องครักษ์เสื้อแพร 774-783
774 รับรองให้กระทำการนอกกฎหมาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พานเซิ่งไฉ เมื่อก่อนเจ้าเป็นกองโจรม้าที่เมืองกานโจว ต่อมามาทำการค้าเกลือ มีลูกน้องราวหกร้อยกว่าคนใช่ไหม เจ้าไม่ใช่ขี้คุยประจำว่าตนเองปีก่อนใช้กำลัง 600 ชนะทหารทางการ 6,000 ที่เหยียนสุยงั้นหรือ?”
“เถียนต้าเชียน กองกำลังหลังม้า 400 กว่าของเจ้าเอง เป็นพวกที่เผ่าเคอเอ่อชิ่นส่งมาให้เจ้า พ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงมากมายมีเพียงเจ้าคนเดียวที่ส่งสินค้าไปตะวันออกโดยไม่เกรงกลัวกองโจรม้า?”
“…….กำลัง 300 ในมือเจ้า……”
“…….รังโจรทางภูเขาตะวันตกนั้นเป็นของเจ้ากระมัง น่าจะหลายร้อยได้ ปีก่อนเจ้าพากลับมายังเมืองกุยฮว่าเฉิงทั้งหมด เตรียมทำการค้าใหญ่ ……”
หวังทงกล่าวแต่ละประโยค ก็มีคนคุกเข่าลงทีละคน แต่ละคนหวาดกลัวตื่นตระหนก ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะรู้กระจ่างเพียงนี้ พวกเขาพบว่า พวกที่หวังทงเรียกไว้ ล้วนมีกำลังในมือทั้งสิ้น ไม่ใช่พ่อค้าสุจริตทั่วไปพวกนั้น
ที่แท้สืบเรื่องพวกนี้มาก็ง่ายมาก ในเมืองกุยฮว่าเฉิง พฤติกรรมหลายคนล้วนไม่มีกฎหมายใดบังคับ แค่สอบถามก็รู้ได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในนี้หลายคนยังเป็นคนอวดอ้างบารมีตนเองเสียด้วย ตอนนั้นดูยิ่งใหญ่ แต่ยามนี้กลัวว่าหวังทงจะรู้ พอถูกเปิดโปงก็พากันตื่นตระหนก
สีหน้าหวังทงไร้รอยยิ้ม ทำให้ทุกคนเริ่มลนลาน พวกเขารู้สึกถึงสายตาหวังทงที่กวาดตามองมา สถานการณ์เช่นนี้ทำให้พวกเขาหวาดกลัว ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
“คนเช่นพวกเจ้า อยู่แผ่นดินหมิงก็เรียกได้ว่าโจรใหญ่ ไม่ก็นักเลงโต ต้องถูกประหารเก้าชั่วโคตร แต่เป็นเพราะอยู่ในที่ไร้กฎหมาย พวกเจ้าจึงมีชีวิตอยู่ได้”
วาจาหนักหนาเช่นนี้ ทำให้หลายคนสิ้นหวัง แต่พวกเขาก็พอฟังออกว่าในวาจายังมีอันใดแฝงอยู่ ยามนี้อยู่ในพื้นที่ของหวังทง ความเป็นความตายไม่ได้ขึ้นกับตนเอง ย่อมได้แต่รอคอยด้วยใจระทึก
“พรุ่งนี้ไปทวงคืนกับพวกนอกด่าน พวกเจ้าไม่ต้องไป!”
ได้ยินหวังทงสั่งเช่นนี้ พวกที่คุกเข่าก็สิ้นหวัง แต่ก็ถอนหายใจออกมาได้ อย่างไรก็ไม่ใช่ภัยใหญ่ ก็แค่รวยน้อยหน่อยเท่านั้น พวกเขายังคงคิดเองเออเองต่อไป หวังทงนั่งเป็นประธานกล่าวต่อว่า
“ทุกฤดูหนาวพวกเจ้าจะรวมกำลังไว้ข้างกาย พรุ่งนี้ก่อนเที่ยง ข้าอยากเห็นพวกเจ้าเรียกรวมกำลังพล”
แม้ไม่รู้ว่าหวังทงต้องการอันใด แต่ทุกคนก็รับคำอย่างไม่ลังเล สีหน้าหวังทงปรากฏรอยยิ้มกล่าวว่า
“พรุ่งนี้จะมีทัพม้าออกไปนอกเมืองไล่ล่าเผ่าใหญ่พวกนั้น พวกเจ้าก็ตามไปด้วย!”
ถูกหวังทงตบซ้ายตบขวาอยู่นาน อยู่ ๆ ก็มีคำสั่งนี้ ทุกคนพากันอึ้งไป เมืองกุยฮว่าเฉิงมีทรัพยากรเพียงพอ หลายปีมานี้พวกเผ่าใหญ่บนทุ่งหญ้านอกด่านก็ชินเสียแล้ว ทุกหน้าหนาวก็จะมารวมตัวกันรอบนอกเมืองกุยฮว่าเฉิง หนึ่งเพื่อทำการค้ากับเมืองกุยฮว่าเฉิง สองเพื่อเลี้ยงดูตนเอง
การรบเมื่อวาน เห็นทหารเผ่าอันต๋าพ่ายแพ้ยับเยิน เผ่าต่างๆ พวกนี้ย่อมไม่อยู่รอบๆ เมืองกุยฮว่าเฉิงต่อ คนหลายพันชีวิต สัตว์หลายหมื่นตัว ไม่อาจหนีได้รวดเร็ว
เผ่าพวกนี้ได้แต่ภาวนาให้โชคดี หวังว่าทหารหมิงจะสู้ติดพันในเมืองกุยฮว่าเฉิง ไม่กล้าออกมาไล่ล่าพวกเขาบนทุ่งหญ้า
หวังทงจะปล่อยไปได้อย่างไร เผ่าใหญ่พวกนี้หากปล่อยไป เผ่าอันต๋าถูกกำจัด เกิดช่องว่างทางอำนาจ เผ่าใหญ่พวกนี้ก็จะเป็นใหญ่แทนที่อย่างรวดเร็ว ถึงตอนนั้นรอบด้านฟื้นคืน ยังคงเป็นภัยยุ่งยากต่อ
ทหารม้าเมืองต้าถงและทหารม้าเมืองจี้โจว และทหารส่วนตัวพ่อค้าเหล่านี้ ไม่ว่าสำหรับเผ่าใดแล้ว ก็ล้วนเป็นกองกำลังที่ไม่อาจต้านทานได้
สำหรับทหารม้าเหล่านี้ สำหรับพ่อค้าชาวฮั่นในเมืองกุยฮว่าเฉิงไปปล้นเผ่าใหญ่ ผลพลอยได้ย่อมดีกว่าปล้นในเมืองมาก สามารถลงมือได้ตามอำเภอใจยิ่งมาก
พวกหนิวเกินกังครุ่นคิดได้ก็พบว่า หวังทงไม่ได้ลงโทษพวกเขาอันใด หากเป็นงานที่ทำได้ประโยชน์ก้อนโต
มิน่าพวกเขาจึงได้อึ้งไป ที่ได้สติเร็วสุดก็คือหนิวเกินกัง เขารีบโขกศีรษะอย่างแรงตะโกนดังว่า
“ขอแม่ทัพใหญ่วางใจ พวกข้าน้อยแม้ร่างแหลกสลาย ก็ต้องปฏิบัติงานตามที่แม่ทัพใหญ่มอบหมายให้สำเร็จ”
หลายคนข้างๆ แอบสบถด่าหนิวเกินกังที่หัวไวเกินไป พลางโขกศีรษะแสดงความภักดี หวังทงยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า
“หากพวกเจ้ารู้สึกว่าคนในมือตนเองไม่พอ นอกจากชาวฮั่นในเมืองกุยฮว่าเฉิงแล้ว ยังมีเผ่าที่ขัดแย้งกับเผ่าอันต๋าอีกไม่น้อย คิดว่าวางใจได้ เป็นคนกันเอง ก็นำตัวมาใช้งานได้!”
วาจานี้กล่าวไป พวกหนิวเกินกังก็รู้สึกได้ว่าหวังทงเข้าใจดี ในใจคิดแต่ว่าแม่ทัพใหญ่ที่เข้าใจจิตใจทุกคนเช่นนี้เหตุใดจึงมาช้าเพียงนี้ หากมาก่อนหน้านี้ ทุกคนคงมีความสุขกันตั้งนานแล้ว
สั่งการเสร็จ หวังทงไม่ได้รั้งให้อยู่ต่อ ทุกคนก็รู้ตัวขอตัวกลับ ก่อนไป หวังทงจัดนายทหารม้าให้ติดต่อกับพวกเขาไว้ พรุ่งนี้รวมพลกองทัพม้า ก็จะได้ตามออกนอกเมืองไปได้
เผ่าพวกนี้นำสมบัติไปด้วยมาก และยังมีคนแก่และคนอ่อนแออีกมาก ย่อมเดินทางได้ไม่เร็ว ทหารม้ากระจายกำลังไล่ล่า ไม่ถึงสองวันก็ตามทัน
นับเวลาแล้วก็น่าจะเที่ยงคืนแล้ว หวังทงรู้สึกเหนื่อยมากแล้ว นายทหารหมิงกินอาหารค่ำกันแล้ว หวังทงตอนนี้รู้สึกหิวบ้างแล้ว
ก่อนหน้าทหารติดตามด้านนอกอุ่นอาหารยกเข้ามาหลายครั้ง หวังทงยามนี้ค่อยๆ กินข้าว หัวหน้าสายลับที่ออกไปคนแรกกลับเข้ามารับคำสั่งอีกครั้ง
“พรุ่งนี้เจ้านำคนของเจ้าแต่งเป็นทหารม้าเราออกไปด้วย จับตาดูพวกนั้นไว้ พวกเขาไม่กล้าสังหาร พวกเจ้าก็สังหารมากหน่อย จัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาด เข้าใจไหม?”
หวังทงกินไปกล่าวไป หัวหน้าสายลับรีบคำนับรับคำสั่ง หัวหน้าสายลับกำลังจะออกไป หวังทงหยุดไปพักหนึ่งก่อนจะยิ้มกล่าวว่า
“ที่นาอุดมสมบูรณ์ ความรุ่งเรืองชั่วลูกหลาน อยู่ในวันสองวันนี้แล้ว เจ้าต้องจัดการให้ดี!”
ได้ยินเช่นนี้ หัวหน้าสายลับก็อึ้งไป คุกเข่าลงโขกศีรษะหลายที ก่อนจะเดินออกไป
พอสายลับออกไป หลังฉากกำลังด้านหลังหวังทง ไช่หนานขยี้ตาเดินออกมา พอเดินออกมาก็มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย หวังทงเอ่ยกับถานเจียงว่า
“ขันทีไช่ก็เหนื่อยมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว คิดว่าเมื่อครู่จดจนเมื่อยมือแล้ว รีบให้คนยกอาหารมาเร็ว!”
ถานเจียงยิ้มรับไช่หนานสะบัดมือกล่าวว่า
“ใต้เท้า ในเมืองตอนนี้ต้องจัดการให้สงบ วันนี้ที่ท่านว่ามา เกรงว่าพรุ่งนี้ก็เกิดการสังหารใหญ่ หากมีเวลา ให้ทหารพักให้ดีๆ สักสองสามวันก็ดีนะ”
“ตอนนี้ข้ากลัวก็แต่บางเรื่อง จึงต้องให้ขันทีไช่ลำบากแล้ว”
หวังทงไม่ตอบ หากผายมือให้ไช่หนานนั่งลง ไช่หนานส่ายหน้ากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ใต้เท้า บางครั้งท่านก็เด็ดเดี่ยว บางครั้งท่านก็ระแวดระวังตัวมากเกินไป ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยใต้เท้า ใต้เท้ามีสถานะใดในพระทัยฝ่าบาท ไยใต้เท้าต้องกังวลมากเพียงนี้ ก็แค่คุยกับพ่อค้าในเมือง ไยต้องให้ข้ามาเป็นพยานด้วย ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใดเลยจริงๆ”
“นำทัพออกนอกเมืองมา และยังมาอยู่ในเมืองศัตรู อย่างไรระวังรอบคอบไว้ดีกว่า งานครั้งนี้ ทางเมืองหลวงพวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิว พวกขุนนางราชสำนัก ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรคิดหาเรื่องกับข้า กองกำลังเราก็มีสายจากสำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรที่ข้ารู้อยู่บ้าง ที่ไม่รู้ก็ไม่ต้องพูดถึง อย่างไรก็รอบคอบไว้ก่อนดีกว่า!”
ไช่หนานส่ายหน้า หากไม่กล่าวแย้งอันใดอีก ถานเจียงยกอาหารเข้ามา หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“เมื่อครู่ขันทีไช่ถามข้า เหตุใดจึงต้องสังหารในเมืองอีก เสียเวลาพักผ่อนทหารเรา ขันทีไช่กินไปฟังไปละกัน เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นพื้นที่ที่พวกแต่ละเผ่าบนทุ่งหญ้านอกด่านต้องการแย่งชิง ผู้ใดแย่งได้ ผู้นั้นก็จะเป็นใหญ่บนทุ่งหญ้านี้ ชาวฮั่นในเมืองกุยฮว่าเฉิงใช้ชีวิตตอนเหนือนี้มานาน ไม่ใช่ว่าทหารหมิงเรามาถึง เขาก็จะจงรักภักดีทันที หากมีการเปลี่ยนแปลงใด คนพวกนี้ หากไม่ใช่พวกที่ถูกนอกด่านกระทำมาเมื่อวาน หลายคนก็ย่อมคิดลุกขึ้นต่อต้านทัพเรา!”
วาจานี้ไม่น่าฟัง แต่ก็เป็นความจริง ไช่หนานค่อยๆ พยักหน้า หวังทงกล่าวต่อว่า
“แต่ตอนนี้ พวกนอกด่านทำร้ายทุกคน ทำให้ชาวฮั่นในเมืองเจ็บแค้น อาศัยจังหวะนี้ทำให้พวกเขามีเรื่องกัน สังหารพวกนอกด่านในเมืองให้หมด มือเปื้อนเลือดแล้ว จะกลับไปเข้ากันอีกคงเป็นไปไม่ได้ แม้ว่ามีพวกที่เก่งกล้าผงาดขึ้นมาได้ พวกเข้าก็ย่อมไม่กล้าสวามิภักดิ์ ได้แต่สู้ตาย เพราะว่าพวกเขากับพวกนอกด่านมีความแค้นไม่อาจร่วมโลกแล้ว ไม่อาจกลับไปคืนดีกันได้อีก”
หวังทงดื่มซุปร้อนคำหนึ่งก็กล่าวต่อว่า
“พรุ่งนี้ในเมืองนี้ คนเผ่าอันต๋า เผ่าฉาฮาเอ่อ เผ่าเคอเอ่อชิ่นต้องสังหารให้หมด เหลือแค่อี้ลี่ปาหลี่ อู้เหลียงฮา และสามเผ่าทะเลทรายตอนเหนือไว้ ให้พวกเขาตามชาวหมิงเราไปสังหาร ให้กำลังพวกนี้ไม่ว่ายอมหรือไม่ก็ต้องอยู่ข้างเรา คุมพวกเขาได้ เมืองกุยฮว่าเฉิงก็จะอยู่ในการควบคุมของเราไม่อาจเปลี่ยนแปลง ขอเพียงแผ่นดินหมิงคุมที่นี่ได้หนึ่งปี ก็ย่อมขยายอิทธิพลออกไปรอบสี่ทิศ คุมสถานการณ์ให้มั่นคงต่อไปได้อย่างแท้จริง”
ไช่หนานฟังเพลิน ถือแผ่นแป้งไว้ในมือไม่ขยับ รอหวังทงพูดจบ ไช่หนานคิดส่ายหน้า แต่ก็พยักหน้า ถอนหายใจกล่าวว่า
“ใต้เท้าคิดการณ์ไกล เป็นข้าที่คิดแคบไป!”
ล้วนคนกันเอง พอกล่าวจบก็หัวเราะดังลั่น รีบกินข้าว จากนั้นก็ไปพักผ่อน หลังจากชัยชนะตามหลักก็ควรเฉลิมฉลองและพักผ่อนให้เต็มที่ พวกหวังทงกลับไม่รู้สึกผ่อนคลายแต่อย่างใด
***************
ความจริงนั้น พ่อค้าในเมือง ย่อมไม่ได้พักผ่อนเช่นกัน ไม่กล่าวถึงพวกหนิวเกินกังที่จะต้องตามทัพม้าออกไปไล่ล่านอกด่าน พวกที่ไม่ได้ถูกเรียกตัวไว้พวกนั้นพอกลับบ้านไป ก็เริ่มติดต่อคนสนิทกัน
พวกนอกด่านปล้นล้างบางในเมือง จากนั้นทหารหมิงเข้าเมืองมา ราษฎรไหนเลยกล้าใช้ชีวิตอย่างวางใจได้ ทุกคนย่อมหวาดกลัว กลัวว่าจะสู้กันมาถึงตัว รอจนมีคนรู้จักกันมาติดต่อ ก็เรียกได้ว่าวางใจได้หายใจสะดวกขึ้น ถูกคนล่าสังหารปล้นชิงไหนเลยจะไม่มีความแค้น เพียงแค่ฝังลึกในใจเท่านั้น
ได้ยินทหารแผ่นดินหมิงยอมให้การสนับสนุน ให้พวกเขาทวงคืนความยุติธรรม และตระกูลใหญ่กล้าออกหน้า อารมณ์ทุกคนก็ย่อมถูกจุดประกายไฟขึ้นมา
ยังอยู่ในเดือนหนึ่ง ฟ้าเพิ่งสว่างรำไร ชาวฮั่นแต่ละทิศละทางก็ถืออาวุธมารวมตัวกัน แต่ละที่มีคนตะโกนดังว่า
“ล้างแค้น! ล้างแค้น!”
