หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 768-771

บทที่ 768 เทพธิดาหลิงโยว!

 

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าขณะที่ตั้วโหย่วจื่อยอมจำนนให้กับโชคชะตาตนเอง สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไม่ได้เตรียมที่พักไว้ให้พวกเขาทำให้พวกที่มาถึงเร็วต้องนั่งสมาธิรออยู่ตรงที่นั่ง ตั้วโหย่วจื่อไปทักทายสหายผู้ฝึกตนที่รู้จัก และทำถึงขนาดหาจุดทำสมาธิบริเวณอื่นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับไปยังที่นั่ง…


หวังเป่าเล่อรู้สึกเบื่อมาก แต่ก็ไม่ได้คิดจะไปยังถ้ำที่พักของผู้ฝึกตนหญิงที่นำทางเขาก่อนหน้านี้ โชคดีที่ในที่ประชุมมีผลไม้วิญญาณให้ไม่จำกัด ตลอดสองวันที่ผ่านมา ชายหนุ่มนั่งกินผลไม้วิญญาณไปหลายพันลูกไม่ได้ลุกไปไหน ทำให้เขากลายเป็นที่เกลียดชังของหมู่ศิษย์ในครัวสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไปแล้ว


สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์…ไม่เคยพบเจอคนกระเพาะรั่วเช่นนี้มาก่อน!


ยิ่งเขาสวาปามเข้าไปมาเท่าไหร่ เหล่าศิษย์ในครัวก็จะขโมยอาหารกลับไปได้น้อยลงเท่านั้น ศิษย์เหล่านี้มองการประชุมสามัญเป็นโอกาสทองที่จะร่ำรวยจากการขโมยเอาอาหารไปขาย จึงรู้สึกเจ็บปวดใจกับการสูญเสียรายได้ครั้งนี้


เหล่าศิษย์ในครัวต่างพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อผู้ประชุมในการประชุมสามัญมาถึงกันครบถ้วน ทำการประชุมสามัญจะได้เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการเสียที มิเช่นนั้น จากการคำนวณของพวกเขา เสบียงที่เตรียมไว้คงต้องหมดลงในเร็ววันเป็นแน่


ตั้วโหย่วจื่อต้องจำใจกลับที่นั่ง ชายชราแอบถอนหายใจเมื่อนั่งลงข้างหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มหันไปสำรวจตั้วโหย่วจื่อด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้พยายามจะทำให้อีกฝ่ายอึดอัดใจ จากนั้นจึงหันไปมองผู้อาวุโสในชุดคลุมสีดำซึ่งนั่งอยู่ตัวคนเดียวบนแท่นชั้นสอง


เขาเป็นเพียงคนเดียวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่น แม้จะพยายามสะกดพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะเอาไว้ แต่พลังที่ล้นเหลือก็ยังเล็ดลอดออกมาจากร่างกายอยู่ดี ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ใกล้ภูเขาไฟที่จวนเจียนจะระเบิด ทั่วทั้งโถงล้วนตกอยู่ในความเงียบงัน


เขาอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์! หวังเป่าเล่อตื่นตะลึง มีเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์และขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์เท่านั้นที่สามารถข่มพลังผู้ฝึกตนทั้งหมดในโถงด้วยพลังปราณของตนเพียงอย่างเดียว และเนื่องจากเขาไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ ดังนั้นจึงต้องอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์


หากอิงตามเกณฑ์นี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะระบุตัวตนของผู้อาวุโสคนนั้น!


“ตั้วโหย่วจื่อ ข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก บอกข้าทีว่าคนนั้นใคร” หวังเป่าเล่อเหลือบมองตั้วโหย่วจื่อที่นั่งสงวนท่าทีอยู่ในที่นั่งของตนเอง จากนั้นก็ส่งข้อความเสียงไปหาอีกฝ่าย


ตั้วโหย่วจื่อทำหน้านิ่วเล็กน้อย เขาเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะส่งข้อความเสียงกลับไปหาหวังเป่าเล่อสั้นๆ


“นั่นผู้บัญชาการกองทหารปลาคุนสีเขียว กองทหารอันดับหนึ่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ สหายเต๋ากูโม่!”


หวังเป่าเล่อพิจารณาผู้อาวุโสคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งเพื่อจดจำใบหน้าอีกฝ่ายไว้ ทันใดนั้นสหายแห่งเต๋ากูโม่ ผู้บัญชาการกองทหารปลาคุนสีเขียวก็ลืมตาขึ้น ลมกรรโชกพัดโหมไปทั่วโถงแค่เพียงเขาลืมตา ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบงันทันที


“การประชุมสามัญจะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้!” ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเสียงประกาศจะดังขึ้น จากนั้นผู้คนก็เริ่มพูดขึ้นทีละคนตามลำดับบางอย่าง การประชุมครั้งนี้มีคนมากมายเกินไป กว่าที่พันคนแรกจะพูดจบก็ผ่านไปแล้วหกวัน


หกวันที่ผ่านมา ในหมู่หนึ่งพันคนแรกที่ได้พูด บ้างก็ร้องทุกข์ บ้างก็ยื่นคำร้อง บ้างก็ร้องเรียน สหายแห่งเต๋ากูโม่ ประเมินแต่ละเรื่อง ทั้งยอมรับและบอกปฏิเสธไปทีละเรื่อง


หวังเป่าเล่อฟังอย่างเพลิดเพลินในช่วงแรก ก่อนจะค่อยๆ เริ่มเบื่อและรำคาญใจ  ศิษย์ที่รับผิดชอบเติมผลไม้วิญญาณให้ชายหนุ่มยืนเป็นกังวลอยู่ด้านหลังเมื่อเห็นเขาเริ่มกินอีกครั้ง


ชายหนุ่มกินผลไม้วิญญาณไปกว่าสองพันลูกตลอดหกวันที่ผ่านมา จากนั้นผู้บัญชาการจากกองทหารอันดับสองก็มารับช่วงดำเนินการประชุมต่อจากสหายเต๋ากูโม่ ทุกอย่างดำเนินไปตามเดิม หวังเป่าเล่อไม่สามารถเพ่งความสนใจไปที่วาระการประชุมได้ จึงหยิบผลไม้มากินเล่นต่อ


จากนั้นผู้บัญชาการกองทหารอันดับสามและสี่ก็เข้ามารับช่วงต่อ ตามด้วยผู้บัญชาการกองทัพอันดับห้าถึงเก้าที่ขึ้นไปนั่งบทแท่นชั้นสาม พวกเขาสลับกันดูแลการประชุม กว่าจะหมดช่วงที่คนเหล่านี้ดูแลก็ผ่านไปแล้วยี่สิบวัน ตลอดช่วงเวลานั้น หวังเป่าเล่อกินผลไม้วิญญาณไปเกือบสามหมื่นลูก และได้ประจักษ์กับตาถึงความแข็งแกร่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ เพราะผู้บัญชาการกองทหารหกอันดับต้นล้วนอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสิ้น!


ส่วนผู้บัญชาการกองทหารอันดับเจ็ดลงมาอยู่ในขั้นแสร้งอมตะ ขณะที่ศิษย์ในครัวสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กำลังจะทนไม่ไหวเพราะเสบียงที่หดหายไปอย่างรวดเร็ว ผู้บัญชาการกองทหารอันดับสิบก็มาปรากฏตัวในที่สุด!


