ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 774-782
ตอนที่ 774 ประมุขหอเป๋ยโต่วกับผู้เฒ่าเทียนเหอ
โดย
Ink Stone_Fantasy
คนของนิกายใหญ่แต่ละแห่งย่อมค้นพบเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ทุกคนพากันหันศีรษะไปมอง เหล่าประมุขของนิกายเช่นเทียนเกอเจินเหรินในดวงตาฉับพลันเผยแววตาประหลาดใจจางๆ
อย่างไรเสียนิกายและสำนักที่ตอบรับคำเชิญมางานประตูสวรรค์ในครั้งนี้ก็น่าจะมากันหมดแล้ว เวลานี้จะมีใครปรากฏตัวอีก?
ประกายแสงมาอย่างเร็วรี่ ตอนที่ศิษย์ทั้งหลายอย่างหลิ่วหมิงเพิ่งหันศีรษะไป เบื้องหน้าก็มีเงาคนวูบไหว กลางท้องฟ้าปรากฏเงาร่างของคนสามคนเพิ่มขึ้นมา
พร้อมกันนั้นแรงกดดันท่วมฟ้าที่ทำให้คนหายใจไม่ออกสายหนึ่งฉับพลันก็ซัดออกมาจากร่างตรงกลาง เมื่อศิษย์ทั้งหลายที่นั่นสัมผัสถูกก็ทยอยกันหน้าซีด ดวงจิตในสมองสั่นสะท้านไม่หยุด พวกที่พลังค่อนข้างต่ำหลายคนหน้าซีดหมดสติไปทันที
แม้พลังจิตของหลิ่วหมิงจะเหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันอยู่มาก แต่เมื่อเผชิญกับแรงกดดันสายนี้เขาก็ยังรู้สึกมึนงงวูบหนึ่งจึงรีบร้อนกระตุ้นหนอนพลังจิตทันที สภาพถึงได้ไม่อเนจอนาถเหมือกับคนอื่นๆ ด้านข้าง
หลัวเทียนเฉิงซึ่งอยู่ใกล้ๆ สีหน้าก็ซีดไปเล็กน้อยเช่นกัน เขายังยืนตัวตรงอยู่ที่เดิม
คนระดับสูงของนิกายต่างๆ ก็พากันเปลี่ยนสีหน้าไปอย่างมากด้วย ความแข็งแกร่งของแรงกดดันน่าหวาดกลัวสายนี้เหมือนจะเหนือกว่าพวกเขา
ครุ่นคิดครู่หนึ่งเทียนเกอเจินเหรินพลันสะบัดแขนเสื้อ ปรากฏเกราะแสงสีน้ำเงินเรืองรองอันหนึ่งปกป้องศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งหมดไว้ด้านใน ผู้แข็งแกร่งของนิกายและตระกูลที่เหลือก็พากันลงมือเช่นกัน บ้างเรียกอาวุธจิตวิญญาณ บ้างขยี้ยันต์ ใช้ทุกวิธีปกป้องหรือบรรเทาแรงกดดันที่ศิษย์ในนิกายได้รับ
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงรู้สึกสบายศีรษะขึ้น ฟื้นกลับมาเป็นปกติใหม่อีกหน เขาลอบพรูลมหายใจทีหนึ่ง ดวงตาจับจ้องไปยังสามคนที่มา
คนที่อยู่ด้านหน้ารูปร่างกำยำสูงใหญ่ รอบตัวคล้ายมีดวงดาวส่องแสงวิบวับประหนึ่งเจ็ดดาวเหนือเคลื่อนวนไม่หยุด แสงดาวเจิดจ้าแถบแล้วแถบเล่าล้อมคนผู้นี้ไว้ตรงกลางทำให้เห็นใบหน้าไม่ชัด
“ผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์!” ไม่รู้ผู้ใดตกใจสูดลมหายใจเฮือกหลุดปากเอ่ยขึ้นมา
หลิ่วหมิงมองเงาร่างสูงใหญ่ ในใจตะลึงเช่นเดียวกัน หากดูจากเพียงกลิ่นอาย คนผู้นี้คล้ายจะลึกล้ำยากหยั่งถึงมากกว่าขุยตี้แห่งหนานฮวงอยู่หลายส่วน
แต่นี่ก็ไม่แปลก อย่างไรเสียชิงหลิงขุยตี้แห่งหนานฮวงในวันนี้ก็เป็นเพียงเศษวิญญาณเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น พลังสู้เขาในยุครุ่งเรืองไม่ได้อยู่มาก
ด้านข้างของเงาร่างกำยำที่ถูกแสงดาวล้อม มีผู้ฝึกฝนอายุน้อยสองคนหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรียืนอยู่
บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงอย่างที่สุด เส้นผมหยิกสีม่วงทั้งศีรษะปล่อยสยายอยู่ด้านหลัง จมูกราชสีห์ปากกว้าง สองตาเย็นเยียบประหนึ่งหิมะ
ส่วนผู้ฝึกฝนหญิงมีเส้นผมสีเงินยาวสลวย ดวงหน้าอ่อนโยนประหนึ่งหยก ผิวผ่องดั่งหิมะ ดวงตาทั้งคู่สีเขียวดุจหยก แววตาละมุนเสมือนจะดูดวิญญาณผู้คนเข้าไปได้ เกิดมาหน้าตางามล้ำเลิศล่มแคว้น มุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ
สายตาของหลิ่วหมิงที่กวาดมองคนทั้งคู่พลันเปล่งประกายขึ้นมาเล็กน้อย
สองคนนี้ก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกเช่นกัน พลังล้ำลึกอย่างที่สุด แต่สิ่งที่เขาสนใจคือเครื่องแต่งกายบนร่างคนทั้งสอง
ชุดยาวบนร่างทั้งสองคนมีสัญลักษณ์รูปดาวเหนือ ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยมากบางอย่างกับเขา
“หอเป๋ยโต่ว!” หลังหลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่สักพัก ในที่สุดก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ ในใจอึ้งงัน…
“ที่แท้ท่านผู้สูงศักดิ์จากหอเป๋ยโต่วให้เกียรติมาเยือนวังของพวกเราช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก!” ขณะที่ผู้คนในบริเวณนั้นต่างพากันเผยสีหน้าประหลาดใจ เสียงของบุรุษชุดทองที่อยู่ไม่ไกลกลับดังขึ้นอีกครั้ง
“คนของหอเป๋ยโต่วจริงๆ…” สายตาของหลิ่วหมิงขยับทีหนึ่ง อดไม่ได้หันศีรษะมองไปยังเทียนเกอเจินเหริน
กลับเห็นเพียงเทียนเกอเจินเหรินขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายรู้สึกคาดไม่ถึงอย่างยิ่งกับการมาเยือนของผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ผู้นี้ของหอเป๋ยโต่วเช่นกัน
คนอื่นได้ยินดังนั้นต่างก็วุ่นวายขึ้นมาพักหนึ่ง
“เหอะ ผู้คุ้มกันตัวเล็กๆ สองคนของวังสวรรค์ไม่คู่ควรเสวนากับข้า เรียกผู้อาวุโสที่บังคับบัญชาพวกเจ้าออกมาคุย!” ร่างตรงกลางที่แสงดาวล้อมรอยเอ่ยอย่างไม่เกรงใจสักนิด
บุรุษชุดสีทองได้ยินพลันสะอึก ในใจโกรธจัด แต่สตรีชุดสีทองด้านข้างกลับดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ ในทันใด
เวลานี้เองแสงสีขาวแสบตาอย่างที่สุดสายหนึ่งก็ม้วนออกมาจากด้านบนของเกาะยักษ์ กลายเป็นวังวนสีเทามหึมาลูกหนึ่งกลางอากาศ
ครู่ต่อมาผู้เฒ่าชุดขาว ผมขาวทั้งศีรษะ หน้าตาหมองเศร้าผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาจากกลางวังวนอย่างเชื่องช้า
“ผู้เฒ่าเทียนเหอ คิดไม่ถึงว่าผู้ที่ประจำการอยู่ที่แดนลึกลับครั้งนี้จะเป็นท่าน” เมื่อเงาร่างกำยำเห็นใบหน้าของผู้เฒ่าชุดขาวชัดเจน ทันใดนั้นก็อุทานว่า “อ้อ” เบาๆ คำหนึ่งอย่างรวดเร็ว คล้ายกับคิดไม่ถึงอยู่บ้างเช่นกัน
ผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ปรากฏตัวขึ้นอีกคนหนึ่ง ไม่ได้มีเพียงลูกศิษย์อย่างหลิ่วหมิงที่อ้าปากค้าง พวกเทียนเกอเจินเหรินเองก็ตกตะลึงอย่างมากด้วย
“ประมุขหอเป๋ยโต่ว ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?” ผู้เฒ่าชุดขาวเห็นชัดว่ารู้จักผู้มาเยือน คิ้วขาวขมวดแน่นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เงาร่างกำยำนี้ที่แท้ก็คือประมุขหอเป๋ยโต่วผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ หนึ่งในผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ที่ลึกลับที่สุดบนแผ่นดินจงเทียน
คราวนี้ไม่ต้องพูดถึงศิษย์ทั่วไปเช่นหลิ่วหมิงแล้ว กระทั่งพวกคนระดับสูงของแต่ละนิกายที่นำกลุ่มมาอย่างเทียนเกอเจินเหริน แต่ละคนล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงออกมาด้วย
“ทำไม ข้ามาที่นี่ไม่ได้หรือ?” พร้อมกับเสียงของประมุขหอเป๋ยโต่ว แสงดาวบนร่างของประมุขหอเป๋ยโต่วก็ค่อยๆ กระจายออก เผยบุรุษวัยกลางคนหน้าตางามไม่ธรรมดาทว่าบนร่างสวมเสื้อสีเหลืองที่ดูธรรมดาผู้หนึ่งด้านใน
“วันนี้เป็นวันเปิดงานประตูสวรรค์ สหายแต่ละนิกายมารวมพร้อมกันที่นี่ หากประมุขหอไม่มีธุระสำคัญก็ขอให้กลับไป วันหน้าข้าจะเดินทางไปคารวะที่หอเป๋ยโต่ว” ผู้เฒ่าเทียนเหอสีหน้าเคร่งขรึม ประสานมือเอ่ยขึ้น
งานประตูสวรรค์อันลึกลับที่จัดขึ้นทุกแปดร้อยปี งานนี้ของวังสวรรค์ย่อมมีความหมายลึกล้ำซ่อนอยู่ข้างใน แล้วยังเกี่ยวข้องไปถึงความลับใหญ่หลวงอย่างที่สุดเรื่องหนึ่ง ย่อมให้ถูกก่อกวนระหว่างทางไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ส่งผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ผู้หนึ่งมาคุมเช่นนี้
“ข้าก็มาเพื่องานใหญ่ครั้งนี้ ลูกศิษย์สองคนนี้ของข้าพลังล้วนอยู่ในระดับผลึก งานครั้งนี้ให้พวกเขาเข้าร่วมด้วยเถอะ” ประมุขหอเป๋ยโต่วหัวเราะฮ่าฮ่า ทันใดนั้นสองมือก็ผายออก ชี้สองคนที่ยืนอยู่ข้างกายแล้วเอ่ยขึ้น
“อะไรนะ ให้ศิษย์ของท่านเข้าแดนลึกลับประตูสวรรค์หรือ?” รูม่านตาของผู้เฒ่าเทียนเหอหดเล็กลง ราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้จึงย้อนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“หรือว่า…เรื่องนั้นกำลังจะเกิดขึ้นอีกแล้ว?”
ประโยคนี้ถามขึ้นอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ประมุขหอเป๋ยโต่วราวกับเข้าใจความหมายที่ซุกซ่อนอยูภายในนั้น เขาพยักหน้าเอ่ยว่า
“เป็นเช่นนั้น ดังนั้นข้าถึงต้องยืมแรงแดนลึกลับประตูสวรรค์ให้ศิษย์สองคนนี้ฝึกปรือฝีมือสักหน่อย ในเวลาเดียวกันก็เพิ่มพูนโชคชะตาและวาสนานิดหน่อยด้วย”
ผู้เฒ่าเทียนเหอได้ยิน สายตาก็เปล่งประกายวูบหนึ่งแล้วครุ่นคิด แต่ไม่ได้ตอบในทันที
ประมุขหอเป๋ยโต่วมองเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของผู้เฒ่าเทียนเหออยู่ตลอด จึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบอีกว่า
“รอเรื่องนั้นเริ่มต้นขึ้น ข้าจะเป็นเจ้าภาพ ยกรายชื่อผู้เข้าร่วมครึ่งหนึ่งให้วังสวรรค์ของท่าน ถือเสียว่าเป็นค่าตอบแทนที่ให้พวกเขาสองคนเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ครั้งนี้”
“ท่านประมุขคำนี้กล่าวจริงหรือ?” ผู้เฒ่าเทียนเหอได้ยินคำนี้ สีหน้ายิ่งหวั่นไหว
“คำพูดของข้า สหายเทียนเหอไม่เชื่อหรือ?” ประมุขหอเป๋ยโต่วเลิกสองคิ้วขึ้น เอ่ยอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง
“สหายโปรดอย่าเข้าใจผิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งานประตูสวรรค์ครั้งนี้ก็เพิ่มพวกเขาสองคนไปด้วยแล้วกัน” ผู้เฒ่าเทียนเหอครุ่นคิดพักใหญ่ ในที่สุดถึงพยักหน้าอย่างจำยอม
บทสนทนาของผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์สองคนไม่ได้จงใจหลบเลี่ยงผู้คนที่อยู่ตรงนั้น ศิษย์ธรรมดาต่ำกว่าระดับแก่นแท้ที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง พวกเขาจึงพากันเผยสีหน้างุนงง
แต่ผู้นำของสี่ยอดนิกายใหญ่ แปดตระกูลใหญ่และนิกายใหญ่ระดับสุดยอดอย่างหุบเขาปีศาจสวรรค์เช่นพวกเทียนเกอเจินเหรินกลับสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากตั้งนานแล้ว สีหน้ากลายเป็นย่ำแย่อย่างที่สุด
เห็นสถานการณ์นี้ คนสมองช้าอีกเท่าใดก็รู้แล้วว่าคำพูดที่ผู้เฒ่าเทียนเหอกับประมุขหอเป๋ยโต่วคุยกันจะต้องเกี่ยวพันถึงเรื่องสำคัญอย่างที่สุดเรื่องหนึ่งแน่นอน
ชั่วขณะหนึ่งทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ชวนประหลาด
“เสวียนอู่ เสวียนอิง เรื่องต่อจากนี้ยกให้พวกเจ้าทั้งสองคนจัดการ” หลังผู้เฒ่าเทียนเหอหมุนตัวเอ่ยประโยคหนึ่งกับตัวแทนของวังสวรรค์ทั้งสองแล้ว ไม่รอให้ทั้งสองคนตอบกลับ ร่างกายพร่าเลือนดั่งคลื่นน้ำ พริบตาเร้นกายหายไป
หลังประมุขหอเป๋ยโต่วกำชับกับศิษย์สองคนข้างกายประโยคหนึ่งแล้ว แสงดาวเจิดจ้านอกร่างก็พลันส่องสว่าง เขาแปลงกลายเป็นแสงดาวสายหนึ่งอีกหน หมุนกายขยับตัวทีหนึ่งก็หายวับไปทันที
ผู้คนด้านล่างมีสีหน้าต่างๆ กันไป ขณะที่ผู้คนมากมายยังคงย่อยข้อมูลที่ได้รับมาอย่างไม่คาดคิดเมื่อครู่อยู่นั้น บนมือของบุรุษหน้ากากสำริดผู้สวมชุดสีทอง พลันเกิดแสงสว่าง จากนั้นม้วนคัมภัร์สีทองขนาดมหึมาสูงครึ่งตัวคนเล่มหนึ่งปรากฏออกมา เขาเอ่ยเสียงเรียบว่า
“เอาล่ะ ต่อไปก่อนที่ศิษย์นิกายต่างๆ จะเข้าสู่แดนลึกลับต้องลงนามของตนด้วยมือตนเองและหยดเลือดหยดหนึ่งลงบนบันทึกวังสวรรค์เล่มนี้ก่อน หลังจากนั้นจึงจะเข้าประตูสวรรค์ตามลำดับได้ ลำดับที่จะเข้าไปอิงตามคะแนนที่นิกายต่างๆ ได้รับตอนงานประตูสวรรค์ครั้งก่อน”
เสียงยังไม่ทันสิ้น เขาท่องมนตร์แผ่วเบาจนไม่อาจได้ยินหลายประโยคออกมาอย่างรวดเร็ว เสียงฟึบดังขึ้นทีหนึ่ง ม้วนคัมภีร์สีทองก็โต้สายลมกางออกไปทางสตรีชุดทองข้างกาย
ร่างงดงามของสตรีชุดทองขยับไหวทีหนึ่ง ยื่นมือรับอีกด้านหนึ่งของม้วนคัมภีร์ไว้ในทันที ทั้งยังจับไว้แน่น
หลังคัมภีร์สีทองมหึมาม้วนนี้กางออกยาวถึงหลายจั้ง อักขระเล็กจิ๋วมากมายถี่ยิบจำนวนหนึ่งที่สลักอยู่บนขอบสีทองสี่ด้านไหลเคลื่อนไม่หยุดประหนึ่งสิ่งที่มีชีวิต ทว่าตรงกลางกลับเป็นสีขาวว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด มีเพียงด้านขวาสุดที่ใช้สีแดงวาดวงกลมวงหนึ่งไว้ ตรงกลางเขียนคำสามคำว่า “เจ็ดสิบเก้า”
สายตาของหลิ่วหมิงจับจ้องตัวเลขนั้น ความคิดหนึ่งแล่นผ่าน หรือนี่จะหมายความว่าครั้งนี้เป็นงานประตูสวรรค์ครั้งที่เจ็ดสิบเก้า?
ในกลุ่มคนด้านล่างมีศิษย์สองแถวเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเพ่งสายตา จากเครื่องแต่งกายของศิษย์เหล่านี้มองออกว่าพวกเขาน่าจะเป็นศิษย์ของนิกายเทียนกงกับนิกายปีศาจลี้ลับจากสี่ยอดนิกายใหญ่
จะว่าไปแล้วงานประตูสวรรค์ทุกครั้งสี่ลำดับแรกล้วนเป็นสี่ยอดนิกายใหญ่ได้ไปครอง ครั้งก่อนนิกายยอดบริสุทธิ์ได้เพียงลำดับที่สาม อยู่ก่อนสำนักเฮ่าหรานเท่านั้น นิกายเทียนกงกับนิกายปีศาจลี้ลับนี่เห็นชัดว่าอยู่ลำดับที่หนึ่งกับที่สอง
เป็นอย่างที่คิดศิษย์นิกายเทียนกงนำอยู่หน้าสุดเขียนชื่อแซ่ของตนเองและหยดเลือดหยดหนึ่งลงบนม้วนคัมภีร์สีทองทีละคน จากนั้นก็พากันเหาะหายเข้าไปในประตูใหญ่ด้านหลังร่างของตัวแทนวังสวรรค์ทั้งสอง
“พวกเจ้าก็ไปเถอะ” เมื่อรอศิษย์สิบคนของนิกายปีศาจลี้ลับลงนามได้พอประมาณแล้ว เทียนเกอเจินเหรินก็สะบัดมือให้พวกหลิ่วหมิงสิบคน เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง
หลิ่วหมิงและศิษย์คนอื่นของนิกายยอดบริสุทธิ์สิบคนขานรับพร้อมกันทีหนึ่งจากนั้นก็ทะยานร่างเหาะมาถึงเบื้องหน้าตัวแทนของวังสวรรค์ เขียนชื่อแซ่และหยดเลือดหยดหนึ่งไว้หน้าชื่อแซ่บนม้วนคัมภีร์สีทองตามลำดับ
พริบตาที่หลิ่วหมิงเขียนชื่อแซ่ของตนลงไปแล้วเค้นเลือดหยดหนึ่งหยดลงบนม้วนคัมภีร์ เขาก็สัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่ามีพลังงานประหลาดสายหนึ่งรัดพันบนร่างของเขา แต่เมื่อใช้จิตพิจารณาโดยละเอียดกลับไร้ร่องรอย หาไม่พบอย่างสิ้นเชิงว่ามันอยู่ที่ใดในร่าง
แต่เมื่อเทียบกับพลังของคำสาปมืดแล้ว พลังงานสายนี้กลับให้ความรู้สึกอ่อนโยน
หลังหลิ่วหมิงตรวจสอบพักหนึ่งจึงวางใจลงเล็กน้อย มือหนึ่งใช้เคล็ดวิชา เหยียบเมฆสีดำก้อนหนึ่งตามหลังศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ผู้หนึ่งด้านหน้าไปติดๆ เหาะเข้าไปในประตูใหญ่ของแดนลึกลับประตูสวรรค์
ตอนที่ 775 โซ่แห่งโชคชะตา
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังพวกหลิ่วหมิงเข้าไปในแดนลึกลับแล้ว ศิษย์สิบคนของสำนักเฮ่าหรานก็ทยอยเหาะออกมาจากกลุ่มคน ตรงไปยังม้วนคัมภีร์สีทองมหึมาบ้าง
ในเวลาเดียวกันนี้เทียนเกอเจินเหรินกลับหยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงแผ่นหนึ่งออกมาเงียบๆ หลังเอ่ยเบาๆ หลายประโยคก็ขยี้จนแหลก ปรากฏเปลวเพลิงกะพริบสายหนึ่งจากนั้นก็หายวับไปกลางอากาศไม่เหลือร่องรอย
คนระดับสูงของนิกายอื่นเช่นสำนักเฮ่าหราน บ้างก็หยิบแผ่นค่ายกลส่งสารออกมา บ้างก็ขยี้ยันต์ถ่ายทอดเสียง พากันส่งข่าวบางอย่างออกไป
คนอื่นๆ ที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่บ้างก็เริ่มลอบส่งกระแสจิตคุยกัน
ชั่วขณะหนึ่งทั้งยอดเขาหิมะเงียบกริบ จิตสายแล้วสายเล่าเคลื่อนไปมาโยงใยถึงกัน
หลังเป็นเช่นนี้อยู่ราวหนึ่งเค่อ ศิษย์ของนิกายและตระกูลที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ทั้งหมดก็เข้าไปในแดนลึกลับประตูสวรรค์จนหมด
บนม้วนคัมภีร์สีทองในเวลานี้เขียนชื่อคนมากมายจนเต็ม มีมากนับพันคน
สายตาของบุรุษชุดสีทองกวาดผ่านร่างผู้คนในที่นั้น หลังแน่ใจว่าไม่มีนิกายไหนก้าวขึ้นมาข้างหน้าอีกแล้วจึงเอี้ยวศีรษะไปพยักหน้าให้สตรีด้านข้าง
พร้อมกับที่สตรีชุดทองปล่อยมือ ม้วนคัมภีร์สีทองก็ม้วนเก็บไปเองเฉกเช่นเดียวกับยามกางออก
หลังจากนั้นมือของบุรุษชุดทองก็ปรากฏม้วนคัมภีร์สีทอง ขณะที่ใช้เคล็ดวิชาด้วยมือเดียว ปากเอ่ยมนตร์งึมงำแผ่วเบาสองสามประโยคแล้ว ก็โยนม้วนคัมภีร์สีทองขึ้นกลางฟ้า เขาดีดนิ้วเล็กน้อย เคล็ดวิชาสีทองระยิบระยับสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา
“เปรี้ยง” เสียงเปรี้ยงดังสนั่นประหนึ่งอัสนีบาตดังขึ้น!