775 สถานการณ์ค่อยๆ นิ่ง ทุกอย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เดือนหนึ่งบนทุ่งหญ้านอกด่านอากาศแจ่มใสหนาวเหน็บ พระอาทิตย์ขึ้นสูง ชาวฮั่นที่รวมกำลังฮึดฮัดถืออาวุธพากันมารวมตัวกันหน้าพื้นที่ว่าง
เผ่าอันต๋าในเมืองถูกทหารหมิงสกัดกั้นไว้อยู่ในหลายพื้นที่ กลายเป็นสุกรที่รอเชือด พวกที่มีกลิ่นไอสังหารรุนแรงไม่เพียงแค่ชาวฮั่น ยังมีพวกที่ไม่ใช่เผ่าอันต๋ารวมอยู่ด้วย
แม้หวังทงกล่าวกับพ่อค้าชาวฮั่นพวกนั้นด้วยภาษาขุนนางแบบอ้อมค้อม แต่พวกเขาเองก็ฟังเข้าใจนัยแห่งวาจานั้น หากยังจำกัดขอบเขตอยู่ พ่อค้าในเมืองกุยฮว่าเฉิงกับบุคคลแนวหน้ากำลังตกใจกับสงครามนี้ ไหนเลยกล้าฝืนคำสั่ง หากกลับทำตามอย่างไม่บิดพลิ้วแม้เพียงนิด
เผ่าอันต๋าสร้างเมืองกุยฮว่าเฉิงมา ชาวบ้านในเมืองก็เลือกอย่างดี ข่านเผ่าอันต๋ากับชนชั้นสูงและทหารพวกเขาเป็นกำลังหลักในเมือง พวกชาวฮั่น พ่อค้าและคนงานใช้แรงงานทำงานล้วนอยู่ในเมือง พวกพ่อค้าเผ่าอื่นจากทะเลทรายตอนเหนือและทางซีอวี้ก็ให้อยู่ในเมือง แต่ชาวเผ่าอันต๋าในเมืองกลับต้องเป็นไปตามเกณฑ์อันหนึ่ง
มีกำลังคน มีเงินทอง มีสถานะ แต่ไม่อยู่ใต้บังคับของข่านเผ่าอันต๋า ไม่อนุญาตให้อยู่ในเมือง อย่างมากก็ไพวกเขานำเผ่าตนเองมาอยู่รอบนอกเมืองกุยฮว่าเฉิงได้เท่านั้น
พวกชนเผ่าอันต๋าในเมืองก็ล้วนยากจนไม่ก็เป็นชาวบ้านเลี้ยงสัตว์เร่รอนยากจน คนพวกนี้ไม่มีสมบัติทรัพย์สิน ได้แต่ทำงานใช้แรงงานให้กับพวกพ่อค้าชาวฮั่นและชาวเผ่าอื่น ไม่เช่นนั้นก็รับการจัดสรรงานจากเผ่าอันต๋ามาตามลำดับ หรือไม่ก็เป็นทหาร
จากข่านเผ่าอันต๋ารุ่นแรกมาถึงเซิงเก๋อตูกู่เหลิง มาจนเฉ่อลี่เข้อก็ทำเช่นนี้ ก็คือให้อาหารและของใช้จำเป็นแก่ชาวเลี้ยงสัตว์เร่รอนพวกนี้
ชาวบ้านยากจนเผ่าอันต๋าในเมืองพวกนี้ หนึ่งเพราะชีวิตพึ่งพากับชนชั้นสูงเผ่าอันต๋า สองเพราะความยากจน จึงมีความแค้นอิจชาวฮั่นและเผ่าอื่นๆ ในเมือง
ผลเช่นนี้เป็นสิ่งที่ชนชั้นสูงเผ่าอันต๋าต้องการให้เป็น ทำเป็นแค่เลี้ยงสัตว์เร่ร่อนและออกรบ หากคิดจะธำรงเมืองต่อไปก็จำเป็นต้องอาศัยพ่อค้าชาวฮั่นและพ่อค้าชาวเผ่าทางซีอวี้และช่างฝืมือต่างๆ เท่านั้น แต่พอนานวันเข้า ทรัพย์สมบัติบรรดาพ่อค้าสั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆ ช่างแม้ไม่เก็บฝีมือเป็นความลับ แต่พวกเผ่าอันต๋าที่ชินกับการได้รับการดูแลก็ย่อมไม่อยากเรียนรู้ ที่นากว้างใหญ่นอกเมือง ก็ยิ่งต้องการชาวฮั่นมาดูแล
พวกที่ไม่ใช่เผ่าอันต๋าเมื่อกุมทรัพย์สินมากยิ่งขึ้น กุมสิ่งของจำเป็นมากยิ่งขึ้น หากเผ่าอันต๋ายังดีกับพวกเขาอีก กำลังควบคุมของผู้ปกครองก็จะยิ่งอ่อนกำลังลง
ดังนั้นข่านเผ่าอันต๋าจึงรักษาสมดุลส่วนใหญ่ไว้เช่นนี้ และอีกทางหนึ่งก็ยังมอบสถานะทางการเมืองการปกครองให้ชนเผ่าตนเอง ทำให้พวกเขาสามารถรังแกคนเผ่าอื่นได้โดยไม่ถูกลงโทษ
ชาวฮั่นโอนอ่อนผ่อนตาม ส่วนเผ่าอื่นที่กำลังกระจัดกระจาย สถานการณ์เช่นนี้จึงดำรงต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ชนเผ่าอันต๋าก็ยิ่งได้ใจใหญ่
รอจนหวังทงนำกำลังทหารหมิงตีเมืองกุยฮว่าเฉิง ทำลายทัพพวกนอกด่านพ่ายแพ้ราบคาบกลับเมืองหลวง เพื่อปลอบขวัญให้ทหารที่พ่ายแพ้ศึกมาได้อารมณ์เย็นลง ยังปล่อยให้พวกเขาปล้นฆ่าชาวบ้านได้ ถึงกับมีชนชั้นสูงเผ่าอันต๋าได้ประโยชน์จากการนี้อีกด้วย สร้างผลประโยชน์ให้กับตนเองจำนวนมาก
เพียงแต่ไม่มีคนคิดว่ากรรมจะตามมาเร็วเพียงนี้ แค่สองวัน ทุกอย่างก็ราบเตียน ราษฎรในเมืองกุยฮว่าเฉิงที่ไม่ใช่เผ่าอันต๋า ล้วนถูกสังหารในวันนั้นวันเดียว สร้างความแค้นยิ่งใหญ่ เดิมมีกองกำลังกดไว้ ไม่กล้าเคลื่อนไหวต่อสู้ แต่ในเมืองเบื้องบนอนุญาต เช่นนั้นทุกคนก็ย่อมรวมกลุ่มกันออกมาเอาคืน
แผ่นดินหมิงเป็นเช่นนี้ นอกแผ่นดินหมิงอย่างเมืองกุยฮว่าเฉิงก็เช่นกัน ชาวฮั่นชินกับการอดทนกล้ำกลืนความแค้น ไม่อันใดก็ยอมถอยให้ก่อน แม้ว่าจะกระทบกับผลประโยชน์ตน คนในครอบครัวก็คอยเตือน ให้อดทนต่อไป จึงไม่นำภัยมาสู่ตัว
วันนี้ไม่เหมือนวันวาน มีผู้ชายบางบ้านไม่ยอมมา ถูกมารดาและภรรยาด่าทอ หญิงข้างบ้านออกมาเสียดสี จึงได้แต่หยิบอาวุธตามออกไป
สิ่งที่ตนเองไม่ต้องการอย่าได้มอบให้แก่ผู้อื่น วันนั้นปล้นฆ่าเหิมเกริม ชาวเผ่าอันต๋าเกรงว่าคงไม่เคยได้ยินประโยคนี้ ตอนนี้สถานการณ์เช่นนี้ เสียใจภายหลังก็ไม่ทันเสียแล้ว
ไม่มีผู้ใดออกคำสั่ง ทหารหมิงที่เข้าปิดกั้นพื้นที่ก็เปิดทางให้ชาวฮั่นเข้าไป ด้านหลังชาวฮั่นก็มีนายทหารตามไปดู หากมีปัญหาก็เข้าไปช่วยเหลือทันที
ไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้มนุษยธรรม เพราะตอนทหารหมิงเข้าเมืองมา ชาวฮั่นที่นำทางล้วนมีความแค้นใหญ่หลวงกับพวกนอกด่าน ตามทหารหมิงไปก็เล่าเรื่องความน่าอนาถของตนเองและครอบครัวในวันนั้นไป และมักจะส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญทุบอกชกตัว ได้ยินเรื่องนี้ ทหารหมิงก็แค้นใจจนต้องกัดฟันตาม
หากไม่ใช่ว่าหวังทงกลัวว่ารุมสังหารกันจะทำให้ทหารคุมไม่อยู่แล้วล่ะก็ ทหารตนก็คงลงมือเองไปแล้ว ชาวฮั่นเป็นเช่นนี้ ชาวเผ่าจากซีอวี้ที่ไม่ใช่ชาวเผ่าอันต๋ายิ่งโหดร้ายกว่าชาวฮั่นหลายเท่า เปิดโอกาสให้พวกเขา คนพวกนี้ก็ย่อมฮึกเหิมลงมือ เกรงก็แต่ว่าสังหารน้อยไป
พ่อค้าชาวฮั่นพวกนั้นก็ยิ่งมีเป้าหมาย เมื่อวานเมืองโดนตีแตกเร็วเกินไปไม่ทันตั้งตัว ทหารหมิงปิดเมืองเร็วมาก ในเมืองมีชนชั้นสูงเผ่าอันต๋าหลายคนหนีไม่ทัน
แม้ว่าเมื่อคืนคนพวกนี้จะส่งสารให้พ่อค้าชาวฮั่น หรือว่าขอไปพบกับหวังทงโดยตรง แต่ส่วนใหญ่ถูกสกัดไว้ไม่ให้เข้าพบ มีพ่อค้าชาวฮั่นคิดออกหน้าช่วยพูด แต่พ่อค้าชาวฮั่นก็ไม่มีโอกาสได้พบหวังทงอีก แนวทางดำเนินการนี้ทุกคนเข้าใจแล้ว
เทียบกับชาวเผ่าอันต๋าที่มีม้าตัวเดียวกับของไร้ค่าจำนวนหนึ่งแล้ว ชนชั้นสูงพวกนี้เรียกได้ว่าเป็นเป้าหมายลงมือที่คู่ควร พ่อค้าชาวฮั่นในเมืองมักมีกำลังของตนเอง
ชนชั้นสูงเผ่าอันต๋าก็มีผู้คุ้มกันเช่นกัน และยังแข็งแกร่งกว่ากำลังในมือพ่อค้าชาวฮั่นพวกนี้อีก แต่ในสถานการณ์เช่นนี้เรียกได้ว่าไร้ประโยชน์ เพราะหากราษฎรจัดการไม่ได้ ก็ยังมีทหารหมิง
เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ ในเมืองก็มีแต่การฆ่าฟันสังหารกัน พื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองเต็มไปด้วยการต่อสู้ฆ่าฟัน วันทั้งวัน เมืองกุยฮว่าเฉิงนองไปด้วยเลือด
************
หวังทงแม้นอนดึก แต่เขาก็ตื่นเช้าเหมือนทหารในกองทัพคนอื่นๆ หยางจิ้น หม่าหย่งและพวกมารวมตัวกันที่กระโจมหวังทงก่อน
กระโจมแม่ทัพอยู่ด้านหนึ่งของวังข่าน ที่นี่เคยเป็นพื้นที่รบดุเดือดมาก่อนหน้า ไม่มีบ้านเรือนชาวบ้าน ดังนั้นจึงเงียบสงบมาก
ก็เพียงแค่สงบเงียบกว่าที่อื่น เพราะความวุ่นวายในเมืองยังคงได้ยินมาถึงกระโจมนี้ รองแม่ทัพหยางจิ้นเมืองจี้โจวขมวดคิ้วกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ การออกล่าสังหารเช่นนี้ ทหารเราทำได้เร็วกว่า ไยต้องให้ชาวบ้านลงมือด้วย มีดดาบไร้ตา อย่างไรคงต้องบาดเจ็บกันบ้าง”
“กองกำลังหู่เวยเป็นกองกำลังสังกัดวังหลวง ตามกฎต้องกลับไปป้องกันเมืองหลวง ทหารเมืองจี้โจวย่อมต้องกลับไปรปกป้องเมืองจี้โจว ทหารเมืองต้าถงก็ย่อมกลับไปยังสังกัดนายทหารตน หรือว่าพวกเราอยู่ต่อได้กัน หรือแม้ราชสำนักส่งกำลังมาอีก หรือว่าจะเก่งกล้ากว่าพวกเรา? ถึงตอนนั้นย่อมต้องอาศัยกำลังชาวฮั่นในเมืองป้องกันตนเอง”
หวังทงยิ้มอธิบาย ตอนนี้ต่างกับเมื่อคืน หวังทงเอ่ยต่อว่า
“ให้พวกเขาได้ลงมือเปื้อนเลือด ให้พวกเขาได้แข็งแกร่งด้วยตนเองดีกว่า ที่นี่โดดเดี่ยวห่างไกล แม้ว่ามาตั้งทัพที่นี่ เกรงว่ามณฑลซานซีกับส่านซีคงไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง ยังต้องให้พวกเขาดูแลตัวเอง ชาวบ้านสามัคคี ที่นี่ก็จัดการได้แล้ว”
เรื่องสังหารพวกนอกด่านจนวันหน้าไม่อาจแปรพักตร์ได้อีก แม้ว่าหวังทงไม่ได้ชี้แจงกระจ่าง แต่หยางจิ้นใช่ว่าคิดไม่ออก หากตอนนี้หวังทงกล่าวเหตุผลเป็นชั้นๆ ขึ้นไปอีก และยังมีแรงโน้มน้าว หยางจิ้นจึงได้แต่พยักหน้า ไม่มีวาจาอันใดกล่าวอี ก
สีหน้าหม่าหย่งกลับตื่นเต้น ทหารม้าเมืองต้าถงรวมตัวกัน วินัยทหารไม่เคร่งครัดนักยามนี้ ให้ออกปล้นชิงได้เต็มที่ วันนี้พ่อค้าในเมืองนำกำลังออกไล่ล่าเผ่าใหญ่ ผู้นำหลักก็คือทหารม้าเมืองต้าถง หม่าหย่งเป็นหัวหน้าทหารม้าเมืองต้าถงก็ย่อมได้ไปไม่น้อย
“ไล่ล่าพวกเผ่าใหญ่ที่จากไปพวกนั้น สิบวันก็น่าจะเก็บกวาดหมด หลังตีพวกเผ่าพวกนี้หมดแล้ว เมืองกุยฮว่าเฉิงครึ่งปีนี้ไปก็ไม่ต้องกังวลกับปัญหาใดอีกแล้ว!”
หวังทงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า ไช่หนานพยักหน้ารับคำกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง กำลังเผ่าอันต๋าอยู่ในเมืองเป็นหลัก บรรดาเผ่าใหญ่ที่มาปักหลักหน้าหนาวที่นี่ได้ คิดแล้วน่าเป็นพวกเดียวกัน กวาดล้างพวกเขาทิ้ง ทหารม้าเผ่าอันต๋าหลายพันที่ยังอยู่ในถู่ฟาน ก็ย่อมไม่อาจรวมตัวกันเป็นกองกำลังใหญ่ได้อีก
ทุกคนพยักหน้า สีหน้ายินดียิ่ง หลังตีเมืองได้เมื่อวาน ได้พักผ่อนมาคืนหนี่ง เช้าตื่นมา คิดถึงเมื่อวาน แล้วมาคิดถึงว่าตนเองตอนนี้อยู่ในเมืองกุยฮว่าเฉิง เป็นทหารแผ่นดินหมิงจะไม่ดีใจแทบคลั่งได้อย่างไร ถึงกับทำลายทัพพวกนอกด่านยึดเมืองได้ สังหารข่านพวกนอกด่าน เป็นความชอบระดับใดกัน ความรู้สึกนี้เมื่อวานยังรู้สึกไม่แน่ใจนัก แต่ถึงตอนนี้ มีแต่ความดีใจเท่านั้น
หวังทงกวาดตามองทุกคน ยิ้มกล่าวว่า
“ทหารม้าไล่กวาดล้างเผ่าใหญ่พวกนั้น เดิมไม่มีอันใดต้องคิดให้มาก แม้ว่าตลอดทางมานี้ทุกวันมีม้าเร็วไปรายงานเมืองหลวง แต่วันนี้ก็ควรจะไปรายงานด่วนเช่นกัน!”
วาจานี้ทำเอาในกระโจมนิ่งอึ้งไปกันหมด พวกหยางจิ้นกับหม่าหย่งสบตากัน แม้ว่าสองคนเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว แต่ก็ล้วนไม่อาจคุมสีหน้าและอารมณ์ได้ ความดีความชอบยิ่งใหญ่เช่นนี้ ม้าเร็วไปเมืองหลวง เป็นความดีความชอบเพียงใดกัน ช่างตื่นเต้นรอคอยเสียจริง สองคนลุกขึ้น กล่าวพร้อมกันว่า
“ขอน้อมรับคำสั่งแม่ทัพใหญ่!”
หยางจิ้น หม่าหย่งสองคนเป็นเช่นนี้ แม้แต่พวกถานเจียงสีหน้าก็ยินดีปรีดา ทุกคนล้วนเป็นทหาร ย่อมคิดไม่ต่างกัน หวังทงพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า
“ขอขันทีไช่ช่วยร่างสาร พวกข้าทุกคนประทับตราร่วมกัน!”
ทุกคนย่อมรับคำสั่ง เสียงสังหารด้านนอกดังมาเป็นระยะ แต่จิตใจบรรดาขุนพลทหารต่างอยู่ในความยินดีปรีดา บรรยากาศผ่อนคลายยิ่ง วันนี้มีแค่ออกไปลาดตระเวนนอกเมือง และป้องกันในเมืองเท่านั้น
หยางจิ้นกับหม่าหย่งเดินออกจากกระโจมไป หม่าหย่งหันไปมอง ยิ้มกล่าวว่า
“พวกเราทางนั้นได้แต่คอยยกคอยเอาใจขันทีคุมกำลัง แต่ใต้เท้าหวังนี่สิ ถึงกับใช้งานขันทีคุมกำลังเป็นคนเขียนสารได้ ข้าว่ากงกงคุมกำลังท่านนั้นก็เห็นเป็นเรื่องปกติ ถุย ๆ ไม่เคยพบไม่เคยเห็น!”
“ใต้เท้าหวัง ทำงานไม่เหมือนคนทั่วไป ไม่เช่นนั้นจะสร้างความสำเร็จระดับนี้ได้อย่างไร?”
“ใช่เลย ใช่เลย!”
สองคนหัวเราะคุยกันออกไปไกล หวังทงเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะสั่งการว่า
“พวกขบวนค้าแต่ละแห่งน่าจะอยู่ระหว่างทางแล้ว ให้พวกหม่าซานเปียวนำทหารม้าออกไปรับ”
ถานเจียงรับคำ หวังทงถอนหายใจยาว กล่าวเบาๆ ว่า
“หลังชัยชนะใหญ่นี้ พวกขุนนางบุ๋นคงจะหาความยุ่งยากให้พวกเราอีกแล้ว!”
776 พ่อค้าร่วมตัวกันที่เมืองกุยฮว่าเฉิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปราบศัตรูที่อยู่คู่แผ่นดินหมิงมาเกือบร้อยปีลงได้ราบคาบ เป็นความดีความชอบยิ่งใหญ่อย่างที่สุด ความดีความชอบเช่นนี้ ขุนนางราชสำนักย่อมไม่พอใจ หวังทงมีความดีความชอบเช่นนี้ ย่อมต้องได้รับพระราชทานรางวัลความดีความชอบสูงสุด นี่เป็นเรื่องแน่นอนแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจากนี้หวังทงจะราบรื่นไปหมดทุกเรื่อง
หวังทงเดิมเป็นขุนนางคนสนิทอันดับหนึ่งของฮ่องเต้ กล่าวอันใดก็มีน้ำหนัก ตอนนี้เขาได้รับชัยชนะใหญ่เช่นนี้อีก สร้างความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ จากนี้หวังทงจะดำรงสถานะใดกัน วาจามีน้ำหนักเพียงใดกัน ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดระแวง เมื่อก่อนลู่ปิ่งเพราะเป็นลูกชายแม่นมฮ่องเต้เจียจิ้ง ตอนเกิดเพลิงไหม้ในวังยังเคยช่วยชีวิตฮ่องเต้เจียจิ้งไว้ สถานะจึงสูงส่งยิ่ง หวังทงกับฮ่องเต้ว่านลี่ก็เหมือนสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นเช่นนี้เช่นกัน มีคนมักนำมาเปรียบเทียบกัน แต่ตอนนี้หวังทงมีความดีความชอบเช่นนี้อีก ยิ่งเกินหน้าลู่ปิ่งอย่างมาก เป็นเรื่องที่แน่นอนเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว
มีคนเช่นนี้ในราชสำนัก ย่อมกดหัวทุกคนเอาไว้อย่างมาก นี่เป็นเรื่องที่ข้าในองค์ฮ่องเต้ไม่อาจยอมได้ ย่อมต้องหาทางหาเรื่องโจมตีให้ได้
หวังทงนำกำลังออกนอกด่านมา มุ่งตรงมาเมืองกุยฮว่าเฉิง ทำลายทัพเผ่าอันต๋า จากนั้นบุกตีเมืองเผ่าอันต๋า การกระทำต่อเนื่องเช่นนี้ภายใต้ชื่อว่านำกำลังปราบกองโจรม้าเท่านั้น ตอนนั้นเขาเป็นผู้แทนพระองค์ เป็นผู้บัญชาการมณฑลทหารเมืองต้าถง ป้องกันการรุกรานพวกนอกด่านที่อาจเกิดขึ้น ตำแหน่งเขาไม่ได้ให้ออกรบกับพวกนอกด่าน และยังรบจนได้ผลสำเร็จเช่นนี้อีก
ทุกคนไม่ได้โง่ หวังทงบอกพวกนอกด่านตนเองมาปราบกองโจรม้า ขุนนางบุ๋นจะเดาไม่ออกได้อย่างไร แม้ว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่สามารถทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้
คิดถึงสมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ พิธีใหญ่อย่างไรในสายตาคนนอกแล้วก็เป็นเรื่องไร้สาระเท่านั้น
หลังรบชนะไม่ใช่เวลาชื่นชมชัยชนะ หากเป็นเวลาที่ต้องคิดถึงว่าพวกในเมืองจะมีปฏิกิริยาเช่นไร นี่เป็นสิ่งที่หวังทงกำลังทำอยู่ในตอนนี้
**************
ต่อหน้ากลุ่มที่รวมตัวกันเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร และด้านหลังชาวบ้านที่คิดจะแก้แค้นยังมีทหารทางการคอยช่วยอีก เหตุนองเลือดในเมืองกุยฮว่าเฉิงก็จบลงอย่างรวดเร็วในหนึ่งวัน
กลิ่นคาวเลือดเหมือนว่าจะคละคลุ้งไปทั่วเมือง ชาวฮั่นกับชาวเผ่าอื่นที่อารมณ์เย็นลงเริ่มช่วยทหารขนย้ายศพออกไปนอกเมืองเผาตรงที่ว่างห่างไกลจากแม่น้ำ
พ่อค้าในเมืองได้รับประโยชน์กันไป ชาวบ้านเองก็มีได้เช่นกัน ที่จริงแล้วก็เท่ากับแบ่งออกมาได้ถึงครึ่งหนึ่ง เป็นรายได้ระยะยาวก้อนหนึ่ง กลางวันนั้นสังหารกันสะใจแต่พอตกดึงกลับถึงบ้านตนกัน ก็คิดถึงมือที่เปื้อนเลือด คิดถึงชาวเผ่าอันต๋าที่ตนเองสังหารไปพวกนั้น
ไม่ว่าผู้ใดก็รู้ดีว่าไม่อาจหันหลังกลับได้แล้ว ได้แต่จงรักภักดีต่อแผ่นดินหมิงอย่างแท้จริง เดินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว แต่ทว่าได้แก้แค้นให้ครอบครัว ระบายแค้นที่สะสมมาหลายปี ก็นับว่าเพียงพอแล้ว
ในเมืองมีชาวฮั่นหลายหมื่น คนพวกนี้ยังเรียกได้ว่าชาวบ้าน หากยังมีชาวบ้านที่เป็นชาวฮั่นนอกเมือง นั่นยิ่งน่าเศร้ากว่า
แม่น้ำถู่ม่อชวนเป็นสบแม่น้ำหลายสาย ที่นาน้ำท่าอุดมสมบูรณ์สะดวกแก่การทำนายิ่ง แม้ว่าทำได้เพียงฤดูเดียว แต่ก็ยังสามารถเรียกได้ว่าที่นาดี ที่นี่ดีกว่าที่อื่นๆ บนทุ่งหญ้านอกด่าน เพราะว่าใกล้ภูเขา และยังมีแร่หลายชนิดให้ขุด ดังนั้นเชื้อเพลิงจึงไม่เคยขาดแคลน มูลสัตว์ก็สามารถนำมาเป็นปุ๋ยได้ มีปุ๋ยมีน้ำ ย่อมสร้างผลผลิตได้ไม่น้อย
ชาวเลี้ยงสัตว์ทุ่งหญ้านอกด่านไม่เชี่ยวชาญการเพาะปลูก ที่นาพวกนี้ล้วนเป็นแรงงานชาวฮั่น ชาวฮั่นพวกนี้เป็นคนงานของชนชั้นสูงระดับต่างๆ ตอนรบกับทหารหมิง พวกที่อยู่แนวหน้าก็เป็นทหารราบชาวหมิงพวกนี้ พวกที่ถูกนำไปเป็นกำลังแนวหน้านั่นเอง
ทาสแรงงานพวกนี้ส่วนใหญ่กวาดต้อนมาจากแผ่นดินหมิง คนพวกนี้ไม่มีอิสระ เพาะปลูกได้มาก็ได้กินไม่เท่าไร พวกผู้หญิงก็มักถูกนำไปขายเป็นของเล่นให้พวกชนชั้นสูงนอกด่าน ชีวิตพวกเขายังไม่อาจสู้สัตว์เดรัจฉาน ลำบากอย่างมาก