นางคือผู้บัญชาการหญิงคนเดียวในสิบอันดับกองทหารทรงอำนาจประจำสำนัก ภายใต้ชุดเกราะสีดำมีหุ่นโค้งเว้าได้รูปและใบหน้าอันงดงามเกินบรรยาย พลังรัศมีเย็นชาพวยพุ่งออกมาจากร่างกายราวกับเป็นพายุลูกใหญ่ซึ่งเป็นพลังแห่งธรรมชาติที่ดึงดูดสายตาผู้ชายทุกคน


ตัวตนของนางเมื่อมาถึงไม่อาจเทียบชั้นได้กับพลังที่เหล่าผู้บัญชาการขั้นจิตวิญญาณอมตะคนก่อนหน้าปลดปล่อยออกมา แต่ก็เหนือชั้นกว่าผู้บัญชาการขั้นแสร้งอมตะคนอื่นๆ ดวงตาทุกคนเป็นประกายเมื่อเห็นความงดงามของนาง แม้หลายคนจะผุดความคิดผิดบาปขึ้นมา แต่ก็ไม่มีใครกล้ามองนางตรงๆ แม้แต่คนเดียว


“โหย่วจื่อ บอกข้าที่ว่านางคือใคร!” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงทันที นางคือผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่เขาพบตอนอยู่ด้านนอกที่ประชุม การปรากฏตัวของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มผุดคำถามขึ้นในหัว ดูจากระดับพลังปราณในปัจจุบันของนางแล้ว กองทัพที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของนางไม่น่าจะอยู่ในสิบอันดับต้นได้ หวังเป่าเล่อจึงส่งข้อความเสียงไปหาตั้วโหย่วจื่อ


ตั้วโหย่วจื่อเงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่ชอบชื่อที่หวังเป่าเล่อเรียกตนมาตลอดสิบกว่าวันที่ผ่านมา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ตอบคำถามไปอย่างว่าง่าย


“นางคือผู้บัญชาการกองทหารวิหคน้ำแข็ง กองทัพอันดับสิบของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์…ผู้มีนามว่าเทพธิดาหลิงโยว นางเพิ่งบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะและขึ้นมารับตำแหน่งโดยไม่ได้เข้ารับการทดสอบของกองทหาร  มิเช่นนั้น หากว่ากันที่อันดับแล้ว นางควรจะอยู่ในระดับเดียวกับผู้บัญชาการกองทหารอันดับเจ็ด ซึ่งนั่นถือเป็นตำแหน่งที่สูงมากของสำนัก!”


“ไม่แย่ นางมีเนื้อคู่แห่งเต๋าแล้วหรือยัง” หวังเป่าเล่อกะพริบตา ด้วยรูปโฉมอันหล่อเหลาของเขา น่าจะโปรยเสน่ห์ใส่นางและเปิดโอกาสให้ตนเองได้ ชายหนุ่มรู้สึกตื่นตะลึงในความแข็งแกร่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ด้วยเช่นกัน ผู้บัญชาการกองทหารอันดับเจ็ดของสำนักเต๋าใหม่ม่วงครามนั้นมีระดับการฝึกตนแค่ขั้นแสร้งอมตะ เทียบกันดูแล้ว สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด การที่สองสำนักเหมือนจะอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกันย่อมหมายความว่าสำนักเต๋าใหม่ม่วงครามยังมีพลังบางยังที่ชายหนุ่มไม่รู้เก็บซ่อนไว้อยู่!


ตั้วโหย่วจื่อถึงกับหันมามองหวังเป่าเล่อเมื่อได้ยินคำถาม เขาจ้องชายหนุ่มอย่างระแวดระวังก่อนจะสงบใจลงได้ จากนั้นก็ตอบข้อความเสียงกลับ


“ยังไม่มี ขอให้โชคดี สหายเต๋าหลงหนานจื่อ!”


หวังเป่าเล่อไม่สนใจสายตาซึ่งเขาคิดว่าเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาของตั้วโหย่วจื่อที่มองมา และเริ่มพิจารณาเทพธิดาหลิงโยวที่เพิ่งรับหน้าที่ผู้ดำเนินการประชุมไป ยิ่งมองก็ยิ่งมั่นใจว่าแผนของตนจะต้องสำเร็จ ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกลังเลใจเล็กน้อยเมื่อต้องตัดสินใจ


หวังเป่าเล่อผู้นี้เป็นคนยึดมั่นในหลักการ ข้ามีเส้นแบ่งที่จะไม่ก้าวข้าม แต่ถ้าเทพธิดาหลิงโยวตกหลุมรักข้าหัวปักหัวปำและไม่สามารถห้ามความปรารถนาอยากเชยชมความหล่อเหลาของข้าได้จะทำอย่างไรเล่า หวังเป่าเล่อถอนใจเมื่อคิดได้ดังนั้นและตัดสินใจไม่เอาตัวเข้าไปเสี่ยง เหล่าศิษย์จากในครัวยืนมองด้วยใจอันเจ็บจี๊ดเมื่อเห็นชายหนุ่มหยิบผลไม้วิญญาณเข้าปากอีกลูก


ห้าวันผ่านไป เมื่อจบช่วงของเทพธิดาหลิงโยว ผู้บัญชาการคนอื่นๆ ของกองทหารสิบอันดับต้นก็ปรากฏตัวจากด้านบนและลงมายืนอยู่บนแท่นชั้นที่สองและชั้นที่สาม ทุกคนในที่ประชุมลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีขึงขัง หวังเป่าเล่อก็เช่นกัน


ผู้บัญชาการทั้งสิบของกองทหารสิบอันดับต้นมาปรากฏตัวกันพร้อมหน้า เหล่าผู้บัญชาการของกองทหารสี่อันดับต้นยืนอยู่บนแท่นชั้นที่สอง ในขณะที่คนอื่นๆ ยืนอยู่บนชั้นที่สาม ในหมู่พวกเขามีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเจ็ดคนและขั้นแสร้งอมตะอีกสามคน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบไปครู่หนึ่งก่อนสหายเต๋ากูโม่ ผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่งจะพูดขึ้น เสียงของเขาดังลั่นโถงประชุมราวกับเป็นสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมาโดยไม่ทันให้ตั้งตัว


“ต้อนรับท่านจักรพรรดิผู้สูงส่ง!”


ผู้ฝึกตนทุกคนในโถงประชุมสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินที่เขาพูด พวกเขารีบโค้งคำนับไปทางแท่นที่อยู่ตรงกลางโถง เสียงคนนับพันดังก้องขึ้นถึงสวรรค์!


“ต้อนรับท่านจักรพรรดิผู้สูงส่ง!”


สหายเต๋ากูโม่ เทพธิดาหลิงโยว และผู้บัญชาการกองทหารสิบอันดับต้นคนอื่นๆ ก็โค้งคำนับด้วยเช่นกัน ทันใดนั้น ผืนดินก็สั่นไหวส่งเสียงกึกก้องไปทั่ว การสั่นสะเทือนครั้งนี้สามารถได้ยินและสัมผัสได้แม้อยู่ด้านนอกที่ประชุม พลังแข็งแกร่งเกินบรรยายจุติลงมาบนแท่น


คลื่นพลังพัดกระจายไปทั่วทั้งโถงประชุมราวกับเกิดพายุรุนแรง เหล่าผู้ฝึกตนในโถงเป็นเหมือนเรือแพในคลื่นมหาสมุทรปั่นป่วน ไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวายุอันแข็งแกร่งที่ร้องขู่จะถล่มเรือพวกเขาลงทุกเมื่อ


หวังเป่าเล่อสะดุ้งด้วยความตื่นตกใจ แม้จะเคยพบผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์มาก่อน ก็ยังรู้สึกอึดอัดเมื่อได้พบตัวตนใหม่ที่เพิ่งปรากฏ ชายหนุ่มพยายามเงยหน้าขึ้นมอง หางตาเหลือบไปเห็นห้วงอวกาศที่จู่ๆ ก็แหวกออกเป็นรอยแยกส่องแสงสุกสว่างอยู่ด้านบนของแท่น!


ชายวัยกลางคนในชุดคลุมหลากสีก้าวออกมาจากรอยแยกพร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่น เหมือนเป็นเทพจุติลงมายังโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน ในหัวทุกคนเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึงเมื่อเขาปรากฏตัว


หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว รู้สึกปวดตาขึ้นมาเมื่อมองชายตรงหน้าเพียงแค่แวบเดียว แสงเรืองรองที่เปล่งออกมานั้นไม่ต่างจากคมมีดอย่างไรอย่างนั้น


ชายหนุ่มไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แม้จะต้องละสายตาออกมาเพราะความเจ็บปวด แต่เขาก็สามารถเห็นอีกฝั่งหนึ่งของรอยแยกที่จักรพรรดิระดับดาวพระเคราะห์ก้าวออกมาจากการมองเพียงแค่แวบเดียวได้ อีกด้านหนึ่งคือห้วงอวกาศกว้างใหญ่ไพศาลที่มีดาวเคราะห์ส่องแสงสุกสว่างอยู่ดวงหนึ่ง!


เมื่อเหลือบไปเห็นดาวเคราะห์ดวงนั้น ความรู้ที่หวังเป่าเล่อได้อ่านมาจากบันทึกโบราณของสำนักแห่งความมืดเกี่ยวกับวิธีบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ก็ผุดขึ้นในหัว การจะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ได้นั้น…ผู้ฝึกตนจะต้องหลอมตนเองเข้ากับดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์ดวงนั้นจะกลายเป็นผู้ฝึกตนและผู้ฝึกตนก็จะกลายเป็นดาวเคราะห์ ทั้งสองจะผสานรวมเป็นหนึ่ง!


