องครักษ์เสื้อแพร 766-773
ตอนที่ 766 ปืนใหญ่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตั้งแต่ทหารหมิงออกจากเมืองต้าถงทางช่องเขาสังหารพยัคฆ์สู่ทุ่งหญ้า ปืนใหญ่ของพลปืนใหญ่กองกำลังหู่เวยสำแดงอานุภาพอย่างมาก แต่มีปืนใหญ่สองสามกระบอกที่ไม่เคยนำออกมายิง
ปืนใหญ่สามกระบอกนี้ไม่เคยถูกนำมายิง ไม่ได้ยิงแต่กลับใช้กำลังคนและแรงงานสัตว์มากมายขนมาด้วย ดีที่กองกำลังหู่เวยรู้วิธีการนำเชือกหนังมาผูกโยงม้าลากเอาไว้ สามารถนำม้ามาลากเรียงกันได้ถึง 16 ตัว
ปกติแค่ม้าตัวเดียวลากรถใหญ่สองล้อ ก็บรรทุกของได้ราว 600- 800 ชั่ง ม้า 16 ตัวสามารถลากได้หนักกว่า
นอกจากใช้ม้าเยอะแล้ว รถบรรทุกปืนใหญ่พวกนี้ยังมีรถสำรองอีก ใช้ม้าสี่ตัวลากมา แท่นปืนใหญ่นี้ไม่เพียงแต่เป็นแท่นเหล็กที่ทำจากล้อเหล็กผสมไม้ หนึ่งคันต่อปืนหนึ่งกระบอก ปืนใหญ่สามกระบอกแต่ละกระบอกถึงกับเตรียมเครื่องยิงไว้สองชุด
ตลอดทางก็ยุ่งยาก ยามนี้อากาศหนาวจัด พื้นดินตอนเหนือก็แห้งมาก ถนนหนทางก็แข็ง ล้อรถปืนใหญ่สามกระบอกนี้ยังบดจนเป็นรอยล้อรถลึกได้ พอเจอหลุมบ่อ ไม่ใช้ไม้กระดานปูให้เรียบร้อย ก็จะให้คนมาคอยดัน ดีที่เดินทางมาได้ตลอดรอดฝั่ง
เชลยนอกด่านถูกจัดการเรียบนอกกำแพงเมืองกุยฮว่าเฉิงแล้ว ปืนใหญ่สามกระบอกนี้ก็ถูกลากออกมาด้านหน้า เป็นจุดสังเกตของทหารหมิงทั้งหมด ไม่เพียงแต่ทหารเมืองจี้โจวหรือเมืองต้าถง แม้แต่กองกำลังหู่เวยเองก็จ้องไม่กระพริบเช่นกัน
ระยะห่างราว 260 ก้าว เป็นที่ตั้งทัพปืนใหญ่กองกำลังหู่เวย ม้า 16 ตัวลากมาเป็นแถวยาว ไม่อาจให้ม้านำหน้ามากไปได้ เพราะหาในเมืองยิงกระสุนหินหรือกระสุนดินออกมา ก็จะทำให้ตกใจจนเสียการได้
ดังนั้นก่อนถึงพื้นที่ตั้งกองพลปืนใหญ่จึงหยุดก่อน ทหารเริ่มขึ้นหน้าเข้าไปลากแทน คนหนึ่งร้องส่งสัญญาณ นำปืนใหญ่ไปยังพื้นที่ที่กำหนดไว้
ทหารปืนใหญ่กองกำลังหู่เวยส่วนใหญ่ประจำอยู่หน้าตำแหน่งปืนใหญ่ของตนเองแล้ว ที่ออกแรงอยู่ตรงนี้ส่วนใหญ่เป็นทหารปืนใหญ่เมืองจี้โจว พวกเขากำลังใจดี เช่นกันย่อมเต็มไปด้วยความหวัง ปืนใหญ่เช่นนี้ เห็นชัดว่าเป็นปืนใหญ่ที่นำออกมาหลังสุด แท้จริงแล้วอานุภาพร้ายกาจเพียงใดกัน
รบกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ทหารหมิงทหารไม่ได้รู้สึกกดดันเคร่งเครียดอันใด ดันปืนใหญ่ไปพลางคุยกันไปพลางว่า
“ปืนใหญ่นี่น่านะหมื่นชั่งได้ พี่น้องเรามาเข็นกันร่วมร้อยได้!”
มีคนเข็นปืนใหญ่ มีคนใช้เชือกลากปืนใหญ่ ข้างๆ มีคนเชี่ยวชาญตอบเสียงดังว่า
“หากหมื่นชั่งจริง ม้า 16 ตัวเกรงวาเอาไม่อยู่ หลายพันชั่งน่าจะได้ ถุยๆ พวกเจ้าดูปืนใหญ่ที่พวกเทียนจินหลอมสิ ดูแล้วได้สัดส่วน ดูปืนใหญ่เราสิ เทียบกันไม่ติดเลย!”
“หลายวันก่อนไปช่วยขนกระสุนปืนใหญ่ กระสุนปืนใหญ่ก็หนักราวสิบกว่าชั่งแล้ว!”
