หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 772-775

บทที่ 772 จั่วอี้เซียนเป็นสัตว์เลี้ยง...

 

หวังเป่าเล่อถอนหายใจ ชื่อเสียงของเขาจะต้องป่นปี้เพราะลูกของตนเอง หลังจากไตร่ตรองอยู่สักพักก็สรุปได้ว่าสิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือใช้เวลาไปกับโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา ชายหนุ่มจะใช้จุดนี้ทำให้ตัวเองมีจุดยืนที่มั่นคงในกองทหารวิหคน้ำแข็งและไต่เต้าขึ้นไปเรื่อยๆ


ข้าจะต้องพยายามอย่างหนัก หน้าที่ของข้าคือไต่เต้าขึ้นไปอยู่สูงๆ ในกองทัพที่ปกครองด้วยหญิงสาวนี้ นอกจากนั้น สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ยังมีเคล็ดการหลอมวัตถุเวทที่พิเศษมาก ถ้าอยากจะสร้างรายได้ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ข้าต้องสร้างชื่อเสียงและแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ก่อน! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก เขาอยากมีกองทัพเป็นของตัวเองและพากองทัพไต่อันดับขึ้นสูง หากทำได้จริงทั้งสองอย่าง ชายหนุ่มก็จะสามารถนำเคล็ดวิชาขั้นสูงของวิชาดวงเนตรปีศาจจากดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์มาไว้ในครอบครองได้


ขณะเดียวกัน เขายังสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อเข้าหาราชตระกูลและหาทางลัดในการเก็บเคล็ดวิชาดังกล่าวได้ด้วย


น่าเสียดายที่หวังเป่าเล่อผู้นี้เป็นคนยึดมั่นในหลักการ จึงไม่มีทางใช้รูปโฉมอันงดงามของตัวเองเพื่อทำตามเป้าหมาย แม้ว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นก็ตาม หวังเป่าเล่อถอนหายใจปลอบประโลมตนเองขณะนึกชื่นชมศีลธรรมอันดีงามของตน ดวงตาของเขาฉายแสงวาบขึ้น ชายหนุ่มผลักทุกอย่างทิ้งไปและทำหัวให้โล่ง เขาไม่ได้เริ่มหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาในทันที แต่เริ่มศึกษาโครงสร้างภายในและตรวจสอบกระบวนการหลอมอีกรอบเพื่อความมั่นใจ


สามวันผ่านไป เป็นเวลาสิบวันแล้วตั้งแต่หวังเป่าเล่อได้รับวิธีการหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกามา ชายหนุ่มจับหลักการของวัตถุชิ้นนี้ได้จากการศึกษาอย่างหนักและทำการทดลองอยู่หลายครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าตนเข้าใจทั้งหมดดีแล้ว เขาไม่พบช่องโหว่หรือสิ่งที่มองข้ามไประหว่างการทดสอบซ้ำๆ ทำให้หวังเป่าเล่อจบการศึกษาทดลองได้ในที่สุด เขาเงยหน้าขึ้น สูดหายใจลึก แววความมุ่งมั่นฉายวาบในดวงตา


อาวุธเวทระดับเก้าไม่ใช่สิ่งง่ายดาย ข้าต้องใช้เวลาถึงสิบวันเพื่อศึกษาสองระดับแรกของวัตถุนี้…มันช่างลึกล้ำเสียจริง ข้าไม่ควรนึกดูถูกผู้อื่นอีก หวังเป่าเล่อถอนหายใจพร้อมส่ายหัว เขาโยกมือขวาขึ้น วัตถุดิบมากมายจากกำไลคลังเวทลอยออกมาปรากฏเบื้องหน้า ชายหนุ่มรวบรวมสมาธิและเริ่มกระบวนการหลอมโดยใช้ความรู้ที่ได้จากการศึกษามาเป็นเวลานาน!


ความสามารถในการหลอมวัตถุเวทของหวังเป่าเล่อในตอนนี้มาจากความรู้ของสามอารยธรรม การผสานรวมกันของทั้งสามระบบทำให้ระดับการหลอมวัตถุเวทของชายหนุ่มเพิ่มขึ้นไปอีก เขาเองก็ไม่มั่นใจว่าทักษะการหลอมของตนอยู่ในระดับใด แต่การศึกษาวิธีหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกามาอย่างละเอียดจะไม่เปิดช่องให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ขึ้นในกระบวนการหลอม


สองวันต่อมา หยกยาวเจ็ดนิ้วส่องแสงคล้ายมรกตก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ


หยกเจ็ดนิ้วทรงแบนราบมีลักษณะคล้ายเรือสำปั้น หากยกขึ้นตั้งตรงจะดูเหมือนโล่ทรงดาบใบไม้!


วัตถุเวทชิ้นนี้แผ่พลังล้นเหลือออกมาทั่วห้องอย่างต่อเนื่อง ตัวอักขระนับไม่ถ้วนไหลวนไปทั่วแผ่นหยก เหมือนดังของเหลว เห็นได้ชัดว่าวัตถุเวทชิ้นนี้นั้นไม่ธรรมดา


แม้หวังเป่าเล่อจะเป็นคนหลอมโล่หยกยาวเจ็ดนิ้วชิ้นนี้ขึ้นมากับมือและเข้าใจการทำงานภายในอย่างละเอียด ถึงกระนั้นเขาก็ยังตื่นตะลึงไปเมื่อได้เห็นรูปโฉมของมัน หลังจากนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เขาก็ยกมือขวาสร้างผนึกฝ่ามือและส่งลำแสงออกจากปลายนิ้ว โล่หยกเจ็ดนิ้วดูดซับแสงเข้าไปทันที ก่อนสะท้อนออกมาเป็นอักขระมายามากมายรายล้อมรอบตัวชายหนุ่ม จากนั้นก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นโล่กึ่งโปร่งแสงที่มีหวังเป่าเล่อเป็นศูนย์กลาง


ชายหนุ่มพินิจพิเคราะห์โล่ที่อยู่รอบตัว เขาก้าวออกไปด้านนอกโล่และยกมือขวาขึ้นจิ้ม พลังพลันพวยพุ่งผ่านนิ้วมือของหวังเป่าเล่อและผลักเขาออกไป


วัตถุเวทชิ้นนี้มีความยากในการหลอมอยู่ในระดับสูงมาก ข้าต้องใช้เวลาเกือบสองสัปดาห์กว่าจะจบกระบวนการทั้งหมด เป็นของที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ! เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงสะท้อน ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแสงผิดแปลกไปขณะประเมินความแข็งแกร่งของแรงที่สัมผัสได้ หลังจากไตร่ตรอง เขาก็ตัดสินใจหลอมวัตถุเวทต่อและพยายามเสริมพลังของมันไปเป็นระดับแปด


กระบวนการหลอมเริ่มท้าทายขึ้นเรื่อยๆ ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อก็สามารถจัดการปัญหาที่พบได้จากการศึกษาอย่างละเอียดและทักษะของตนเอง สามวันต่อมา เขาก็เสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาขึ้นไปเป็นระดับสองได้!


รูปลักษณ์ของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเปลี่ยนไปจากตอนระดับหนึ่งมาก แสงรอบๆ ส่องสว่างกว่าเดิม ตัวอักขระเพิ่มจำนวนมากขึ้น หมุนวนไปมายุ่งเหยิงพร้อมทั้งเปล่งพลังทรงอำนาจ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่พอใจกับผลงานของตนเอง


เด่นเกินไป…ไม่ดีเลย คนอื่นจะระวังตัวเมื่อเห็นมัน คงจะเอาไปใช้ในการซุ่มโจมตีหรือวางกับดักได้ยาก หวังเป่าเล่อครุ่นคิดถึงการนำโล่ไปใช้งานจริงในการต่อสู้ วัตถุเวทชิ้นนี้ยอดเยี่ยมในทุกแง่มุม ยกเว้นรูปลักษณ์ซึ่งไม่เหมาะกับวิธีการต่อสู้ที่ไม่เหมือนใครของเขาเลย หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มก็ตัดสินใจปรับปรุงเพิ่มเติม เขาแยกตัวอักขระใหม่ที่ปรากฏขึ้นหลังจากการเสริมพลังและหลอมพวกมันเข้ากับอักขระดั้งเดิมที่ปรากฏขึ้นตอนหลอมขั้นแรก วัตถุเวทในตอนนี้มีรูปโฉมเหมือนตอนระดับแรกไม่มีผิด หวังเป่าเล่อพึงพอใจกับผลลัพธ์และเริ่มเสริมพลังต่อทันที


การเสริมพลังครั้งที่สามเสร็จสมบูรณ์ในหลายวันต่อมา เหมือนเช่นที่เคยทำในครั้งที่สอง หวังเป่าเล่อแยกตัวอักขระที่เพิ่มขึ้นมาและหลอมเข้ากับอักขระดั้งเดิม รูปลักษณ์ของวัตถุเวทจึงยังคงเดิม แต่ถ้าได้ทดสอบพลัง จะตระหนักได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นของวัตถุเวทชิ้นนี้ในทันที


พลังสะท้อนการโจมตีกลับที่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละสิบห้าจากพลังดั้งเดิมเป็นการเสริมความสามารถในการโจมตีของวัตถุเวทชิ้นนี้ เป็นเหมือนการเสริมพลังเทพขึ้นร้อยละสิบห้า พลังที่เพิ่มขึ้นสามารถตัดสินแพ้ชนะในการต่อสู้จริงได้!