ดาวเคราะห์ดวงนั้นจะหายไปจากห้วงอวกาศและคงอยู่ในหัวของผู้ฝึกตนแทน!


ยิ่งผู้ฝึกตนหลอมตนเองเข้ากับดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่และพิเศษมากเท่าใดก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น แต่ดาวเคราะห์เช่นนั้นหาได้ยากยิ่ง ถึงจะมีอยู่ก็มีผู้ฝึกตนทรงอำนาจค้นพบและถือครองไว้เป็นของตนเองแล้ว


ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด พลังกดดันทั่วบริเวณก็หายวับไปหมด ชายวัยกลางคนที่ปรากฏตัวจากรอยแยกนั่งลงบนชั้นบนสุดของแท่น รอยแยกหดขนาดลง กลายเป็นช่องเล็กที่ส่องแสงออกมา ดูแล้วเหมือนกับ…ดวงตาของงูไม่มีผิด!


“ถวายบังคมจักรพรรดิผู้สูงส่ง!” สหายแห่งเต๋ากูโม่กล่าวขึ้นอีกครั้ง ทุกคนพูดตามเขา เสียงของเหล่าผู้ฝึกตนดังก้องขึ้น ขณะที่เสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อก็กะพริบตาและตะโกนสุดเสียงที่เขามี


“ถวายบังคมจักรพรรดิผู้สูงส่ง! ขอให้หนึ่งรัชสมัยของท่านเจริญรุ่งโรจน์ ให้สองมังกรยอมสยบอยู่ใต้บัญชาท่าน ให้สามดินแดนยอมกำราบในความองอาจ ให้สี่ทิศของโลกยอมจำนนเป็นข้ารองบาท ให้นิ้วทั้งห้าของท่านลงทัณฑ์บัญชา! ขอให้ท่านหลุดพ้นจากสังสารวัฏหกวิถี ให้วิญญาณของท่านคงอยู่ตราบนานเท่าที่เจ็ดดาวฤกษ์ยังส่องสว่าง ให้จิตใจของท่านแข็งแกร่งเหนือการยั่วยุจากหมู่มารทั้งแปดแคว้น ให้สติปัญญาของท่านแจ่มชัดปราดเปรื่องในเก้าอารมณ์ และขอให้ระดับดารานิรันดร์อยู่ห่างจากท่านแค่เพียงสิบก้าว!”

 

 

 


บทที่ 769 กองทหารวิหคน้ำแข็ง

 

คนอื่นๆ เอ่ยทำความเคารพจักรพรรดิสำนักเพียงสั้นๆ เมื่อเสียงเคารพนบนอบของพวกเขาจบลง เสียงของหวังเป่าเล่อก็ยังดังก้องไปทั่วทั้งโถง เรียกความสนใจจากทุกคนได้ในทันที


ผู้ฝึกตนหลายพันคนในโถงผงะไป พวกเขาหันไปจ้องหวังเป่าเล่อทันที เหล่าผู้บัญชาการบนแท่นเองก็หันไปมองด้วยเช่นกัน จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็โพล่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าต้องการประจบจักรพรรดิ ถึงกระนั้นก็เป็นอะไรที่ผิดแปลกไปจากเดิมและเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ นอกจากนี้ชายหนุ่มยังใช้ชื่อสำนักมาเล่นคำ รวมถึงอวยพรให้จักรพรรดิบรรลุไปยังระดับดารานิรันดร์อีกด้วย


รายละเอียดยิบย่อยเหล่านี้ทำให้การเลียแข็งเลียขากลายเป็นศิลปะขึ้นมา ทั้งโถงประชุมตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนต้องใช้เวลาสักพัก รวมถึงหันไปเห็นจักรพรรดิ จึงสามารถปัดความตื่นตะลึงในใจออกไปและเรียกสติกลับมาได้ แต่กระนั้นพวกเขาก็ห้ามไม่ได้ที่ความคิดมากมายจะผุดขึ้นในหัวราวกับเป็นพายุถล่มดินแดน


ฉลาดจริง!


เจ้านี่เป็นใครกัน ช่างหน้าด้านเลียขาจักรพรรดิกันโต้งๆ ต่อหน้าคนมากมาย ต้องเป็นคนบ้าโดยกำเนิดแน่!


ช่างเป็นการเลียขาอย่างหน้าไม่อาย เจ้านี่ไม่น่าจะมีความละอายอะไรเลย…เอาจริงๆ ยิ่งเจอคนหน้าด้านมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องระวังเขาให้มากเท่านั้น!


ฝูงชนด้านล่างไม่ได้คิดเช่นนั้นเพียงฝ่ายเดียว ผู้บัญชาการทั้งสิบที่ยืนอยู่บนแท่นเองก็ทำหน้าตาแปลกประหลาดเช่นกัน หวังเป่าเล่อเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไร เขาดูสงบนิ่งขณะเอียงตัวไปทางตั้วโหย่วจื่อที่กำลังทำท่าเหมือนจะร้องไห้


ตั้วโหย่วจื่อแอบกรีดร้องอยู่ในใจ เขาไม่อยากเป็นจุดสนใจเลยแม้แต่นิด ไม่ได้อยากให้ใครรู้ว่าตนนั่งอยู่ข้างหลงจอมคลั่ง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อหยุดยั้งไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้


ท่ามกลางความเงียบกริบในห้องโถง จักรพรรดิสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ที่นั่งอยู่ชั้นบนสุดของแท่นก็หันไปมองหวังเป่าเล่อครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะขึ้น รู้สึกตกใจเล็กน้อยกับการกระทำเมื่อครู่ของชายหนุ่ม เขาไม่เคยพบหลงหนานจื่อมาก่อน ในใจอยากรู้จักชายคนนี้ให้มากขึ้นซึ่งก็ทำได้ง่ายดาย เป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะหาข้อมูลทุกอย่างของทุกคนในโถง


ไม่นานเขาก็พบว่าชายผู้เลียขาตนเองคือใคร เมื่อนึกถึงการต่อสู้ของหลงหนานจื่อกับกองทหารมังกรหยดหมึก ริมฝีปากของจักรพรรดิก็ผุดยิ้มขึ้นบางๆ การยกยอเกินงามของหลงหนานจื่อนั้นได้ผล ถ้าไม่ได้ทำเช่นนั้น จักรพรรดิคงไม่ได้สนใจหลงหนานจื่อเลยแม้แต่น้อย และรางวัลที่ให้ตอบแทนความพยายามก็คงเป็นแค่ของเชิงสัญลักษณ์ที่ให้ผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่งช่วยจัดการให้


รางวัลนั้นคงเป็นแค่ของตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว จักรพรรดิที่กำลังเบิกบานใจเลือกที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง จึงส่งข้อความเสียงไปหาเทพธิดาหลิงโยวแห่งกองทหารอันดับสิบ


เทพธิดาหลิงโยวกำลังจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาไม่เป็นมิตรตอนที่ได้รับข้อความเสียงจากจักรพรรดิ นางยังคงมีสีหน้าเหมือนเดิมเมื่อได้ฟังข้อความเสียง แต่มีแววรำคาญใจผุดขึ้นมาเล็กน้อยในสายตาเย็นชาที่มองไปยังหวังเป่าเล่อ นางไม่สามารถบอกปฏิเสธคำสั่งของจักรพรรดิได้ จึงตอบรับคำกลับไป


เมื่อสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเสร็จ จักรพรรดิสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ละความสนใจจากหวังเป่าเล่อ ก่อนจะผุดยิ้มและเริ่มการประชุม วันสุดท้ายของการประชุมสามัญคือการที่เขามาฟังผู้บัญชาการทั้งสิบรายงานคำขอและปัญหาต่างๆ ที่ถกกันมาตลอดหลายสัปดาห์รวมถึงรายละเอียดงานที่ได้ทำไป


ทุกคนกลับมาจริงจังและตั้งใจฟังการประชุม เหล่าผู้บัญชาการจากสิบกองทหารอันดับต้นเริ่มรายงาน เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า หวังเป่าเล่อเลิกทำตัวสบายๆ หันมานั่งหลังตรง ทำหน้าจริงจัง


เทพธิดาหลิงโยวเสร็จสิ้นการรายงานตอนช่วงเย็น ถือเป็นการสิ้นสุดการประชุมสามัญที่กินเวลาถึงหนึ่งเดือน จักรพรรดิกลับออกไป เหล่าผู้บัญชาการจากกองทหารทั้งสิบเอ่ยอำลาและจากไปเช่นกัน เทพธิดาหลิงโยวเป็นคนเดียวที่ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะกลับออกไป นางหันมามองทางที่นั่งของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ


“หลงหนานจื่อ ตามข้ามา ข้ามีอะไรจะคุยกับเจ้า”


เสียงฮือฮาดังก้องขึ้นทั่วทั้งโถงหลังจากนางพูดเช่นนั้น สายตาตื่นตะลึงและอิจฉาริษยาพุ่งตรงมาทางหวังเป่าเล่อ ทั้งหมดเป็นเพราะชื่อเสียงของเทพธิดาหลิงโยวในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นระดับการฝึกตนหรือความงาม นางก็เป็นที่หนึ่งในหมู่ผู้ฝึกตนหญิงของสำนัก!