“12 ชั่ง พวกทหารกองกำลังสังกัดวังหลวงเรียกว่า ปืนกระสุน 12 ชั่ง ยอดเยี่ยมจริง ปืนใหญ่ทัพเราใหญ่สุดแค่ปืนใหญ่กระสุน 10 ชั่งเท่านั้น”
“ปืนใหญ่เช่นนี้เมื่อใดพวกเราจะมีกัน?”
“ได้ยินใต้เท้าว่า กลับเมืองจี้โจวครานี้ ทุบหม้อขายอาวุธก็ต้องซื้อปืนใหญ่จากเทียนจินสักสองสามกระบอก!”
ปืนใหญ่ค่อยๆ ไปยังตำแหน่ง พลปืนใหญ่กองกำลังหู่เวยเริ่มทำความสะอาดลำกล้องปืนใหญ่ บรรจุดินปืน ดินปืนกองกำลังหู่เวยห่อด้วยผ้าฝ้ายเอาไว้ ปากกระบอกปืนขนาดเท่าไรก็ล้วนกำหนดสัดส่วนไว้พร้อม จัดการปากกระบอกเสร็จ ก็หย่อนห่อผ้าลงไปได้เลย จากนั้นก็บรรจุกระสุนปืนใหญ่ แล้วค่อนใช้ท่อนไม้เกลี่ย
ปืนใหญ่หนักหกชั่งขึ้นไปเกือบ 30 กระบอกเล็งไปยังกำแพงเมืองด้านที่มีเสียงร้องร่ำไห้ระงมเมื่อครู่ ปืนใหญ่ที่เหลือเตรียมยิงได้ทุกเวลา
หลังกองพลปืนใหญ่ ทหารราบแต่ละหน่วยถอยหลังเว้นระยะห่าง ขุนพลทหารตะโกนให้จัดแถวรอคำสั่ง ทัพม้าถอยห่างออกไป ทหารหวังทงตะโกนบอกทุกหน่วยให้อุดหูให้ดีตอนยิง ทัพม้าได้สั่งการไว้ก่อนหน้าแล้ว ให้ทหารม้าทุกคนใช้ผ้าอุดหูม้าตนเองไว้ หูตนเองก็อุดด้วยผ้าเช่นกัน
ห่างกันไกลเพียงนี้ ปืนใหญ่ยิงไปถึงจะมีผลเช่นไร ในฤดูหนาวเช่นนี้ อย่างมากก็คงทำลายได้แค่ก้อนอิฐด้านนอกกำแพงกระมัง ที่เหลือยังคงแข็งแรงอยู่ดังเดิม ทหารบนกำแพงเมืองต่างพากันหลบอยู่หลังช่องกำแพง
ปืนใหญ่หกชั่งขึ้นไปช่วงกลางลำเสริมไม้เข้าไป ทำให้ปากกระบอกปืนยกสูง หากมีคนสังเกตก็จะพบว่า จำนวนดินปืนกระสุนสามชั่งเพิ่มปริมาณมากอีกนิด
หวังทงตรวจสอบผ้าอุดหูม้าตนแล้ว กล่าวว่า
“พวกหยางจิ้นไม่เชื่อว่าวันนี้จะเข้าเมืองได้ อีกสักครู่พวกเขาเชื่อเอง ถ่ายทอดคำสั่ง! ยิง!!”
เสียงคำสั่งดังมา ทหารข้างกายรับคำสั่งโบกธงแดงส่งสัญญาณ มู่เอินกับจางอู่จับตามองด้านหน้า เห็นธงแดงโบก มู่เอินกับจางอู่สบตากัน ก่อนมู่เอินตะโกนดัง
“ปืนใหญ่ทั้งหมดเตรียมพร้อมเสร็จแล้วใช่ไหม?”
เริ่มจากรอบนอก นายกองธงเล็กประจำปืนใหญ่แต่ละกระบอกเริ่มรายงานมาตามลำดับ มู่เอินตะโกนดังว่า
“อย่าลืมอุดหู หูหนวกไปแล้วไม่อาจได้ยินเสียงแสนสะใจเช่นนี้อีก!”
ทุกคนหัวเราะดังพร้อมกัน มู่เอินสูดลมหายใจอย่างแรง ตะเบ็งเสียงตะโกนดัง
“ยิง!!”
“ยิง!!” “ยิง!!!”