หวังเป่าเล่อพอใจกับผลลัพธ์มาก แต่ไม่นานเขาก็ต้องพบปัญหาในการเสริมพลังวัตถุเวทไประดับสี่


การเสริมพลังครั้งนี้มีความท้าทายมาก ถึงกระนั้นก็เป็นความท้าทายที่หวังเป่าเล่อสามารถก้าวข้ามได้ด้วยทักษะการหลอมวัตถุเวทของตนเอง ปัญหาอยู่ที่การเสริมพลังครั้งนี้ต้องใช้วัตถุดิบที่เรียกว่าใบไม้ปรับวิญญาณซึ่งเป็นวัตถุดิบที่อยู่ในการควบคุมของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ การจะหาซื้อจากนอกสำนักนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ทางเดียวที่จะหามาได้คือซื้อกับทางสำนัก และการจะทำเช่นนั้นจะต้องมีสิทธิ์การเข้าถึง


สิทธิ์การเข้าถึงของหวังเป่าเล่อในตอนนี้อยู่ในระดับพื้นฐาน ทำให้ไม่สามารถซื้อใบไม้ปรับวิญญาณได้ เขาเกาหัว จากนั้นก็หันไปมองโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสาม ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่นจึงออกจากการถือสันโดษและมุ่งหน้าไปยังที่พำนักของผู้บัญชาการเทพธิดาหลิงโยว


ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทหารวิหคน้ำแข็งทำให้เทพธิดาหลิงโยวยุ่งอยู่ตลอด ยิ่งตอนนี้หญิงสาวต้องเตรียมการเลื่อนอันดับกองทัพจึงยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยพอใจนักที่หวังเป่าเล่อโผล่มาขัดจังหวะ นางไม่ได้ซ่อนความรำคาญใจที่มีแม้แต่น้อยตอนเรียกชายหนุ่มให้เข้าพบ


“หลงหนานจื่อ เจ้าต้องการอะไร”


“ผู้บัญชาการ ข้าหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาได้แล้ว แต่การจะเสริมพลังมันให้สูงขึ้นกว่านี้ต้องใช้วัตถุดิบที่ข้าไม่มีสิทธิ์ซื้อ ข้าจึงมาขอเลื่อนขั้นสิทธิ์การเข้าถึงของข้า…” หวังเป่าเล่อรู้สึกอายเล็กน้อย เขาเพิ่งเสริมพลังโล่ไปได้เพียงระดับสามซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่อะไรเลย ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็หยิบโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่หลอมขึ้นออกมาให้ผู้บัญชาการตรวจดู


“เจ้าหลอมได้แล้วหรือ” เทพธิดาหลิงโยวนิ่งงันไปเมื่อได้ยินที่ชายหนุ่มพูด นางกวาดตามองวัตถุเวทที่หวังเป่าเล่อหยิบออกมาแสดงให้ดูเพื่อตรวจสอบให้มั่นใจว่ามันเป็นโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจริงๆ หญิงสาวไม่คิดว่าหวังเป่าเล่อจะรุดหน้าไปได้รวดเร็วเช่นนี้ แต่ก็ตื่นตกใจแค่เพียงไม่นาน ชายหนุ่มนั้นเชี่ยวชาญเรื่องการหลอมอาวุธเวท ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาจะมีพื้นฐานในด้านนี้ดี การที่เขาหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแรกได้จึงไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไร


หญิงสาวยังคงมองผู้ฝึกตนจากสำนักย่อยว่าด้อยค่ากว่าตัวเอง นางมองว่าพวกเขาเป็นผู้ฝึกตนที่ใช้วิธีการนอกรีตและมีกลเม็ดบางอย่างซุกซ่อนอยู่ หวังเป่าเล่ออาจจะหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกระดับแรกได้ แต่นั่นก็น่าจะเป็นที่สุดแล้วที่เขาสามารถทำได้ ถ้าชายหนุ่มอยากเสริมพลังโล่เป็นระดับต่อไป คงจะใช้เวลาอย่างน้อยสองสามปี


นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุดในหัวหญิงสาวตอนนี้คือการเลื่อนอันดับกองทหาร นางจึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องยิบย่อยอย่างการทำตามคำขอของหวังเป่าเล่อและไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมมากนัก นางเลื่อนขั้นสิทธิ์การเข้าถึงของชายหนุ่มในทันทีและส่งเขากลับออกไป


หวังเป่าเล่อเดินออกจากโถง ไม่ได้ใส่ใจท่าทีของผู้บัญชาการมากนัก โดยส่วนตัวแล้ว เขาคิดว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสามไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจอะไร เมื่อได้สิทธิ์การเข้าถึงมา ชายหนุ่มก็ซื้อใบไม้ปรับวิญญาณทันทีและรีบกลับที่พำนักเตรียมพร้อมถือสันโดษอีกครั้ง หวังเป่าเล่อเดินผ่านค่ายกองทหารวิหคน้ำแข็ง สายตาเลื่อนผ่านกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงแกร่งที่กำลังเดินขวักไขว่ไปมา แต่ในหัวกลับคิดถึงแต่เรื่องการเสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไประดับห้า


ระดับสี่ไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะข้าได้ใบไม้ปรับวิญญาณมาแล้ว ใช้เวลาสองชั่วโมงก็น่าจะเสริมพลังเสร็จ การเสริมพลังไประดับห้านั้นซับซ้อนกว่าเดิมมาก เหมือนข้ามสะพานระหว่างขั้นเชื่อมวิญญาณกับขั้นจิตวิญญาณอมตะไม่มีผิด ข้าต้องศึกษาเพิ่มเติมให้มากกว่านี้ หวังเป่าเล่อจมอยู่ในห้วงความคิดและกำลังจะเดินไปถึงที่พำนัก ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากทางด้านหน้า ตามมาด้วยเสียงดุด่าและเสียงแส้ฟาด


ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ ทันทีที่สายตาเลื่อนไปเห็นความโกลาหลตรงหน้า เขาก็พบผู้ฝึกตนหญิงเจ็ดถึงแปดคนของกองทัพ ในนั้นมีหญิงร่างสูงคนหนึ่งที่ดูแข็งแกร่ง มีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ ทั้งสภาพร่างกายและระดับพลังปราณนั้นเป็นที่น่าพรั่นพรึง ในมือนางถือเชือกสี่เส้นเอาไว้…


ตรงปลายเชือกผูกเข้ากับสิ่งมีชีวิต พวกมันดูไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงที่เจ้านายพาออกมาเดินเล่น กลุ่มผู้ฝึกตนหญิงเดินตรงมาทางหวังเป่าเล่อ เสียงหัวเราะของพวกนางดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้ามาใกล้!


สัตว์เลี้ยงทั้งสี่ตัวนั้นมีลักษณะต่างกันไป ตัวหนึ่งเป็นพืชรูปร่างคล้ายมนุษย์ อีกตัวเป็นกิ้งก่าสามหัวดูดุร้าย ตัวต่อมาเป็นงูเหลือมที่มีหัวเป็นหญิงสาว ส่วนตัวสุดท้าย…ดวงตาของหวังเป่าเล่อเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเองเมื่อหันไปพบสิ่งมีชีวิตตัวสุดท้าย!


จั่วอี้เซียนหรือ

 

 

 


บทที่ 773 ช้าก่อน สาวๆ!

 

สัตว์เลี้ยงตัวที่สี่ที่ผู้ฝึกตนหญิงร่างสูงพามาเดินคือ…คนหน้าตาคุ้นเคยจากสหพันธรัฐ จั่วอี้เซียน!


