูเหมือนเจ้าสามตัวนี้จะมองไม่ออกเลย…
เมื่อได้ยินเสียงอะไรเปิดประตู ตี้ฝูอีก็เงยหน้าขึ้นมา มองเธอแวบหนึ่ง ท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายให้เกียรติมาเยือน เรือนชานอันซอมซ่อ ขอเชิญๆ”
เอ่ยวาจาอย่างเป็นทางการลื่นไหลยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง จู่ๆ เพิ่งนึกขึ้นได้ ตอนอยู่ในพิธีปักปิ่น ดูเหมือนช่วงสุดท้ายเธอกับเขาจะทะเลาะเบาะแว้งกัน…
จงบจนพิธีปักปิ่นสิ้นสุดลงเขาก็จากไปโดยไม่พูดกับเธออีกเลย หันหลังจากไปเสียดื้อๆ
ท้ายที่สุดแล้วสาเหตุของความขัดแย้งคืออะไรกันนะ?
‘เจ้าชอบเขาถึงเพียงนี้จริงๆ หรือ?’
‘ใช่!’
‘เพื่อเขาแล้วสละข้าได้โดยไม่แยแสเลยหรือ?’
‘ใช่!’
ดูเหมือนบทสนทนาสุดท้ายของเธอกับเขาจะเป็นเรื่องนี้…
ดูเหมือนบทสนทนานี้จะทำร้ายเขา ทำให้เขาผูกใจเจ็บ…
นึกไม่ถึงว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้สูงส่งจะมีนิสัยเด็กๆ เช่นนี้ด้วย
กู้ซีจิ่วเขม่นเขาอยู่ในใจเป็นร้อยรอบ
เนื่องจากมีพวกเจ้าหอยยักษ์ทั้งสามอยู่เบื้องหน้า กู้ซีจิ่วเลยไม่อยากโต้เถียงกับเขา ดังนั้นเธอจึงยิ้มกว้างแวบหนึ่ง “กลิ่นปลาย่างหอมไม่เลวเลย” นั่งลงตรงข้ามกับเขา
เจ้าหอยยักษ์มองกู้ซีจิ่วด้วยความระแวง กระเถิบขึ้นมาข้างหน้าเอย่างไร้สุ้มเสียง “เจ้ายบอกว่าปลาตัวแรกนี้ยกให้ข้า…”
เจ้าตะกละตัวนี้!
กู้ซีจิ่วยื่นมือไปเคาะเปลือกมันทีหนึ่ง “เจ้าคิดว่าข้ามาแย่งปลาของเจ้าหรือไง? ปลาตัวนี้ถึงเจ้าให้ข้าข้าก็ไม่กิน!”
เจ้าหอยยักษ์วางใจแล้ว เพียงแต่มันจ้องกู้ซีจิ่วอยู่ครู่หนึ่ง กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วมองมัน “เจ้ามองข้านานขนาดนี้ทำไม?”
หนูน้อยในเปลือกหอยกะพริบตาปริบๆ “ข้ารู้สึกว่า…รู้สึกว่าวันนี้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นมิตรยิ่งนัก” เหมือนเจ้านายตอนดีดเปลือกมันไม่มีผิด
อันที่จริงพวกเจ้าหอยยักษ์หดหู่มาก กลับมาหนนี้ขณะที่ต้องการจะไปหนีบชายชุดเจ้านายอย่างรื่นเริงเพื่อแสดงความรักใคร่ กลับถูกเจ้านายเตะออกไป แถมยังเตะออกไปไกลสามฉื่ออย่างไร้ซึ่งเมตตา มันประหลาดใจมาก ไม่ค่อยเข้าใจว่าเจ้านายเป็นบ้าอะไรไป
ส่วนลู่อู๋น้อยที่ตอนแรกคิดจะมุดเข้าไปในแขนเสื้อเจ้านาย แต่เจ้านายมองแค่แวบเดียวก็สะกดมันไว้ได้
จากนั้นทั้งสามตัวก็ถูกเจ้านายทำให้อยู่นิ่งๆ บอกพวกมันว่าเป็นสัตว์เลี้ยงวิญญาณก็ควรมีท่าทางแบบสัตว์เลี้ยงวิญญาณ ควรปกป้องคุ้มครองผู้เป็นนาย มิใช่ออดอ้อนคลอเคลียเจ้านายดั่งแมวบ้านตัวหนึ่ง…
อบรมจนทั้งสามตัวจนหน้าหมอง ไม่กล้าเข้าใกล้นางอีก…
โชคดีที่หลังจากอบรมพวกมันเสร็จ ยังทราบว่าต้องปลอบใจพวกมันเสียหน่อย นางจึงเริ่มย่างปลาให้…
เจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋น้อยชอบกินปลาย่างของเจ้านายที่สุด เมื่อเห็นเช่นนี้ก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง นั่งห้อมล้อมรอบกองไฟ เพียงแต่ไม่กล้าไปวอแวข้างกายผู้เป็นนายอีกแล้ว
————————————————————————————-
บทที่ 778 เธอจึงสะกดกลั้นอุ้งมือตน
ยามนี้เมื่อ ‘ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย’ มา ปฏิกิริยาแรกของเจ้าหอยยักษ์คืออีกฝ่ายจะมาแย่งปลาของมัน…
ตอนนี้อีกฝ่ายไม่เพียงแต่ไม่แย่งปลาของมันเท่านั้น ยังเคาะเปลือกของมันด้วย นี่เป็นการกระทำที่เจ้านายทำเสมอเมื่อพบมัน คิดถึงเหลือเกิน!
เจ้าหอยยักษ์รู้สึกน้ำตาจะไหลอยู่บ้าง ลองถูไถข้างกายเขาดู
ลู่อู๋น้อยก็กระโดดลงมาจากฝาหอย วิ่งมาอยู่เบื้องหน้ากู้ซีจิ่ว ใช้หางอันหนึ่งปัดป่ายมือชองกู้ซีจิ่ว
กู้ซีจิ่วข่มกลั้นความปรารถนาที่อยากจะสางขนมันเอาไว้…
เมื่อก่อนพอเธอเจอลู่อู๋น้อย ลู่อู๋น้อยจะใช้หางปัดป่ายมือเธอจนเป็นเรื่องคุ้นเคย เธอก็จะถือโอกาสดึงมันเข้ามา ใช้นิ้วสางขนให้มัน ตั้งแต่หัวจรดล่าง สางจนถึงหางแต่ละอัน…
ขนของลู่อู๋น้อยเรียบลื่นดุจแพรต้วน ให้สัมผัสดียิ่ง ดังนั้นยามที่กู้ซีจิ่วว่างจะชอบสางขนให้เจ้าตัวน้อยมาก และเห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวน้อยก็ชอบให้เธอสางขนมาก ทุกครั้งยามสางขนให้มันล้วนครางครืดคราดอย่างสบายอุรา ใช้หางทั้งหมดพันข้อมือเธอเล่นกับเธอ…
บางอย่างพอทำไปนานๆ ก็จะหยั่งรากลึก ต่างฝ่ายต่างคุ้นเคย
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะสลับร่างแล้ว แต่พอเห็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของตนก็อดไม่ได้ที่จะเล่นกับพวกมันตามความเคยชิน
จวบจนตี้ฝูอีช้อนตามองมา เธอถึงได้สติ
อันที่จริงสัตว์มีประสาทสัมผัสเฉียบไวกว่ามนุษย์ พวกมันอาจไม่รู้ว่าสังขารของเจ้านายเป็นผู้ถือรองแล้ว แต่พวกมันสัมผัสความผิดปกติของเจ้านายได้แต่เนิ่นๆ
ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกมัน ถ้ากู้ซีจิ่วไม่ระวังสักหน่อยก็จะเผยพิรุธได้ง่ายดายยิ่ง
ด้วยเหตุนี้เธอจึงสะกดกลั้นอุ้งมือตนไม่ให้ไปสางขนลู่อู๋น้อย ลู่อู๋น้อยใช้หางปัดป่ายเธออยู่พักใหญ่ ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากเธอ เจ้าตัวน้อยผิดหวังยิ่ง หันหลังกระโดดกลับไปอยู่บนหลังเจ้าหอยยักษ์เหมือนเดิม หมอบอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเหมือนลูกหมาถูกทิ้ง มองแล้วน่าสงสารเหลือเกิน
หัวใจกู้ซีจิ่วค่อนข้างปวดร้าว อดไม่ได้ที่จะส่งกระแสเสียงไปหาตี้ฝูอี ‘เมื่อไหร่พวกเราถึงจะสลับร่างคืนได้?’
ตี้ฝูอีตอบอย่างเฉยชา ‘บางทีถ้าข้าถูกผู้อื่นสังหาร เจ้าคงจะคืนร่างได้’
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
เธอคร้านจะพูดจาไร้สาระกับเขาแล้ว
ในที่สุดปลาตัวแรกก็ย่างสุกแล้วตี้ฝูอีมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง เอ่ยถาม “อยากลองชิมไหม?”
กู้ซีจิ่วมองปลาตัวนั้นแวบหนึ่ง ด้วยฝีมือการครัวของเธอ เธอตัดสินได้ว่าปลาตัวนี้น่าจะรสชาติเหลือรับประทานมากเป็นแน่ ดังนั้นเธอจึงส่ายหน้า “เจ้าจะมอบปลาตัวแรกให้เจ้าหอยยักษ์มิใช่หรือ?”
ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ “ท่านเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย อีกทั้งเป็นแขก ย่อมต้องเชิญให้แขกกินก่อน ว่าอย่างไร? อยากชิมหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้าอย่างไม่สนใจ “เจ้าให้เจ้าหอยยักษ์เถิด คำไหนต้องเป็นคำนั้น”
ตี้ฝูอีไม่พูดอะไรอีก ยื่นปลาให้เจ้าหอยยักษ์ทันที เจ้าหอยยักษ์จ้องตาแป๋วมานานแล้ว รับมาแล้วเริ่มกินทันที แต่กินไปได้สองคำก็เหลือบมองตี้ฝูอีแวบหนึ่ง กินเข้าไปอีกสองคำก็เหลือบมองอีกแวบหนึ่ง
ตี้ฝูอีไม่สบอารมณ์ “มองข้าทำไม? มองข้าแล้วแกล้มข้าวหรือไง?”
เจ้าหอยยักษ์เบะปากน้อยๆ “เจ้าน้อย ข้ารู้สึกว่าฝีมือทำครัวของท่านตกต่ำไปไม่น้อย”
ตี้ฝูอีพูดไม่ออก ไม่นึกเลยว่าเขาจะถูกเดียดฉันจ์ ปลาที่เขาไม่ย่างให้ใครง่ายๆ กลับถูกเจ้าหอยยักษ์ตัวนี้รังเกียจ!
ยากนักที่จะได้เห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้สิ้นท่า กู้ซีจิ่วอดยิ้มไม่ได้ จงใจเอ่ยว่า “ยังมีอีกหรือไม่? ย่างให้ข้าสักสองสามตัวสิ”
ตี้ฝูอีมองเจ้าหอยยักษ์จากนั้นก็มองกู้ซีจิ่ว กล่าวอย่างเด็ดขาด “ไม่มีแล้ว ตกได้ตัวนี้ตัวเดียว”
ตกปลาอยู่ครึ่งค่อนวันได้ปลามาตัวเดียว? ดูเหมือนทักษะการปลาของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้จะย่ำแย่อยู่เหมือนเดิม!
เจ้าหอยยักษ์สีหน้าไม่อยากเชื่อ “ได้ตัวเดียว? ตัวเดียวยังไม่พอจะยัดฟันข้าด้วยซ้ำ เจ้านาย สามวันพวกเราถึงจะกลับมาสักหน เหตุใดท่านจึงทารุณพวกเราถึงเพียงนี้…”
————————————————————————————-
บทที่ 779 ท่านทำทุกอย่างได้ตามปรารถนาจริงๆ น่ะหรือ
สีหน้าตี้ฝูอีดำดิ่งลง กล่าวโดยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม “ทารุณ? ที่แท้ในสายตาเจ้า เจ้านายคือผู้ที่จำเป็นต้องย่างของกินให้เจ้าหรือ? จำเป็นต้องปรนนิบัติเจ้าหรือ?”
ถึงแม้เขาจะใช้น้ำเสียงของกู้ซีจิ่ว แต่สำเนียงการพูดเป็นสำเนียงการพูดแบบตี้ฝูอี ทำให้เจ้าหอยยักษ์หวาดหวั่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ดังนั้นมันจึงหดตัว บ่นพึมพำประโยคหนึ่งว่า “เมื่อก่อนเจ้านายล้วนย่างของกินให้พวกเรามากมาย…”
ตี้ฝูอีกอดอกพลางเอ่ย “แล้วพวกเจ้าเล่า? เคยนำอะไรมาให้ผู้เป็นนายหรือไม่?”
เจ้าหอยเงียบงัน มันไม่กล้าพูดต่อแล้ว เนื่องจากทุกครั้งที่พวกมันสามตัวกลับมาล้วนมาแบบมือเปล่า บางครั้งก็ล่าสัตว์มาให้เจ้านายย่างให้…
ตี้ฝูอีเหลือบมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า ดูเถิดว่านางเลี้ยงสัตว์เลี้ยงวิญญาณที่เดิมทีควรพิทักษ์คุ้มครองนางเป็นแขนเป็นขาของนางจนกลายเป็นตัวอันใดไปแล้ว?
ตัวตะกละสามตัว! ซ้ำยังไม่รู้จักบุญคุณอีกด้วย!
ตี้ฝูอีมองท่าทางของพวกมันสามตัวอีกครั้ง ระยะเวลาสามเดือนสำหรับสัตว์เลี้ยงวิญญาณแล้ว กล่าวได้ว่าชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ทั้งสามตัวแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ตัวเดียวที่มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยก็คือลู่อู๋ มันโตขึ้น หางยาวขึ้นนิดหน่อย…
ตี้ฝูอีคันไม้คันมืออยู่บ้าง อันที่จริงเขาก็เลี้ยงสัตว์วิญญาณเช่นกัน แน่นอนว่าสัตว์วิญญาณที่เขาเลี้ยงล้วนเป็นชั้นยอด ทุกตัวล้วนเป็นสัตว์ร้ายขั้นแปด…
สัตว์เหล่านี้เมื่ออยู่มือเขาก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ทุกตัวรักสันโดษอย่างยิ่ง และพิทักษ์ในยามคับขันได้ยอดเยี่ยมยิ่ง
ไหนเลยจะเหือนเจ้าสามตัวตรงหน้านี้ ดูเหมือนแมวบ้านสามตัว…
เจ้าหอยยักษ์ถูกเขามองด้วยสายตารังเกียจก็เกิดแรงฮึดขึ้นมา ยืดอกกล่าวทันที “พวกเรามีประโยชน์นะ! พวกเราสามารถเก็บสมุนไพรมาให้เจ้านายได้!”
พวกันวิ่งพล่านอยู่ในหุบเขาตลอด ย่อมพบเห็นสมุนไพรอยู่บ่อยๆ เพียงแต่รู้สึกว่าสมุนไพรเป็นอาหารไม่ได้อีกทั้งไม่น่าสนุก ส่วนใหญ่พวกมันจึงมองเมินไปเสีย…
“โอ้ เช่นนั้นสมุนไพรของพวกเจ้าอยู่ไหนล่ะ?” ตี้ฝูอีถามพวกมันอย่างผ่อนคลาย
พวกเจ้าหอยยักษ์สามตัวสบตากันแวบหนึ่ง เจ้าหอยยักพลันหนีบหางลู่อู๋น้อย “ไป พวกเราไปเก็บสมุนไพรกัน! อย่าให้ผู้อื่นดูแคลนได้!”
ลู่อู๋น้อยพาเจ้าหอยยักษ์กระโดดขึ้นหลังเพรียกวายุ ด้วยเหตุนี้สัตว์ทั้งสามตัวจึงจากไปดั่งควันสายหนึ่ง
ในไม่ช้าภายในเรือนก็เหลือเพียงกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีสองคน เงียบสงัดขึ้นมาชั่วขณะ
กู้ซีจิ่วไม่คิดจะจดๆ จ้องๆ กับเขาอยู่ที่นี่ จึงถามซ้ำอีกรอบหนึ่ง “เมื่อไหร่พวกเราจะสลับร่างคืนได้? ข้าไม่อยากเป็นเช่นนี้ต่อไปแล้ว”
ตี้ฝูอีกอดเข่ามองเธอ “เจ้าไม่ยินดีจะเป็นข้าสินะ? ตำแหน่งของข้าไม่ทราบว่ามีผู้คนมากน้อยเพียงใดที่ต้องการแย่งชิง…”
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว “ข้าแค่อยากเป็นตัวข้าเอง!”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ “ซีจิ่ว เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ ว่าวันหน้าจะได้แทนที่ของข้า?”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วขึ้น “แทนที่ท่านทำอันใด?”
ตี้ฝูอียิ้ม “เจ้าดูสิ ตำแหน่งของข้าสูงส่งกว่าจักพรรดิเสียอีก ขนาดตำแหน่งจักรพรรดิผู้คนยังแย่งชิงกันหัวร้างข้างแตก แล้วตำแหน่งนี้ของข้าจะไม่ดึงดูดคนยิ่งกว่าหรือ?”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน ตี้ฝูอีกล่าวต่อไป “ถ้าเจ้านั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ของข้า เจ้าจะทำทุกอย่างได้ตามปรารถนา สามารถบัญชาคนทั้งโลกได้ จะไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนเจ้าอีก ไม่มีผู้ใดกล้าชักสีหน้าใส่เจ้าอีกต่อไป…”
กู้ซีจิ่วมองดูเขา “ท่านทำทุกอย่างได้ตามปรารถนาจริงๆ น่ะหรือ?”
ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ “เจ้าไม่เห็นข้าทำทุกอย่างได้ตามปรารถนาหรือ?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “เรื่องที่ท่านทำบางครั้งก็น่าชังมากจริงๆ แต่ก็กล่าวไม่ได้ว่าทำทุกอย่างได้ตามปรารถนากระมัง? มิใช่ว่าท่านยังต้องอบรบสานุศิษย์สวรรค์หรอกหรือ? มิใช่ว่าท่านยังต้องจัดการเรื่องราวอย่างยุติธรรมหรอกหรือ? ตำแหน่งนี้ของท่าน ไม่ทราบว่ามีผู้คนมากน้อยเพียงใดที่จับจ้องท่านอยู่ หากว่าท่านทำตามอำเภอใจได้จริง จะมีบารมีสูงส่งเช่นนี้ได้อย่างไร? จะทำให้คนทั้งแผ่นดินเคารพท่านได้อย่างไร?”
————————————————————————————-
บทที่ 780 ท่านคือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์
ตี้ฝูอีตะลึงงัน เงยหน้ามองนาง หัวเราะอยู่พักหนึ่ง “ซีจิ่ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีสติปัญญาเช่นนี้ เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า สมมุติว่าวันหนึ่งเจ้าได้นั่งในตำแหน่งนี้ของข้า หากว่าญาติของเจ้าสหายของเจ้าแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงวิญญาณของเจ้ากระทำเรื่องที่สวรรค์พิโรธปวงชนเดือดดาล เจ้าจะทำอย่างไร?”