ม้วนคัมภีร์สีทองฉับพลันเปล่งรัศมีสีทองแสบตา ดวงตะวันเจิดจ้าสีทองเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งจั้งกว่าดวงหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ด้านในดวงตะวันเจิดจ้าคล้ายมีอักขระวงแล้ววงเล่ามากมายถี่ยิบไหลวนอยู่ไม่หยุด
ครู่ต่อมาแสงรัศมีสีขาวดำสายหนึ่งพลันพุ่งจากด้านในขึ้นสู่ท้องฟ้า ป้ายศิลายักษ์ค้ำฟ้าสูงร้อยจั้งกว่าแผ่นหนึ่งค่อยๆ ลอยออกมาจากในดวงตะวันเจิดจ้า
หลังป้ายศิลายักษ์ลอยออกมาทั้งหมดแล้ว ดวงตะวันเจิดจ้าสีทองฉับพลันระเบิดออกกลายเป็นแสงสีทองจุดแล้วจุดเล่ากระจายหายไปกลางอากาศ
ป้ายศิลายักษ์ร่วงดิ่งลงมา ส่งเสียง “ปึง” ดังขึ้นทีหนึ่งแล้วตั้งตระหง่านอยู่ด้านข้างประตูใหญ่สีทองที่กำลังปิดลงอย่างช้าๆ
กวาดมองป้ายศิลานี้ผ่านๆ ครึ่งหนึ่งดำสนิทดั่งหมึก ครึ่งหนึ่งขาวสะอาดดั่งหิมะ เห็นชัดว่าคล้ายคลึงกับศิลาหุนเทียนชิ้นนั้นในทะเลจิตรับรู้ของหลิ่วหมิงอยู่บ้าง เพียงแค่บนศิลาไม่มีภาพกรวย แต่มีชื่อคนแถวแล้วแถวเล่าลอยออกมา ใต้ชื่อคนแต่ละคนมีภาพโซ่เส้นเล็กสีเงินเลือนรางไม่ชัดเส้นหนึ่งแบบเดียวกันลอยออกมา
“โอ้…” ศิษย์มากมายตรงตีนเขาหิมะซึ่งไม่มีสิทธิ์เข้าแดนลึกลับเห็นสิ่งนี้ก็อดไม่ได้อุทานตกตะลึงออกมาเป็นระลอกๆ
พวกเทียนเกอเจินเหรินกลับสีหน้าไม่เปลี่ยน งานประตูสวรรค์ทุกครั้งป้ายศิลาแผ่นนี้ล้วนปรากฏขึ้นมา โซ่เส้นเล็กสีเงินเหล่านั้นเป็นตัวแทนแต้มโชคชะตาบนตัวศิษย์ที่เข้าไปในแดนลึกลับ
พร้อมกับที่เวลาเคลื่อนคล้อย ความสว่างของโซ่เล็กสีเงินบนป้ายศิลาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ขณะที่พวกหลิ่นหมิงต่างช่วงชิงภายในแดนลึกลับประตูสวรรค์อยู่นั้น ในสถานที่เร้นกายของผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์จำนวนหนึ่งตามที่ต่างๆ บนแผ่นดินจงเทียนพาแตกตื่น เมื่อได้รับข่าวที่พวกเทียนเกอเจินเหรินส่งมา
เหนือยอดเขาขนาดมหึมาสักแห่งของเทือกเขาหมื่นวิญญาณ กลางท้องนภาสูงหมื่นกว่าจั้ง ตำหนักโบราณโอ่อ่าหลังหนึ่งลอยอยู่ ตลอดทั้งปีถูกเมฆาขาวที่ซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่ารอบด้านบดบังไว้ด้านใน
ในศาลาเงียบสงัดที่เปิดโล่งสี่ด้านบนยอดตำหนัก ผู้เฒ่าสองคนกำลังนั่งขัดสมาธิดวลหมากกันอยู่ สองคนนี้คนหนึ่งสวมชุดขาวดุจหิมะ ผมขาวหน้าแดงระเรื่อ อีกคนหนึ่งสวมชุดผ้าฝ้ายสีดำ ผมดำกระปรี้กระเปร่า บนร่างทั้งสองคนไม่มีคลื่นพลังเวทแผ่ออกมาสักนิด สีหน้านิ่งสงบยกมือวางหมาก ประหนึ่งเป็นผู้เฒ่าธรรมดาสองคน
ทันใดนั้นแสงของเปลวเพลิงก็สว่างขึ้นกลางอากาศ ยันต์สีแดงฉานสายหนึ่งแหวกฟ้าเหาะมาทำลายความเงียบสงบของศาลา ผู้เฒ่าชุดขาวยกมือข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อยรับยันต์ไว้ในมือ
“ยันต์อัคคีฟ้าดิน เทียนเกอถึงกับใช้วิธีส่งข่าวด่วนเช่นนี้ ดูท่าคงมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว” ผู้เฒ่าชุดขาวงอนิ้วดีดทีหนึ่ง ยันต์อัคคีพลันระเบิดออก
ผู้เฒ่าชุดขาวสองตาหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นเดินหมากตาต่อไปต่อประหนึ่งไม่มีเรื่องราวอันใด
“เรื่องใด?” ผู้เฒ่าชุดดำเอ่ยถามนิ่งๆ
“อ้อ ไม่มีอันใด เรื่องนั้นกำลังจะเริ่มอีกแล้ว” ผู้เฒ่าชุดขาวตอบอย่างนิ่งสงบ
“แบบนี้นี่เอง คำนวณเวลาดูก็ใกล้แล้ว แต่นิกายของข้าครั้งนี้มีเลี่ยหยางอยู่ อย่างน้อยน่าจะไม่แพ้หมดรูป” ผู้เฒ่าชุดดำได้ยินเพียงพยักหน้า ตอบด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนเช่นกัน
…..
ลึกเข้าไปในทะเลเลือดไร้ขอบเขตแห่งหนึ่งบนแผ่นดินจงเทียน แท่นบูชาศิลาสีดำแท่นหนึ่งถูกยอดเขาชันก้นสมุทรห้าลูกซึ่งลักษณะเหมือนห้านิ้วล้อมอยู่ตรงกลาง
บนแท่นบูชาโซ่สีดำสนิทนับไม่ถ้วนพันธนาการร่างมนุษย์สีเลือดเส้นผมแผ่สยายคนหนึ่งอยู่ ตรึงเขาจนไม่อาจขยับตัวได้เลยสักนิด
ทันใดนั้นบนร่างมนุษย์สีเลือดเกิดเสียงเปรี๊ยะดังขึ้นทีหนึ่ง เปลวเพลิงสีโลหิตใหญ่เท่ากระบวยดวงหนึ่งลอยออกมา อักขระแถวแล้วแถวเล่าปรากฏออกมาติดๆ
เงาคนที่สยายผมเงยศีรษะขึ้นมา ดวงตาที่เป็นโพรงสีดำขลับสองข้างจับจ้องอยู่บนเปลวไฟสีเลือด
“ฮ่าฮ่า! ในที่สุดเวลาก็มาถึงแล้ว หากเป็นเช่นนี้ ในที่สุดข้าก็ใกล้จะหลุดพ้นจากสถานที่บัดซบแห่งนี้ได้แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
เงาคนสยายผมส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราดออกมาพักหนึ่งจนเกิดคลื่นสั่นสะเทือนมหึมาขึ้นกลางทะเลเลือด
….
ณ เทือกเขาเปลี่ยนฟ้าซึ่งเป็นสถานที่ที่สำนักเฮ่าหรานตั้งอยู่ ยอดเขาสูงเทียมเมฆเรียงราย พันหน้าผาแย่งชิงกันโดดเด่น เมฆหมอกรายล้อมทำให้มองเห็นสภาพโดยละเอียดไม่ชัดเจน เสียงระฆังกังวานครั้งสองครั้งดังมาเป็นระยะ
เทียบกับเทือกเขาหมื่นวิญญาณที่นิกายยอดบริสุทธิ์ตั้งอยู่ ที่แห่งนี้มีบรรยากาศเคร่งขรึมมากกว่า สิ่งก่อสร้างบนยอดเขาล้วนเป็นหอที่สร้างจากไม้สีดำขาวสองสีหรือไม้ไผ่เป็นหลัก ทำให้คนที่มองเห็นเกิดความรู้สึกเคร่งขรึมน่าเคารพบางอย่าง
ระหว่างหอมีลำแสงเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งไปมาเป็นระยะ ทำให้สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างครึกครื้นอย่างเห็นได้ชัด ด้านในลำแสงคือคนท่าทางดั่งบัณฑิตสวมชุดบัณฑิตคนแล้วคนเล่าที่ดูเหมือนอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยกลิ่นอายตำรา
เวลานี้ ณ สถานที่ต้องห้ามของสำนักเฮ่าหรานซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา ในหอโบราณเรียบง่ายที่ปลูกไผ่หยกม่วงทั่วทั้งกลางหุบเขา ผู้เฒ่าในชุดบัณฑิตดวงหน้าขาวประหนึ่งหยกผู้หนึ่งกำลังมองแผ่นหยกที่ส่องแสงสีขาวเรืองๆ ในมือ บนแผ่นหยกปราฏตัวอักษรขนาดเล็กแถวหนึ่งอยู่เลือนราง
“เฮ้อ…” เนิ่นนานหลังจากนั้น ผู้เฒ่าชุดบัณฑิตจึงถอนหายใจแผ่วเบา สองคิ้วขมวดแน่น สีหน้าเคร่งขรึมผิดปกติ
แทบจะในเวลาเดียวกันนิกายต่างๆ เช่นนิกายเทียนกง ตระกูลโอวหยาง หุบเขาปีศาจสวรรค์ก็แทบจะได้รับข่าวเดียวกันในเวลาเดียวกัน
ณ สถานที่สักแห่งในแดนลึกลับประตูสวรรค์
หลังหลิ่วหมิงเหยียบเข้ามาในประตูใหญ่สีทอง ฉับพลันเบื้องหน้าถูกแสงห้าสีแถบหนึ่งยึดครอง หลังรู้สึกมึนพักหนึ่ง เมื่อเห็นทิวทัศน์รอบด้านชัดอีกครั้งก็พบว่าตนยืนอยู่บนเขาลูกเล็กที่รกร้างอยู่บ้างลูกหนึ่งแล้ว ใต้เท้าคือกองหินระเกะระกะสีเทาขาวผืนหนึ่ง
“ที่นี่ก็คือแดนลึกลับประตูสวรรค์…” หลิ่วหมิงที่ยืนมั่นคงแล้วกวาดสายตามองรอบด้าน
เวลานี้เองกองหินระเกะระกะใต้เท้าเขาฉับพลันส่งเสียงดังแกรกๆ พักหนึ่ง ทันใดนั้นก็เคลื่อนไหวขึ้นมาเอง
หลิ่วหมิงตกใจรีบถอยหลังออกห่างจากอาณาเขตของกองหินระกะระกะอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้นเองหลังเสียงกระแทกเกรียวกราวดังขึ้นพักหนึ่ง กองหินระเกะระกะสีเทาขาวแถบหนึ่งก็รวมตัวกันไปที่จุดหนึ่งพร้อมกัน ท่ามกลางแสงสีเทาทันใดนั้นกองหินพลันพร่าเลือนวูบหนึ่งแล้วกลายเป็นมนุษย์ศิลายักษ์สูงสองสามจั้งสิบกว่าตัว
หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้มุมปากก็กระตุกเล็กน้อย
ดูท่าโชคของเขาจะไม่เท่าไรจริงๆ เพิ่งเข้าแดนลึกลับปุบก็ถูกเคลื่อนย้ายมากลางวงสัตว์ประหลาดฝูงนี้
ด้านมนุษย์ศิลาเพิ่งก่อตัวก็พากันแหงนหน้าส่งเสียงคำรามที่ไม่เข้าใจความหมายออกมา หลังจากนั้นสองขาพลันวิ่งเร็วรี่ล้อมเป็นวงโถมเข้าใส่หลิ่วหมิง ร่างกายพัดเอาสายลมกระแสแล้วกระแสเล่าหอบไปด้วย ทำให้กลางอากาศปรากฏเป็นลายคลื่นจางๆ
พลังของมนุษย์ศิลาเหล่านี้ไม่สูง แต่ละตัวล้วนมีพลังเพียงระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นต้น แต่จากประสบการณ์ของหลิ่วหมิง พลังป้องกันเห็นชัดว่าเหนือกว่าปีศาจขั้นเดียวกันอยู่ไกล สิบกว่าตัวร่วมมือกัน ผู้ฝึกฝนระดับผลึกธรรมดาพบเข้าเกรงว่าคงลนลานทำอะไรไม่ถูก
แน่นอนปีศาจที่หนังด้านเนื้อหนาเหล่านี้ อยู่ต่อหน้าหลิ่วหมิงก็เป็นเพียงแค่เรื่องขำๆ เท่านั้น เขาไม่เรียกกระบี่เหาะออกมา เพียงยกมือข้างหนึ่งขึ้น ปราณสีดำสายแล้วสายเล่าวนล้อมอยู่บนแขน จากนั้นฟันหนึ่งฝ่ามือเข้าใส่อากาศที่อยู่ห่างออกไป
ครู่ต่อมาฝ่ามือปราณดำขนาดเท่าโม่พลันปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า เสียงปังดังขึ้นทีหนึ่งโจมตีมนุษย์ศิลาตัวหนึ่งที่วิ่งมาด้านหน้าสุดจนกลายเป็นเศษหินเกลื่อนกลาด
หลิ่วหมิงเคลื่อนไหวไม่หยุด มือหนึ่งใช้เคล็ดวิชา ปราณดำพลุ่งพล่านทะลักออกมาบนร่างของเขา พร้อมกันนั้นเสียงพยัคฆ์คำรามทุ้มต่ำก็ดังขึ้นมา พยัคฆ์หมอกสีดำมหึมาหลายตัวคำรามกระโจนออกมา สี่เท้าดุจสายลมกระโจนเข้าใส่มนุษย์ศิลาที่เหลือ
พยัคฆ์ยักษ์สีดำพุ่งผ่านกลุ่มมนุษย์ศิลาโถมเข้าขย้ำ เสียงกระแทกโครมครามดังขึ้นพักหนึ่ง เวลาไม่กี่ลมหายใจ มนุษย์ศิลาสิบกว่าตัวก็กลายเป็นเศษหินระเกะระกะกองหนึ่งใหม่อีกหน
หลิ่วหมิงแบมือ แก่นบริสุทธ์สีเหลืองขนาดเท่ากำปั้นสิบกว่าลูกก็ลอยขึ้นมาจากในกองเศษหิน
ภายในแก่นบริสุทธิ์เหล่านี้บรรจุปราณธาตุดินเข้มข้นอยู่ ใช้ปรุงโอสถหลอมอาวุธล้วนเป็นวัตถุดิบที่หาได้ไม่มาก น่าจะขายได้หินจิตวิญญาณไม่น้อย
ดูท่าที่เล่าลือกันว่าในแดนลึกลับประตูสวรรค์แห่งนี้ทรัพยากรวัตถุจิตวิญญาณนานาชนิดอุดมสมบูรณ์อย่างที่สุดจะไม่ใช่คำลวงจริงๆ
พริบตานั้นที่เขาเก็บแก่นบริสุทธิ์ไป ทันใดนั้นอากาศรอบด้านพลันสั่นไหว บนข้อมือแสงสีขาวฉายขึ้นวูบหนึ่ง ฉับพลันโซ่เส้นเล็กขาวสะอาดประหนึ่งหยกเส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นแนบชิดติดบนผิวหนังลวดลายจิตวิญญาณสีเงินจางๆ แผ่ไปทั่ว ดูแล้วงดงามวิจิตรอย่างน่าประหลาด
โซ่เล็กสีขาวนี้ปรากฏอย่างไม่มีการแจ้งเตือนสักนิดทำให้หลิ่วหมิงตกใจสะดุ้งตัวโหยง แต่ก็เข้าใจขึ้นมาในทันใด
“นี่ก็คือโซ่แห่งโชคชะตาที่พูดถึงนั่นกระมัง” หลังหลิ่วหมิงพึมพำคำสองคำก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งแตะโซ่เส้นเล็กเบาๆ เขาพบว่ามันแนบชิดติดบนข้อมือประหนึ่งหยั่งราก ไม่อาจถอดออกได้สักนิด
ทันใดนั้นบนโซ่เส้นเล็กก็เปล่งรัศมีแสงวูบไหว หมอกสีเทาจางๆ แทบจะมองไม่เห็นสายแล้วสายเล่าลอยขึ้นมาจากเศษก้อนหินระเกะระกะที่กระจายบนพื้นดินรอบด้านเบื้องหน้า เหาะเร็วรี่โถมเข้ามาในโซ่เส้นเล็กเองประหนึ่งสิ่งมีชีวิต ชั่วพริบตาสักสายก็ไม่เหลือ
หลังหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดทีหนึ่งแล้วก็ต้องรู้สึกแปลกใจ
หมอกสีเทาเหล่านี้แทบจะไม่สามารถใช้จิตสัมผัสได้เลยสักนิด ตรงกันข้ามใช้ตาเปล่ากลับยังมองเห็นได้อยู่บ้าง หรือว่า…นี่ก็คือพลังแห่งโชคชะตาที่วังสวรรค์ว่า?