เสียงสั่งการดังติดๆ กันไป พลปืนใหญ่คว้าเหล็กชนวนติดไฟแดงฉานจุด นำเชือกเผาไหม้ ฟ้าดินราวกับเงียบกริบไปชั่วขณะ
“ยิง~~”
ไม่รู้ว่าพลปืนใหญ่ลงมือไว หรือว่าปืนใหญ่ไหนดังก่อน ปืนใหญ่ทั้งหมดยิงออกไปดังสนั่นหวั่นไหว
แม้อุดหูไว้แล้ว แต่ก็ยังได้ยินเสียงดังสนั่นถึงใจ ม้าก็ตกใจจนกระโดดทะยาน ส่งเสียงร้องดังไปทั่วบริเวณ
พื้นเหมือนสะเทือนไปทั้งแถบ พลปืนใหญ่ในกองรบปืนใหญ่ไม่อาจบังคับตนเองต่อได้ ได้แต่ล้มนั่งลงกับพื้น สองมืออุดหูไว้ไม่กล้าไปไหน ท่าทางน่าสงสารยิ่ง
ทหารราบด้านหลัง ทัพม้าทหารม้าที่อยู่ใกล้ หากเป็นแถวหน้า ก็ล้วนจ้องมองสภาพกำแพงเมืองด้านหน้าตาไม่กระพริบ คิดอยากดูว่าปืนใหญ่อันน่าตกใจนี้มีแสนยานุภาพเพียงใด
ควันดินปืนคละคลุ้งไปทั่ว มองไม่เห็นอันใด แต่ละคนหูอื้อไปหมด ไม่ได้ยินอันใด ได้ยินแต่ความเงียบทั่วสนามรบ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้เป็นปกติ
มีลมพัดมาบนสนามรบ ควันดินปืนที่คละคลุ้งไปทั่วกำแพงเมืองก็เริ่มเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เอง ทุกคนก็ได้เห็นสภาพกำแพงเมืองที่ถูกยิงชัด
กำแพงเมืองท่อนบนพังเสียหายไปกว่าครึ่ง เหมือนว่าถูกสัตว์ร้ายกัดขย้ำกินไปครึ่งหนึ่ง ความสูงระดับนี้ ทหารราบสามารถปีนข้ามไปได้แล้ว
ทหารหมิงระเบิดเสียงร้องดีใจดังลั่นไปทั่ว มู่เอินที่อุดหูอยู่ขมวดคิ้ว เขาจับตาดูกำแพง แล้วพึมพำกับตนเองว่า
“ปากกระบอกปืนใหญ่ผิดตำแหน่ง ปืนกระสุน12 ชั่งเติมดินปืนน้อยไป !!”
“กดดันบนกำแพงเมือง ปืนใหญ่ยิงต่อไป ปืนกระสุน 12 ชั่งเติมดินปืนอีกสี่เหลี่ยง ปืนใหญ่ที่เหลือเร่งเตรียมพร้อม ปืนใหญ่ระลอกสองยิงพร้อมกันเหมือนเดิม!!”
ทหารด้านหลังขานรับพร้อมกัน กำแพงเมืองที่พังทำให้ขวัญกำลังใจพลทหารปืนใหญ่ยิ่งฮึกเหิม พวกเขาตะโกนเปล่งเสียงร้องดัง เร่งมือบรรจุดินปืน
ปืนใหญ่ขนาดเล็กสองปีกข้างกองปืนใหญ่บรรจุดินปืนง่ายกว่ามาก รอบสองเริ่มยิงแล้ว ปากกระบอกปืนใหญ่ยกสูงสามารถยิงกระสุนปืนใหญ่ไปถึงกำแพงเมืองได้ ทหารที่หลบหลังช่องหินกำแพงเมืองถึงกับไม่อาจเงยหน้าได้ มีหลายลูกยิงไม่ได้รัศมีเท่าไร แต่กระสุนปืนใหญ่ก็ยังตกลงที่อิฐแพงเมือง ยิงจนแตกกระจาย ไม่มีผู้ใดกล้าโผล่หัวขึ้นมาอีกแล้ว
ที่จริงแล้วช่องโหว่ที่กำแพงเมืองสองข้าง มีคนมีชีวิตอยู่ไม่มากแล้ว ยิงปืนใหญ่ไปหลายสิบ กำแพงเมืองได้รับความเสียหายสะเทือนหนักมาก มีคนร่วงจากกำแพงด้วยแรงสะเทือน ถึงกับสะเทือนจนตายคากำแพงไปก็มี
“ยิง!!!”
เสียงคำสั่งตะโกนดังมาอีกรอบ ทุกคนรีบอุดหูต่อ พื้นดินสะเทือนลั่น ควันดินปืนคละคลุ้งไปทั่วอีกครา พอควันดินปืนกระจาย ทหารหมิงเงียบกันหมดก่อนจะระเบิดเสียงยินดีดังอย่างที่สุด กำแพงเมืองถูกยิงถล่มไปแล้ว
กำแพงเมืองพังลงเอนเป็นแถบ ตำแหน่งทหารหมิงอยู่นั้นสามารถมองเห็นอาคารบ้านเรือนด้านหลังกำแพงเมือง ยามนี้สามารถเข้าตีเมืองได้แล้ว ทหารหมิงแต่ละหน่วยถูมือเตรียมพร้อมลงมือ มู่เอินกลับยังคงเร่งลูกน้องให้เติมดินปืน เตรียมยิงระลอกต่อไป
ยามนี้มีทหารติดตามหวังทงขี่ม้ามาถ่ายทอดคำสั่ง ตะโกนขึ้นว่า
“แม่ทัพใหญ่มีคำสั่ง ปืนกระสุน 12 ชั่งกับปืนกระสุนเก้าชั่งยิงถล่มไปช่องโหว่อีกสามรอบ ปืนใหญ่ที่เหลือยิงคุมกำลังสองปีกเอาไว้ ปากปืนใหญ่ยกสูง ทัพใหญ่เตรียมบุกเข้าไป!!”