กู้ซีจิ่วนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง
พิฆาตญาติมิตรเพื่อผดุงคุณธรรมเป็นถ้อยคำที่ดี แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถกระทำข้อนี้ได้จริงๆ?
ตี้ฝูอีมองดูนาง และไม่ได้เร่งนาง
กู้ซีจิ่วจำลองสถานการณ์อยู่ในสมองตนครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “ข้าอาจจะไม่ยุติธรรมเช่นเปาบุ้นจิ้น แต่ข้าจะพยายามควบคุมกวดขันคนสนิทของข้า ไม่ให้พวกเขาทำผิดมหันต์”
“หากว่าควบคุมไม่อยู่เล่า? เจ้าก็รู้ว่าอำนาจเป็นสิ่งที่สามรถแผ่ขยายไปอย่างไร้ขอบเขต มักจะมีบางคนที่อดทนต่อสิ่งล่อใจไม่ไหวจนกระทำเรื่องที่ผิดพลาดไป หากเป็นคนธรรมดาทำผิดพลาดก็แล้วไปเถิด แต่หากว่าเจ้าเป็นผู้ที่สวรรค์บงการควบคุม ถ้าเจ้าลำเอียงมาก้กินไป ก็มีความเป็นไปใดที่จะก่อให้สวรรค์ลงทัณฑ์ ทำให้โลกนี้ล่มสลายโดยสิ้นเชิง…หากว่าถึงยามนั้น เจ้าจะช่วยคนในครอบครัวของเจ้าแล้วพังพินาศไปพร้อมกับโลกใบนี้ หรือว่าจะพิฆาตญาติผดุงคุณธรรมให้โลกนี้ดำเนินต่อไปตามปกติเล่า?”
กู้ซีจิ่วเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้ามองเขา “ตำแหน่งของท่าน…สูงส่งถึงขั้นนี้เชียวหรือ? สิ่งที่ท่านพูดมาเหล่านี้ เป็นเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในตำแหน่งของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านคือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หรือไง?”
ตี้ฝูอีนึกไม่ถึงว่านางจะคิดไปถึงขั้นนี้ได้ ชะงักไปแวบหนึ่ง ส่ายหน้าพลางตอบ “ข้าไม่ใช่เขา…”
จากนั้นก็ยิ้มแวบหนึ่ง “ภาระหน้าที่ของเขามากมายเกินไป หนักเกินไป เหนื่อยเกินไป…”
เขาถอนหายใจเบาๆ “เทพ ถูกลิขิตให้โดดเดี่ยว เขาไม่อาจใส่ใจสิ่งใดหรือคนใดจนเกินไปได้ เนื่องจากสิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นจุดอ่อนของเขา…กลายเป็นเครื่องมือนำมาต่อกรกับเขาหรือเอาชนะเขา…บางทีนี่อาจเป็นชะตากรรมของเขาที่มาพร้อมกับโลกใบนี้ จุดที่สูงที่สุดก็โดดเดี่ยวที่สุดเช่นกัน…”
เงาร่างท่านเทพศักดิ์สิทธิ์แวบเข้ามาในสมองกู้ซีจิ่ว คนผู้นี้ต้องคอยพิทักษ์ปกป้องปวงประชาใต้หล้า หากเขาเอนเอียงแม้นเพียงเล็กน้อยก็ทำให้สวรรค์ลงทัณฑ์ ทำให้โลกใบนี้ก็จะตกสู่หายนะ เขาจึงไม่เหมาะจะมีคนที่ใกล้ชิดหรือห่วงหาจนเกินไปจริงๆ…
หากว่าเธอต้องอยู่ในตำแหน่งนั้นของเขา…
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญอยู่พักใหญ่
เอ๊ะ แล้วเธอจะไปแย่งตำแหน่งนั้นมาทำไมกันล่ะ? อีกอย่างเธอก็ไม่ใช่เทพด้วย!
แถมตำแหน่งเทพก็ไม่เหมือนตำแหน่งจักรพรรดินะ อยากจะแย่งก็แย่งได้เลยเสียที่ไหน?
กู้ซีจิ่วพบว่าตนถูกตี้ฝูอีชักจุงความคิดเสียแล้ว อดไม่ได้ที่จะถลึงตามองเขาแวบหนึ่ง กลับพบว่าเขากำลังย่างปลาอยู่…
“นี่ ไหนท่านบอกว่าไม่มีปลาแล้วไง?” กู้ซีจิ่วมองข้องใส่ปลาของเขา ในนั้นยังมีปลาดีดดิ้นอยู่ด้านในอีกหลายตัว
“ที่ข้าบอกคือไม่มีปลาให้พวกมันกินอีกแล้ว” ตี้ฝูอีตอบอย่างไม่อินังขังขอบ แถมเขายังโมโหเล็กน้อยด้วย “เจ้าหอยสมควรตายตัวนั้น ปลาที่ข้าย่างให้มันยังกล้ารังเกียจอีก!”
กู้ซีจิ่วมองเขา จู่ๆ ก็รู้สึกขบขันอยู่บ้าง จู่ๆ เธอก็พบว่าพอสลัดคราบท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายออกไปแล้ว ความจริงแล้วบางครั้งเขากโกรธเหมือนเด็กๆ อยู่บ้าง
คนผู้นี้คงจะเคยชินกับการสูงส่งอยู่เหนือปวงชน ไม่ได้พบความพ่ายแพ้เช่นนี้สักเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงเย่อหยิ่งเป็นที่สุด
“อ๋อ ใช่แล้ว ตี้ฝูอี สรุปแล้วพวกเราจะสลับร่างคืนได้เมื่อไหร่?” กู้ซีจิ่วลากหัวข้อนี้กลับมาอีกครั้ง
ตี้ฝูอีเลิกคิ้วมองเธอ “ไม่สนใจตำแหน่งนี้ของข้าจริงหรือ?”
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตนสนทนากับเขาก็เหมือนบัณฑิตพบหน้าทหาร ถึงมีเหตุผลก็กล่าวได้ไม่กระจ่าง
ดังนั้นเธอจึงตอบเขาอย่างตรงไปตรงมานัก “ไม่สนใจ! ให้เปล่าข้าก็ไม่เอา!”
ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ “นี่เกรงว่าจะมิได้ขึ้นอยู่กับเจ้า…”
————————————————————————————-
บทที่ 781
“อะไรนะ?” กู้ซีจิ่วได้ยินไม่ชัด
“ข้าบอกว่าถ้าต้องการสลับร่างคืน ต้องให้เจ้าเสียสะสักหน่อย”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “เสียสละอะไร?”
“ร่วมห้องกับข้า” ตี้ฝูอีปาระเบิดออกมาโดยตรง
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน “อะไรนะ?” ตอนนี้เธออยู่ในร่างของเขามีฐานะเป็นบุรุษ ส่วนเขามีฐานะเป็นสตรี
ร่วมห้อง…หรือว่าจะให้ตนใช้ร่างนี้เล่นพลิกผ้าห่มกับเขา?
กู้ซีจิ่วตื่นตระหนกแล้ว!
ถึงเธอจะห้าวหาญดุดัน ถึงแม้จะเหมือนเด็กผู้ชายอยู่บ้าง แต่อย่างไรเสียเธอก็เป็นเด็กผู้หญิงมาเนิ่นนานปี ต่อให้ยามนี้เธอจะมีร่างกายเป็นชาย ทว่าเธอก็ไม่ได้มีความรู้สึกแบบผู้ชายจริงๆ เธอเกรงว่าพอถึงเวลาเธอจะ…จะไม่แข็งขึ้นมา…
แถมเธอก็คิดไว้แล้วว่าจะใช้ร่างกายอันผุดผ่องครองคู่โบยบินไปกับหลงซือเย่ ไม่ต้องการจะเสียความบริสุทธิ์ไปเพราะวิธีห่าเหวเช่นนี้
กล่าวอีกนัยคือให้ตัวเองขึ้นคร่อมตัวเอง…
เกรงว่าเธอจะทำไม่ลงจริงๆ
ใบหน้าเธอเดี๋ยวเขียวเดี่ยวซีด ขึงตามองตี้ฝูอี “เจ้าหลอกลวงข้ากระมัง?! ไหนเลยจะมีการใช้วิธีวิปริตเช่นนี้?!”
ตี้ฝูอีจ้องหน้าเธอครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะกุมขมับ “ซีจิ่ว ว่ากันตามจริง ข้าไม่คิดเลยจริงๆ ว่าใบหน้านั้นของข้าจะแสดงอารมณ์ได้หลากหลายปานนี้ เจ้าทำให้มันยุ่งเหยิงวุ่นวายมากเกินไปแล้ว”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
ตี้ฝูอีพูดต่อไป “อีกอย่างก็แค่นอนร่วมห้องกันเท่านั้น วิปริตอย่างไร? ถ้าพวกเราอยากสลับร่างคืน จะต้องรอให้พลังวิญญาณในร่างนั้นของข้าฟื้นฟูกลับมาหนึ่งในสิบ ถ้าอยากให้ฟื้นฟูเร็วขึ้น ก็จำเป็นต้องใช้วิธีฝึกฝนพิเศษอย่างหนึ่ง วิธีนั้นซับซ้อนมาก เจ้าฝึกฝนด้วยตัวเองไม่ได้ ทำได้เพียงให้ข้าจับตามองอยู่ข้างๆ ตลอด คอยชี้แนะเจ้าอยู่ตลอดเวลาถึงจะใช้ได้…”
ที่แท้การร่วมห้องที่เขาบอกมีความหมายเช่นนี้นี่เอง
กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก
ทำไมเขาไม่บอกให้เร็วกว่านี้! ทำให้เธอเข้าใจผิดไป…
ตี้ฝูอีคล้ายจะนึกอะไรได้ ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา “คำว่าร่วมห้องนี้ที่โลกนั้นของเจ้ามีความหมายอื่นด้วยใช่หรือไม่?”
กู้ซีจิ่วตอบทันที “ไม่มี!”
ตี้ฝูอีจ้องเธออยู่ครู่หนึ่ง จ้องจนกู้ซีจิ่วแทบขนลุก จึงขึงตามองเขาอย่างขุ่นเคือง “มองอะไร? หน้านี้เป็นหน้าของท่าเอง ยังมองไม่พออีกหรือ?”
ตี้ฝูอีนั่งลงอีกครั้ง “ยืนมองจากมุมนี้ยังไม่นานมากเท่าไหร่” จากนั้นก็พยักหน้าอย่างพอใจ “ข้าช่างหล่อเหลาเหลือเกิน ไม่ว่าจะมองอย่างไรล้วนดูดียิ่งนัก”
กู้ซีจิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็มอบคำวิจารณ์ให้เขา “ตี้ฝูอี ข้ารู้สึกว่าไม่ว่าจะมองอย่างไรหนังหน้าท่านก็หนายิ่งนัก”
ตี้ฝูอีหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ซีจิ่ว ยังคงเป็นเจ้าที่รู้จักข้าดี…”
ปลาในมือเขาย่างสุกแล้ว ยื่นไปให้กู้ซีจิ่วอย่างคึกคักสนใจ “มาเถอะ ชิมฝีมือข้าดู”
ว่ากันตามจริง ปลาที่เขาย่างอร่อยไม่เท่าปลาที่กู้ซีจิ่วย่างจริงๆ แถมกู้ซีจิ่วก็ไม่เคยเหรงใจเขาอยู่แล้ว ชิมไปคำหนึ่งก็ส่ายหน้า “ไม่อร่อย! มิน่าเล่าเจ้าหอยยักษ์ถึงรังเกียจ” ซ้ำยังกล่าวโจมตีเขาอีกครั้ง “ข้าว่าปลาตัวนี้ขนาดสุนัขยังไม่แลเลย”
ตี้ฝูอีได้รับความสะเทือนใจ…
เขาก็ท้อแท้เช่นกัน เขาย่างปลาตามขั้นตอนของกู้ซีจิ่วแล้วชัดๆ เหตุใดถึงไม่ได้ผลล่ะ?
“สาเหตุมาจากปลาตัวนี้หรือเปล่า? บางทีปลาตัวนี้อาจจะรสชาติไม่ดีแต่แรกอยู่แล้ว” ตี้ฝูอีเริ่มวิเคราะห์หาสาเหตุ
กู้ซีจิ่วปรายตามองเขาแวบหนึ่ง หยิบปลาออกมาจากข้องโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร
เธอจะย่างปลาให้เขาเห็นหลายๆ ตัว การกระทำสำคัญกว่าคำพูด! เฮอะ!
การกระทำสำคัญกว่าคำพูดจริงๆ กู้ซีจิ่วย่างปลาออกมาหลายตัว ให้เขาชิมดู ตี้ฝูอีจึงไม่พูดอะไรอีก
ทั้งสองคนเฝ้ากองไฟกินปลาย่างไปหลายตัว ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็นึกถึงใครอีกคนขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว จิ้งจอกน้อยล่ะ?”
————————————————————————————-
บทที่ 782 ใช่คนที่เขาอยากจะกอดก็กอดได้หรือ
“แน่นอนว่าตะเพิดไปแล้ว” ตี้ฝูอีตอบอย่างไม่แยแสนัก
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นว่ามุมปากของกู้ซีจิ่วเปื้อนคราบมัน เขาทนเห็นผู้อื่นไม่เรียบร้อยไม่ได้เป็นที่สุดจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปเช็ดให้เธอ “กินปลาตัวเดียวก็ยังกินจนปากมันได้…”
ในวินาทีนี้ เขาเข้าใกล้เธอมาก
จมูกกู้ซีจิ่วได้กลิ่นหอมคลับคล้ายสมุนไพรและบุปผาที่แสนคุ้นเคยจากร่างเขา…
เธอตะลึงไปแวบหนึ่ง เงยหน้าขึ้นทันที
เนื่องจากเขาอยู่ใกล้เธอมาก เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นเช่นนี้ กลีบปากจึงสัมผัสปลายคางอีกฝ่ายเข้าพอดี…
เธอตัวแข็งทื่อ เขาก็ตัวแข็งทื่อเช่นกัน
“พวกเจ้า…” ทันใดนั้นตรงประตูก็มีเสียงดัง ‘เพล้ง!’ แว่วขึ้น
กู้ซีจิ่วชะงักแวบหนึ่ง หันไปตามสัญชาตญาณ มองเห็นหลงซือเย่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางไร้วิญญาณ ใบหน้าซีดเผือด เดิมทีเขาถือชามยาใบหนึ่งไว้ในมือ บัดนี้หล่นอยู่บนพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ น้ำยาหกอยู่บนพื้น
เธอแทบจะทำไปตามสัญชาตญาณ จัดการผลักตี้ฝูอีที่อยู่ห่างจากเธอไม่ถึงขึ้นครึ่งฉื่อออกไปทันที…
ตี้ฝูอีไม่ได้ระวัง ถูกเธอผลักจนซวนเซ ถอยหลังไปหลายก้าว ทันใดนั้นพลันมีคนมาโอบเอวเขาไว้จากด้านหลัง “ซีจิ่ว!”
เส้นขนแทบทั้งร่างของตี้ฝูอีแทบลุกชันขึ้นมา!
เขาย่อมทราบว่าเกิดอะไรขึ้น พลันถองศอกไปด้านหลังทันที!
ถึงแม้ร่างกายเล็กๆ นี้ของกู้ซีจิ่วจะได้บาดเจ็บสาหัส แต่ภายใต้การบำรุงรักษาของตี้ฝูอี ได้ฟื้นฟูขึ้นมาไม่น้อยแล้ว ประกอบกับตัวตี้ฝูอีเองเรียนรู้มามากมายหลายสิ่ง เรียกได้ว่าเป็นแทบทุกอย่าง เชี่ยวชาญวิชาหมัดมวยยิ่งนัก และเจ้าเล่ห์อย่างยิ่งด้วย
การถองศองครั้งนี้ของเขาชนเขาที่เอวของหลังซือเย่ แถมยังชนในตำแหน่งที่จะก่อให้เกิดความเจ็บปวดมหันต์อีกด้วย หลงซือเย่ร้องอั้กคราหนึ่ง แทบจะขดตัวทันที
ตี้ฝูอีเคลื่อนตัวออกห่างหนึ่งจั้งอย่างรวดเร็ว สีหน้ามืดครึ้ม เขาได้รับความสะอิดสะเอียนเข้าแล้ว!
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้รวดเร็วยิ่งนัก กู้ซีจิ่วตะลึงพรึงเพริด อดไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไปหาหลงซือเย่ “หลงซือเย่…”
หลงซือเย่หยัดกายขึ้นมาในทันใด จ้องตี้ฝูอีอย่างดุดันแวบหนึ่ง สายตานั้นเยียบเย็นนัก เปี่ยมด้วยเจตนาชิงชังสังหาร
เป็นครั้งแรกที่กู้ซีจิ่วถูกเขามองด้วยสายตาเช่นนี้ หนังศีรษะพลันชาหนึบ ถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ
และหลงซือเย่ก็ไม่มองเธออีก เพียงจ้องตี้ฝูอีแวบหนึ่ง น้ำเสียงเศร้าสร้อย “ซีจิ่ว ที่แท้คนที่เธอชอบก็คือเขา เธอไม่รักฉันแล้วใช่ไหม?”
เขายิ้มขื่นๆ แวบหนึ่ง หันหลังจากไปทันที!
กู้ซีจิ่วอ้าปากหวอ ไล่ตามไปได้สองก้าวก็หยุดนิ่ง ตะลึงงันอยู่ชั่วครู่ หลงซือเย่ก็จากไปไกลแล้ว!
กู้ซีจิ่วยืนทึ่มอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง พุ่งไปหาตี้ฝูอีทันที ดึงคอเสื้อเขาไว้ กล่าวอย่างเดือดดาล “ตี้ฝูอี เจ้าตีเขาทำไม?!”
ตี้ฝูอีก็โมโหเหมือนกัน “แล้วข้าใช่คนที่เขาอยากจะกอดก็กอดได้หรือ?!”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
เธอปล่อยตัวเขาอย่างห่อเหี่ยวในทันใด นั่งยองๆ บนพื้น
ตี้ฝูอีหลุบตามองเธอที่นั่งยองๆ อยู่บนพื้น ครุ่นคิดแวบหนึ่ง ลงไปนั่งยองๆ ข้างเธอ “ซีจิ่ว อันที่จริงข้าดีใจมาก”
กู้ซีจิ่วอยากถีบเขาให้กระเด็นนัก แต่พอนึกถึงว่าสิ่งที่จะถูกถีบออกไปคือร่างกายของตน เธอจึงล้มเลิกไปอีก กล่าวอย่างชิงชัง “เจ้า[A1] ดีใจบ้าบออันใด?!ยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นสินะ?!”
ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ ตอบว่า “เจ้าโกรธเคืองถึงเพียงนี้ก็ยังไม่ผลุนผลันไปอธิบายต้นสายปลายเหตุให้เขาทราบ นี่ยืนยันได้ว่าเจ้ายังคงเกรงว่าข้าจะเกิดเรื่อง ในใจของเจ้ามีข้าอยู่…”
กู้ซีจิ่วอึกอักเล็กน้อย “เจ้าคิดมากไปแล้ว! นั่นเป็นเพราะตัวข้าเดิมทีก็มิใช่คนหุนหันพลันแล่นอยู่แล้ว อีกอย่างปกติแล้วเรื่องที่ข้ารับปากไว้ก็จะทำให้ได้ นี่คือปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือ ไม่เกี่ยวอะไรกับการมีเจ้าอยู่ในใจสักนิด!”
————————————————————————————-
[A1]เวลาน้องจิ่วโกรธหรือโมโหจะเรียกแทนตัวตี้ฝูอีว่าเจ้าค่ะแต่ถ้าอยู่ในอารมณ์ปกติ หรือถกเถียงทั่วไปน้องก็จะเรียกท่าน
บทที่ 783 ข้าไม่เห็นอะไรอีกแล้ว
ตี้ฝูอีที่อยู่ด้านข้างมองใบหน้าโมโหฟึดฟัดของนาง มองอย่างไรกรู้สึกประหลาด อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
กู้ซีจิ่วถูกเขาหัวเราะโทสะก็พวยพุ่ง ผลักเขาด้วยความเหลืออด “เจ้าหัวเราะผีสางอันใด?”
ตี้ฝูอีถูเธอผลักจนซวนเซ ทว่ายังไม่หยุดหัวเราะอยู่เช่นเดิม
กู้ซีจิ่วพาลโกรธแล้ว กระโจนเข้าไปแล้วอุดปากเขา “เจ้ายังหัวเราะอยู่อีก!”
เธอใช้แรงตอนพุ่งเข้าไปเยอะไปหน่อย ตี้ฝูอีถูกเธอพุ่งใส่ตรงๆ จึงล้มลง โดยมีกู้ซีจิ่วคร่อมอยู่บนร่างเข้าพอดี นั่งทับบนเอวเขา มือใหญ่อุดปากน้อยๆ สีแดงระเรื่อดังผลอิงเถาไว้ (ลูกเชอร์รี่) ขึงตามองลงไปที่เขา “ถ้าเจ้าหัวเราะอีกข้าจะอุดปากเจ้าให้ตายซะ!”
ตี้ฝูอีถูกเธออุดปากไว้ย่อมหัวเราะไม่ออกแล้ว ส่งเสียงอู้อี้ออกมา “ได้ ข้าไม่หัวเราะแล้ว”
เขาบอกว่าไม่หัวเราะแล้ว แต่ดวงตาคู่นั้นกลับหยีโค้งดุจจันทร์เสี้ยว เห็นได้ชัดนักว่าเขายังขำอยู่
เขาถูกนางกดไว้ใต้ร่าง ดิ้นรนไม่ได้ชั่วคราว และคร้านจะดิ้นรนด้วย จึงเอาศีรษะหนุนมือเสียเลย มองนางยิ้มๆ
มองนางที่กระฟัดกระเฟียดทว่าดวงตากลับเปล่งประกายแวววาว มองริมฝีปากที่เม้มเข้าหากัน…
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าใบหน้านั้นของตนก็ทำให้เขาใจเต้นได้ถึงเพียงนี้ ปรารถนาจะยืดกานขึ้นไปจุมพิตเหลือเกิน…
เขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปปลดหน้ากากบนหน้านาง นิ้วมือสัมผัสใบหูของนาง หูนั้นร้อนผ่าวเล็กน้อย
ความร้อนนั้นคล้ายจะสามารถแทรกซึมผ่านปลายนิ้วตรงเข้าสู่หัวใจคนได้ หัวใจเขาพลันสั่นไหว พลิกตัวขึ้นมาทันที
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะอยู่ในร่างสตรี แต่พละกำลังของร่างนี้ฟื้นฟูกลับมาแล้ว แถมเขายังแตกฉานศิลปะการต่อสู้อย่างล้ำลึก ประกอบกับกู้ซีจิ่วที่อยุ่ด้านบนไม่ทันระวัง เขาจึงพลิกตัวสำเร็จ
คนทั้งสองสลับตำแหน่งกัน เปลี่ยนเป็นตี้ฝูอีอยู่ด้านบน ส่วนหน้ากากบนหน้ากู้ซีจิ่วก็ร่วงหล่นลงไปเช่นกัน ตี้ฝูอีเป็นตัวที่ไม่รู้จักความเกรงใจใดๆ ผู้หนึ่ง ด้วยจิตใจที่ปั่นป่วนของเขา จึงก้มลงไปจุมพิมริมฝีปากของกู้ซีจิ่ว…
กู้ซีจิ่วคาดไม่ถึงว่าจะถูกเขากดไว้ด้านล่าง แล้วจะไม่ขัดขืนได้อย่างไร?
พลันเอียงศีรษะ หมายจะงอเข่าถีบออกไป ทว่าตี้ฝูอีเตรียมป้องกันไว้ก่อนแล้ว ขาอยู่บนขาอีกข้างของเธอ เขาใช้ทักษะที่แยบยล ควบคุมขางของเธอไว้พอดี ทำให้เธอถีบไม่ได้…
‘ตุบ…’ มีเสียงดังแว่วมาจากประตู คนทั้งสองที่กำลังพัวพันกันอยู่พร้อมใจกันแข็งทื่อ หันไหน้าปมอง
พบว่าหลานไว่หูยืนเบิกตากว้างอยู่ตรงนั้น ท่าทางคล้ายถูกผ่าฟ้าอีกหน
“ขะ…ข้า…ข้าไม่เห็นอะไรอีกแล้ว!” หลานไว่หูวิ่งหนีไปดังพายุลูกหนึ่ง บนพื้นมีผลไม้กลิ้งอยู่สองลูก
ชัดเจนยิ่งนัก จิ้งจอกน้อยมาส่งผลไม้ให้ ‘กู้ซีจิ่ว’
นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็น ‘กู้ซีจิ่ว’ กด ‘ตี้ฝูอี’ ไว้ตรงนั้นอย่างผิดจารีต…
กู้ซีจิ่วอย่างร่ำไห้ทว่าไร้น้ำตา กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าต่อให้เธอกระโดดลงมหาสมุทรแปซิฟิกก็ล้างได้ไม่หมดจดแล้ว!
….
เรื่องการสลับร่างกลายเป็นเรื่องเร่งด่วน กู้ซีจิ่วใคร่ครวญอยู่สามตลบในที่สุดก็ยอมให้ตี้ฝูอีย้ายอยู่ร่วมบ้านกับเธอ…ไม่สิ นอนร่วมห้องต่างหาก
ส่วนหลงซือเย่นั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เธอยังตามไปอธิบายในตอนนี้ไม่ได้จริงๆ ทำได้เพียงปล่อยให้เขาเข้าใจผิดไปก่อน
กู้ซีจิ่วมีแผนการของตัวเอง จากถ้อยคำของตี้ฝูอี หากฝึกฝนตามวิธีของวิธีที่เขาบอก ร่างนี้ของเขาจะสามารถฟื้นฟูพลังยุทธ์ส่วนหนึ่งกลับมาได้ภายในครึ่งเดือน ต่อให้ไม่อาจฟื้นคืนมาอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ฟื้นฟูคืนมาจนงสามารถใช้วิชาสลับร่างได้
เมื่อถึงเวลาทั้งสองคนสลับร่างกันสำเร็จ ต่างฝ่ายต่างกลับสู่ฐานะ เช่นนั้นหลังจากรอให้ตี้ฝูอีฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์แล้ว เธอค่อยไปอธิบายกับหลงซือเย่
เธอพูดคุยกับตี้ฝูอีไว้ดิบดีแล้ว ว่าภายหน้าจะจำเป็นต้องเล่าเรื่องการสลับร่างนี้ให้หลงซือเย่ทราบ มิเช่นนั้นเธอก็จนปัญญาจะอธิบายพฤติกรรมเช่นนี้กับหลงซือเย่จริงๆ
พอถึงยามนั้นตี้ฝูอีฟื้นฟูสมบูรณ์แล้ว ก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดจะประสงค์ร้ายต่อเขาอีก
————————————————————————————-
บทที่ 784 คืนนั้นต้องถูกภูผีดลใจเป็นแน่!
ตามความคิดของกู้ซีจิ่ว ยามนี้สมควรจะพูดคุยกับหลงซือเย่ เธอรู้สึกว่าคนอย่างหลงซือเย่คงไม่คิดร้ายต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ขอเพียงเอ่ยเรื่องราวออกไป เธอเชื่อว่าหลงซือเย่สามารถเข้าใจทุกอย่างได้ ถึงอย่างไรหลงซือเย่ก็เป็นคนสัตย์ชื่อยุติธรรมเที่ยงตรงมาโดยตลอด ชื่อเสียงในทวีปนี้ถึงขั้นดีกว่าตี้ฝูอีด้วยซ้ำ
เขากับหลงซือเย่เป็นสานุศิษย์สวรรค์เหมือนกัน ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เขาย่อมไม่คิดจะสังหารตี้ฝูอีเป็นแน่ ไม่แน่หลังจากทราบความจริงแล้ว อาจสามารถใช้ทักษะการแพทย์ของเขาเพื่อปกป้องคุ้มครองทั้งสองคนได้ด้วย
ไม่ว่ากู้ซีจิ่วจะพูดจนปากเปียกปากแฉะกับตี้ฝูอีอย่างไร ตี้ฝูอีก็ไม่ยอม
กู้ซีจิ่วจนปัญญา ทำได้เพียงบีบให้เขาเลือกเงื่อนไขที่สอง ก็คือหลังจากสลับร่างคืนสำเร็จแล้วค่อยบอกความจริงแก่หลงซือเย่…
ตี้ฝูอีที่อยู่ภายใต้สถานการณ์ซึ่งถูกกู้ซีจิ่วข่มขู่ว่า ‘ถ้าท่านไม่เห็นด้วยข้าจะไปเปิดโปงความจริงตอนนี้เลย’ สุดท้ายจึงเลือกเงื่อนไขที่สอง
ด้วยเหตุนี้เลยนับว่าพึงพอใจกันถ้วนหน้า
กู้ซีจิ่วย้ายตี้ฝูอีไปพักฟื้นในเรือนเล็ก เรื่องแบบนี้ดึงดูดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนได้ง่ายมาก
ดังนั้นตี้ฝูอีจึงเสนอความคิดหนึ่งให้กู้ซีจิ่ว ให้เธอใช้ฐานะของตี้ฝูอีออกหน้าไปเจราจากับกู่ฉานโม่ บอกว่าอาการบาดเจ็บของกู้ซีจิ่วมีปัญหาหนักหนายิ่ง จำเป็นต้องย้ายไปพักฟื้นในเรือนเล็กของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถึงจะหายเร็วขึ้น…
กู่ฉานโม่ย่อมไม่คัดค้าน เขามองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีความสุข
ในสายตาเขา การที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายรักใคร่เอ็นดูกู้ซีจิ่วอีกครั้งคือกระจกร้าวหวนประสาน อย่างไรเสียเมื่อก่อนคนทั้งสองก็เคยหมั้นหมายกัน สมควรเป็นคู่สวรรค์สร้าง ปฐพีกำหนดให้ครองคู่
แน่นอน นี่เป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดเอง เขายังต้องถามความเห็นจากตัวกู้ซีจิ่วด้วย
ด้วยเหตุนี้ เขาเลยไปสอบถามความเห็นจาก ‘กู้ซีจิ่ว’ ‘กู้ซีจิ่ว’ ก็มีท่าทีสบายๆ ตอบรับอย่างยินดีนัก
ท่าทีที่ดูเปิดเผยชัดเจนของสองคนนี้ ทำให้กู่ฉานโม่รู้สึกว่าตัวเองคิดมากไปหน่อย
ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ชายหญิงอยู่ร่วมกัน ย่อมดึงดูดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนได้ง่าย หากว่าไม่ทำการชี้แจง เกรงว่าข่าวลือจะแพร่ออกไปปานบุปผาเบ่งบาน
ดังนั้นกู่ฉานโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เชิญทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาประกาศเรื่องนี้ต่อหน้าสาธารณะชน ทำทุกอย่างให้ชัดเจนเปิดเผย กันไม่ให้ฝูงชนเอาไปนินทาลับหลัง
กู้ซีจิ่วโศกตรมอยู่ในใจ เธอไม่อยากข้องแวะกับตี้ฝูอีอีกแล้ว ทว่าเนื่องจากสลับร่างกันจึงต้องลงเรือลำเดียวกับเขา อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย
เธอประณามตัวเองในใจอีกครั้งเป็นรอบที่รอบแล้ว คืนนั้นตนสมองฝ่อหรือไงถึงไปช่วยเขาไว้? ถ้าปล่อยให้เขาถูกเสือดาวลากไปจะดีกว่านี้หรือเปล่า? ด้วยความเก่งกาจของเขา เขาคงไม่โดนเสือดาวขย้ำหรอก
คืนนั้นตนต้องถูกภูผีดลใจเป็นแน่!
เสียใจแล้วก็เสียใจไป เสียใจมากแค่ไหนก็ย้อนทุกอย่างกลับมาไม่ได้แล้ว ดังนั้นเธอทำได้เพียงก้าวไปในทิศทางที่เหมาะสมที่สุด
เธอใช้ฐานะของตี้ฝูอีประกาศเรื่องนี้ต่อหน้าสาธารณะชน เป็นธรรมดายิ่งนักที่จะก่อให้เกิดปรากฏการณ์หินหนึ่งก้อนสะท้อนพันคลื่น ฝูงชนประหลาดใจยิ่งนัก ทว่ากลับมีท่าทีคล้ายว่าเป็นไปตามที่คาดไว้อีกด้วย
ยามที่เธอประกาศเรื่องข่าวนี้ อวิ๋นชิงหลัวก็ฟังอยู่ด้านล่างด้วย ใบหน้านางซีดเซียวลงระดับหนึ่ง สายตาของฝูงชนพากันมองมาที่นาง ทำให้นางแทบจะยืนไม่ติดที่
หลงซือเย่ก็อยู่ด้วย สีหน้าของหลงซือเย่ก็ขาวเผือดไม่น้อยเช่นกัน สายตาเขามุ่งตรงมาที่เธอ!
กู้ซีจิ่วรู้สึกผิดอยู่บ้าง ในใจก่นด่ากฎเวรตะไลของตี้ฝูอีอีกคราหนึ่ง เธอไม่อยากสบตากับหลงซือเย่ ดังนั้นจึงหลบตาไปเสียดื้อๆ
หลงซือเย่จ้องเธออยู่ครู่หนึ่ง ริมฝีบางเม้มนิดๆ แล้วมองไปที่ตี้ฝูอีซึ่งอยู่ในร่างกู้ซีจิ่ว ทว่าตี้ฝูอีกลับไม่มองเขาเลย สายตาเขามองตรงไปที่กู้ซีจิ่ว…
หลงซือเย่ก้าวเข้าไปแล้วเอ่ยกับกู้ซีจิ่วว่า “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย อาการป่วยของซีจิ่วผู้แซ่หลงก็พอทราบเล็กน้อยเช่นกัน เพื่อให้การรักษาของนางมีประสิทธิภาพเต็มที่ ให้นางฟื้นฟูได้ดั่งเดิม จำเป้นต้องให้นางเข้าพักในเรือนของทูตสวรรคืฝ่ายซ้ายด้วยหรือ?”
บทที่ 785 มิสู้รับเจ้าเป็นบุตรสาวบุญธรรมเสีย
“ถึงอย่างไรชายหญิงก็มีข้อแตกต่าง อยู่ร่มเรือนเช่นนี้เกรงว่าจะถูกคนวิพากษ์วิจารณ์เอาได้ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายนั้นไม่เท่าไหร่ ผู้อื่นเพียงร่ำลือว่าเป็นเรื่องสำราญหวานซึ้ง เรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลต่อชื่อเสียงของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมากนัก แต่ซีจิ่วนั้นไม่ได้ เกรงว่าพอผ่านเรื่องนี้ไป ชื่อเสียงของนางจะมัวหมอง เป็นเรื่องเล่าขานที่ไม่น่าฟัง” วาจาจริงใจประโยคนี้ของหลงซือเย่เต็มไปด้วยความจริงจัง
อันที่จริงเขากล่าวได้มีเหตุผลยิ่งนัก ฝูงชนอดไม่ได้ที่จะลอบพยักหน้าเห็นด้วย กู่ฉานโม่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เสนอความคิดเห็นอันชาญฉลาด “ข้าผู้เฒ่าจำได้ว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเคยมีสัญญาหมั้นหมายกับกู้วีจิ่วใช่หรือไม่? หากว่ารื้อฟื้นสัญญาหมั้นหมายนี้เสีย เช่นนี้ก็ไม่ต้องเกรงคำคนครหาแล้ว”
ฝูงชนพากันคล้อยตาม
หลงซือเย่เงียบงัน เขานึกไม่ถึงว่าวาจาโจมตีของตนจะชักนำให้กู่ฉานโม่กล่าวเช่นนี้ออกมา จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
กู้ซีจิ่วก็ขมวดคิ้วเช่นกัน เธอคิดแค่เรื่องที่จะสลับร่างคืนเท่านั้นจริงๆ เรื่องอื่นไม่อยู่ในความคิดของเธอเลย
แต่ยามนี้สายตาทั้งหมดล้วนมองมาที่เธอ คล้ายจะรอให้เธอตัดสินใจ
กู้ซีจิ่วร้อนรนอยู่ในใจ จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา รีบส่งสายตาให้ตี้ฝูอีทันที แววตาเอื้อเอ็นดูรางๆ “กู้ซีจิ่ว ถึงแม้ข้าจะเคยมีสัญญาหมั้นหมายกับเจ้า แต่ถึงอย่างไรก็ล้มเลิกไปแล้ว เดิมทีเจ้ากับข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไปแล้ว แต่เห็นแก่ที่เจ้าเป็นศิษย์ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เจ้าบาดเจ็บสาหัสข้าไม่อาจนิ่งดูดายได้ ข้าบริสุทธิ์ใจไม่แย่แสคำครหาของคนเหล่านั้น แต่เจ้านั้นถึงอย่างไรก็เป็นสตรี…อืม มิสู้เอาเช่นนี้ ข้าอายุมากกว่าเจ้าหลายสิบปี มากเกินพอจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของเจ้า มิสู้รับเจ้าเป็นบุตรสาวบุญธรรมเสีย เช่นนี้ก็หลีกเลี่ยงคำติฉินนินทาเหล่านั้นได้แล้ว”
ฝีเท้าของตี้ฝูอีซวนเซนิดๆ มองเธออย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม “บุตรสาวบุญธรรม?”