ว่ากันว่าหลายครั้งที่คิดต่อต้าน แต่ก็ถูกพวกทหารม้านอกด่านเข้าปราบปราม ถึงตอนนี้ แรงงานทาสพวกนี้เริ่มชินชากันแล้ว ไม่มีความรู้สึกยินดียินร้าย
ในเมืองเกิดเหตุสังหาร พ่อค้าหลายร้านที่เข้าเมืองกุยฮว่าเฉิงมาก่อนภายใต้การคุ้มกันของทหารกองกำลังหู่เวย มุ่งไปยังพื้นที่บุกเบิกรอบเมืองกุยฮว่าเฉิง
ตอนหวังทงนำกองกำลังมาถึง ทุกอย่างล้วนต้องมุ่งการรบเป็นอันดับแรก ยามนี้จึงได้มีเวลามาสนใจแรงงานชาวนา แรงงานพวกนี้ไม่ได้ดีไปกว่าชาวฮั่นที่อาศัยในเมืองกุยฮว่าเฉิง พวกเขาอยู่ในพื้นที่บุกเบิกเพื่อการทำการเกษตร หลังสงคราม ทหารนอกด่านที่เฝ้าคุมพวกเขาอยู่นั้นได้ถูกโยกกลับไป พวกเขาที่นี่ทำงานกันอย่างว่างเปล่าไร้ทิศทาง
ตอนหวังทงนำคนมาถึง กังวลมากว่าบรรดาชาวนาแรงงานพวกนี้จะแตกตื่นหนีกัน แต่พอตกดึกก็มีรายงานทำให้หวังทงคิดไม่ถึง ไม่มีแรงงานหลบหนี
ทหารม้าพวกนอกด่านที่เฝ้าพวกเขาไม่หนีไปก็รบจนตัวตายไป ไม่มีผู้ใดมาควบคุมพวกเขาอีก แต่พวกเขาก็ยังคงหลบอยู่ในเพิงพักตนเองไม่ไปไหน ไม่มีแม้แต่คิดจะต่อต้านหรือหลบหนี นี่ก็คือที่เรียกว่ากดขี่จนสิ้นหวังแม้แต่แรงปรารถนาจะดำรงชีวิต มีแต่ความชินชารอความตายเท่านั้น
พวกที่หนีไปล้วนเป็นเชลยที่เพิ่งจับตัวมาได้สองสามปีมานี้ คนที่มารายงานสีหน้าเจ็บปวดใจยิ่ง บอกว่าแรงงานชาวฮั่นพอได้ยินทางการมาช่วยพวกเขา ดูเหมือนไม่ได้ยินดียินร้ายอันใด แต่ละคนรอคอยอย่างไร้ความรู้สึก ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกบีบคั้นจิตใจอย่างมาก
หวังทงนำพ่อค้ามาจากหลากหลายเมือง ทุกวันนอนแค่วันละสามชั่วยาม ทุกวันมุ่งตรงไปยังพื้นที่บุกเบิก ต่อมาพวกเขายังอาศัยสำนักงานของพ่อค้าในเมืองรับคนจากในเมืองไปเร่งจัดการตรวจนับที่นาและแรงงานทำนาอย่างรวดเร็ว
ออกนอกด่านมาเดือนหนึ่ง วันที่ 18-19 เดือนหนึ่งก็จัดการทุกอย่างเรียบร้อย วันที่ 23 เดือนหนึ่งปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 12 วันนั้น ทหารม้าที่ไล่ล่าเผ่าต่างๆ ไปก็กลับมารายงานครั้งที่ 1 มีสามเผ่าใหญ่ถูกทลายราบ ยังมีอีกสองเผ่าขอมาสวามิภักดิ์เอง หวังทงอนุญาตเพราะเป็นเผ่าที่ไม่ยอมลงให้เผ่าอันต๋ามาก่อน หารือกันได้
มีหลักการดำเนินการเช่นนี้ ทหารม้าก็รู้แล้วว่าควรดำเนินการเช่นไร ข่าวแพร่มาถึงหวังทง แสดงให้เห็นว่าแผนการที่หวังทงวางไว้เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ดำเนินไปตามที่วางไว้ สถานการณ์เริ่มอยู่ในความควบคุม
ที่ทำให้หยางจิ้นและหม่าหย่งตกใจก็คือ ทหารม้ากลับมารายงานว่าทางเมืองต้าถงถึงกับมีคนมาเช่นกัน ทหารม้า 400 กว่าคุ้มกันพ่อค้า 200 กว่ามาที่นี่
ในเมืองจัดสรรที่พัก นอกเมืองตรวจสอบที่นา ทำกันจนเป็นที่รู้กันทั่ว คนจากมณฑลซานซีมาเรียกได้ว่าธรรมดา แต่มาเร็วไป ตอนนี้เส้นทางมายังมีพวกทหารหนีทัพกับพวกโจรอยู่ ไม่ปลอดภัย คนพวกถึงกับใจกล้าเพียงนี้ได้ ทหารม้าเป็นทหารจากเมืองต้าถงในสังกัดหม่าต้ง สนิทกับหม่าหย่งอยู่ พอทักทายกันเสร็จ ก็รู้เรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่า พ่อค้ามณฑลซานซีกำลังเดินทางมา
พ่อค้าคนงานที่มาล้วนเป็นคนทำการค้าจากบรรดาร้านแบบเดียวกับร้านสามธารา การค้านี้เป็นการค้าที่พวกหวังทงให้ความสนใจมาก แม้ไม่รู้ก็ดูออก อย่างไรสิ่งของจำเป็นสำหรับการทหารก็เป็นคนพวกนี้ออกหน้าจัดหาซื้อมาให้จนครบ
แต่พ่อค้ามณฑลซานซีมาในเดือนหนึ่งเช่นนี้ และยังมาในเวลาที่สงครามเพิ่งสงบไม่นาน ถึงกับมาถึงที่นี่ เป็นเรื่องน่าตกใจจริงๆ
ตามคำบอกเล่าของทหารม้าที่มาถึงก่อน บอกว่าพ่อค้าพวกนี้ไปหาผู้คุ้มกันกับผู้ติดตามจากส่านซีและเหอหนานมา พ่อค้าแค่ 300 กว่า มีผู้คุ้มกันเกือบ 3,000 คน และยังให้ทางมณฑลซานซีส่งทหารคุ้มกันมาอีกด้วย ร่วมเดินทางมายังเมืองกุยฮว่าเฉิง
หลังตกใจผ่านไป ก็ต้องอุทานเหลือเชื่อแทน มณฑลซานซีนอกจากทำกำไรจากการค้าชายแดนแล้ว ก็ไม่มีผลผลิตพิเศษใด พ่อค้าย่อมไม่พอใจกันอยู่แค่การค้าเกลือ ทางใต้ร่ำรวยอุดมสมบูรณ์เพราะเหตุใด จากเรื่องนี้ก็พอมองเห็นที่มาที่ไปแล้ว ตอนนี้เป็นยามอันตรายอยู่ หากมากันย่อมมีความเป็นไปได้มากว่าจะถูกกองทัพบดขยี้ แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง
เริ่มจากทหารกับราษฎร หลายอย่างไม่อาจแลกก้อนเงินก้อนทองได้ พวกเขาต้องหาคนเปลี่ยนเป็นเงินสด ยามนี้ส่วนต่างราคาย่อมไม่น้อย และเมืองเพิ่งแตก มีของมากมายที่ขาดแคลนแน่นอน พ่อค้าที่มานำเสนอขายสินค้าย่อมได้กำไรถล่มทลาย
ที่นากว้างใหญ่แสนอุดมสมบูรณ์นอกเมืองนั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้ไม่ว่าการค้ายิ่งใหญ่เพียงใด ก็ต้องลงเงินที่กำไรมาไปกับการจัดการหาที่นา เพื่อสร้างกิจการให้คงอยู่ชั่วลูกหลาน แต่ที่นาก่อนหน้านี้ล้วนอยู่ในครอบครองของเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูง คนธรรมดาจะไปจัดการครอบครองได้อย่างไร
ตอนนี้รอบๆ เมืองกุยฮว่าเฉิงล้วนเป็นที่นาชั้นดี และราคาก็ย่อมยังไม่แพงมาก หากเปิดขายก็ย่อมเป็นโอกาสอันดี
เมืองกุยฮว่าเฉิงเดิมก็เป็นขุมทรัพย์ บรรดาเผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้านอกด่าน พวกซีอวี้ พวกทะเลทรายตอนเหนือ พวกทางตะวันออก ล้วนมาทำการค้าที่เมืองกุยฮว่าเฉิง
ผู้ใดล้วนรู้ดีกว่าทำการค้าที่เมืองกุยฮว่าเฉิงย่อมทำกำไรมหาศาล แต่เมื่อก่อนไปชายแดนแผ่นดินหมิงตอนเหนือมีความไม่สะดวกมากมาย แม้ว่ามาถึง แต่ก็ยังมีทหารนอกด่านรีดไถ ชนชั้นสูงเผ่าอันต๋าเรียกภาษี ยังมีพ่อค้าในพื้นที่แย่งผลประโยชน์อีก ครั้งนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงแตก พวกเขาก็มีโอกาสมาปักหลักกันแล้ว มีโอกาสขยายการค้าของตนเองให้ยิ่งใหญ่ขึ้น
เมืองกุยฮว่าเฉิงถูกตีแตกแล้วจริงๆ วันหน้าจะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจเดาได้ แต่บรรดาพ่อค้าล้วนไม่กลัวตาย กล้ามาถึงที่นี่ ก็เท่ากับมีความกล้าไล่ล่ากำไรที่น่าตกใจเสียจริง มิน่าพวกเขาจึงร่ำรวย
วันที่ 25 เดือนหนึ่ง ปีที่ 12 ในรัชสมัยว่านลี่ บรรดาพ่อค้ามณฑลซานซีมาถึงเมืองกุยฮว่าเฉิง พอบรรดาพ่อค้ามาถึง เดิมคิดว่าคงได้เห็นกำแพงเมืองที่พังและในเมืองพังเละเทะ คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นเมืองที่เป็นระเบียบ ทำให้พวกเขาวางใจอย่างมาก
พอเข้าเมืองมาได้ ก็พบว่าคนในเมืองซ่อมแซมกันทุกวัน ล้วนเตรียมการกันอยู่ การดำเนินการเช่นนี้ก็เพื่อระยะยาว การค้นพบนี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองตัดสินใจมานั้นถูกต้องแล้ว
พ่อค้าซานซีไม่น้อยเมื่อก่อนก็มีการค้ากับพ่อค้าในเมือง จึงรีบติดต่อกัน คิดไม่ถึงว่ามาถึงก็ได้ทำการค้าทันที พ่อค้าในเมืองมีของที่ได้จากชัยชนะในการสงครามนี้มาก การค้านี้ทำกำไรอย่างมากที่สุด
บรรดาพ่อค้าอุทานกับสิ่งของที่ได้จากสงครามครั้งนี้มากมาย ยังรู้สึกเสียใจที่ตนเองไม่ได้เข้าร่วมด้วย บรรดาพ่อค้าเองก็รู้หลักการดี ล้วนจัดคนไปตรวจตราที่ต่างๆ ทุกคนล้วนไปขอเข้าพบหวังทงก่อน ผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นมหาเทพแห่งชายแดนตอนเหนือที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
777 เปิดงานแสดง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังวันที่ 28 เดือนหนึ่ง ปีที่ 12 ในรัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ พื้นที่เมืองกุยฮว่าเฉิงไปจรดเมืองต้าถงก็เงียบสงบ พ่อค้าจากมณฑลซานซีมาเมืองกุยฮว่าเฉิงกันยิ่งมากขึ้น
ผู้บัญชาการมณฑลทหารซานซีเวิงวั่นต๋า ผู้ตรวจการเมืองต้าถงเหมยเหวินจิ้น รองแม่ทัพหม่าต้งเมืองต้าถงยามนี้รู้ถึงสถานการณ์มั่นคงแล้ว ความดีความชอบเช่นนี้ ผลประโยชน์ตรงหน้าเช่นนี้ หากยังลังเลคงไม่อาจไขว่คว้าประโยชน์อันใดไว้ได้อีก
ด้านหนึ่งก็ส่งคนไปรายงานด่วนยังเมืองหลวง ด้านหนึ่งก็ทำตามหวังทงสั่งการ เริ่มแรกส่งทหารไปยังเมืองกุยฮว่าเฉิงเพื่อรักษาความสงบ
ตอนนี้ไม่สงบมากนักก็จริง แต่วันนั้นที่หวังทงตีทัพศัตรูแตกพ่ายและสังหารข่านศัตรู กระทำการได้รวดเร็วมาก กำลังหลักของเผ่าอันต๋าไม่ถูกทำลายราบนอกเมือง ก็ถูกสังหารตอนบุกเข้าเมือง ทหารที่เหลือรอดประปรายตอนนี้ก็เป็นทหารพ่ายศึกกองเล็กๆ กลายเป็นกองโจรม้า ไม่มีกำลังจะสู้รบอันใดอีก คนก็น้อย ผู้คุ้มกันขบวนการค้าสามารถรับมือได้
แม้ว่าพ้นเดือนหนึ่งจึงจะนับว่าพ้นเทศกาลปีใหม่ แต่พ่อค้าจากที่ต่างๆ ในมณฑลซานซีก็เริ่มเคลื่อนไหวกันแล้ว ยามนี้หากยังไม่ไปดูเมืองกุยฮว่าเฉิง ไม่ไปดูว่ามีโอกาสทำกำไรอันใด ก็เรียกว่าโง่เต็มที
บรรดาพ่อค้าใหญ่ตั้งกองคาราวานตนเอง พ่อค้าเล็กก็รวมตัวกันมายังเมืองกุยฮว่าเฉิง
วันที่ 3 เดือนสองทั้งวัน ผู้แทนพระองค์ควบตำแหน่งผู้บัญชาการมณฑลทหารหวังทงอยู่ในกระโจมทหารในเมืองกุยฮว่าเฉิงต้อนรับบรรดาคนที่มาจากมณฑลซานซี เป็นพ่อค้าและบุคคลระดับแนวหน้าราว 5,000
พื้นที่กว้างขวางอย่างมาก รอยเลือกที่พื้นถูกทหารนำดินมากวาดกลบไปนานแล้ว รอบๆ ล้วนมีกระโจมใหญ่ตั้งอยู่ หากกลัวหนาวก็เข้าไปพักได้ ด้านในมีน้ำชาร้อนและของว่างไว้รอต้อนรับ
นอกกระโจมมีสองสามจุดปักนั่งร้านเหล็กไว้เผาแพะย่างทั้งตัว พ่อครัวสาละวนกับการสาดเครื่องปรุงไปบนตัวแพะ น้ำมันถูกเผาให้หยดออกมาส่งกลิ่นหอมอบอวลชวนน้ำลายไหลไม่หยุด
กองกำลังหู่เวยพลทวนยาวกับพลปืนไฟคอยเดินตรวจตราในพื้นที่ว่าง เปิดพื้นที่ตั้งปืนไฟ เว้นระยะให้พอรัศมียิง พลปืนไฟยิงปืนอยู่ที่นั่น
ด้านหน้าแขวนเป้าไว้หลากชนิด บ้างก็เป็นหุ่นฟางสวมเสื้อผ้า บ้างก็เป็นหุ่นฟางในชุดหนัง ยังมีหุ่นฟางในชุดเกราะ พลปืนไฟยิงไม่หยุด
อานุภาพร้ายกาจของปืนไฟหลายคนเห็นกันครั้งแรก ล้วนพากันมองดูเป็นของแปลกใหม่ ยิ่งแปลกใหม่ก็ดี คิดจะลองยิง ก็สามารถก้าวขึ้นหน้าไปทดลองได้
พลทวนยาวเรียงแถวเป็นขบวนแถวเหลี่ยม ในมือถือไม้พลองยาว ปลายไม้ทาสีแดง เรียกได้ว่าเป็นคมทวน มีคนขี่ม้าแสดงตัวเป็นทหารม้าพวกนอกด่าน แทงใส่ไม่หยุด พลทวนยาวร่วมกำลังต่อต้าน สองฝ่ายปะทะกันช้าๆ ให้คนรอบๆ ได้มองกันอย่างชัดเจน
พ่อค้ามณฑลซานซีกับพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงคุ้นเคยกันมาอยู่แต่เดิม พ่อค้ามณฑลซานซีเองก็รู้จักกัน แต่เพราะทุกคนยุ่งกับการงานไปเหนือล่องใต้ พบปะกันน้อย ครั้งนี้มาพบกันที่นี่ อย่างไรก็ต้องทักทายกันสองสามคำ สอบถามกันและกัน พวกมาช้าก็ขออภัยคนที่มาเร็ว หรือไม่ก็เล่าถึงเรื่องที่ประสบผลสำเร็จมา เป็นต้น ทั่วลานเต็มไปด้วยความคึกคักไม่ธรรมดา
สภาพครึกครื้นเช่นนี้ เบื้องหลังฉากกลับเป็นเสียงยิงปืนใหญ่ ทุกคนพากันแตกตื่นไปกับเสียงปืนใหญ่ ไม่นานก็มีคนกลับมา มีคนด้านในวิ่งออกไป
“นอกเมืองชมปืนใหญ่กลับมายัง?”
“กลับมาแล้ว ปืนใหญ่ดีกว่าปืนใหญ่ทหารชายแดนอีก สามารถใช้ม้าลากไปได้ด้วย พอตั้งได้ตำแหน่งจัดการเล็กน้อยก็ยิงได้ทันที ยิงได้ไกลอีกต่างหาก”
“ปืนไฟทางนี้ก็ไม่เลว เมื่อครู่เห็นกับตา ทหารกองนั้นเปลี่ยนกระสุนปืนไฟยิงไปร่วมร้อย ยิงออกทุกกระบอก ด้านหน้าเป็นเกราะ เป็นเหล็กเป็นแผ่นๆ หนา ก็ยังยิงทะลุ!”
“มิน่าเล่า ทหารชายแดนเราลำบากมาร้อยแปดสิบปี ทุกปีมีแต่รบเสียเปรียบ ผู้แทนพระองค์นำทัพมาทีเดียว แม้แต่เซิงเก๋อตูกู่เหลิงก็สังหารทิ้งได้ ช่างไม่ธรรมดา…….”
“ไหนเลยแค่ไม่ธรรมดา หัวหน้าผู้คุ้มกันเรา เมื่อก่อนเป็นนายกองอยู่ที่หนิงเซี่ย เมื่อครู่ก็ไปดูมาด้วยกัน บอกว่ากองกำลังนี้ยอดเยี่ยมมาก แม้ไม่มีปืนไฟ ปืนใหญ่ ก็มีทหารทวนยาว ทหารม้านอกด่านไม่ได้เปรียบอันใดยามเผชิญกับพวกเขา!”
ทุกคนอุทานชื่นชม แต่พ่อค้าก็คงเป็นพ่อค้า บทสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นการค้าอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้ารู้จักร้านสามธาราไหม?”
“ถามได้ดีนี่ ผู้ใดไม่รู้จักร้านนี้กันเล่า เดี๋ยวคงจะถามว่ารู้ไหมเป็นกิจการใต้เท้าหวังไหมล่ะสิ!”
“นี่ไม่ใช่ถามชี้นำหรือ? ร้านจิ้นเหอ ร้านหย่งเซิ่ง ร้านทงไห่ เจ้าของเดิมทำความผิด ว่ากันว่าตอนนี้ล้วนเป็นกิจการของใต้เท้าผู้แทนพระองค์แล้ว พวกเจ้าว่า เมืองกุยฮว่าเฉิงอุดมเพียงนี้ ผู้แทนพระองค์จะตัดใจแบ่งให้ผู้อื่นได้หรือ ย่อมต้องกลืนกินไว้เพียงผู้เดียว พวกเรามา สามารถมีน้ำแกงให้ดื่มก็เรียกได้ว่าขอบคุณฟ้าแล้ว!”
“เหล่าพาน วาจานี้ไม่ถูกนะ พี่น้องเราทำการค้าที่นี่ มักไปเทียนจินบ่อยๆ ที่นั่นจึงเรียกได้ว่าภูเขาทองทะเลเงิน เรือใหญ่บนทะเลเยอะพอกับแพะแกะของพวกนอกด่านบนทุ่งหญ้า ลากเงินมา นำสินค้าไป รุ่งเรืองเพียงนี้ ร้านสามธาราไม่ได้กลืนกินร้านไหนสักร้าน กลับสร้างหน้าร้านให้อย่างดี ทำให้สะดวกสบาย ทำให้ทุกคนได้ทำการค้าร่วมกัน ทุกคนรวยกันไปตามๆ กัน เมืองกุยฮว่าเฉิงนี้ข้าว่าก็คงเหมือนกัน ไม่เช่นนั้น ไยต้องให้ร้านพวกนั้นส่งเทียบเชิญพวกเรามาด้วยเล่า!”
“อย่างไรพี่ชายก็เห็นอะไรมามากกว่า ใต้เท้าผู้แทนพระองค์หากคิดจะฮุบไว้คนเดียว การค้าที่เทียนจินก็คงไม่มีคนนอกเข้าร่วมทำการค้ามากมายเพียงนั้น เมืองเซวียนฝู่กับเมืองจี้โจวก็มีพ่อค้าท้องถิ่นทำการค้ากับพวกทุ่งหญ้านอกด่าน ก็ไม่เห็นว่าพวกหวังทงจะขัดขวางอันใด”
“สองท่านโต้เถียงกันได้ประโยชน์อันใด หนิวเกินกัง คนผู้นี้ พวกท่านเคยได้ยินชื่อไหม?”
“ผู้ที่ตั้งแต่รุ่นบรรพชนก็มาสวามิภักดิ์อยู่กับพวกนอกด่านงั้นหรือ?”
“ตอนนี้เขานำไปแล้ว พอเมืองกุยฮว่าเฉิงแตก เขาก็ไปขอพบหวังทงก่อนแล้ว ได้ผลประโยชน์ในทันที นำกำลังตนเองตามกองทหารออกไปกวาดล้างเผ่าใหญ่ กวาดต้อนฝูงสัตว์มหาศาลกลับมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแรงงานคนกับประโยชน์ที่กวาดต้อนมาได้อีก…”
“เรื่องเช่นนี้ข้าได้ยินมา เขาได้ของติดไม้ติดมือมาไม่น้อย เมื่อวานยังไปดูของมากับเหล่าซุน ในเมืองมีพ่อค้าที่มีกำลังของตนเองหลายคนพวกนั้น ครั้งนี้นำกำลังออกไปแย่งชิงมาได้ก้อนโตกันไม่น้อย!”
“มารดามันสิ อยู่บนแผ่นดินไร้กฎหมายมันดีเช่นนี้นี่เอง หากเป็นแผ่นดินหมิงเราเลี้ยงดูกำลังพวกนี้ไว้ ทางการก็มาหาเรื่องแล้ว!!”
พ่อค้าส่วนใหญ่ล้วนอิจฉาตาเป็นมัน สงครามใหญ่เพียงนี้ ทุกคนย่อมหาทางซ่อนตัวกันให้จ้าละหวั่น กลัวทหารจะทำร้ายเอา ถึงตอนนั้นทรัพย์สินที่หามาคงสูญเปล่า ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้พวกที่ไม่หลบ หรือหลบไม่ทัน ก็พากันร่ำรวยกันไป ทุกคนเริ่มคิดกันว่าสงครามก็ทำให้รวยได้ด้วยหรือนี่
เช่นร้านสามธารา ก่อนสงครามก็รวบรวมเสบียงให้ทหาร ไม่ทำกำไรอันใด ยังต้องส่งแรงงานมาช่วยอีก ย่อมขาดทุนหนัก ตอนนั้นทุกคนก็เข้าใจเช่นนี้ ตอนนั้นคิดว่าร้านสามธาราสนิทกับหวังทง ขาดทุนเพื่อทางการ เขายอม คนอื่นจะไปยุ่งทำไม
พอมาถึงตอนนี้ ทุกคนเริ่มมองย้อนกลับไป ไม่ได้ขาดทุนแม้แต่น้อย คำนวณของที่ได้จากเมืองกุยฮว่าเฉิง ย่อมเรียกได้ว่ากำไรหลายเท่า ร่ำรวยใหญ่แล้วนี่!
เรื่องนี้เปลี่ยนความคิดทุกคน กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงกลองดังขึ้น มีคนตะโกนดังมาว่า
“ใต้เท้าหวังมา!!”
ได้ยินเช่นนี้ พ่อค้าทุกคนในที่นั้นก็พากันเงียบลง มองไปทางปากทางพื้นที่โล่งด้านหน้า ครั้งนี้ไม่เห็นหวังทงมาพร้อมกับกองกำลังอันใด กลับเป็นเพียงแค่ทหารม้าติดตามมาสิบกว่านายเท่านั้น รถใหญ่ทยอยกันเข้ามา
มีคนมากประสบการณ์แอบวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ ว่า
“เห็นยัง นี่ก็คือรถใหญ่กองกำลังสังกัดวังหลวง ของดีนะเนี่ย! เทียบกับรถใหญ่ที่พวกเราใช้แล้วบรรทุกของได้มากกว่าถึงแปดส่วน ครั้งเดียวขนได้มากมาย ว่ากันว่ามีคนที่ซานซีทำเลียนแบบแล้ว”
เสียงกลองดังขึ้นอีก ทุกคนเงียบ ทหารร้องตะโกนให้ทุกคนออกไปยืนรอบๆ ทุกคนย่อมทำตาม แต่ก็รู้สึกงง ในใจคิดว่าจะทำอะไรกันนี่
พลทวนยาวกับพลปืนไฟแสดงการรบก็ไปจัดแถวหน้ารถใหญ่ ทหารม้ากลับไปจัดแถวยืนอีกด้านของสนาม มีคนบนรถม้าตะโกนว่า
“ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ระยะห่างเท่าไรจึงมองเห็นทหารม้านอกด่าน?”
มีคนตะโกนตอบว่า
“หากใส่ใจละเอียด ระยะพันก้าวก็เห็นได้ หากไม่ ห้าร้อยก้าวก็เห็นได้!”