จั่วอี้เซียนคือหนึ่งในร้อยพันธุ์กล้าสหพันธรัฐรุ่นที่สองที่ได้ขึ้นไปบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ จากนั้นก็หายตัวไปอย่างลึกลับหลังไปถึงสำนักวังเต๋าไพศาล ไม่มีใครพบตัวเขาเลยตอนที่เกิดศึกระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลกับสหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อคิดว่าจั่วอี้เซียนน่าจะตายไปแล้วจนกระทั่งได้อ่านเอกสารลับก่อนออกเดินทางออกจากสหพันธรัฐและได้รู้ว่าสหพันธรัฐเผชิญปัญหาคนหายตัวไปอย่างปริศนามาตลอดหลายปี


มีการบันทึกชื่อจั่วอี้เซียนไว้ในเอกสารในฐานะคนหายด้วย!


หวังเป่าเล่อคิดว่าตนคงไม่มีวันได้เจอจั่วอี้เซียนอีก ใครจะไปคิดเล่าว่าจะได้มาเจอกันอีกครั้งในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…ในบริบทที่แปลกประหลาดเช่นนี้!


สภาพของจั่วอี้เซียนดูน่าเวทนามาก…ตัวของเขาผอมจนหนังหุ้มกระดูก ไม่เห็นแววความยโสโอหังที่เคยมี เขาดูตื่นกลัวและสิ้นหวัง แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่กลับดูดี เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน แต่ไม่ว่าจะมีสภาพเช่นไร…เชือกที่ผูกอยู่ที่คอก็ชี้ชัดว่าชายหนุ่มถูกกระทำเหมือนสัตว์เลี้ยง


เขาเดินอยู่ข้างสัตว์อีกสามตัว ถูกเฆี่ยนให้ร้องคร่ำครวญขณะเดินไปด้านหน้า…เสียงกรีดร้องของเหล่าสัตว์เลี้ยงเรียกเสียงหัวเราะจากกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงรอบๆ ได้ ผู้ฝึกตนสองสามคนเดินเข้าไปดูใกล้ๆ บางคนยกมือลูบหัวสัตว์เลี้ยงเหล่านั้น ภาพเบื้องหน้าอาจดูแปลกพิกล แต่ถ้าคนอื่นๆ มองจั่วอี้เซียนเป็นแค่สัตว์เลี้ยง การกระทำของพวกเขาก็ถือเป็นเรื่องปกติ


จั่วอี้เซียนมีรูปลักษณ์แทบไม่ต่างจากผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จึงได้รับการดูแลต่างจากสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าเขาคือผู้นำของเหล่าสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้ ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขายังเรียกคะแนนพิศวาสเพิ่มได้มากทีเดียว


หวังเป่าเล่อมองจั่วอี้เซียนอยู่ไกลๆ ด้วยสีหน้าแปลกแปร่ง เขาถอนใจเงียบๆ พร้อมยกมือขึ้นลูบคาง อย่างไรคนตรงหน้าก็เคยเป็นคนรู้จักมักจี่ ไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะเพิกเฉยต่อสภาพน่าเวทนาของอีกฝ่ายได้ ถ้าสามารถช่วยจั่วอี้เซียนได้ก็คงดี


แต่ถ้าต้องจ่ายราคาแพงเพื่อช่วยจั่วอี้เซียนก็คงไม่คุ้มค่าเท่าไหร่ หวังเป่าเล่อมองกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงเดินผ่านไปช้าๆ ก่อนจะกระแอมกระไอขึ้นเสียงดังพร้อมตะโกนเรียก


“ช้าก่อน สาวๆ พวกเจ้าทำกระเป๋าคลังเก็บตก”


กลุ่มผู้ฝึกตนหญิงที่กำลังคุยกันหยุดชะงักและหันกลับมามองเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากชายหนุ่ม พวกนางไม่เคยเจอหวังเป่าเล่อมาก่อน แต่ข่าวคราวเรื่องค่าหัวที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำตั้งไว้ก็กระจายไปทั่วทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ พวกนางจึงรู้จักรูปโฉมของเขาและรู้ว่าเขาได้มาเข้าร่วมกองทหารวิหคน้ำแข็ง


ดังนั้นเมื่อพวกนางปรายตามองจึงทราบทันทีว่าหวังเป่าเล่อเป็นใคร


หวังเป่าเล่อสาวเท้าเข้าไปหากลุ่มผู้ฝึกตนหญิงที่หันกลับมามองตน จากนั้นก็ยกมือขวาหยิบกระเป๋าคลังเก็บนับสิบใบออกมา แต่ละใบมีวัตถุดิบต่างๆ อยู่ด้านใน ถึงจะไม่ได้มีราคาค่างวดนัก แต่ก็ถือเป็นของขวัญแทนการพบกันครั้งแรก


ชายหนุ่มเผยยิ้มที่ตนคิดว่าน่าจะดูมีเสน่ห์ที่สุดขณะหยิบกระเป๋าคลังเก็บออกมาและเดินตรงไปหากลุ่มผู้ฝึกตนหญิง จากนั้นก็แจกจ่ายกระเป๋าคลังเก็บให้พวกนางคนละใบเหมือนกับเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันมานาน


ดวงตาของกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงเป็นประกายเมื่อได้รับของกำนัล พวกนางมองประเมินหวังเป่าเล่อ ในมือถือกระเป๋าคลังเก็บไว้แต่ยังไม่ได้ตอบตกลงว่าจะรับมา ชายหนุ่มวางกระเป๋าคลังเก็บใบสุดท้ายลงบนมือบุคคลที่สำคัญที่สุดในกลุ่ม ผู้ฝึกตนหญิงร่างสูงที่เดินจูงสัตว์เลี้ยงทั้งสี่ขยายสัมผัสสวรรค์ตรวจดูของในกระเป๋า จากนั้นก็เอ่ยขึ้น


“เป็นสหายเต๋าหลงหนานจื่อนี่เอง เจ้าให้ของกำนัลพวกข้าทั้งที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก เราไม่กล้ารับของเช่นนี้ไว้หรอก” ผู้ฝึกตนหญิงยื่นกระเป๋าคลังเก็บคืนไปทางชายหนุ่ม


หวังเป่าเล่อกะพริบตาเมื่อได้ยินที่นางพูด ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะอับอายแต่ตั้งใจจะทำให้คนอื่นเห็นว่าตนกำลังขวยเขิน ชายหนุ่มกวาดแขนขึ้นมากุมมือทักทาย


“ข้าล้ำเส้นเกินไป ตอนพวกเจ้าเดินผ่าน ข้าได้กลิ่นลอยมาตามย่างก้าวของพวกเจ้าแล้วรู้สึกราวกับได้ขึ้นสวรรค์ ทำให้ข้าอยากเข้าหาและทำความรู้จักพวกเจ้าให้มากกว่านี้…พอได้เห็นใบหน้าพวกเจ้า ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ข้าก็ประหม่าจนควบคุมตัวเองไม่อยู่…” หวังเป่าเล่อทำเหมือนคิดคำพูดไม่ออก พยายามห้ามตนเองให้ประหม่าน้อยลง ด้วยความหล่อเหลาของหลงหนานจื่อ เสื้อผ้าที่เรียบร้อยดูดี และชื่อเสียงจากศึกกับกองทหารมังกรหยดหมึกทำให้แน่ใจได้ว่าจะไม่มีใครไม่นึกชอบใจตน


ใบหน้าก็มีส่วนช่วย คำพูดที่ออกจากปากก็ดูจริงใจ ซึ่งผู้หญิงก็มักจะโอนอ่อนให้กับคำชมที่จริงใจ ด้วยเหตุนี้ พวกนางจึงรู้สึกดีกับชายหนุ่มมากขึ้น


หญิงร่างสูงหัวเราะ จากนั้นก็ตรวจดูข้าวของในกระเป๋าคลังเก็บอีกครั้ง นางนึกลังเล ของที่หวังเป่าเล่อให้นางมานั้นมีราคามากกว่าของคนอื่นๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็พยักหน้าและยิ้มให้


“ศิษย์น้องอันเป็นที่รัก ไหนๆ สหายเต๋าหลงหนานจื่อของเราก็มีน้ำจิตน้ำใจให้ของกำนัลมา พวกเราก็ควรจะรับเอาไว้”