กู้ซีจิ่วพยักหน้าแข็งขัน “มิผิด”
ด้วยเหรงว่าเขาจะปฏิเสธทันทีอีก เธอจึงส่งกระแสเสียงไปหาเขาอีกครั้ง ‘ตี้ฝูอี เพื่อชื่อเสียงของข้า ก็มีแต่ต้องเป็นเช่นนี้ไปก่อน’
ตี้ฝูอีส่งกระแสเสียงกลับมา เจ้าคิดจะทำให้ชื่อเสียงข้าวุ่นวายในอนาคตสินะ?‘’
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว ‘ตี้ฝูอี ข้าเคยบอกแล้วไง ว่าคนที่ข้าอยากแต่งให้คือหลงซือเย่ การลงเรือลำเดียวกับท่านในยามนี้มิใช่ความตั้งใจเดิม เมื่ออยู่บนพื้นฐานที่ไม่อาจบอกกล่าวสาเหตุที่แท้จริงได้ ก็มีแต่ต้องอาศัยชื่อเสียงเช่นนี้มาปิดบังไปก่อน ข้าไม่อาจทำร้ายเขาจนเกินไปได้!’
เขาจากปากของเธอย่อมหมายถึงหลงซือเย่
ตี้ฝูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง ‘ได้ แล้วแต่เจ้า!’
กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก ตอนนี้เธอมีแต่ต้องทำเช่นนี้แล้ว
เช่นนี้เธอก็มีคำอธิบายให้หลงซือเย่แล้ว
สำหรับการใช้ชีวิตร่วมห้องกันในอนาคตนั้น กู้ซีจิ่วมิได้หวั่นเกรงเล่ห์กลของตี้ฝูอีเลย
ถึงอย่างไรตอนนี้เธอก็เป็นผู้ชาย ความได้เปรียบอยู่ในมือเธอ ขอเพียงเธอกุมไว้ให้มั่น ตี้ฝูอีคงไม่อาจควบคุมร่างกายของกู้ซีจิ่วมาข่มเหงเธอได้กระมัง?
บุรุษข่มเหงสตรีนั้นง่ายดายนัก ทว่าสตรีคิดข่มเห่งบุรุษนั้นไม่ง่ายเลย…
ในเมื่อต้นเรื่องทั้งสองคนล้วนเห็นพ้อต้องกัน คนอื่นย่อมไม่พูดเป็นอื่นเช่นกัน
หลงซือเย่มองคนนี้ที มองคนนั้นที ความคิดลุ่มลึกพาดผ่านนัยน์ตา เขาก็ไม่พูดจาเป็นอื่นอีกเช่นกัน เรื่องนี้จึงจบลงด้วยประการฉะนี้
ด้วยเหตุนี้ในช่วงเย็น ในที่สุดตี้ฝูอีในร่างของกู้ซีจิ่วก็ได้หอบข้าวหอบของกลับไปนอนที่เรือนของตน นอนหลับบนเตียงใหญ่ของตน
วิธีฝึกฝนของตี้ฝูอีต้องฝึกแค่ยามพลบค่ำเท่านั้นถึงจะได้ ตอนกลางวันสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ดังนั้นกู้ซีจิ่วในร่างตี้ฝูอีจึงไปสอนที่ชั้นเรียนเมฆาม่วง
ตี้ฝูอีก็มีน้ำใจยิ่งนัก ตอนเย็นได้บรรยายให้เธอฟัง ให้เธอท่องจำ เพื่อที่จะได้นำไปหลอกศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงเหล่านั้นในวันพรุ่งนี้
————————————————————————————-
บทที่ 786 ยากกว่าใช้เท้าเล่นเปียโน
ตี้ฝูอีเขียนเนื้อหาประกอบการบรรยายเรื่องที่ลึกซึ้งด้วยถ้อยคำที่เรียบง่ายยิ่งนัก แต่สำหรับกู้ซีจิ่วที่ไม่เคยได้สัมผัสศาสตร์แขนงนี้มาก่อนเลย อีกทั้งค่อนข้างล้ำลึก ศัพท์บางคำเธอก็ไม่เข้าใจเลย และตี้ฝูอีคงจะถูก ‘แผนการบุตรสาวบุญธรรม’ ทำให้มีน้ำโห หลังจากเขียนบรรยายให้เธอแล้วก็ปล่อยให้เธอทำความเข้าใจด้วยตัวเอง ส่วนเขาเดินตัวปลิวออกไป
เดินเล่นกลับมารอบหนึ่ง ก็ใกล้ถึงเวลาฝึกฝนของกู้ซีจิ่วแล้ว ตี้ฝูอีสั่งให้เธอนั่งสมาธิ จากนั้นก็ชี้แนะปทีละขั้นๆว่าต้องโคจรพลังอย่างไร ดูดรับแก่นแท้ของฟ้าดินอย่างไร ให้ไอวิญญาณไหลเวียนผ่านจุดเหล่านั้น…
หลังจากฝึกฝนเสร็จในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ทราบว่าตี้ฝูอีไม่ได้หลอกลวงเธอ วิชายุทธ์ชุดนี้ค่อนข้างซับซ้อนเหนือธรรมดาจริงๆ ยากกว่าใช้เท้าเล่นเปียโนเสียอีก แถมยังดำเนินขั้นตอนผิดพลาดไม่ได้อีกด้วย…
เคราะห์ดีที่กู้ซีจิ่วเฉลียวฉลาดพอ ตอนที่ตี้ฝูอีบอกขั้นตอนเหล่านั้นแก่เธอเธอก็พยายามจดจำไว้สุดชีวิต จากนั้นก็ทำตามทีละขั้นๆ
ตอนแรกตี้ฝูอีกนึกว่าอย่างไรเสียนางคงต้องทำสักแปดรอบสิบรอบถึงจะไม่ปรากฏข้อผิดพลาด นึกไม่ถึงเลยว่ายามที่นางทำรอบแรกแค่มือไม้สับสบวุ่นวายเล็กน้อยเท่านั้น พอรอบที่สองก็ช้าไปนิดหน่อย แต่ไม่ปรากฏข้อผิดพลาด รอบที่สามนางก็ทำได้เหมือนทุกประการแล้ว
เมื่อตี้ฝูอีเห็นว่าในที่สุดนางก็เข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องแล้วจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก อดไม่ได้ที่จะชมเชย “ไม่เลวเลย! ฉลาดมาก!”
กู้ซีจิ่วภาคภูมิใจ มุมปากยกยิ้มนิดๆ
ยากนักที่จะได้รับการยอมรับจากคนผู้นี้…
แต่พอฝึกเสร็จเธอถึงได้รู้ว่านี่เพิ่งจะเป็นขั้นแรกเท่านั้น หลักจากฝึกวิชายุทธ์ชุดนี้ไปหนึ่งชั่วยาม ก็ต้องเริ่มฝึกวิชายุทธ์ชุดที่สองแล้ว ต้องเริ่มเรียนรู้เนื้อหาใหม่อีกครั้ง แถมวิชายุทธ์ชุดที่สองนี้ซับซ้อนกว่าชุดแรกด้วย ต่อมาก็เป็นชุดที่สาม…
กู้ซีจิ่วที่รู้สึกว่าตนเองเป็นอัจฉริยะแล้ว แต่ยามที่ฝึกฝนสิ่งเหล่านี้ก็รู้สึกว่าสติปัญญาตนไม่เพียงพอให้ใช้แล้ว จำเป็นต้องพัฒนาอย่างเร่งด่วน
ยามที่ฝึกฝนชุดที่สองต้องมีตี้ฝูอีจับตามองอยู่ด้านข้าง ปรากฏข้อผิดพลาดเล็กน้อยเขาก็จะตักเตือน
ทุกข์ทรมานเช่นนี้อยู่รอบหนึ่ง วันรุ่งขึ้นยามที่กู้ซีจิ่วลงจากเตียง ก็ไม่รู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายขึ้นสักเท่าไหร่ กลับรู้สึกว่าหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อยด้วยซ้ำ
เนื่องจากระหว่างที่ฝึกฝนเธอถูกธาตุไฟเข้าแทรกชั่วขณะ กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
ตี้ฝูอีเคี่ยวกรำเธออยู่ทั้งคืนถึงเพียงนั้นจึงค่อนข้างอ่อนล้าอยู่บ้าง
กู้ซีจิ่วลูบขอบตาที่คล้ำเหมือนหมีแพนด้าของตน ค่อนข้างหดหู่ “ตี้ฝูอี วิธีนี้ของท่านไม่ค่อยถูกต้องหรือเปล่า? ข้ารู้สึกว่าสุขภาพร่างนี้ของท่านย่ำแย่กว่าเมื่อวานอีก…”
ตี้ฝูอีเข้ามาตรวจชีพจรเธอครู่หนึ่ง “ไม่ต้องกังวล ค่อนข้างดีกว่าที่ข้าคาดไว้มากนัก ข้านึกว่าเจ้าทนทุกข์เช่นนี้อยู่ทั้งคืนคงจะกระอักเลือดออกมาสักแปดคำสิบคำ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกระอักออกมาเพียงคำเดียว น่าทึ่งมากแล้ว”
กู้ซีจิ่วอับจนวาจา…
เธอมองเขาอย่างนึกสงสัย “วิธีนี้ของท่านไม่มีปัญหาจริงๆ ใช่ไหม? ข้าเกรงว่าฝึกไปฝึกมาร่างนี้ของท่านจะกลายเป็นต้องลมก็ล้มพับเฉกเช่นแม่นางหลิน ภายหน้าไม่ต้องให้ผู้อื่นเรียกขานท่านว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้ว ควรเรียกว่าแม่นางซ้ายแทน”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ “ถึงแม้ข้าจะไม่ทราบว่าแม่นางซ้ายที่เจ้าว่าคือสิ่งใด แต่คิดว่าคงเป็นตัวอ่อนแอขี้โรค ข้ายังไม่น่าเวทนาถึงเพียงนั้น ให้เจ้าทรมานร่างข้าจนแทบล้มประดาตาย วางใจเถิด เจ้าฝึกต่ออีกสักคืนก็น่าจะเห็นผลแล้ว”
เยี่ยมเลย!
กู้ซีจิ่วโล่งอก เงยหน้ามองท้องฟ้า นวดคลึงหว่างคิดด้วยความปวดหัว “สมควรไปสอนได้แล้ว”
กู้ซีจิ่วเคยได้ยินจากหลานไว่หูนานแล้ว ห้องเรียนของชั้นเมฆาม่วงมาตรฐานสูงมาก สูงกว่าชั้นเรียนเมฆาคล้อยไม่รู้กี่เท่า ยามนั้นเธอก็เคยหมายมั่นปั้นมือไว้ ยามที่ประลองก็มุ่งมั่นว่าจะอาศัยความสามารถของตนฝ่าฟันเข้าชั้นเรียนนี้ให้ได้
บทที่ 787 บิดาไม่กลัวเสียหน้าหรอก
ตอนนี้ในที่สุดเธอก็สามารถเข้าชั้นเรียนนี้ได้แล้ว ทว่าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นในฐานะอาจารย์…
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายฐานะน่าเคารพนับถือ ต่อให้เป็นที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แห่งนี้ก็ได้รับความนิยมยิ่งนัก ดังนั้นยามที่กู้ซีจิ่วเข้าไปสอนด้วยฐานะทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นวันแรก มองเห็นเหล่าศิษย์ด้านล่างลุกขึ้นมาแล้วโค้งคำนับเธออย่างพร้อมเพรียง ในใจยังรู้สึกอนิจจังแกมหยิ่งทะนงอยู่บ้าง
แต่หลังจากเริ่มบรรยายไปในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ทราบแจ่มแจ้งแล้วว่าอาจารย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงนี้มิใช่เป็นได้ง่ายๆ!
อย่างที่ทุกคนทราบกัน ศิษย์ของชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่ง (ห้องเรียนที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้นเรียนศิษย์ใหม่)เป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะของแผ่นดินนี้ เป็นผู้มีพรสวรรค์ในหมู่ผู้มีพรสวรรค์ คนเหล่านี้ปราดเปรื่องเฉลียวฉลาดกันทุกคน ย่อมหยิ่งทะนงหัวรั้นกันทั้งสิ้น เจ้าปัญหาไม่น้อยจริงๆ
ระหว่างที่กู้ซีจิ่วบรรยายบทเรียนอยู่ ถ้าทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีจุดที่คลุมเครือแม้เพียงนิด พวกเขาก็ชูไม้ชูมือขึ้นมา และบางทีก็ถามปัญหาออกมา แล้วคอยคำตอบจากกู้ซีจิ่ว
เดิมทีกู้ซีจิ่วฝึกฝนวรยุทธ์มาทั้งคืนก็ค่อนข้างปวดเสียรเวียนเกล้าอยู่แล้ว อีกทั้งเนื้อหาที่ใช้บรรยายตัวเธอก็ไม่ทราบถ่องแท้ บรรยายบทเรียนในยามนี้ก็เป็นแค่การวาดกระบวยตามน้ำเต้าเท่านั้น อันที่จริงมีปัญหาอยู่มากมายที่เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน…
แต่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้สูงส่งจะถูกคนถามจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกก็ไม่เข้าท่านัก ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงส่งสายตาให้ตี้ฝูอีซึ่งนั่งอยู่ที่ด้านล่าง
ไม่นึกเลยว่าตี้ฝูอีในยามนี้จะไม่สื่อใจกับเธอเลย เพียงก้มหัวอ่านตำราเรียนอยู่ตรงนั้น ท่าทางมุมานะเล่าเรียนยิ่งนัก
บัดซบ เจ้าคนผู้นี้ต้องการเห็นเรื่องน่าขันของเธอจริงๆ สินะ?!
ในสายตาเขาตำราเรียนของชั้นเรียนเมฆาม่วงคงไม่ต่างอะไรกับหลักสูตรเด็กประถมเลยกระมัง? เขาจะตั้งอกตั้งใจอ่านถึงเพียงนี้ทำบ้าอะไร?!
เธอสั่งให้ศิษย์ที่ตั้งคำถามคนนั้นคอยก่อนด้วยใบหน้าราบเรียบ บอกว่าเธอจะตอบคำถามของเขาหลังจากบรรยายบทเรียนนี้จบ จากนั้นเธอก็ส่งกระแสเสียงไปหาตี้ฝูอี ‘ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ตอบหน่อย ตอบ’
ตี้ฝูอีทำหูทวนลม ตั้งอกตั้งใจอ่านตำราอยู่เหมือนเก่า
‘ทูตสวรรค์ตี้ ท่านทูตสวรรค์ตี้…’ กู้ซีจิ่วส่งกระแสเสียงอย่างต่อเนื่อง
ตี้ฝูอียังคงแกล้งตายต่อไป ซ้ำยังก้มลงไปเขียนอะไรบางอย่างด้วย
กู้ซีจิ่วโมโหแล้ว เริ่มพูดไปเรื่อย ‘ตี้ฝูอี ถ้าท่านไม่ให้คำตอบข้า ข้าก็จะพูดไปมั่วซั่วเลย! วันหน้าพอพวกเขาพบว่าทั้งหมดมิใช่เช่นนั้น ย่อมต้องเห็นว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเช่นท่านเป็นอาจารย์ผู้ไร้ประสิทธิภาพ เมื่อถึงเวลาคนที่จะเสียหน้าก็คือท่าน!’
ในที่สุดตี้ฝูอีก็เงยหน้ามองเธอแวบหนึ่ง ส่งกระแสเสียงตอบมา ‘เด็กน้อย บิดาไม่กลัวเสียหน้าหรอก เจ้าพูดมั่วซั่วไปได้เลย’
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน นานมากแล้วที่เธอไม่ได้ยินเขาเรียกเธอว่าเด็กน้อย พอได้ยินตอนนี้ ก็รู้สึกประหลาดอยู่บ้าง และคำว่า ‘บิดา’ ที่ตามมาก็ทำให้เธอสั่นสะท้านปานถูกฟ้าผ่าได้สำเร็จ เนื้อหาบรรยายในมือเกือบจะร่วงลงพื้น
ดูเหมือนเจ้าคนผู้นี้ตัดสินใจจะชมเรื่องน่าขันของเธอเสียแล้ว กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ
ถึงแม้เธอตอบไม่ได้แล้วคนที่เสียหน้าจะเป็นตี้ฝูอี แต่ดีร้ายอย่างไรตอนนี้เธอก็อยู่ในร่างนี้ พอถึงเวลาคนที่จะถูกหัวเราะเยาะยังคงเป็นเธอ…
เธอเม้มปากนิดๆ ความคิดสารพัดวนเวียนอยู่ในใจ ใจลอยไปชั่วขณะ เกือบจะบรรยายเนื้อหาช่วงหลังผิดแล้ว
ในห้องเรียนนี้มีปีศาจน้อยที่ฟังเธอไม่รู้เรื่องอยู่ไม่น้อย เชียนหลิงอวี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เขาคงจะยังชิงชังที่ตี้ฝูอีทำให้กู้ซีจิ่วสหายสนิทของเขากลายเป็นที่น่าขบขันของสำนักศึกษานี้ ดังนั้นพอเขาสบโอกาสก็จะตั้งคำถาม คำถามก็ซับซ้อนนัก แถมยังเป็นคำถามที่เฉพาะทางอย่างยิ่งทั้งสิ้นด้วย
ต่อให้กู้ซีจิ่วคิดจะอธิบายไปมั่วซั่วก็ทำไม่ได้ ดังนั้นเฮจึงทำได้เพียงให้พวกเขายับยั้งปัญหาทั้งหลายแหล่ไว้ก่อน เลิกเรียนแล้วเธอค่อยอธิบาย
เธอบรรยายไปพลาง คำนวณอยู่ในใจไปพลาง ใคร่ครวญว่าเมื่อเลิกเรียนแล้วจะใช้ข้ออ้างใดจากไปอย่างรวดเร็วดี ส่วนปัญหาเหล่านั้นเธอค่อยๆ จดจำไว้ในใจแล้ว วางแผนไว้ว่าจะหาโอกาสไปสอบถามคนอื่นดู…
————————————————————————————-
บทที่ 778 ที่แท้แล้วเจอปัญหาอะไร
หรือควรไปถามหลงซือเย่ดี?
แต่ถ้าเธอไปถามในร่างตี้ฝูอี คาดว่าหลงซือเย่คงไม่อยากสนใจ หรือจะไปหลอกถามกู่ฉานโม่ดี?
ไม่แน่กู่ฉานโม่อาจจะเข้าใจปัญหาพวกนี้
ในที่สุดคาบเรียนก็จบลง เมือเห็นศิษย์หลายคนนั้นล้อมวงเข้ามาขอคำชี้แนะจากเธอ เธอกระแอมคราหนึ่งขณะที่กำลังหาข้ออ้างจากไปอย่างว่องไว ตี้ฝูอีกลับเขยิบมาใกล้ข้างกายเธอโดยไร้สุ้มเสียง ยามที่เฉียดไหล่เธอไปในมือเธอพลันมีกระดาษแผ่นน้อยอยู่หลายแผ่น…
เธอเหลือบมองแวบหนึ่ง บนนั้นคือคำตอบของคำถามทั้งหมดที่ศิษย์เหล่านั้นถาม!