นางเป็นคู่ครองในฝันที่ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนล้วนปรารถนา ทั้งตำแหน่งในสำนัก ระดับการฝึกตน และลักษณะนิสัยทำให้นางแทบไม่เคยเปิดบทสนทนากับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ในสำนักก่อน นางทำเหมือนว่าศิษย์คนอื่นๆ ในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นไม่มีตัวตน แต่ตอนนี้นางกลับเลือกหวังเป่าเล่อ


จึงเป็นเหตุให้ทุกคนหันมาสนใจกันหมดและนึกสงสัยว่าเหตุใดนางจึงเอ่ยทักหวังเป่าเล่อ ตั้วโหย่วจื่อเองก็เบิกตากว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น ความอิจฉาคุกรุ่นอยู่ภายใน ทิ้งรสขมขื่นไว้ในปากขณะมองดูหวังเป่าเล่อก้าวออกไปอย่างตื่นเต้นและวิ่งตามเทพธิดาหลิงโยวไป


ไอ้พวกเลียแข้ง! ตั้วโหย่วจื่อก่นด่าในใจขณะมองหวังเป่าเล่อวิ่งตามไปอยู่ข้างๆ เทพธิดาหลิงโยว นางสะบัดแขนชุดคลุมพาชายหนุ่มทะยานหายไป ภายในใจของตั้วโหย่วจื่อคุกรุ่นไปด้วยความริษยา และเขาก็ไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกเช่นนั้น ผู้ฝึกตนทุกคนเริ่มทยอยออกจากโถงไป


ขณะที่ฝูงชนกำลังแยกย้ายออกจากที่ประชุม เทพธิดาหลิงโยวก็กำลังทะยานนำหน้าหวังเป่าเล่ออยู่บนท้องนภาเหนือสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ด้วยสีหน้าเย็นชา นางไม่ได้พูดอะไรตลอดการเดินทาง หวังเป่าเล่อตระหนักว่านางพยายามแสดงอำนาจบารมี เขาไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงสั่งให้ตามมา แต่ก็พอจะเดาได้ว่าน่าจะเกี่ยวกับรางวัลที่ตนจะได้รับ


ทั้งหมดบอกได้จากทัศนคติไม่เป็นมิตรของนาง คนอื่นอาจจะมองไม่ออกในทันที แต่หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนทั่วไป เขามีตำแหน่งสูงในสหพันธรัฐและได้ทำเช่นนี้กับคนมามากมายจึงรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร


หรือว่าจักรพรรดิผู้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์จะไม่ได้ให้แค่ตำแหน่งศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กับข้า แต่ยังแต่งตั้งข้าให้ไปประจำการในกองทหารอันดับสิบซึ่งเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ของสำนัก หวังเป่าเล่อคิด รู้สึกแปลกใจปนยินดี ถ้าเป็นอย่างที่คิดจริงก็หมายความว่าเขาเริ่มต้นได้ดีมาก


ขณะที่หวังเป่าเล่อมัวแต่จมอยู่ในห้วงความคิด พวกเขาก็เดินทางไปยังจุดหมายโดยไม่มีอะไรติดขัด เทพธิดาหลิงโยวคิดว่าตนวางท่าไม่เป็นมิตรกับอีกฝ่ายมานานพอแล้วจึงเอ่ยพูดขึ้น ถึงกระนั้นน้ำเสียงของนางก็ยังฟังดูเย็นชา วาจาแข็งกระด้าง นี่อาจเป็นลักษณะนิสัยของนางเองก็เป็นได้


“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะเป็นสมาชิกกองทหารวิหคน้ำแข็ง!” พูดจบ เทพธิดาหลิงโยวก็ก้าวผ่านหายเข้าไปในประตูทางเข้าของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์


ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบขณะรีบตามนางไป วิสัยทัศน์ของเขาพร่ามัวไปชั่วขณะตอนที่เข้ามา พอทุกอย่างกลับมาแจ่มชัดอีกครั้งก็พบว่าตอนนี้ตนมาถึงสถานที่อีกแห่งบนยอดเขาแฝด


ชายหนุ่มอยู่บนทะเลทรายกว้างใหญ่ไร้จุดสิ้นสุด ยอดเขาแฝดตั้งสูงตระหง่านอยู่กลางทะเลทราย เหมือนดังปลายกระบี่แหลมคมที่ชี้ขึ้นฟ้า เป็นภาพสุดตระการตายิ่งนัก เทพธิดาหลิงโยวอยู่ไกลออกไป ชุดเกราะสีดำของหญิงสาวเปล่งประกายเมื่ออยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ร้อนระอุ พลังล้นเหลือพลันพวยพุ่งออกมาจากร่างของนาง หวังเป่าเล่อมองฟ้าที่เปลี่ยนสีเพราะพลังที่ปล่อยออกมากะทันหัน และเห็นชุดเกราะของนางแปรเปลี่ยนเป็นยักษ์สูงสามพันเมตร!


ยักษ์ตนนั้นแผ่พลังทรงอำนาจออกมา การปรากฏกายอย่างฉับพลันของมันได้สร้างพายุทรายขึ้น ตอนนั้นเอง ทะเลทรายก็ราวกับว่าได้กลายเป็นท้องทะเลปั่นป่วน คลื่นทรายพัดโหมไปมา สาดเม็ดทรายกระเซ็นไปทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาทันตอบโต้เมื่อเกราะสีดำเอื้อมเข้ามาคว้าตัวเขา


ความตื่นกลัวฉายชัดบนใบหน้าของชายหนุ่ม แม้ในใจจะส่งสัญญาณบอกให้ถอยหนี แต่เขาก็พยายามข่มความรู้สึกนั้นลง หวังเป่าเล่อหรี่ตา ปล่อยให้มือเอื้อมมาคว้าตนเอง เสียงเย็นเยียบของเทพธิดาหลิงโยวดังขึ้นในหู


“เจ้าไม่ตอบโต้กลับอย่างนั้นหรือ เหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้โง่เท่าไหร่นี่ ฐานทัพหลักของข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่อยู่บนดาวบริวารดวงที่เจ็ดของดาวเคราะห์นี้!”


ระหว่างที่นางอธิบาย ยักษ์เกราะดำก็เปลี่ยนแปลงอย่างปุบปับ เท้าของมันลอยขึ้นจากพื้นก่อนจะพุ่งตรงขึ้นฟ้า วิ่งผ่านชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ไปในทันที มันวิ่งไปไม่หยุด ก่อนเท้าจะเหยียบลงบนดาวบริวารดวงหนึ่งในหมู่ดาวบริวารรอบดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ เป็นดาวบริวารที่อยู่ห่างจากดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ที่สุด ดาวบริวารลำดับเจ็ดนั่นเอง!