มู่เอินรับคำสั่งเสียงดัง พลปืนใหญ่คว้าไม้กับท่อนค้ำเขาสอดยกปากกระบอกปืนใหญ่ จากนั้นก็เริ่มยิง ช่องทางที่ถูกเปิดทางออกนั้นถึงกับไม่มีทหารโผล่หัวออกมา เผชิญหน้ากับปืนใหญ่ดำมะเลื่อม ผู้ใดจะกล้าบุกมารนหาที่ตายกัน
กำแพงเมืองถูกยิงเป็นรูเช่นนี้แล้ว ทหารรักษาเมืองยังต้องขี้นมาอุดไว้ ไม่เช่นนั้นกำแพงมีไว้ทำไมกัน ปืนใหญ่ระลอกสามใกล้จะบรรจุดินปืนเสร็จแล้ว ช่องทางที่ถูกระเบิดเป็นรูเริ่มมีทหารนอกด่านออกมาแล้ว แต่ก็ดูชุลมุนยิ่ง ไม่รู้ว่ามาอุดช่องหรือมาป้องกัน
กลายเป็นเป้าปืนใหญ่ในทันที ปืนกระสุน12 ชั่งสามกระบอกบรรจุดินปืนช้าอยู่สักหน่อย แต่ก็พอดีกับทหารรักษากำแพงโผล่ออกมา ปืนใหญ่ยิงตูมดัง ทหารที่เพิ่งโผล่ออมาก็ถูกกวาดเรียบไปทั้งแถบ ความเร็วของกระสุนปืนที่หนักมากลอยหวือไป ที่ข้ามผ่านล้วนสาดกระเซ็นไปด้วยเลือดและเนื้อ ไม่อาจต้านทานได้
เหมือนว่าทหารนอกด่านพวกนั้นมีคนไล่ต้อนอยู่ด้านหลัง พอกวาดเรียบไปรอบ ก็ยังมีอีกชุดขึ้นมา แต่บริเวณที่กระสุนปืนใหญ่ตกลง ก้อนอิฐปลิวกระจายกระแทกบาดเจ็บราวกับกระสุนสาดไปทั่ว เหมือนเป็นม่านกระสุนสังหาร ไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นมาอีก
ปืนกระสุนหกชั่ง ปืนกระสุนเก้าชั่งกับปืนกระสุน 12 ชั่งเริ่มยิง รัศมียิงไกล ยิงไปถึงหลังกำแพงเมืองได้ ตกบนกำแพงเมืองยิ่งง่าย ปืนใหญ่ขนาดใหญ่รัศมีสังหารครอบคลุมโดยรอบ เครื่องดีดก้อนหินกลายเป็นเครื่องไร้ความหมาย ปืนใหญ่เล็กควบคุมพื้นที่ไว้ได้แล้ว แม้ว่ากำแพงเมืองจะไม่มีทหารคุม แต่ก็มีกระสุนหินยิงออกมาประปราย หากทำอันใดไม่ได้
“ถมคูเมือง!”
หวังทงออกคำสั่งอีก ม้าและรถที่ยึดมาจากพวกนอกด่านได้ ยามนี้บรรทุกก้อนหินและเศษไม้จากการรื้อถอนเมื่อก่อนหน้าเต็มคัน เริ่มมุ่งไปยังคูเมือง ปืนใหญ่เริ่มยิงประปราย รถใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนไป ไปยังคูเมือง
ตอนที่ 767 แม่ทัพนำทัพบุกด้วยตนเอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ม้าที่ลากรถเป็นม้าที่ได้จากสนามรบเมื่อวาน คนบังคับรถกับทหารติดตามรถไปล้วนเป็นนักรบผู้กล้าที่สุดของกองทัพหมิง
พอรถไปถึงคูเมือง ไม่ต้องผลักลงไป เพียงแค่ทหารใช้ดาบฟันม้า ม้าร้องเจ็บปวดวิ่งลงไปในคูเมืองเอง เชลยนอกด่านเมื่อครู่ลงแรงถมไปไม่น้อยแล้ว รถม้าที่บรรทุกมาเต็มกับม้าอัดลงไปอีก คูเมืองก็เริ่มเต็มอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าทหารเตรียมตัวเสียสละอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กำแพงเมืองไม่มีการโจมตีออกมาอีกแล้ว
คูเมืองเริ่มถมจนราบ นอกจากปืนใหญ่ขนาดใหญ่หลายกระบอกแล้ว ปืนใหญ่ที่เหลือที่ใช้แรงคนเข็นได้ก็ล้วนเข็นมาด้านหน้า ทัพม้าแบ่งเป็นสองกอง ทหารราบเมืองจี้โจวออกมาแนวหน้าสองค่าย แบ่งเป็นซ้ายขวา ป้องกันสองปีกข้างของค่ายรถศึก
สองหน่วยกองกำลังหู่เวยเรียงแถวทหารราบไปตรงกลางด้านหน้า ค่ายที่เหลือเรียงตามลำดับ หวังทงอยู่ท่ามกลางกองทหารทัพใหญ่และกองปืนใหญ่ราวกับสวรรค์กำลังประกาศโองการ ทหารติดตามก็เรียงแถวกันระยะห่างพอสมควรไปตามลำดับ เพื่อถ่ายทอดคำประกาศหวังทง
“ด้านหน้าก็คือเมืองกุยฮว่าเฉิง เป็นหัวหน้าพวกนอกด่านที่ปล้นชิงทรัพย์สินและคนของเรามาสร้างเมือง คิดดู หลายปีมานี้ เผ่าอันต๋าสังหารราษฎรหมิงเราไปไม่น้อย สังหารทหารหมิงเราไปไม่น้อย คิดดู หลายปีมานี้ พวกนอกด่านสร้างภัยและความยากลำบากให้ตอนเหนือแผ่นดินหมิงมาอย่างไรบ้าง!!”