บรรดาพ่อค้าในสนามนั้นเดินทางค้าขายบนทุ่งหญ้านอกด่านมากประสบการณ์ ย่อมเข้าใจ แต่ตอนนี้เหมือนเล่นงิ้วกันมากกว่า ทุกคนชมอย่างสนใจ ทางนั้นพูดจบ ก็มีคนขึ้นไปยืนบนรถใหญ่ชี้ไปที่ทหารม้าตะโกนว่า
“มีโจรมา!!”
ทหารม้าเริ่มแรกก็ค่อยๆ ย่องม้าเข้ามาใกล้ แต่คนที่รถใหญ่ก็เริ่มสาละวนปลดม้าออก จากนั้นใช้ไม้แผ่นใหญ่ต่อๆ กันไปตามตัวรถ พลปืนไฟปีนขึ้นไปบนรถแสดงท่าทางยิง พอทหารม้าเข้าใกล้ก็หยุด มีคนตะโกนว่า
“ทหารม้าพวกนอกด่านบุกทะลวงค่ายรถศึกไม่ได้ ห่างออกไปมีพลปืนไฟกับพลธนูเรา เข้าใกล้ก็มีพลทวนยาวและดาบแทงออกไป พวกเขาเข้ามาไม่ได้ เสือย่อมไม่อาจกินเม่นหนามแหลมได้!!”
กล่าวจบ ทุกคนในที่นั้นก็ฮากันครืน มีคนสมองไวคิดได้ว่า ของพวกนี้หากเราทำได้ วันหน้ามีไว้ เดินทางไปที่ใดบนทุ่งหญ้านอกด่านไม่ได้บ้าง
“ทุกท่าน ข้าคือหวังทง!”
ทุกคนรอคอยอยู่ว่ารายการถัดไปคืออันใด ทหารม้าก็หันทิศทาง ไปจัดแถวหน้ารถใหญ่ พลทวนยาวกับพลปืนไฟก็เรียงแถวเรียบร้อย บนรถมีคนเพียงคนเดียวยืนอยู่ คนผู้นี้สวมเกราะ รูปร่างสูง กำลังประสานมือทักทายไปยังสี่ทิศ
ภาพนี้ทำทุกคนตกตะลึง พ่อค้าด้านล่างไม่กล้าเสียมารยาท ทุกคนคำนับตอบพร้อมกัน กล่าวว่า
“ข้าน้อยคารวะใต้เท้าผู้แทนพระองค์!”
“ทุกท่าน มาไกลถึงเมืองกุยฮว่าเฉิง หลังสงครามก็จะเละเทะสักหน่อย ไม่มีอันใดต้อนรับทุกท่าน ขอทุกท่านโปรดอภัย”
กล่าววาจาตามมารยาทกันเสร็จ หวังทงก็กล่าวต่อว่า
“ทุกท่านคิดว่าตนเองมาช้าไปใช่หรือไม่ ที่ควรได้ถูกเอาไปแล้ว ที่ควรแย่งได้ก็มีคนแย่งไปแล้ว โอกาสได้ทรัพย์สินฟรี ๆ นั้นไม่มีแล้วใช่หรือไม่?”
ทุกคนพากันเงียบ ก่อนจะมีคนหัวเราะดัง ใต้เท้าผู้แทนพระองค์พูดตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทุกคนไม่กลัวกันแล้ว หวังทง กล่าวว่า
“ทุกท่าน มีของบางอย่างจะขาย!!”
778 ขายรถ ขายอาวุธปืน ขายการบริการ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทุกคนเคยพบขุนนางระดับผู้ว่าไปจนถึงเจ้ากรมปกครอง ผู้ตรวจการ ทุกคนเป็นพ่อค้าใหญ่ ขึ้นเหนือล่องใต้ อย่างไรก็ต้องเคยพบปะสมาคมมา
ขุนนางเหล่านี้ส่วนตัวอย่างไรไม่พูดถึง สถานการณ์ตอนนี้อย่างไรก็มักจะต้องวางท่าให้ยิ่งใหญ่ กล่าววาจาแบบขุนนางให้เป็นทางการ สถานะระดับใต้เท้าหวัง ยังเป็นถึงผู้แทนพระองค์ เป็นถึงผู้บัญชาการมณฑลทหาร เป็นถึงแม่ทัพใหญ่หลายตำแหน่งเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าพอปรากฏตัวก็บอกทุกคนว่ามีของมาขาย
แปลกๆ บอกไม่ถูกก็แล้วแต่ แต่พ่อค้าแสวงหากำไร ก็รีบตั้งสติได้ทันที ในใจคิดว่าแม่ทัพใหญ่มีของอะไรมาขายกันแน่ เงินทองทรัพย์สมบัติในวัง เขาเป็นถึงแม่ทัพ ในเมืองกุยฮว่าเฉิงของอะไรก็ล้วนมีมากมาย สมบัติซีอวี้หรือแผ่นดินหมิง ที่ดีที่สุดก็ต้องอยู่ในมือเขาหมดแล้วตอนนี้ เขาคิดจะขาย ย่อมเป็นของที่ดีที่สุด
มีคนคิดไปไกลถึงว่า ได้ยินมานานว่าข่านพวกนอกด่านมีสาวงามในวังมากมาย มีทั้งจากเปอร์เซีย จากไท่ซี งามสุดยอด ไม่รู้ว่ายามนี้จะเอาออกมาขายหรือไม่
ทุกคนต่างพากันจับตามองไปที่หวังทงบนรถใหญ่ หวังทงมองว่าดึงดูดความสนใจทุกคนได้แล้ว ก็ยืนยิ้มกล่าวว่า
“ทุกท่าน ที่ต้องการขายก็คือของเหล่านี้!”
กล่าวจบก็ผายมีไปด้านหนึ่ง บรรดาพ่อค้าต่างพากันอึ้งไป ไม่มีของอันใดทั้งสิ้น ด้านล่างนั้นไม่ใช่รถใหญ่ ปืนใหญ่ขนาดเล็ก ปืนไฟกับทวนยาวหรือ? แต่พวกที่หัวไวก็คิดได้เรื่องหนึ่งทันที กลัวแต่ว่าฟังที่หวังทงพูดตกหล่นไป
“ปืนไฟนี่ เกราะนี่ ทวนยาวนี่ รถใหญ่นี่ ปืนใหญ่นี่ ล้วนขาย!!”
หวังทงกล่าวเสียงดังกังวาน ประกาศไปทั่วลานราวกับเป็นเรื่องปกติทั่วไป รถใหญ่ที่มีทหารคุ้มกันอยู่ข้างๆ รีบช่วยถ่ายทอดคำพูดออกไปอีกครั้ง กล่าวจบ ทั่วลานด้านล่างก็เงียบกริบ จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงซุบซิบคุยกัน มีคนเข้าใจบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังคงงงอยู่ ไม่รู้ว่าเรื่องราวอย่างไรกัน
หวังทงมองสีหน้าทุกคนเบื้องล่าง ยิ้มเรียกคนผู้หนึ่งถามขึ้น
“ท่านผู้นี้สีหน้าสงสัย หรือว่าไม่เข้าใจที่ข้าพูดเมื่อครู่กัน ไม่ต้องคิดมาก ระวังตัวเช่นนั้น ไม่ได้เอาผิดอันใด มีอันใดไม่เข้าใจ ก็ถามมาได้เลย!”
คนที่ถูกหวังทงเรียกถามยืนอยู่แถวหน้า ยามนี้กำลังตื่นตระหนกตกใจ เห็นหวังทงน้ำเสียงนุ่มนวลจึงได้วางใจ ลังเลถามขึ้น
“ข้าน้อยโง่เขลา แม่ทัพใหญ่ พวกข้าน้อยเป็นชาวบ้านธรรมดา อาวุธพวกนี้มีไว้เพื่อการใดกัน?”
วาจานี้ถามแทนใจทุกคน หวังทงพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า
“ทุกท่าน การแสดงการซ้อมรบเมื่อครู่ พวกท่านได้ชมแล้ว? หากมีรถใหญ่นี้ไว้ มีอาวุธพวกนี้ไว้ เดินทางบนทุ่งหญ้าแม้ว่าเจอกับกองโจรม้าหรือกองกำลังย่อยพวกนอกด่านโจมตี ก็สามารถปลอดภัยได้ไม่ใช่หรือ?”
พ่อค้าขึ้นเหนือล่องใต้ย่อมมองรถใหญ่เช่นนี้ออก อาวุธพวกนั้นแท้จริงแล้วคืออันใดกัน พอหวังทงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนในที่นั้นก็พยักหน้าตาม แสดงสีหน้าเห็นด้วย
“พวกท่านออกเดินทางนอกด่านขึ้นเหนือไปขายสินค้า ระหว่างทางยาวไกลแม้ว่าลำบาก แต่พวกท่านกลัวสิ่งใดมากที่สุด?”
คำตอบย่อมเหมือนกันอย่างที่สุด ที่เกรงกลัวที่สุดก็คือการโจมตีจากกองโจรม้าพวกนอกด่าน ขอเพียงนำสินค้าไปขายตอนเหนือได้ ก็ย่อมทำกำไรถล่มทลาย แต่ความปลอดภัยก็เป็นเรื่องที่น่ากังวล กำไรกับชีวิตเทียบกันแล้ว หลายคนย่อมคิดถึงความเป็นความตายมากกว่า หวังทงกล่าวเสียงดังกังวานต่อว่า
“เหตุใดเมืองกุยฮว่าเฉิงจึงเป็นพื้นที่สำคัญ เพราะพวกท่านมาจากเมืองต้าถง มาค้าขายที่เมืองกุยฮว่าเฉิง ตลอดทางไม่ต้องกังวลกองโจรม้า ไม่ต้องกังวลการโจมตี สามารถเดินทางได้อย่างสบายใจ ใช่หรือไม่?”
ทุกคนพยักหน้าตาม หวังทงบนรถม้าชี้มือไปยังสี่ทิศ ทุกคนมองตามไป ไม่เห็นอันใด กำลังงงอยู่นั้นก็ได้ยินหวังทงกล่าวเสียงดังว่า
“ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ พวกท่านจะอยู่แค่เมืองกุยฮว่าเฉิงนี้หรือ? พวกท่านลำบากลำบนนำสินค้ามาถึงเมืองกุยฮว่าเฉิง เผ่าอันต๋าซื้อสินค้าพวกท่าน ขายไปยังซีอวี้หรือทะเลทรายตอนเหนือ นี่เป็นกำไรอีกหลายเท่าตัว เงินทองมากมายเช่นนี้ พวกท่านไม่อยากได้หรือ?”
หวังทงกล่าวไป บรรดาพ่อค้าด้านล่างก็กระซิบวิพากษ์วิจารณ์ไป สุดท้ายไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ต่อ ทุกคนกำลังตั้งใจฟังรายละเอียด กลัวว่าจะหลุดอันใดไป
“ทุ่งหญ้านอกด่านกว้างใหญ่เพียงนี้ ไม่รู้ว่ามีชนเผ่าสักเท่าไร เผ่าพวกนี้ย่อมยอมจ่ายหนักเพื่อซื้อสินค้าพวกท่าน ขอเพียงสามารถทำการค้ากับพวกเขาได้ พวกท่านจะได้กำไรเท่าไร พวกท่านจะทำเงินได้เท่าไร ข้าเป็นขุนนาง ไม่ค่อยได้ทำการค้า คิดเรื่องนี้ไม่ถูกเท่าไร พวกท่านลองคิดกันเอง!”
หวังทงพูดใส่เช่นนี้ ทำเอาบรรดาพ่อค้าฮากันครืน เรื่องนี้ผู้ใดก็คิดออก ง่ายมาก ทำกำไรได้เท่าไร ทุกคนปกตินำสินค้ามาขายยังเมืองกุยฮว่าเฉิงหรือนำออกไปค้าขายโดยตรงกับเผ่าต่างๆ นอกด่าน ก็เรียกได้ว่าทำกำไรเต็มไม้เต็มมือแล้ว กำไรสูงเพียงนี้ เมืองกุยฮว่าเฉิงยังเอาไปทำกำไรเพิ่มได้อีก หากขายได้โดยตรง ย่อมกำไรมากขึ้นไปอีก
พ่อค้าเล็กก็แล้วไป หากบรรดาพ่อค้ากลับคิดอยากได้มากที่สุด วาจาหวังทงยังพูดไม่จบ ด้านล่างเพิ่งเงียบลง หวังทงกล่าวต่ออีกว่า
“ตอนนี้รถใหญ่พวกเจ้า จ้างผู้คุ้มกันพวกนั้น จะเดินทางไกลได้อย่างไร เกรงว่าระหว่างทางก็คงถูกปล้นไปแล้ว อย่าว่าแต่กำไรเลย แม้แต่ศพก็จะนำกลับบ้านเกิดได้หรือไม่ก็ไม่รู้ได้?”
วาจานี้เป็นความจริง ผู้คุ้มกันพวกนั้นหากถูกพวกนอกด่านกับกองโจรม้าโจมตี ปกป้องนายจ้างให้หนีไปได้ก็ไม่เลวแล้ว จ้างพวกเขา หนึ่งเพราะกล้าหาญ สองเพราะป้องกันขโมยเล็กๆ น้อยๆ ได้ หากเป็นกองโจรม้าพวกนอกด่านมากกว่า 200 ก็ย่อมแล้วแต่สวรรค์แล้ว
“มีรถใหญ่นี้ พวกท่านสามารถบรรทุกสินค้าได้มากยิ่งขึ้น สามารถป้องกันกองโจรม้ากับพวกนอกด่านโจมตีได้ มีปืนไฟ มีปืนใหญ่เล็ก พวกท่านก็สามารถตีโต้พวกเขาให้ถอยกลับไปได้ มีของพวกนี้ พวกท่านสามารถเดินทางได้ไกล ไปนอกกำแพงนับหมื่นลี้ทำการค้าได้ กำไรก็ยิ่งมากมาย ไม่แน่ยังอาจได้ทองก้อนมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้!”
กล่าวจบ คนด้านล่างก็หัวเราะฮาครืน แต่เหมือนจี้ใจดำพวกพ่อค้าพอดี ที่หวังทงว่ามา สามารถทำให้พวกเขาทำกำไรได้มากขึ้นจริง
หวังทงกล่าวต่อด้วยเสียงดังว่า
“ทุกท่าน ข้าตีเมืองกุยฮว่าเฉิง ได้มาไม่น้อยแล้ว เงินทองทรัพย์สินไม่ต้องพูดถึง ที่นานอกเมืองสุดลูกหูลูกตา สัตว์อีกมากมายนับไม่ถ้วน ยังมีแรงงานคนอีกด้วย นี่มันความร่ำรวยระดับใดกัน ทุกท่านย่อมรู้ดี เมื่อครู่ข้าเดินอยู่ท่ามกลางทุกคน ได้ยินหลายคนทอดถอนใจ โกรธแค้นที่ตนมาช้าไปหน่อย รวยกันน้อยลง ใช่หรือไม่!?”
คนด้านล่างก็หัวเราะฮาครืนอีก หวังทงกล่าวต่อว่า
“ตัวข้านั้นพวกท่านอิจฉาไม่ได้ แต่พวกหนิวเกินกัง พานเซิ่งไฉ เถียนต้าเชียนที่เดิมอยู่ในเมืองพวกนี้ พวกเขาส่งกำลังส่วนตัวออกติดตามกองทหารข้าไปโจมตีเผ่าใหญ่ต่างๆ ยึดทรัพย์สินได้มาไม่น้อย พวกท่านอิจฉาหรือไม่ พวกเขารวยใหญ่แล้ว ไม่รู้ว่าเงินทองมากมายเท่าใด ไม่รู้ว่าได้สัตว์เลี้ยงไปเท่าใด บางคนแม้แต่สาวงามมองโกลก็ได้ไป 10 กว่า มองแล้วอิจฉาตาเป็นมันไหม!!? เสียดายไม่เสียดาย เสียดายที่มาช้าไปหรือไม่ เมื่อครู่ข้าเดินอยู่ข้างล่างได้ยินแต่คนพูดว่า มาช้าไป”
ทุกคนพากันหัวเราะดังลั่น บรรดาพ่อค้าล้วนรู้สึกว่าแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ไม่เพียงแต่รบเก่ง ฝีปากยังเป็นอันดับหนึ่ง พูดความในใจทุกคนออกมาไม่ว่า ยังสามารถโน้มน้าวทุกคนได้อีก
เห็นคนอื่นรวย ตนเองมาสายไป จะไม่อิจฉาได้อย่างไร นี่เป็นความคิดที่ทุกคนกำลังคิดอยู่ตอนนี้ หวังทงยกมือกดลงให้เงียบ ทุกคนด้านล่างเงียบกริบ ทุกคนรอว่าหวังทงจะว่าอย่างไรต่อ หวังทงกล่าวน้ำเสียงกังวานก้องต่อว่า
“เมืองกุยฮว่าเฉิงมีการจัดสรร พวกท่านคงได้แต่ซื้อขาย คิดจะร่ำรวยโดยไม่ลงทุนคงไม่ได้แล้ว แต่พวกท่านอย่าเพิ่งหมดหวังไป ทุ่งหญ้าหมื่นลี้ ตอนเหนือไร้อาณาเขต ข้านำทัพมาก็ครองแค่เมืองกุยฮว่าเฉิงเล็กๆ ยังมีเผ่าอีกมากมาย ยังมีเงินทองอีกมากมาย มีทั้งคนและสัตว์กำลังรอทุกท่านอยู่ มีรถใหญ่นี้ มีอาวุธนี้ พวกท่านจะมีที่ใดไม่อาจไปถึง!!?”
หวังทงกล่าวจบ ทุกคนไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่เหมือนเมื่อครู่ หากยังคงเงียบกริบ ทุกคนต่างกำลังครุ่นคิดวาจาหวังทงให้เข้าใจ ที่จริงแล้วก็ง่ายมาก ทุกคนสามารถฟังเข้าใจได้ในวินาทีแรก หวังทงก็กล่าวแค่ว่า ทุ่งหญ้านอกด่านมีเผ่าต่างๆ มากมาย พวกเจ้าสามารถไปทำการค้าได้หมด สามารถไปแย่งชิงได้หมด แย่งได้ก็เป็นของพวกเจ้า
ความคิดนี้ทำให้คนตกใจ นอกจากพวกพ่อค้าใหญ่ในเมืองกุยฮว่าเฉิง พ่อค้าจากซานซีล้วนยังคิดไม่ทัน หลายปีมานี้ ทุกคนมีความคิดแต่ในกรอบ พวกนอกด่านบนทุ่งหญ้านอกด่านเท่านั้นเป็นผู้แย่งชิง ทุกคนได้แต่ทำการค้าของตนเองไปดีๆ ลงมือแย่งชิงเป็นเรื่องน่าตกใจยิ่งนัก
ขุนนางมาจากราชสำนักควรจะให้ทุกคนเป็นคนดี อยู่ในกฎระเบียบ เหตุใดจึงส่งเสริมให้ทุกคนไปแย่งชิง นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลยจริงๆ
แต่ในใจบรรดาพ่อค้าก็เริ่มหวั่นไหว ทุ่งหญ้านอกด่านเดิมก็เป็นพื้นที่ไร้ขื่อไร้แป ผู้ใดสามารถ ผู้นั้นก็สามารถทำการตามอำเภอใจได้ ไม่มีกฎหมายควบคุม หากมีรถใหญ่กับอาวุธจริง บนทุ่งหญ้านอกด่าน ไม่อาจแย่งชิงก็ไว้ทำการค้า สามารถแย่งชิงได้ก็ไปแย่งเอา เป็นกำไรก้อนโตที่ยิ่งกว่าโต
“แม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยขอล่วงเกินกล่าวสักคำ ทหารแม่ทัพใหญ่ฝึกมา ย่อมใช้อาวุธพวกนี้เป็น พวกข้าน้อยจะใช้เป็นได้อย่างไร นำของพวกนี้เดินทางขึ้นเหนือ ใช่ว่าเป็นเหมือนของขวัญมอบให้พวกนอกด่านไปเสียอย่างนั้นหรือ!”
วาจานี้กล่าวได้น่าขัน คนด้านล่างต่างพากันหัวเราะออกมา บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลงมาก ไม่มีผู้ใดถามเรื่องแย่งชิงผิดกฎหมายหรือไม่ ไม่มีผู้ใดถามว่าเรื่องนี้ถูกระเบียบหรือไม่ กลับมีคนถาม ของพวกนี้ใช้การไม่ดีก็เท่ากับไร้ประโยชน์ แสดงให้เห็นว่าทุกคนหวั่นไหวแล้ว
“ไม่ทราบว่าทุกท่านเคยได้ยินบริการหลังการขายวาจานี้หรือไม่ ขายไปแล้วไม่ดูแลเรียกว่าแล้งน้ำใจ ขอทุกท่านวางใจ รถใหญ่ อาวุธที่ขายไปล้วนรวมถึงการสอนให้ใช้จนเป็น และยังมีคนคอยแนะนำเฉพาะ จนพวกท่านใช้การได้ และใช้การได้ดี ยังมีบริการซ่อมบำรุง ขอเก็บแค่ค่าแรงก็พอ ไม่เอากำไรเด็ดขาด!!”
ทุกคนพากันเงียบไป ให้คำมั่นเช่นนี้ ยังประกาศให้รับรู้ทั่วไปอีก คิดแล้วคงไม่หลอกเป็นแน่ แต่ทุกคนก็ยังแปลกใจ หรือว่าใต้เท้าผู้แทนพระองค์ผู้นี้เคยทำการค้ามาก่อน เหตุใดจึงเชี่ยวชาญวาจาในแวดวงการค้าเช่นนี้ได้!