ดาวบริวารทั้งเจ็ดดวงโคจรรอบดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ ดาวบริวารลำดับเจ็ดอยู่ห่างออกไปไกลสุด หวังเป่าเล่อคาดว่าระยะห่างระหว่างดาวบริวารดวงนี้กับดาวเคราะห์อยู่ห่างกันมากกว่าระยะทางระหว่างสหพันธรัฐกับดวงจันทร์หกเท่า ดาวบริวารดวงนี้ใหญ่กว่าดวงจันทร์ประมาณสองเท่า มีรูปลักษณ์ไม่เหมือนใคร ครึ่งดวงเป็นสีม่วง อีกครึ่งเป็นสีขาว ตรงกึ่งกลางมีหุบเหวที่แบ่งสองฝั่งออกอย่างชัดเจน


เห็นได้ชัดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ น่าจะเกิดจากฝีมือมนุษย์มากกว่า


ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังหรี่ตามองและจมอยู่ในห้วงความคิด ยักษ์เกราะดำก็ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว มุ่งหน้าตรงไปยังเขตดินแดนสีขาวของดาวบริวาร หวังเป่าเล่อเห็นดินแดนชัดเจนมากขึ้นเมื่อเข้าไปใกล้ เขาเห็นอาคารมากมายตั้งเรียงรายเป็นระเบียบอยู่ในเขตดินแดนสีขาว ดูไม่ต่างจากพลทหารในกองทัพ เหล่าอาคารตั้งเรียงแถวเป็นวงกลม ตรงศูนย์กลางมีรูปปั้นวิหคสีเขียวขนาดใหญ่ตั้งอยู่!


ที่แห่งนี้คือ…กองทัพลำดับสิบของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ กองทหารวิหคน้ำแข็ง!

 

 

 


บทที่ 770 กองทหารหญิง

 

จากที่ตั้วโหย่วจื่อบอกและข้อมูลที่หามา หวังเป่าเล่อรู้ว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์มีกองทัพสามสิบกองที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ


กองทัพที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจะถือเป็นสาขาย่อยของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาอยู่ใต้การบังคับบัญชาแต่ก็มีอิสระในระดับหนึ่ง ทางสำนักจัดหาทรัพยากรจำนวนมากให้ทั้งสามสิบกองทัพเป็นประจำทุกปี แต่ไม่ได้ให้พวกเขาส่งมอบทรัพยากรที่ไปปล้นมาทั้งหมด ทำให้กองทัพมีทรัพยากรเพียงพอสำหรับการใช้งานและได้รับการสนับสนุนจากทางสำนักเพิ่มเติมอีก ข้อบังคับเดียวของพวกเขาคือ…ร่วมสู้ในนามสำนักเมื่อสำนักเรียกหา!


นี่จึงเป็นสาเหตุให้มีการจัดอันดับในหมู่กองทัพ ทรัพยากรที่ทางสำนักจัดสรรให้แต่ละกองทัพและจำนวนบรรณาการที่ทางกองทัพต้องส่งมอบนั้นมีอันดับเป็นตัวกำหนด!


ยกตัวอย่างเช่น กองทัพอันดับหนึ่งไม่จำเป็นต้องส่งมอบทรัพยากรให้ทางสำนักเลย แต่ได้รับทรัพยากรสนับสนุนจากทางสำนักจำนวนมากจนน่าตกใจทุกปี ยิ่งมีอันดับสูงเท่าไหร่ ความแตกต่างระหว่างสัดส่วนทรัพยากรที่ต้องส่งมอบและทรัพยากรที่ได้รับสนับสนุนจากทางสำนักก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ขอแค่ขึ้นมาอยู่ในสิบอันดับต้นก็จะได้ทรัพยากรมากกว่าที่จะต้องส่งมอบให้สำนัก!


ส่วนกองทัพสิบอันดับกลางจะได้รับทรัพยากรสนับสนุนเท่าๆ กับที่ส่งมอบ ส่วนกองทัพสิบอันดับท้ายจะต้องส่งมอบมากกว่าที่ได้รับสนับสนุน ถึงกระนั้นทรัพยากรที่กองทัพสิบอันดับท้ายได้รับก็มากกว่าทรัพยากรที่จัดสรรให้กองทัพที่อยู่ในสังกัดของสำนักมหาศาลเลยทีเดียว


ระบบนี้จึงทำให้เกิดการแข่งขันอันดุดันระหว่างทั้งสามสิบกองทัพที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเพราะยิ่งขึ้นไปอยู่ในระดับสูงก็ยิ่งได้รับผลประโยชน์มาก


ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดการท้ารบอยู่บ่อยๆ เหล่ากองทัพต้องเสียค่าใช้จ่ายในการท้ารบ แต่ก็ถือว่าเป็นจำนวนเล็กน้อยสำหรับพวกเขา


แน่นอนว่า…กองทัพของสำนักย่อยในสังกัดสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เองก็ได้รับโอกาสในการเลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นกองทัพทางการเช่นกัน พวกเขาแค่ต้องมีคุณสมบัติพร้อมจึงจะมีสิทธิ์ท้ารบกองทัพทางการที่อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักใหญ่ หากชนะก็จะได้เลื่อนขั้นขึ้นไปแทนที่กองทัพทางการนั้นทันที!


การท้าสู้นี้จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเขา ชัยชนะอาจทำให้ได้ขึ้นไปยืนอยู่ตำแหน่งสูงในสำนัก แต่การจะได้สิทธิ์ในการท้าสู้มานั้นยากมาก พวกเขาต้องส่งมอบทรัพยากรจำนวนมากเป็นการยื่นความประสงค์ จากนั้นจะต้องมีคนในกองทัพห้าอันดับต้นเป็นผู้รับรอง เงื่อนไขแรกนั้นวัดเรื่องความมั่งคั่งทางกายภาพ ส่วนเงื่อนไขที่สองมีมูลค่าที่แตกต่างไปแต่ก็สูงเช่นเดียวกัน


หากผู้ท้าชิงพ่ายแพ้ ทรัพย์สินทั้งหมดจะตกเป็นของผู้ชนะ ฝ่ายที่แพ้ยังต้องจ่ายค่าชดเชยจำนวนมาก โดยค่าชดเชยนั้นจะต้องส่งให้สำนักใหญ่เก็บไว้ก่อนจะเริ่มศึก!


หลังจากจัดแจงข้อมูลเกี่ยวกับกองทัพสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ที่ได้มาเสร็จ หวังเป่าเล่อก็สรุปได้ว่ากองทหารวิหคน้ำแข็งน่าจะขอท้าชิงเร็วๆ นี้


เทพธิดาหลิงโยวเพิ่งจะบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับนางในการท้าสู้ชิงอันดับ เว้นเสียแต่นางจะไม่ได้เล็งกองทัพอันดับเจ็ด แต่เป็นกองทัพอันดับหกที่มีผู้บรรชาการเป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเหมือนกัน!


ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อขณะที่เทพธิดาหลิงโยวนำทางมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาเข้าไปในดาวบริวารและปรากฏอยู่ด้านบนน่านฟ้าเหนือรูปปั้นวิหคยักษ์สีเขียว


รูปปั้นวิหคดูตระการตา มีตำหนักมากมายสร้างอยู่ในรูปปั้น ผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยหลั่งไหลเข้าออกไม่ขาดสาย ทันทีที่ผู้ฝึกตนเหล่านั้นรวมถึงผู้ฝึกตนรอบๆ ค่ายสังเกตเห็นว่าหวังเป่าเล่อและเทพธิดาหลิงโยวมาถึงแล้วก็รีบเงยหน้าขึ้นฟ้าทำความเคารพทันที


“ขอต้อนรับท่านผู้บัญชาการผู้ยิ่งใหญ่!”


เสียงของพวกเขาดังก้องขึ้นพร้อมกันราวกับเป็นสายฟ้าฟาด หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นสัดส่วนที่ไม่เท่ากันระหว่างจำนวนผู้ฝึกตนหญิงและผู้ฝึกตนชาย ร้อยละเจ็ดสิบเป็นผู้ฝึกตนหญิง


กองทหารหญิงหรือ หวังเป่าเล่อกะพริบตา ตระหนักได้ว่าตนมีข้อได้เปรียบสูงเพียงใดที่นี่ ก่อนจะเริ่มเป็นกังวลถึงความปลอดภัยของตนเอง ขณะกำลังครุ่นคิดจินตนาการอย่างหน้าไม่อาย เทพธิดาหลิงโยวก็พยักหน้าเบาๆ ให้กับคำทักทาย ใบหน้าของนางปราศจากอารมณ์ใดๆ นางลากชายหนุ่มก้าวเข้าไปในโถงหลักซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังรูปปั้นวิหคเขียว จากนั้นก็เหวี่ยงแขนตัวเอง โยนหวังเป่าเล่อไปด้านข้าง ก่อนจะไปนั่งบนที่นั่งหลักในโถง


หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังปราณออกมาทันทีที่โดนเหวี่ยง เขากระเด็นถอยหลังไปเล็กน้อยก่อนจะลงเหยียบพื้น ชายหนุ่มปลดปล่อยพลังออกมาได้ถูกจังหวะจึงสามารถต้านแรงเหวี่ยงของเทพธิดาหลิงโยวได้ ใบหน้าของเขาแสดงอาการเล็กน้อยก่อนจะกลับสู่ความสงบอีกครั้ง