หวังทงบนหลังม้าโบกมือไปทางคูเมืองกุยฮว่าเฉิง เสียงปืนใหญ่ดังกึกก้อง เหมือนว่าเสียงราวอสุนีบาตนี้เป็นเพลงบรรเลงให้กับคำประกาศของหวังทง ทหารเงียบไปทั่วบริเวณ ล้วนตั้งใจฟังคำประกาศหวังทง หวังทงตะโกนขึ้นดังว่า
“พวกเจ้าไม่ว่าชาวเมืองจี้โจว หรือชาวเมืองต้าถง พี่น้องชายหญิงพวกเจ้า พ่อแม่ภรรยาลูกหลานพวกเจ้า คนข้างกายพวกเจ้า ถูกพวกนอกด่านสังหารบ้างไหม คนครอบครัวพวกเจ้าเคยออกรบสละชีพให้พวกนอกด่านบ้างไหม รุ่นปู่ รุ่นพ่อเคยรบสู้ตายกับพวกนอกด่านมา หรือว่าพวกเจ้ายังคิดจะให้ลูกหลานพวกเจ้าต้องเป็นเช่นนี้ต่อไป?”
หวังทงกล่าวถึงตรงนี้ แถวบรรดาทหารก็เริ่มเคลื่อนไหว แม้แต่กองกำลังหู่เวยหวังทงเองก็มีที่มาจากครอบครัวทหาร ใช้ชีวิตอยู่ตอนเหนือแผ่นดินหมิงเช่นกัน เคยถูกพวกนอกด่านทรมานเช่นกัน มีหลายคนต้องตายไปด้วยความทุกข์ทรมาน ไม่ต้องพูดถึงชาวเมืองต้าถงและจี้โจว รบติดพันกับพวกนอกด่านเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาหลายสิบปีหลายร้อยปี คิดถึงตนเองกับบรรพชนที่เคยต้องทนทุกข์มา คิดถึงว่าวันนี้ตนเองได้ตีมาถึงหัวใจของพวกนอกด่านได้ และยังเป็นเมืองที่พวกนอกด่านพักอาศัย ความรู้สึกนี้ไม่อาจมีสิ่งใดมาเทียบเทียมได้
เสียงหวังทงตะโกนดังอาจหาญ คำรามกึกก้องว่า
“เพื่อแผ่นดินหมิง เพื่อฝ่าบาท เพื่อตัวพวกเจ้าเอง เพื่อลูกหลานพวกเจ้าเอง บุกเข้าไป สังหารศัตรูที่ขวางหน้าพวกเจ้าให้หมด เหยียบย่ำเมืองของพวกนอกด่านไว้ใต้อุ้งเท้าพวกเจ้า!!”
ทั่วสนามรบเงียบกริบ ก่อนที่ทหารจะพากันเฮโลคำรามดังตาม ทุกคนอารมณ์ลุกฮือถึงขีดสุด วาจาหวังทงไม่ใช่วาจาเป็นทางการอันใด แต่ก็ไม่ใช่วาจาที่ใช้ในกองทัพ หากฟังแล้วทำให้จิตใจเดือดพล่าน มีคนเริ่มก่อน จากนั้นอย่างรวดเร็ว วาจาที่ตะโกนกันก็เริ่มเป็นเสียงคลื่นเดียวกัน
“เพื่อแผ่นดินหมิง เพื่อฝ่าบาท เพื่อครอบครัว!!”
หวังทงบนหลังม้าโบกมือขึ้นสูง กองรบของทหารเมืองจี้โจวกับกองกำลังหู่เวยรวมกันอยู่มุมหนึ่ง พอเห็นสัญญาณมือ ก็รีบตีกลอง ตึง ตึง ตึง ตึง เป็นจังหวะดังขึ้นเรื่อยๆ กลบเสียงคำรามดังกึกก้อง หวังทงยกมือลง กลองหยุดตี ทั่วสนามรบเงียบอีกครา
หวังทงโดดลงจากหลังม้า คว้าทวนขวานมากระชับในมือฟันไปด้านหน้าอย่างแรง ตะโกนดังกึกก้องว่า
“ตีเมือง!!!”