779 ครอบครอง ยึดไว้ ค้าขายยาวนาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
บริการหลังการขาย วาจานี้เป็นคำใหม่จริง แต่ความหมายก็ชัดเจนมาก ทุกคนเข้าใจได้ในทันที
ในเมื่อให้คำมั่นเช่นนี้ ที่หวังทงเสนอมานั้นก็ย่อมทำให้ทุกคนต้องไตร่ตรองให้หนัก ทำการค้าในอาณาบริเวณแผ่นดินหมิง ต้องการแค่พนักงานดูแลร้านและหน้าร้าน ไม่ต้องใช้คนมาก แต่ทำการค้าบนทุ่งหญ้านอกด่าน ผู้ใดไม่มีกำลังคนหลายสิบหรือหลายร้อย เรียกว่าคนงาน ออกเดินทางมาบนทุ่งหญ้านอกด่านเกิดเหตุปะทะกัน คนพวกนี้ก็ต้องออกหน้าสู้
หากเดินทางยิ่งไกลก็ยิ่งต้องจ้างคนมาก แต่ก็ทำกำไรได้มากขึ้น หากมีอาวุธและสิ่งของพวกนี้ ทุกอย่างก็ย่อมคุ้มค่า
พ่อค้าที่มารวมตัวกันอยู่บนลานกว้างนี้ พอฟังหวังทงจบ ก็ยังให้เวลาทุกคนได้ไตร่ตรอง เขาโดดลงจากรถม้าไปคุยกับพ่อค้าใหญ่สองสามคน ก่อนกลับเข้ากระโจมไป
แม้หวังทงไปแล้ว แต่พื้นที่นี้ก็ยังมีปืนใหญ่จัดแสดงอยู่ ทหารม้า ทหารราบ ทหารปืนใหญ่ ยังมีปืนไฟ ปืนใหญ่ ชุดเกราะ รถใหญ่ ต่างๆ ล้วนปล่อยให้ชมกันตามสบาย เลือกทดลองกันตามสบาย จัดเพียงทหารคอยอำนวยการ
บรรดาพ่อค้าเริ่มแรกยังมุงดูอยู่รอบๆ แต่พอเห็นทหารใจดี ก็เริ่มเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นไปสนทนาซักถามกัน
หลายคนได้ฟังหวังทงเมื่อครู่แล้ว เมื่อครู่ก็ได้เห็นอาวุธและการฝึกซ้อมรบของทหารก็รู้สึกเหมือนว่ากำลังดูการแสดงงิ้ว ตอนนี้ต้องตั้งใจดูให้ละเอียด เพื่อทำความเข้าใจให้กระจ่าง
มีคนไปนำเกราะเหล็กและหนังเมื่อครู่ที่เป็นเป้ามาดู มาพิจารณากันอย่างละเอียด และยังขอให้ทหารซ้อมให้ดูอีกรอบ ดูว่าสามารถยิงทะลุเกราะเหล็กนี้ได้หรือไม่
ผลย่อมไม่ผิดจากที่คาด เกราะถูกปืนไฟยิงทะลุ ผลที่ได้ทำให้ทุกคนต่างพยักหน้าพอใจ ยังมีคนลองเดินไปยังเป้าที่ยิงจากมุมที่ยิงไป เพื่อกะระยะอีกด้วย
ใต้หล้าค้าขาย นอกจากการค้ากับในวังและการค้าเกลือที่นั่งนอนรับเงินอย่างเดียวแล้ว พ่อค้าที่เหลือก็ต้องคำนวณกำไรให้ละเอียด ทุกเรื่องต้องผ่านการวิเคราะห์จึงค่อยสรุป เมื่อครู่หวังทงพูดได้สวยหรู แต่พวกเขาก็ยังต้องการการพิสูจน์ก่อน
ทหารในพื้นที่ได้รับคำสั่งมาก่อนหน้านี้ว่า หากถามต้องตอบ และหากรำคาญที่จะทำตามความต้องการของพวกพ่อค้าเด็ดขาด แสดงให้ดูซ้ำๆ ไป เช่น การประกอบแผ่นไม้ป้องกันหน้ารถใหญ่ จากนั้นก็ขึ้นไปบนรถเตรียมป้องกัน หรือไม่ก็การบรรจุกระสุนปืนไฟเตรียมยิง ทำให้พ่อค้าได้ดูกันอย่างละเอียด
บรรดาพ่อค้าบนลานที่รู้จักกันก็ร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์ ใต้เท้าผู้แทนพระองค์พูดมานั้นเป็นอย่างไรบ้าง พวกที่พบเห็นโลกกว้างมามาก ทหารม้าเมืองกุยฮว่าเฉิงมีม้า มีดาบและธนู หลายคนยังมีเกราะ หรือแม้กระทั่งอาวุธตีเมืองขนาดใหญ่ เรื่องพวกนี้พวกเขารู้ดี และพวกเขายังรู้อีกว่า พวกเผ่าเล็กๆ บนทุ่งหญ้านอกด่าน ลูกธนูที่พวกเขาใช้ล่าสัตว์เป็นหัวลูกธนูที่ทำจากกระดูกสัตว์ มีดาบก็สนิมกินเกรอะกรัง ความคมไม่ต้องพูดถึง ล้วนเหลาไม้ปลายแหลมเป็นอาวุธแทนกันโดยมาก เกราะก็ยิ่งหาได้น้อยมาก ใช้เพียงแผ่นหนังทำเป็นเกราะเท่านั้น
เผ่าเล็กพวกนี้อ่อนแออย่างมาก บนทุ่งหญ้านอกด่านที่มักออกมาปล้นชิงขบวนพ่อค้าโดยมากก็เป็นพวกเผ่าเล็กๆ พวกนี้ ก็เพราะยากจนชีวิตไร้ค่า สู้ตายแย่งชิงได้มาก ม้าเร็วควบหนีได้ก็เท่านั้น พวกกองโจรม้าก็ไม่เท่าไร มีเพียงอาวุธไม่กี่อย่างที่ดีกว่าเผ่าเล็กๆ พวกนี้เท่านั้น
หากมีอาวุธที่หวังทงรับปากขายให้ไว้รับมือพวกเผ่าเล็กกับกองโจรม้าก็ยิ่งรับมือได้ง่าย แม้ไม่ไปปล้นชิงพวกเขา แต่เดินทางบนทุ่งหญ้านอกด่านก็เรียกได้ว่ารับประกันความปลอดภัยไร้กังวล
แม้ว่ามีคนไม่น้อยที่เมืองต้าถงกับมณฑลซานซีเคยเห็นรถม้าใหญ่กองกำลังหู่เวย แต่ดูไกลๆ ไม่สู้ดูระยะใกล้ พื้นที่ในมณฑลซานซียามนี้มีรถใหญ่เลียนแบบแล้ว แต่วันนี้ได้เห็นจึงได้รู้ว่ามีหลายจุดที่มีรายละเอียดมากกว่า เช่นว่าสามารถนำแผ่นไม้มาต่อกันเป็นกำบังได้ คัดซีเชื่อมสองล้อรถยังทำจากเหล็กท่อน
ยังมีคนให้ทหารกองกำลังหู่เวยนำถุงดินแบกขึ้นไปบนรถใหญ่ดูว่าบรรทุกเต็มจะได้เท่าไร จากนั้นก็กลับไปวิพากษ์วิจารณ์กัน
“……..บรรทุกของมาเพียงนี้ ยังสามารถเอาอยู่ ยังเดินทางได้ไกลอีก…….”
“…….การค้าชายแดนส่านซีไม่ดี แต่เผ่าทางซีอวี้กลับมีเงินมาก หากสามารถทำการค้าไปถึงที่นั่นได้….”
“…….ปืนไฟนี่ ยังมีปืนใหญ่เล็กนั่น หรือว่าสามารถขายได้ อย่าเพิ่งเห็นว่ามันใช้การได้ดี หากพอถึงมือพวกเราแล้วเกิดไม่ดี ทำอย่างไร…”
“ฟังใต้เท้าผู้แทนพระองค์พูดก็ดี ไม่สู้มาลองตั้งบททดสอบให้ทดลองยิงดู หากใช้ไม่ได้จริงพวกเราก็ไม่เอาก็แล้วกัน หากเขาต้องการทำการค้ากันไปนาน…”
วิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ หากไม่มีผู้ใดคิดไปถึงข้อน่าสงสัยอื่นๆ คิดเพียงแค่รายละเอียดเล็กน้อย หวังทงเหมือนว่าเปิดประตูให้พวกเขาก้าวเดิน ชัยชนะเด็ดขาด ณ เมืองกุยฮว่าเฉิงทำให้พวกเขามั่นใจมากขึ้นไม่น้อย ที่แท้พวกนอกด่านก็โจมตีง่ายเพียงนี้ ที่แท้พวกเราก็สามารถทำการค้าออกไปได้ไกลขึ้นอีกได้
ตามที่หวังว่ามา ใช้รถใหญ่ขนสินค้าไป ใช้ปืนไฟคุ้มกันขบวนพ่อค้า ไปทำการค้าไกลออกไปอีก เรื่องนี้ทุกคนไม่สงสัย ตอนนี้ที่ทุกคนสนใจก็คือ ชาวบ้านอย่างตนจะสามารถเรียนรู้การใช้อาวุธพวกนี้ได้อย่างไร
เรื่องนี้นั้น หวังทงยังกล่าวไม่กระจ่าง ทุกคนก็ยังคงสงสัย ที่ใส่ใจคิดมากที่สุดก็คือเรื่องนี้ แต่เปิดงานแสดงให้ชมกันระดับนี้แล้ว ทุกคนก็เข้าใจและรับรู้ข้อมูลมากขึ้น
อยู่กันที่นี่ไม่นาน พ่อค้าในเมืองก็ส่งคนมาเชิญตัวกันไป พวกเขาบ้างก็เคยรู้จักกันมาก่อน บ้างก็คิดจะเริ่มเปิดการค้าขายกัน ของแย่งชิงมาได้มากมายเพียงนั้น หลายอย่างไม่อาจเก็บไว้ในมือได้ ต้องรีบขายเปลี่ยนมือเป็นของที่ต้องการถึงจะดี
****************
ในกระโจมหวังทงก็คึกคักมาก พวกที่มาจากเมืองต้าถงไม่เพียงแต่เป็นพ่อค้ามณฑลซานซี หากยังมีจากเมืองเซวียนฝู่และเทียนจิน
“กู่จื้อปิน ปีนี้ไม่ได้ฉลองปีใหม่เลยล่ะสิ เดินทางมาลำบากอันใดหรือไม่?”
ได้ยินหวังทงยิ้มทักทาย กู่จื้อปินยืนขึ้นยิ้มตอบว่า
“ขอบคุณใต้เท้าที่ห่วงใย นายท่านนำทัพออกรบเป็นตายกับพวกทุ่งหญ้านอกด่าน ข้าน้อยก็แค่รออยู่ที่ซานซี รู้สึกละอายยิ่งแล้ว เพราะบารมีใต้เท้า ตลอดทางมาราบรื่นดีมาก ไม่ประสบเหตุอันใด”
หวังทงพยักหน้า โบกมือให้กู่จื้อปินนั่งลง กล่าวว่า
“ในเมืองมีของที่ได้จากสงครามมาไม่น้อย ต้องรีบขนกลับไป ตอนนี้เส้นทางการค้าตัดขาดมากได้สักระยะแล้ว ในเมืองของหลายอย่างก็ขาดแคลน เจ้ารีบให้คนไปตรวจสอบให้ละเอียด แล้วไปขนมา!”
กู่จื้อปินรีบพยักหน้ารับคำ หวังทงเคาะโต๊ะ กล่าวทีละข้อว่า
“ให้ร้านสามธาราเป็นร้านค้าใหญ่สุดในเมืองกุยฮว่าเฉิงนี้ และให้คุมสินค้าจำเป็นให้อยู่ในมือเราทั้งหมด เรื่องนี้ไม่น่ายาก รีบไปนำคนจากแผ่นดินหมิงมาช่วย ที่นานอกเมืองกับแรงงานก็ต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุด ให้ใช้ระบบโรงบ้านแบบตอนเหนือของเทียนจินเราไปก่อน”
กู่จื้อปินรีบรับคำ เงียบไปก่อนจะกล่าวว่า
“สถานการณ์นอกเมือง เมื่อครู่ได้ยินพวกเสี่ยวเฉินเล่ามากัน แรงงานทาศพวกนั้นถูกพวกนอกด่านบังคับจนมีชีวิตราวกับสัตว์ ร่างกายหลายคนถูกทุบตีจนดูไม่ได้ ถึงกับใกล้อดตายก็มี ขอใต้เท้าส่งเสบียงไปทางนั้นหน่อย หรือว่าไปขนจากเมืองต้าถงมาตอนนี้เลย แต่เกรงว่าจะไม่ทัน และทางนั้นเพราะทางการระดมเสบียง เสบียงก็ราคาขึ้นไปถึงสามเท่าแล้ว จะระดมขนมาก็เกรงว่าจะสิ้นเปลืองมากกว่า”
หวังทงคิดอยู่พักหนึ่ง ก็หันไปยิ้มให้ไช่หนานกล่าวว่า
“ขันทีไช่ พอเมืองแตก เสบียงพวกนอกด่านมากมายถูกเผาไปหมดใช่หรือไม่?”
ไช่หนานที่นั่งอยู่อึ้งไป ก่อนจะได้สติตามมา หันไปดึงบัญชีที่มุมโต๊ะมา หยิบพู่กันมาแก้ไขสองสามทีก่อนจะกล่าวว่า
“ใต้เท้ากล่าวได้ถูกต้อง เสบียงถูกพวกนอกด่านเผาไปแล้ว เสียหายไปมาก ดับไม่ทัน!”
หวังทงพยักหน้า หันไปกล่าวกับกู่จื้อปินว่า
“เสบียงในเมืองวันนี้ก็ขนไปนอกเมืองได้เลย ต้องการแรงงานก็ไปขอยืมจากพวกพ่อค้าในเมืองหลายคนไปก่อน รีบไปช่วยเหลือปลอบขวัญพวกนั้นก่อน แรงงานสองหมื่นพวกนี้ต้องซื้อใจให้อยู่กับแผ่นดินหมิงเรา อย่าได้ปล่อยให้คนชั่วฉวยโอกาส”
เสบียงที่กล่าวว่าถูกเผาทำลายไป ย่อมไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ตัวเลขแก้ไปสองสามที ก็เกลายเป็นเผาไปหมด เรียกได้ว่าแก้ได้ตามใจ เรื่องด่วนเช่นนี้ไม่อาจคิดอันใดให้มากความ
กู่จื้อปินพอได้ยินเช่นนี้ คำนับขอบคุณกล่าวว่า
“แรงงานทาสชาวฮั่นพวกนั้นน่าสงสารมาก เดิมเสี่ยวเฉินคิดว่าพวกเขาแม้ว่ายากจน แต่ที่บ้านน่าจะมีเสบียงสะสมอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจหลังไปถึง วันก่อนมีแรงงานมาขอร้องด้วยตนเอง จึงไดรู้ว่าทางนั้นเป็นกันถึงขั้นนี้ ได้ยินว่าพวกนอกด่านทุกปีจะไม่สนใจว่าใครจะเป็นหรือตาย ขาดก็ไปจับเชลยมาใหม่ นายท่านจัดสรรเสบียงให้ครั้งนี้น่าจะพอให้พวกเขาได้มีกินกันไปจนกระทั่งเก็บเกี่ยวรอบใหม่แล้ว!”
เมืองตีแตกเร็วมาก คนเผ่าอันต๋าคิดจะไปเผาเสบียงทิ้งเหมือนกัน แต่ก็ไม่ทันการ ไม่อาจเผาได้มากมายเท่าไร ก็ถูกทหารหมิงไล่ตามมาดับได้ทัน เสบียงที่สั่งสมไว้ในเมืองสามารถเรียกได้ว่ามหาศาล แม้แต่นอกเมืองเองก็มีโกดังเสบียงใหญ่อีกไม่น้อย
เผ่าอันต๋าสั่งสมเสบียง และยังเรียนรู้วิธีการตีเมือง คงคิดการใหญ่ แต่หากไม่ใจร้ายใจดี ดีกับพวกทาสให้มากหน่อย ให้พวกเขาได้เป็นกำลังสำคัญของตนเอง หากเกิดการรบกับข้าศึก เกรงว่าคงยากคาดเดาแพ้ชนะ แต่ตอนนี้เสบียงพวกนี้ได้กลายเป็นเครื่องมือในการซื้อใจของหวังทงเสียแล้ว
หวังทงสบตากับไช่หนาน ไช่หนานกระแอมไอ กล่าวว่า
“เถ้าแก่กู่ ทหารทุ่งหญ้านอกด่านไร้ระเบียบ ไร้ความยำเกรงกฎหมาย ในเมื่อร้านสามธาราต้องการเป็นร้านค้าใหญ่สุด ก็ต้องมีกองกำลังคุ้มกันที่ใหญ่ที่สุดเช่นกัน คน ม้า อาวุธ ก็ต้องรีบรายงานตัวเลขมา ตอนนี้ทุกอย่างต้องเร่งดำเนินการให้เสร็จให้เร็วที่สุดถึงจะดี”
ตอนหวังทงไม่อยู่เทียนจิน ไช่หนานเป็นตำแหน่งสูงสุดในระบบที่หวังทงวางไว้ ไม่ใช่แค่เรื่องการทหาร แต่ยังรวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่มีอำนาจสั่งการด้วย กองผู้คุ้มกันเรื่องนี้หวังทงไม่สะดวกเอ่ยปาก ต้องให้ไช่หนานพูดแทน กู่จื้อปินรีบรับคำ หวังทงจึงได้เสริมว่า
“ผู้คุ้มกันไม่จำกัดแค่ชาวฮั่น คนจากเผ่าเล็ก ๆ หรือพวกจากซีอวี้ พวกเผ่าอู้เหลียงฮา ขอพียงไม่ได้เกิดและเติบโตที่นี่ ก็ใช้การได้หมด แต่มีเรื่องหนึ่งที่ท่านต้องจำให้ดี โรงผลิตอาวุธใดๆ ห้ามตั้งในเมืองกุยฮว่าเฉิง ตั้งได้แค่ในมณฑลซานซี ยอมจ่ายค่าขนส่งเพิ่ม!”
ขณะคุยกันนั้น ด้านนอกรายงานว่าหยางจิ้นมา รองแม่ทัพหยางจิ้นเมืองจี้โจวเดินเข้ามาในกระโจมคารวะแล้วจึงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“แม่ทัพใหญ่ ขายอาวุธให้พวกพ่อค้า เรื่องนี้ไม่เหมาะกระมัง”
780 ตอบข้อสงสัย ซ่อนกำลังไว้ในหมู่ชาวบ้าน
โดย
Ink Stone_Fantasy
สร้างความดีความชอบบนทุ่งหญ้านอกด่านเพียงนี้ หวังทงย่อมเป็นศูนย์รวมใจของกองทหารอย่างไม่อาจสั่นคลอน นายทหารจากเมืองจี้โจวล้วนให้ความเคารพยำเกรงหวังทงอย่างมาก
ด้วยสถานะรองแม่ทัพเมืองจี้โจว หยางจิ้นเป็นทหารมานานปี ย่อมรู้ดีกว่าความสำเร็จของหวังทงในวันนี้นั้นหมายถึงสิ่งใดจากนี้ ดังนั้นการวางตนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมไม่อาจขาดตกบกพร่อง แม้ว่าเข้ามาในกระโจมซักถาม แต่มารยาทก็ขาดไม่ได้ หากวาจานั้นกลับไม่เกรงใจ
“รองแม่ทัพหยาง วันก่อนข้าใช่ว่ากล่าวชัดเจนแล้ว? จะให้เมืองกุยฮว่าเฉิงสงบไปอีกนานได้อย่างไร กองกำลังเราไม่อาจตั้งทัพอยู่ที่นี่ตลอดไป ได้แต่อาศัยคนในพื้นที่เอง ให้ชาวบ้านสามัคคี ขายอาวุธให้พวกเขา ก็เพื่อให้พวกเขาเข้มแข็งปกป้องตนเองได้”
ทุกคนในกระโจมนอกจากไช่หนานที่นั่งนิ่งไม่ขยับแล้ว ที่เหลือก็ล้วนคำนับขอตัวออกไป ท่าทีหวังทงยังคงนุ่มนวล ยิ้มตอบ
เห็นหวังทงไม่ได้โมโห ในใจหยางจิ้นก็รู้สึกคลายกังวลลง แต่ยังคงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ชาวบ้านกล้าหาญสามัคคี มีดาบมีธนูก็พอแล้ว แม่ทัพใหญ่ขายปืนไฟกับปืนใหญ่ให้พวกเขา ก็เท่ากับขายอาวุธร้ายกาจกองทัพเรา มอบให้ผู้อื่นง่ายๆ ได้อย่างไร พ่อค้าเดินทางไปมาบนทุ่งหญ้าบ่อยๆ ในนั้นก็มีพวกไม่ถือกฎหมายไม่น้อย หากมีผู้ใดคิดไม่ซื่อ ใช่ว่าจะเกิดเหตุเภทภัยใหญ่หรือ!”
“แม้ข้าไม่ขาย หรือว่าพวกเขามีปืนในมือน้อยกันเล่า? แค่ที่ข้ารู้มา ขันทีคุมอาวุธหลวงในเมืองต้าถงก็ร่ำรวยไปไม่น้อยแล้ว!”
“แม่ทัพใหญ่ อาวุธเมืองต้าถงนั่นมันระดับใดกัน อาวุธในมือแม่ทัพใหญ่ระดับใดกัน จะเอามาเปรียบกันได้อย่างไร อาวุธกองกำลังสังกัดวังหลวงร้ายแรงขนาดไหน พวกข้าน้อยก็เห็นมาด้วยตาตนเอง อาวุธเมืองต้าถงก็แค่ปืนใหญ่ยิงดอกไม้ไฟก็เท่านั้น!”
ได้ยินหยางจิ้นกล่าวเช่นนี้ หวังทงอดยิ้มไม่ได้ หยางจิ้นยังคงยืนยันในความคิดตนเอง หวังทงโบกมือเป็นสัญญาณให้หยางจิ้นนั่งลง กล่าวว่า
“ขบวนผู้คุ้มกันพ่อค้ามีปืนไฟ ทหารแผ่นดินหมิงก็ต้องมีปืนไฟ ผู้ขบวนผู้คุ้มกันพ่อค้ามีปืนใหญ่ ทหารแผ่นดินหมิงก็ต้องมีปืนใหญ่ พ่อค้าคนหนึ่งมากสุดจะมีผู้คุ้มกันได้เท่าไรกัน พันคนก็เรียกว่าหาได้ยากแล้ว กำลังทหารเรามีเท่าไร จำนวนมากน้อยเห็นได้ชัด พ่อค้าแสวงหากำไร เรื่องใดๆ ก็คิดวิเคราะห์ละเอียดที่สุด เรื่องไม่ควรทำพวกนี้ พวกเขาย่อมไม่อยู่ๆ ไปหาเรื่องใส่ตัวหรอก!”
“แม่ทัพใหญ่ หากพ่อค้ารวมตัวกัน ท่านดูวันนี้ในเมือง พ่อค้าซานซีนำผู้คุ้มกันมารวมกับพ่อค้าในพื้นที่ รวมกันแล้วก็หลายพัน หากคิดการไม่ซื่อขึ้นมา คิดตั้งตน….”
ยังพูดไม่ทันจบ ไช่หนานข้างๆ ก็กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า
“ใต้เท้าหยาง ตอนนี้ฮ่องเต้ปกครองแผ่นดิน ใต้หล้าสงบสุข ดำรงชีพเป็นสุข เหตุใดจึงจะมีเรื่องคิดตั้งตนเช่นนี้ได้ วาจาไม่เหมาะกระมัง!”