คำพูดของนางทำให้ผู้ฝึกตนหญิงคนอื่นๆ หัวเราะขึ้น พวกนางเก็บกระเป๋าคลังเก็บไปและหันมามองหวังเป่าเล่ออย่างสนอกสนใจ ชายหนุ่มชำนาญด้านการผูกมิตร ในช่วงเวลาไม่นาน เขาก็เอ่ยชมหญิงสาวนางหนึ่งเรื่องผิวพรรณ ชมอีกนางหนึ่งเรื่องความงาม อีกนางชมเรื่องการแต่งตัว ส่วนอีกนางชมเรื่องกลิ่นของน้ำหอม ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นว่าดูดวงด้วยลายนิ้วมือได้ ไม่นานพวกเขาก็สนทนากันอย่างสนุกสนาน ทิ้งสัตว์เลี้ยงเอาไว้ที่มุมหนึ่ง


สัตว์เลี้ยงทั้งสี่แอบถอนใจอยู่เงียบๆ จั่วอี้เซียนนึกถึงความรุ่งเรืองเมื่อตอนอยู่ที่สหพันธรัฐ แต่ตอนนี้เขากลับกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงโง่ๆ ความขมขื่นถาโถมอยู่ภายใน


หวังเป่าเล่อพูดคุยกับกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงอยู่ครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้นเขาได้รู้อะไรเพิ่มเติมสองสามอย่างเกี่ยวกับผู้ฝึกตนหญิงร่างสูง เช่น นางชอบสะสมสัตว์เลี้ยงและไม่ได้สนใจสัตว์เลี้ยงที่ได้มาสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาไปเรื่องสัตว์เลี้ยงทั้งสี่ พอเอ่ยชมอีกรอบเสร็จ เขาก็ขอซื้อสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งไปคุ้มกันถ้ำที่พักของตน


  ผู้ฝึกตนหญิงเงียบไปพักหนึ่งเมื่อได้ยินที่หวังเป่าเล่อพูด นางคงไม่คิดจะขายสัตว์เลี้ยงให้ถ้าเขาเข้ามาถามตรงๆ แต่ตอนนี้เมื่อได้คุยกันมาสักพักแล้ว ถึงจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่นางก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นกับทั้งรูปร่างหน้าตาและการวางตัวของอีกฝ่าย นอกจากนี้หญิงสาวยังตระหนักถึงชื่อเสียงของหลงหนานจื่อดี เขาอาจจะอยู่แค่ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลาง แต่ก็ได้ถล่มกองทัพทั้งกองด้วยตัวคนเดียวมาแล้ว เรื่องนี้อาจสำเร็จได้ด้วยเล่ห์กลและการซุ่มโจมตี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไปจะทำได้อยู่ดี


ผู้ฝึกตนหญิงอยากสนิทกับคนเช่นนี้ การสะสมสัตว์เลี้ยงอาจจะเป็นงานอดิเรกของนาง แต่ก็มีหลายตัวที่หนีหายไป แล้วก็ไม่ใช่ว่านางจะไม่เคยยกให้คนอื่นบ้าง หลังจากครุ่นคิดสักพักก็ตัดสินใจไม่ปฏิเสธคำขอของชายหนุ่ม นางนึกสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงเล็งเฉพาะเจาะจงที่ตัวนี้ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย ถามไปเพียงเรื่องราคาที่เหมาะสมเท่านั้น


หวังเป่าเล่อพอใจมากที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น แต่เขาเป็นคนฉลาดจึงไม่ยอมปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นแม้แต่นิดเดียว หลังจากพูดคุยกับกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงต่ออย่างสนุกสนานและได้ข้อมูลการติดต่อมา ชายหนุ่มก็เจรจาเรื่องราคากับผู้ฝึกตนหญิงร่างสูง ซึ่งของในกระเป๋าคลังเก็บที่ให้ไปนั้นมีมูลค่าสูงกว่าที่นางเรียกมาหลายเท่านัก


ผู้ฝึกตนหญิงร่างสูงหรี่ตาลงเล็กน้อย นางตระหนักได้ว่าหลงหนานจื่อแค่จะใช้การติดต่อซื้อสัตว์เลี้ยงเป็นข้ออ้าง แต่จริงๆ แล้วอยากสนิทกับนางให้มากขึ้นและยกของกำนัลให้


รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า นางพยักหน้าให้หวังเป่าเล่อและเดินจากไป


ชายหนุ่มมองกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงจากไป เมื่อพวกนางหายลับตาไปแล้ว เขาก็ก้มมองเชือกในมือ จากนั้นก็หันไปมองจั่วอี้เซียนที่นั่งคุกเข่าผูกติดกับปลายเชือกอยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอด้วยความกระอักกระอ่วนใจ จากนั้นก็มองสำรวจจั่วอี้เซียนไปมา จั่วอี้เซียนตัวสั่นเมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่าย ก่อนจะก้มหัวลงตามสัญชาตญาณ


หวังเป่าเล่อถอนใจเงียบๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเกรงกลัวสายตาของตน ชายหนุ่มลูบหัวจั่วอี้เซียน จากนั้นก็หันกลับและมุ่งหน้าไปยังถ้ำที่พัก


จั่วอี้เซียนรู้สึกโกรธแค้นและทุกข์ใจเมื่อเห็นเจ้านายคนเก่าเจรจาซื้อขายตนกับเจ้านายคนใหม่ สายตาแปลกๆ ของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนความรู้สึกนั้นให้กลายเป็นความสะพรึงกลัว การลูบหัวเมื่อครู่ทำให้เขาใจเย็นลงได้เล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นกังวล ไม่กล้าขัดขืนเจ้านายคนใหม่ที่กำลังจูงนำตนเดินไปเรื่อยๆ


หวังเป่าเล่อพาจั่วอี้เซียนกลับมายังที่พักและมัดปลายเชือกไว้กับเสาไม้ เขามองจั่วอี้เซียนอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าเข้าใจภาษาที่ใช้พูดกันในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์หรือไม่”


จั่วอี้เซียนใจเต้นระส่ำด้วยความกังวลเมื่อได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อ เขารีบคุกเข่าลงและพยักหน้าตอบ แม้จะเพิ่งมาถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้ไม่นาน แต่ด้วยความที่ตนเป็นผู้ฝึกตนจึงทำให้เข้าใจภาษาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งช่วงที่ได้รับการฝึกให้เป็นสัตว์เลี้ยง เจ้านายคนเก่าก็ได้สอนเขามาด้วยเช่นกัน


“ดี บอกข้ามาว่าเจ้ามาจากไหน โดนจับมาได้อย่างไร” หวังเป่าเล่อพูดขึ้นช้าๆ ขณะทรุดตัวลงนั่ง ดวงตาของเขาฉายแสงวาบขึ้น

 

 

 


บทที่ 774 ซากปรักหักพังลึกลับ!

 

จั่วอี้เซียนไม่กล้าปกปิดหลงหนานจื่อ ชายหนุ่มไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่าหลงหนานจื่อแห่งกองทหารวิหคน้ำแข็งนั้นเป็นใคร แต่เพราะท่าทีที่เจ้านายเก่าของเขามีต่อหลงหนานจื่อและวิธีที่ผู้ฝึกตนหญิงทั้งหลายปฏิบัติต่อชายผู้นี้ ก็บอกจั่วอี้เซียนเป็นนัยๆ ว่าบุรุษผู้นี้ต้องเป็นคนมีชื่อเสียงในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เป็นแน่


ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่อีกฝ่ายถามก็ไม่ใช่ความลับสลักสำคัญอะไร วิญญาณของจั่วอี้เซียนถูกรื้อค้นตั้งแต่โดนจับตัวมาครั้งแรก เจ้านายเก่าของเขาซึ่งเป็นผู้ค้นวิญญาณเขานั้น มีระดับการฝึกตนสูงอยู่พอสมควร เป็นเหตุให้จิตใจของชายหนุ่มไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แม้จะเกิดความเสียหายไปบ้างก็ตามความลับใดๆ ที่เขาเก็บงำเอาไว้คงจะเป็นที่ล่วงรู้กันหมดสิ้นแล้ว


ความทรงจำนั้นทำให้จั่วอี้เซียนทอดถอนใจอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจบอกภูมิหลังและทุกสิ่งที่รู้กับหวังเป่าเล่อไปตามตรง ชายหนุ่มบอกทั้งชื่อตัว ตระกูล และที่อยู่บ้านให้อีกฝ่ายรู้ เล่าถึงสหพันธรัฐ โลก และระบบสุริยะ พูดถึงกระทั่งสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ทุกๆ สิ่งที่ทั้งพูดได้และไม่ควรพูด…จั่วอี้เซียนบอกหวังเป่าเล่อไปทั้งหมด