หลังโซ่เล็กสีขาวดูดซับไอหมอกสีเทาเหล่านี้ไปแล้ว พื้นผิวก็เริ่มส่องแสงสีเทาจางๆ ชั้นหนึ่งทันที
หลิ่วหมิงสำรวจโซ่แห่งโชคชะตาเส้นนี้เล็กน้อยอีกรอบหนึ่ง หลังเห็นว่าไม่มีสิ่งอื่นผิดปกติ ก็เพียงขมวดคิ้วนิดๆ ไม่สนใจอีกต่อไป
จากนั้นเขาลอยขึ้นบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็เหาะขึ้นมาสูงพันกว่าจั้งแล้ว หลังมองรอบด้านพักหนึ่งก็พบว่าไม่ไกลนั้นยังมีกองหินสีเทาขาวที่แผ่คลื่นประหลาดจางๆ ออกมาอีกไม่น้อย เห็นชัดว่าเป็นมนุษย์ศิลายักษ์เหล่านั้นจำแลงร่างอยู่
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย ในเมื่อมีโชคชะตาให้คว้า เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่ทันที รอบกายแสงสีทองฉายวูบหนึ่ง เขาพลันกลายเป็นรุ้งสีทองเส้นหนึ่งพุ่งไปยังกองหินระเกะระกะอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปในบัดดล
หลายชั่วยามต่อจากนั้นหลิ่วหมิงสังหารมนุษย์ศิลาใกล้ๆ ทั้งหมดรวดเดียวจนเกลี้ยง ทำให้แสงสีเทาของโซ่เล็กสีขาวหยกบนข้อมือยิ่งสว่างขึ้นหลายส่วนอย่างเห็นได้ชัด
หลังเขาสำรวจอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ยืนยันว่าเขาลูกเล็กใกล้ๆ ไม่มีสิ่งอื่นให้ค้นพบแล้วถึงเหาะจากไป
ในเวลาเดียวกันนั้น ณ มุมต่างๆ ของแดนลึกลับ การเดินทางค้นหาสมบัติของศิษย์นิกายต่างๆ ก็เปิดม่านขึ้นแล้วเช่นกัน
ตอนที่ 776 ต่างแสดงความเก่งกาจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท้องฟ้าเหนือบึงน้ำกลมขนาดสิบกว่าจั้งอีกแห่งหนึ่งในแดนลึกลับ แสงสีเงินสายหนึ่งร่วงจากท้องฟ้าลงมาในพงต้นกกใกล้บึงน้ำ เมื่อรัศมีแสงดับลง บุรุษหนุ่มชุดน้ำเงินผู้หนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้น
เป็นหลัวเทียนเฉิง
ไม่ไกลจากเท้าของเขา ศพรูปร่างอนาถร่างหนึ่งนอนนิ่งอยู่ตรงนั่น บริเวณหน้าอกไม่รู้ว่าถูกสิ่งใดแทงทะลุเป็นรูขนาดใหญ่สิบกว่ารู เลือดย้อมพื้นดินใกล้ๆ ต้นกกจนแดงฉาน
งานประตูสวรรค์เพิ่งเริ่มได้ไม่นานก็มีคนตายมากมายแล้ว นี่ทำให้สีหน้าของหลัวเทียนเฉิงอดถมึงทึงขึ้นมาบ้างไม่ได้
คนที่ตายผู้นี้ร่างกายสวมชุดยาวลายเมฆาแดง หลัวเทียนเฉิงจำเครื่องแต่งกายนี้ได้ เขาน่าจะเป็นศิษย์ของนิกายใหญ่อายุหมื่นปีที่ชื่อว่านิกายเลี่ยหยาง
“เอ๋…” ทันใดนั้นหลัวเทียนเฉิงก็เพ่งสายตามอง หลังปากร้องเอ๋เบาๆ ออกมาคำหนึ่งก็ก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว เสียงปึกดังขึ้นทีหนึ่งเตะศพพลิกกลับมา
บนข้อมือของคนผู้นี้เห็นชัดว่าสวมกำไลสีดำสนิทวงหนึ่งไว้ เห็นชัดว่าไว้ใช้เก็บของ
ดวงตาของหลัวเทียนเฉิงฉายแววประหลาดใจ หลังครุ่นคิดครู่หนึ่งฉับพลันมือข้างหนึ่งก็ส่งแรงดูดสายหนึ่งไปที่กำไล
เวลานี้เองเสียงฟึบทีหนึ่งก็ดังขึ้น แสงสีดำเรียวเล็กเส้นหนึ่งเหาะพุ่งออกมาจากในเสื้อของศพอย่างไม่มีเค้าลางสักนิด แทงเข้าใส่หน้าอกของหลัวเทียนเฉิงรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าแลบ
เผชิญหน้ากับเหตุพลิกผันน่าตระหนกเช่นนี้ บนหน้าหลัวเทียนเฉิงกลับเผยรอยยิ้มเย็นชาจางๆ ในแขนเสื้อแสงสีน้ำเงินสว่างวูบ แผ่นกลมสีน้ำเงินดำชิ้นหนึ่งพุ่งออกมาขวางเบื้องหน้าของเขา
เสียงตึงแผ่วเบาดังขึ้น แสงสีดำถูกขวางไว้ในทันใด
หลังจากนั้นเขารีบหมุนตัวกลายเป็นเงาพร่าเลือนสายหนึ่งโจมตีหนึ่งหมัดรุนแรงเข้าใส่พงต้นกกสูงเท่าคนจุดหนึ่งใกล้ๆ
เสียงตูมดังขึ้นทีหนึ่ง
กระแสลมสีเงินพุ่งออกมาจากหมัดประหนึ่งวายุสลาตัน คลื่นคลั่งล้อมอาณาเขตหลายจั้งเอาไว้ข้างใน พงต้นกกผืนใหญ่ชั่วพริบตาถูกสายลมจากหมัดฉีกกระชากแหวกออก พื้นดินก็ถูกปาดผิวหน้าลึกครึ่งฉื่อ
เวลานี้เองกลางพงต้นกกระเนระนาดที่ถูกพัดกระจาย เงาร่างคนสีดำสนิทร่างหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นนอกจากนี้เมื่อเผยตัวแล้วก็โซเซเหาะถอยหลัง พร้อมกันนั้นปากก็แค่นเสียงแผ่วเบาออกมา คล้ายได้รับบาดเจ็บไม่น้อยจากการโจมตีก่อนหน้านี้ของหลัวเทียนเฉิง
ดวงตาของหลัวเทียนเฉิงทอประกายเหี้ยมเกรียมวูบหนึ่ง ตอนที่คิดจะลงมืออีกครั้ง เงาร่างคนสีดำสนิทกลับพ่นปราณดำนับไม่ถ้วนออกมาจากร่างอย่างรวดเร็ว ฉับพลันกลายเป็นเงาเลือนรางจางๆ สายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ไกลออกไป ความเร็วว่องไวเพียงชั่วแวบหนึ่งก็ห่างไปร้อยกว่าจั้ง หลังวูบไหวไม่กี่ทีก็หนีไปถึงสุดขอบฟ้าแล้ว
หลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงเหอะทีหนึ่งแต่ไม่ได้ไล่ตามไป
อย่างไรแดนลึกลับแห่งนี้ก็อันตรายมาก เขาอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้แน่ชัดย่อมไม่ยินดีบุ่มบ่ามไล่ตาม
แน่นอนสาเหตุสำคัญที่สุดก็คือคนทั้งหมดล้วนเข้ามาที่นี่ไม่นาน อีกฝ่ายไม่มีทางมีโชคชะตาอยู่ที่ตัวมากนัก เขาย่อมคร้านจะเสี่ยงอันตรายไล่ตามไป
แต่ถึงแม้เรื่องที่อีกฝ่ายปรากฏตัวเมื่อครู่จะเป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลัวเทียนเฉิงก็จำเสื้อผ้าของนิกายปีศาจลี้ลับที่เงาร่างนั้นสวมได้ นี่ทำให้เขามีความเป็นอริต่อนิกายปีศาจลี้ลับยิ่งขึ้นกว่าเดิม
จากนั้นเขาก็สะบัดมือทีหนึ่ง แสงสีเงินกลุ่มหนึ่งหอบกำไลเก็บของบนศพขึ้นมา เมื่อเห็นว่าไม่มีสภาพแปลกๆ อีกเขาถึงเก็บมันไป จากนั้นกระทืบเท้าทีหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า เหาะเร็วรี่ไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
……
ข้างตาน้ำพุที่ผุดไหลออกมาไม่หยุดแห่งหนึ่ง คนสี่คนแบ่งเป็นสองฝ่าย สมบัติและอาวุธจิตวิญญาณในมือต่างส่องแสงฟาดฟันเข้าใส่กันอย่างดุเดือดไม่หยุดหย่อน แบ่งพวกต่อสู้กันอยู่
ข้างน้ำพุ เห็ดหลินจือสีแดงดั่งโลหิตที่ส่งกลิ่นหอมประหลาดอบอวลหลายดอกงอกอยู่บนไม้แห้งท่อนหนึ่ง พวกมันกำลังแกว่งไกวแผ่วเบาตามสายลม
ในสี่คนนี้ ฝั่งหนึ่งคือเซียนหงส์ดำกับพี่ชาย อีกฝั่งคือโอวหยางเชี่ยนกับสตรีชุดเขียวผู้นั้น
พี่ใหญ่ของเซียนหงส์ดำคือบุรุษหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดสีดำ เวลานี้เขากลับไม่ได้ใช้วิชาแปลงรูปลักษณ์ แต่มือถือดาบยาวสีเลือดเล่มหนึ่ง ทุกครั้งที่สะบัดจะมีแสงดาบสีเลือดสิบกว่าสายพุ่งออกมาอย่างรวดเร็วประหนึ่งลมพายุฝนกระหน่ำ
ผู้ที่กำลังสู้กับเขาอยู่ก็คือโอวหยางเชี่ยน เงามังกรสีขาวสะอาดประหนึ่งหยกตัวหนึ่งกำลังอ้าปากสะบัดกรงเล็บขดอยู่รอบร่างของสตรีนางนี้ มันจำแลงร่างมาจากร่างเดิมคืออาวุธเวทมีดปีกตาข่ายที่นางซื้อมาจากตลาดฉางหยางนั่นเอง แต่เมื่อเทียบพลังของมันตอนที่อยู่ในวังมายานภาแล้ว พลังเพิ่มขึ้นไม่ใช่แค่สิบเท่า
มังกรขาวสะบัดหางมหึมาโจมตีแสงดาบสีเลือดเล่มแล้วเล่มเล่าจนแตกสลายอย่างง่ายดาย ปากพ่นแสงสีเงินท่วมท้นออกมาเป็นระยะ ต่อสู้กับบุรุษชุดดำอย่างดุเดือด ตัดสินผลแพ้ชนะไม่ได้ชั่วขณะ
เซียนหงส์ดำด้านข้างลอยอยู่กลางอากาศ เส้นผมสลวยปลิวสยายไปรอบด้าน สองมือตั้งเป็นวงกลมอยู่ตรงหน้าอก ตรงกลางลูกไฟสีดำสนิทขนาดเท่ากระบวยลูกหนึ่งลอยอยู่ พร้อมกับที่นางท่องมนตร์ ในเปลวไฟสีดำพลันปรากฏอสูรจิตวิญญาณอัคคีสีดำเช่นอสรพิษอัคคี วิหคอัคคีที่ว่องไวอย่างยิ่งตัวแล้วตัวเล่าเหาะออกมาเป็นระยะ
ในมือสตรีชุดเขียวเหวี่ยงพัดผ้าแพรสีม่วงอ่อน พัดไปกลับรอบหนึ่งก็พ่นเมฆแสงสีม่วงที่โจมตีได้ป้องกันได้แถบแล้วแถบเล่าออกมา ต่อสู้อยู่กับเซียนหงส์ดำ
ทว่าทั้งสองคนเห็นชัดว่าล้วนไม่ได้ทุ่มกำลังทั้งหมด คล้ายกับกำลังรอคอยอะไรอยู่
เวลานี้เองดาบยาวสีเลือดในมือบุรุษชุดดำฉับพลันเปล่งแสงรัศมีเจิดจ้า แสงดาบสีเลือดนับไม่ถ้วนฟันอย่างบ้าคลั่งปะทะกับแสงสีเงินที่มังกรพ่นออกมา สองฝ่ายต่างสลายหายไป ร่างของเขาฉวยโอกาสนี้กระโจนไปด้านหลังถอยหลังไปหลายก้าว
“สหายโอวหยาง งานประตูสวรรค์นี่เพิ่งเริ่มต้น เจ้ากับข้าสองฝ่ายไม่จำเป็นต้องสู้เอาเป็นเอาตายกันเพื่อหลินจือผนึกโลหิตไม่กี่ต้นนี้ ไม่สู้เลิกรากันเท่านี้ แบ่งหลินจือเหล่านี้เท่าๆ กันเป็นอย่างไร?” ดาบยาวในมือบุรุษชุดดำสั่นเล็กน้อย แสงสีเลือดฉับพลันหดกลับไป พร้อมกันนั้นปากก็เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
โอวหยางเชี่ยนแววตาทอประกาย นิ้วเรียวงามชี้ มังกรสีขาวก็หยุดท่าโจมตีเช่นกัน หลังนางครุ่นคิดเล็กน้อยถึงแค่นเสียงเหอะแผ่วเบาพลางพยักหน้า
“เหอะ เช่นนี้ก็ดี สู้กันเอาเป็นเอาตายก่อนก็มีแต่ยกประโยชน์ให้ผู้อื่นจริงๆ”
เห็นทั้งสองคนหยุดสู้ เซียนหงส์ดำกับสตรีเสื้อเขียวก็คล้ายเห็นพ้องต้องกันอย่างยิ่ง หยุดมือพร้อมกันแล้วเก็บอาวุธจิตวิญญาณไป
พวกเขาเหล่านี้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ได้ นอกจากจะเป็นศิษย์ที่โดดเด่นของนิกายต่างๆ และมีพลังลึกล้ำแล้ว ความคิดสติปัญญาก็ล้วนเป็นที่หนึ่งของที่หนึ่ง รู้ว่าทำอย่างไรนิกายและตนเองจะได้ประโยชน์มากที่สุด
ต่อมาหลังจากที่พวกเขาหารือกันเล็กน้อยแล้ว เซียนหงส์ดำกับสตรีชุดเขียวต่างก็เก็บหลินจือไปคนละหลายดอก
ภายใต้สายตาระแวดระวังของแต่ละฝ่ายทั้งสี่คนแยกย้ายกันอย่างรวดเร็ว ต่างฝ่ายพากันหมุนตัวเหาะเร็วรี่จากไปคนละทิศ
……
ในทะเลทรายซึ่งผืนทรายสีทองทอดยาวหมื่นลี้แห่งหนึ่ง หลงเหยียนเฟยกำลังถือกระบี่เหาะเรียวยาวสีฟ้าใสเล่มหนึ่งสะบัดร่อนประหนึ่งอสรพิษสู้กับหนอนทรายสีเหลืองระดับผลึกขนาดสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งอย่างดุเดือด
เทียบกับร่างกายมหึมาประหนึ่งภูเขาของหนอนทรายแล้ว หลงเหยียนเฟยย่อมตัวเล็กจ้อยอย่างถึงที่สุด แต่ด้วยร่างกายที่ประหนึ่งสายฟ้า ไม่เพียงการโจมตีด้วยหมอกทรายที่หนอนทรายพ่นออกมาไม่อาจแตะต้องนางได้สักนิดแล้ว ยังถูกนางใช้แสงกระบี่สายหนึ่งโจมตีเป็นระยะ ไม่นานก็บาดเจ็บทั่วร่าง
“โฮก” เสียงคำรามเสียงหนึ่งดังขึ้น
หนอนทรายฉับพลันระเบิดเสียงคำรามเกี้ยวกราดดังลั่น ปากมหึมาอ้าออก รอบร่างแสงสีเหลืองส่องสว่าง ไม่ไกลจากตัวหลงเหยียนเฟยพลันปรากฏมังกรทรายเจ็ดแปดตัวเหาะขึ้นมาก่อตัวรอบด้านอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเชื่อมกันกลายเป็นม่านทรายแน่นหนากระทั่งสายลมก็มิอาจลอดผ่าน ขังสตรีผู้นี้ไว้กลางอากาศ
หลงเหยียนเฟยดวงตาทอประกายเย็นเยียบ สะบัดแขนทีหนึ่ง กระบี่เหาะสีฟ้าใสพลันเปล่งแสงสีฟ้าเจิดจ้า ตัวกระบี่ชั่วพริบตาขยายใหญ่ขึ้นสิบเท่า แสงกระบี่ชั้นแล้วชั้นเล่าล้อมตัวกระบี่ไว้ตรงกลางจากนั้นกลายเป็นรุ้งสีฟ้าตระการตายาวหลายจั้งเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา เข้าไปกลางม่านทรายทันที
เสียง “ฉึบ” “ฉึบ” หลายครั้งดังขึ้น!
แสงสีเลือดสว่างวาบ ร่างกายของหนอนทรายฉับพลันถูกรุ้งสีฟ้าที่ทะลวงออกมาจากม่านทรายล้อมเป็นวงหลายชั้นปั่นกลายเป็นชิ้นๆ ร่วงลงกับพื้นดังตึง
หลังแสงกระบี่สีฟ้าวนอยู่กลางอากาศรอบหนึ่งก็เผยร่างของหลงเหยียนเฟยที่ถือกระบี่จิตวิญญาณสีฟ้าอยู่ในมือออกมาอีกครั้ง เพียงแต่นางสีหน้าซีดเผือดอยู่บ้าง
เห็นชัดว่าวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งก่อนหน้านี้ทำให้นางเสียพลังปราณอยู่บ้าง
ทว่าเมื่อสตรีนางนี้เอื้อมมือข้างหนึ่งเก็บแก่นผลึกของหนอนทรายออกมาจากร่างจริงๆ และก้มศีรษะมองเห็นโซ่แห่งโชคชะตาบนข้อมือที่สว่างวาบขึ้นมาแล้ว บนใบหน้างามที่เดิมทีเฉยชาก็เผยสีหน้ายินดีจางๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงกระทืบเท้าเหาะจากไป
……
ริมลำธารใสระหว่างเขาลูกน้อยสองลูกแห่งหนึ่ง สตรีผู้งามล้ำเลิศนางหนึ่งกำลังหัวเราะคิกคักกับผิวน้ำ หวีเส้นผมยาวสลวยสีเงินแลดูสบายใจอย่างยิ่ง
บุรุษผมม่วงหน้าตาโดดเด่นอีกคนหนึ่งยืนอยู่บนหินก้อนหนึ่งไม่ไกล สองแขนกอดอกกำลังหลับตารวมสมาธิอยู่
ในพงหญ้าห่างจากทั้งสองคนหลายสิบจั้ง ปีศาจอสูรวานรสิบกว่าตัวนอนเกลื่อน หมดลมหายใจสิ้นไปนานแล้ว ทว่าเมื่อพิจารณาอย่างละเอียด ทั้งร่างบนและล่างกลับคล้ายไม่มีบาดแผลสักนิด
หลังเวลาผ่านไปนาน สตรีผมเงินในที่สุดก็มวยผมสีเงินขึ้นไปเรียบร้อย ส่วนบุรุษผมม่วงก็ลืมตาขึ้นเหมือนตอบรับพอดี
ทั้งสองคนไม่ได้พูดกันสักประโยค เพียงสบตากันทีหนึ่งจากนั้นก็เหาะขึ้นฟ้าอย่างเข้าขา พุ่งออกไปไกลอย่างรวดเร็ว
……
ไม่ไกลจากสระน้ำขนาดสิบกว่าจั้งแห่งหนึ่งกลางพงหญ้ารกที่งอกอยู่กลางป่าโล่งกว้างสักแห่งในแดนลึกลับ ศิษย์ชายของนิกายเทียนกงผู้สวมชุดเรียบง่ายผู้หนึ่งกำลังลอบเข้าใกล้ริมขอบสระน้ำอย่างระมัดระวัง
เห็นเพียงตรงกลางสระน้ำใส บัวหิมะสีฟ้าใสแวววาวดอกหนึ่งงอกนิ่งสงบอยู่ตรงนั้น สายลมแผ่วเบาโชยพัดก็ทอแสงแวววาวเรืองๆ
ศิษย์นิกายเทียนกงผู้นี้มีหน้าตาแน่วแน่ ในมือถือมีดสั้นสีเหลืองเล่มหนึ่ง แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยสีหน้าระวัง แต่ยิ่งใกล้สระน้ำมากขึ้นเท่าไหร่ เปลวเพลิงร้อนแรงในแววตาก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที
เมื่อมาถึงริมสระน้ำห่างจากบัวหิมะดอกนั้นเพียงไม่กี่จั้ง เขากลับหยุดชะงักจากนั้นประเมินรอบด้านพักหนึ่ง หลังครุ่นคิดชั่วครู่ ฉับพลันเขาก็ก้มตัวลงเก็บเศษหินก้อนหนึ่งข้างเท้าขึ้นมาขว้างออกไปที่สระน้ำ หลังจากนั้นร่างกายขยับวูบไปซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งด้านข้าง
เสียง “ต๋อม” ดังขึ้น พริบตาที่เศษหินร่วงลงไปในสระน้ำ คลื่นน้ำแผ่วเบาวงแล้ววงเล่าพลันกระเพื่อมขึ้นมา
ผลปรากฏว่าชั่วครู่ให้หลัง ผิวน้ำที่ดูเหมือนสงบก็มีเสียงซ่าแผ่วๆ หลายเสียงดังขึ้น ทันใดนั้นฟองอากาศสายหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ผิวน้ำกระเพื่อมซัดอย่างรุนแรง ตามติดมาด้วยหนวดสีเลือดหนาขนาดเท่าถังน้ำที่มีปุ่มดูดคล้ายปลาหมึกเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งออกมาจากในสระ ส่ายสะบัดอยู่พักหนึ่งประหนึ่งกำลังค้นหาเหยื่อ
หลังเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย หนวดสีเลือดเหล่านี้ถึงทยอยจมลงไปในน้ำไม่เห็นร่องรอย สระน้ำกลับมาเงียบสงบอีกหน น้ำในสระก็คืนสภาพใสกระจ่างด้วยเช่นกัน
“อสูรโลหิตแปดขาตัวนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ โชคดีรู้ก่อนว่าอสูรตัวนี้จะปราฏตัวรอบๆ บัวหิมะวารีพิสุทธิ์ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าเพิ่งเข้ามาในแดนลึกลับแห่งนี้ก็คงต้องเสียโชคชะตาไปบ้างแล้ว” ศิษย์สำนักเทียนกงเดินออกมาจากหลังก้อนหินยักษ์ ในใจลอบคิดอย่างยินดี
เขาใช้เคล็ดวิชาทันที บนร่างมีเพลิงปราณสีเหลืองอ่อนชั้นหนึ่งปรากฏออกมา จากนั้นเขาสะบัดมืดสั้นในมืออย่างรวดเร็ว แสงสีเหลืองแสบตาขนาดจั้งกว่าสายหนึ่งแล่นออกไป พุ่งรวดเร็วเข้าใส่ผิวน้ำติดๆ
ตอนที่ 777 การต่อสู้ในแดนลึกลับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เสียงฉึบดังขึ้นเบาๆ บัวหิมะสีฟ้าดอกนั้นถูกตัดในพริบตา แสงสีเหลืองรับดอกบัวหิมะสีฟ้าไว้แล้วม้วนตัวถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว
ศิษย์นิกายเทียนกงคว้าได้ปุบ คิดก็ไม่คิดฉับพลันจะเหาะขึ้นฟ้ากลายเป็นแสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่งหมุนตัวหนีจากไปไกลทันที
ทว่าเขาเพิ่งเหาะออกไป ในสระคลื่นน้ำท่วมฟ้าพริบตาก็ซัดขึ้นมา หนวดสีเลือดยาวหลายจั้งแหวกสายน้ำหวดประหนึ่งแส้ลงมาบริเวณที่ศิษย์นิกายเทียนกงเคยยืนอยู่
เสียงเปรี้ยงดังสนั่นทีหนึ่ง!
พื้นดินที่ถูกโจมตีแตกเป็นลาย เศษหินฝุ่นดินนับไม่ถ้วนปลิวกระจายว่อนไปทั่ว
ลึกลงไปในสระน้ำ เสียงคำรามเกรี้ยวกราดของอสูรโลหิตแปดขาดังลอยมา
ศิษย์สำนักเทียนกงที่เหาะอยู่กลางอากาศหันศีรษะกลับมานิดหนึ่ง เห็นภาพนี้ตามหลังพลันรู้สึกหวาดกลัว
พลังนี้ของอสูรโลหิตแปดขา ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลาย ถูกรัดเข้าทีหนึ่งคาดว่าก็คงโชคร้ายมากว่าโชคดี
“ยังดีที่อสูรโลหิตแปดขาเป็นปีศาจอสูรในน้ำ จะไม่จากน้ำโดยง่าย…”
ศิษย์นิกายเทียนกงพรูลมหายใจยาวจากนั้นหมุนตัวจากไป เขาเหาะออกไปหลายสิบลี้ถึงร่อนกลับลงมาบนพื้นดิน
เขาถือบัวหิมะสีฟ้าดอกนี้ไว้เบื้องหน้า หลังพิจารณาอย่างละเอียดรอบหนึ่งก็หัวเราะเสียงดัง เก็บของสิ่งนี้เข้าไปในยันต์เก็บของ
ตอนนี้เองเงาร่างหนึ่งพลันโฉบผ่านมาด้านหลังร่าง ศิษย์สำนักเทียนกงหมุนตัวกลับมาในทันใด แต่หลังร่างกลับว่างเปล่า
“หรือข้ามองผิด?”
ศิษย์นิกายเทียนกงย่นหัวคิ้ว เมื่อเขาหันศีรษะไปอีกครั้ง บุรุษหน้าตาหล่อเหลาแต่งกายเยี่ยงบัณฑิตท่าทางสุภาพเรียบร้อยคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับตรงงหน้าเขาห่างไปไม่กี่จั้ง กำลังแย้มยิ้มมองเขาอยู่
“ที่แท้สหายจากสำนักเฮ่าหรานนี่เอง ข้าอู๋เชานิกายเทียนกง ยินดีที่ได้พบ!” ดวงตาของศิษย์นิกายเทียนกงฉายแววหวาดหวั่นเล็กน้อย ทว่าฉากหน้ากลับเสแสร้งประสานมืออย่างสงบนิ่ง พร้อมกันนั้นภายในแขนเสื้อพริบตาก็กุมมีดสั้นเอาไว้
“คำพูดตามมารยาทไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว ทิ้งยันต์เก็บของที่ตัวเจ้าไว้ มอบโชคชะตาครึ่งหนึ่งมาบางทีข้าอาจปล่อยเจ้าไปสักหน” บัณฑิตชุดขาวเอ่ยอย่างเย็นชาด้วยเสียงทุ้มต่ำและใบหน้าเรียบเฉย
“เหอะ ขออภัยเรื่องนี้ข้ายากจะทำตาม…” อู๋เชาไม่ลังเลสักนิดตอบปฏิเสธทันที มีดสั้นในมือกำแน่นขึ้น
บัณฑิตชุดขาวได้ยิน สายตาพลันเย็นเยียบ หมอกควันสีขาวชั้นหนึ่งลอยออกมานอกร่าง ร่างกายค่อยๆ พร่าเลือนหายไป
ชั่วครู่ต่อมาเงาคนสีขาวสายหนึ่งพลันโฉบวูบมาปรากฏตัวเบื้องหน้าอู๋เชาว่องไวดุจสายฟ้าแลบ ฝ่ามือยื่นออกมายิงปราณสีขาวน้ำนมสายหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว คว้าโซ่แห่งโชคชะตาบนข้อมืออู๋เชา
ปราณสีขาวดุจเมฆแสงเรืองรองเกิดขึ้นต่อเนื่อง ความเร็วกลับทำให้คนตะลึง ขยับม้วนทีหนึ่งฉับพลันมาถึงตรงข้อมือ
ทว่าอู๋เชาก็ปฏิกิริยาเร็วอย่างที่สุด มีดสั้นในมือสะบัดทีหนึ่ง แสงมีดสีเหลืองรูปพระจันทร์เสี้ยวพลันพุ่งรี่ออกมา ทิ้งรอยเส้นหนึ่งไว้กลางอากาศ ประจันหน้าเข้าใส่ปราณสีขาว
เสียง “ปึง” หนักๆ ดังขึ้น!
แสงของมีดสีเหลืองและปราณสีขาวโจมตี ปะทะยื้อกันอยู่กลางอากาศ
“ลูกไม้กระจอก!”
ชายหนุ่มชุดขาวแค่นหัวเราะทีหนึ่ง จากนั้นร่างกายหมุนอย่างรวดเร็วยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นตบออกมาข้างหน้าอีกหนึ่งฝ่ามือ
ปราณสีขาวอีกสายหนึ่งโฉบมาวูบหนึ่งจากนั้นจมหายไปในปราณเส้นก่อนหน้า ปราณสองสายผสานรวมกัน กลายเป็นฝ่ามือยักษ์สีขาวขนาดหนึ่งจั้งกว่า กำเบาๆ หนหนึ่งก็บีบแสงมีดจันทร์เสี้ยวเป็นผุยผง และตบเข้าใส่อู๋เชาทันที
สีหน้าของอู๋เซาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ระยะใกล้เช่นนี้เขาไม่อาจหลบหลีกได้สักนิด ทำได้เพียงอ้าปากพ่นลูกกลมสีเขียวลูกหนึ่งออกมา หลังมันหมุนติ้วแล้ว ก็ส่งเสียงแกรกๆ กลายเป็นเต่าไม้สีเขียวตัวหนึ่ง ลวดลายจิตวิญญาณด้านบนกะพริบทีหนึ่ง ม่านแสงสีเขียวชั้นหนึ่งพลันขวางอยู่หน้าร่าง
เสียงเปรี้ยงดังขึ้นทีหนึ่ง!