ถูกดักคอเช่นนี้ หยางจิ้นรีบลนลานยืนขึ้น ประสานมือกำลังจะเอ่ยอธิบาย หวังทงโบกมือ ยิ้มกล่าวว่า
“แค่คุยกันส่วนตัว ขันทีไช่อย่าได้จริงจังไป ขุนพลหยาง พ่อค้าพวกนี้มีกำลังเป็นเอกเทศของตนเอง คิดจะรวมตัวรวมกำลังกันก็ย่อมเป็นเรื่องยากอยู่สักหน่อย ขุนพลหยางคิดดู อาวุธในมือบรรดาพ่อค้านำเข้ามาแผ่นดินหมิง พวกเขาจะแย่งชิงอันใดได้ ก็รังแต่จะทำให้ทหารออกมาปราบปรามก็เท่านั้น ยังเกี่ยวพันไปถึงครอบครัว ให้อาวุธพวกเขา ก็เพื่อให้พวกเขาเดินทางไปบนทุ่งหญ้านอกด่านได้ไกลมากขึ้น กล้าปล้นสังหารคนบนทุ่งหญ้านอกด่าน ไม่ต้องกลัวพวกนอกด่านกับกองโจรม้าบนทุ่งหญ้านอกด่าน”
ถูกไช่หนานไล่เรียงเป็นชุดเช่นนี้ ทำเอาหยางจิ้นไม่กล้ากล่าวอันใดต่อ ขันทีไช่เป็นเพียงขันทีคุมกำลังและดูแลเสบียงเท่านั้น แต่ก็เท่ากับเป็นถึงรองแม่ทัพกองกำลังสังกัดวังหลวง ยังได้รับการหนุนหลังจากหวังทง น้ำหนักวาจาก็ย่อมไม่ธรรมดาหวังทงยกน้ำชาขึ้นจิบ คิดอธิบายให้ละเอียดมากขึ้น
“ขุนพลหยางอาจไม่รู้ว่า การค้าทุ่งหญ้านี้กำไรมหาศาล บรรดาพ่อค้าแม้ปล้นชิงแผ่นดินหมิงใช่ว่าจะทำกำไรได้เท่านี้ จะให้เลือกอย่างไร พวกเขาย่อมเลือกได้กระจ่าง และปืนไฟ ปืนใหญ่ รถใหญ่ เกราะ หากคิดเลียนแบบ ก็คงไม่ใช่เรื่องปีสองปีจะทำได้ ผลิต บำรุง รักษา ก็ล้วนต้องอาศัยโรงช่างอาวุธ ข้าคิดจะตั้งโรงอาวุธที่เมืองต้าถงกับเมืองไท่หยวนสองเมืองนี้ ผลิตและบำรุงรักษา ควบคุมให้อยู่ในมืออย่างแน่นหนา ขายปืนใหญ่ไปบนทุ่งหญ้านอกด่านอย่างมากก็ปืนประสุนสองชั่ง ใช้เพื่อป้องกันโจรได้ แต่หากใช้ตีเมืองย่อมไม่พอ และทหารเมืองต้าถงที่มณฑลซานซีเองก็มีปืนใหญ่ เรื่องนี้ยังมีอันใดไม่อาจวางใจอีกหรือ”
หยางจิ้นอึ้งไป ถอนหายใจกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่กล่าวเช่นนี้ วันหน้านานไป เกรงแต่มีคนคิดโลภมากขึ้น เกรงแต่มีคนคิดเป็นอื่น!”
ไช่หนานกำลังจะพูด หวังทงส่งสายตาให้หยุด กล่าวว่า
“ขุนพลหยางคิดเช่นนี้ ก็เพื่อแผ่นดินหมิงเรา ข้าเองก็คิดเช่นนี้ แต่ไม่ใช่เรื่องที่เราคิดกันเองในกระโจมตอนนี้ วันนี้ก่อนฟ้ามืด ตามแม่ทัพแต่ละค่ายจะมาหารือในกระโจมนี้กัน!”
หยางจิ้นฟังแล้วลุกขึ้นรีบคำนับ หวังทงกล่าวว่า
“ขุนพลหยางอยู่ชายแดนมานาน รู้จักพวกนอกด่านดี ข้าถามท่านหน่อยว่าวันนี้พวกเราครอบครองเมืองกุยฮว่าเฉิง แม้ว่าจะปกป้องได้อีกสิบปีร้อยปี ที่อื่นจะเป็นเช่นไร?”
คำถามนี้ถามได้โดนใจ หยางจิ้นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า
“มาเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่ได้ พวกนอกด่านก็คงไปรวมตัวกันที่อื่น สร้างรูปแบบแบบเผ่าอันต๋าขึ้นมา จากนั้นเมืองกุยฮว่าเฉิงที่เป็นเหมือนฐานรุ่งเรืองของพวกนอกด่านมาก่อน พวกเขาย่อมคิดกลับมาแย่งคืน เมืองกุยฮว่าเฉิงที่นี่ย่อมมีสงครามไม่หยุด ราชสำนักคิดว่าไม่ใช่ดินแดนภายในกำแพงเมือง ก็คงไม่ส่งทหารมาช่วย…….”
พูดไปๆ หยางจิ้นเองเหมือนเริ่มหมดแรงจะคิดต่อ กล่าวว่า
“เกรงว่าคงตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย……”
“เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นแกนกลางของพวกทุ่งหญ้านอกด่าน แย่งชิงมาได้ ก็ไม่ต้องกังวลความปลอดภัยชายแดนตอนเหนืออย่างมณฑลซานซีว่าจะมีพวกนอกด่าน หรือแม้แต่เมืองเซวียนฝู่เองก็ได้ประโยชน์ เมืองกุยฮว่าเฉิงอยู่ในครอบครองแผ่นดินหมิง แต่พวกนอกด่านโจมตีก็เรียกได้ว่าอยู่นอกประเทศเรา จากนี้ชาวบ้านซานซีและส่านซีก็ไม่จำเป็นต้องกังวลทหารนอกด่านเข้าโจมตีอีก ใช่แล้ว สำหรับพวกเราแล้ว เมืองกุยฮว่าเฉิงย่อมต้องรักษาไว้ เช่นกันสำหรับพวกนอกด่าน ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ แต่พื้นที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้หาได้ยากยิ่ง คิดจะมีชีวิตที่สุขสบาย คิดจะสร้างความรุ่งเรือง ก็ต้องได้ที่ผืนนี้มาครอง ขุนพลหยางคิดนั้นใช่ว่าคิดวนแต่ในเรื่องนี้หรือ เหตุใดต้องให้แผ่นดินหมิงปกป้อง คิดแต่พวกนอกด่านโจมตี หรือไม่อาจกลับกันบ้าง!?”
หวังทงกล่าวจบ ในกระโจมก็เงียบกริบ หยางจิ้นตัวแข็งทื่อ จากนั้นก็สะดุ้ง น้ำเสียงสั่น ถามขึ้นอย่างเป็นการเป็นงานว่า
“โจมตีอย่างไร บนทุ่งหญ้าเพราะมีเมืองเช่นนี้อยู่ จึงสามารถเคลื่อนทัพใหญ่ได้ หากเหมือนเช่นทางเมืองจี้โจว จะหากำลังพวกนอกด่านที่รวมตัวกันก็ยาก…….”
“หรือว่าขุนพลหยางคิดว่าจะมีทหารกองใหญ่มาโจมตีกัน พวกนอกด่านรุกรานหาเรื่องชายแดนแผ่นดินหมิงก็มีทัพใหญ่บ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นเผ่าเล็กๆ หรืออาจเป็นแค่กองโจรม้าหลายสิบคน พวกเขาทำเช่นนี้ เหตุใดพวกเราทำไม่ได้ ให้อาวุธบรรดาพ่อค้าไป ถ่ายทอดวิธีการรบกองทัพเราให้ไป ให้พวกเขาออกค้าขายบนทุ่งหญ้านอกด่าน เห็นว่าเหมาะก็แย่งชิงสังหาร เช่นนี้ไม่เรียกว่าโจมตีหรือ?”
ปากหยางจิ้นอ้าค้างเล็กน้อย ที่หวังทงว่ามา เขาไม่เคยคิดถึงเลย เหนือความคาดหมายจริง แต่ก็มีเหตุผล ตอนนี้เขากล่าวอันใดไม่ออก หวังทงกล่าวต่อว่า
“พ่อค้ามณฑลซานซีเดินทางไปทั่วหล้า ค้าขายบนทุ่งหญ้านอกด่าน สามารถทำกำไรมหาศาล เรื่องเช่นนี้ย่อมต้องมีผู้คนคิดทำการค้าตาม การค้ายิ่งมาก ขบวนพ่อค้าก็ยิ่งมาก ขบวนพ่อค้ายิ่งมาก ผู้คุ้มกันก็ยิ่งมาก เดินทางบนทุ่งหญ้า กองโจรม้าเห็นขบวนพ่อค้าใหญ่ไม่กล้าปล้นชิง เห็นพวกค้าเล็กย่อมลงมือ หรือว่าขบวนพ่อค้ามีปืน เห็นเผ่าเล็กไม่กล้าแย่งชิงกัน ไม่กล้าลงมือกัน เรื่องนี้นานวันเข้า ผู้คุ้มกันมากขึ้น คนรู้จักใช้ปืนก็มากขึ้นตาม หากเกิดเรื่องจริง ก็สามารถจัดตั้งกองกำลังออกต่อต้าน นี่ก็คือที่เรียกว่า แอบซ่อนกำลังไว้กับชาวบ้าน”
หวังทงกล่าวจบ หยางจิ้นถอนหายใจยาว เหมือนว่ากำลังชื่นชม เหมือนว่ากำลังทอดถอนใจ แต่ก็มีคำถามตามมา กังวลกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ พวกชาวบ้านวัยฉกรรจ์ต่อสู้ได้นั้นเป็นอย่างไรข้าน้อยเองก็พอรู้ คนงานของแม่ทัพใหญ่ทิ้งไว้ปกป้องเมืองจี้โจวได้ แต่ที่เหลือไม่เหมือนกัน ก็แค่พวกหมูหมากาไก่เท่านั้น แม่ทัพใหญ่รู้การทหาร ย่อมรู้ดีว่าไม่ใช่ว่าผู้ใดก็จะสามารถใช้อาวุธปืนได้ดีเช่นแม่ทัพใหญ่สั่งการได้ ยามเผชิญกับพวกนอกด่าน ก็เหมือนมอบอาวุธพวกนี้ให้พวกนอกด่านไปเสียอย่างนั้น”
หยางจิ้นไม่สงสัยการดำเนินเรื่องนี้แล้ว แต่ยังคงต้องมั่นใจในรายละเอียดอยู่ เห็นได้ชัดว่าหวังทงกล่อมจนเชื่อตามแล้ว หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“นี่ก็คือสาเหตุที่เรียกทุกคนมารวมตัวกัน คืนนี้เจ้าก็จะรู้เอง!”
เห็นหวังทงมั่นใจเช่นนี้ หยางจิ้นแปลกใจพยักหน้าไม่ถามต่อ กำลังจะพูดก็ได้ยินนอกกระโจมมีทหารรายงานมาว่า กู่จื้อปินร้านสามธาราขอพบ มีแขกมา หยางจิ้นลุกขึ้นอำลาพอดี
กู่จื้อปินเดินเข้ามาในกระโจม เขาไม่ใช่คนนอก หวังทงไม่ต้องกล่าวอันใดปิดบัง เพียงแค่ยิ้มให้ไช่หนานกล่าวว่า
“เห็นกองกำลังมาหลายมณฑลไม่น้อย ทัพเมืองจี้โจวนี่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดี แม่ทัพชีคุมกองกำลังนี้มานานปี ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ !”
“แม่ทัพชีเป็นขุนนางที่ฮ่องเต้ซื่อจงไว้วางพระทัยมาก ผ่านมาสามรัชสมัย ย่อมไม่ธรรมดา เถ้าแก่กู่ เหตุใดจึงไปและกลับมาเร็วเช่นนี้?”
ไช่หนานตอบ หากประโยคหลังถามกู่จื้อปินตรงๆ กู่จื้อปินคำนับคำนับยิ้มกล่าวว่า
“นายท่าน ไช่กงกง เมื่อครู่พ่อค้าใเมืองต้าถงกับพ่อค้าในพื้นที่ไหว้วานร้านสาขาเราให้มาที่นี่ บอกคิดจะซื้อที่นาที่นี่ บอกว่าราคาเทียบกับที่นาดีในมณฑลซานซี หรืออาจให้สูงกว่านั้นก็ได้ พ่อค้าพวกนี้ปกติก็ไปมาหาสู่กับเรา ก็ช่วยเหลือกันมา ดังนั้นข้าน้อยจึงได้ช่วยมาสอบถาม”
พอได้ยินเช่นนี้ หวังทงอดยิ้มไม่ได้กล่าวกับไช่หนานว่า
“พวกนี้ช่างคิดได้ดี ที่นามณฑลซานซีดินมีผงฟูมาก ที่นาเทียบได้แค่ที่นาระดับกลางในเหอหนาน เมืองกุยฮว่าเฉิงน้ำท่าสมบูรณ์ ยังมีผงฟูอีก พวกเขาคิดจะใช้ราคาที่นาระดับกลางมาแลกที่นาดีหรือ!”
ไช่หนานส่ายหน้ายิ้ม กู่จื้อปินคิดไม่ถึงเรื่องนี้ จึงได้แต่หัวเราะแหะๆ รีบกล่าวว่า
“ดีที่นายท่านสอนสั่ง ข้าน้อยเองก็ไม่รู้ ข้าน้อยจะรีบไปบอกพวกเขา”
“บอกพวกเขาไปว่า ที่นาที่นี่ ข้าต้องจัดการตรวจนับแล้วนำถวายฝ่าบาท จะมาขายส่วนตัวได้อย่างไร”
กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงคิดอะไรได้ จึงกล่าวว่า
“เจ้ายังไม่ต้องรีบตอบไป ไปถามในเมืองก่อน มีคนต้องการซื้อที่นาสักเท่าไร”
781 ทหารสูงวัยอำลาทัพ ปักฐานเมืองกุยฮว่าเฉิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ทุกท่าน ทหารใต้สังกัดทุกท่านมีทหารสูงวัยเบื่อหน่ายเดินทางกรำศึก คิดจะลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวเป็นหลักแหล่งกันหรือไม่?”
ก่อนฟ้ามืด นายทหารจากทั้งในเมืองนอกเมืองมารวมตัวกันที่กระโจมหวังทง ทุกคนล้วนคิดว่าหวังทงจะจัดสรรหน้าที่อันใดให้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคำถามนี้
เป็นทหารยุคนี้ มักเริ่มตั้งแต่อายุสิบกว่าไปถึงหลายสิบ คิดจะอำลากองทัพกลับบ้านเกิดไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องจนกระทั่งแก่ชราขยับตัวไม่ได้ หรือไม่ก็พิการ จึงจะได้อำลากองทัพ แน่นอน หลายคนตายในสงคราม
ผู้ใดไม่คิดมีชีวิตสงบสุข ผู้ใดไม่คิดจะแต่งงานมีภรรยามีลูกกัน แต่ออกรบกรำศึก เบี้ยทหารก็หักกันหนักหนาสาหัส เป็นตายไม่แน่นอน หญิงใดอยากจะแต่งให้พวกเขากัน
สถานการณ์ยากลำบาก แต่ไม่ได้หมายความว่าบรรดาทหารไม่อยากสร้างครอบครัว ไม่อยากมีลูก มีภรรยา หวังทงถามเช่นนี้ นายทหารหลายนายในกองกำลังหู่เวยยังดี หากสีหน้าบรรดาขุนพลเมืองจี้โจวดูย่ำแย่ยิ่ง
กองกำลังชีจี้กวงตั้งในเมืองจี้โจวสิบกว่าปี ทหารไม่น้อยล้วนเป็นทหารฝึกขึ้นมาใหม่ กว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ ย่อมไม่อยากทิ้งทหารที่ฝึกมาให้ไปสร้างครอบครัวแต่งภรรยา ทหารมีภาระครอบครัว ย่อมไม่อยากสละชีพกลางสนามรบ เรื่องนี้ทุกคนรู้กันดีแก่ใจ ยุคนี้อายุสิบกว่าก็แต่งงานมีภรรยามีลูกได้แล้ว ทหารเมืองจี้โจวล้วนเรียกได้ว่าอายุมากกันแล้วจริงๆ
“…….แม่ทัพใหญ่ถามเช่นนี้ …….เกรงว่าทหารในสังกัดข้าน้อยคงต้องการเช่นนี้กันทุกคน……”
หยางจิ้นในยามนี้ รู้แล้วว่าหวังทงตอนบ่ายนั้นรู้สึกมั่นใจกับผู้คุ้มกันขบวนพ่อค้าได้อย่างไร นายทหารเมืองจี้โจวมองสีหน้าหยางจิ้นแล้ว ก็ไม่กล้ากล่าวตอบอันใด
แม้เป็นเช่นนี้ นายกองพันผู้นี้ก็ยังคงกล่าวอ้ำๆ อึ้งๆ หวังทงอึ้งไป ตามมาด้วยส่ายหน้ายิ้มถามขึ้น
“หรือว่าหากข้าอนุญาตคำสั่งให้อำลากองทัพได้ เกรงว่าจะเหลือทหารไม่เท่าไรกระมัง!”
“……น่าจะเป็นเช่นนี้…….”
หวังทงส่ายหน้า หันไปถามหลี่หู่โถวกับถานปิงว่า
“กองกำลังหู่เวยทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เรียนแม่ทัพใหญ่ กองกำลังหู่เวย ทหารล้วนอยากบรรจุในกองทัพ ไม่อยากเป็นชาวบ้าน อายุเกิน 30 แล้วยังไม่มีตำแหน่งรวมแล้ว 175 นาย”
หลี่หู่โถวตอบเสียงดัง เรื่องนี้จัดการก่อนหน้าแล้ว กองกำลังหู่เวยมีชายฉกรรจ์วัยหนุ่มมาก หวังทงเดิมคิดว่าอยากให้กองกำลังหู่เวยออกมาเป็นแบบอย่าง คิดไม่ถึงว่าเมืองจี้โจวจะมากกว่า และยังมากถึงขั้นนี้ได้
สองฝ่ายรายงานจบ หม่าหย่งเห็นสายตาหวังทง ก็คำนับตอบว่า
“แม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยนำกำลังมา ส่วนใหญ่เป็นทหารที่ตั้งครอบครัวในเมืองต้าถง พวกเขาไม่เหมือนทหารทั่วไป เบี้ยหวัดมีมาก และยังเป็นหนึ่งกับนาย ทุกคนมีครอบครัว พวกเขานอกจากเป็นทหารแล้ว ก็ไม่รู้จะไปทำอันใด”
สภาพของทหารสูงวัยซับซ้อนกว่าที่หวังทงคิดไว้มาก แต่เหตุผลก็เหมือนกัน หวังทงอึ้งไป กล่าวเสียงดังว่า
“ชัยชนะใหญ่ครั้งนี้ ระเบียบแผ่นดินหมิงเราทุกคนย่อมรู้ดี ข้ากับพวกเจ้าย่อมได้บำเหน็จความชอบ ทหารชั้นผู้น้อยกลับไม่ได้ประโยชน์อันใด”
ทุกคนพยักหน้า แผ่นดินหมิงค่อนข้างใจแคบขี้เหนียวกับการมอบรางวัล ชัยชนะเช่นนี้ ทหาร 30,000 นาย ตั้งแต่หวังทงลงไปถึงระดับล่าง คนที่ได้บำเหน็จรางวัลน่าจะไม่เกิน 100,000 ตำลึง สำหรับพวกหวังทง ยังอาจได้ตำแหน่งหรือสิทธิพิเศษอื่นๆ เพิ่ม หากเงินรางวัลอื่นๆ คงไม่ต้องหวัง
หากตำแหน่งถึงระดับนายกองขึ้นไป ก็มักมีวิธีการ ของที่ได้จากสงครามสามารถแบ่งประโยชน์กันได้มาก ระดับสูงก็สามารถกอบโกยก้อนโตมาได้พิเศษ แต่ทหารระดับล่าง ตัดหัวศัตรูได้มากอาจได้เลื่อนตำแหน่ง แต่อย่างมากก็ได้เป็นสุราและอาหารเนื้อสัตว์หลายมื้อเป็นรางวัล จากนั้นก็เพียงแค่เท่านี้เท่านั้น
ไม่ว่าทหารชายแดนหรือทหารม้ากองกำลังหู่เวยล้วนไม่ค่อยอยู่ในวินัยสักเท่าไร ปฏิบัติงานก็ตามสบาย ย่อมเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากสงครามไปได้ไม่น้อย หากทหารราบกองกำลังหู่เวยกับทหารเมืองจี้โจวระเบียบวินัยเคร่งครัด ถูกควบคุมอย่างแน่นหนาบนสนามรบ การรบครั้งนี้ แม้ว่าพวกเขาจะบุกขึ้นหน้า แต่ผลประโยชน์กลับเก็บเกี่ยวได้ไม่มากนัก
ทหารรบเพื่อชาติเป็นหน้าที่ พวกเขามีเกียรติยศและศักดิ์ศรีของทหาร แต่ชีวิตอย่างไรก็คือชีวิต พวกเขาก็ต้องเลี้ยงดูตนเอง พวกเขาก็คิดอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น
หวังทงค่อยๆ กล่าวต่อว่า
“ทุกคนร่วมเป็นร่วมตายกันมานาน มีบางวาจาก็สามารถพูดกันตรงๆ ได้ สามารถมีชัยชนะเช่นนี้ได้ ล้วนอาศัยการแลกมาด้วยชีวิตของทหารทุกคน วันหน้าเกียรติยศเงินทองของทุกท่าน ยังต้องพึ่งพาพวกเขา ตีเมืองกุยฮว่าเฉิงได้ ภูเขาทองทะเลเงินและที่นามหาศาล พวกเขาไม่ได้ประโยชน์อันใดด้วย วันหน้าจะให้เสี่ยงตายออกรบได้อย่างไร ในใจก็จะค่อยๆ คิดมาก อย่างไรก็ต้องแบ่งให้พวกเขาบ้าง”
ทุกคนพยักหน้า มีคนคิดในใจ ใต้เท้าอายุ 20 ต้นๆ ผู้นี้ พูดจาเหมือนคนอายุ 50 กว่า เป็นเรื่องน่าแปลกจริง
“เมื่อครู่ข้าอยากบอกว่า ให้ทหารทุกคนไม่ต้องเป็นทหารรบต่อ ให้พวกเขาได้อยู่สร้างรากฐานในเมืองกุยฮว่าเฉิงแห่งนี้ ให้พวกเขาได้ลงหลักปักฐาน ฟังพวกท่านกล่าวเช่นนี้ เกรงว่าพอคำสั่งนี้ออกไป ทหาร 20,000 เมืองจี้โจวก็จะอำลากองทัพกันหมด ใช่เช่นนี้หรือไม่!”
ในห้องเงียบไปแวบหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงฮากันครืน พวกหยางจิ้นพยักหน้า หวังทงกล่าวล้อเล่นนี้ทำให้บรรยากาศในกระโจมผ่อนลงไปมาก
หวังทงโบกมือ ในกระโจมเงียบลงอีกครั้ง หวังทงกล่าวต่อว่า
“ทหารเป็นรากฐาน ย่อมไม่ให้พวกเขาไปที่ใด ให้อยู่ในกองทัพเป็นเมล็ดพันธุ์ก็ดี แต่ก็ต้องให้ผลตอบแทนที่ดี ขุนพลหยาง ทางท่านส่งกำลังครึ่งหนึ่งมาได้ไหม?”
หยางจิ้นก้าวขึ้นหน้ามา คำนับกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ กองทัพข้าน้อย คนมีความชอบมีมาก นอกจากพวกได้บำเหน็จกองทัพและพวกที่อาจได้เลื่อนตำแหน่ง ก็คงมีอีกหนึ่งส่วนที่คิดว่าลงแรงไปกับที่ได้มาไม่เท่ากัน คนพวกนี้หากให้อยู่ในกองทัพต่อไปก็คงโกรธแค้นไม่พอใจ ไม่สู้ปล่อยพวกเขาไป ให้เป็นรางวัลก็แล้วกัน!”