สีหน้าของหวังเป่าเล่อดูนิ่งสงบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความคิดมากมายกำลังหมุนวนอยู่ภายในศีรษะของชายหนุ่ม จั่วอี้เซียนไม่ใช่เพียงคนเดียวที่หายตัวไป จั่วอี้ฟานก็หายไปเช่นกัน แต่จากสิ่งที่จั่วอี้เซียนพูด ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะอยู่ตัวคนเดียวเมื่อตอนถูกจับ เพื่อเป็นการปกปิดตัวตนของเขาให้เป็นความลับต่อไป หวังเป่าเล่อจึงขัดจังหวะการเล่าของจั่วอี้เซียนขึ้นมาและเริ่มถามเจาะลึกเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งของระบบสุริยะรวมถึงกระบี่โบราณประหลาด เมื่อคำอธิบายเพิ่มเติมของจั่วอี้เซียนตรงกับความคาดเดาของเขา หวังเป่าเล่อก็ปล่อยให้นัยน์ตาของตนฉายแววตื่นเต้นและโลภโมโทสันออกมาอย่างตั้งใจ หัวใจของจั่วอี้เซียนเริ่มหนักอึ้งไปด้วยความขมขื่นเมื่อเห็นแววตานั้น


แต่จั่วอี้เซียนก็ปล่อยวางได้อย่างรวดเร็ว เจ้านายคนเก่าของเขาก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน และตอนนี้ชายหนุ่มก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะห่วงสิ่งใดได้นอกจากตนเอง


หวังเป่าเล่อเองก็กำลังชั่งน้ำหนักความเป็นไปได้ที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของระบบสุริยะ เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ ระบบสุริยะไม่ได้ห่างไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เท่าใดนัก แต่จักรวาลนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ความผิดพลาดของระบบนำทางเพียงเล็กน้อยอาจพาพวกเขาไปไกลจากจุดหมายที่ตั้งใจไว้ การจะหาตำแหน่งที่ตั้งอันแน่นอนของระบบสุริยะอาจต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามในการสำรวจ


สิ่งนี้เป็นดั่งคำเตือนให้หวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้ดีว่า หากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เกิดค้นพบระบบสุริยะและสหพันธรัฐเมื่อใด พวกเขาย่อมพุ่งเข้าไปขย้ำระบบสุริยะราวกับเป็นฝูงหมาป่าที่โหยหาทั้งสมบัติและการเข่นฆ่าเป็นแน่


จั่วอี้เซียนยังเล่ารายละเอียดตอนที่มาปรากฏตัวในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แห่งนี้ด้วย ตอนนั้นชายหนุ่มอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ และกำลังสำรวจซากปรักหักพังที่อยู่ใต้น้ำ จู่ๆ เขาก็ถูกเคลื่อนย้ายออกมา เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มก็มาปรากฏตัวอยู่บนสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง


ที่แห่งนั้นเป็นทะเลทรายสีดำทมิฬที่ทอดไกลสุดลูกหูลูกตา มันเวิ้งว้างว่างเปล่า และปราศจากสัญญาณชีวิตใดๆ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเขาเดินรอนแรมอยู่ในทะเลทรายแห่งนั้นยาวนานเพียงใด ราวกับว่าเวลาของที่นั่นเดินด้วยความเร็วที่ต่างจากเวลาในโลกก็ไม่ปาน


สถานการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว หลังจากที่จั่วอี้เซียนล้มลุกคลุกคลานอยู่กลางทะเลทรายดำสนิทเป็นเวลานานและสูญเสียความหวังทั้งมวลไป ตอนนั้นเองชายหนุ่มก็ได้เห็นแสงสว่างสายหนึ่ง มันเข้ามาโอบล้อมกายเขาเอาไว้และเคลื่อนย้ายเขาออกไปอีกครั้ง ครานี้…เขาถูกเคลื่อนย้ายไปในถ้ำแห่งหนึ่ง!


ชายหนุ่มก้าวออกมาจากประตูเคลื่อนย้าย และพบว่าตนเองอยู่ในถ้ำ และได้พบกับ…เจ้านายคนก่อนของเขา ผู้ฝึกตนหญิงร่างสูงแห่งกองทหารวิหคน้ำแข็ง!


นางจับกุมตัวเขา ค้นวิญญาณ ก่อนจะนำเขากลับมายังกองทหารวิหคน้ำแข็งในฐานะสัตว์เลี้ยงใหม่ของนาง


นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเบิกโพลงเมื่อได้ยินเรื่องของจั่วอี้เซียน ตอนแรกชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อ แต่หลังจากได้จ้องมองจั่วอี้เซียน และเริ่มคิดถึงตรรกะในเรื่องที่อีกฝ่ายเล่า หวังเป่าเล่อก็สรุปได้ว่าโอกาสที่อีกฝ่ายจะโกหกเขานั้นค่อนข้างต่ำ เพราะอย่างไรเสีย…การจะจับโกหกก็สามารถทำได้ง่ายดายด้วยการค้นวิญญาณ


เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเริ่มสนใจทะเลทรายสีดำ ชายหนุ่มถามรายละเอียดของทะเลทรายเพิ่มเติม แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้นเท่าใดนัก จั่วอี้เซียนไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน แต่ก็ยังคาดเดาเกี่ยวกับสถานที่นั้นออกมา…


“นายท่าน ข้าคิดว่า…ทะเลทรายสีดำนั้นไม่ได้ว่างเปล่าอย่างแท้จริง แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นโลกที่เคลื่อนย้ายตนเองได้…”


“โลกที่เคลื่อนย้ายได้อย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ ชายหนุ่มก็ถามอีกสองสามคำ ก่อนจะหันมาสนใจถ้ำที่จั่วอี้เซียนถูกเคลื่อนย้ายไป จากการเล่าของอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อก็ตระหนักได้ว่า ถ้ำนั้นไม่ได้ตั้งอยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หากแต่อยู่ในสะเก็ดดาวที่ยังไม่ถูกอารยธรรมใดๆค้นพบ


จั่วอี้เซียนไม่สามารถบอกตำแหน่งของสะเก็ดดาวที่แน่ชัดได้ ชายหนุ่มไม่คุ้นชินกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และระบบดาวเคราะห์ที่อยู่รายรอบ หวังเป่าเล่อไม่ได้ติดใจแต่อย่างใด ชายหนุ่มวาดแผนที่ให้จั่วอี้เซียนดู ก่อนที่พวกเขาจะคาดเดาตำแหน่งคร่าวๆ ของสะเก็ดดาวได้สำเร็จ ความคิดที่จะหาโอกาสไปเยือนสะเก็ดดาวสว่างวาบขึ้นมาในหัวของหวังเป่าเล่อ


ชายหนุ่มปล่อยวางความคิดนั้นไปก่อน เมื่อสอบสวนจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองจั่วอี้เซียน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น “พอแล้ว จากวันนี้เป็นค้นไป หน้าที่ของเจ้าคือเฝ้าประตูให้ข้า ออกไปได้แล้ว”


หวังเป่าเล่อปลดเชือกที่มัดจั่วอี้เซียนออก ตอนนี้พวกเขาอยู่ในฐานทัพหลักของกองทหารวิหคน้ำแข็ง หากจั่วอี้เซียนยังพอมีสติปัญญาอยู่บ้าง ก็คงรู้ว่าไม่ควรจะเที่ยวเดินเพ่นพ่าน


จั่วอี้เซียนรีบรุดรับหน้าที่อย่างแข็งขัน ก่อนจะออกจากถ้ำที่พักไป เมื่อออกไปด้านนอกก็ทรุดตัวลงคุกเข่าและถอนหายใจอย่างโล่งอก เจ้านายคนใหม่ของเขาดูใจดีกว่าคนก่อน แม้ว่าจั่วอี้เซียนจะไม่อาจอธิบายความรู้สึกไม่ชอบใจรางๆ ที่เขามีต่อบุรุษผู้นี้ท่ามกลางความวิตกกังวลและความหวาดกลัวที่เขารู้สึกก็ตาม…


หวังเป่าเล่อจมดิ่งอยู่กับความคิดหลังจากที่เห็นจั่วอี้เซียนคล้อยหลังออกจากถ้ำที่พักไป ชายหนุ่มบอกได้ว่าจั่วอี้เซียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจั่วอี้ฟาน หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจออกมา


จากนั้นชายหนุ่มจึงนึกถึงเจ้าลาขึ้นมาได้ จั่วอี้เซียนน่าจะเคยเห็นเจ้าลามาก่อนเมื่อครั้งยังอยู่ในสหพันธรัฐ แต่อย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็ไม่น่าเป็นปัญหา เพราะเจ้าลาตอนนี้เติบใหญ่ขึ้นและดูแปลกตาไปมาก ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในอารยธรรมต่างดาว ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีอสูรที่หน้าตาคล้ายคลึงกันอยู่ในอารยธรรมอื่นๆ ด้วย ความจริงข้อนี้น่าจะช่วยปกปิดตัวตนที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง


แม้กระนั้น หวังเป่าเล่อก็ยังส่งข้อความเสียงไปหาเจ้าลา เพื่อเตือนให้มันระมัดระวังตัวเอาไว้เสียหน่อย จากนั้น ชายหนุ่มก็ปล่อยวางทุกๆ สิ่งก่อนจะทรุดตัวลงนั่งทำสมาธิ เมื่อจิตใจสงบลงแล้ว เขาก็หยิบโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสามออกมา ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก และเริ่มเสริมพลังวัตถุเวทต่อไป


ชายหนุ่มมีวัตถุดิบที่จำเป็นครบหมดแล้วรวมไปถึงใบไม้ปรับวิญญาณด้วย นอกจากนั้นหวังเป่าเล่อยังศึกษาโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสี่มาอย่างแจ่มแจ้ง ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาไปเพียงครึ่งวันในการเสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเป็นระดับสี่ได้สำเร็จ!