ม่านแสงสีเขียวถูกฝ่ามือยักษ์โจมตีเข้าพลันแหวกออก เต่าไม้สีเขียวอ่อนสั่นไหวหนหนึ่ง บนตัวปรากฏรอยร้าวหลายเส้น
อู๋เชารู้สึกว่ามีพลังมหาศาลสายหนึ่งโถมกระหน่ำข้ามอากาศมา เงาร่างพุ่งถอยออกไปโดยไม่ทันรู้ตัว ทั้งคนทั้งสมบัติชนบนต้นไม้ใหญ่ห่างร้อยกว่าจั้งอย่างหนักหน่วง
ต้นไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบต้นนี้ส่งเสียงดังเปรี๊ยะทีหนึ่งก็หักโค่นลงทั้งอย่างนั้น
อู๋เชาอ้าปากพ่นเลือดออกมาคำหนึ่ง โซ่หยกใสบนข้อมือก็ส่งเสียงกังวานแตกกระจาย ไอหมอกสีเทาสายแล้วสายเล่าม้วนตัวออกมาผสานเข้าไปในโซ่หยกในมือชายหนุ่มชุดขาว
ชายหนุ่มชุดขาวหัวเราะฮ่าฮ่า พร้อมกันนั้นเงาร่างก็วูบไหวทีหนึ่ง ปรากฏตัวเบื้องหน้าอู๋เชาอีกครั้ง
“โชคชะตาของข้าถูกเจ้าชิงไปครึ่งหนึ่งแล้ว เจ้ายังคิดจะเอาอย่างไรอีก” อู๋เชาสีหน้าซีดเผือด ไอเบาๆ สองสามทีก็ลุกขึ้นเอ่ยอย่างคาดไม่ถึงปนโกรธเกรี้ยว
“เมื่อครู่ไม่ได้บอกแล้วหรือว่าให้มอบยันต์เก็บของที่ตัวเจ้ามา” ชายหนุ่มชุดขาวยกมือขึ้นปุบ ฝ่ามือยักษ์สีขาวข้างหนึ่งก็รวมตัวขึ้นมาอีกครั้ง กดทับศิษย์นิกายเทียนกงผู้นี้ไว้ข้างล่าง แล้วเอ่ยอย่างถมึงทึง
อู๋เชาสีหน้าเปลี่ยนไปมา เขาได้แต่กัดฟันทีหนึ่ง พลิกมือเอาถุงเก็บของข้างเอวออกมาโยนไป
ฝ่ามือยักษ์สีขาวส่งแรงดูดสายหนึ่งออกมาดูดยันต์เก็บของเข้าไป
“เอาล่ะ เรื่องที่เจ้าพูดข้าทำให้หมดแล้ว ตอนนี้ไปได้แล้วกระมัง” อู๋เชาจ้องชายหนุ่มชุดขาวพลางเอ่ยถามประโยคหนึ่งด้วยเสียงเย็นชา
“ไป?”
ชายหนุ่มชุดขาวได้ยิน ในดวงตาก็เผยแววตาเย้ยหยันจางๆ ไม่ทันรออู๋เชาเอ่ยปากอีกหน เงาฝ่ามือยักษ์ประหนึ่งภูเขาลูกย่อมๆ ก็ทับลงมา
หลังเสียงเปรี้ยงดังสนั่นทีหนึ่งกับเสียงกรีดร้องโหยหวนครั้งหนึ่งก็ไม่มีเสียงใดๆ ดังขึ้นมาอีก
ครู่หนึ่งให้หลังชายหนุ่มชุดขาวก็กวาดของทุกอย่างบนศพไปจนเกลี้ยง หลังเก็บของหมดแล้วถึงมองศพอีกหนแล้วพูดกับตัวเองสองสามประโยค
“นิกายเทียนกงเป็นนิกายอันดับหนึ่งของการจัดอันดับงานประตูสวรรค์ครั้งก่อน ศิษย์ที่ส่งมากลับมีความสามารถเท่านี้ ดูท่าก่อนหน้านี้ข้าจะคิดมากเกินไป แต่ดีที่บัวหิมะวารีพิสุทธิ์ดอกนี้ในที่สุดก็มาอยู่ในมือ ไม่เสียเปล่าแล้ว…”
หลังพูดจบชายหนุ่มชุดขาวขยับมือข้างหนึ่งทำท่าคว้า แสงสีน้ำตาลทองสายหนึ่งพลันพุ่งออกมาและร่วงลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว
เสียงครืนดังสนั่นขึ้นพักหนึ่ง พื้นดินใกล้ๆ ฉับพลันแหวกเปิดเป็นช่องยาวสองจั้งกว่าเส้นหนึ่ง เลนทรายเลื่อนไหล พริบตาเดียวก็กลืนศพลงไป
“ได้ยินว่าในสี่ยอดนิกายใหญ่ สำนักเฮ่าหรานถือความถูกต้องยุติธรรมเป็นที่ตั้ง ศิษย์ในสำนักแต่ละคนต้องควบคุมตนเองฝึกฝนจิตใจ คิดไม่ถึงวันนี้กลับได้เห็นคนของสำนักเฮ่าหรานเป็นวิญญูชนจอมปลอมเช่นนี้!”
เวลานี้เองเสียงเย็นเยียบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหูชายหนุ่มชุดขาว พร้อมกันนั้นอากาศรอบตัวเขาก็ห้อมล้อมไปด้วยไอปีศาจอันแข็งแกร่งสายหนึ่ง
“ใครกันทำตัวลับๆ ล่อๆ!” ชายหนุ่มชุดขาวสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขารีบร้อนปล่อยจิตสัมผัสหมายจะสำรวจสภาพโดยรอบ
ตอนนี้เองในหูเขาพลันได้ยินเสียงแหลมสูงดังขึ้น จากนั้นแผ่นหลังก็พลัน หัวใจที่เต้นอยู่ในอกถูกบางสิ่งควักออกมา
ชายหนุ่มชุดขาวร้องเสียงดังทีหนึ่ง จากนั้นเบื้องหน้าพลันดำมืด ร่างกายฉับพลันร่วงจากกลางท้องฟ้าหล่นลงบนพื้นดินในชั่วพริบตา เสียงตุบดังขึ้นทีหนึ่ง ทั้งร่างก็ถูกเปลวเพลิงแดงฉานห่อหุ้มเผากลายเป็นขี้เถ้า กระทั่งวิญญาณด้านในก็สลายเป็นควันสายหนึ่งในเวลาเพียงชั่วครู่ เหลือเพียงโซ่แห่งโชคชะตาใสแวววาวกับแหวนเก็บของวงหนึ่งอยู่ที่เดิม
เวลานี้เองเหนือร่างที่ถูกเผาเป็นจุลของชายหนุ่มชุดขาวพลันสั่นไหว หลังไอปีศาจสีเทาขมุกขมัวม้วนตัวทีหนึ่งแล้ว เงาคนร่างหนึ่งซึ่งมือข้างหนึ่งถือหัวใจที่เต้นอยู่ดวงหนึ่งเอาไว้ก็ปรากฏตัวออกมา
คนผู้นี้สวมชุดผ้าไหม อายุดูแล้วไม่มาก ใบหน้าหล่อเหลา สองหูแคบยาว เขาคือเซวียผานชายหนุ่มเผ่าปีศาจผู้นั้นที่หนีตายออกมาจากวังมายานภาหยกกับหลิ่วหมิง และโอวหยางเชี่ยนเมื่อหลายสิบปีก่อนนั่นเอง
ชายหนุ่มเผ่าปีศาจขยี้หัวใจในมือแหลกอย่างง่ายดาย เขายกมือขึ้นทีหนึ่ง วายุดัชนี[U1] สีดำก็โจมตีโซ่แห่งโชคชะตาบนพื้นดังเปรี้ยงจนแหลกเป็นจุล
พลังแห่งโชคชะตาก้อนน้อยก้อนหนึ่งฉับพลันม้วนตัวออกมาแล้วทยอยจมหายเข้าไปในโซ่สีขาวบนข้อมือของเซวียผาน
หลังเซวียผานมองดูโซ่แห่งโชคชะตาของตนส่องแสงจางๆ ออกมา บนหน้าก็เผยสีหน้ายิ้มแย้มบางๆ หลังจากที่เก็บแหวนเก็บของบนพื้นแล้ว เขาก็กระตุ้นเคล็ดวิชาแหวกฟ้าและจากไปไกลในทันที
……
ในหุบเขาชันลึกหลายสิบจั้งแห่งหนึ่ง เมฆสีดำก้อนหนึ่งเคลื่อนเลียบไปกับพื้นอย่างเชื่องช้า บนเมฆสีดำชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินคนหนึ่งยืนต้านลม เขาคือหลิ่วหมิงนั่นเอง
วันแรกๆ ที่เข้ามาในแดนลึกลับ หลิ่วหมิงไม่ได้ไปไหนไกล แค่โจมตีสังหารปีศาจอสูรระดับต่ำมากมายเอาโชคะตามาได้จำนวนหนึ่งเท่านั้น
ระหว่างนี้เขาไม่ได้พบกับศิษย์นิกายอื่น แม้สังเกตเห็นคลื่นพลังจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งอยู่ไกลๆ ก็ไม่ได้สนใจ
อย่างไรเวลาที่จะอยู่ในแดนลึกลับประตูสวรรค์แห่งนี้ก็ยังอีกนาน ตอนนี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีในการต่อสู้กันเอง รอผู้อื่นสะสมโชคชะตาได้มากแล้วค่อยไปแย่งชิงถึงจะเป็นวิธีการที่ประหยัดแรงไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย
นอกจากนี้เขายังฉวยโอกาสนี้ตามหาและเก็บหญ้าจิตวิญญาณ สมุนไพรจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งมา อย่างไรสมุนไพรจิตวิญญาณที่งอกอยู่ที่นี่ล้วนเป็นของหายาก มีพลังแห่งโชคชะตาไม่น้อยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาพบหญ้าจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนเห็ดซึ่งแผ่ปราณจิตวิญญาณเข้มข้นอย่างที่สุดระลอกแล้วระลอกเล่าต้นหนึ่งตรงทางเข้าหุบเขาอันห่างไกลแถบนี้ พอนึกย้อนกลับไปถึงคัมภีร์วัสดุจิตวิญญาณนานาที่เคยอ่านแต่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นของสิ่งใด จึงเก็บเอาไว้ในแหวนย่อส่วนก่อนวันหน้าค่อยศึกษา
ตอนนี้เองใต้ศิลายักษ์สีดำก้อนหนึ่งห่างไปร้อยกว่าจั้ง หญ้าจิตวิญญาณที่ส่องแสงเรืองรองจางๆต้นหนึ่งก็ดึงดูดความสนใจของขา
หลังเขาขยับเข้าใกล้จนห่างไม่กี่ก้าวถึงค้นพบว่าหญ้าจิตวิญญาณสูงชุ่นกว่าต้นนี้แผ่แสงสีสันงดงามพร้อมกับกลิ่นหอมสะอาดจางๆ ออกมา
“ถึงกับเป็นหญ้าฟั่นหลีอายุพันปีต้นหนึ่ง” หลิ่วหมิงเห็นสิ่งนี้รู้สึกยินดีจนอดไม่ได้พูดกับตัวเองหนึ่งประโยค
ถึงหญ้าฟั่นหลีจะไม่ได้เป็นหญ้าจิตวิญญาณที่หายาก แต่หญ้าต้นนี้มีความพิเศษคือเติบโตยาก
หญ้าฟั่นหลีที่อายุน้อยกว่าห้าร้อยปีอาจพบได้เป็นบางครั้งตามขุนเขาลำน้ำในแดนจิตวิญญาณที่มีปราณจิตวิญญาณเข้มข้น มันไม่ได้มีสิ่งใดพิเศษ แต่เมื่ออายุเกินห้าร้อยปี ทุกหนึ่งร้อยปีผ่านไป แสงที่พวกมันส่วนหนึ่งแผ่ออกมาก็จะยิ่งเข้มขึ้น แต่กลับมีโอกาสสองในสิบส่วนที่มันจะแห้งเหี่ยวตายไปอย่างไร้สาเหตุ เมื่ออายุถึงพันปีก็จะกลายเป็นวัตถุดิบหลักของโอสถฟั่นหลีที่เพิ่มพลังเวทระดับดาราพยากรณ์ได้ ด้วยเหตุนี้หญ้าฟั่นหลีอายุพันปีเมื่ออยู่ข้างนอกจึงเติบโตได้ยากยิ่ง
แผ่นดินจงเทียนนับแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน หญ้าฟั่นหลีอายุต่างกันราคาต่างกันมากอย่างที่สุด หญ้าฟั่นหลีอายุหนึ่งร้อยปีราคาเพียงสามถึงห้าหมื่นหินจิตวิญญาณเท่านั้น เมื่ออายุเกินห้าร้อยปี ราคาก็จะเพิ่มพรวดจนเกือบถึงหนึ่งล้านหินจิตวิญญาณ หากเป็นหญ้าฟั่นหลีที่มีอายุมากกว่าพันปี ในงานประมูลยิ่งขายได้ถึงราคายี่สิบสามสิบล้าน แล้วยังมักราคาสูงจนไม่มีคนซื้อ ซึ่งปรากฏให้เห็นยากนัก
ก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงเพียงได้ยินมาว่าแดนลึกลับประตูสวรรค์ทรัพยากรมากมาย แต่คิดไม่ถึงว่าจะพบหญ้าจิตวิญญาณระดับนี้ ในใจเขายินดีปรีดาอย่างยิ่ง
ขณะที่มือหนึ่งของเขาล้วงกระบี่สั้นสีเงินเล่มหนึ่งออกมาหมายจะตัดหญ้าฟั่นหลีต้นนี้ ศิลายักษ์สีดำกลับสั่นเบาๆ คลื่นพลังจิตวิญญาณแข็งแกร่งระลอกหนึ่งส่งออกมา
ปฏิกิริยาของหลิ่วหมิงเร็วอย่างมาก เขาคิดก็ไม่คิดสองขาพลันกระทืบเท้าทีหนึ่ง พุ่งถอยออกไปไกลสิบกว่าจั้ง ดวงตาเป็นประกายจับจ้องด้านหลังของศิลายักษ์สีดำ
ทว่ากลับเห็นเพียงดินใต้ศิลาสีดำที่เริ่มทรุดตัวลงไป เสียงตึงตังดังขึ้น พื้นดินแหวกเป็นรอยแยกเส้นหนึ่ง ปีศาจอสรพิษขนาดมหึมาสีดำสลับเหลืองตัวหนึ่งร้องขู่ฟ่อเลื้อยออกมาจากดินโคลนอย่างรวดเร็ว
[U1]指风 ทั้งเรื่องมีแค่ 3 ตำแหน่ง ตอนที่ 231 มี 2 ที่, ตอนที่ 777 มี 1 ตำแหน่ง ไม่สามารถดูคำเก่าได้
ตอนที่ 778 ร่างแปลงอาภรณ์ทอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
อสรพิษยักษ์ตัวนี้ยาวถึงยี่สิบกว่าจั้ง ร่างกายหนาเท่าถังน้ำ บนหนังอสรพิษเกล็ดสีดำกับสีเหลืองเรียงอย่างไร้ระเบียบ สองตาแดงดั่งโลหิต บนหัวมีหงอนมหึมาอันหนึ่ง หน้าตาน่าเกลียดอย่างที่สุด มันกำลังชูหัวอสรพิษขึ้น ลิ้นอสรพิษฉกไม่หยุดจับจ้องหลิ่วหมิงนิ่ง แผ่กลิ่นอายระดับผลึกขั้นกลางออกมาบางๆ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
สองวันก่อนเพราะเขาวนเวียนอยู่ที่ขอบแดนลึกลับ ดังนั้นปีศาจอสูรที่พบแทบทั้งหมดจึงเป็นระดับของเหลวจิตวิญญาณ โชคชะตาที่ได้มาน้อยยิ่งกว่าน้อย ไม่รู้ว่าอสรพิษยักษ์ระดับผลึกตัวนี้ตรงหน้าจะนำโชคชะตามาให้เขาเท่าไร
ชั่วความคิดอสรพิษยักษ์ตัวนี้ก็ขดตัวบนศิลาดำ อ้าปากกว้างโถมเข้ามาใส่หลิ่วหมิงประหนึ่งสายฟ้าแลบ ปากพ่นเพลิงปราณคลุ้งคาวเลือดสีแดงสายหนึ่งออกมา
อากาศใกล้ๆ ฉับพลันอบอวลด้วยปราณเหม็นคลุ้งร้อนระอุแสบจมูกสายหนึ่ง
หลิ่วหมิงเห็นสิ่งนี้กลับไม่หลบ ทำท่ามือของเคล็ดกระบี่ แสงกระบี่สีทองสายหนึ่งฉับพลันลอยออกมา พริบตาก่อตัวเป็นรุ้งสีทองสิบกว่าจั้งสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่
แสงสีทองพุ่งโฉบ!
รุ้งทองสะบั้นปราณสีโลหิตแหวกออก หลังจากนั้นพุ่งปราดทีเดียวก็เข้าไปในปากที่อ้าอยู่ของอสรพิษยักษ์
เสียงพรวดดังขึ้นทีหนึ่ง
แสงสีทองแสบตาสายหนึ่งทะลุร่างอสรพิษยักษ์แล้วพุ่งออกมาจากส่วนหาง อสรพิษทั้งตัวถูกรุ้งสีทองฟันแยกตั้งแต่หัวจรดหางทันที
เสียงฟ่อดังขึ้นทีหนึ่ง!
ร่างของอสรพิษยักษ์ตัวนี้ก็แข็งทื่อไป หลังจากนั้นเสียงตู๊มทีหนึ่งก็ดังขึ้น มันร่วงกลับไปบนพื้น หลังบิดตัวดิ้นรนอยู่ตรงนั้นสองสามทีแล้วก็หมอบกองอยู่บนพื้นหมดลมหายใจไป
กระทั่งดวงจิตในร่างอสูรอสรพิษตัวนี้ก็ถูกแสงกระบี่ด้านในร่างฟันทำลายไปด้วย
ทุกสิ่งนี้เกิดขึ้นในเวลาชั่วสองลมหายใจเท่านั้น
หลิ่วหมิงกวักมือข้างหนึ่ง รุ้งสีทองพลันวนบนฟ้ารอบหนึ่งจากนั้นกลับคืนเป็นกระบี่บินดังเดิมพุ่งรี่กลับมา หลังพุ่งโฉบทีหนึ่งก็จมลงไปกลางหว่างคิ้วของเขา
หลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็เหาะโฉบทีหนึ่งเข้าไป ร่อนลงด้านข้างศพของอสรพิษยักษ์
เวลานี้เองไอหมอกสีเทาสายแล้วสายเล่าพลันลอยออกมาจากบนร่างอสรพิษ ม้วนทีหนึ่งก็แทรกเข้าไปในโซ่แห่งโชคชะตาบนข้อมือของเขา
ผ่านไปสองสามลมหายใจ ไอหมอกสีเทาถึงถูกโซ่แห่งโชคชะตาดูดเข้าไปหมดสิ้น แสงสีเทาที่โซ่แห่งโชคชะตาแผ่ออกมายิ่งสว่างขึ้นอีก
หลิ่วหมิงเห็นสภาพนี้ก็มีสีหน้าพึงพอใจน้อยๆ พลังแห่งโชคชะตาที่ปีศาจอสูรระดับผลึกนำมาให้นี่ไม่ใช่ปีศาจอสูรธรรมดาจะเทียบได้จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าในแดนลึกลับแห่งนี้ยังมีปีศาจอสูรระดับแก่นแท้อยู่หรือไม่
ในเวลาเดียวกันห่างไปหลายลี้หลังร่างหลิ่วหมิง เงาดำสองร่างกำลังเหาะลึกเข้ามาในหุบเขาชันอย่างรวดเร็วเช่นกัน
“โชคดีก่อนเดินทาง อาจารย์มอบยันต์ลับที่สัมผัสตำแหน่งกันได้สองแผ่นนี้ให้ท่านกับข้า ตอนเข้ามาพวกเราก็บังเอิญไม่ได้อยู่ไกลกันเกินไป ท่านกับข้าถึงรวมตัวกันได้เร็วเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นด้วยพลังของพวกเรา หากพบพวกคนร้ายกาจไม่กี่คนนั้นเข้าคงลำบากมากแล้ว” เงาดำร่างหนึ่งในนั้นเหาะไปพลางก็ถอนหายใจเบาๆ ไปพลาง
“ฮ่ะฮ่ะ โชคดีที่ศิษย์พี่ใหญ่เก็บตัวไปก่อนหน้างานประตูสวรรค์ ไม่เช่นนั้นจะถึงตาเจ้ามาเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ได้อย่างไร แต่ตอนนี้ก็ไม่เลว เจ้ากับข้าสองคนรวมตัวกันได้ก่อน สังหารศิษย์ธรรมดาของนิกายอื่นย่อมง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ เช่นนี้ความเร็วในการเพิ่มโชคชะตาย่อมรวดเร็วกว่าคนพวกนั้นที่พึ่งการสังหารปีศาจอสูร และเก็บสมุนไพรทิพย์มากแน่นอน แล้วยังสามารถเก็บเกี่ยวสมบัติที่ไม่คาดคิดได้บ้างอีกด้วย” เงาดำอีกร่างหนึ่งอดไม่ได้หัวเราะฮ่ะฮ่ะ เอ่ยอย่างได้ใจอยู่บ้าง
“เมื่อครู่ด้านนั้นมีไอปีศาจสายหนึ่งกับคลื่นพลังจิตวิญญาณอีกสายหนึ่ง จะต้องเป็นคนที่พลัดหลงอยู่คนเดียวแน่ คนผู้นี้สังหารปีศาจอสูรตัวนั้นตามลำพังคงผลาญพลังเวทไปไม่น้อย ฉวยโอกาสที่เขายังไม่ทันได้หนี ท่านกับข้าเร่งรีบเข้าไป พอดีได้ฉกฉวยผลประโยชน์”
ทั้งสองคนเปล่งเสียงหัวเราะชั่วร้ายพร้อมกัน จากนั้นเร่งลำแสงเหาะไปยังตำแหน่งที่หลิ่วหมิงอยู่
หลิ่วหมิงตอนนี้กำลังเก็บศพอสรพิษยักษ์เข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างไม่เร็วไม่ช้า แม้อสรพิษตัวนี้เป็นเพียงปีศาจอสูรระดับผลึกเท่านั้น แต่หน้าตาประหลาดอาจเป็นพวกกลายพันธุ์ที่พบเห็นได้น้อย ถึงจะค่อนข้างกินพื้นที่ของแหวน เขาก็ยังคงตัดสินใจนำศพกลับไปก่อนค่อยว่ากันอยู่ดี
เวลานี้เองเขาพลันเลิกคิ้วขึ้น ฉับพลันหมุนตัวทีหนึ่ง เห็นบนท้องฟ้าด้านหลังร่างไม่ไกล มีแสงสีดำสองสายแหวกท้องฟ้ามา เป้าหมายเห็นชัดว่าคือบริเวณที่เขาอยู่
สองตาของหลิ่วหมิงหรี่ลง เขามองแสงสีดำสองสายที่ร่อนลงบนศิลายักษ์สองก้อนไม่ไกลด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
หลังแสงสีดำหายไป บุรุษผู้สวมชุดของนิกายปีศาจลี้ลับสองคนก็เผยร่างออกมา คนหนึ่งปล่อยผมสยาย ศีรษะสวมมงคลทอง ส่วนอีกคนคิ้วเหลือง ใบหน้าดุร้าย
“หืม? คนของนิกายยอดบริสุทธิ์” บุรุษผมสยายเห็นเสื้อผ้าของหลิ่วหมิงปุบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยในทันใด
“ไม่เป็นไร คนผู้นี้ไม่ใช่หลัวเทียนเฉิงที่อาจารย์เอ่ยถึง นอกจากนี้เขาพึ่งต่อสู้อย่างดุเดือดมาเมื่อครู่ ท่านกับข้าร่วมมือกันจัดการได้อย่างง่ายดาย” ชายหนุ่มคิ้วเหลืองอีกคน กวาดสายตามองพื้นดินเละเทะกับคราบเลือดแอ่งใหญ่ใกล้ๆ ทีหนึ่งก็หัวเราะฮึๆ แล้วเอ่ยเช่นนี้
“อืม ศิษย์น้องพูดมีเหตุผล พอพูดเช่นนี้เหยื่อเช่นเจ้า ข้ายิ่งไม่อาจปล่อยไปได้แล้ว” บุรุษที่ปล่อยผมได้ยินก็มองพื้นดินใกล้ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นเมื่อเข้าใจขึ้นมาหน่อยแล้ว สีหน้าก็เผยความเหี้ยมเกรียมออกมา
“ยามนี้ก็สังหารคนปล้นสมบัติทำพฤติกรรมเช่นนี้แล้ว ทั้งสองท่านไม่คิดว่าเร็วเกินไปบ้างหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินทั้งสองคนคนหนึ่งพูดคนหนึ่งตอบ บนใบหน้ากลับเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาจางๆ ฉับพลันถามประโยคหนึ่งขึ้นมา
“เหอะ เจ้าจะไปรู้อะไร สุดท้ายแล้ว แม้แต่ละคนในแดนลึกลับจะมีพลังแห่งโชคชะตามาก แต่เวลานั้นใต้หล้ามีผู้ร้ายกาจอย่างแท้จริงจำนวนหนึ่ง ไหนเลยพวกเราจะหาเรื่องได้ ก็มีแต่ตอนนี้เท่านั้นที่หาเหยื่อที่ลงมือง่ายๆ เช่นนี้อย่างเจ้า รอพวกเราหาเหยื่อได้จำนวนหนึ่ง สั่งสมพลังแห่งโชคชะตาได้ประมาณหนึ่งแล้ว พวกเราย่อมหลบซ่อนไปเสีย ให้บุคคลร้ายกาจเหล่านั้นอย่าได้คิดหาพบ” ชายหนุ่มคิ้วเหลืองจากนิกายปีศาจลี้ลับได้ยิน แรกสุดนิ่งไปเล็กน้อย แต่ก็แค่นเสียงขึ้นจมูกเอ่ยทันที
“ศิษย์น้อง คนของนิกายยอดบริสุทธิ์จะไปเข้าใจอันใด เจ้าหนู ตอนนี้เจ้าจะเป็นฝ่ายทำลายโซ่แห่งโชคชะตาเองหรือจะให้พวกเราสองคนลงมือ” บุรุษสยายผมกลับรำคาญขึ้นมาแล้ว ใบหน้าเหี้ยมเกรียมตวาดเสียงดังใส่หลิ่วหมิง
“ในเมื่อทั้งสองท่านใจร้อนเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ลงมือเถอะ” หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์นี้กลับหัวเราะขึ้นมา
“รนหาที่ตาย ลงมือ”
บุรุษสยายผมโกรธจัด หลังตวาดเสียงดังประโยคหนึ่ง มือข้างหนึ่งก็ทำท่ามือ ไอปีศาจสีดำจางๆ เดือดพล่านออกมาทั่วร่างในทันที
ศิษย์คิ้วเหลืองใกล้ๆ เห็นหลิ่วหมิงท่าทางเช่นนี้สีหน้าก็เคร่งขรึม หลังสะบัดหัวไหล่ทีหนึ่ง ท่ามกลางเสียงหวีดแหลมประหลาด บนร่างไอปีศาจก็พลันเดือดพล่านออกมาเช่นกัน
สายตาของหลิ่วหมิงกลับเย็นเยียบ เขาสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ยันต์ที่ส่องแสงสีทองระยิบระยับแผ่นหนึ่งพลันลอยออกมา มันลอยลิ่วหยุดนิ่งกลางท้องฟ้าสูงจากนั้นเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า หลังเสียงฟุบดังขึ้นทีหนึ่ง มนุษย์เกราะทองคนหนึ่งก็เดินออกมาจากข้างใน หน้าตารูปร่างความสูงเหมือนกับหลิ่วหมิงไม่มีผิดเพี้ยน
“ร่างแปลง!” ชายหนุ่มสยายผมเห็นสภาพนี้ก็เอ่ยเสียงหลงในทันที
ศิษย์คิ้วเหลืองของนิกายปีศาจลี้ลับ สีหน้าก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน
“สองต่อสอง เช่นนี้ถึงยุติธรรม” หลิ่วหมิงเอ่ยเรียบๆ หนึ่งประโยค
“เหอะ เจ้าพลังแค่ระดับผลึก ต่อให้มีร่างแปลงก็เพิ่มพลังได้ไม่กี่ส่วน อย่างไรก็ยังต้องตายสถานเดียว” หลังชายหนุ่มคิ้วเหลืองขบคิดอย่างรวดเร็วรอบหนึ่งแล้ว ประกายดุร้ายก็ปรากฏขึ้นในแววตาเอ่ยขึ้นมา หลังจากนั้นปากพลันท่องมนตร์ สองมือขยับทำท่ามือเคล็ดกระบี่อย่างรวดเร็ว
บุรุษที่ปล่อยผมเข้าใจในทันที เสียงท่องมนตร์ดังออกมาจากปากเช่นกัน ทำมือเปลี่ยนอย่างรวดเร็วไม่หยุด
เสียงฟึบดังขึ้นสองครั้ง!