ชายหนุ่มรู้ว่าแรงเหวี่ยงเมื่อครู่นั้นสามารถทำให้ตนเจ็บหนักได้ถ้าระดับขั้นการฝึกตนไม่สูงพอ เหมือนว่าผู้บัญชาการหญิงจะยังไม่จบการสำแดงอำนาจบารมีของตัวเอง


เป็นคนหน้าตาดีไปไหนก็เจอแต่ปัญหา หวังเป่าเล่อแอบแค่นเสียงไม่พอใจ แต่ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกทางสีหน้า ราวกับว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับการกระทำเมื่อครู่ เขายืนสงบเสงี่ยมอยู่ที่มุมหนึ่งของโถง


สายตาเย็นชาของเทพธิดาหลิงโยวดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีตอบสนองของชายหนุ่ม นางละสายตาจากเขาก่อนจะหยิบแผ่นหยกออกมาตรวจสอบ


จากนั้นก็มีผู้ฝึกตนหญิงสามคนเดินเข้ามาในโถงจากทางประตูด้านหลังหวังเป่าเล่อ คนแรกใส่ชุดคลุมสีม่วง คนที่สองสวมกระโปรงสีเขียว ส่วนคนที่สามสวมชุดเกราะออกศึก


ผู้ฝึกตนหญิงคนแรกสวมชุดคลุมสีม่วงรัดเรือนร่างแน่นจนเหมือนเป็นผิวหนังชั้นที่สอง เผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้ายั่วยวนใจอย่างชัดเจน สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่หญิงสาวอย่างไม่อาจควบคุมได้ ตราตรึงกับความงดงามของนางที่กำลังเดินกรีดกรายไปยังด้านหน้าของโถง


ผู้ฝึกตนหญิงคนที่สองที่สวมกระโปรงสีเหลืองดูสูงส่ง ผมสีดำนุ่มสลวยยาวถึงกลางหลัง ใบหน้ารูปไข่โดดเด่นด้วยรอยยิ้มแม้จะยังไม่ได้ปริปากพูด นางเป็นเหมือนสายลมนุ่มนวลของฤดูใบไม้ผลิ พลังรัศมีที่แผ่ออกมาแตกต่างจากผู้ฝึกตนหญิงชุดคลุมม่วง เป็นพลังอันบริสุทธิ์ไร้มลทิน ส่วนอีกคนดูยั่วยวนร้ายกาจ


หญิงคนสุดท้ายผู้สวมชุดเกราะให้บรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากสองคนแรก นางงดงามไม่แพ้กัน แต่เป็นเหมือนเทพธิดาหลิงโยวอีกคน เย็นชาและห่างเหิน แค่เพียงยืนนิ่งก็แผ่รังสีสังหารออกมา


ทั้งสามอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ แต่ละคนเปล่งพลังล้นเหลือไม่แพ้กัน พวกนางปรายตามองหวังเป่าเล่อตอนเข้ามาในโถง แต่มีท่าทีแตกต่างกันออกไป สายตาของผู้ฝึกตนหญิงชุดม่วงดูยั่วยวน ส่วนสายตาของหญิงกระโปรงเหลืองดูเป็นมิตร ในขณะที่ผู้ฝึกตนชุดเกราะมองเขาด้วยความเหยียดหยาม หญิงทั้งสามกล่าวทักทายเทพธิดาหลิงโยวที่นั่งอยู่


 ความงามของทั้งสามตราตรึงอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขายืนอยู่เงียบๆ ในมุมหนึ่งของโถงและมองทั้งสามคร่าวๆ จากมุมมองของผู้ชายที่ไม่มีอะไรแอบแฝง ชายหนุ่มนึกชื่นชมสาวชุดเกราะ อยากจะทำความรู้จักกับสาวกระโปรงเหลืองให้มากขึ้น และไม่สามารถห้ามตนเองไม่ให้มองไปยังผู้ฝึกตนหญิงชุดม่วงได้


ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังยืนพิจารณาอยู่เงียบๆ เทพธิดาหลิงโยวก็วางแผ่นหยกลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาวทั้งสามพร้อมกับพยักหน้าให้เล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองชายหนุ่ม


“ถึงจักรพรรดิจะให้เจ้าเข้าร่วมกองทัพของข้า แต่ก็ไม่ใช่ว่ากองทหารวิหคน้ำแข็งจะรับใครหน้าไหนมาเข้าร่วมก็ได้ บันทึกของเจ้าจากสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ระบุว่าเจ้าเชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวท เช่นนั้นก็ต้องลองทดสอบดูว่าเจ้าเก่งกาจเรื่องวัตถุเวทจริงหรือไม่ก่อนที่เราจะตัดสินใจว่าควรทำอะไรกับเจ้า จงกลับมาหาข้าเมื่อเจ้าหลอมสิ่งนี้เสร็จ ตอนนี้เจ้าออกไปได้แล้ว” เทพธิดาหลิงโยวออกคำสั่ง จากนั้นก็โบกมือ โยนแผ่นหยกในมือไปให้สาวกระโปรงเหลือง และสั่งให้นางเก็บข้อมูลหวังเป่าเล่อเข้าบันทึกของกองทัพ ขณะเดียวกันก็ให้สิทธิ์ในการเข้าถึงขั้นพื้นฐานกับชายหนุ่มและโยนแผ่นหยกอีกแผ่นให้


“โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาหรือ” หวังเป่าเล่อพูดขึ้นด้วยความแปลกใจพร้อมขยายสัมผัสสวรรค์ออกไปตรวจดูข้อมูลในแผ่นหยกคร่าวๆ ในนั้นมีวิธีหลอมสมบัติเวท ชื่อของวัตถุชิ้นนี้บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของมันได้เป็นอย่างดี


“โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาคือหนึ่งในสมบัติเวทที่เราใช้ทดสอบมาตรฐานการหลอมวัตถุเวทของศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ถือเป็นวัตถุที่มีความท้าทายในการหลอมสำหรับนักหลอมอาวุธเวทในสำนักเรา แต่แค่พยายามสักหน่อย ส่วนใหญ่ก็มักจะหลอมออกมาได้สำเร็จ” แน่นอนว่าการอธิบายเช่นนี้ไม่น่าจะออกมาจากปากของเทพธิดาหลิงโยว เป็นผู้ฝึกตนหญิงกระโปรงเหลืองที่ยิ้มและตอบคำถามในใจของหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็ยื่นตราถ้ำที่พักพร้อมตำแหน่งที่พักของเขาให้


หวังเป่าเล่อกะพริบตามองตราและแผ่นหยกในมือก่อนจะกลับออกไป เหมือนกลุ่มหญิงสาวจะมีเรื่องต้องพูดคุยกันต่อ จะแอบฟังบทสนทนาของพวกนางกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคงเป็นเรื่องยาก เขาจึงออกจากโถงตรงไปตามพิกัดที่ระบุในตราที่ได้รับมาเพื่อไปยังที่พัก


เป็นดั่งที่ชายหนุ่มคาดเดา หลังจากที่เขากลับออกไป เทพธิดาหลิงโยวก็เริ่มการประชุมอย่างจริงจังถึงวาระต่างๆ ในกองทัพ จัดแจงเตรียมการต่างๆ สำหรับการท้าชิงกับกองทัพอื่นที่เดิมพันไว้ด้วยการเลื่อนอันดับของพวกตน หลังจากจบการประชุม ผู้ฝึกตนหญิงที่สวมกระโปรงเหลืองก็ทำท่าลังเลใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


“ผู้บัญชาการ ถึงหลงหนานจื่อจะได้เข้ากองทัพของเราเพราะคำสั่งของจักรพรรดิ แต่จะเหมาะสมหรือที่ให้เขาหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา…เพราะสิ่งนั้นเอาไว้ประเมินศิษย์ในสำนักของเราและเป็นถึงวัตถุขั้นจิตวิญญาณอมตะ ข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุนี้ถือเป็นความลับระดับสูง…”


เมื่อนางพูดจบ สาวชุดเกราะก็แค่นเสียงทางจมูก นางเป็นคนที่มองหวังเป่าเล่อด้วยความเหยียดหยาม


“ข้าได้ยินมาว่าหลงหนานจื่อชอบซุ่มโจมตีศัตรู ผู้ฝึกตนเช่นเขามักจะไม่มีฝีมืออะไร อีกอย่าง พวกนักหลอมวัตถุเวทนอกสำนักเราก็หลอมได้แค่โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสาม พวกเขาไม่มีทางหลอมอะไรที่สูงไปกว่านั้นได้ วัตถุที่ต่ำกว่าระดับสี่ถือเป็นวัตถุขั้นเชื่อมวิญญาณ ไม่ใช่วัตถุขั้นจิตวิญญาณอมตะ ส่วนนักหลอมวัตถุเวทในสำนักเรา มีไม่กี่คนที่หลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับห้าหรือสูงกว่านั้นได้สำเร็จ มีเพียงอัจฉริยะหาตัวจับได้ยากเท่านั้นที่จะสามารถหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแปดซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดได้ ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรแม้แต่น้อย”

 

 

 


บทที่ 771 ผิดคน!