หวังเป่าเล่อจัดการกับตัวอักขระที่ปรากฏขึ้นมาใหม่หลังการเสริมพลังเช่นเดียวกับที่ทำไปก่อนหน้านี้ หลังจากที่ผสานรวมอักขระใหม่เข้ากับอักขระเดิม โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาก็ดูเหมือนมีอักขระสลักอยู่ภายในนับพันตัว อันที่จริงแล้ว…มีอักขระอยู่ภายในวัตถุเวทชิ้นนี้ร่วมห้าพันตัวด้วยกัน!


อักขระใหม่ๆ ที่ปรากฏขึ้นต่อการเสริมพลังแต่ละครั้งนั้นนับเป็นเท่าทวีคูณ อาจมากถึงห้าเท่าต่อการเสริมพลังเพียงระดับครั้งเดียว พลังที่แท้จริงของวัตถุเวทชิ้นนี้อาจจะยังไม่ถูกเปิดเผยในตอนนี้ แต่ มันก็สามารถป้องกันการโจมตีของศัตรูได้ถึงร้อยละยี่สิบแล้ว!


การเสริมพลังวัตถุเวทชิ้นนี้สู่ระดับห้าเปรียบได้กับการบรรลุขั้นจากขั้นเชื่อมวิญญาณสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะ นับเป็นความท้าทายอันใหญ่หลวงยิ่ง หวังเป่าเล่อเองยังขลุกขลักอยู่หลายวัน ท้ายที่สุด ทักษะในการหลอมวัตถุเวทของเขาก็ช่วยให้ความพยายามสัมฤทธิ์ผล ชายหนุ่มเสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาสู่ระดับห้าและระดับหกได้ในที่สุด!


การป้องกันการโจมตีของศัตรูได้ถึงร้อยละสามสิบ แปลว่าเมื่อหวังเป่าเล่อรับการโจมตีจากศัตรูแล้วโต้กลับไป เขาจะเพิ่มความรุนแรงในการโจมตีกลับได้ถึงร้อยละสามสิบ ระดับพลังที่เพิ่มขึ้นนับว่าสุดยอด หากชายหนุ่มใช้โล่นี้ได้อย่างคล่องแคล่วเมื่อใด เขาก็จะสามารถพลิกการต่อสู้ที่สูสีให้เป็นฝ่ายได้เปรียบได้ในพริบตา!


แต่การเสริมพลังเป็นระดับหกก็นำปัญหาใหม่มาให้หวังเป่าเล่อ จำนวนอักขระนั้นพุ่งทะยานขึ้นสูง จนตอนนี้มีจำนวนกว่าสองแสนตัวแล้ว!


จำนวนของตัวอักขระดั้งเดิมนั้นเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับอักขระใหม่ๆ การผสานรวมระหว่างตัวอักขระใหม่และเก่าอยู่ไปมาทำให้ความหนาแน่นของพวกมันมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นมาก เรื่องนี้เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องเก็บตัวอักขระไว้มากขึ้น ตัวอักขระดั้งเดิมที่มีอยู่หนึ่งพันตัวเพิ่มสูงขึ้นหลายต่อหลายเท่า และปัญหานี้ก็คลี่คลายได้ด้วยการที่หวังเป่าเล่อกระจายตัวอักขระใหม่ๆ ออกไปจนทั่ว


ขณะนี้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกามีหน้าตาเหมือนว่ามันอยู่ในระดับสอง…มันคงใช้เป็นกับดักได้ไม่ดีนัก แต่ก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีอย่างแน่นอน หวังเป่าเล่อทอดถอนใจด้วยความเสียดาย ชายหนุ่มสองจิตสองใจที่จะเสริมพลังให้มันเป็นระดับเจ็ด แต่การไปสู่ระดับต่อไปต้องใช้ใบไม้ปรับวิญญาณจำนวนมหาศาล เขาถึงกับใบ้เบื้อเมื่อคำนวนราคาที่ต้องจ่ายออกมา


ข้าลองใช้ทรายอาวุธแทนดูได้หรือไม่นะ…หวังเป่าเล่อรำพึงกับตนเอง การจะหาใบไม้ปรับวิญญาณจำนวนมากขนาดนั้นด้วยสิทธิ์การเข้าถึงที่เขามีเป็นเรื่องท้าทายยิ่ง ต่อให้ชายหนุ่มคิดจะซื้อมา จำนวนที่เขาซื้อได้ก็ไม่พอใช้อยู่ดี เพราะจำนวนใบไม้ปรับวิญญาณที่คนคนหนึ่งสามารถซื้อได้นั้นขึ้นอยู่กับสิทธิ์การเข้าถึงอีกนั่นเอง


หวังเป่าเล่อล้มเลิกความตั้งใจที่จะลองใช้ทรายอาวุธ มันควรเป็นวิธีสุดท้ายที่เขาคิดจะใช้ ชายหนุ่มยังมีอาวุธเวทจำนวนมากที่มีฤทธิ์แปลกประหลาดอยู่ในกระเป๋าคลังเก็บ มีทั้งเชือกที่หายไปเป็นสัปดาห์เมื่อถูกปล่อยขึ้นไปบนฟ้า และมีผนึกที่จะโจมตีก็ต่อเมื่อศัตรูนั้นบาดเจ็บจนใกล้จะสิ้นใจ สองสิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อปวดศีรษะเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มกังวลว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจะประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกันหากเสริมพลังมันด้วยทรายอาวุธ โล่อาจไม่ปกป้องเขาแต่หันไปปกป้องศัตรูแทนก็เป็นได้


ดูเหมือนข้าคงต้องไปหาสตรีที่เย็นชาผู้นั้นอีกครั้ง แต่ถึงกระนั้น วัตถุเวทชิ้นนี้ยังไม่อยู่ในระดับแปด ช่างน่าอับอายเหลือเกินที่จะต้องหยิบออกมาใช้…หวังเป่าเล่อจำได้ว่าสตรีนางนั้นปฏิบัติกับเขาเช่นไรในคราวก่อน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจจะไม่เดินทางไปยังโถงของนาง กลับกันเขาดึงแผ่นหยกสื่อสารออกมาและส่งข้อความเสียงไปหาเทพธิดาหลิงโยวแทน


“ผู้บัญชาการ ข้าหลงหนานจื่อพูด…การหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของข้าบรรลุขั้นแล้ว ท่านช่วยเพิ่มสิทธิ์การเข้าถึงให้ข้าได้หรือไม่”


บรรลุขั้นหรือ เทพธิดาหลิงโยวกำลังฟังผู้ใต้บังคับบัญชารายงานสถานะเรื่องความพร้อมของกองทหารอยู่ในโถงเมื่อได้รับข้อความของหวังเป่าเล่อ นางหยิบแผ่นหยกของตนออกมา เมื่อได้ยินข้อความ นางก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ

 

 

 


บทที่ 775 สะเก็ดดาวแปลกประหลาด!