ตัวอักษรของตี้ฝูอีสง่างามล่องลอยปานเหินบินแถมยังแฝงความหนักแน่นเปี่ยมพลัง ดูงดงามยิ่งนัก แถมเขายังเขียนเลียนแบบลายมือของเธอด้วย เหมือนการเขียนของเธอในฉบับคัดลายมือ
กู้ซีจิ่วรอให้ศิษย์เหล่านั้นโอบล้อมเข้ามา แล้วโบกกระดาษเหล่านั้นเสมือนเล่นปาหี่อยู่ ส่งให้พวกเขาทีละคนๆ กล่าวอย่างเฉื่อยชาประโยคหนึ่ง “คำตอบของพวกเจ้าต้องการอยู่ที่นี่แล้ว”
ศิษย์หลายคนนั้นก้มหน้าอ่านกระดาษเพียงครุ่เดียว ‘ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย’ ผู้นี้ก็หายลับไปแล้ว คาบเรียนนี้นับว่าผ่านพ้นไปอย่างทุลักทุเลพอจะถูๆ ไถๆ ไปได้
วิชาของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมิใช่สอนทุกวัน สามวันถึงจะมีหนึ่งคาบ นี่ทำให้กู้ซีจิ่วโล่งอกยิ่งนัก
คาบเรียนนี้ถึงแม้เธอจะสอนแบบขอไปทีอยู่บ้าง แต่สำหรับตัวเธอเองแล้ว นับว่าได้ประโยชน์มหาศาล ได้รับความรู้มากมายโดยไม่รู้ตัว ผลประโยชน์ที่เธอได้รับล้วนมากมายกว่าศิษย์คนไหนๆ เพราะถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้บรรยาย…
ตอนที่เธอออกมาก็เห็นหลานไว่หูนั่งอยู่ที่ม้านั่งหินตัวหนึ่งเพียงลำพังดูเหม่อลอย แถมหางตายังแดงเรื่อเล็กน้อยด้วย
เธอคอยดูแลจิ้งจอกน้อยตัวนี้จนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว ขาพลันย่างเข้าไปหา ยืนอยู่ข้างกายหลานไว่หูครู่หนึ่ง หลานไว่หูใจลอยยิ่งนัก มองไม่เห็นเธอเลย
เธอกระแอมเบาๆ คราหนึ่ง ทำให้หลานไว่หูสะดุ้งโหยง คุกเข่าโขกศีรษะให้เธอเสียงดังตึง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ “เป็นอะไร?”
หลานไว่หูส่ายหน้ารัวดั่งกลองป๋องแป๋ง “ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ไว่หูยังมีธุระต่อ ไว่หูขอตัวลาก่อน” พลางทำความเคารพ แล้ววิ่งจากไปปานกระต่าย
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
“นึกไม่ถึงว่าแม้แต่สหายของซีจิ่วท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็นึกใส่ใจขึ้นมาเช่นกัน” น้ำเสียงพิลึกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านข้าง
กู้ซีจิ่วหันไปมองแวบหนึ่ง เป็นเชียนหลิงอวี่
เจ้าเด็กคนนี้สีหน้าคล้ายไม่พอใจ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอย่างเธอกลับไม่ก่อเรื่อง เห็นได้ชัดเจนนัก เขาทราบสถาพอารมณ์ของหลานไว่หู
“หลานไว่หูเป็นอันใด?” กู้ซีจิ่วถามออกไป
“จิตตกกระมัง ถึงแม้พวกเราจะเข้าชั้นเรียนเมฆาม่วงได้ แต่ซีจิ่วกลับไม่ทราบว่าเป็นอันใดถึงไม่ค่อยคุยกับพวกเรามากนัก ต่อให้พูดก็ห่างเหินเย็นชา จิ้งจอกน้อยก็เหมือนมีเรื่องในใจ ท่าทางคล้ายมีปัญหา พอข้าถาม นางก็ไม่ยอมพูด”
กู้ซีจิ่วย่นคิ้ว เธอก็นึกไม่ออกชั่วขณะว่าที่แท้แล้วหลานไว่หูเจอปัญหาอะไร
เธอไม่คิดจะสนทนากับเชียนหลิงอวี่ให้มากความ เลี่ยงไม่ให้เผยพิรุธออกมา หันหลังเดินจากไป
ระหว่างทางขณะที่ครุ่นคิดอยู่ ก็เห็นจิ้งจอกน้อยกำลังตามหลังตี้ฝูอีอยู่ด้านหน้า ท่าทางคล้ายอยากวิ่งเข้าไปพูดคุยทว่าก็หวาดกลัว
หัวใจกู้ซีจิ่วสั่นไหวแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร คอยตามหลังไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดจิ้งจอกน้อยก็ทำใจกล้า วิ่งเข้าไป “ซีจิ่ว!”
ตี้ฝูอีเห็นจิ้งจอกน้อยตัวนี้แล้วค่อนข้างปวดศีรษะนัก จิ้งจอกน้อยตัวนี้ติดผู้อื่นเกินไป ชอบกอดแขนผู้อื่น แถมยังชอบกอดแขนกู้ซีจิ่วด้วย
หลังจากเขารับช่วงต่อร่างกายนี้แล้ว ย่อมไม่อยากให้จิ้งจอกน้อยกอด ถึงขั้นไม่ยอมให้นางเข้าใกล้ตนในระยะสามฉื่อ ด้วยเหตุนี้จิ้งจอกน้อยจึงอึดอัดใจ
หนนี้หลังจากจิ้งจอกวิ่งเข้ามา ดูเหมือนคิดจะกอดแขน ‘กู้ซีจิ่ว’ อีกแล้ว แต่พอยื่นมือออกไปได้ครึ่งทางเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้เลยหดมือกลับมาอย่างขลาดๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “ซีจิ่ว เจ้ากำลังโกรธข้าอยู่ใช่ไหม?”
บทที่ 789 พวกเราควรมาคุยกันดีๆ
ตี้ฝูอีพยายามทำให้น้ำเสียงตนนุ่มนวล “เปล่า”
หลานไว่หูเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้ม แล้วค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้เขาอีกหน่อย “แต่…แต่ว่าทำไมเจ้าไม่ค่อยสนใจข้าเลยล่ะ?”
นางขบริมฝีปากแล้วเอ่ยอีกว่า “เจ้ารู้สึกว่าข้าโง่เกินไปเลยทำให้เจ้าต้องบาดเจ็บใช่ไหม? ข้า…ข้าขอโทษ…ต่อไปข้าจะมีไหวพริบมากขึ้นแน่นอน ยามที่จับกลุ่มประลองจะทำให้ตัวเองตอบสนองเร็วขึ้นด้วย…”
ตี้ฝูอีตอบอืมคำหนึ่ง “เจ้าควรยืนด้วยลำแข้งของตัวเองบ้าง”
หลานไว่หูมองเขาตาละห้อย “ซีจิ่ว เจ้า…ยามที่จับกลุ่มครั้งต่อไปเจ้าไม่ต้องการข้าแล้วใช่ไหม? ข้าจะมุมานะให้มากขึ้น ซีจิ่ว เจ้าอย่าไม่ต้องการข้าเลยนะ…”
ตี้ฝูอปวดศีรษะนัก “หลานไว่หู บนโลกนี้สิ่งที่พึ่พาได้ที่สุดคือตัวเจ้าเอง ไม่อาจคาดหวังในตัวผู้อื่นได้เสมอไป เจ้าไม่ได้โง่ เจ้าแค่ใจไม่กล้าพอเท่านั้น ขอเพียงเจ้าเอาชนะอุปสรรคนี้ได้ เจ้าอาจจะไม่ด้อยกว่าผู้อื่นเลย ขอเพียงมานะมุ่งมั่น กู้ซีจิ่ว…ข้าไม่อาจปกป้องเจ้าไปได้ชั่วชีวิตหรอกนะ…”
หากมิใช่เพราะตี้ฝูอีอยู่ในร่างกู้ซีจิ่ว คงคร้านจะพูดจาไร้สาระกับจิ้งจอกน้อยตัวนี้ แต่ดูเหมือนจิ้งจอกน้อยตัวนี้จะเป็นสหายที่กู้ซีจิ่วห่วงใย เช่นนั้นเขาจึงต้องเปลืองสมองสะกิดนางสักสามสามประโยค
แต่เขาลืมไปเรื่องหนึ่ง โดยปกติแล้วคนที่เขาชี้แนะให้ล้วนเป็นยอดอัจฉริยะของทวีปนี้ทั้งสิ้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ที่มีจิตใจแข็งแกร่งบากบั่นไม่ย่อท้อ คนเหล่านี้ทนแรงกระทบกระเทือนได้ ได้รับการชี้แนะจากเขาเล็กน้อยก็บังเกิดความรู้ พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
แต่แบบจิ้งจอกน้อยตัวนี้ เขาเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก เขาไม่อาจใช้การอบรมแบบเดียวกับที่สั่งสอนสานุศิษย์สวรรค์มาสั่งสอนได้
เมื่อจิ้งจอกน้อยได้ยินประโยคนี้ของเขาความคิดก็คือ ‘กู้ซีจิ่วต้องการละทิ้งนางและคิดจะตัดขาดกับนาง’ นางจึงร้องไห้ออกมาทันที “ซีจิ่ว เจ้าไม่ต้องการข้าแล้วจริงๆ หรือ?”
ตี้ฝูอีรู้สึกว่าตนเป็นบัณฑิตพานพบทหาร มีเหตุผลก็กล่าวได้ไม่กระจ่าง
“ซีจิ่ว…เจ้าขุ่นเคืองข้าเพราะข้าไปขัดจังหวะเรื่องของเจ้ากับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถึงสองครั้งใช่ไหม? ข้าไม่เคยพูดเรื่องนี้กับคนนอกจริงๆ นะ เจ้าเชื่อข้าเถอะ…” หลานไว่หูเอ่ยเสียงแผ่วน้ำตาคลอ
เส้นเลือดบนหน้าผากตี้ฝูอีเต้นตุบๆ ทว่าไม่อาจเตะจิ้งจอกน้อยตัวนี้ให้กระเด็นได้ ได้แต่ปลอบโยน “วางใจเถอะ ซีจิ่วไม่มีทางไม่ต้องการเจ้าหรอก ข้าแค่…แค่ได้รับบาดเจ็บจนจับกลุ่มประลองไม่ได้ชั่วคราว เจ้าไปฝึกฝนกับเจ้าเด็กเชียนหลิงอวี่คนนั้นก่อนเถิด รอข้าหายดีแล้วจะไปรวมกลุ่มกับพวกเจ้าอีกครั้ง”
นัยน์ตาของหลานไว่หูเปล่งประกายทันที “ได้!” พลันปาดน้ำตา หันหลังกระโดดโลดเต้นจากไปดั่งกวางน้อย
ไม่ง่ายเลยกว่าจะส่งจิ้งจอกน้อยตัวนี้จากไปได้ ขณะที่ตี้ฝูอีกำลังจะกลับเรือนเล็กของตน เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นหลงซือเย่ยืนอยู่ไม่ไกล กำลังมองเขาอยู่ สายตาซับซ้อนยิ่งนัก
ตี้ฝูอีมุนคิ้วนิดๆ หลงซือเย่ผู้นี้เฉลียวฉลาดยิ่ง คงมิใช่ว่าเขาเกิดสงสัยขึ้นมาหรอกนะ?
ถึงแม้เขาจะแสดงกริยาท่าทางของกู้ซซีจิ่วได้คล้ายคลึงมาก แต่ก็หลอกได้เพียงคนที่เดิมทีก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับพวกเขาอยู่แล้ว คนที่ประสบพบเจอคุ้นเคยกับพวกเขาจริงๆ ง่ายมากที่จะสังเกตเห็นข้อแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ของทั้งสองคน…
อย่างเช่นพวกเจ้าหอยยักษ์ จิ้งจอกน้อย เชียนหลิงอวี่ และหลงซือเย่ที่ยืนอยู่ไม่ไกล พวกเขาล้วนเป็นคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกับกู้ซีจิ่วยิ่งนัก แม้แต่จิ้งจอกน้อยยังสัมผัสได้ว่ากู้ซีจิ่วเปลี่ยนไป กลายเป็นคนแปลกหน้า เช่นนั้นหลงซือเย่ล่ะ?
หรือเขาควรจะใช้ชื่อเทพศักดิ์สิทธิ์มากันหลงซือเย่ออกไป! เลี่ยงไม่ให้เขาอยู่ที่นี่แล้วทำเรื่องของตนพัง!
ตี้ฝูอีไม่ได้วางแผนจะพูดคุยกับหลงซือเย่ ดังนั้นยามที่ดินผ้าหน้าเขา เขาเพียงผงกหัวนิดๆ เท่านั้น คิดจะเดินผ่านไป
เงาร่างหลงซือเย่ไหววูบ คาดไม่ถึงว่าจะมาขวางทางเขาไว้โดยตรง “ซีจิ่ว ข้ารู้สึกว่าพวกเราควรมาคุยกันดีๆ!” พลางยื่นมือมาแขนเขา!
————————————————————————————-
บทที่ 790 หนังหน้าเจ้าหนาเอาการ
ตี้ฝูอีย่อมไม่คิดจะให้เขาจับไว้ ร่างเขาเปล่งแสงวาบ หลบหลีกมือของเขา กล่าวอย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม “นี่เจ้าสำนักหลงจะบีบบังคับกันหรือ?”
การเคลื่อนไหวเช่นนี้ของเขาคล้ายกับวิชาเคลื่อนย้ายของกู้ซีจิ่วมาก ต่อให้เป็นหลงซือเย่ก็มองพิรุธไม่ออก เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง ขณะที่กำลังเปดปากเอ่ย มู่เฟิงก็เสมือนหล่นลงมาจากฟ้า ปรากฏตัวข้างกายตี้ฝูอีทันที “แม่นางกู้! เจ้านายของพวกเราเรียนเชิญ”
ตี้ฝูอีหันหลังตามมู่เฟิงไป
หลงซือเย่ยืนอยู่ที่เดิม มองเขาของเขาอย่างเหม่อลอย นิ้วมือภายในแขนเสื้อค่อยๆ กำแน่น
กู้ซีจิ่วยืนอยู่ไกลๆ ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เธอนวดขมับด้วยความปวดหัว
หลงซือเย่เคยเป็นครูฝึกในค่ายฝึกนักฆ่า ความคิดละเอียดรอบคอบนัก บางเรื่องถ้าปล่อยไว้นานๆ เกรงว่าจะปิดบังเขาไว้ไม่ได้…
แทนที่จะให้เขาสืบทราบด้วยตัวเอง มิสู้อธิบายแก่เขาให้ชัดเจนไปเลยดีกว่า แต่ว่าตี้ฝูอีไม่ยอม…
ปวดหัวจริงๆ เลย!
….
ยามที่กู้ซีจิ่วกลับมาถึงเรือนนั้น ตี้ฝูอีกำลังเขียนบางอย่างอยู่ในห้อง
เนื่องจากต้องคอยชี้แนะการฝึกฝนวรยุทธ์ให้กู้ซีจิ่วตอนกลางคืน อีกทั้งกู้ซีจิ่วให้คนจัดวางเตียงอีกหลังหนึ่งไว้ในห้องนี้แล้วด้วย ทั้งสองเตียงตั้งอยู่ตรงข้ามกัน และอยู่ใกล้กันมาก
หลังจากตี้ฝูอีกลับมา กู้ซีจิ่วก็คืนเตียงใหญ่หลังนั้นให้เขา ส่วนเธอก็ใช้เตียงอีกหลัง
เห็นแก่ที่สุดท้ายแล้วเขาก็นับว่าช่วยแก้ปัญหาในห้องเรียนให้เธอ กู้ซีจิ่วจึงเอ่ยขอบคุณเขา
ตี้ฝูอีเงยหน้ามองเธอ ริมฝีปากบางยักยิ้มน้อยๆ “เจ้ากับข้าเป็นพ่อลูกกันจะเกรงอกเกรงใจไปทำไม”
กู้ซีจิ่วถูกเขาสะกดไว้ตรงนั้น กระอักกระอวนอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ฐานะของข้าคือทูตสวรรค์ฝ่ายว้าย ต้องเรียกว่าพ่อบุญธรรมสิ และท่านก็ต้องเรียกข้า….”
ตี้ฝูอีส่ายหน้า “หนังหน้าเจ้าหนาเอาการนะ”
บรรยากาศภายในห้องที่เริ่มแรกยังคุกรุ่นอยู่บ้าง เมื่อทั้งสองคนเริ่มหยอกล้อกันสองสามประโยค บรรยากาศก็มีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย
กู้ซีจิ่วร้องเฮอะคราหนึ่ง “ก็เหมือนกันนั่นแหละ มาเถอะ เรียกพ่อบุญธรรมให้ฟังหน่อย!”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ “นี่เป็นไปไม่ได้! ข้าเกรงว่าถ้าเรียกเจ้าแล้ว เจ้าจะถูกฟ้าผ่าเอา!”
กู้ซีจิ่วนึกว่าเขาแค่แค่พูดไปเรื่อย จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ หัวเราะคิกคัก “พูดเหลวไหล!”
ตี้ฝูอียิ้มแวบหนึ่ง ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ก้มหน้าก้มตาเขียนเหมือนเดิม
กู้ซีจิ่วอยากรู้อยากเห็น จึงเขยิบเข้าไปมองแวบหนึ่ง พบว่าเขาเขียนเรื่องที่เข้าใจได้ยากอยู่ อักษรที่เขียนอยู่นั้นเธอไม่รู้จักเลยสักตัว
“นี่คือ?” กู้ซีจิ่วคิดว่าตัวเองรู้จักตัวอักษรเพียงพอแล้ว แต่ตัวอักษรหนนี้กลับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก เหมือนตัวอักษรและเหมือนอักขระอาคม ปรากฏออกมาอย่างลื่นไหลภายใต้พู่กันเขา ดูคล้ายเมฆหมอกล่องลอย
“ไม่รู้จักหรือ?” ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว
“แน่นอนว่าไม่รู้จัก ข้าก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก”
“อืม ไม่รู้จักก็ถูกแล้ว” ตี้ฝูอียังตวัดพูดกันอย่างพลิ้วไหวเช่นเดิม
กู้ซีจิ่วนั่งลงข้างๆ จู่ๆ ก็ถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง “พวกมู่เฟิงรู้เรื่องใช่ไหม?”