ทหารขานรับพร้อมเพรียง ทหารด้านหลังล้วนตะโกนดังว่า ‘ตีเมือง!!’ ‘ตีเมือง!!’ ดังเป็นระลอกต่อๆ กันไป มุ่งไปยังช่องที่เป็นรูโหว่บนกำแพงเมือง
ที่ว่าตีเมืองนั้นกักจะเป็นการบุกโจมตีการป้องกันของเมือง หวังทงร่วมเดินหน้าบุกไปพร้อมกับกองทัพ ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่สุดในการเข้าตีเมือง
หวังทงท่ามกลางการอารักขาของทหารติดตามเดินอยู่หน้าสุด พวกเขาแต่ละคนสวมเกราะคุ้มกัน หมวกเกราะปิดสนิท ทหารติดตามถือโล่บังไว้สองข้าง ป้องกันการลอบโจมตีที่อาจเกิดขึ้น
ทหารปืนใหญ่ตะโกนให้เปิดทางให้ทัพใหญ่เคลื่อนไป ปืนใหญ่ที่เหลือยังคงยิงต่อเนื่องเพื่อควบคุมศัตรูที่ยังคงอยู่อีกทางหนึ่ง ที่จริงแล้วศัตรูบนกำแพงไม่มีแรงจะต่อต้านแล้ว การต่อต้านหลังกำแพงยังคงมีอยู่หรือไม่ ผู้ใดก็ไม่รู้ได้ แต่ทุกคนก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน
ส่วนปืนใหญ่สองสามกระบอกบนกำแพงเมือง ระหว่างโจมตีกำแพงก็ถูกถล่มจนพังเละไปแล้ว ที่นำอยู่หน้าสุดก็คือหวังทงและทหารติดตาม ด้านหลังตามมาด้วยกองกำลังหู่เวยหน่วยที่ 1 กับหน่วยที่ 2 ทหารในชุดเกราะป้องกันเพียบพร้อม ทหารกองกำลังหู่เวยที่ฝึกฝนชำนาญที่สุดได้บุกเป็นทัพหน้า ไม่มีผู้ใดเห็นต่างในเรื่องนี้
หลังขบวนทัพ จึงเป็นทหารเมืองจี้โจวที่อัดแน่นกันตามมา ทหารราบกับทหารม้าที่รับหน้าที่ดูแลสองปีกยังคงป้องกันสองปีกข้างเช่นเดิม แต่ยามนี้ไม่มีทหารม้าศัตรูโผล่ให้เห็นสองข้างทางอีกแล้ว
ระยะห่างราวสองร้อยก้าว หวังทงก็กระโดดขึ้นไปบนเนินสูง ทหารติดตามพร้อมโล่ในมือก็รีบมาบังด้านหน้าหวังทงและต่อโล่ต่อๆ กันไป
หานกัง ฉีอู่และคนอื่นๆ ล้วนถืออาวุธประจำกายขึ้น ด้านหลังหวังทงมีพลปืนไฟอีกราวสิบกว่านาย อยู่ในสภาพพร้อมออกปะทะได้ตลอดเวลา
แม่ทัพใหญ่ไม่ควรมาเสี่ยงภัยเช่นนี้ แต่เมื่ออยู่ในแดนศัตรู บุกโจมตีเมืองพวกนอกด่าน ทหารแต่ละนายแม้ว่ามีใจฮึกเหิมแต่ก็ย่อมหวาดหวั่นอยู่บ้าง แม่ทัพยามนี้จำเป็นต้องนำทัพด้วยตนเอง
ปืนใหญ่ขนาดใหญ่ยังคงยิงอานุภาพร้ายแรง กำแพงเมืองพังถล่มลงมามากขึ้นอีก แท้จริงแล้วนอกเมืองและในเมืองเป็นพื้นที่มีระดับต่างกัน ในเมืองต่ำ นอกเมืองสูง
พอพวกหวังทงปรากฏตัวบนช่องว่างที่ถูกยิงเป็นรูโหว่บนกำแพงเมือง ก็เห็นด้านในมีอาคารเป็นซากปรักหักพังมากมาย พวกหวังทงปรากฏตัวขึ้น จึงได้มีทหารนอกด่านออกมาจากด้านหลังอาคารบ้านเรือนเหล่านั้น
คิดไม่ถึงว่ากำแพงเมืองที่แข็งแกร่งแน่นหนาจะถูกทำลายลงได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าปืนใหญ่ทหารหมิงอานุภาพร้ายกาจเช่นนี้ พวกนอกด่านรวบตัวกันเป็นกองกำลังป้องกันที่ใหญ่พอควร แต่ก็ไม่ใหญ่พอ
ท่ามกลางการกระหน่ำยิงของปืนใหญ่ หลังบาดเจ็บล้มตายและกำแพงพังทลายลง ยังมีกระสุนปืนยิงรอดช่องโหว่เข้ามาอีก กระสุนปืนใหญ่ที่ตกหลังกำแพงเมืองทำลายทุกอย่างราบคาบ พวกเขายังคิดไม่ถึงว่าทหารหมิงจะกล้าบุกเข้ามาเร็วเช่นนี้
ทหารด้านหลังช่องโหว่กำแพงเมืองล้วนหาที่กำบังหลบปืนใหญ่ที่ยิงมา ใช้ชีวิตของเพื่อนทหารด้วยกันและของตนมาวิเคราะห์ว่ากระสุนปืนใหญ่แท้จริงแล้วยิงได้ไกลเท่าไร หรือว่าอานุภาพร้ายกาจเพียงใด
พอเห็นทหารหมิงในชุดเกราะเต็มยศโผล่ขึ้นมา จึงได้รู้ว่าปืนใหญ่ยิงได้ผลแล้ว แม้จะยังเหลวไหลเพียงใดก็ย่อมรู้ว่าต้องป้องกันช่องโหว่บนกำแพงเมืองนี้ รู้ว่ายามนี้ต้องตีโต้ศัตรูที่บุกมาให้ถอยออกไป
มีคนยืนขึ้นเตรียมยิงธนู มีคนยกดายขึ้นปรี่เข้ามา ทหารติดตามหวังทงวางโล่ไว้บนเนินที่สูงเพื่อเป็นขาตั้งปืนให้พลปืนไฟวาง ยิงทันที
ปืนไฟ 10 กระบอกยิงพร้อมกัน ยิงไปโดนพวกนอกด่านด้านหน้าสุดถอยไปได้หลายก้าว ตามมาด้วยพลธนูยิง หวังทงแกว่งทวนขวานในมือตะโกนดังว่า
“ลงไป ลงไป พวกเราจะเปิดทาง!!”