 

“ใช่ ข้าทำได้แล้ว…” หวังเป่าเล่อนิ่งไปชั่วขณะเพราะรู้สึกว่าไม่เหมาะที่จะพูด เพราะอย่างไรเสีย โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของเขาก็ยังอยู่ในระดับหก ยังไม่ถึงระดับแปดแต่อย่างใด


เร็วขนาดนี้เลยหรือ เทพธิดาหลิงโยวกำลังฟังรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ แม้ว่านางจะตกใจเล็กน้อยในตอนต้น แต่ก็ไม่มีเวลาจะไต่ถามเพิ่มเติม อีกอย่างหนึ่ง นางก็คิดไปตามสัญชาติญาณว่าการ ‘บรรลุขั้น’ ที่หวังเป่าเล่อกล่าวถึงนั้นคือการสามารถหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไปสู่ระดับสองได้


อย่างไรเสีย ชายหนุ่มก็เพิ่งหลอมระดับแรกได้เมื่อครึ่งเดือนก่อนเท่านั้น แม้ว่าการบรรลุสู่ระดับสองได้ภายในครึ่งเดือนจะน่าตกใจอยู่ไม่น้อย แต่นางก็คิดว่าหลงหนานจื่อนั้นโด่งดังในสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อยู่พอตัว ดังนั้นเขาเองก็คงมีพรสวรรค์อยู่บ้างเช่นกัน


ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจของหวังเป่าเล่อ และคำขอสิทธิ์การเข้าถึงเพิ่มเติม ทำให้เทพธิดาหลิงโยวด่วนตัดสินไปเสียแล้ว นางรู้ว่าหวังเป่าเล่อผิดพลาดมาหลายครั้ง แม้จะซื้อวัตถุดิบไปจนเต็มปริมาณที่สิทธิ์การเข้าถึงให้ซื้อได้แต่ก็ยังทำไม่สำเร็จ ดังนั้นย่อมไม่แปลกที่การหาซื้อวัตถุดิบเพื่อเสริมพลังเป็นระดับสามจะไม่ง่าย เขาจึงต้องการสิทธิ์การเข้าถึงเพิ่มเติมเพื่อตั้งหน้าตั้งตาหลอมต่อไป


เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เทพธิดาหลิงโยวจึงพูดขึ้นว่า


“ได้ ข้าเพิ่มสิทธิ์การเข้าถึงให้เจ้าแล้ว พยายามเข้าเล่า” ความหงุดหงิดในน้ำเสียงของนางแต่เดิมลดน้อยถอยลง หญิงสาวพูดจาให้กำลังใจหวังเป่าเล่ออีกสองสามคำ และดูเหมือนว่าความรู้สึกที่นางมีต่ออีกฝ่ายก็เริ่มดีขึ้น ถึงกระนั้น นางก็ไม่ได้สนใจเขาเท่าใดนัก ในสายตาของนางแล้ว ไม่ว่าพื้นฐานของหลงหนานจื่อจะดีเพียงใด ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะเสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาให้เป็นระดับสามได้


แต่หากคิดในแง่นี้ ก็ถือว่าหลงหนานจื่อผู้นี้มีความสามารถสูงใช่เล่น หลังจากที่ชมเชยหวังเป่าเล่อแล้ว เทพธิดาหลิงโยวก็จบการสื่อสารและมองไปทางผู้ติดตามขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ทั้งหลายของนาง


“พวกเจ้าจงพูดต่อไปเถิด แน่ใจหรือว่าผู้บัญชาการกองทหารวิญญาณเร้นลับซึ่งอยู่ในอันดับสิบเอ็ด ประมุขหลิงเถาบรรลุขั้นปราณแล้ว”


ผู้ที่รายงานอยู่ต่อหน้าเทพธิดาหลิงโยวคือสตรีท่าทางหยิ่งยโสที่หวังเป่าเล่อพบก่อนหน้านี้ นางพยักหน้าตอบคำถามของเทพธิดา ก่อนจะพูดอย่างแผ่วเบา


“พวกเราตรวจสอบแล้ว ประมุขหลิงเถาได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในระดับการฝึกปราณ แม้ว่าจะยังไม่ถึงขั้นการฝึกปราณเดียวกับท่านผู้บัญชาการ แต่ก็ยังเป็นหนึ่งในบรรดาขั้นแสร้งอมตะ ข้าเกรงว่า การบรรลุขั้นปราณของเขาจะก่อให้เกิดผลที่ตามมาหลายประการ มีความเป็นไปได้สูงว่า การบรรลุขั้นปราณของเขาจะกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดการร่วมมือกันระหว่างกองทหารอื่นๆ ที่ทำให้ความก้าวหน้าของกองทหารวิหคน้ำแข็งต้องพบเจออุปสรรค”


ประมุขหลิงเถา…ประกายเย็บเยียบสะท้อนอยู่ในดวงตาของเทพธิดาหลิงโยว นางไม่สนใจว่าเขาจะบรรลุถึงขั้นแสร้งอมตะหรือไม่ แต่การบรรลุขั้นของเขาในเวลานี้ย่อมมีผลต่อการเลื่อนอันดับของกองทหารวิหคน้ำแข็งแน่นอน เพราะอย่างไรเสีย เป้าหมายที่แท้จริงของหญิงสาวก็คือการได้เป็นกองทหารอันดับห้า หากนางไปอยู่แทนที่พวกเขาได้สำเร็จเมื่อใด ผลประโยชน์ที่จะได้รับนั้นย่อมมหาศาลนัก


เช่นเดียวกัน หากกองทหารอันดับห้าถูกแทนที่ พวกเขาก็จะหลุดจากตำแหน่งหนึ่งในห้า และความสูญเสียนั้นก็มากมายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ ที่พวกเขาจะร่วมมือกับกองทหารอื่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น หากประมุขหลิงเถาไม่ได้บรรลุขั้น พวกเขาก็คงไม่ร้อนใจเท่าใดนัก เพราะอย่างไรเสีย ไม่ว่าอันดับของกองทหารจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด พวกเขาก็จะยังอยู่ในสิบอันดับแรกเสมอ


แต่การบรรลุขั้นของประมุขหลิงเถาเปลี่ยนสถานการณ์ไปจนหมด หากกองทหารอันดับที่เจ็ด แปด และเก้าไม่ระวังตัว พวกเขาก็อาจหลุดหนึ่งในสิบได้ง่ายๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนล้วนต้องระแวดระวังตัวด้วยกันทั้งสิ้น


ในการต่อสู้ครั้งนี้ แม้ว่าขั้นพลังปราณของผู้บัญชาการกองทหารและกำลังยุทธ์ของกองทหารจะสำคัญ แต่การใส่ใจเรื่องการทูตกับโลกภายนอกก็เป็นเรื่องที่ต้องจัดการอย่างระมัดระวังเช่นกัน


แต่หวังเป่าเล่อกลับไม่รู้เรื่องราวที่ทำให้คนอื่นๆ ต้องปวดหัวนี้แม้แต่น้อย และต่อให้เขารู้ ชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจนัก หลังจากที่ได้สิทธิ์การเข้าถึงเพียงพอแล้ว หวังเป่าเล่อก็เข้าไปซื้อใบไม้ปรับวิญญาณจำนวนมากและเริ่มเสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาต่อทันที


หลายวันต่อมา ด้วยการศึกษาค้นคว้าและทุ่มเทอย่างมุ่งมั่นของหวังเป่าเล่อ เมื่อตัวอักขระบนโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเพิ่มอีกห้าหมื่นตัว ระดับของโล่ก็บรรลุไปถึงระดับเจ็ด!


สมบัติเวทระดับเจ็ดถือว่าค่อนข้างได้รับความนิยมในหมู่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ เพราะอย่างไรเสีย ความสามารถในการสะท้อนพลังของมันก็มากถึงร้อยละสามสิบห้า โดยเฉพาะเมื่อการปรับแต่งของหวังเป่าเล่อทำให้รูปลักษณ์ของมันดูเหมือนอยู่ในระดับสามเท่านั้น  เพราะแปลว่าคู่ต่อสู้จะไม่คิดกลัวสมบัติเวทนี้ และหากพวกเขาประมาท ก็จะต้องพบความเสียหายใหญ่หลวงแน่นอน


แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่พอใจ เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่าในการหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกานั้น สิ่งที่ยากเย็นอย่างแท้จริงคือหลังจากการเสริมพลังมาถึงระดับเจ็ด!