ปลายพู่กันของตี้ฝูอีชะงักไปเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ปฏิเสธอ “ใช่ พวกเขารู้แล้ว”
ครั้งนี้ไม่เพียงแต่มู่เฟิงที่อยู่ที่นี่เท่านั้น แต่กระทั่งมู่เหลย มู่อวิ๋นก็มาพร้อมหน้าแล้ว ยามนี้ทั้งสี่คนจัดเวรยามอยู่ในเรือน! เห็นได้ชัดเจนนัก พวกเขามาเพื่ออารักขาตี้ฝูอีที่อ่อนแอ
อันที่จริงการที่พวกเขามาก็ทำให้กู้ซีจิ่วรู้สึกโล่งอก
อย่างไรเสียวรยุทธ์ของเธอกับตี้ฝูอีในยามนี้ล้วนอยู่ในสภาพถดถอยต้อยต่ำ หากว่ามียอดฝีมือเลิศล้ำประสงค์ร้ายต่อพวกเขา จะค่อนข้างอันตรายจริงๆ
ตี้ฝูอีเคยบอกว่า เรื่องนี้มีเพียงเธอกับเขาที่รู้ คนอื่นไม่ทราบทั้งสิ้น
เธอปิดบังทุกคน รวมถึงสหายของเธอ สัตว์เลี้ยงของเธอ…
แต่เขากลับบอกลูกน้องทั้งสี่ของเขา
บทที่ 791 เจ้ากำลังหนีอะไรอยู่กระมัง
และถ้าเธอไม่ถามออกมา คาดว่าตี้ฝูอีก็คงไม่แม้แต่จะบอกเรื่องนี้กับเธอ ปล่อยให้เธอหูหนวกตาบอด ให้เธอสวมรอยเป็น ‘นายท่าน’ ต่อหน้าลูกน้องเขาต่อไป
และเห็นได้ชัดว่าลูกน้องของเขาได้เตี๊ยมกับเขาไว้แล้ว เมื่อครู่นี้ยามที่เธอเข้ามา เพวกเขายังค้อมกายทำความเคารพเธอ เรียกขานเธอด้วยความเคารพว่า ‘นายท่าน’!
นี้ทำให้เธอค่อนข้างอึดอัดอยู่ในใจ
เธอเงียบไปครู่ใหญ่ ค่อยเอ่ยขึ้นมา “พวกเขาเชื่อใจได้ใช่ไหม?”
ตี้ฝูอีตอบอืมอีกคราหนึ่ง
“เช่นนั้นในสายตาท่านหลงซือเย่ไม่น่าเชื่อใจถึงเพียงนั้นจริงๆ หรือ?”
ในที่สุดตี้ฝูอีก็วางพู่กันลง เพ่งพิศเธออยู่ครู่หนึ่ง “เจ้ากำลังทวงความเป็นธรรมให้เขาหรือ?”
กู้ซีจิ่วเม้มปากไม่พูดอะไร
ตี้ฝูอีถอนหายใจ “ซีจิ่ว มิใช่ว่าข้ามิเชื่อใจเขาเลย ทว่าเรื่องนี้สำคัญมากจริงๆ เกี่ยวข้องกับความเป้นความตายของข้า…หลงซือเย่เป็นคนซื่อตรงไม่เห็นแก่นั้นข้าทราบนานแล้ว แต่เขา…ถึงอย่างไรเขาก็เป็นปฏิปักษ์กับข้า ถ้าจับจุดอ่อนข้าไว้ได้ ข้าเหรงว่าเขาจะอดกลั้นต่อแรงดึงดูดเช่นนี้ไม่ไหวแล้วกระทำเรื่องผิดพลาดอันใดลงไป นี่มิใช่สิ่งที่เจ้ากับข้าอยากเห็นหรอกใช่หรือไม่?”
“เขามิใช่คนเช่นนั้น! ต่อให้เขาเป็นปฏิปักษ์กับท่าน แต่ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับข้า เขาไม่มีทางทำร้ายข้า” กู้ซีจิ่วแก้ตัวให้หลงซือเย่ตามสัญชาตญาณ
ตี้ฝูอีเงียบไปชั่วครู่ “เขามิใช่คนเช่นนั้นหรือ? เจ้าเข้าใจเขาถึงเพียงนั้นจริงๆ น่ะหรือ? เจ้าเชื่อทุกอย่างที่เขาพูดจริงๆ ไม่สงสัยสักนิดเลยหรือ?”
กู้ซีจิ่วไม่พูดไม่จา
ตี้ฝูอีมองเธอ ดวงตาทอแววเฉียบคมรางๆ “ซีจิ่ว เจ้ากำลังหนีอะไรอยู่กระมัง? ดังนั้นจึงยึดถือเขาเป็นที่พึ่งสุดท้าย บางทีเจ้าก็คงไม่เชื่อเขาเหมือนกัน แต่เป็นการหยิบยืมสิ่งนี้มาสะกดจิตตัวเจ้าเอง…”
หัวใจกู้ซีจิ่วสั่นสะท้านแวบหนึ่ง หันหน้ามาหา “ท่านพูดเหลวไหลอะไรอยู่? ข้าไม่เข้าใจ!”
ตี้ฝูอีทอดหอนใจ “เจ้าเข้าใจ เพียงแต่ตัวเจ้าเองยังไม่กล้ายอมรับเท่านั้น”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน วาจาประโยคนี้ของตี้ฝูอีเปรียบเสมือนวัตถุชี้ทางธรรม อีกทั้งเธอมิใช่ภิกษุสงฆ์ จึงมิอาจตรัสรู้ได้ ทราบเพียงว่าวาจาของเขาลึกซึ้งนัก
เพียงเธอกับหลงซือเย่…
คือการเชื่อกันอย่างมิมีข้อแม้จริงๆ น่ะหรือ?
จำได้ว่าตอนที่อยู่กับหลงซือเย่ในเทศกาลความรัก ถ้อยคำทั้งหมดที่เขาเล่ามาเหล่านั้นเธอยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่เลย เพียงแต่หลังจากเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น ทำให้เธอได้เห็นว่าหลงซือเย่ดีต่อเธอด้วยใจจริง มุ่งมั่นที่จะคืนดีกับเธอ…
อีกทั้งชาติก่อนเธอชอบพอเขา ดังนั้นเธอจึงคิดว่าในเมือชาตินี้ความเข้าใจผิดคลี่คลายลงแล้ว คงยังชอบเขาอยู่แน่นอน…
เธอไม่ต้องการให้ความรักของตัวเองผันแปรไปมา ไม่ต้องการวิตกกังวลกับเรื่องความรักอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องการให้ตัวเองต้องเจ็บปวดเพราะเรื่องความรักอีก ดังนั้นพอสะสางความเข้าใจผิดกับหลงซือเย่ได้แล้ว เธอก็ยอมรับเขาทันที ไม่ให้ตัวเองเหลือที่ว่างให้รู้สึกสำนึกเสียใจอีก
และอันที่จริงหลงซือเย่ก็มิใช่สุภาพบุรุษผู้สง่างามดั่งหยกจริงๆ ที่สามารถกระทำทุกเรื่องอย่างเปิดเผยใจกว้างได้
ครูฝึกที่สามารถปะปนอยู่ในค่ายนักฆ่าอันดำมืดได้ดั่งมัจฉาต้องวารีจะเป็นสุภาพบุรุษที่สมบูรณ์พร้อมไปได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นเขาสามารถหลอมรวมเข้ากับด้านนี้จนกลายเป็นเจ้าสำนักแห่งนึ่งได้นั้นก็มิใช่เรื่องที่พึ่งพาวรยุทธ์และวิชาแพทย์เพียงอย่างเดียวก็เป็นได้
เขาจะต้องมีกลเม็ดเคล็ดอุบายของเขาอยู่บ้าง ถึงขั้นที่ว่าให้ไปเล่นการเมืองเขาก็จะทำได้ดี
ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่เคยตีตั๋วว่าหลงซีเป็นคนดีเลย เหตุผลที่เธอเชื่อเขา คือการเชื่อว่าความรักที่เขามีต่อเธอคือของจริง เชื่อว่าเขาจะไม่ทำร้ายเธอก็เท่านั้น…
แต่เขาจะฉวยโอกาสเล่นงานตี้ฝูอีหรือไม่?
เรื่องนี้เธอไม่กล้ารับประกันจริงๆ!
เธอไม่พูดอะไรอีกเลย นั่งอยู่หน้าโต๊ะเงียบๆ
ตี้ฝูอีมองเธอ ถอนหายใจอีกครา “เอาเถอะ เรื่องนี้เจ้าจะคิดว่าข้าจัดการอย่างไม่ยุติธรรมก็ได้ ในเมื่อเจ้าเชื่อใจยิ่งนัก เช่นนั้นจะบอกเขาเถิด ข้าก็จะลองเสี่ยงดูสักครั้ง” พลางลุกขึ้นหมายจะก้าวออกไปด้านนอก
————————————————————————————-
บทที่ 792 ดูราวกับเหรินเยา
กู้ซีจิ่วรั้งเขาไว้ “ท่านจะไปไหน?”
“ไปบอกความจริงกับเขา”
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว ไม่คิดจะปล่อยมือ “ช่างเถอะ!”
นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจอีกครา “ช่างเถอะ! มากเรื่องมิสู้น้อยเรื่อง ภายหน้าข้าค่อยไปบอกเขาด้วยตัวเองก็ได้”
ตี้ฝูอีหลุบตามองนางที่รั้งมือตนไว้ นัยน์ตาฉายแววปีติแวบหนึ่ง
เขายิ้มน้อยๆ ปล่อยให้นางจับไว้อย่างว่าง่าย สุ้มเสียงอ่อนโยน “ซีจิ่ว ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า”
กู้ซีจิ่วใจเต้นแรงแวบหนึ่ง เธอปล่อยมือ ลุกขึ้นมาแล้วกล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ท่านคิดมากไปแล้ว ข้าแค่คิดว่าถึงอย่างไรท่านก็ได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยเหลือข้า เลยจะตอบแทนน้ำใจท่านเท่านั้น”
พลางหันหลังสาวเท้าออกไป เธอต้องออกไปสูดอากาศก่อน เพื่อให้สมองแจ่มใส
เธอเดินเข้าเดินออกวนเวียนอยู่ภายในลานบ้านหลายรอบ พบว่ารูปแบบของเรือนหลังนี้ที่ตี้ฝูอีสร้างเล็กกะทัดรัดนัก สามก้าวทิวทัศน์ก็เปลี่ยนแปลง ห้าก้าวสีสันแปรเปลี่ยน
เมื่อก่อนท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เคยสร้างไว้ที่นี่หลังหนึ่งเหมือนกัน สวนขวัญแห่งนั้นแตกต่างกับหลังนี้อย่างชัดเจน เพียงแต่ล้วนสูงส่งยิ่งนักเช่นกัน
ดูเหมือนว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายและท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะเป็นเช่นเดียวกัน ไปที่ใดล้วนชอบใช้เพียงข้าวของของเขาเอง แม้แต่ที่พักก็ไม่เว้น ล้วนสร้างเรือนเดี่ยวขึ้นชั่วคราว
เพียงแต่เรือนเดี่ยวหลังนี้จะตระหง่านอยู่ที่นี่ได้นานสักแค่ไหน?
บางทีอีกครึ่งปีให้หลังเมื่อเขาจากไป เรือนน้อยหลังนี้คงถูกทุบทิ้ง ที่นี่ก็กลายเป็นซากปรักหักพังเช่นเคย…
มองเห็นเรือนก่อร่างขึ้นมา มองเห็นเรือนลับลาพังทลาย
ทุกอย่างที่นี่ก็เหมือนภาพมายาหลอนลวง บางทีเมื่อแสงอรุณสาดส่องมา ภาพมายาทั้งหมดล้วนมลายหายไป…
เมื่อก่อนยามอาศัยอยู่ในเรือนเดี่ยวหลังนั้น เธอยังโยกย้ายดอกไม้พืชพรรณในหุบเขามาอย่างกระตือรือร้นสนใจอยู่เลย คิดจะสร้างสวนดอกไม้ของตนสักแห่ง ยามนั้นถึงขั้นที่ว่าพบเห็นโขดหินแปลกๆ ในหุบเขาเธอก็ปรารถนาจะขนกลับมาตกแต่งในสวนด้วย
เพียงแต่เธอยังไม่ทันได้เคลื่อนย้ายมาใช้งาน คฤหาสน์หลังนั้นก็ถูกท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ส่งคนมารื้อถอนเสียก่อน เขาทำลายอย่างไม่เสียดาย ทว่าเธอกลับต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่หลายวัน ถึงจะทำให้ตนไม่หวนคำนึงถึงเรือนหลังนั้น
ตอนนี้เธออาศัยในเรือนที่วิจิตรงดงามหลังหนึ่งอีกครั้ง ทว่าไม่สนใจจะจัดแต่งทิวทัศน์เพราะปลูกพืชพรรณเหมือนเมื่อก่อนแล้ว…
อีกอย่างใครจะรู้ได้เล่าว่าเรือนหลังนี้จะคงอยู่ได้อีกนานแค่ไหน?
กี่วัน? กี่สัปดาห์? กี่เดือน?
บางทีเมื่อเธอมีกำลังมากพอ ยามที่สามารถก่อบ้านสร้างเรือนได้ไม่ว่าในยามไหน เธอค่อยออกแบบให้ดีอีกครั้งก็ยังไม่สาย
สำหรับข้าวของที่ไม่ใช่ของตนเธอจะไม่จำเป็นต้องเสียเวลาด้วยเลย!
“เรือนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” มีเสียงแว่วขึ้นด้านหลัง
กู้ซีจิ่วหันไป มองเห็นตี้ฝูอียืนอยู่ไม่ไกลจากด้านหลังตน กำลังพิงราวกั้นแผงหนึ่งอย่างเกียจคร้านพลางมองเธอยิ้มๆ
ยามที่เจ้าคนผู้นี้อยู่ด้านนอก เมื่อรับบทเป็นกู้ซีจิ่วทุกอากัปกริยาล้วนเหมือนเธอทุกประการ นอกจากการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเฉยเมยแล้ว อย่างอื่นล้วนมองไม่ออกเลยว่าเขาเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม
แต่พอกลับมาอยู่ในเรือนหลังนี้ เขาก็เปิดเผยนิสัยดั้งเดิมของเขาออกมาอย่างสบายอกสบายใจ ทุกกิริยาท่าทีล้วนเป็นนิสัยของตี้ฝูอี บางครั้งทำให้คนที่เห็นรู้สึกว่าเขาน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก…
“เหตุใดถึงมองข้าเช่นนี้เล่า? ร่างนี้เป็นของเจ้านะ หรือเจ้าหลงเสน่ห์ตัวเองเข้าแล้ว?”ตี้ฝูอีก้าวเข้ามาทันที ซ้ำยังหมุนตัวอยู่ตรงจุดเดิมรอบหนึ่ง “ข้าสวมมันแล้วพิเศษกว่าผู้อื่นมากใช่หรือไม่?”
ถูกเขาหยอกเย้ามาเนิ่นนาน กู้ซีจิ่วเลยด้านชาไม่น้อยแล้ว “พิเศษกว่าผู้อื่นจริงๆ ดูราวกับเหรินเยา (กะเทย) !”
ตี้ฝูอีแย้มยิ้ม “เด็กน้อย ท่าทางที่เจ้าจีบปากจีบคอพูดในร่างของข้าสิถึงจะเหมือนเหรินเยาจริงๆ” เขาเดินมาหยุดข้างกายกู้ซีจิ่ว จับจูงมือเธอ “ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าเดินเล่นรอบๆ ที่นี่ สวนขวัญแห่งนี้ข้าออกแบบด้วยตัวเอง งดงามหรือไม่?”
บทที่ 793 ความฝันฤดูใบไม้ผลิ
กู้ซีจิ่วไม่อยากให้เขาจูง เลยก้าวด้านหน้าเพื่อหลบหลีก พลางกล่าวว่า “นึกไม่ถึงว่าท่านจะเป็นปรมาจารย์ด้านการจัดสวนด้วย ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายช่างมากความสามารถจริงๆ”
ตี้ฝูอียิ้มแวบหนึ่ง “อื้ม เจ้าสนใจจะออกแบบบ้างไหมล่ะ? อย่างเช่นปลูกดอกไม้พืชพรรณที่นี่อะไรทำนองนั้น หรือไม่ก็ปรับเปลี่ยนลักษณะเสียหน่อย จัดเป็นรูปแบบที่เจ้าชอบ…”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่จำเป็น ข้าไม่มีความคิดเช่นนั้น” จากนั้นก็เงยหน้ามองท้องฟ้า “ข้าเหนื่อยแล้ว จะกลับไปงีบสักนิดก่อน ถึงเวลาฝึกฝนค่อยมาเรียกข้าแล้วกัน” พลันหันหลังจากไป
ตี้ฝูอียืนอยู่ตรงนั้นมองเงาหลังนางที่ห่างไกลออกไป หลุบตาลงเล็กน้อย
ดูเหมือนการที่ตนสั่งให้มู่เฟิงรื้อถอนเรือนครั้งนั้นจะทิ้งเงามืดไว้ในหัวใจของนาง…
….
การฝึกยุทธ์ครั้งที่สองราบรื่นกว่าครั้งแรกมาก กู้ซีจิ่วทำพลาดน้อยยิ่งนัก แน่นอนว่าสถานการณ์ระหว่างการฝึกฝนนั้นพันเปลี่ยนหมื่นแปลง ตี้ฝูอีจึงเฝ้าอยู่ข้างกายเธอเหมือนเคย เพื่อชี้แนะให้ทันท่วงที
หากไม่มีข้อผิดพลาดร้ายแรงปรากฏขึ้น การฝึกฝนทั้งหมดก็จะเสร็จสิ้นภายในสองชั่วยาม
เมื่อสำเร็จเสร็จสิ้นก็เป็นยามกะสี่แล้ว กู้ซีจิ่วฉกฉวยช่วงเวลานี้นอนหลับไปตื่นใหญ่ ฝันยุ่งเหยิงวุ่นวาย จนตะวันสายโด่งถึงได้ตื่น
เธออ้าปากหาว เมื่อเลิกม่านเตียงออก ก็เห็นตี้ฝูอีที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงหลังตรงข้ามพอดี ดูเหมือนเขาก็เพิ่งเสร็จเรียบร้อยเหมือนกัน เมื่อเห็นเธอเลิกม่านเตียง เขาก็เอ่ยทักทายเธอ “ตื่นแล้วหรือ?”
ทันใดนั้นสายตาเขาก็ทอดต่ำลง เพ่งอยู่ที่จุดหนึ่งบนร่างเธอ
กู้ซีจิ่วที่อยู่เบื้องหน้าเขาประสาทสัมผัสค่อนข้างเฉียบไว จึงมองลงไปตามสายตาของเขา จากนั้นทั้งร่างพลันแข็งทื่อ!
เธอสวมชุดนอนอยู่ บัดนี้จุดหนึ่งซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญได้ผงาดค้ำขึ้นมา!
ตี้ฝูอีมองเธอด้วยสายตาลุ่มลึก
กู้ซีจิ่วรีบดึงผ้านวมมาบังทันที! ใบหน้าแดงฉานอย่างอดไม่อยู่ “ลามก!”