หวังทงพยักหน้าพอใจ วาจาหยางจิ้นฟังแล้วเหมือนว่าไม่มีเรื่องน่าจะเป็นปัญหาอันใด และยังเป็นการกระทำที่รองรับคำพูดหวังทง คนหนึ่งส่วนก็เกือบสองพัน หวังทงหันไปทางหม่าหย่ง หม่าหย่งรีบคำนับ หากก็ยิ้มเฝื่อนตอบว่า
“แม่ทัพใหญ่ ทางข้าน้อยเป็นทหารสังกัดแม่ทัพหลายท่านในเมืองต้าถง พวกเขาอยู่หรือไป ข้าน้อยตัดสินใจแทนไม่ได้ ข้าน้อยได้แต่ไปถามและชักชวน คนของข้าน้อยเองก็มีราวหลายสิบคนได้”
หวังทงเข้าใจที่หม่าหย่งว่ามา ทหารในสังกัดนายก็หมายถึงคนของสังกัดนั้น มีความสัมพันธ์สนิทแนบแน่นเป็นพิเศษ ไม่อาจจากไปได้โดยง่าย หากตัดสินใจให้พวกเขาอยู่ต่อที่นี่ ก็ต้องถามความเห็นชอบจากนายเดิมเสียก่อน
บรรดาขุนพลทหารเมืองต้าถงยอมส่งทหารในสังกัดตนออกมาช่วยรบ ก็ถือว่ามีน้ำใจต่อหวังทงแล้ว นี่เป็นกำลังสำคัญของพวกเขา ยอมให้หวังทงนำมาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายได้ การยอมให้เช่นนี้ อย่างไรหวังทงก็ไม่อาจให้คนพวกนี้อยู่ต่อหลังมีชัยชนะใหญ่ ไม่เช่นนั้นวันหน้าก็อาจไม่มีผู้ใดให้ความร่วมมือ
“ทหารกองเสริมและคนงานของกองกำลังหู่เวยทิ้งไว้ที่นี่ได้ราวพันห้าร้อยนาย กับทหารอีก 175 นาย จำนวนนี้ข้าพอรับได้อยู่!”
หวังทงเอ่ยสรุป นำทหารส่วนหนึ่งคัดออกมาย่อมเป็นการให้รางวัล เพื่อเป็นการซื้อใจทหาร แต่ก็เป็นตัดทอนกำลังตนเองลง หากหวังทงให้คนอื่นตัดกำลังออกมา แต่ไม่แตะต้องกำลังของกองกำลังหู่เวย เช่นนั้นในใจทุกคนย่อมไม่ยินยอม แต่หวังทงเองก็แสดงความจริงใจที่มากพอ
ความสามารถทหารกองเสริมกับคนงานกองกำลังหู่เวยนั้น บนสนามรบทุกคนก็เห็นกระจ่าง พวกเขาเป็นทหารที่เก่งกล้าทั้งหมด ไม่ได้ด้อยไปกว่ากองกำลังอื่น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทหารชำนาญการรบสี่พันกว่าทิ้งไว้ในเมืองกุยฮว่าเฉิง ในนั้นย่อมมีขุนพลทหารระดับล่าง ตรงตามความต้องการของหวังทง
“ทุกท่าน วันนี้สรุปเช่นนี้ก่อน แต่กล่าวกันไว้ตรงนี้ก่อนว่า คิดจะอำลากองทัพลงหลักปักฐาน ทำได้แค่อยู่ในเมืองกุยฮว่าเฉิงเท่านั้น จะมีที่นาให้ทำ มีบ้านให้อยู่ มีสัตว์เลี้ยงให้ หรืออาจจ้างคนงานก็ได้ แต่คิดจะได้ประโยชน์เช่นนี้ต่อไป ก็จำเป็นต้องไม่ละทิ้งการฝึกการต่อสู้”
หวังทงกล่าวจริงจัง
“ในเมืองขบวนพ่อค้าต้องการผู้คุ้มกัน ผู้คุ้มกันพวกเขาต้องการคนฝึก โรงนาแต่ละแห่งรอบเมืองกุยฮว่าเฉิงต้องการกำลังคนดูแลป้องกัน คนพวกนี้ต้องการผู้นำการฝึก หากเมืองกุยฮว่าเฉิงเกิดเรื่องและต้องการรวมพล พวกเขาต้องเป็นชุดแรกที่เสริมกำลังเข้ามา ต้องเรียกกำลังพลได้ในทันที”
ขุนพลในกระโจมล้วนพยักหน้า ได้รับประโยชน์มากมายเช่นนี้ ไม่ทำอันใดเลยย่อมไม่ได้ หวังทงกล่าวต่อว่า
“ผู้คุ้มกันพ่อค้าขึ้นเหนือล่องใต้ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ที่นามาก บ้านพักชั้นดี สัตว์เลี้ยงมีให้มาก การฝึกในเมืองก็ลดมาตรฐานลง ปลดระวางมาก็เท่ากับมาเสพสุข ต้องต่อสู้เพื่อชีวิตที่ดีของตนเอง ต้องต่อสู้เพื่อครอบครัวตนเอง จึงจะคู่ควรได้รับสิ่งดีๆ ทั้งหมดนี้ไป”
ในกระโจมเงียบลง หม่าหย่งลังเลครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ ขบวนพ่อค้าใช่ว่าจำเป็นต้องใช้คนของเรา พวกเขาย่อมสามารถ…….”
“ไม่ใช้ผู้คุ้มกันของเรา ไม่รับผู้คุ้มกัน ไม่อาจทำการค้าบนทุ่งหญ้านอกด่าน ไม่อาจพักอาศัยในเมืองกุยฮว่าเฉิง!”
หวังทงยิ้มเล็กน้อยกล่าว บรรดาพ่อค้าอาศัยเมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นฐาน ทำกำไรบนทุ่งหญ้านอกด่าน พวกเขาไม่อาจได้รับประโยชน์เปล่าๆ พวกเขาต้องดูแลทหารสูงวัยเหล่านี้ ต้องให้เมืองกุยฮว่าเฉิงดำรงความเป็นเมืองป้องกันตนเองได้ ให้ดำรงต่อไปจึงจะได้ประโยชน์พวกนี้ นี่นับว่าเป็นภาษีที่ต้องจ่ายอย่างหนึ่ง
กล่าวถึงตรงนี้ก็เรียกได้ว่าพอได้เรื่องระดับหนึ่ง หม่าหย่งถามจบ หยางจิ้นก็ถามขึ้น
“แม่ทัพใหญ่ วันหน้าเกรงว่าหากส่งขุนนางบุ๋นมาดูแล เรื่องนี้…….แผ่นดินหมิงเรา บุ๋นบู๊มีระดับต่าง แม่ทัพใหญ่ตั้งกฎไว้ วันหน้า….”
ในสถานการณ์นี้ คุยกันถึงขั้นนี้ ทุกคนก็ต่างพากันคิดถึงทหารของตนเอง มีบางวาจาจึงสามารถกล่าวกันเปิดเผยได้ หยางจิ้นถามในสิ่งที่ทุกคนสนใจ หวังทงยิ้มอย่างมั่นใจกล่าวว่า
“พื้นที่กันดารเช่นนี้ ย่อมไม่มีขุนนางบุ๋นใดอยากมา แม้ว่าอยากมา ฝ่าบาทก็ย่อมต้องห่วงใยความปลอดภัยพวกเขา ไม่ให้พวกเขามา”
ได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็วางใจได้แล้ว
****************
“ที่นาในเมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นของฝ่าบาท ทุกท่านอย่าได้คิดครอบครอง วันหน้าผลิตผลที่ได้ ทุกท่านก็ได้ลดพิเศษด้วย”
อาหารค่ำวันนี้ร่วมรับประทานกับบรรดาพ่อค้าที่คิดซื้อที่นา หวังทงกล่าวจบ บรรดาพ่อค้าที่ร่วมวงอาหารก็เผยสีหน้าผิดหวัง หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ทุกท่าน พื้นที่ในเมืองกุยฮว่าเฉิงทุกตารางต้องใช้เงินซื้อมา แต่มีอีกก้อนโตไม่น้อยที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อ!”
782 ผลประโยชน์ตรงหน้า ล่อใจผู้คน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ก่อนฟ้ามืดตอนทหารหารือกัน หยางจิ้น หม่าหย่งและบรรดานายทหารต่างก็ระวังท่าที ตอนอาหารค่ำ บรรดาพ่อค้าก็นอบน้อมอย่างที่สุด
หากหวังทงไม่เอ่ยถึงที่นา พวกเขาย่อมไม่กล้าเอ่ย ตอนบ่ายกู่จื้อปินได้นำข่าวมาบอกพวกเขาแล้ว ทำเอาคนพวกนี้ตกใจแทบตาย เดิมคิดว่าที่นามากมายได้มาจากสงครามครั้งนี้ หวังทงในฐานะแม่ทัพใหญ่ย่อมยิ่งใหญ่ที่สุดในที่นี่ ทุกคนให้ผลประโยชน์เพียงพอ ไม่แน่ก็อาจได้ที่นามาครอบครองก็เป็นได้
คิดไม่ถึงว่าหวังทงกลับทูลเกล้าถวายที่นาแด่ฮ่องเต้ ทุกคนเข้าครอบครองได้ประโยชน์ใช่ว่ากลายเป็นแย่งที่ดินกับฮ่องเต้หรอกหรือ นั่นเรียกได้ว่ารังเกียจอายุยืนยาวของตนเองเสียแล้วหรือไร
บรรดาพ่อค้าที่มีสถานะพอจะมายังเมืองกุยฮว่าเฉิงได้ย่อมมีฐานะพอควร สามารถร่วมงานเลี้ยงกับหวังทงได้ ย่อมเป็นพ่อค้าใหญ่ คนระดับนี้ย่อมรู้การควรไม่ควรดี ไม่กล้าวางท่าอวดเบ่งใส่หวังทงผู้ซึ่งเป็นผู้แทนพระองค์อายุน้อยผู้นี้ เพราะว่าตำแหน่งหรือความดีความชอบ หรือแม้แต่กิจการการค้า ร้านสามธาราก็ยิ่งใหญ่กว่ามาก
ไม่ว่าหวังทงจะดำเนินกิจการเองหรือไม่ การมีอยู่ของร้านค้าใหญ่เช่นนี้ ก็พอให้ทุกคนไม่อาจล่วงเกิน
มาถึงกระโจมนี้ สุราเป็นสุราเกาเหลียงร้อนจากร้านตระกูลหลิวแห่งเมืองเซวียนฝู่ อาหารเป็นแพะย่าง หวังทงสีหน้ายิ้มแย้ม ทุกคนจึงรู้สึกผ่อนคลายลงมาก
ทุกคนผ่อนคลายลงแล้ว วาจาก็เริ่มมาก เดิมเพราะเรื่องซื้อที่นาจึงถูกเชิญมาร่วมงานเลี้ยง วาจาจึงวนเวียนแต่เรื่องนี้ พูดไปพูดมา ก็ยังคงเป็นเรื่องนี้
บรรดาพ่อค้าพูดจากันอย่างระมัดระวัง ไม่น้อยสอบถามถึงผลผลิตที่นาว่าจะจัดการอย่างไร ฟังความจากหวังทง ที่นาเมืองกุยฮว่าเฉิงจะเปลี่ยนเป็นที่ทางการ ก็หมายความว่า ผลผลิตที่ได้นอกจากเหลือให้ชาวนาส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็เป็นของราชสำนัก ในนี้จะมีอันใดให้เก็บเกี่ยวอีกหรือไม่ ระยะทางห่างจากเมืองหลวงไกลเพียงนี้ เสบียงขนไปใช่ว่าไม่สมเหตุสมผลหรือ เดาว่าน่าจะขายที่นี่ แลกเป็นเงิน
คิดถึงที่นามากมาย ผลผลิตและการรับซื้อก็ย่อมเป็นตัวเลขมหาศาล สามารถทำการค้านี้ได้ ก็ย่อมทำกำไรก้อนโตมหาศาล ทุกคนย่อมสนใจ
แต่พ่อค้าที่มาที่นี่ทุกคนล้วนคิดไม่ถึงว่า หวัง่ทงกลับรับปากว่าผลผลิตที่ได้จะให้พิเศษแก่ทุกคน และยังเอ่ยเรื่องที่นาขึ้นด้วยตนเองเช่นนี้
‘ยังมีที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อ แต่ได้ที่ก้อนโตได้’ วาจานี้ทำเอาพวกพ่อค้าหยุดหายใจไปชั่วขณะ ‘ไม่ใช้เงินซื้อ’ ‘ที่ก้อนโต’ ใช่ว่าภูเขาทองทะเลเงินหล่นใส่มือได้ง่ายๆ หรือนี่ ได้ยินใต้เท้าหวังว่ามา ที่นาเกรงว่าไม่เป็นรองเมืองกุยฮว่าเฉิง
หวังทงกล่าวชี้นำให้ทุกคนสนใจแล้ว ก็จิบเหล้าองุ่น วังข่านเมืองกุยฮว่าเฉิงมีสะสมไว้ไม่น้อย เหล้าองุ่นจากซีอวี้ถูกปากหวังทงมาก แต่ไม่ใช่เพราะหวังทงรู้จักดื่มสุราอันใด เพียงแต่ค่อนข้างหวานก็เท่านั้น
บรรดาพ่อค้าต่างตื่นตระหนกเริ่มนั่งไม่ติด พ่อค้าคนหนึ่งมองซ้ายมองขวา กลืนน้ำลายลุกขึ้นยืนประสานมือกล่าวว่า
“ข้าน้อยขอล่วงเกิน ขอถามแม่ทัพใหญ่ ที่ก้อนโตที่ว่านี่คืออันใดกัน พวกนอกด่านบุกเบิกพื้นที่ทำนาหมื่นฉิ่งในและนอกเมืองกุยฮว่าเฉิง แต่ที่อื่นล้วนเป็นทุ่งหญ้า มีสถานที่เช่นนี้ที่ไหนกัน …….”
หวังทงนั่งเป็นประธาน หันหน้าไปทางทิศใต้ เขามองไปทางตะวันตกวาดมือขึ้น ยิ้มกล่าวว่า
“ที่ดินเช่นนี้มีอีกมากมาย พื้นที่ลุ่มแม่น้ำ ไม่ใช่ว่าที่นาดีหรอกหรือ?”
แม่น้ำฮวงโหไหลผ่านส่านซีกับทุ่งหญ้าคดเคี้ยวอ้อมเป็นรูปตัวยูคว่ำ พื้นที่แม่น้ำคดเคี้ยวโอบล้อม พื้นที่นี้เรียกว่าพื้นที่ลุ่มน้ำ ที่นี่ย่อมเป็นทุ่งหญ้าที่สมบูรณ์ของพวกทุ่งหญ้านอกด่าน เป็นพื้นที่ผืนใหญ่มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฉินมาจนต้นราชวงศ์หมิง ก็เป็นพื้นที่ผลัดกันครอบครองของชาวฮั่นกับชาวเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน
ต้นราชวงศ์หมิงนั้น เจ้ากรมปกครองมณฑลส่านซีก็ปกครองมาถึงพื้นที่นี้ด้วย แต่ต่อมากลับถูกพวกนอกด่านยึดครองไป ตอนนี้อยู่ใต้การครอบครองของเผ่าอันต๋า
ที่ราบลุ่มแม่น้ำที่หวังทงว่ามาก็คือพื้นที่นี้ ในยุคสมัยที่ไม่มีปุ๋ยหรือเครื่องจักรใดนั้น แหล่งน้ำเป็นมาตรฐานสำคัญของการดูว่าที่นาดีหรือไม่ ที่ราบลุ่มแม่น้ำ เพราะว่าเป็นพื้นที่ที่ราบสูงและภูเขาสัมพันธ์กัน สายน้ำไหลผ่าน เป็นประโยชน์ต่อการทดน้ำและการใช้ชีวิตของชาวบ้านรอบๆ มีประโยคหนึ่งกล่าวว่า ‘แม่น้ำฮวงโหภัยหลากหลาย มีเพียงพื้นที่ลุ่มน้ำที่ได้ประโยชน์’กล่าวก็คือแม่น้ำฮวงโหมีประโยชน์ที่สุดก็ตรงพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำนี่เอง
ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นมา ที่ราบลุ่มแม่น้ำก็ได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์ของพวกนอกด่าน การเกษตรรุ่งเรือง แต่อยู่ในครอบครองชาวฮั่น หากถูกพวกเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนยึดครองไป ก็ย่อมกลายเป็นทุ่งหญ้าและทุ่งเลี้ยงสัตว์แทน
บรรดาพ่อค้ามณฑลซานซีขึ้นเหนือล่องใต้ ย่อมเข้าใจในสภาพภูมิประเทศเช่นนี้ดีอย่างมาก หวังทงกล่าวถึงตรงนี้บรรดาพ่อค้าก็เข้าใจทันที ที่หวังทงว่ามาก็คือที่ราบลุ่มแม่น้ำแห่งนี้ พอพูดถึงที่ราบลุ่มแม่น้ำ บรรดาพ่อค้าก็ระบายอารมณ์ออกมาทันที มีคนกล่าวงึมงำว่า
“พื้นที่ลุ่มน้ำเป็นพื้นที่ครอบครองของพวกนอกด่าน จะยอมให้พวกเขาไป……”
“ทัพอันต๋าเมืองกุยฮว่าเฉิงถูกทำลายไปมากเพียงนี้ ที่ราบลุ่มน้ำนั่นยังจะมีกำลังอันใดอีก?”
หวังทงยิ้มถามกลับ ทุกคนอึ้งไป เข้าใจได้ในทันที ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เผ่าอันต๋าเป็นใหญ่บนทุ่งหญ้ามาก็ไม่เคยทุ่มกำลังไปที่ที่ราบลุ่มน้ำนั่นสักเท่าไร เพียงแค่ให้ชาวเผ่าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนไปใช้ประโยชน์ เป็นประโยชน์แก่กองทัพ หลังสงครามเมืองกุยฮว่าเฉิง พวกทหารหลงเหลือของเผ่าอันต๋าย่อมไม่อาจรวมกำลังกันได้อีก ก็คงเป็นเพียงกองโจรม้าเล็กๆ มีรถใหญ่ ปืนไฟกับผู้คุ้มกันที่เพียงพอแล้ว ก็น่าจะไม่ใช่ปัญหาอันใด
ได้ยินหวังทงตอบ บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงอีก มีคนกลัดกลุ้มอีกว่า
“ที่ราบลุ่มแม่น้ำไม่มีระบบขนส่งน้ำอันใด ทำนากันได้อย่างไรเล่า?”
วาจานี้ไม่ต้องให้หวังทงตอบก็มีคนตอบเขาว่า
“ไม่มีระบบขนส่งน้ำ เจ้าก็ทำเองสิ ใต้หล้ามีเรื่องได้มาง่ายๆ ที่ไหนกัน ระบบขนส่งน้ำเรียบร้อยก็มีอยู่ที่เมืองกุยฮว่าเฉิงนี่เท่านั้น ที่นาพวกนั้นก็ย่อมต้องให้พวกเราไปจัดการกันเอง”
วาจาเหมือนไม่พอใจอยู่สักหน่อย หวังทงยิ้มตอบว่า
“ระบบท่อขนส่งน้ำ ก็ไม่ได้ยากอย่างที่พวกท่านคิด ฟังจากที่คนเคยไปที่นั่นมาบอกว่า ที่นั่นเหมาะแก่การทำนา ล้วนมีระบบน้ำที่ทำทิ้งไว้มาแต่โบราณ หากไปซ่อมแซมก็ย่อมง่ายมาก”
ที่เรียกว่าระบบท่อขนส่งน้ำนี้ก็คือขุดทางน้ำเท่านั้น การขุดทางนั้นเป็นเรื่องยุ่งยาก เลือกแหล่งก็ยาก แต่หากมีคนทำไว้ก่อนหน้า งานก็ย่อมง่ายขึ้นมาก
ทุกคนล้วนพยักหน้าเล็กน้อย ในใจก็เริ่มคำนวณ ไปที่นั่นเหมาะหรือไม่ มีกำไรให้กำไรหรือไม่ แต่ทุกคนคิดถึงเรื่องต่างๆ รอบด้านแล้ว ก็มีคนลุกขึ้นประสานมือกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ พื้นที่ลุ่มน้ำที่เหมาะแก่การทำนาตอนนี้ล้วนเป็นทุ่งหญ้า ไม่มีกำบัง ทหารม้าพวกนอกด่านหากบุกมา ชาวนาที่ทำนากันที่นั่นย่อมต้องถูกสังหาร ไปกันเช่นนี้ ทำนาไม่ต้องพูดถึง เป็นเรื่องยากอยู่จริงๆ!”
เป็นปัญหาดังที่คาดไว้ คนผู้นี้ไม่ถาม หวังทงก็ต้องหาโอกาสเอ่ยถึงอยู่แล้ว เขายิ้มกล่าวว่า
“ขายรถใหญ่กับปืนไฟให้ทุกท่าน ก็เพื่อให้ทุกท่านได้เดินทางค้าขายไปไกลได้บนทุ่งหญ้านอกด่าน ในเมื่อชี้นำเส้นทางนี้ให้ทุกท่านแล้ว ก็ย่อมให้ทุกท่านมีโอกาสได้อยู่รอด ทุกท่านไม่ต้องคิดมาก ร้านสามธารา ร้านจิ้นเหอ กับร้านทงไห่จะนำร่องในพื้นที่ลุ่มน้ำไปก่อน ถึงตอนนั้นก็ค่อยดูว่าทำได้ดังที่ว่าไหมก็แล้วกัน”
ในเมื่อหวังทงคิดการเรื่องพวกนี้เสร็จสรรพแล้ว บรรดาพ่อค้าย่อมวางใจ ประเด็นก็คือ ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ให้ร้านค้าที่สายสัมพันธ์สนิทไปดำเนินการก่อน นี่แท้จริงเป็นการแสดงให้ทุกคนได้เห็นก่อน หรือว่าทางนั้นมีผลประโยชน์ที่ไร้ขีดจำกัดกันจริงๆ ร้านค้าเหล่านี้จึงได้ลงมือก่อน
หากเป็นก่อนตีเมืองกุยฮว่าเฉิงแตก ที่ร้านสามธาราและร้านค้าต่างๆ ดำเนินการในมณฑลซานซีในสายตาพ่อค้าทุกคนแล้ว ก็แค่ร้านค้าทางการจำเป็นต้องเป็นแบบอย่าง กำไรหรือขาดทุนไม่เป็นไร เพื่องานราชสำนักเท่านั้น แต่พอเมืองกุยฮว่าเฉิงแตก ทุกคนก็เข้าใจทันที คิดถึงผลประโยชน์ที่ได้จากการตีเมืองได้นี้ไม่น้อย บรรดาร้านสามธาราได้ไปเท่าไร กำไรคงมากมายมหาศาลเทียมฟ้า
คิดไปถึงร้านสามธาราที่เทียนจิน ที่เขตปกครองเหนือ ที่เมืองเซวียนฝู่กับเมืองจี้โจวอีก ทุกแห่งล้วนทำกำไรดังภูเขาทองทะเลเงิน เคยขาดทุนเสียที่ไหนกัน
เรื่องเช่นนี้หากคิดทั้งหมดแล้ว ทุกคนก็รู้คำตอบในใจแล้ว ร้านสามธาราย่อมไม่ทำการค้าขาดทุน ในเมื่อพวกเขาคิดไปบุกเบิกที่ราบลุ่มแม่น้ำ ทางนั้นย่อมมีกำไรให้กอบโกย
อาหารมื้อนี้กินกันอย่างสุขีถ้วนหน้า แม้สุราเกาเหลียงตระกูลหลิวเป็นสุรามีชื่อ แต่บรรดาพ่อค้าก็ต้องบังคับตนเองให้ดื่มน้อยหน่อย เพราะคืนนี้เรื่องที่คุยกัน มีหลายเรื่องต้องกลับไปคิดให้ละเอียด ยังต้องตามคนมาหารืออีก
***************
วันที่ 12 เดือนสอง เมืองกุยฮว่าเฉิงมีหิมะตกหนัก แต่ผู้แทนพระองค์ถ่ายทอดราชโองการก็ยังคงมาถึงเมืองกุยฮว่าเฉิง
แม้พวกหวังทงไม่รู้ท่าทีราชสำนัก แต่ดูจากผู้แทนพระองค์ถ่ายทอดราชโองการคือโจวอี้แล้ว ทุกคนก็วางใจ ส่งคนคุ้นเคยกันมาถ่ายทอดราชโองการ ก็แสดงให้เห็นถึงท่าทีของฮ่องเต้แล้ว
ชัยชนะใหญ่ในการปราบโจรของหวังทงนี้ ในราชโองการล้วนชมเชยและมีรางวัล ความว่า ‘อำนาจสั่งการทุกเรื่อง ยังคงให้หวังทงผู้บัญชาการมณฑลทหารดูแลเมืองกุยฮว่าเฉิงและเมืองต้าถง ยังคงให้นำกำลังทหารเมืองต้าถงและจี้โจวปราบปรามกองโจรม้า ปฏิบัติการเสร็จ จัดการสถานการณ์ให้เรียบร้อยแล้ว จักมีบำเหน็จรางวัลพระราชทาน…’
แม้ใช้คำว่า ‘ยังคง’ แต่เนื้อหาในราชโองการกลับน่าสนใจยิ่ง เมืองกุยฮว่าเฉิงเดิมไม่ใช่พื้นที่ชายแดนแผ่นดินหมิง ยามนี้กลับกลายเป็นเขตในการควบคุมของหวังทงไปโดยปริยาย เมื่อก่อนก็แค่กองกำลังปราบกองโจรม้าจากเมืองต้าถง แต่ตอนนี้ทหารเมืองต้าถงล้วนให้ขึ้นกับหวังทง
ในความหมายนี้ ตอนนี้ตั้งแต่พื้นที่เมืองกุยฮว่าเฉิงไปถึงเมืองต้าถง ก็เหมือนว่าเป็นชายแดนไปโดยปริยาย เรื่องต่างๆ ล้วนให้หวังทงสั่งการดูแล ราชโองการกล่าวไว้อย่างชัดเจน หวังทงต้องจัดการทุกอย่างที่นี่ให้เรียบร้อย ท่าทีราชสำนักไม่ได้เอ่ยถึงระบบกองทัพของหวังทงว่ามีปัญหาอันใด มีแต่ความนัยให้ยึดครองที่นี่ไว้
แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดา ตอนนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงก็เป็นดังอาหารเลิศรสที่คาบไว้ในปากแล้ว ผู้ใดจะยอมคายออกมาอีกเล่า
“บรรดาขุนนางในราชสำนักถึงกับไม่ได้โจมตีว่าข้าวางอำนาจบาตรใหญ่ ทำลายธรรมเนียมแผ่นดิน ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ!”