การจะไปถึงระดับแปดได้นั้น ยังมีเรื่องบางอย่างที่ชายหนุ่มยังไม่เข้าใจ เขามีความรู้สึกว่าหากฝืนหลอมต่อไป อัตราการล้มเหลวจะอยู่ที่ราวๆ ร้อยละเก้าสิบ ความคิดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหยุดมือ ก่อนจะขมวดคิ้วเป็นปมแน่นอยู่นาน


พวกเขาเป็นถึงหนึ่งในสามสำนักใหญ่ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…ระดับความยากในการหลอมวัตถุเวทที่ทุกคนต้องไปให้ถึงจึงสูงเสียจนน่ากลัว! หวังเป่าเล่อถอนใจ ยิ่งชายหนุ่มครุ่นคิดมากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์น่าหวาดหวั่นขึ้นเท่านั้น ขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อก็อดหงุดหงิดใจไม่ได้


สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นี่ก็แปลกนัก ขนาดแค่สมบัติเวทที่ใช้เพื่อทดสอบศิษย์ยังยากถึงเพียงนี้ นี่พวกเขาบ้ากันไปแล้วหรืออย่างไร…หวังเป่าเล่ออดสงสัยไม่ได้


ไม่ได้การ ข้าจะคิดว่าคนอื่นทำไม่ได้ เพราะข้าเองยังทำไม่ได้ไม่ได้เป็นอันขาด หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากที่ผ่อนคลายความสงสัยในใจลงไปบ้าง นัยน์ตาของเขาก็ฉายแววมุ่งมั่นขึ้นมาอีก จากนั้นชายหนุ่มก็กลับไปง่วนอยู่กับการค้นคว้าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแปดอีกครั้ง


เวลาผ่านไปเช่นนั้นถึงเจ็ดวัน พอพ้นเจ็ดวัน ในศีรษะของหวังเป่าเล่อก็มีแต่ความวิงเวียน แต่ก็ยังมีอยู่ส่วนหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจเกี่ยวกับการบรรลุระดับแปดอยู่ดี


หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าเมื่อใดที่รู้สึกสิ้นหวังหรือพบสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้ เขาควรต้องหยุดพัก หาไม่แล้ว การจะดั้นด้นค้นคว้าต่อไปก็รังแต่จะทำให้อะไรๆ ยากขึ้นโดยใช่เหตุ


หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน หวังเป่าเล่อก็เงยศีรษะขึ้นมองไปนอกถ้ำที่พัก ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา จั่วอี้เซียนดูราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าปากถ้ำตลอดทั้งวันทั้งคืน หวังเป่าเล่อชอบใจยิ่งนัก ประจวบกับการที่เขารู้สึกงุ่นง่านใจอยู่พอดี ความคิดหนึ่งที่ชายหนุ่มเคยปัดตกไปแล้วก็ผุดกลับขึ้นมาในมโนสำนึกอีกครั้ง


ทำไมข้าไม่ลองไปดูซากปรักหักพังที่จั่วอี้เซียนเคยพูดถึงดูเล่า…เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ใคร่ครวญอยู่อีกชั่วอึดใจ ก่อนจะหยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมา หลังจากที่แจ้งไปยังกองทหารแล้ว ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกไปจากถ้ำที่พัก


พอหวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้น จั่วอี้เซียนผู้ซึ่งนั่งยองๆ อยู่บริเวณนั้นก็รีบหันศีรษะมามองอย่างระแวดระวังและเคารพ พร้อมรอรับคำสั่งทันที


“ไปกันเถอะ นำทางไปที ไปที่ถ้ำที่เจ้าถูกจับตัวมา”


จั่วอี้เซียนไม่กล้าแม้แต่จะแสดงท่าทีขัดขืนต่อคำสั่งของหวังเป่าเล่อ จึงรีบพยักหน้าทันที ขณะที่หวังเป่าเล่อขยับชายเสื้อและเรียกเรือบินรบให้มาปรากฏ เขาก็จับตัวจั่วอี้เซียนเอาไว้ ชายหนุ่มพลิกตัวและกระโจนขึ้นมาอยู่บนเรือบินรบทันที เขาใช้ผนึกฝ่ามือติดเครื่องเรือบินรบให้เดินหน้าเต็มกำลัง ภายในชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็พุ่งทะยานออกมาไกลจากถ้ำที่พักของหวังเป่าเล่อแล้ว


แม้ว่าสถานที่ที่จั่วอี้เซียนถูกจับตัวมาจะอยู่ภายนอกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลเกินไปนัก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้พลังเคลื่อนย้ายของดวงเนตรหมื่นปีศาจ พวกเขาไม่จำเป็นต้องผ่านจักรวาลส่วนกลางของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เสียด้วยซ้ำ จากตำแหน่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ หวังเป่าเล่อสามารถมุ่งหน้าตรงไปยังเส้นชายแดนแล้วออกเดินทางต่อจากบริเวณนั้นได้เลย


ชายหนุ่มรู้ตำแหน่งคร่าวๆ ของถ้ำ เขารู้ว่าระหว่างที่นั่นและอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มีซากปรักหักพังของอารยธรรมอยู่สามแห่ง เป็นสามแห่งที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ปล้นชิงและกำจัดทิ้ง


ระยะทางจากถ้ำที่พักของหวังเป่าเล่อไปสู่ถ้ำที่จั่วอี้เซียนเคยอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ใช้เวลาเดินทางราวสิบวัน ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงนั่งลงหลับตาทำสมาธิ การทำเช่นนี้ ในแง่หนึ่งช่วยให้จิตใจของเขาสงบ ในอีกแง่หนึ่ง ชายหนุ่มยังคิดไม่ตกว่าจะหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาให้เป็นระดับแปดได้อย่างไร


และเพราะหวังเป่าเล่อไม่พูด จั่วอี้เซียนที่นั่งยองๆ อยู่ข้างๆ จึงไม่กล้าพูดเช่นกัน ชายหนุ่มระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งเพราะกลัวจะถูกลงโทษหากทำให้หวังเป่าเล่อขุ่นเคืองใจ เวลาสิบวันผ่านไปเช่นนั้นท่ามกลางความขมขื่นใจและระแวดระวังของจั่วอี้เซียน เรือบินรบแล่นผ่านซากปรักหักพังของอารยธรรมทั้งสามและมาถึงส่วนของจักรวาลที่จั่วอี้เซียนถูกจับตัวมา


“นำทางข้าไปสิ!” เมื่อมาถึง หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น มองไปเห็นโลกที่แห้งแล้งเบื้องหน้า แล้วจึงออกคำสั่งจั่วอี้เซียน


อีกฝ่ายรีบรุดทำตามคำสั่งทันที ตลอดสิบวันที่ผ่านมา จั่วอี้เซียนพยายามคิดทบทวนเรื่องในอดีตอย่างถี่ถ้วน เมื่อได้เห็นโลกภายนอก ความทรงจำของเขาก็ค่อยๆ หวนกลับคืนมา จั่วอี้เซียนรีบรุดนำทางไป เมื่อเรือบินรบค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้น แถบของสะเก็ดดาวก็ปรากฏให้เห็นในสายตา


สะเก็ดดาวจำนวนมหาศาลล่องลอยราวกับเป็นสายธารขนาดใหญ่ ในขณะที่ภาพนั้นให้ความรู้สึกสั่นสะเทือนวิญญาณของผู้พบเห็น แรงกดดันมหาศาลก็แผ่ออกมาจากสะเก็ดดาวเหล่านั้น


ขณะที่จั่วอี้เซียนรู้สึกว่าแรงกดดันนั้นช่างรุนแรงเกิดต้าน แต่หวังเป่าเล่อกลับรู้สึกเฉยๆ สถานที่นี้ไม่ไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เท่าใดนัก ด้วยความโลภโมโทสันของกองทหารในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาย่อมต้องมาสำรวจที่นี่อย่างถี่ถ้วนแล้วแน่นอน ดังนั้นโอกาสที่ที่แห่งนี้จะมีอันตรายหลบซ่อนอยู่จึงมีน้อยนัก


ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อก็ยังระวังตัว ขณะที่พลังปราณของเขาหมุนวนอยู่ภายในกาย ชายหนุ่มก็ยังหยิบโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่เขาหลอมเอาไว้ออกมา อย่างไรเสีย ตามที่จั่วอี้เซียนเล่า ชายหนุ่มถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากที่นี่ แปลว่าที่แห่งนี้ยังมีปรากฏการณ์ประหลาดซึ่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อธิบายไม่ได้หลงเหลืออยู่


ในไม่ช้า ภายใต้การนำทางของจั่วอี้เซียน เรือบินรบก็มาปรากฏอยู่เคียงข้างสะเก็ดดาวขนาดเท่าดวงจันทร์ที่อยู่ท่ามกลางสายธารแห่งสะเก็ดดาว!


“ที่นี่แหละขอรับที่มีถ้ำอยู่ภายใน!” จั่วอี้เซียนสูดลมหายใจลึก จ้องมองไปยังสะเก็ดดาวแล้วหันมามองหวังเป่าเล่อ พลางพูดอย่างเร่งรีบ


หวังเป่าเล่อเพ่งมองไปยังสะเก็ดดาวตรงหน้าก่อนจะอ้าปากค้าง!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)