ตี้ฝูอียิ้มขำ “ความฝันฤดูใบไม้ผลิ[1]หรือ?”
“ไม่ใช่!” กู้ซีจิ่วเถียง เธอฝันบางอย่างจริงๆ และจำไม่ได้ว่าในฝันเกิดอะไรขึ้น แต่เธอไม่ได้ฝันหวาบหวามแน่ๆ…
ทันใดนั้นเธอก็นึกอะไรขึ้นได้ เอ่ยโพล่งออกมา “นี่เป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติของท่านกระมัง?! มิได้เกิดจากความฝันฤดุใบไม้ผลิอันใด!”
สายตาตี้ฝูอีลุ่มลึกกว่าเดิม “เจ้ารู้มากเสียจริง! แม้แต่ปฏิกิริยาตามธรรมชาติของบุรุษก็ทราบ”
นั่นแน่นอนอยู่แล้ว เธอก็เป็นนักชีววิทยากึ่งหนึ่ง เรื่องสรีระชายหญิงเช่นนี่ไม่มีทางรอดพ้นสายตาของเธอได้
เธอแค่นึกไม่ถึงว่าผู้ชายอย่างตี้ฝูอีก็มีปรากฏการณ์เหมือนผู้ชายทั่วไปได้เหมือนกัน…
อันที่จริงเมื่อก่อนเธอนึกว่าเขาเทวรูปในศาลเจ้ามาตลอด
“นึกไม่ถึงว่าท่าน…ท่านก้เป็นเช่นนี้ด้วย” กู้ซีจิ่วส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้
ตี้ฝูอีมองเธออยู่สักพัก จู่ๆ ก็ยิ้ม รอยยิ้มนั้นค่อยข้างอันตรายอยู่บ้าง “ซีจิ่ว เจ้าคงไม่เห็นข้าเป็นบุรุษมาโดยตลอดกระมัง?”
ยามที่เอ่ยประโยคนี้เขาลงมาจากเตียงใหญ่ของตนแล้ว นั่งลงหน้าเตียงของเธอ อยู่ใกล้กับเธอยิ่ง
ไอพลังบนร่างเขาแข็งแกร่งนัก กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปในเตียง ไอแห้งๆคราหนึ่ง “ข้า…ข้าเห็นท่านเป็นดั่งเทพเซียนมาตลอด”
เธอยืดกายขึ้น สำรวจร่างกายเล็กน้อย พบว่าตรงส่วนนั้นยังลุกผงาดอยู่เหมือนเดิม คับพองยิ่งนัก…
กู้ซีจิ่วไม่กล้าพลิกผ้าห่มออกแล้ว!
ตี้ฝูอีนอนคว่ำเท้าแขนข้างหนึ่งอยู่ด้านหน้าเธอ มองเธอด้วยรอยยิ้ม “อายหรือ?”
ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาแทบจะเป่ารดหูเธอ เห็นได้ชัดว่ากำลังหยอกเย้าเธออยู่
กู้ซีจิ่วลุกขึ้นนั่งเสียงดังผลุ่บ ตี้ฝูอีคล้ายจะชอบใจที่หยอกเธอได้ จึงนอนซบไหล่เธอเสียเลย ลมหายใจรินรดริมหูเธอ “เด็กน้อย เจ้าทำหูข้าแดงหมดแล้วนะ!”
————————————————————————————-
บทที่ 794 ห้ามมองนะ
เพียงแต่เขาไม่กล้าโน้มเข้าไปอีก เนื่องจากในมือของกู้ซีจิ่วกุมกริชวาววับเล่มหนึ่งพาดไว้บนลำคอเขา “ข้าสามารถทำให้คอของท่านแดงฉานได้ ท่านเชื่อหรือไม่?”
ตี้ฝูอีมองกริชเล่มนั้นแล้วค่อยมองดูเธอ “เด็กน้อย สิ่งที่เจ้าจะทำร้ายด้วยกริชเล่มนี้คือร่างกายของเจ้าเองนะ เจ้าไม่ต้องการร่างนี้แล้วหรือ?”
กู้ซีจิ่วยิ้มนิดๆ “วางใจเถิด ข้าแค่จะทำให้ท่านหลั่งเลือดเล็กน้อย ให้ท่านเจ็บเสียหน่อย ไม่ทำให้ร่างกายตัวเองบาดเจ็บจริงๆ หรอก ถ้าไม่เชื่อท่านก็ลองดูได้!”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ ดวงตาจับจ้องเธอ “ข้าไม่เชื่อ…” พลางโน้มเข้าไปทันที!
กู้ซีจิ่วหดมือกลับแทบไม่ทัน กริชในมือหล่นลงบนพื้น “ท่านบ้าไปแล้ว!”
ดวงตาของตี้ฝูอีหยีโค้ง ราวกับดีใจนัก ยกมือโอบไหล่เธอ “เสี่ยวซีจิ่ว เจ้าพนันกับข้าไม่ได้หรอก”
กู้ซีจิ่วบังเกิดความกล้าขึ้น ทันใดนั้นพลันพลิกกายแล้วกดเขาลงบนเตียง สุ้มเสียงอันตราย “ตี้ฝูอี ตอนนี้ข้าอยู่ในร่างบุรุษนะ!”
เวรเอ้ย ตอนถูกเขาหยอกเย้าเมื่อกี้ เธอรู้สึกว่าส่วนนั้นของเธอพองตัวขึ้นมากกว่าเดิมแล้ว!
ตี้ฝูอีนอนตรงนั้นอย่างเกียจคร้าน ราวกับยอมเป็นปลาบนเขียให้เธอ “หืม? แล้วไงต่อ?”
แล้วไงต่อบ้านเจ้าสิ!
เขาหวังให้เธอใช้ร่างบุรุษนี้ข่มเหงเขาหรือไง?
แต่นั้นเป็นร่างของเธอเอง ถึงจะงามหยาดเยิ้ม แต่เธอมองแล้วรู้สึกประหลาดยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วคร้านจะพัวพันกับเขาต่อไป จึงผละจากเขาทันที กระโดดลงจากเตียง ก้มมองแวบหนึ่ง ตรงส่วนนั้นยังคงชี้โด่ขึ้นมาจนเป็นกระโจมหลังหนึ่ง…
ปรายตามองแวบหนึ่ง เห็นตี้ฝูอีนอนตะแคงอยู่บนเตียง มองเธอด้วยสีหน้าถูกอกถูกใจ
กู้ซีจิ่วเงื้อมือขึ้น เสื้อผ้าชิ้นหนึ่งลอยไปตกบนศีรษะเขา “ห้ามมองนะ! อย่าทำให้ร่างของข้าต้องระคายตา!”
ขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าถ้าลองราดน้ำสักถังจะทำให้เจ้าตี้ฝูอีน้อยสงบลงหรือไม่ ในที่สุดตี้ฝูอีที่อยู่ด้านหลังเธอก็ไม่หยอกเธอเล่นแล้ว “เจ้านั่งลงก่อน เดินลมปราณที่จุดตันเถียน โคจรไปตามจุด….” ในที่สุดน้ำเสียงก็จริงจังขึ้นมา
กู้ซีจิ่วกึ่งเชื่อกึ่งระแวง ในที่สุดก็นั่งลงโคจรพลังตามที่บอก ผ่านไปครู่หนึ่ง ตี้ฝูอีน้อยที่คึกคักในที่สุดก็ว่าง่ายแล้ว
กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก “ที่แท้ก็มีวิธีรับมือเช่นนี้…เมื่อก่อนท่านทำแบบนี้ทุกเช้าเลยหรือ?”
ตี้ฝูอีเงียบไปสักครู่ “ตอนที่มันอยู่ในการครอบครองของข้าไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้”
กู้ซีจิ่วไม่เชื่อ กล่าวราวกับเขาลวนลามเธอ “ท่านแค่โกหกสินะ!”
ตี้ฝูอียิ้มแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก
เขาเป็นเทพ ไม่มีปฏิกิริยาเหล่านั้นเหมือนบุรุษทั่วไปจริงๆ ก่อนจะได้พบกู้ซีจิ่ว เขาถึงขั้นไม่มีแม้แต่ความปรารถนาด้วยซ้ำ
ส่วนนางก็เป็นเหมือนกุญแจของกล่องความลับ กระตุ้นอารมณ์ทั้งหมดของเขาออกมา ทำให้เขามีชีวิตเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง…
….
ดำเนินไปเช่นนี้อีกสามวัน ตอนเช้าก่อนลุกจากเตียงทุกวันกู้ซีจิ่วล้วนต้องโคจรพลังหนึ่งรอบ เพื่อทำให้ตี้ฝูอีน้อยเป็นปกติ
กู้ซีจิ่วต้องไปสอนอีกครั้งแล้ว หนนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เนื้อหาบรรยายที่ตี้ฝูอีทำให้เธอละเอียดมาก คำถามทั้งหมดที่เป็นไปได้ว่าเหล่าศิษย์จะถามก็ตอบไว้ให้เธอครบถ้วน
ประกอบกับตี้ฝูอีที่อยู่ด้านล่างค่อยตักเตือนเธอ คาบเรียนที่สองนี้เธอจึงพอใจยิ่งนัก
และในการสอนครั้งนี้ อวิ๋นชิงหลัวก็มาเข้าเรียนด้วย นางดูผอมลงขึ้นไม่น้อย ตัวคนก็สงบเสงี่ยมเรียบร้อย นอกจากการมอง ‘ตี้ฝูอี’ ด้วยสายตาที่ร้อนแรงเป็นครั้งคราวแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ
หลังเลิกเรียน กู้ซีจิ่วคอยตี้ฝูอีอยู่ครู่หนึ่ง
เนื่องจากเจ้าคนผู้นั้นบอกเธอว่า หลังเลิกเรียนหากเธอไม่รอเขา เขาก็จะไล่ตามเธอต่อหน้าสาธารณชน ทำให้ทุกคนเห็นว่ากู้ซีจิ่วไล่ตามตี้ฝูอีอย่างบ้าคลั่ง…
————————————————————————————-
[1] ความฝันฤดูใบไม้ผลิ ในที่นี่เป็นคำแฝงความนัย หมายถึงการฝันเปียก
บทที่ 795 กิ่งหลิวที่ดัดจนกลายเลขแปด
เมื่อคิดถึงชื่อเสียงของตน สุดท้ายแล้วกู้ซีจิ่วยังคงต้องทำตามที่เขาข่มขู่อยู่ดี แค่ครึ่งเดือนเท่านั้น เธออดทนไว้เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว
เธอยืนรออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เนื่องจากค่อนข้างเบื่อ เธอเลยหักกิ่งหลิวก้านหนึ่งมาดัดเล่น
สายลมพัดโชยมาวูบหนึ่ง หลงซือเย่ปรากฏตัวขึ้นไม่ไกลจากข้างกายเธอ
กู้ซีจิ่วแข็งทื่อเล็กน้อย โยนกิ่งหลิวในมือก้านนั้นทิ้งไป
หลงซือเย่มองกิ่งหลิวบนพื้นที่ถูกเธอดัดจนกลายเลขแปด แล้วก็มองดูเธอ นัยน์ตาคล้ายมีประกายแสงวาบผ่าน
ทว่ากู้ซีจิ่วกลับใจหายแวบ การเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ตามความเคยชินของตนสำคัญมากจริงๆ! คนอื่นอาจไม่ใส่ใจ แต่หลงซือเย่คุ้นเคยกับเธอมาก ไม่แน่เขาอาจมองพิรุธออกจากการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างของเธอ!
เธอตีหน้านิ่ง แล้วยื่นมือไปหักกิ่งหลิวมาอีกก้าน ดัดเป็นวงหลายวง แล้วยิ้มแวบหนึ่ง “การละเล่นของสาวน้อย ไม่รู้จริงๆ ว่าสิ่งนี่สนุกอย่างไร แต่นางก็ติดการเล่นเช่นนี้ยิ่งนัก” จากนั้นก็โยนทิ้ง ปัดมือเล็กน้อย เอนกายพิงต้นไม้อย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็เอ่ยทักทายหลงซือเย่อย่างเอื่อยเฉื่อย “เจ้าสำนักหลง สบายดีกระมัง?”
พูดถึงเธอก็ไม่ได้เจอเขามาสามวันแล้ว ระยะเวลาสามวันไม่สั้นไม่ยาว ทว่าร่างของหลงซือเย่กลับผอมลงหนึ่งรอบตัว
กู้ซีจิ่วรู้สึกผิดต่อเขาอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าเผยสีหน้าอะไรออกมา หลังจากส่งเสียงทักทาย เธอก็หันหลังคิดจะจากไป
“ตี้ฝูอี ข้าอยากคุยกับเจ้า” หลงซือเย่ขวางทางเธอไว้อย่างมีเจตนาและไร้เจตนา
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วขึ้น ดูเหมือนค่อนข้างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่มีหน้าที่ต้องคุยเป็นเพื่อนเจ้า” ตอนนี้เธอไม่อยากสนทนาลงลึกกับเขา ด้วยเกรงว่าจะเผยพิรุธออกมา
“ขอเวลาให้ข้าห้านาที ได้หรือไม่?” หลงซือเย่มองเธอ
กู้ซีจิ่วสะบัดหน้าจากไป
“นาทีเดียว! นาทีเดียวก็ไม่ได้หรือ?” หลงซือเย่ที่อยู่ด้านหลังไม่ยอมถอดใจ
กู้ซีจิ่วไม่สนใจ
“ซีจิ่ว! ฉันรู้นะว่าเป็นเธอ!” หลงซือเย่ปาระเบิดออกมาทันที
ฝีเท้ากู้ซีจิ่วชะงักเล็กน้อย เขาดูออกแล้วหรือ?!
ไม่สิ เขาอาจแสร้งหยั่งเชิงเธอเท่านั้น…
ขณะที่กู้ซีจิ่วกำลังจะก้าวต่อไป น้ำเสียงของหลงซือเย่ก็แว่วเข้ามาอีก ‘พวกเธอสลับร่างกันใช่ไหม? ซีจิ่ว ตี้ฝูอีกลัวว่าฉันจะทำร้ายเขา เลยไม่ยอมบอกความจริง เธอก็กลัวเหมือนกันเหรอ? เธอคิดว่าฉันจะทำร้ายเธอเหรอ?’
เขาใช้วิธีส่งกระแสเสียง เห็นได้ชัดว่าเขาทราบถึงอันตราย จึงไม่เปิดโปงออกมาต่อหน้าผู้อื่น
ตบตาครูฝึกหลงไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ ด้วย!
กู้ซีจิ่วได้แต่ยืนนิ่ง ยังคงใช้โทนเสียงของตี้ฝูอีเหมือนเดิม “เจ้าจะคุยอะไรกับข้า?”
หลงซือเย่ถอนหายใจอย่างโล่งอก เผยท่าทีเป็นการเป็นงานออกมา “ตี้ฝูอี ในเรือนข้าเตรียมสุรารสบางเอาไว้ มิสู้พวกเราไปดื่มกันสักจอก?”
“นับข้าไปด้วยสิ” เสียงหนึ่งแว่วมาไม่ไกล
กู้ซีจิ่วหันไปมอง เห็นตี้ฝูอียืนอยู่ตรงนั้น กำลังมองเธอกับหลงซือเย่ด้วยรอยยิ้ม
….
สุดท้ายแล้วทั้งสามคนก็ไม่ได้ไปดื่มสุราที่เรือนของหลงซือเย่ แต่ไปที่เรือนของตี้ฝูอีแทน เนื่องจากเรือนของตี้ฝุอีมีสุราดีมากมาย
ณ สวนด้านหลังเรือน
ในสวนด้านหลังมีทะเลสาบเล็กๆ แห่งหนึ่ง กลางทะเลสาบมีศาลา ในศาลามีโต๊ะมีม้านั่ง มีสุราและอาหาร
ทั้งสามคนนั่งล้อมวงอยู่ในศาลาหลังน้อย
“เจ้าสำนักหลงช่างเฉลียวฉลาดนัก” นี่คือประโยคแรกที่ตี้ฝูอีเอ่ยออกมา ยามที่กล่าวประโยคนี้ ถึงแม้เขาจะยังอยู่ในร่างของกู้ซีจิ่ว ทว่าสำเนียงท่าทีเป็นตัวเขาเองแล้ว
หลงซือเย่เม้มริมฝีปากบางนิดๆ เผชิญหน้ากับใบหน้านั้นของกู้ซีจิ่ว เขาเอ่ยถ้อยคำระคายหูอันใดไม่ออกจริงๆ ได้แต่เอ่ยเรียบๆ ว่า “พูดได้ดี! พูดได้ดี! สิ่งสำคัญคือข้าคุ้นเคยกับซีจิ่วเกินไป และท่านก็เผยพิรุธออกมามากเกินไปจริงๆ!”
————————————————————————————-
บทที่ 796 ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย
“หือ? ข้าเผยพิรุธตรงไหนล่ะ?” ตี้ฝูอีคล้ายจะสนใจมาก ยื่นมือไปรินสุราให้หลงซือเย่จอกหนึ่ง
หลงซือเย่ตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “พิรุธของท่านมากมายนัก! กริยาท่าทางของท่านถึงแม้มองผ่านๆ จะไม่พบอะไร ถึงที่ว่าวาจาทิ่มแทงข้าเหล่านั้นของท่านก็ทำให้ข้าเจ็บปวดยิ่งนัก แต่ท่านเผยพิรุธออกมาในกิจวัตรประจำวันไม่น้อยเลย ยกตัวอย่างเช่นท่านไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้ท่าน อย่างเช่นจู่ๆ ท่านก็เย็นชาห่างเหินกับสหายสนิท…”
ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว “เท่านี้หรือ?”
“เท่านี้ก็เพียงพอจะทำให้ผู้อื่นทราบแล้วว่าร่างนี้เปลี่ยนผู้ถือครองแล้ว!”
“แล้วเจ้าทราบได้อย่างไรว่าเป็นข้าที่สลับร่างกับซีจิ่ว?”