เงาฝ่ามือมารสีดำสนิทสองข้างก่อตัวขึ้นเบื้องหน้าศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับทั้งสองคน ฝ่ามือหนึ่งในนั้นที่อยู่หน้าร่างศิษย์ตัวสูงใหญ่ถึงสิบกว่าจั้ง บนฝ่ามือมารไอหมอกสีดำสายแล้วสายเล่าเวียนรอบ อีกฝ่ามือหนึ่งเล็กกว่ากันรอบใหญ่ ใหญ่เพียงเจ็ดแปดจั้งเท่านั้น
ตอนนี้เองเงาร่างของหลิ่วหมิงทั้งสองก็ขยับกลายเป็นเงาร่างสีดำกับสีทองสองสายพุ่งเข้าไปหาศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับทั้งสองอย่างรวดเร็ว
“ไป”
บุรุษสยายผมกับบุรุษคิ้วเหลืองคำรามเสียงดังพร้อมกัน แต่ละคนจี้นิ้วไปด้านหน้า
เงาฝ่ามือมารมหึมาทั้งสองข้างเลือนลางวูบหนึ่งก็พาแรงกดดันน่าหวาดกลัวที่ทำให้คนยากจะเชื่อมา แต่ละฝ่ามือแยกย้ายกันตบเข้าใส่หลิ่วหมิงกับร่างแปลงอาภรณ์ทอง
เงาฝ่ามือมารสิบกว่าจั้งกดทับลงมาหาหลิ่วหมิงตรงๆ อย่างทรงพลัง
ส่วนเงาฝ่ามือมารเจ็ดแปดจั้งข้างนั้นคล้ายจะช้าแต่ความจริงกลับเร็ว ไหววูบหนึ่งก็พาพลังหนักหน่วงประหนึ่งขุนเขาสายหนึ่งกดทับลงมาบนกระหม่อมของร่างแปลงอาภรณ์ทองแล้ว
หลิ่วหมิงเคลื่อนจิต ร่างแยกจอมพลังอาภรณ์ทองก็หยุดร่างนิ่งกลางอากาศ มือข้างหนึ่งกำหมัด เงาหมัดยักษ์สีทองระยิบระยับข้างหนึ่งพริบตาหลุดออกมาจากร่าง
แสงสีทองระยิบระยับบนหมัดมีเงามังกรสีดำจางๆ หลายตัวเลื้อยวนออกมาอ้าปากสะบัดกรงเล็บ ทำให้ทั้งเงาหมัดยักษ์มีพลังที่ยากจะพรรณนา
“ตู๊ม” เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเสียงหนึ่งดังขึ้น
หลังเงาหมัดสีทองกับฝ่ามือมารสีดำปะทะกันอย่างรุนแรงทีหนึ่ง ต่างฝ่ายก็สั่นไหวเล็กน้อยจากนั้นกลายเป็นลูกบอลแสงมหึมาสองลูกระเบิดออก กลายเป็นหมอกดำเต็มฟ้ากับแสงสีทองเป็นจุดๆ พร้อมกันนั้นคลื่นปราณน่าตะลึงวงแล้ววงเล่าก็ม้วนกวาดออกมาสี่ด้านแปดทิศ
ส่วนร่างต้นของหลิ่วหมิง เผชิญหน้ากับเงาฝ่ามือยักษ์ใกล้เพียงเอื้อมมือ ร่างกายกลับหยุดชะงักพุ่งถอยกลับไปข้างหลัง พร้อมกับที่หัวไหล่ขยับทีหนึ่ง แสงสีน้ำเงินก็ส่องสว่างขึ้นจากด้านในเสื้อ หลังลวดลายจิตวิญญาณสีน้ำเงินนับไม่ถ้วนลอยออกมา เสียงคำรามเบาๆ ก็ดังขึ้น เงาเลือนรางของวัวสีน้ำเงินประหนึ่งมีชีวิตตัวหนึ่งฉับพลันปรากฏออกมาเบื้องหน้าร่างของหลิ่วหมิง
วิชาภาพสัญลักษณ์ที่เขาสังเวยมาเนิ่นนานแล้วนั่นเอง
เงาเลือนรางของเชอฮ่วนปรากฏขึ้นปุบก็อ้าปากใหญ่โตออก พายุสีน้ำเงินลูกหนึ่งพัดออกมาในทันใด
เสียง “ปัง” ดังขึ้นหนึ่งหน!
ฝ่ามือยักษ์ที่ดูเหมือนพลังไร้ที่สิ้นสุดกลับถูกพายุเป่าทีเดียวกลายเป็นไอปีศาจสายแล้วสายเล่าแตกสลายกระจัดกระจายกลางอากาศ
จากนั้นเงาของเชอฮ่วนก็ดูดอย่างแรงทีหนึ่ง ไอปีศาจทั้งหมดฉับพลันประหนึ่งน้ำหลากถูกดูดทีเดียวไหลเข้ามาในร่างหมดสิ้น หายวับไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ มุมปากก็เผยรอยยิ้มบางๆ
พลังนี้ก็คือการกลืนกิน ความสามารถอันแข็งแกร่งอย่างที่สองที่เชอฮ่วนแสดงออกมา แต่ด้วยพลังในตอนนี้ จะสำแดงผลออกมาได้ก็ในยามที่เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่พลังเวทต่ำกว่าตนเองมากเท่านั้น หากระดับพลังและพลังเวทของคู่ต่อสู้เหนือกว่าเขา ตรงกันข้ามกลับยากจะถูกกลืนกินด้วยพลังของเชอฮ่วน
พูดไปแล้วภาพสัญลักษณ์นี้ หลังดูดซับจิตวิญญาณของปีศาจอสูรมากมายจากการสังเวยนานหลายปีนี้ของหลิ่วหมิงไปถึงปลุกความสามารถในการกลืนกินนี้ขึ้นมาได้ ที่วันนี้เขาสู้กับผู้อื่นปุบก็ใช้ร่างแปลงอาภรณ์ทองออกมาทันทีก็เพราะมีความคิดที่จะลองฝีมือกับตัวศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับสองคนนี้
หลังเงาเลือนรางของเชอฮ่วนกลืนกินไอปีศาจไปแล้วก็ยังคงนิ่งอยู่ที่เดิม แต่สองตาจับจ้องบุรุษผมสยายที่อยู่ไม่ไกลนิ่ง ท่าทางยังไม่อิ่มหนำ
‘หลิ่วหมิงกราะทอง’ อีกด้านหนึ่งหลังโจมตีทำลายฝ่ามือยักษ์แล้ว ร่างกายก็บิดนิดหนึ่ง ขยับวูบไหวไม่กี่ทีพลันปรากฏตัวเบื้องหน้าใกล้ๆ ศิษย์คิ้วเหลือง สองแขนพร่าเลือนไปวูบหนึ่ง เงาหมัดสีทองมากมายถี่ยิบก็ก่อตัวขึ้นมากราดพุ่งไปยังฝั่งตรงข้ามในบัดดล
ตอนที่ 779 วิหควายุหุบเขา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชายหนุ่มคิ้วเหลืองตกใจมาก รีบร้อนอ้าปากพ่นโล่กระดูกที่ส่องแสงสีเงินรอบด้านแผ่นหนึ่งออกมา มันขยับวูบหนึ่งกลายเป็นขนาดเท่าแผ่นโต๊ะขวางอยู่เบื้องหน้า
นาทีต่อมาเงาหมัดสีทองมากมายก็กระทบบนโล่กระดูกประหนึ่งสายฝนกระหน่ำ แสงสีเงินสว่างวาบออกมา จากนั้นเสียงปังๆ ก็ดังสนั่นในทันใด
แม้ศิษย์คิ้วเหลืองจะไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้นกรอกไอปีศาจเข้าไปในโล่กระดูกสุดชีวิตก็ยังคงถูกบีบให้ถอยร่นไม่หยุด หลังเสียงดังไม่กี่ครั้ง บนโล่กระดูกก็ปรากฏรอยร้าวลึกเส้นหนึ่ง เขารีบขอความช่วยเหลืออย่างตื่นตระหนก
“แย่แล้ว ร่างแปลงร่างนี้ร้ายกาจจริงๆ ศิษย์พี่ รีบช่วยข้าอีกแรงที!”
“ไร้ประโยชน์จริงๆ ไม่รู้ว่าตั้งแต่แรกอาจารย์ส่งเจ้าเข้ามาในแดนลึกลับได้อย่างไร!”
อีกด้านหนึ่งบุรุษสยายผมกำลังตกตะลึงกับความสามารถในการกลืนกินที่ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนใช้ออกมา เมื่อได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือ หลังเขาตวัดตากวาดมองศิษย์น้องของตนเองทีหนึ่งแล้ว ในใจพลันลอบด่าคำหนึ่ง จากนั้นพลิกมือทีหนึ่งเอาธงเล็กสีดำคันหนึ่งออกมาสะบัดใส่สหายร่วมสำนักอย่างไม่สนใจไยดี ฉับพลันแสงสีดำเข้มสายหนึ่งแล่นโถมออกมาอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นเกราะป้องกันหนาชั้นหนึ่งใกล้ๆ
ในเวลาเดียวกันนั้น แสงสีดำบนธงผืนน้อยก็กะพริบวูบหนึ่ง ควันสีดำม้วนตลบชั่วพริบตาโถมทะลักไปที่มือ กลายเป็นหอกยาวส่องแสงสีดำระยิบระยับเล่มหนึ่ง
บุรุษร่างสูงสะบัดข้อมือทีหนึ่ง หอกยาวสีดำสนิทพลันส่งเสียงฟึบแล่นออกจากบนมือ กลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งพุ่งรี่เสียบตรงเข้าใส่เชอฮ่วน
หลิ่วหมิงเห็นสภาพเช่นนี้ก็แค่นเสียงหยันทีหนึ่ง ส่งเคล็ดวิชาสายหนึ่งไปยังเงาของเชอฮ่วน
เชอฮ่วนแหงนศีรษะคำรามเบาๆ ทีหนึ่งก็กางกรงเล็บทั้งสี่กระโจนพรวดไปข้างหน้าสิบกว่าจั้งแล้วอ้าปากมหึมาออกอีกครั้ง “ฟุบ” กัดหอกยาวสีดำสนิทไว้ในปาก
เสียงปึกดังขึ้น หอกยาวสีดำสนิทถูกกัดหักเป็นสองท่อนทั้งอย่างนั้น ไอปีศาจมากมายไหลทะลักออกมาทว่ากลับถูกเงาของเชอฮ่วนกลืนไม่กี่คำลงท้องไป
“ไม่มีทาง เป็นไปได้อย่างไร?” บุรุษผู้สยายผมเห็นฉากนี้ ในที่สุดก็ตาโตอ้าปากค้าง แทบไม่อาจเชื่อสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า
เวลานี้เอง เสียง “ปัง” ทีหนึ่งก็ดังขึ้น เงาวัวสีน้ำเงินมหึมาส่องแสงวูบหนึ่งก็สลายหายไป
ในเวลาเดียวกันบนใบหน้าของหลิ่วหมิงที่ยังยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าเหี้ยมเกรียมก็ผุดพรายออกมา ฉับพลันแสงกระบี่สีทองพุ่งออกจากร่าง หลังวนเวียนบนท้องฟ้ารอบหนึ่ง แสงสีขาวสายหนึ่งก็พลันระเบิดออกมาจากปลายกระบี่ จากนั้นพร่าเลือนกลายเป็นรุ้งสีทองสว่างจ้าสายหนึ่งพุ่งเข้ามา ความเร็วประหนึ่งสายฟ้าแลบกลางฟ้าแจ้ง เร็วกว่าวิชาขี่กระบี่ทั่วไปเป็นเท่าตัว
บุรุษผมสยายไม่มีกระทั่งเวลาตอบสนอง ถูกรุ้งยาวสีทองโจมตีทำลายไอปีศาจคุ้มครองร่างพร้อมเสียงดังตูม พุ่งทะลุศีรษะไปทันที
น่าเวทนาบุรุษผมสยาย แม้ทั้งร่างจะเต็มไปด้วยวิชาลับ และมีสมบัติกับอาวุธจิตวิญญาณเต็มตัว ก็ได้แต่โงนเงนสองสามหน ธงน้อยสีดำหลุดหล่นจากมือ ศพร่วงลงมาจากท้องฟ้าทั้งๆ ที่สองตายังเบิกโพรง
ต่อจากนั้นหลิ่วหมิงผู้ยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเรียบเฉยก็ชี้นิ้วไปยังอากาศที่ว่างเปล่า
หลังรุ้งยาวสีทองวนรอบหนึ่งพลันกลายเป็นแสงกระบี่เต็มฟ้าบินเลี้ยวกลับมา พริบตาปั่นศพที่อยู่กลางอากาศกลายเป็นฝนเลือดห่าใหญ่
“ศิษย์พี่!” ศิษย์คิ้วเหลืองเห็นสถานการณ์ดังนั้นร้องตระหนกหวาดหวั่นเสียงดังทันที
และในเวลาเดียวกันโล่กระดูกสีเงินเบื้องหน้าร่างเขากลับไม่อาจต้านทานหมัดยักษ์สีทองได้อีกต่อไป เสียง “ปัง” ดังขึ้นทีหนึ่ง มันก็กลายเป็นแสงจิตวิญญาณสีเงินจุดแล้วจุดเล่าแตกกระจาย
นาทีต่อมาเงาหมัดสีทองหลายหมัดพลันพุ่งมาถึง
ศิษย์คิ้วเหลืองคำรามบ้าคลั่งฉับพลันตบถุงหนังบางถุงข้างเอว ทันใดนั้นฝนโลหิตห่าใหญ่ก็ซัดออกมาจากข้างใน ปะทะกับเงาหมัดสีทองพอดิบพอดี
เสียงฟู่ๆ ดังขึ้นสองสามครั้ง หลังเงาหมัดสีทองถูกฝนโลหิตรินรด พริบตาก็ถูกทำลายสลายไป
ทว่าตอนนี้เองด้านหลังของเขาฉับพลันมีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น กำปั้นสีทองระยิบระยับข้างหนึ่งต่อยเข้ามา พร้อมกันนั้นรอบกำปั้นยังปรากฏเงาหัวพยัคฆ์สีดำจางๆ ห้าหัวพร้อมกัน
ร่างแปลงอาภรณ์ทองนั่นเอง พร้อมกับที่โล่กระดูกแตกกระจาย มันก็ขยับบิดร่างกายสองสามหนปรากฏขึ้นหลังร่างเขาด้วยมุมที่น่าเหลือเชื่อ ส่งการโจมตีออกมาโดยไม่เกรงใจสักนิด
ด้วยพลังของหลิ่วหมิง แม้เป็นร่างแปลงที่มีพลังปราณเพียงห้าหกส่วนก็ใช้วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่ใกล้บรรลุขั้นปลายได้ พลังที่แฝงอยู่เหนือกว่าที่ผู้ฝึกฝนขั้นเดียวกันจนยากจะจินตนาการ
ศิษย์คิ้วเหลืองคิดหลบหลีกอีกก็ไม่ทันเสียแล้ว ได้แต่สีหน้าซีดเผือดเร่งใช้ปราณสีดำมืดมัวคุ้มกันร่างเอาไว้
เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้นทีหนึ่ง!