 

เทพธิดาหลิงโยวค่อนข้างจะเชื่อตามที่ลูกน้องคนสนิทได้กล่าวมา นางไม่คิดว่าหลงหนานจื่อจะมีพรสวรรค์อันเยี่ยมยอดด้านการหลอมวัตถุเวท ถึงกระนั้นนี่ก็เป็นแค่เรื่องยิบย่อยในสายตานาง


ภารกิจที่สำคัญที่สุดของนางตอนนี้คือไต่อันดับกองทัพ ด้วยระดับการฝึกตนในปัจจุบันและเรือบินรบเวทที่มี กองทัพของนางน่าจะเอาชนะกองทัพลำดับเจ็ดและชิงตำแหน่งมาได้ง่ายๆ


น่าจะไม่มีอุปสรรคใดๆ จากอีกฝั่ง เพราะบัดนี้นางก็อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว!


แน่นอนว่าความทะเยอทะยานของเทพธิดาหลิงโยวไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น นางไม่ได้หวังอันดับเจ็ด นางอยากได้อันดับหก เพราะแม้จะห่างกันแค่เลขหน่วยเดียว แต่ทรัพยากรที่กองทัพจะได้รับสนับสนุนนั้นแตกต่างกันมากโข


เป็นเหตุให้นางต้องวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ ส่วนหวังเป่าเล่อ เทพธิดาหลิงโยวไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ นางไม่ชอบกิริยามารยาทของชายหนุ่มมาตั้งแต่ต้น ถึงกระนั้น นางก็ปฏิเสธคำสั่งของจักรพรรดิไม่ได้ แน่นอนว่านางก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรที่ให้สูตรหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไป หญิงสาวคิดว่าหวังเป่าเล่อน่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งถึงสองปีจึงจะสามารถหลอมวัตถุนี้ได้สำเร็จ นางไม่ได้กังวลอะไรจึงจบบทสนทนาด้วยการโบกมือ


หวังเป่าเล่อที่ไม่ได้รู้เรื่องเหล่านี้เลยกำลังเดินชมรอบกองทหารวิหคน้ำแข็ง ทุกที่ที่ผ่านตาก็เห็นแต่ผู้ฝึกตนหญิงจำนวนมากที่เป็นชนกลุ่มใหญ่ของกองทัพ น่าเสียดายที่ภาพตรงหน้าไม่ใช่หญิงงามนั่งคุยกันสนุกสนาน แต่เป็นหญิงแกร่งเดินขึงขังผ่านไปผ่านมา…


เขาคิดมาตลอดว่ารูปโฉมอันงดงามคือไพ่ตายของตน แต่เหมือนว่ามันจะใช้ไม่ได้ผลในค่ายแห่งนี้ ไม่มีใครสนใจชายหนุ่มเลย ไม่มีแม้สักคนที่ตอบกลับการทักทายของเขา หวังเป่าเล่อกระแอมกระไออย่างขวยเขินและพยายามหาทางแก้เก้อ ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเมื่อมาถึงที่พำนักของตัวเอง


เหมือนว่าที่นี่ ผู้ชายจะไม่ได้มีอำนาจมากนัก… หวังเป่าเล่อมองที่พักของตัวเองขณะนึกถึงที่พำนักต่างๆ ที่เห็นตามทาง เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกตนหญิงนั้นมีตำแหน่งสูงกว่าและได้รับที่พักดีกว่าผู้ฝึกตนชายในกองทหารวิหคน้ำแข็ง


ช่างปะไร ทั้งหมดเป็นเพราะมีผู้บัญชาการเป็นหญิงใจดำ หวังเป่าเล่อส่ายหัวและใช้ตราที่ได้มาเปิดทางเข้าถ้ำ จากนั้นก็เข้าไปด้านใน เขาไม่ค่อยพอใจกับที่พักอันแสนคับแคบ แต่ก็ไม่ได้หวังอะไรมากมายตั้งแต่แรก ชายหนุ่มนั่งลง ก่อนจะเริ่มจัดระเบียบความคิด


ตอนนี้ข้าถือเป็นศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์แล้ว ตราบใดที่ข้าไม่ทำให้ชีวิตตัวเองยุ่งยาก ก็ไม่น่าจะต้องกังวลอะไรกับภัยคุกคามจากกองทหารมังกรหยดหมึก


เป้าหมายต่อไปคือหาจุดยืนที่มั่นคงในกองทหารวิหคน้ำแข็ง จากนั้นก็หาทางสร้างกองทัพของตนเองและเก็บเคล็ดวิชาจากดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์มาเพิ่ม!


ข้าควรจะสานสัมพันธ์กับราชวงศ์ด้วยถ้ามีโอกาส…เพราะน่าจะใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์ได้! หวังเป่าเล่อหรี่ตาขณะพิจารณาแผนการในอนาคต รอบตัวตอนนี้มีแต่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ ไหนจะจักรพรรดิที่อยู่ระดับดาวพระเคราะห์อีก แถมปัจจุบันตนอยู่ที่ตัวสำนักใหญ่ ซึ่งก็คือดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เขาก็จะไม่ใช้ความสามารถในการขโมยตัวตนของผู้อื่น


ข้าจะหลอมโล่สวรรค์พิพากษาอะไรสักอย่างนี่ ถ้ามันจะทำให้ข้ามีจุดยืนที่มั่นคงในสำนัก และควรใช้โอกาสนี้ศึกษากระบวนการหลอมระดับสูงของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์! เมื่อคิดเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจได้ เขาหยิบแผ่นหยกที่บันทึกวิธีหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาออกมาและเริ่มศึกษาอย่างตั้งใจ


จากการตรวจดูคร่าวๆ รอบที่แล้ว ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นถึงความเยี่ยมยอดของวัตถุชิ้นนี้ พอได้ศึกษาอย่างละเอียด ดวงตาของเขาก็ต้องเบิกกว้าง ยิ่งศึกษาวิธีหลอมไปมากเท่าไหร่ ความตื่นเต้นก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ในที่สุดชายหนุ่มก็ส่งเสียงตื่นตะลึงออกมา


สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ร่ำรวยขนาดนี้เลยหรือ นี่มัน…วัตถุเวทขั้นจิตวิญญาณอมตะชัดๆ! หวังเป่าเล่อผงะไปด้วยความตื่นตกใจ หญิงกระโปรงเหลือบอกเขาว่านี่เป็นวัตถุเวทที่ใช้ทดสอบนักหลอมวัตถุเวททุกคนในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไม่ใช่หรือ


นึกไม่ออกเลยว่ามาตรฐานการหลอมวัตถุเวทของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จะสูงส่งเพียงใด…ศิษย์ทุกคนที่เข้ารับการทดสอบจะต้องหลอมวัตถุเวทขั้นจิตวิญญาณอมตะเลยหรือ หวังเป่าเล่อคิดว่าตนน่าจะเข้าใจผิด แต่ก็มั่นใจว่าอ่านวิธีหลอมได้ถูกต้องหลังจากศึกษาอย่างละเอียดเป็นครั้งที่สอง ความจริงแล้วการอ่านครั้งที่สองนั้นทำให้เขาได้ค้นพบเรื่องน่าตื่นตะลึงขึ้นไปอีกขั้น


หากใช้เกณฑ์ของสหพันธรัฐประเมินโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา มันน่าจะจัดอยู่เหนืออาวุธเวทระดับเก้าไปอีก เกือบจะเป็นอาวุธเทพได้เลย…ความสามารถในการพัฒนาก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน อาจจะพัฒนาจนเหนือชั้นกว่าอาวุธเทพก็เป็นได้…สวรรค์ สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เลยหรือ หวังเป่าเล่อกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ใบหน้าของเขาซีดเผือด การค้นพบในครั้งนี้น่าสะพรึงกลัวเกินกว่าจะรับมือได้ไหว


โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกานั้นใช้ป้องกันและสะท้อนพลังโจมตีของวัตถุเวทเป็นหลัก แบ่งออกเป็นแปดระดับตามความแข็งแกร่ง ทุกระดับที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มพลังคลื่นสะท้อนกลับร้อยละห้า เนื่องจากมีแปดระดับ โล่นี้จึงสามารถสะท้อนพลังโจมตีดั้งเดิมของศัตรูกลับไปได้ถึงหนึ่งในสี่ นอกจากนี้ยังมีระดับการพัฒนาที่สูงกว่าระดับแปดขึ้นไปด้วย แม้ข้อมูลในแผ่นหยกจะไม่ได้พูดถึงจุดนี้ แต่ประสบการณ์และสัญชาตญาณของหวังเป่าเล่อก็บอกตนเองว่าต้องมีระดับที่สูงกว่าระดับแปดขึ้นไปอีกแน่นอน!