หลงซือเย่กล่าวว่า”ทีแรกข้ายังมิได้สงสัยว่าพวกเจ้าสลับร่างกัน เพียงสงสัยว่าดวงวิญญาณของซีจิ่วถูกวิญญาณร้ายอันใดขับไล่ออกไป ตามธรรมดาแล้วในหนึ่งร่างมิอาจมีสองดวงวิญญาณอยู่รวมกันได้ ดังนั้นข้าจึงทำพิธีเรียกวิญญาณของซีจิ่วอย่างลับๆ…หลังจากไม่ได้ผล ข้าก็เริ่มสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่าดวงวิญญาณของนางจะถูกผู้ใดจับไปพันธการไว้ในหุ่นเชิดอะไรทำนองนั้น ถึงอย่างไรในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แห่งนี้ก็มีปรมาจารย์หุ่นเชิดอยู่ โดยทั่วไปแล้วปรมาจารย์หุ่นเชิดจะครอบครองวิญญาณร้ายหลายดวงไว้เพื่อบงการให้ทำตามคำสั่ง…”
ประโยคนี้ของเขาชี้ให้เห็นแจ่มแจ้งยิ่ง ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร รอให้เขาพูดต่อไป
หลงซือเย่เอ่ยต่อว่า “หากว่าซีจิ่วไม่ได้รับบาดเจ็บ ดวงวิญญาณของนางจะแข็งแกร่งเช่นกัน ไม่อาจถูกผู้อื่นคร่ากุมไปได้ มีเพียงช่วงที่นางอ่อนแอเท่านั้นถึงจะมีความเป็นไปได้ข้อนี้ ดังนั้นข้าจึงไปจับตามองอวิ๋นชิงหลัวอยู่หลายวัน ถึงขั้นทำให้นางสลบไปแล้วค้นตัวนางดู แต่ก็ไม่พบอะไร เมื่ออยู่ที่นั่นแล้วพบว่านางไม่มีอะไรผิดปกติจริงๆ ดังนั้นข้าจึงหันเทสายตากลับมา เมื่อสังเกตเจ้าอย่างละเอียด ย่อมพบพิรุธบางอย่าง…”
หัวใจกู้ซีจิ่วอบอุ่นนิดๆ ที่แท้หลงซือเย่ก็แอบทำเพื่อเธอมากมายถึงเพียงนี้!
เธอยื่นมือไปรินสุราให้หลงซือเย่จอกหนึ่ง “ขอโทษนะ ทำให้คุณเป็นห่วงแล้ว”
หลงซือเย่มองเธอแวบหนึ่ง ทอดถอนใจ “ฉันรู้ว่าเธอแค่ซื่อสัตย์กับคนอื่นเท่านั้น เรื่องนี้ไม่โทษเธอหรอก”
พลางเอื้อมมือออกไปหมายจะตบมือน้อยๆ ของเธอเพื่อปลอบประโลม แต่พอเห็นมือใหญ่ของตี้ฝูอี…เขาก็ละสายตาไปด้วยสีหน้ารังเกียจอีกครั้ง
เขายังกล่าวถึงจุดที่น่าสงสัยอีกหลายจุด จากนั้นสายตาก็หันเหไปที่ตี้ฝูอี นัยน์ตาฉายแววภาคภูมิใจรางๆ “ตี้ฝูอี ที่ข้าพูดมาเหล่านี้ถูกหรือไม่?”
“ถูกต้อง! ถูกต้องที่สุด!” ตี้ฝูอียิ้มนิดๆ ยื่นมือไปรินสุราให้เขาอีกจอก “เห็นแก่ความเฉลียวฉลาดของเจ้า ข้าขอคารวะเจ้าหนึ่งจอก”
หลงซือเย่ดื่มสุราลงไปอย่างไม่เกรงใจ เขาไม่หวั่นว่าตี้ฝูอีจะเล่นลูกไม้อะไรในสุรา อย่างไรเสียตัวเขาก็เลื่องชื่อด้านวิชาแพทย์ สุรามีพิษหรือไม่เขาแยกแยะได้ง่ายดายนัก
เขามีความรู้สึกภาคภูมิผ่าเผย คบค้าสมาคมกับตี้ฝูอีมาเนิ่นนานปี ปกติถูกเขาเล่นงานไม่รู้กี่หนแล้ว ครั้งนี้จับผิดการปลอมตัวของเขาได้ ก็นับว่าโต้กลับได้ครั้งหนึ่งแล้ว
ในมือเรื่องทั้งหมดเผยออกมาแล้ว เช่นนั้นเขาก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป “ตี้ฝูอี ที่แท้เจ้าเล่นเล่ห์อันใดกันแน่? เหตุใดต้องสลับร่างกับซีจิ่ว? วันนั้นเจ้าบอกว่าซีจิ่วไม่อาจย้ายร่างได้อีกแล้วมิใช่หรือ?”
ตี้ฝูอีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ไม่เกรงใจเช่นกัน “ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย?”
หลงซือเย่นึกไม่ถึงว่าเขาจะเล่นแง่เช่นนี้ “…เจ้า!”
ตี้ฝูอียกสุราขึ้นดื่มจอกหนึ่ง “ข้าไม่มีหน้าที่ต้องบอกเจ้าจริงๆ นี่”
“ตี้ฝูอี ข้ารู้สึกว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วพวกเราสามคนควรพูดกันอย่างตรงไปตรงมา! หรือตอนนี้เจ้ายังระแวงข้าอยู่? หากว่าข้าต้องการทำร้ายเจ้า วันนี้ก็คงไม่พูดหมดเปลือกเช่นนี้หรอก! คงเตรียมแผนเล่นงานเจ้าอย่างลับๆ ไปแล้ว!” หลงซือเย่เดือดดาล
บทที่ 797 มีอะไรจะพูดกับฉันไหม
ตี้ฝูอีเอ่ยเรียบๆ “เจ้าสำนักหลง เจ้าก็โชคดีที่พูดออกมาหมดเปลือกที่นี่ และไม่ไปทำเรื่องโง่เง่าอันใด มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเจ้าจะยังสามารถจิบสุราพูดคุยกับข้าอยู่ที่นี่ได้อีกหรือ?”
หลงซือเย่ขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่ายังไง?”
ตี้ฝูอียิ้มเอื่อยๆ แวบหนึ่ง “คืนก่อนยามห้ายสองเค่อ เจ้าทำพิธีเรียกวิญญาณกู้ซีจิ่วอยู่ในเรือนของตน บนโต๊ะวางเครื่องเซ่นไว้ห้าจาน เรียงตามลำดับคือ…” เขาพูดชื่อและลักษณะของผลทั้งห้าจานออกมา “ทำพิธีสามครั้ง ล้วนล้มเหลวทั้งสามครั้ง”
หลงซือเย่หน้าเปลี่ยนสี “เจ้ารู้ได้ยังไง…”
ตี้ฝูอีไม่สนใจเขา พูดต่อไป “เมื่อคืนยามจื่อ เจ้าไปตรวจสอบอวิ๋นชิงหลัวตอนกลางคืน ใช้ธูปหอมสลายกำลังทำให้นางสลบ ค้นถุงเก็บหุ่นเชิดของนาง พบหุ่นเชิดสองตัว วิญญาณหุ่นเชิดสามดวง ยันต์อาคมยี่สิบแผ่น…” เขาร่ายรายชื่อชุดหนึ่งออกมาอีกครั้ง ตรงกับทุกอย่างที่หลงซือเย่ค้นพบเมื่อคืนไม่มีผิด!
หลงซือเย่ทึ่มทื่อไปพักหนึ่ง “เจ้าจับตามองความเคลื่อนไหวข้า! ตี้ฝูอี ที่แท้เจ้าไม่เคยเชื่อถือข้าเลย!”
ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เจ้าก็ไม่เชื่อถือข้าเหมือนกันมิใช่หรือ? มิเช่นนั้นเมื่อเจ้าพบว่าซีจิ่วผิดปกติ อีกทั้งเห็นว่านางเข้ามาพักอยู่ในเรือนข้า เหตุใดไม่มาเตือนเล่า? แถมยังแอบไปตรวจสอบลับหลังอีกมิใช่หรือ? เจ้าไม่เกรงว่าวิญญาณร้ายที่สิงสู่ร่างนางจะปองร้ายข้าระหว่างที่เจ้าสืบหาอยู่หรือ? บางทีลึกๆ ในใจของเจ้า อันที่จริงคงหวังให้ ‘วิญญาณร้าย’ ตนนี้กำจัดข้าไปเสียกระมัง?”
หลงซือเย่เงียบงัน ปลายนิ้วเขาเย็นเฉียบ แม้แต่ตัวเขาเองก็บรรยายถึงส่วนลึกในจิตใจตนไม่กระจ่าง คล้ายว่าจะมีความคิดซ่อนเร้นเช่นนั้นอยู่บ้างจริงๆ
บนร่างเขามีหยาดเหงื่อเย็นเฉียบซึมออกมา ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้น่าหวาดหวั่นเหนือธรรมดาจริงๆ! แถมยังเข้าใจสภาพจิตใตผู้อื่นอย่างลึกซึ้งด้วย!
ตี้ฝูอีเอนกายพิงด้านหลัง พลางเอ่ยว่า “เจ้าดูสิ อันที่จริงเข้าก็ไม่เชื่อถือข้าเหมือนกัน แล้วจะอาศัยสิ่งใดให้ข้าเชื่อถือในตัวเจ้า?”
ถึงแม้จะถูกตี้ฝูอีคาดเดาความคิดที่ซ่อนเร้นไว้ในใจได้ แต่หลงซือเย่กลับไม่อยากยอมรับ “เจ้าคิดมากไปแล้ว! ด้วยฝีมืออันเก่งกาจของเจ้า ต่อให้นางถูกวิญญาณร้ายสิงสู่จริง มีหรือจะทำอันใดเจ้าได้? หากว่าวิญญาณร้ายดวงนั้นสามารถทำอะไรเจ้าได้ เจ้าคงไม่มีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้หรอก!”
ตี้ฝูอีหัวเราะ โคลงจอกสุราในมือ “นับว่าเจ้ายังพอรู้จักข้า มาเถอะ คารวะเจ้าหนึ่งจอก!”
หลงซือเย่ไม่พูดอะไร แต่ก็ชนจอกกับเขา
เมื่อทั้งสองคนดื่มสุราเสร็จ หลงซือเย่ก็มองไปที่กู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว เธอมีอะไรจะพูดกับฉันไหม?”
กู้ซีจิ่วหยักยิ้มบางๆ ชูจอกสุราขึ้น “ครูฝึกหลง ซีจิ่วผิดต่อคุณ! จอกนี้ขอคารวะคุณ!”
ตั้งแต่ตนสลับร่างด้วยเกรงว่าจะเผยพิรุธจึงเย็นชากับเขามาตลอด เพื่อรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับตี้ฝูอี เลยปิดบังเขามาโดยตลอด เห็นความระทมขมขื่นของเขาอยู่ตำตาก็ต้องทำเป็นเฉยเมย ทว่าในมุมของหลงซือเย่ เขากลับวิ่งวุ่นเพื่อเรื่องของเธออยู่ตลอด…
เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกผิดต่อสหาย!
ดวงตาหลงซือเย่ส่องประกายแวบหนึ่ง ยิ้มนิดๆ “ซีจิ่ว เธอไม่จำเป็นต้องขอโทษฉันเลย ฉันรู้นิสัยเธอดี ไม่ว่าจะทำอะไรล้วนมีเหตุผลเสมอ ฉันจะไม่ต้อนถาม และจะไม่ระแวงในตัวเธอ”
กู้ซีจิ่วแย้มยิ้มอีกครั้ง “ประโยคนี้ของคุณทำให้ฉันรู้สึกว่าควรจะคารวะคุณอีกจอก!” ขณะที่เธอกำลังจะเงยหน้าดื่ม ตี้ฝูอีก็ยกแขนเสื้อขึ้นจับข้อมือเธอไว้ “ซีจิ่ว เจ้าไม่เหมาะจะดื่มสุรามากเกินไป เอาแค่พอเหมาะเถอะ”
กู้ซีจิ่วยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับส่งไปไม่ถึงดวงตา “วางใจเถิด ข้าย่อมทราบข้อนี้ดี และที่ดื่มก็มิใช่สุรา เป็นน้ำเปล่า”
ตี้ฝูอีพูดไม่ออก…
….
ไข่มุกราตรีทอแสงอ่อนละมุน ประกายแสงนุ่นนวลไม่แยงตา อีกทั้งสามารถส่องสว่างได้ทั่วห้อง
กู้ซีจิ่วก้มหน้าศึกษาบันทึกบทเรียนของชั้นเรียนเมฆาม่วงที่อยู่บนโต๊ะ
————————————————————————————-
บทที่ 798 พวกเราเริ่มกันเถอะ
บันทึกบทเรียนนี้เป็นสิ่งที่ตี้ฝูอีจดมาให้ตอนเข้าเรียนในร่างของเธอ เขียนอย่างบรรจงเป็นระเบียบงดงามนัก แถมยังเป็นลายมือของเธอด้วย ดังนั้นต่อให้มีสหายร่วมชั้นเห็นตอนเขาเขียนก็ไม่พบความผิดปกติ
ภายในห้องค่อนข้างเงียบ ตี้ฝูอีคัด ‘คัมภีร์สวรรค์[1]’ เหล่านั้นอยู่พักหนึ่ง ก็เงยหน้ามองนาง เขาสามารถรับรู้ถึงควาเงียบงันจากนางได้ชัดเจน
แตกต่างกับสองวันก่อน ที่นางจะเข้ามาดูเขาเขียน ‘คัมภีร์สวรรค์’ บ้างเป็นครั้งคราว บางครั้งยังขอคำชี้แนะจากเขาสองสามประโยคด้วย แต่วันนี้หลังจากหลงซือเย่จากไป นางก็ไม่พูดเรื่อยเปื่อยกับเขาอีกเลยสักประโยค
เขานึกว่านางจะคิดบัญชีเขาเสียอีก…
ถึงอย่างไรเรื่องที่เขาทำเหล่านั้นก็ไม่ได้ปิดบังพียงหลงซือเย่ ยังปิดบังนางด้วยเช่นกัน ทำให้นางเหมือนหูหนวกตาบอด ปิดบังเรื่องนี้ไว้
ทุกอย่างดูเหมือนเขาไม่ไว้ใจหลงซือเย่ และไม่ไว้ใจนางด้วย…
ด้วยนิสัยของนาง ย่อมต้องซักไซ้ติเตียนเขาสักหลายประโยค ไม่แน่หากว่าโกรธขึ้งอาจจะแตกหักกับเขาเสียด้วยซ้ำ!
ดังนั้นตี้ฝูอีจึงรออยู่ตลอด รอให้นางซักถาม
กลับนึกไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วจะไม่ซักไซ้เขาเลย นางไม่กระทำสิ่งใดเลย แค่เงียบขรึมลงไปมากเท่านั้น
นางอ่านบันทึกบนเรียนเหล่านั้นอยู่ตลอด ตั้งใจศึกษา ไม่เงยหน้าขึ้นมาเลยทั้งคืน
ตี้ฝูอีสอบถามนางหลายประโยค อย่างเช่นมีตรงไหนที่นางไม่เข้าใจบ้าง? ต้องการดื่มน้ำหรือไม่? เป็นต้น เขาหาข้ออ้างมากมายเพื่อพูดคุยกับนาง แต่นางล้วนตอบสั้นๆ ไม่กี่คำเท่านั้น ไม่มี ไม่เอา ขอบคุณ…
เมื่อเห็นว่าล่วงเข้ายามดึกแล้ว ใกล้จะถึงเวลาฝึกฝน ในที่สุดตี้ฝูอีก็ทนไม่ไหว “เสี่ยวซีจิ่ว เจ้ากำลังโกรธใช่ไหม?”
นางเงยหน้ามอง ดวงตาคู่นั้นดำมืดเป็นพิเศษ และนิ่งสงบยิ่งนัก “จะโกรธท่านทำไม?”
“โกรธที่ข้าปิดบังเรื่องทุกอย่างกับเจ้า โกระที่ข้าส่งคนไปจับตามองหลงซือเย่…”
กู้ซีจิ่วยิ้มจางๆ แวบหนึ่ง “ไม่มีอะไรต้องโกรธนี่ ท่านมีความกังวลของท่าน ท่านไม่เชื่อใจข้า ไม่เชื่อใจหลงซือเย่ก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง ข้าคิดดูแล้ว ไม่มีอะไรทำให้ท่านเชื่อถือได้เลยจริงๆ” เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าด้านนอก “เอาล่ะ ดึกแล้ว ควรฝึกวรยุทธ์ได้แล้ว! ยิ่งฟื้นฟูได้เร็วพวกเราก็สามารถสลับร่างคืนได้เร็วยิ่งขึ้น ต่างคนต่างอยู่”
นั่งขัดสมาธิลงบนเตียง ทำสมาธิด้วยท่าทางจริงจังยิ่ง “พวกเราเริ่มกันเถอะ!”
ตี้ฝูอีเงียบงัน
ดูเหมือนหนนี้จะล่วงเกินนางเข้าเสียแล้ว
หากนางเอะอะโวยวายกับเขาระบายอารมณ์ใส่เขายังพอว่า แต่นางกลับเริ่มห่างเหินหมางเมินใส่เขาอย่างแท้จริงแล้ว…
เขาคิดไม่ออกชั่วขณะว่าต้องทำอย่างไรถึงจะกลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้งได้
เขามีฐานะสูงส่งมาชั่วชีวิต คุ้นเคยกับการทำตามอำเภอใจมาโดยตลอด กล่าวได้ว่าค่อนข้างยึดตนเองเป็นที่ตั้ง กระทำการใดพิจารณาเพียงว่าถูกหรือผิด ใคร่ครวญหาทางลักที่รวดเร็วที่สุด ไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น และไม่เคยสนใจความรู้สึกของผู้อื่นเลย…
ยามนี้เป็นครั้งแรกที่เขามีคนที่ใส่ใจ และอบรมเพียงนาง เอ็นดูเพียงนาง ชมชอบเพียงนาง หยอกเย้าเพียงนาง แต่ยามที่จัดการเรื่องราวยังคงใคร่ครวญไปตามความเคยชิน ใช้วิธีตามความเคยชิน…หากว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กสาวน่ารักซื่อใสไร้เดียงสาคนหนึ่งก็แล้วไปเถิด นางจะเติบโตอย่างสงบสุขปลอดภัยภายใต้ปีกของเขา หากนานๆ ทีโป้ปดนางบ้างสักครั้ง พนันได้เลยว่าอย่างมากนางก็แค่แง่งอนเล็กน้อย กระเง้ากระงอดใส่เขา ขอเพียงเขาปลอบประโลมสักหน่อยก้กล่อมได้แล้ว
แต่อีกฝ่ายกลับเด็ดเดี่ยวห้าวหาญ เป็นเด็กสาวที่กล้าได้กล้าเสีย ความคิดละเอียดลออพอๆ กับเขา หากล้ำเส้นนางเข้า คิดจะกล่อมอีกครั้งก็ยากแล้ว…
ยิ่งไปกว่านั้นคือ บางเรื่องค่อนข้างเกี่ยวพันใหญ่โตเกินไป เขาไม่สามารถอธิบายกับนางได้จริงๆ
ช่างเถิด! ปล่อยให้นางเงียบขรึมไปก่อนสักสองสามวัน เดี๋ยวเขาค่อยๆ ตะล่อมนางไปช้าๆ ก็ได้
ตอนนี้ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ
ตอนนี้นางคุ้นเคยกับการฝึกฝนแล้ว ตี้ฝูอีแค่ชี้แนะนางบ้างเป็นบางครั้ง จากนั้นก็จับตามองความคืบหน้าในการฝึกฝนของนางก็พอ
————————————————————————————-
[1] คัมภีร์สวรรค์ อุปมาถึงเรื่องที่ซับซ้อนเข้าใจยาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น