ไอปีศาจสีดำระลอกหนึ่งแผ่กระจายออกสี่ด้าน บนพื้นดินพลันปรากฏหลุมยักษ์ลึกถึงจั้งกว่าหลุมหนึ่ง ศิษย์ร่างเตี้ยทั้งร่างเลือดทะลักนอนอยู่ในหลุมยักษ์ หายใจรวยริน
ร่างแปลงอาภรณ์ทองโฉบวูบอีกหนหนึ่ง เงาร่างพลันปรากฏข้างหลุม ปลายนิ้วดีดทีหนึ่ง ปราณกระบี่หมุนสายหนึ่งพลันพุ่งพรวดออกมา พุ่งทะลุศีรษะของศิษย์ร่างเตี้ยทันที หลังจากหักเลี้ยวอีกหนหนึ่งโจมตีโซ่แห่งโชคชะตาบนข้อมือเขากระจุย
ก็เป็นเช่นนี้ แค่เวลาชั่วยกมือยกเท้า ศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับสองคนก็ล้มตายในมือหลิ่วหมิง โชคชะตาที่ครอบครองย่อมแบ่งมาอยู่ที่หลิ่วหมิงครึ่งหนึ่ง
ที่น่าเสียดายก็คือโชคชะตาของทั้งสองคนไม่มากนัก หลังหลิ่วหมิงตรวจสอบโซ่แห่งโชคชะตาของตนเองจึงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างเล็กน้อย
เขาเก็บร่างแปลงอาภรณ์ทองไป หลังเก็บกำไลเก็บของของทั้งคู่แล้วก็งอนิ้วดีดอีกหนึ่งครั้ง ปล่อยลูกบอลเพลิงหลายลูกเก็บกวาดซากร่างที่เหลืออยู่ทั้งหมดจนเกลี้ยง
จากนั้นเขาก็ไปเก็บสมุนไพรห้าสีที่อยู่ไม่ไกลเข้าไปในกล่องหยกใบหนึ่งอย่างระมัดระวัง แล้วเก็บเข้าไปในแหวนย่อส่วน
หลังทำทุกสิ่งเสร็จสิ้น หลิ่วหมิงก็เก็บซ่อนกลิ่นอาย กลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งแหวกฟ้าจากไปไกลต่อ
ผลปรากฏว่าหลิ่วหมิงนำหญ้าจิตวิญญาณจากไปได้ไม่ถึงชั่วมื้ออาหาร ตรงขอบฟ้าสายลมสีดำแถบหนึ่งพลันโหมพัดหวีดหวิวมาถึงแล้วและหยุดลงตรงจุดที่ต่อสู้กันก่อนหน้านี้
สายลมดำแยกออกปุบ ชายหนุ่มอัปลักษณ์ใบหน้าซูบตอบ สองตาขุ่นมัว ฟันหลอเต็มปาก สวมเสื้อผ้าของศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากข้างใน
ชายหนุ่มอัปลักษณ์ก้มตัวลงใช้มือลูบพื้นดินเบาๆ หลังจากนั้นใช้สองนิ้วมือวางลงที่ใต้จมูกสูดดมแล้ว ก็เผยสีหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“เจ้าโง่สองคนนี้ ท่านประมุขกำชับนักกำชับหนาแล้วว่าให้พวกเขาสังหารปีศาจอสูรสั่งสมโชคชะตาให้สบายใจ ยังไม่ประมาณกำลังตนไปหาเรื่องคนแข็งแกร่งเหล่านั้นเข้าอีก รนหาที่ตายแท้ๆ”
หลังจากเขาตรวจสอบร่องรอยการต่อสู้รอบด้านเสร็จสิ้นแล้วก็แค่นเสียงหยันทีหนึ่ง จากนั้นกลายเป็นลมสีดำประหลาดแถบหนึ่งอีกหนพัดจากไป
ครึ่งเดือนหลังจากนั้นหลิ่วหมิงตระเวนในแดนลึกลับ ตามหาวัตถุดิบกับหญ้าจิตวิญญาณล้ำค่าหายากพบอีกจำนวนหนึ่ง แล้วยังถือโอกาสสังหารปีศาจอสูรจำนวนหนึ่ง สั่งสมโชคชะตามาได้เล็กน้อย
ในเวลานี้เขากลับไม่พบศิษย์คนอื่นๆ ของนิกายยอดบริสุทธิ์เลย กระทั่งคนของสี่นิกายแปดตระกูลคนอื่นก็ไม่พบเลยสักคน
ดูท่าแดนลึกลับของงานประตูสวรรค์ครั้งนี้จะใหญ่โตกว่าที่จินตนาการเอาไว้มาก นี่ทำให้หลิ่วหมิงยิ่งค้นหาสมบัติต่อไปได้อย่างสบายใจ
ทว่าตามธรรมเนียมของงานประตูสวรรค์ในอดีต ยิ่งเข้าใกล้เขตใจกลางของแดนลึกลับ สมบัติก็ยิ่งมาก ถึงขนาดที่อาจพบมรดกวิชาลึกลับนานาชนิดมากมายที่มาจากนอกแผ่นดินจงเทียนได้
มรดกวิชาสำคัญๆ จำนวนหนึ่งในนั้นที่มีพลังแห่งโชคชะตาแฝงอยู่ยิ่งน่าตะลึง พวกมันแทบจะเป็นเป้าหมายที่ผู้แข็งแกร่งในงานประตูสวรรค์แย่งชิงกันทุกครั้ง
แม้หลิ่วหมิงจะไม่ได้จงใจเร่งรีบเดินทางไปยังใจกลางของแดนลึกลับ ทว่าวันแล้ววันเล่าผ่านไป เขาก็ห่างจากเขตใจกลางเข้าไปทุกทีๆ
วันนี้เขาใช้วิชาลับภาพสัญลักษณ์กลบกลิ่นอายไว้แล้วเข้ามาในหุบเขาที่สองฝั่งตัดชันอีกแห่งหนึ่งเพียงลำพัง เดินทางทะลุผ่านมันไป
ผลสุดท้ายเหยียบเข้าหุบเขาชันมาได้เพียงครึ่งวันก็เก็บหญ้าเทียนอิ๋นที่หาพบยากได้สามต้นกับหญ้าจิตวิญญาณที่ไม่รู้จักชื่ออีกหลายต้น
แม้วัสดุเหล่านี้จะมีราคาแค่ไม่กี่แสนหินจิตวิญญาณต่อต้น แต่เมื่อสะสมไปจำนวนก็ไม่อาจดูแคลนได้
นี่ก็เป็นสาเหตุที่เขาเข้าออกยอดเขาสูงหุบเขาชันอยู่ตลอด อย่างไรเสียไม่ว่าจะเป็นแดนลึกลับแบบไหน ปกติสถานที่ทำนองนี้ถึงเป็นจุดที่ปราณเข้มข้นที่สุด แล้วก็เป็นที่ซึ่งวัตถุจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินนานาชนิดถือกำเนิดได้ง่ายดายที่สุดด้วย
แน่นอนสถานที่ซึ่งวัตถุจิตวิญญาณปรากฏ ส่วนใหญ่แล้วรอบด้านจะมีปีศาจอสูรพิทักษ์อยู่ นอกจากนี้โดยทั่วไปแล้วยิ่งวัตถุจิตวิญญาณหายาก พลังของปีศาจอสูรที่พิทักษ์อยู่ก็ยิ่งแข็งแกร่ง
ยามนี้เบื้องหน้าหลิ่วหมิงปีศาจอสูรวิหคระดับผลึกตัวหนึ่งบินวนเวียนอยู่ มันคือวิหควายุหุบเขา
วิหคตัวนี้ทั่วทั้งร่างมีสีเทาแซมน้ำตาล รูปร่างมโหฬาร ใหญ่ยักษ์ถึงหลายจั้ง มีกรงเล็บคมกริบรูปร่างประหลาดคู่หนึ่ง นอกจากนี้ขนยังแข็งแกร่ง ความสามารถในการป้องกันสูงอย่างที่สุด อาวุธจิตวิญญาณทั่วไปไม่อาจทำร้ายมันได้สักนิด
วิหคตัวนี้พลังของมันก็ไม่อ่อนแอ นอกจากนี้น้อยนักจะปรากฏตัวเพียงลำพัง โดยทั่วไปมักจะจับกลุ่มอยู่กันสองสามตัว
แต่สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว ใช้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณสังหารวิหคตัวนี้กลับง่ายดายดั่งยกฝ่ามือ บนพื้นดินศพวิหควายุหุบเขาสองตัวทอดร่างอยู่
“ฉึบ…”
เสียงแหวกอากาศแผ่วเบาของปราณกระบี่ดังลอยมา กระบี่ว่างเปล่าพาเงาเลือนรางสายหนึ่งฟันหัวของวิหควายุหุบเขาตัวสุดท้ายอย่างฉับไว
วิหคยักษ์ร่วงหล่นกระแทกพื้นอย่างแรง โซ่แห่งโชคชะตาในมือหลิ่วหมิงดูดไอสีเทาจำนวนหนึ่งไปอีกครั้ง
เขากวักมือข้างหนึ่งเก็บกระบี่บินไป หลังจากนั้นทะยานร่างร่อนลงบนหน้าผาด้านหนึ่ง ขุดหญ้าจิตวิญญาณสูงหนึ่งฉื่อกว่าที่หน้าตาคล้ายหน่อไม้ ส่องแสงสีม่วงเป็นวงๆ ต้นหนึ่งจากบนหน้าผาสูงชัน
“หน่อไม้ธรณีม่วง น่าจะอายุหนึ่งพันสามร้อยปีแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย ค่อนข้างพึงพอใจ จากนั้นเก็บมันเข้าไปในแหวนย่อส่วน
ทว่าในเวลานี้เองใกล้ๆ กับยอดเขาลูกหนึ่งไกลออกไปเสียงวิหคร้องแกว้กๆ ดังลอยมา เหนือยอดเขาเงาร่างวิหคยักษ์สีเทาขมุกขมัวสี่ตัวบินมุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง
“ยังมีวิหควายุหุบเขาอีกสี่ตัว หรือว่าจะยังมีคนอื่นกำลังเก็บหญ้าจิตวิญญาณอยู่ที่นี่ด้วย?”
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์นี้ก็คาดไม่ถึงอย่างมาก สองตาหรี่ลงพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่ง
หลังเขาครุ่นคิดเล็กน้อยก็ทำท่ามือของเคล็ดกระบี่ กลายเป็นแสงสีทองจางๆ สายหนึ่ง เหาะตามหลังวิหคยักษ์สี่ตัวไปอย่างไร้สุ้มเสียง
ไม่ผิดจากที่คาด ห่างไปราวสี่ห้าลี้บุรุษชุดยาวสีเทาสามคนกำลังเข้าใกล้บุปผาจิตวิญญาณสวยสดดอกหนึ่งบนหน้าผาชันด้านหนึ่งอย่างระมัดระวัง
“แย่แล้ว วิหควายุหุบเขา มีตั้งสี่ตัว!” บุรุษหน้าขาวที่ดูแล้วคล้ายจะอายุมากที่สุดหนึ่งในนั้น หันศีรษะมาเห็นวิหคยักษ์สี่ตัวที่บินเข้ามาใกล้สีหน้าพลันถอดสี ร้องเตือนเสียงดัง
“ศิษย์พี่ ตอนนี้จะทำอย่างไรดี ดอกโม่หลัวยังไม่ได้มาไว้ในมือเลย วิหควายุหุบเขาก็มาถึงก่อนแล้ว จะสู้หรือหลบ?” ชายหนุ่มสีหน้าหวาดหวั่น ใบหน้าเต็มไปด้วยกระอีกด้านหนึ่งได้ยินก็รีบร้อนเอ่ยถามเสียงเบา
ชายหนุ่มรูปร่างค่อนข้างอ้วนคนสุดท้ายก็มองไปหาบุรุษหน้าขาวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความระมัดระวังด้วยเช่นกัน
ดูเสื้อผ้าบนร่างของสามคนนี้แล้ว น่าจะเป็นศิษย์ของสำนักเล็กไร้ชื่อเสียงสักแห่งบนแผ่นดินจงเทียน คนหนึ่งระดับผลึกขั้นกลาง สองคนขั้นต้น ในแดนลึกลับพลังนับว่าเป็นผู้ที่อยู่ต่ำสุด หากเผชิญหน้ากับวิหควายุหุบเขาระดับผลึกสี่ตัว ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ได้จริงๆ
แต่ดอกโม่หลัวนี่เป็นวัตถุดิบปรุงยาล้ำค่าที่โลกด้านนอกหาได้ไม่มากชนิดหนึ่ง
หลังหลิ่วหมิงซึ่งตามหลังวิหคยักษ์สี่ตัวอยู่ไกลๆ เห็นบุรุษชุดเทาสามคนนี้แล้ว แววตาก็เป็นประกายขึ้นมาเช่นกัน
ตอนที่ 780 สายแร่หยกทอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฉับพลันหลิ่วหมิงก็ทำท่ามือของเคล็ดกระบี่ด้วยมือเดียว กระบี่ว่างเปล่าพาแสงสีทองเจิดจ้าบินพุ่งออกมาจากในร่างเขา พร้อมกันนั้นปราณกระบี่แข็งแกร่งสายหนึ่งก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า จุดคลื่นพลังจิตวิญญาณ ขนาดมหึมาระลอกหนึ่งกลางอากาศ
วิหควายุหุบเขาสี่ตัวเดิมทีกำลังจะโจมตีสามคนนั้น ทว่าสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่ที่พุ่งขึ้นฟ้าด้านหลังร่างจึงพากันส่งเสียงร้องดังกังวานทีหนึ่ง ร่างกายชะงักงันจากนั้นฉับพลันบินเลี้ยวกลับกลางอากาศ จ้องหลิ่วหมิงนิ่ง
“ไป!”
เคล็ดกระบี่ในมือหลิ่วหมิงเปลี่ยนในทันที ชี้ไปหาแสงกระบี่สีทองกลางอากาศ แสงกระบี่ฉับพลันจากหนึ่งกลายเป็นสอง หลังส่องแสงวูบหนึ่งก็กลายเป็นรุ้งกระบี่สีทองยาวสี่ห้าจั้งสี่สาย แยกย้ายกันพุ่งเร็วรี่เข้าใส่วิหคยักษ์สีน้ำตาลแซมเทาทั้งสี่ตัว
วิหควายุหุบเขาสี่ตัวคล้ายสัมผัสได้ถึงอันตราย พวกมันไม่มีความคิดจะสู้สักนิด เพียงกระพือปีกทั้งคู่ ไอปีศาจสีเทาผุดจากร่างพวยพุ่งออกมาบดบังท้องฟ้าครึ่งหนึ่งเบื้องหน้าไว้แล้วฉวยจังหวะหนีกระจัดกระจาย
ก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงสังหารวิหควายุหุบเขาไปหลายตัวแล้ว เขาเข้าใจการเคลื่อนไหวหลบหลีกของพวกมันกระจ่างแจ้ง เคล็ดวิชาที่มือเปลี่ยนทีหนึ่ง รุ้งกระบี่สี่สายก็กระจายตัวติดตามไป ทิ้งเงากระบี่สีทองละลานตาสายแล้วสายเล่าไว้
ตามติดหลังจากนั้น เสียงฉึกๆ หลายครั้งแทบจะดังขึ้นพร้อมกัน!
รุ้งกระบี่สีทองสี่สายพุ่งทะลุร่างวิหควายุหุบเขาสี่ตัวประหนึ่งลมกรดสายฟ้าแลบ
วิหคยักษ์สี่ตัวไม่มีกำลังสวนกลับอย่างสิ้นเชิง หลังส่งเสียงร้องโหยหวนทีหนึ่งก็พากันหล่นร่วงลงบนพื้น
นาทีต่อมารุ้งกระบี่สี่สายก็ส่องแสงวูบทีหนึ่งแล้วประสานรวมเป็นหนึ่งกลางอากาศ กลายเป็นกระบี่บินสีทองเล่มหนึ่งใหม่อีกหน บินฟึบกลับมาในมือของหลิ่วหมิง
นับตั้งแต่ที่หลิ่วหมิงปรากฏตัว ปล่อยกระบี่บินว่างเปล่าออกมาจนกระทั่งสังหารวิหควายุหุบเขาสี่ตัวตกลงพื้นอย่างง่ายดายดั่งยกฝ่ามือ เป็นเวลาเพียงชั่วสะเก็ดไฟแลบเท่านั้น
นี่ทำให้คนชุดเทาซึ่งอยู่ด้านล่างไม่ได้ไกลที่ยังปรึกษาหาวิธีโต้ตอบไม่เสร็จ อดไม่ได้ตาโตอ้าปากกว้างพูดไม่ออก
หลิ่วหมิงร่อนลงมาจากอากาศ ลงมายืนอยู่ข้างศพวิหคยักษ์สี่ตัว หมอกสีเทาสายแล้วสายเล่าที่กำลังแผ่ออกมาจากศพเหล่านี้ม้วนเข้าไปในโซ่หยกใสในมือเขา
“ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์!” หลังทั้งสามคนเห็นชุดยาวสีน้ำเงินบนร่างหลิ่วหมิงไหนเลยจะไม่รู้ฐานะของเขา บนใบหน้าล้วนเผยสีหน้าหวาดกลัวและตกตะลึงผสมกัน
อย่างไรศิษย์ที่ถูกสี่ยอดนิกายใหญ่เลือกมาเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ที่จัดขึ้นแปดร้อยปีครั้ง ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ไม่ใช่คนที่ศิษย์ที่นิกายเล็กๆ เลือกมาเช่นพวกเขาเทียบได้สักนิด
ชายหนุ่มที่อ้วนเล็กน้อยขยับเท้าโดยไม่รู้ตัว อดไม่ได้ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“อย่าบุ่มบ่าม คนผู้นี้พลังแข็งแกร่งอย่างที่สุด ไม่ใช่คนที่พวกเราสองสามคนจะจัดการได้ ยิ่งไม่ต้องคิดหนี เช่นนั้นได้แต่รนหาที่ตายเท่านั้น” บุรุษระดับผลึกขั้นกลางผู้เป็นหัวหน้าหันศีรษะกลับไปจ้องคนด้านหลังทีหนึ่ง รีบร้อนส่งกระแสจิตเอ่ยบอก
บุรุษผู้นี้เห็นชัดว่าค่อนข้างมีอำนาจ สองคนที่เหลือได้ยินพลันยืนอยู่ที่เดิมอย่างเชื่อฟัง ไม่กล้าขยับตามใจอีก
เมื่อบุรุษระดับผลึกขั้นกลางเห็นว่าในที่สุดหลิ่วหมิงก็หมุนตัวกลับมามองพวกเขาสามคน ก็รีบสูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ประสานมือคำนับ เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า
“ข้าหวังชิงแห่งนิกายซ่อนธรณี คารวะสหาย”
“นิกายซ่อนธรณี? พวกเจ้าสามคนพลังเท่านี้ก็มาเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ อันตรายไม่น้อย” หลิ่วหมิงมองทั้งสามคน เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“สหายพูดถูกแล้ว เมื่อครู่ต้องขอบคุณสหายยิ่งที่ลงมือสังหารวิหควายุหุบเขาช่วยชีวิตพวกเราไว้” บุรุษระดับผลึกขั้นกลาง ค้อมกายคำนับอย่างนอบน้อมอีกครั้ง
“เรื่องง่ายๆ เหมือนยกมือเท่านั้น” หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าฮ่าทีหนึ่ง สายตากวาดมองโซ่แห่งโชคชะตาข้างมือทั้งสามคน
“ส…สหาย พวกเรามาจากนิกายเล็กๆ แห่งหนึ่ง เพียงคิดสั่งสมโชคชะตาจำนวนหนึ่งให้แก่นิกายจากงานประตูสวรรค์เท่านั้น หามีเจตนาอื่นไม่ หากสหายอยากแย่งชิงโชคชะตาจากมือพวกเรา พวกเราก็จะยกให้แต่โดยดี” ชายหนุ่มชุดเทาเห็นท่าทางเช่นนี้ของหลิ่วหมิง หน้าก็ถอดสี รีบร้อนเอ่ยอย่างจริงใจ
หลิ่วหมิงได้ยินมุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มจางๆ
แต่รอยยิ้มนี้ในสายตาของบุรุษชุดเทาสามคนกลับประหนึ่งกระบี่คมลอยอยู่เหนือศีรษะ ทำให้ทั้งสามคนเหงื่อกาฬแตกพลั่กในทันที
“พวกเจ้าไปเถอะ” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เอ่ยปากขึ้น
“อะไรนะ…สหายเจ้า…”
บุรุษระดับผลึกขั้นกลางได้ยินก็อึ้งงัน บนหน้าเผยสีหน้าตะลึง สองคนที่เหลือก็อึ้งไปเช่นกัน
“ทำไม ยังจะให้ข้าส่งหรือ?” หลิ่วหมิงหน้าบึ้ง เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบ
“ไม่ ไม่ ขอบคุณสหายยิ่ง” บุรุษระดับผลึกขั้นกลางพริบตาได้สติ ไหนเลยจะกล้าเอ่ยต่อ
ทั้งสามคนประสานมือพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย กลายเป็นแสงสีเทาสามสายแหวกท้องฟ้าจากไปไม่แม้แต่หันศีรษะกลับมา คล้ายกลัวว่าหลิ่วหมิงจะนึกเสียใจ ชั่วพริบตาหายไปยังขอบฟ้าไกล
หลิ่วหมิงมองเงาร่างของทั้งสามคนที่จากไปไกล บนใบหน้ากลับไม่ยินดียินร้าย เพียงร่อนลงมาจากบนท้องฟ้าถือโอกาสเก็บดอกโม่หลัวดอกนั้นบนหน้าผาลงมา
แสงสีเทาบนโซ่แห่งโชคชะตาของสามคนนี้ที่แผ่ออกมามืดหน่นอย่างที่สุด เห็นได้ชัดว่ามีโชคชะตาไม่เท่าไร เขาคร้านจะลงมือปล้นชิง
ชั่วครู่ให้หลัง หลิ่วหมิงก็กลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งอีกครั้งเหาะไปด้านหน้าต่ออย่างรวดเร็ว
วัสดุจิตวิญญาณที่นี่มากมายเช่นนี้ เขาย่อมไม่มีทางจากไป หลายวันต่อจากนั้นจึงอยู่ใกล้ๆ หุบเขาชันค้นหาวัตถุจิตวิญญาณนานาชนิดรอบด้านต่อ
บ่ายวันที่สาม ขณะใกล้พลบค่ำ หลิ่วหมิงกำลังเหาะเลียบพื้นดินอย่างเชื่องช้า ทันใดนั้นสองคิ้วก็เลิกขึ้นเล็กน้อย หยุดลำแสงลง
เมื่อครู่นี้ แมงป่องกระดูกในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณฉับพลันส่งกระแสจิตมาหาเขาประโยคหนึ่ง ทำให้หัวใจเขายินดีทันที
“เซียเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าใต้กองหินระเกะระกะที่นี่มีสายแร่จิตวิญญาณที่หายากชนิดหนึ่งงั้นหรือ?” หลิ่วหมิงพูดพลางตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณทีหนึ่ง ปราณสีดำสายหนึ่งพลันม้วนออกมากลายเป็นหญิงสาวชุดตาข่ายสีดำร่างเพรียวระหงคนหนึ่ง เซียเอ๋อร์นั่นเอง
หลิ่วหมิงใช้เท้ากระทืบบนพื้นดินเบาๆ ทีหนึ่ง จากนั้นใช้จิตสัมผัสกวาดด้านล่าง คล้ายกับว่ายังค้นไม่พบว่าพื้นดินตรงนี้มีสิ่งใดแตกต่าง
“ไม่มีทางผิด นายท่าน! ใต้ดินลึกลงไปยี่สิบสามสิบจั้งตรงนี้ก็คือสายแร่ศิลาหยกทองที่หายากอย่างยิ่ง ข้าสัมผัสได้ชัดเจน นอกจากนี้สายแร่เส้นนี้น่าจะยาวถึงสามสี่ลี้ หากขุดศิลาหยกทองทั้งหมดเหล่านี้ออกมาน่าจะมีขนาดเท่ากับกองเนินเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง” เซียเอ๋อร์เม้มปากยิ้ม พร้อมกันนั้นบนหน้าเผยสีหน้าปรารถนายิ่งออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินในใจก็ยินดียิ่ง!
ศิลาหยกทองนี้คือหินแร่ที่มีคุณสมบัติแข็งแกร่ง นอกจากนี้ค่อนข้างล้ำค่า ราคาไม่ธรรมดา ก้อนขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่งก็หลายพันหินจิตวิญญาณ ตามที่เซียเอ๋อร์บอก หากกองเป็นเนินเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง เกรงว่าราคาของมันคงไม่น้อยกว่าหลายสิบล้าน นอกจากนี้หินแร่ชนิดนี้ใช้กันอย่างกว้างขวาง เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการหลอมอาวุธราคาแพง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ออก
“แต่พวกเราคงอยู่ที่นี่นานเกินไปไม่ได้ มีวิธีใดที่สามารถรวบรวมสายแร่จิตวิญญาณเหล่านี้ให้เร็วที่สุดไหม?” หลังหลิ่วหมิงคิดในใจครู่หนึ่งก็เอ่ยถามออกมาตรงๆ
ต้องรู้ว่าในแดนลึกลับประตูสวรรค์แห่งนี้ เวลาเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่ง หากเสียเวลาอยู่ที่นี่มากเกินไป นั่นย่อมได้ไม่คุ้มเสีย
“นายท่านลืมไปแล้วหรือ หลังข้าเลื่อนระดับก็ควบคุมดินหินได้ง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ เพียงแต่สายแร่จิตวิญญาณที่ใหญ่โตเช่นนี้ เกรงว่าข้าต้องใช้เวลาไม่น้อยถึงจะย้ายมันขึ้นมาบนพื้นดินได้” เซียเอ๋อร์ยิ้มงดงาม เอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ต้องใช้เวลาประมาณเท่าไร?” หลิ่วหมิงสองคิ้วเลิกขึ้น
“นายท่าน หากเซียเอ๋อร์ใช้พลังควบคุมดินเต็มกำลัง จะขุดสายแร่ขึ้นมาทั้งหมดอย่างน้อยก็ต้องการ…เวลาสองสามชั่วยาม” เซียเอ๋อร์คิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ
“ดี ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปเถอะ ข้าจะพักอยู่ตรงนี้สักหน่อย” เมื่อได้ยินว่าต้องการแค่สองสามชั่วยามแล้ว หลิ่วหมิงก็ถอนหายใจโล่งอก เอ่ยสั่งโดยไม่หยุดคิด
หลังเซียเอ๋อร์ตอบรับคำหนึ่ง ปราณสีดำบนร่างก็พลุ่งพล่าน ร่างกายหมุนอยู่กับที่ทีหนึ่ง เกิดเสียงดังฟู่กลายร่างเป็นแมงป่องยักษ์สีเงินขนาดหลายจั้งตัวหนึ่ง สองก้ามขุดทีเดียว ร่างกายก็มุดหายไปใต้ดิน มองไม่เห็นแล้ว
หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ร่างกายขยับทีหนึ่งอย่างรวดเร็วเหาะไปถึงบนพื้นที่โล่งซึ่งอยู่ไม่ไกล หลังทานโอสถจินหยวนเม็ดหนึ่งก็นั่งขัดสมาธิ
ครู่หนึ่งให้หลัง ใต้พื้นดินพลันมีเสียงหินภูเขาสั่นสะเทือนดังออกมา เห็นชัดว่าแมงป่องกระดูกเริ่มขุดสายแร่ศิลาหยกทองแล้ว
เวลาหนึ่งเค่อให้หลังปราณสีเทาสายแล้วสายเล่าก็ลอยออกมาจากรอยแยกบนพื้นอย่างช้าๆ ทยอยซึมเข้ามาในโซ่แห่งโชคชะตาในมือหลิ่วหมิง
“เซียเอ๋อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยจากนั้นสื่อสารทางจิตเอ่ยถาม
“นายท่าน ใต้ดินมีหนอนเกราะสีเงินระดับของเหลวจิตวิญญาณไม่น้อย ข้าถือโอกาสกำจัดพวกมันไปด้วย” ในหูหลิ่วหมิงเสียงหอบเล็กน้อยของเซียเอ๋อร์ดังขึ้น
“ดี เจ้าระวังหน่อย หากพบอสูรหนอนระดับสูง จำไว้ว่าอย่าฝืนปะทะ รีบบอกข้า” หลิ่วหมิงได้ยินในใจก็ผ่อนคลายลง เอ่ยกำชับกับแมงป่องกระดูก
ดูท่าอยู่ที่นี่อสูรเลี้ยงของผู้ฝึกฝนสังหารปีศาจอสูรได้ก็ได้แต้มโชคชะตาเหมือนกัน
“เข้าใจแล้ว นายท่าน วางใจเถิด!”