มันเป็นการค้นพบอันน่าตื่นตะลึงจนทำให้หวังเป่าเล่อต้องถ่อมตนลงมา เขาเลิกประเมินสำนักต่ำกว่าที่ควรและเริ่มรู้สึกกดดันมากขึ้น เหมือนมีภูเขามาตั้งอยู่บนไหล่ ทำให้หายใจได้ยาก


ข้าต้องพยายามอย่างหนักแล้ว! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกขณะมองแผ่นหยกในมือ ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวเมื่อเขาวิเคราะห์และศึกษาเนื้อหาในแผ่นหยก เวลาดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ผ่านไปเจ็ดวันนับตั้งแต่ชายหนุ่มมายังค่ายกองทหารวิหคน้ำแข็ง


เขาแทบไม่ได้นอนหรือพักผ่อนเลยตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา เอาแต่ศึกษาเรื่องโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา นำประสบการณ์การหลอมวัตถุเวทที่ได้จากสหพันธรัฐ กระบี่สำริดเขียวโบราณ และอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มารวมกัน ในที่สุด ชายหนุ่มก็จับจุดสูตรหลอมระดับแรกได้


ตัวตนของเขาได้รับการลงทะเบียนในบันทึกของกองทหารวิหคน้ำแข็ง ตำแหน่งของชายหนุ่มไม่ได้สูงส่งอะไรจึงมีเพียงสิทธิ์ขั้นพื้นฐาน ทำให้หวังเป่าเล่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากซื้อทรัพยากรจากทางกองทหารวิหคน้ำแข็ง


หวังเป่าเล่อเริ่มหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาหลังจากซื้อวัตถุดิบที่จำเป็นเสร็จ แต่ก่อนจะเข้าสู่การถือสันโดษ ชายหนุ่มก็ปล่อยเจ้าลาออกมา เหมือนกับว่าจู่ๆ ก็รู้สึกผิด


“ลูกข้า บิดาของเจ้าทำดีกับเจ้ามากเลยใช่หรือไม่ จำไว้ว่าให้ทำตัวดีๆ อย่าไปสร้างปัญหา ไม่อย่างนั้นข้าจะขังเจ้าไปร้อยปี!” หวังเป่าเล่อมองเจ้าลา รู้สึกว่าวิธีสอนลูกของตนเองจะได้ผล ซึ่งก็คือ…ทุบตีสั่งสอนจนกว่าลูกจะหลาบจำ!


เขานึกถึงตอนเด็กที่ตนหนักกว่าปู่ จากนั้นก็จำได้ว่าถูกทุบตีหนักขนาดไหนจึงตระหนักว่าต้องประพฤติตัวให้ดี ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว ชายหนุ่มดุด่าต่ออีกสักพัก แต่ก็ต้องตะลึงงันไปเมื่อได้เห็นท่าทีของเจ้าลา


เจ้าลามักจะทำตัวน่าสงสารหรือไม่ก็สั่นกลัวอยู่ตลอดเมื่อเจอหวังเป่าเล่อดุ บางครั้งก็ถึงกับเข้ามาอ้อนเอาอกเอาใจ พยายามทำตัวให้ชายหนุ่มรักใคร่มาโดยตลอด แต่วันนี้เจ้าลากลับเปลี่ยนไป…มันดูกลัดกลุ้ม ถึงขนาดร้องเสียงดังใส่หวังเป่าเล่อ


“ลูกข้า! ลูกข้า! ลูกข้า!”


มันดูกังวลหนักและเหมือนจะร้องขอบางอย่างจากหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจ้องเจ้าลาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเปิดกระเป๋าคลังเก็บและโยนวัตถุดิบไปให้ เจ้าลาเหลือบมองวัตถุดิบคร่าวๆ ไม่ได้แตะต้องอะไรแม้แต่นิด จากนั้นก็ร้องขึ้นอีก


หวังเป่าเล่อเริ่มไม่พอใจ


“เจ้าเริ่มจะเลือกกินมากไปแล้ว รู้ไหมว่าตัวเองได้กินฟรีๆ ไม่ได้ทำงานเพื่อแลกมา!”


“ลูกข้า!”


“ยังจะบ่นอีกหรือ”


“ลูกข้า!”


หวังเป่าเล่อตบหน้าผากตัวเอง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเจ้าลาคือลูกของตน เขาทนเจ็บปวดใจที่ต้องเสียวัตถุดิบราคาแพงและโยนชิ้นที่ดีกว่าเดิมไปให้ เจ้าลามองเพียงแวบเดียว มันยังคงไม่พอใจ ชายหนุ่มเริ่มสงสัยจึงขยายสัมผัสสวรรค์ไปสื่อสารกับเจ้าลา


ใบหน้าของหวังเป่าเล่อดูแปลกไปเมื่อคุยเสร็จ


“เจ้าลาสัปดน!” หวังเป่าเล่อร้องขึ้นด้วยความโมโห เจ้าลาบอกเขาว่ามันหาของบางอย่างอยู่ เป็นของที่ได้มาจากตอนสู้กับกองทหารมังกรหยดหมึกและได้ระเบิดเรือบินรบสังหารผู้ฝึกตนไปมากมาย เจ้าลาไม่รู้ว่าของชิ้นนี้เป็นของใคร แต่…มันคือหุ่นเชิดที่มีกลไกการทำงานเพียงอย่างเดียว ดูภายนอกแล้วไม่มีอะไรแปลก แต่ถ้าสังเกตดูดีๆ ก็จะเริ่มคิดจินตนาการไปไกล สามารถรู้ได้เลยว่าเจ้าของเดิมนั้นมีลักษณะนิสัยและความชอบอย่างไร…


ของชิ้นนี้ทำให้เจ้าลาสามารถใช้พลังงานอันไร้ขีดจำกัดของมันได้ระดับหนึ่ง ยิ่งใช้ของชิ้นนี้มากเท่าไร ก็ยิ่งปรารถนาอยากใช้อีกซ้ำๆ ไม่รู้จักเบื่อ…


หวังเป่าเล่อรู้สึกรังเกียจ แต่ถึงอย่างไรเจ้าลาก็เป็นแค่อสูรตัวหนึ่ง เขาได้แต่ถอนหายใจและเริ่มค้นหาของดังกล่าวในกระเป๋าคลังเก็บ แต่ค้นอยู่นานก็ไม่เจอ เจ้าลาดูสิ้นหวัง ชายหนุ่มทำได้แค่ยักไหล่และเลิกค้นหา จากนั้นก็ปล่อยเจ้าลาไปและนั่งลง เขาสูดหายใจลึกและเริ่มการหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา


ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังหยิบวัตถุดิบสำหรับหลอมออกมาเพื่อเริ่มกระบวนการ ภาพความทรงจำหนึ่งก็แล่นขึ้นมาในหัว เขานึกขึ้นได้ว่าได้ให้กระเป๋าคลังเก็บกับผู้ฝึกตนหญิงที่มีไฝบนใบหน้าเพื่อแลกกับข้อมูล ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างขึ้นทันใด ครู่ต่อมาก็ทำสีหน้าแปลกๆ


ข้าเลือกเป้าหมายผิด ถ้ารู้เช่นนี้ ข้าจะให้กระเป๋าคลังเก็บใบนั้นกับเทพธิดาหลิงโยว…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)