ปืนไฟกับธนูโจมตีพวกนอกด่านให้หยุดไปได้พักหนึ่ง ด้านหน้าทหารยกโล่ขึ้นบังบุกลงไป พวกหวังทงกวัดแกว่งอาวุธตามไป
ทหารพวกนอกด่านในเมืองถูกปืนใหญ่ถล่มจนเซ่อไปแล้ว ทหารหมิงบุกเข้ามารวดเร็วเช่นนี้อีกยิ่งทำให้พวกเขาไม่ทันตั้งสติ คิดไม่ถึงว่าทหารหมิงที่เข้ามาจะโจมตีพวกเขาได้ว่องไวเพียงนี้ ลังเลเพียงชั่วแวบ ทหารหมิงด่านหน้ามาพร้อมโล่ก็มาถึงตรงหน้าแล้ว หน้าโล่มีคมแหลม ทหารนอกด่านที่หลบไม่ทันก็ถูกแทงเข้าที่ตัวอย่างแรง มีคนรีบกระโดดถอยหลังหลบ ทำให้ทั้งกองเริ่มชุลมุน
โล่ทหารหมิงกลับไม่ได้ตามเข้ามา พวกนอกด่านรีบใช้โล่กับอาวุธโต้กลับ ทหารหมิงทหารในชุดเกราะไม่ได้สนใจโล่อีก รู้สึกว่าขึ้นหน้าไม่ได้ต่อ ก็รีบทิ้งโล่ถอยกลับ พวกเขาถอยหลังกลับ แต่ด้านหลังกลับขึ้นหน้าแทน
หวังทงกับทหารข้างกายเริ่มใช้ทวนขวานและทวนยาว บ้างก็ฟัน บ้างก็แทง บุกขึ้นหน้า หวังทงและทหารติดตามอยู่ในชุดเกราะที่ดีที่สุดของกองกำลังหู่เวยพร้อมอาวุธที่ดีที่สุด การฝึกฝนกับการรบก็ยอดเยี่ยมที่สุด ไม่ใช่ใครที่พวกทหารนอกด่านจะสู้รบปรบมือด้วยได้
จะว่าไป ทหารนอกด่านหากอยู่บนหลังม้าอาจกล้าหาญ แต่รบแนวราบกลับไม่เป็นเช่นนั้น ทวนขวานในมือหวังทงฟันหมวกหนังอีกฝ่ายขาดกระจุย ฟันหัวศัตรูแบะ หวังทงกระชากแขนกลับ ตวัดไปซ้ายขวาอีก คมทวนขวานฟันคอทหารนอกด่านนายหนึ่งขาดกระเด็น
หานกังกับฉีอู่ ยังมีพวกหลี่เปียวถือทวนยาว ทวนยาวแทงหน้าไม่หยุดเหมือนอสรพิษฉก ทุกครั้งที่แทงออกไป ก็จะมีเสียงคนร้องโหยหวนดังและล้มลง ถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่ ยังมีเป้าเอ้อร์เสี่ยวน้าวธนู ในระยะยิงนี้ ทุกดอกย่อมแย่งชิงชีวิตศัตรูมาได้หนึ่ง
เทียบกับซาตงหนิงแล้วแตกต่างเล็กน้อย เขาใช้ดาบพัวเตาที่เหมือนเพิ่มความยาวที่ด้ามจับ แต่ความหนากับความคมกลับยาวและคมบางยิ่ง ทุกครั้งที่ซาตงหนิงตวัดดาบ ไม่ใช่ฟันก็แทง ประสิทธิภาพดีไม่น้อย
ไม่ต้องพูดถึงพลทวนยาวด้านหลังที่ต่อสู้ได้อย่างเข้มแข็ง ยังมีพลปืนไฟที่กำลังบรรจุกระสุน ทหารติดตามหวังทงก็ฝึกตามระเบียบกองกำลังหู่เวยมา ย่อมไม่มีผิดพลาด
เดิมคิดว่าจะตีโต้ทหารหมิงกลุ่มเล็กนี้ให้ถอยกลับไป คิดไม่ถึงว่าทหารหมิงกลุ่มเล็กนี้ร้ายกาจเช่นนี้ได้ ชั่วแวบเดียว ถึงกับทำให้พวกเขาต้องถอยไปหลายสิบก้าวได้
“เปลี่ยนอาวุธยาวมา ให้ทัพม้าบุกย่ำพวกมัน!!”