หลิ่วหมิงเก็บกลิ่นอายไปทันที เขาหลอมกลืนฤทธิ์ยาฟื้นพลังเวทไปพลาง แผ่จิตสัมผัสเงียบๆ ไปพลาง
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเค่อ บนพื้นดินปรากฏรอยแยกเส้นหนึ่งพร้อมกับเสียงดังครืนๆ ครู่หนึ่ง ผลึกหินสีเหลืองลอยออกมาจากรอยแยกเป็นสาย ชิ้นที่ใหญ่มีขนาดเท่าหัวมนุษย์ ส่วนชิ้นเล็กมีขนาดเท่ามดถั่ว
ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ผลึกหินแต่ละก้อนล้วนส่องแสงรัศมีสีเหลืองขมุกขมัวออกมา ด้านในผลึกหินมีแสงสีทองประหนึ่งเส้นด้ายแผ่กระจาย สวยงามอย่างที่สุด
“ศิลาหยกทองบริสุทธิ์นัก…” สองตาของหลิ่วหมิงเบิกโตขึ้นเล็กน้อย จิตสัมผัสกวาดผ่านผลึกหิน พลังจิตวิญญาณธาตุดินเข้มข้นสายหนึ่งโถมเข้ามาใส่ใบหน้า ทันใดนั้นใบหน้าก็เผยสีหน้าพึงพอใจจางๆ ออกมา
เขายกแขนเสื้อขึ้นทีหนึ่ง แสงสว่างสายหนึ่งก็แล่นผ่านไปเก็บศิลาหยกทองที่แมงป่องกระดูกโยนออกมาทั้งหมดเข้าไปในแหวนย่อส่วน
หลังจากนั้นก็เป็นเช่นนี้ ทุกชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วยเขาจะเก็บศิลาหยกทองครั้งหนึ่ง ผ่านไปสองชั่วยามครึ่ง แมงป่องกระดูกถึงมุดออกมาจากใต้พื้นดิน ปราณสีดำบนร่างหมุนวนทีหนึ่งก็กลายร่างเป็นสตรีชุดผ้าตาข่ายสีดำคนหนึ่งใหม่อีกครั้ง
เพียงแต่เวลานี้ใบหน้าสะสวยของนางซีดขาวอยู่บ้าง นางหอบหายใจหนักไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเพราะผลาญพลังเวทกับพลังกายมากเกินไป
“เซียเอ๋อร์ ลำบากเจ้าแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนดีๆ ในถุงสักพักเถอะ” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยชม
“นายท่าน เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำ” บนหน้าเซียเอ๋อร์แดงเล็กน้อย นางเอ่ยวาจาหวานหู จากนั้นกลายเป็นปราณดำสายหนึ่งลอยกลับเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ
หลิ่วหมิงใช้จิตสัมผัสกวาดในแหวนย่อส่วนเล็กน้อย ผลึกหินเหลืองอร่ามประหนึ่งเนินเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งกินพื้นที่หนึ่งในสี่ของทั้งแหวนย่อส่วน
ศิลาหยกทองมากปานนี้ คำนวณคร่าวๆ มีค่ามากกว่าสามสิบล้านหินจิตวิญญาณ
คิดถึงตรงนี้ฉับพลันรู้สึกอารมณ์ดีอย่างยิ่ง
ขณะที่หลิ่วหมิงลุกขึ้นคิดจะออกเดินทางต่อนั่นเอง หางคิ้วก็เลิกขึ้นเล็กน้อย ฉับพลันเอี้ยวศีรษะมองไปยังยอดเขาอีกลูกหนึ่ง
เห็นเพียงท้องฟ้าไกลออกมามีแสงสีเงินจุดหนึ่งกะพริบวูบวาบคล้ายมีลำแสงสายหนึ่งปรากฏขึ้นทั้งยังกำลังมุ่งหน้าเร็วรี่มายังทิศทางที่เขาอยู่
ตอนที่ 781 เผิงเยวี่ยกับเซียนหงส์ดำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชั่วพริบตาหลิ่วหมิงกรอกพลังเวทเข้าไปในดวงตาทั้งสองข้าง เขาแหงนศีรษะเพ่งสายตามองไป ตอนนี้ถึงเห็นชัดว่าแสงสีเงินสายนั้นเกิดมาจากกระสวยสีเงินยาวสองสามจั้งอันหนึ่ง
เงาคนสีเหลืองที่สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายประหนึ่งชาวนาผู้หนึ่งกำลังยืนตระหง่านอยู่บนกระสวยสีเงิน
หลังหลิ่วหมิงเห็นหน้าตาของคนคนนั้นชัด สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไปทันที อีกฝ่ายกลับเป็นเผิงเยวี่ยที่เคยประมือกับเขา
ตั้งแต่ก่อนเข้าแดนลึกลับเขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าคนผู้นี้เป็นหนึ่งในศิษย์ที่นิกายเทียนกงเลือกมาเข้าร่วม แต่คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นคนคุ้นหน้าคนแรกที่เขาได้พบในแดนลึกลับ
แม้หลิ่วหมิงจะจดจำเผิงเยวี่ยได้ ทว่าเวลานี้อีกฝ่ายกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม มัวแต่พยายามขี่อาวุธจิตวิญญาณหนีสุดชีวิตจึงไม่รู้ตัวในทันทีว่าด้านล่างยังมีคนอื่นอยู่อีก
หลิ่วหมิงแรกเริ่มงุนงงอยู่บ้าง แต่ต่อมาในดวงตาก็ฉายแววเข้าใจจางๆ
เขาเห็นลำแสงสีดำสองสายปรากฏขึ้นกลางอากาศห่างจากหลังร่างเผิงเยวี่ยไปราวสองสามลี้ นอกจากนี้ลำแสงยังใช้ความเร็วอย่างมากไล่ตามไม่ลดละเข้ามา เทียบกับกระสวยเงินที่เผิงเยวี่ยขี่อยู่ดูท่ายังเร็วกว่าหนึ่งส่วน
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว จากนั้นร่างกายขยับไหววูบประหนึ่งภูตผีหลบอยู่หลังหินภูเขาลูกหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็เคลื่อนภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนซ่อนเร้นกลิ่นอายบนร่างกายตน
“สหายเผิง ไยต้องรีบร้อนหนีเช่นนี้ ข้ายังไม่ทันย้อนความหลังวันวานกับเจ้าดีๆ เลยนะ!” เสียงเย็นเยียบอย่างยิ่งเสียงหนึ่งดังออกมาจากลำแสงสีดำเส้นหนึ่ง
หลิ่วหมิงได้ยินแล้วรู้สึกคุ้นหู หลังจากนั้นเมื่อเพ่งสายตามองด้านในลำแสงสีดำก็อดไม่ได้อับจนคำพูด
ผู้ที่ไล่ตามอยู่ในลำแสงสีดำนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเซียนหงส์ดำสตรีนางนี้นี่เอง
“คิดไม่ถึงว่าคนของนิกายเทียนกงจะเป็นพวกหนีลนลานเหมือนหนูกันหมด” เสียงบุรุษทุ้มต่ำอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ
ทว่าเพียงไม่กี่ลมหายใจให้หลัง ลำแสงสีดำอีกเส้นหนึ่งพลันมีหมอกสีดำทะลักออกมา มันกะพริบวูบวาบกลางอากาศต่อกันสองสามหน ทุกครั้งที่กะพริบก็ขยับใกล้เข้ามายี่สิบสามสิบจั้ง หลังกะพริบครั้งที่สามก็เพิ่มความเร็วพุ่งผ่านข้างลำแสงสีเงินไปขวางอยู่หน้าร่างเผิงเยวี่ย
หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ในใจพลันสะท้าน
วิชาลับของแปดตระกูลใหญ่นี่มหัศจรรย์จริงๆ ครั้งนั้นโอวหยางเชี่ยนก็เคยใช้วิชาลับที่คล้ายการเคลื่อนย้ายตัดมิติชั่วพริบตาเหมือนกัน ทั้งสองสิ่งดูไปแล้วคล้ายกันอยู่บ้าง
เมื่อเผิงเยวี่ยเห็นว่าหนีไม่พ้นแล้ว มือข้างหนึ่งจึงใช้เคล็ดวิชาหยุดแสงสีเงินใต้เท้า พร้อมกันนั้นมือแต่ละข้างก็คว้าลูกแก้วกลมสีเหลืองลูกหนึ่งขึ้นมาถือไว้ สายตาเย็นเยียบมองยังคนที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลัง
“ได้ยินว่าหลายสิบปีก่อนเจ้าเคยไล่ตามน้องสาวข้านานสามวันเต็มๆ วันนี้ไล่ตามเจ้าเพียงครึ่งวัน ยกประโยชน์ให้เจ้าแล้ว” ลำแสงด้านหน้าดับลงเผยชายหนุ่มชุดดำหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่ง เขาก็คือชายหนุ่มซึ่งบอกว่าตนเป็นพี่ชายของเซียนหงส์ดำที่เคยพบหน้ากันในงานแลกเปลี่ยนก่อนหน้านี้นี่เอง
“ไยต้องอ้างเรื่องเหล่านี้ พวกเจ้าสองคนต้องการของบนตัวข้าก็อาศัยความสามารถมาเอาไป! งานแลกเปลี่ยนหนึ่งเดือนก่อนพวกเจ้าทำร้ายศิษย์พี่ข้าบาดเจ็บหนัก วันนี้ข้าจะได้สะสางให้เรียบร้อยเสียที่นี่” เผิงเยวี่ยแค่นเสียงเหอะ แววตาทอประกายสองสามทีก็เหยียบกระสวยสีเงินดิ่งลงไปด้านล่าง
“เหอะ ศิษย์พี่ผู้นั้นของเจ้าฝีมือสู้ผู้อื่นไม่ได้แล้วยังคิดจะสู้ ก็แค่ไม่ประมาณกำลังตนเท่านั้น” พี่ชายของเซียนหงส์ดำหัวเราะพลางเอ่ยขึ้น พร้อมกันนั้นแสงสีดำรอบร่างพลันซัดไล่ตามลงไปเบื้องล่างด้วย
เซียนหงส์ดำด้านหลังหัวเราะเสียงหวาน ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งก็ตามกระสวยสีเงินไปเช่นกัน
แสงสีเงินกะพริบวูบหนึ่ง เผิงเยวี่ยกระโดดลงมาจากกระสวยสีเงินอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันสายตาก็กวาดผ่านรอบด้านทันที ไม่สนใจเซียนหงส์ดำกับพี่ชายบนท้องฟ้าสักนิด
ชายหนุ่มชุดดำที่ตามลงมาติดๆ เห็นสภาพนี้บนหน้าก็ปรากฏสีหน้าเหี้ยมเกรียมวูบหนึ่ง เขายกมือขึ้นกำลังจะลงมือ
ทว่าเวลานี้เองเซียนหงส์ดำซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งกลับเอ่ยปากขึ้นอย่างชิงชัง
“ท่านพี่ ท่านรอเสริมทัพให้น้อง ให้ข้าจะลงมือจัดการเขาสะสางความแค้นในวันวานเอง!”
“ก็ได้ แต่น้องเล็กต้องระวัง พลังของคนผู้นี้ไม่อ่อนแอกว่าเจ้า” ชายหนุ่มชุดดำได้ยิน แรกสุดคิ้วขมวดเล็กน้อย ชั่วครู่ให้หลังถึงพยักหน้า หลังริมฝีปากขยับนิดหนึ่งส่งกระแสจิตหาเซียนหงส์ดำสองสามประโยคแล้ว ร่างกายจึงขยับวูบหนึ่งไปยืนมือไพล่หลังอยู่บนหินภูเขาลูกหนึ่งห่างไปหลายจั้ง
เผิงเยวี่ยเห็นภาพนี้พลันยิ้มหยันแต่ไม่เอ่ยวาจา เขาเพียงยกมือข้างหนึ่งขึ้นเก็บกระสวยสีเงินข้างกายไปทีละอัน ส่วนมืออีกข้างหนึ่งขยับส่งลูกแก้วกลมสีเหลืองขุ่นสองลูกออกมาบินวน พร้อมกันนั้นสิบนิ้วก็ดีดรัวใช้เคล็ดวิชาออกมาอย่างว่องไว
เสียงปุ้งดังขึ้นสองที!
แสงสีเหลืองส่องสว่างวูบหนึ่ง ลูกแก้วกลมสองลูกก็เปลี่ยนกลายเป็นหุ่นเกราะสีทองสูงสามสี่จั้งสองตัว แยกย้ายกันยืนอยู่สองข้างกายของเขา
รอบร่างของหุ่นสีทองสองตัวนี้ลวดลายจิตวิญญาณสีทองงดงามประณีตอย่างที่สุดแผ่คลุมอยู่ มันแผ่กลิ่นอายแข็งแกร่งที่เทียบได้กับระดับผลึกขั้นปลายออกมาบางๆ
วิชาหุ่นของนิกายเทียนกง ในแผ่นดินจงเทียนเรียกได้ว่าไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก ไม่มีผู้ใดไม่เคยได้ยิน หุ่นสีทองสองตัวนี้ดูแล้วยิ่งเป็นระดับสุดยอดในนั้น
พี่ชายของเซียนหงส์ดำเห็นภาพนี้ ฉับพลันสีหน้าปรากฏความเครียดจางๆ ทันที
เซียนหงส์ดำเห็นภาพนี้กลับเลิกคิ้วดำขึ้น มือข้างหนึ่งทำท่ามือ เสียง “ตึง” ดังขึ้นทีหนึ่ง รอบร่างเปลวเพลิงสีดำชั้นหนึ่งลุกโหมออกมา พร้อมกับเสียงใสกังวานสายหนึ่ง เพลิงสีดำทั้งหมดพลันไหลเร็วรี่ผนึกรวมกันกลายเป็นเงาวิหคสีดำตัวใหญ่ราวจั้งกว่าเหนือศีรษะของนาง
เผิงเยวี่ยแค่นเสียงเหอะคำหนึ่ง เขายังไม่ทันได้เคลื่อนไหว หุ่นเกราะทองสองตัวพลันก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ปราณบนร่างเพิ่มพรวดขึ้นอีกหน สภาพราวกับห่างจากระดับผลึกขั้นปลายอยู่เพียงหนึ่งเส้นกั้นเท่านั้น
ศึกใหญ่ระหว่างทั้งสองกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว แต่ฉับพลันชายหนุ่มชุดดำด้านหลังก็สีหน้าเปลี่ยนไป เขาหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ดวงตาเปล่งกระกายมองไปยังก้อนหินสีดำขนาดมหึมาก้อนหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกล พร้อมกันนั้นปากก็ตวาดเอ่ยขึ้น
“ผู้ใดลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงนั้น?”
เซียนหงส์ดำกับเผิงเยวี่ยได้ยินพลันตื่นตระหนก สายตากวาดมองไปพร้อมกัน
ที่นี่ยังมีคนอื่นอีกหรือ?
ก้อนหินดำอยู่ห่างจากทั้งสามคนแค่ห้าหกสิบจั้ง ระยะใกล้เช่นนี้ พวกเขากลับสัมผัสความผิดปกติทางด้านนั้นไม่ได้เลยสักนิด
“ฮ่ะฮ่ะ คำพูดของสหายแปลกจริง ข้าอยู่ตรงนี้มาก่อนแท้ๆ กลับกลายเป็นพวกลับๆ ล่อๆ ไปได้อย่างไร?” หลังเสียงหัวเราะเบาๆ สายหนึ่ง เงาร่างที่สวมชุดสีน้ำเงินร่างหนึ่งก็ก้าวออกมาจากหลังก้อนหินสีเขียวช้าๆ
“เจ้าคือใคร…หืม? ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์!” ชายหนุ่มชุดดำสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังกวาดสายตาทีหนึ่งก็เห็นเครื่องแต่งกายบนร่างหลิ่วหมิงชัดเจนทันที
“เจ้าคือหลิ่วหมิง!” เซียนหงส์ดำเห็นหน้าตาของหลิ่วหมิงชัด หลังตกตะลึงเล็กน้อยในตอนแรกก็โพล่งปากตามทันที
“ที่แท้ก็พี่หลิ่วนี่เอง ดีเหลือเกิน!” หลังเผิงเยวี่ยจำหลิ่วหมิงได้ปุบก็มองไปอย่างดีใจยิ่ง
พูดไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างนิกายเทียนกงกับนิกายยอดบริสุทธิ์ก็ไม่เลว ส่วนพลังของหลิ่วหมิง เผิงเยวี่ยก็เคยประจักษ์กับตาตนเองมาก่อนแล้ว แม้ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายสิบปี แต่ยามนี้ก็คงไม่ด้อยกว่าเขามากนัก
เมื่อเป็นเช่นนี้ ดวลสองต่อสอง ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเขาจะรักษาโซ่แห่งโชคชะตาบนข้อมือเอาไว้ได้
“พี่เผิง ดูท่าท่านกับข้าจะมีวาสนากันจริงๆ ขนาดที่แบบนี้ยังพบหน้ากันได้อีก” หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์ก็ประสานมือให้เผิงเยวี่ยแล้วยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้น
ตอนที่เซียนหงส์ดำเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันจ้องหลิ่วหมิงเขม็ง พี่ชายของนางกลับสายตาเย็นเยียบประหนึ่งน้ำแข็ง หลังประเมินหลิ่วหมิงตั้งแต่บนจรดล่างแล้วถึงเอ่ยปากขึ้นช้าๆ
“ที่แท้เจ้าก็คือศิษย์ที่ฝึกฝนวิชามารผู้นั้นของนิกายยอดบริสุทธิ์นั่นเอง ครั้งนั้นที่ซากโบราณของเผ่ามารเจ้าทำร้ายน้องสาวข้าจนบาดเจ็บหนัก ในเมื่อวันนี้พบเจ้าก็จะขอจัดการเสียเลยแล้วกัน?”
หลิ่วหมิงได้ยิน สมองก็หมุนเร็วรี่
ดูท่าวันนั้นเซียนหงส์ดำเห็นเขาดูดกลืนไอปีศาจจึงเข้าใจผิดว่าสิ่งที่เขาฝึกฝนคือวิชาสายมาร แต่เรื่องนี้หลิ่วหมิงย่อมไม่อธิบายอันใด เพียงยิ้มจางๆ เท่านั้น
ได้ยินว่าฝึกฝนวิชามาร เผิงเยวี่ยก็เผยแววตาประหลาดใจเล็กน้อยมองไปยังหลิ่วหมิง แต่ไม่ทันที่เขาจะเอ่ยอันใดก็ได้ยินชายหนุ่มชุดดำตวาดแผ่วเบาคำหนึ่งออกมา หมอกสีดำโถมทะลักออกมาจากสองแขน ชั่วพริบตาท่อนแขนก็ขยายพรวดจนหนาเท่าปากชาม ลวดลายจิตวิญญาณสีดำมากมายถี่ยิบกะพริบวูบวาบอยู่บนผิวแขนไม่หยุด
หลังจากนั้นสองแขนของชายหนุ่มชุดดำก็สั่นระรัว ไอหมอกสีดำขมวดรวมกันปรากฏเป็นเงากรงเล็บยักษ์ขนาดสิบจั้งกว่าข้างหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด กรงเล็บพร่าเลือนหายไปวูบหนึ่งก็พาแรงกดดันน่าหวาดหวั่นตะปบลงมายังจุดที่หลิ่วหมิงอยู่
ก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงเคยเห็นชายหนุ่มชุดดำใช้การโจมตีนี้ที่งานแลกเปลี่ยนมาก่อน ในใจรู้ถึงพลังมหาศาลของมัน วันนั้นศิษย์นิกายเทียนกงผู้นั้นกระบวนท่าเดียวก็ถูกวิชาลับนี้ทำร้ายบาดเจ็บ หลิ่วหมิงไม่กล้าชักช้ารีบใช้วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬทันที บนร่างปราณสีดำจางๆ แผ่ออกมา พร้อมกันนั้นสองแขนก็สั่นไหว เสียงพยัคฆ์คำรามก้องฟ้าดังขึ้น เงาหัวพยัคฆ์มหึมาสีดำใหญ่จั้งกว่าสองหัวก่อตัวออกมาบนแขนในชั่วพริบตา
แสงสีดำกะพริบวูบหนึ่ง เงาหัวพยัคฆ์สองหัวชั่วพริบตาผสานกลายเป็นร่างเดียว โครงร่างขยายพรวดขึ้นอีกรอบหนึ่ง มองดูแล้วประหนึ่งร่างจริง มันร้องคำราม พุ่งรวดเร็วออกมาจากแขนของหลิ่วหมิง
เสียงเปรี้ยงดังสนั่นขึ้นทีหนึ่ง!