วาจานี้หวังทงกล้าพูด เมิ่งตั๋วกลับไม่กล้าตอบรับคำ เพียงยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังล้อเล่นแล้ว แต่ราชโองการมีลงมาได้ก็ผ่านการขัดแย้งไม่น้อย ใต้เท้าตีเมืองกุยฮว่าเฉิงนี้ เป็นเรื่องสร้างแรงกระเพื่อมใหญ่ในเมืองหลวงจริงๆ !”
783 ขจัดเสียงนกกา ไม่มีประโยชน์อื่น
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังทงไปมณฑลซานซีตรวจสอบเบี้ยพระราชทานเชื้อพระวงศ์ ขุนนางใหญ่ในราชสำนักไม่พอใจ ขุนนางบัณฑิตเองไม่ต้องพูดถึง เรื่องเช่นนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของขุนนางบุ๋น รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรยื่นมือมาข้องเกี่ยวทำไมกัน
แต่เบี้ยพระราชทานเชื้อพระวงศ์เรื่องนี้ก็เกี่ยวพันกับเรื่องราวไม่มาก ทุกคนไม่อยากยื่นมือไปยุ่งก็เป็นเรื่องที่รู้กัน หวังทงอยู่เมืองหลวง คนโปรดฮ่องเต้ว่านลี่ก็ย่อมเป็นเขา เขาจากเมืองหลวงไป ทุกคนอาจจะมีช่องทางวางแผนอันใดได้บ้าง
เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนหวังทงอยู่เมืองหลวง ที่หวังทงทำนั้นมีหลายคนขัดหูขัดตา แต่ทุกเรื่องก็ไม่ได้ทำผิดอันใด เป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินทั้งสิ้น จึงทำให้ทุกคนทำอันใดไม่ได้
ให้หวังทงไปตรวจสอบเรื่องเบี้ยพระราชทานเชื้อพระวงศ์ หนึ่งให้คนขัดหูขัดตาออกไปไกลๆ สองให้เขาไปโดนเรื่องเบี้ยพระราชทานเชื้อพระวงศ์ทำให้เสียท่าเสียบ้าง เรื่องเช่นนี้กระทบต่อสถานะของเขาต่อราชสำนักและฮ่องเต้
แต่เรื่องนี้ดำเนินไปเหนือความคาดหมายของทุกคน หวังทงไปมณฑลซานซีไม่กี่วัน มณฑลซานซีก็มีข่าวมาว่า หวังทงไม่รู้ตรวจสอบอย่างไร ถึงกับไปสอบถามเอากับลูกหลานเชื้อพระวงศ์แต่ละคน จนเป็นเรื่องเล่าขำขันกันไปหมด
ลูกหลานฮ่องเต้หนาวตายอดตาย ไม่เคยพบไม่เคยเห็น เรื่องนี้ใช่ว่าเป็นการทำให้พระองค์เสียหน้าหรอกหรือ ฮ่องเต้ขายหน้าหมดสิ้น หวังทงกล้าทำเช่นนี้ ใช่ว่าเจตนาไม่ดีต่อฝ่าบาทหรือ
ส่วนเรื่องเหตุใดขุนนางบุ๋นไม่แจกเบี้ยพระราชทานเชื้อพระวงศ์ เหตุใดขุนนางทั้งหลายไม่แก้ไขนโยบายเหลวไหลเช่นนั้น ในท้องที่ไม่มีเบี้ยแจก ลูกหลานเชื้อพระวงศ์อดอยากลำบาก ได้แต่ลักขโมยปล้นชิง ล้อมที่ทำการต่างๆ ไม่มีคนเคยกล่าวถึง
แต่เมื่อมีขุนนางอยากกล่าวถึงเรื่องนี้ ก็ถูกขุนนางใหญ่หรือผู้ใหญ่ด่ายกใหญ่ ฎีกาเช่นนี้ถวายขึ้นไป เกรงว่าหวังทงคงไม่เป็นไร แต่ขุนนางในมณฑลซานซีคงได้พังไปทั้งแถบ ถึงตอนนั้นพวกชาวมณฑลซานซีที่เป็นขุนนางปฏิบัติงานในเมืองหลวงก็ย่อมต้องมีปฏิกิริยาไม่พอใจต่อฎีกานี้ สร้างความแค้นให้เกิดขึ้นเสียเปล่า ๆ
เรื่องนี้ดำเนินมาระยะหนึ่ง อยู่ๆ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป อยู่ ๆ กำแพงเมืองต้าถงก็มีกองโจรม้าออกปฏิบัติการเหิมเกริม พ่อค้าไปมาต่างถูกปล้นสังหาร
บรรดาขุนนางบุ๋นที่เดิมคิดจะหาเรื่องหวังทงในเรื่องเบี้ยพระราชทานเชื้อพระวงศ์นี้ ยามนี้มองออกแล้วว่าโชคดีที่ตอนแรกไม่ได้ออกตัว ขุนนางชาวมณฑลซานซีในเมืองหลวงกับขุนนางที่สนิทกันพากันยื่นฎีกาขอให้นำกำลังออกปราบกองโจร เสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียนเองก็ถูกบีบจนร้อนใจ
ปกติมณฑลซานซีและส่านซีจะถูกทหารม้าพวกนอกด่านรุกราน สังหารชาวบ้าน กองกำลังถูกโจมตีพ่าย แต่ไรมาไม่เคยเห็นคนพวกนี้กล่าวอันใดหรือทำอันใด ถึงกระทั่งมีคนยื่นฎีกาว่าฝึกกำลังไม่ดี ทหารอ่อนแอ และยังบอกว่าอย่าได้ลงมือพลการ ให้ยึดความสงบสุขเป็นสำคัญ เมื่อมีสนธิสัญญากับเผ่าอันต๋า ก็ต้องรักษาพันธะนั้นพันปีหมื่นปี รักษาชีวิตความเป็นอยู่อันสงบสุขของราษฎรให้คงอยู่ต่อไป นี่คือการกระทำของคนพวกนี้
ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ทุกคนพากันออกโรง กล่าวว่าอาณาเขตสามร้อยลี้แผ่นดินหมิงถึงกับมีกองโจรม้าออกก่อการเหิมเกริมได้ ศักดิ์ศรีแผ่นดินหมิงอยู่ที่ใดกัน หากไม่นำกำลังออกปราบ ย่อมไม่อาจปกครองทั่วหล้าได้
มีคนคิดว่า หรือว่าเรื่องกองโจรม้านี้เกี่ยวพันกับหวังทง ทว่าก็ช่างเหลวไหลยิ่งนัก หวังทงไปตรวจเรื่องเบี้ยพระราชทานเชื้อพระวงศ์ ไม่ได้เกี่ยวอันใดกับกองโจรม้าแม้แต่น้อย กล่าวเช่นนี้ ใช่ว่าหาเรื่องให้ตนเองถูกหัวเราะเยาะหรือ
แต่ก็ไม่อาจกล่าวเช่นนี้ การสร้างความยุ่งยากให้หวังทง ให้เขารับผิดชอบมากขึ้นอีกหน่อย ถึงตอนนั้นเกิดข้อผิดพลาด ยื่นฎีกาโจมตีง่ายหน่อย มีคนคิดเช่นนี้
แต่หวังทงนำกำลังออกนอกด่านได้ชัยยิ่งใหญ่มากหลายครา หากหวังทงสร้างความชอบอีก ใช่ว่าเปรียบดังช่วยเขาตัดชุดแต่งงานหรอกหรือ ตนเองไม่ได้อันใดด้วย มีคนลังเลไม่ลงมือ ทว่าการลังเลไม่อาจทำให้การสำเร็จ มีคนตัดสินใจยื่นฎีกาทันที ว่าหวังทงกำลังอยู่ในมณฑลซานซี พอดีให้นำกำลังออกปราบกองโจรม้าได้
ในวังครั้งนี้ก็ช่าง ‘ตามน้ำ’ พอยื่นฎีกาไป ก็มีราชโองการไปยังมณฑลซานซีทันที ให้หวังทงรับหน้าที่นำกำลังออกปราบกองโจรม้า
ใต้หล้ามีเรื่องมากมาย ทว่ายามนี้มณฑลซานซีกับเมืองหลวงกลับกำลังร้อนใจยิ่ง ทุกวันมีม้าเร็วไปมา ทุกวันมีสารส่งไป ขุนนางบัณฑิตในเมืองหลวงล้วนมีขุนนางใหญ่อยู่เบื้องหลัง ต่างติดต่อไปกันและรวมตัวกัน
ข่าวแพร่ไปอย่างรวดเร็ว สถานการณ์ทางมณฑลซานซีนี้ทางเมืองหลวงก็เข้าใจอยู่มาก หวังทงนำกำลังออกปราบกองโจรม้า กองโจรม้ายังคงเคลื่อนไหวถี่ ทหารม้านอกด่านยังออกมาปราบ ชายแดนมีรายงานระวังภัย
หวังทงปราบกองโจรม้าไร้ความชอบ หากไปหาเรื่องพวกนอกด่าน ใช่ว่าเป็นความผิดหรือ ไม่รู้ว่าเขาคิดทำเรื่องเหลวไหลอันใด จึงได้ไปก่อเรื่องเช่นนี้ได้ นี่เป็นสิ่งที่บรรดาขุนนางบัณฑิตอยากจะให้เกิด ฎีกากรูกันขึ้นทูลเกล้า
ยามนี้ยื่นฎีกาก็มักจะทำเพื่อชื่อเสียง บ้างก็อ้างว่าบุ๋นบู๊มีระดับต่างกัน บ้างอ้างคุณธรรมใหญ่ หรือไม่ก็พวกเคยถูกหวังทงจัดการมากันพวกนั้น หากเป็นพวกขุนนางใหญ่ในราชสำนักกลับไม่มากนัก
บางเรื่องขุนนางระดับล่างอาจไม่รู้ แต่พอถึงสถานะหนึ่ง หลายเรื่องก็ย่อมกระจ่าง หวังทงอยู่นอกเมืองเซวียนฝู่ได้รับ ชัยชนะใหญ่สองครั้งนอกด่านกู่เป่ยโข่วเป็นเรื่องจริง มีความสามารถในการนำทัพอย่างยิ่ง กองโจรม้านอกด่านจะต้องนำกำลังไปมากมายเช่นนั้นทำไมกัน เบื้องหลังไม่รู้ว่าเหตุใดกันแน่
ยามอยู่ตำแหน่งสูง พูดจาหรือทำการใดก็ต้องรอบคอบให้มาก ไม่รู้ความจริง ผู้ใดก็ไม่กล้าลงมือพลการ นี่จึงทำให้กระแสเมืองหลวงในตอนนี้แปลกประหลาดยิ่ง
ปราบกองโจรม้าไม่สำเร็จก็ย่อมส่งผลเสียต่อการค้ามณฑลซานซี ขุนนางที่มาจากมณฑลซานซีกับพรรคพวกย่อมไม่ยอมง่ายๆ เสียงนกกาที่รุนแรงที่สุดก็คือพวกเขา แต่หลังจากนั้นสองสามวัน ก็เงียบกริบทันที คึกคักมีเรื่องอยู่หลายวัน อยู่ๆ ก็เงียบกริบลง ทำให้ผู้คนต่างประหลาดใจ
เดิมหลี่ซานไฉกับกู้เซี่ยนเฉิงคิดว่าวิเคราะห์ได้แม่นยำแล้ว หวังทงไม่อยู่เมืองหลวง เมืองหลวงวิพากษ์วิจารณ์รุนแรง หากสามารถกระพือโหมไฟได้ ก็สามารถล้มหวังทงได้เด็ดขาด
พวกเขารอดูอยู่สองสามวัน กำลังจะลงมือ เสียงวิพากษ์วิจารณ์เมืองหลวงอยู่ ๆ ก็เงียบลง มีขุนนางสายมณฑลซานซีทูลในราชสำนักว่า
“ใต้เท้าหวังครั้งนี้ไปไม่ชำนาญเส้นทาง คิดจะจัดทัพออกปราบกองโจรม้าก็คงต้องใช้เวลาหลายวันสักหน่อย ทุกท่านเร่งรัดเช่นนี้ จะเป็นการทำให้เสียการแทน รอสักหน่อยละกัน”
วาจานี้มาจากผู้ที่ปกติไม่ได้พูดจาเป็นประโยชน์กับหวังทงเท่าไร มักคิดว่าหวังทงเป็นขุนนางชั่วทำลายชาติ วันนี้กลับกล่าวเช่นนี้ ข่างทำให้รู้สึกน่าแปลกยิ่ง ยิ่งทำให้รู้สึกแปลกใจมากก็คือ มีคนเห็นด้วยมาก
หลังจากหาคนมาสอบถามจึงได้รู้ความจริงไม่ยุ่งยากซับซ้อนอันใด มีพ่อค้าชายแดนเสียหายหนัก พ่อค้าสนิทกับหวังทงกำลังรับซื้อสินค้าในมณฑลซานซี แต่ละร้านตุนของไว้ขายได้ราคาไม่เลว หวังทงเริ่มแรกเป็นขุนนางชั่ว หากตอนนี้กลับเป็นดังเทพแห่งเงินทอง หากล่วงเกินมากไป ใต้เท้าหวังไม่ซื้อ จะไปหาผู้ใดมาซื้อ
คิดหาเรื่องก็ต้องเงียบไว้ก่อน ตอนนี้คิดจะโจมตีหวังทง อย่างไรก็คงต้องมีเรื่องกับขุนนางทั้งมณฑลซานซี จะมาหาเรื่องใส่ตัวกันทำไม ไม่ได้ประโยชน์อันใด ยังหาเรื่องมาให้ตนเดือดร้อนอีก
แต่ตั้งแต่เดือนสิบปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 หวังทงรับราชโองการไปมณฑลซานซีตรวจสอบเบี้ยพระราชทานเชื้อพระวงศ์สถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็วมาก เรื่องกองโจรม้ายังไม่ทันจบดี อยู่ๆ ก็มีเรื่องด่วนรายงานมายังเมืองหลวงว่าทหารม้านอกด่านเคลื่อนไหวเข้าใกล้กำแพงเมือง เมืองต้าถงวิกฤต!!
สถานการณ์อยู่ ๆ เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ในเมืองหลวงพวกที่รู้การทหารนิดหน่อยกับพวกไม่รู้ก็ล้วนรู้ว่าเมืองต้าถงมีรายงานสถานการณ์เร่งด่วนมา ก็พากันร้อนใจทันที
ตั้งแต่ตั้งแผ่นดินหมิงมา ปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางและฮ่องเต้หมิงไท่จู่ปราบใต้หล้าราบคาบ ยังมีเรื่องความกล้าหาญจักรพรรดิจูตี้นำกำลังปราบชายแดนตอนเหนือหลายครั้ง นอกนั้นก็เหมือนว่าถูกโจมตีอยู่เรื่อย และพวกนอกด่านยังโจมตีมายังเมืองหลวงไม่เพียงแค่ครั้งเดียว เป็นความอัปยศไม่รู้กี่ครั้ง ก็ล้วนมาจากทางเมืองต้าถงทั้งสิ้น
ตอนนี้เมืองต้าถงมีรายงานด่วนมา ใช่ว่าตอนนี้เมืองหลวงวิกฤตหรือนี่ ชาวเมืองหลวงพากันตื่นตระหนก แต่อย่างไรก็เป็นแค่รายงานด่วน พวกนอกด่านมาเคลื่อนไหวแถวกำแพงเมืองทางนั้น แต่ยังไม่ได้โจมตี
เหตุใดปีหนึ่งมานี่ไร้เรื่องราว แต่พอหวังทงไปปราบกองโจรม้าก็มีเรื่องได้ นี่เป็นความผิดผู้ใดกัน ย่อมกระจ่างแล้ว มีขุนนางถวายฎีกาโจมตีหวังทงทันที หวังทงปฏิบัติงานไม่ดี ก่อให้เกิดปัญหาชายแดน นี่ไม่เท่าไร ยังมีคนวางแผนลึกกว่านั้นว่า ให้หวังทงรับหน้าที่ป้องกันต่อสู้กับพวกนอกด่าน ให้มีความรับผิดชอบยิ่งมาก
แม้ว่าหวังทงมีชัยชนะใหญ่ที่ด่านกู่เป่ยโข่วมา แต่นั่นเป็นผลงานแม่ทัพใหญ่ชีจี้กวงมากกว่า เมืองต้าถงไม่มีแม่ทัพเก่งกล้า ทหารชายแดนเมืองต้าถงแต่ไรมาก็อ่อนแอ พวกเขาเผชิญกับทหารเผ่าอันต๋า เผ่าอันต๋าเป็นใหญ่บนทุ่งหญ้านอกด่าน รบกับแผ่นดินหมิงมานานหลายปีเช่นนี้ไม่เคยแพ้มาก่อน
ถึงตอนนั้น ขอเพียงหวังทงผิดพลาดเพียงเล็กน้อย หรือมีเรื่องผิดพลาดอันใด ก็ย่อมต้องเกี่ยวพันกับชายแดน สร้างภัยให้แก่ชาติบ้านเมือง ความผิดเช่นนี้ย่อมต้องตัดหัวประหารชีวิต
ครั้งนี้ราชสำนักก็ทำตาม ‘ใจประชา’ มีราชโองการอย่างรวดเร็ว ให้หวังทงผู้บัญชาการมณฑลทหารเมืองต้าถงนำกำลังออกป้องกันพวกนอกด่าน ราชโองการเช่นนี้หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะเสนาบดีใหญ่ย่อมยากจะออกไปได้ แต่ชายแดนมีภัย เกี่ยวพันใต้หล้า สอบถามหาความรับผิดชอบ คณะเสนาบดีใหญ่ก็ย่อมหนีไม่พ้น
หากทางเมืองต้าถงมีคนสถานะสูงส่งเป็นผู้บัญชาการมณฑลทหาร ให้อำนาจเขาตัดสินใจ เช่นนี้ สุดท้ายไม่ว่าเป็นเช่นไร ก็สามารถผลักความรับผิดชอบไปได้ ฮ่องเต้ว่านลี่ที่ทุกคนรู้สึกว่าเจริญชันษาขึ้นไม่น้อย แต่ครั้งนี้ก็เหมือนกับไร้เดียงสา หากทรงเห็นหวังทงเป็นขุนนางคนสนิทจริง ก็ย่อมไม่ควรให้เขาได้รับผิดขอบตำแหน่งผู้บัญชาการมณฑลทหารนี้ แต่ที่ยิ่งทำให้แปลกใจก็คือ พวกจางเฉิงและจางจิงต่างไม่เตือนพระองค์
คณะเสนาบดีใหญ่ตั้งแต่เซินสือหังลงไปย่อมไม่มีความคิดเห็นต่อสิ่งที่ฮ่องเต้ว่านลี่ตัดสินพระทัยในครั้งนี้ ทว่าในใจก็ได้แต่ทอดถอนใจ แม้ฮ่องเต้คิดส่งเสริมหวังทงก็ไม่น่าใช่โอกาสนี้ ผู้บัญชาการมณฑลทหารเมืองต้าถง ตำแหน่งนี้ไม่เลวก็จริง หวังทงรับหน้าที่นี้ไป วันหน้าแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งก็ง่ายมาก แต่ในยามนี้มารับหน้าที่นี้ ไม่ใช่เป็นการช่วยหวังทง หากเป็นการทำร้ายหวังทงต่างหากเล่า
ในเมื่อเป็นราชโองการฮ่องเต้ ทุกคนก็ย่อมหาคนมารับหน้าไป ขันทีในวังเงียบไปหมด ทุกคนจะไปเตือนทำไมกัน
ลำดับต่อมาก็ต้องให้เทียนจินส่งกองกำลังสังกัดวังหลวง เมืองจี้โจวส่งกองกำลังไปช่วยเสริม กรมอากรส่งเงินไป กรมทหารมีเอกสารสั่งการไป เมืองหลวงเริ่มมีคนว่าเปลืองกำลังเปลืองเงินทอง
จากนั้นหวังทงนำกองกำลังออกปราบกองโจรม้า มีคนกล่าวว่าการนี้เหมือนความรู้สึกไวกันเกินไป ทัพใหญ่เคลื่อนง่ายไป หากไปกระทบกระเทือนชายแดน ก่อเกิดภัยใหญ่ ใช่ว่าจะทำให้เกิดการสูญเสียล้มตายมากมายหรอกหรือ
จากนั้น เมืองหลวงก็ได้รับข่าวการนำทัพรุกล้ำเข้าไปของหวังทง ก่อเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ยกใหญ่…….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น