กลางท้องฟ้าเงาหัวพยัคฆ์สีดำกับกรงเล็บยักษ์ปะทะกันในทันใด
สองฝ่ายล้วนสีดำขมุกขมัว แต่ทั้งร่างกรงเล็บยักษ์ส่องสว่างเลือนราง ดูแล้วเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกลับชั่วร้ายที่บอกไม่ถูกบางอย่าง ส่วนกลิ่นอายของเงาหัวพยัคฆ์กลับรุนแรงบ้าคลั่งอย่างยิ่งประหนึ่งบรรจุพลังมหาศาลอยู่ข้างใน แล้วยังแผ่พลังเย็นยะเยือกสายหนึ่งออกมาเลือนรางอีกด้วย
หลังเงาสองก้อนบดขยี้ปะทะกันอย่างรุนแรงพักหนึ่งแล้วก็ระเบิดออกพร้อมกับเสียงบึ๊ม คลื่นปราณสีดำวงแล้ววงเล่ากลายเป็นพายุพัดโถมออกไปสี่ด้านแปดทิศในทันที
หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงร่างกายสั่นสะท้าน ทันใดนั้นแรงสะท้อนมหาศาลสายหนึ่งก็ผลักเขาถอยหลังไปไกลสิบกว่าก้าวถึงหยุด ร่างยืนมั่นคงได้อีกหน
ชายหนุ่มชุดดำฝั่งตรงข้ามสีหน้าเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง ร่างกายก็โซเซพุ่งถอยไปด้านหลังเช่นเดียวกัน ทว่าปลิวออกไปไกลเพียงไม่กี่จั้งเท่านั้น บนแผ่นหลังก็ส่งเสียงพรึ่บทีหนึ่ง เงาปีกมหึมาสีดำคู่หนึ่งพลันงอกออกมา หลังกระพืออย่างแรงสองสามหนถึงหวุดหวิดหยุดร่างลงได้
ดูจากการโจมตีนี้หลิ่วหมิงครองความเหนือกว่าอยู่อย่างหวุดหวิด
“เก่งกาจจริงๆ”
หลังชายหนุ่มชุดดำสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ใบหน้าบิดเบี้ยวอยู่บ้าง ทว่าสายตาที่มองมายังหลิ่วหมิงอีกครั้งกลับเผยแววตาตื่นเต้นจางๆ ออกมา
แขนของเขาสั่นไหววูบหนึ่ง แขนซ้ายกำข้อมือของแขนขวาแน่น ทำท่ามือท่าหนึ่งตรงกลางหน้าอก พร้อมกันนั้นปากก็ท่องมนตร์ ปราณดำโถมทะลักออกมาจากทั่วร่างพักหนึ่ง เงาฝ่ามือยักษ์สีเทาหนาผิดปกติขนาดเท่าบ้านหลังหนึ่งก็รวมตัวกันกลางท้องฟ้าเหนือตัวเขา จากนั้นตบเข้าใส่จุดที่หลิ่วหมิงอยู่
แม้เงาฝ่ามือยักษ์สีเทานี้จะมีขนาดใกล้เคียงกับกรงเล็บยักษ์ก่อนหน้านี้ แต่พลังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่ซึ่งฝ่ามือยักษ์วาดผ่านไป อากาศรอบด้านฉับพลันบิดเบี้ยวเป็นระลอกคลื่นวงแล้ววงเล่าทั้งยังพาเสียงอสนีบาตคำรนดังสนั่นครั้งแล้วครั้งเล่ามาด้วย
ตอนที่ 782 แผ่นมรดก
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พี่หลิ่วระวัง วิชาที่คนผู้นี้ฝึกฝนอาจเป็นวิชาเก้าปีศาจร้ายจำแลง วิชาของผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่หายสาบสูญไปนานซึ่งเมื่อจำแลงร่างแล้วสามารถใช้พลังของปีศาจอสูรเก้าชนิดได้ ครั้งนี้เป็นพลังของหมี มีจุดเด่นที่พละกำลัง” เผิงเยวี่ยเห็นสถานการณ์ สีหน้าก็เปลี่ยนไป เขาคล้ายจะเดาวิชาของบุรุษชุดดำออกจึงรีบร้อนเตือนเสียงดัง
หลิ่วหมิงได้ยิน ในใจพลันสะท้าน
ใบหน้างามของเซียนหงส์ดำกลับเคร่งขรึมลง ดูท่าสิ่งที่เผิงเยวี่ยพูด คงจะถูกต้องแปดถึงเก้าในสิบส่วน
ชายหนุ่มชุดดำกลับไม่สนใจที่เผิงเยวี่ยตะโกนเปิดโปงที่มาวิชาของเขาสักนิด ตรงกันข้ามกลับหัวเราะบ้าคลั่ง ก่อนหน้าที่เงาฝ่ามือหมีสีเทาจะร่วงลงมา หนึ่งดัชนีก็จี้ใส่อากาศอีก
เสียงพรวดดังขึ้น
รอบฝ่ามือยักษ์สีเทาแสงสีเทาฉับพลันรวมเข้าด้วยกัน ลวดลายจิตวิญญาณสีแดงสดเห็นชัดเจนตัวแล้วตัวเล่าปรากฏขึ้นเลือนราง ดูไปแล้วประหลาดยิ่งนัก
หลิ่วหมิงคิ้วขมวดเล็กน้อย เช่นเดียวกับที่ในใจเกิดความรู้สึกประหลาด ทว่าเงาฝ่ามือหมีเพียงชั่วครู่ก็มาถึงตรงหน้า ในตอนนั้นไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดเพิ่ม เขาตวาดก้องคำหนึ่ง เสียงมังกรคำรามก้องฟ้าก็ดังขึ้นพร้อมกัน มังกรหมอกสีดำห้าตัวพุ่งขึ้นฟ้าจากหลังร่างเขา หลังเลื้อยวนกลางอากาศรอบหนึ่ง ทั้งห้าตัวก็รวมเป็นหนึ่งกลายเป็นมังกรหมอกสีดำยาวสามสี่สิบจั้งหนึ่งตัว
สองตาของมังกรเปล่งประกายเจิดจ้า มันสะบัดกรงเล็บทั้งคู่ด้านหน้า ปากอ้ากว้างพุ่งเข้าใส่ฝ่ามือยักษ์สีดำ
ภาพแปลกประหลาดภาพหนึ่งพลันปรากฏขึ้น
ชั่วพริบตาที่มังกรหมอกมหึมาซึ่งดูทรงพลังเกรี้ยวกราดแตะถูกฝ่ามือหมีสีเทา เสียงปังทีหนึ่งก็ดังขึ้น ถูกโจมตีทีเดียวก็พังทลายกลายเป็นปราณสีดำสายแล้วสายเล่าทั่วท้องฟ้าเสมือนไม่มีกำลังต้านทานสักนิด
เซียนหงส์ดำเห็นสถานการณ์ บนใบหน้าพลันเผยสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นนิดๆ
เผิงเยวี่ยเห็นสถานการณ์เช่นนี้ สีหน้ากลับเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ทว่าแม้หลิ่วหมิงจะอึ้งอยู่บ้างเช่นกัน แต่เขาก็ไม่มีท่าทางคล้ายจะหลบหลีกสักนิด ทว่าสองมือพลันกำเป็นหมัด ปากเอ่ยคำว่า “ระเบิด” ออกมาเบาๆ
ปราณดำที่กระจายอยู่ทั่วทั้งท้องฟ้าชั่วพริบตากลายเป็นแสงสีดำประหลาดสายแล้วสายเล่ามากมายพุ่งผ่านฝ่ามือยักษ์ไป เพียงชั่วครู่ก็ทิ้งรูเล็กจิ๋วนับไม่ถ้วนไว้ด้านบน
เสียงปุ้งดังขึ้นทีหนึ่ง เงาฝ่ามือหมีมหึมาพร่าเลือนทีหนึ่งก็พังทลายสลายไป
เซียนหงส์ดำเห็นภาพนี้ สีหน้ายินดีบนใบหน้าพลันชะงักค้างฉับพลันกลายเป็นย่ำแย่อยู่บ้าง
เผิงเยวี่ยกลับพรูลมหายใจยาวทีหนึ่ง ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด หลิ่วหมิงที่มีสีหน้าเคร่งขรึม ก็หมุนร่างกายประหนึ่งสายฟ้าแลบ ฟันหนึ่งฝ่ามืออกมาจากด้านหลังร่างโดยพลัน
เงาหมัดสีดำหมัดหนึ่งก่อตัวขึ้น หลังส่งเสียงหนักๆ ทีหนึ่งก็ปะทะเข้ากับบางสิ่งกลางอากาศ
สายลมแรงสีดำรุนแรงสายหนึ่งกระจายไปรอบด้าน เงาหมัดแตกสลายพร้อมเกิดเสียงดังสนั่น
พี่ชายของเซียนหงส์ดำผู้นี้ไม่รู้ใช้วิธีการใดส่งการโจมตีครั้งที่สามออกมาอย่างเงียบเชียบ ทั้งยังหลบเร้นมาทางด้านหลังของร่างหลิ่วหมิงได้อย่างน่าประหลาดจากนั้นก็ส่งการโจมตีกะทันหัน
หลิ่วหมิงหมุนตัวอีกครั้ง เขามองไปทางชายหนุ่มชุดดำ เอ่ยขึ้นพร้อมสายตาเย็นเยียบว่า
“เป็นการโจมตีล่องหนที่ดี นี่ก็เป็นวิชาลับของเก้าปีศาจร้ายจำแลงด้วยหรือ?”
หากไม่ใช่พลังจิตของเขาเหนือกว่าคนระดับเดียวกันอยู่มาก เกรงว่าคงสัมผัสการโจมตีประหลาดเช่นนี้ของชายหนุ่มชุดดำไม่ได้เหมือนกัน
เวลานี้สีหน้าตื่นเต้นบนใบหน้าของชายหนุ่มชุดดำหายไปแล้ว กลับกันเขาเผยสีหน้าประหลาดใจจางๆ ออกมา เขาไม่ได้ลงมือต่อ หลังมองหลิ่วหมิงที่นิ่งเงียบอยู่นาน ฉับพลันก็หัวเราะเอ่ยขึ้นว่า
“สหายหลิ่วเก่งกาจไม่ธรรมดาจริงๆ มู่หรงเซวี่ยเยวี่ยได้รับการสั่งสอนแล้ว วันนี้พวกเราเพิ่งเข้าแดนลึกลับประตูสวรรค์มาไม่นาน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนสู้ศึกใหญ่กันเดี๋ยวนี้ วันเวลายังอีกยาวไกล หนี้เก่าของน้องเล็กรอวันหลังค่อยสะสางเถอะ น้องเล็ก พวกเราไป”
ชายหนุ่มชุดดำเด็ดขาดฉับไว เอ่ยจบพลันส่งสายตาให้เซียนหงส์ดำที่อยู่ไม่ไกล รอบร่างแสงสีดำม้วนออกมากลายเป็นลูกบอลแสงลูกหนึ่งลอยขึ้นฟ้าไปทันที
เซียนหงส์ดำได้ยินดังนั้น สีหน้ามืดครึ้มเปลี่ยนไปมาพักหนึ่ง ทว่าหลังมองหลิ่วหมิงอย่างเคียดแค้นทีหนึ่งแล้ว ท้ายที่สุดก็ยังคงกระทืบเท้าทีหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าไป
ชั่วพริบตาทั้งสองคนก็กลายเป็นลำแสงสีดำสองสายแหวกท้องฟ้าจากไปอีกครั้ง ลำแสงกะพริบวูบไหวไม่กี่ทีก็หายไปจากสายตาของหลิ่วหมิงอย่างสิ้นเชิง
หลิ่วหมิงมองทิศทางที่ทั้งสองคนหายไปด้วยแววตาสั่นไหวเล็กน้อย ไม่มีความคิดที่จะไล่ตามไปเลยสักนิด
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณพี่หลิ่วอย่างยิ่งจริงๆ ที่ลงมือช่วยเหลือ!” เวลานี้เผิงเยวี่ยทั้งตกตะลึงทั้งยินดีระคนกัน หลังก้าวเร็วเข้ามาก็ประสานมือเอ่ยขอบคุณหลิ่วหมิงอย่างซาบซึ้ง
“พี่เผิงเกรงใจไปแล้ว ต่อให้ไม่มีพี่เผิง สองคนนี้ในเมื่อพบข้าแล้วย่อมไม่มีทางปล่อยไป” หลิ่วหมิงได้ยินจึงหมุนตัวกลับมาเอ่ยตอบอย่างเกรงใจ
“คิดไม่ถึงว่าครานั้นจากกันที่ใกล้ๆ ทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์จากกันทีก็หลายสิบปี พลังของพี่หลิ่วก้าวหน้าก้าวกระโดดจนถึงขั้นนี้ เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายแล้ว น่ายินดีน่าฉลองจริงเชียว” หลังเผิงเยวี่ยมองประเมินหลิ่วหมิงอย่างละเอียดอีกสองสามทีก็เอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึงอยู่บ้าง
“นี่นับเป็นอันใดได้! พี่เผิงไม่ใช่ว่าก็เข้าสู่ระดับผลึกขั้นกลางแล้วเหมือนกันหรือ ผนวกกับหุ่นแข็งแกร่งสองตัวนี้ เกรงว่าผู้ฝึกฝนขั้นปลายทั่วไปก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพี่เผิง” หลิ่วหมิงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยขึ้น พร้อมกันนั้นสายตาก็เหล่มองหุ่นสองตัวด้านข้างทีหนึ่ง
“ขายหน้าแล้ว! ข้าไหนเลยจะเทียบกับพี่หลิ่วได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกสองคนนั้นไล่ล่าหนีหัวซุกหัวซุน พูดไปแล้วแดนลึกลับประตูสวรรค์นี่ก็มีอันตรายรายล้อมรอบด้าน วันนี้การต่อสู้ระหว่างนิกายและตระกูลใหญ่แต่ละแห่งเกิดขึ้นไม่หยุด ไม่สู้พี่หลิ่วร่วมเดินทางกับข้าดีหรือไม่ หากท่านกับข้าร่วมมือกันคงหลบเลี่ยงความยุ่งยากได้ไม่น้อย” หลังลังเลพักหนึ่งเผิงเยวี่ยก็กวักมือข้างหนึ่งเก็บหุ่นทั้งสองตัวไปแล้วเอ่ยเช่นนี้
“นี่…” หลิ่วหมิงนิ่งงันไปชั่วครู่ เริ่มลังเลอยู่บ้าง
เผิงเยวี่ยพูดไม่ผิด หลายวันนี้การต่อสู้ในแดนลึกลับรุนแรงขึ้นทุกที ขนาดเขาหลบอยู่ในเทือกเขาแห่งนี้ยังพบการต่อสู้อยู่หลายครั้ง
ด้วยพลังของเขาแม้เชื่อมั่นว่าจะปกป้องตนเองได้ แต่คิดจะคว้าโชคชะตาให้มากขึ้นหน่อย ไม่ไปใจกลางแดนลึกลับสักเที่ยวคงไม่ได้
ส่วนเขตใจกลางที่นั่นเป็นแหล่งรวมตัวของผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงของแต่ละนิกายแต่ละสำนัก เกรงว่าคนไม่น้อยคงไม่อ่อนแอไปกว่าเซียนหงส์ดำกับพี่ชายที่พบเมื่อครู่ เขาบุกเข้าไปเพียงลำพังคนเดียว พลังอ่อนแออยู่บ้างจริงๆ
“พี่หลิ่ว ท่านลองดูสิ่งนี้ก่อนค่อยตัดสินใจก็ไม่สาย” เผิงเยว่คล้ายมองความลังเลของหลิ่วหมิงออก เขาล้วงเศษแผ่นค่ายกลที่ดูเก่ามากชิ้นหนึ่งออกมาแล้วกรอกพลังเวทเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
บนแผ่นค่ายกลส่งเสียงดังฮึมฮำพักหนึ่ง แสงสีทองก็สว่างขึ้น พร้อมกันนั้นเมฆแสงสีทองผืนใหญ่ก็ลอยออกมาฉายแผนที่แผ่นหนึ่งขึ้นกลางอากาศ บนนั้นเห็นชัดว่ามีจุดแสงสีทองสะดุดตาจุดหนึ่งกะพริบวูบไหวไม่หยุด
“มรดกแผ่นค่ายกล แล้วยังเป็นสีทองด้วย!” หลิ่วหมิงเห็นสิ่งนี้แล้วตกตะลึงจริงๆ
“ไม่ผิด มันก็คือมรดกแผ่นค่ายกล สองวันก่อนหน้านี้หลังข้าทุ่มสุดกำลังสังหารปีศาจอสูรระดับแก่นเสมือนตัวหนึ่งได้ก็พบเศษแผ่นค่ายกลชิ้นนี้ในร่างของมัน สาเหตุที่ตระกูลมู่หรงสองคนนั้นไล่ตามข้าไม่เลิกราก็เพื่อของชิ้นนี้ คิดว่าพี่หลิ่วก็คงรู้ ตามธรรมเนียมขอเพียงรวบรวมเศษแผ่นค่ายกลทั้งแปดชิ้นได้สำเร็จก็จะเปิดทางไปยังดินแดนแห่งมรดกสำคัญในแดนลึกลับประตูสวรรค์ได้ เศษแผ่นค่ายกลชิ้นอื่นเกรงว่าคงมีคนหาพบและเร่งเดินทางไปที่นั่นแล้ว ดังนั้นข้าหวังว่าพี่หลิ่วจะช่วยข้าอีกแรง หลังรวบรวมแผ่นค่ายกลของครั้งนี้ครบจะได้เข้าไปยังดินแดนแห่งมรดกด้วยกัน” เผิงเยวี่ยอธิบายอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงได้ฟังเกี่ยวกับการเปิดทางไปสู่มรดกในดินแดนลึกลับประตูสวรรค์มาจากพวกหลงเหยียนเฟยนานแล้ว
ตามที่สตรีนางนั้นเล่า โดยปกติดินแดนแห่งมรดกที่แสดงตำแหน่งด้วยสีทองบ่งบอกว่ามรดกที่ซ่อนไว้ไม่ใช่ของเล็กน้อย แต่เหนือกว่ามรดกชิ้นเล็กชิ้นน้อยทั่วไปจนเทียบกันไม่ได้ พลังแห่งโชคชะตาที่แฝงอยู่ย่อมน่าตะลึงยิ่งเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังหลิ่วหมิงพิจารณาเพียงชั่วครู่ก็พยักหน้าตกลง
“ในเมื่อพี่เผิงพูดเช่นนี้ หากข้าปฏิเสธก็เป็นการไม่เคารพแล้ว เดินทางไปดินแดนแห่งมรดกบนแผนที่ด้วยกันเถอะ”
“ดี! มีพี่หลิ่วช่วยเหลือ เชื่อว่าการเข้าไปยังดินแดนแห่งมรดกของพวกเราย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไรแน่!” เผิงเยว่ได้ยินก็ยินดียิ่ง
ดังนั้นทั้งสองคนจึงศึกษาแผนที่ซึ่งแผ่นค่ายกลแสดงออกมาด้วยกัน หลังปรึกษากันพักหนึ่งจึงกลายเป็นลำแสงสองสายสีทองสายหนึ่งสีเงินสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
…..
ในเวลาเดียวกัน ลึกลงไปยังที่ใดสักแห่งของใต้ดินที่ทั้งมืดมิดและไร้แสงสว่าง เสียงสามเสียงกำลังพูดคุยกันอยู่
“ฮ่ะฮ่ะ เศษชิ้นส่วนมรดกของผู้เฒ่าหลัวถูกกระตุ้นเจ็ดชิ้น ขาดเพียงชิ้นสุดท้าย ขอเพียงครั้งนี้เศษชิ้นส่วนแปดชิ้นถูกคนหาพบ คนเหล่านี้ก็จะเปิดมรดกของเขาได้” เสียงแหลมเล็กเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ดีเหลือเกิน! ในที่สุดวันที่รอก็มาถึง! หลายหมื่นปีนี้พวกเราสั่งสมโชคชะตาทีละเล็กละน้อยจนใกล้จะอิ่มตัวแล้ว ขอเพียงมดปลวกในโลกมนุษย์เหล่านี้เปิดมรดกออกมา พวกเราก็สังหารพวกเขาให้เกลี้ยงโดยไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นแล้วชิงเอาพลังแห่งโชคชะตาในมรดกของผู้เฒ่าหลัวไป จากนั้นพวกเราก็อาศัยพลังของมันทำลายแดนลึกลับแห่งนี้ในครั้งเดียวได้แล้ว” เสียงหัวเราะหวานของสตรีที่ฟังแล้วชวนให้วิญญาณของคนหลุดออกจากร่างเสียงหนึ่งฉับพลันดังขึ้น ในถ้อยคำเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดีไร้ที่สิ้นสุด
“อืม พวกเราสามตนเป็นตัวตนระดับใด ผลสุดท้ายกลับถูกพวกตาเฒ่าวังสวรรค์พวกนี้ลอบโจมตี แล้วบังคับกักขังอยู่ในแดนลึกลับแห่งนี้ อาศัยดูดพลังเวทและเลือดของพวกเรามาเสริมความแข็งแกร่งให้แดนลึกลับแห่งนี้ รอข้าหลุดออกจากพันธนาการของดินแดนแห่งนี้ปุบ จะต้องรายงานท่านหมิงหมู่ให้นำคนในเผ่าบุกโลกใบนี้ สังหารสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ให้เหี้ยนถึงจะระบายความแค้นในหัวใจของข้าได้!” เสียงบุรุษเสียงที่สามแหบแห้งอยู่บ้าง ฟังคล้ายสงบอย่างยิ่ง ทว่าเนื้อหาที่พูดกลับน่าตระหนกอย่างที่สุด
“ฮ่ะฮ่ะ พวกเราสองตนไม่ได้มีท่านหมิงหมู่ขุนเขาใหญ่เช่นนี้ให้พึ่ง เทียบกับพี่หมิ่นไม่ได้ ขอเพียงมีชีวิตรอดออกจากที่นี่ หนีไปจากโลกมนุษย์ได้ก็พอใจแล้ว” เสียงแหลมเล็กนั่นกลับหัวเราะเอ่ยตอบ
“เอาล่ะ คำพูดมาดร้าย รอพวกเราออกจากที่นี่ได้จริงๆ ค่อยพูดเถอะ เพื่อแผนการครั้งนี้ พวกเราวางแผนกันมายาวนานเช่นนี้ หากไม่สำเร็จ เกรงว่าเจ้าพวกวังสวรรค์นั่นคงไม่ให้โอกาสอันใดกับพวกเราอีกแล้ว ดังนั้นเผื่อเอาไว้ก่อน ข้าคิดว่าแทนที่จะรอเวลาที่มดปลวกพวกนั้นเปิดมรดกของผู้เฒ่าหลัวจริงๆ ไม่สู้พวกเรา…” เสียงสตรีเอ่ยขึ้นเช่นนี้
เสียงพูดคุยของทั้งสามคนท่ามกลางมิติอันมืดมิดแห่งนี้ฉับพลันกลายเป็นแผ่วเบาจนไม่อาจได้ยิน
ขณะที่หลิ่วหมิงกับเผิงเยวี่ยสองคนมุ่งหน้าไปยังดินแดนแห่งมรดกตามที่เศษแผ่นค่ายกลชี้บอก การเข่นฆ่าระหว่างศิษย์สำนักต่างๆ ในที่สุดก็เปิดฉากขึ้นทุกหลืบมุมในแดนลึกลับโดยสมบูรณ์
ในหุบเขาที่เต็มไปด้วยทิวสันเขาสีน้ำตาลแดงแห่งหนึ่ง ตะขาบสีเงินยาวสิบกว่าหมี่ตัวหนึ่งวิ่งเร็วรี่พุ่งผ่านหุบเขาไป ร่างกายแต่ละท่อนมันวาวและน่ากลัว ขาที่เหมือนคมดาบนับไม่ถ้วนวาดผ่านหินภูเขาเกิดเสียงดังกังวาน รวดเร็วจนกลายเป็นเงาเลือนรางสีเงินสายหนึ่ง
ฟึบ ฟึบ ฟึบ!
เงาคนสามร่างแหวกอากาศไล่ตามติดเร็วรี่อยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินคนหนึ่งในนั้นก็คือหลัวเทียนเฉิง ส่วนชายหนุ่มอีกสองคนสวมเครื่องแบบสีน้ำเงินของนิกายยอดบริสุทธิ์เช่นกัน คนหนึ่งสะพายกระบี่ยาวอยู่บนหลัง อีกคนหนึ่งสองมือว่างเปล่า รูปร่างผอมสูงอย่างเห็นได้ชัด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น