หัวหน้าทหารนอกด่านเห็นท่าไม่ดี การตีโต้กลับนั้นไม่ง่ายเลย ถึงกับยังอาจถูกทหารกลุ่มเล็กนี้ตีพ่ายได้อีก สถานการณ์เอาไม่อยู่แล้ว
แต่ทว่าหวังทงกับทหารติดตามพอรุกเข้าไปหลายสิบก้าวก็รีบถอยอย่างเร็ว ทำให้ทหารนอกด่านงงกันไปหมด เวลาปะทะตัวตัวต่อระหว่างหวังทงกับพวกนอกด่านสั้นมาก ก่อนจะถอยกลับไปทางกำแพงเมือง
เสียงปืนไฟดังขึ้น สนามรบนี้มอบให้พลปืนไฟที่บุกเข้ามาไปดูแลต่อ!!
768 เข้าเมือง
โดย
Ink Stone_Fantasy
พลปืนไฟทหารหมิงยกปากกระบอกปืนไฟเอียงขึ้น พวกเขาเปลี่ยนเชือกชนวนรอบสองแล้ว รอบแรกนั้นจุดรอจนมอดไปแล้ว
รูโหว่บนกำแพงเปิดกว้างมากขึ้น พลปืนไฟหลายนายโผล่ขึ้นมาจากช่องนั้น มองไปยังพวกทหารนอกด่านที่กรูกันเข้ามา ย่อมไม่เกรงใจ ในระดับมุมสูงนี้เอง ด้านหน้าก็ย่อตัวลง ด้านหลังยืดตัวตรง ยิงระลอกแรกพร้อมกัน
ปืนไฟดังราวกับถั่วระเบิด ทำลายพวกทหารนอกด่านที่รวมตัวกันมาล้มพังพาบไปทั้งแถบ ถอยห่างออกไปอีกหลายก้าว ตามหลักการรบแล้ว พลปืนไฟยิงเสร็จ ก็จะคำนับถอยหลังไปบรรจุกระสุนปืนใหม่ แต่ในสถานการณ์นี้ก็ต้องปรับตัว ไม่ทำดังเดิม พลปืนไฟยิงเสร็จก็วิ่งลงไปทันที เปิดทางให้เพื่อนทหารด้านหลัง
พวกนอกด่านเคลื่อนกำลังทหารม้ามาจัดแถวเสร็จ กำลังคิดจะตีโต้ทหารหมิงที่บุกขึ้นมาให้ถอยกลับไป แต่พลปืนไฟทหารหมิงเริ่มกรูกันออกมาไม่หยุด
ปืนไฟนับร้อยพันบรรจุกระสุนรอยิง พอเข้ามาพร้อมกันแล้วก็ยิงทันที ระยะห่างร้อยกว่าก้าว ทหารพวกนอกด่านจะเข้าใกล้อีกได้อย่างไร
ตำแหน่งที่พลปืนไฟสองแถวแรกยิงนั้น เริ่มมีด้านหลังเข้ามา ตำแหน่งที่ยืนยิงก็ต้องเขยิบขึ้นหน้า ยิงชั่วพริบตาก็ลงจากกำแพงเข้าไปด้านใน พากันบรรจุกระสุนดินปืนใหม่อย่างเร่งรีบ หวังทงกับทหารติดตามก็บุกขึ้นหน้าไม่หยุด เพื่อตั้งแถวคุ้มกันพลปืนไฟ
หัวหน้าทหารพวกนอกด่านเริ่มบ้าคลั่งเร่งเร้าให้ทหารเติมกำลังเสริมแนวหน้าไม่หยุด มีคนใช้ดาบฟันใส่ทหารที่ลังเลไม่กล้าขึ้นหน้า แต่ทว่าก็ถูกปืนไฟบีบให้ถอยหลังไม่หยุด
สถานการณ์รบเช่นนี้ทำให้คนแทบคลั่ง ทหารมีความกล้ามาก แม้ยังมีม้า แต่พอเข้าใกล้ทหารหมิงได้ราว 70 ก้าว ก็จะถูกปืนไฟยิงตาย มีไม่น้อยที่เป็นมือธนู แต่ระยะ 70 ก้าว ย่อมยิงไม่ถึงและไม่มีแรงพอจะยิง คนระยะห่างร้อยก้าวพากันล้มตายไม่หยุดอย่างไม่อาจทำอันใดได้
มองพลปืนไฟทหารหมิงยิงกันตาปริบๆ ปืนไฟยิงไปทั่ว ทหารตนก็ค่อย ๆ ถอยหลังทีละน้อย ศัตรูกรูเข้ามากันยิ่งมากขึ้นจากช่องบนกำแพงที่เปิดออก
พอเข้ามาในเมืองตั้งแถวตีนกำแพงเมืองกันเต็มพื้นที่ หลังยิงระลอกสอง สถานการณ์ก็ตกอยู่ในความควบคุมแล้ว บุกเข้ามาฝ่ายเดียว แม้ว่านักรบจะกล้าหาญเพียงใดก็ย่อมทนสภาพรบเช่นนี้ไม่ได้ นับประสาอันใดกับทหารนอกด่านที่หดหัวอยู่แต่ในกำแพงเมือง ย่อมไม่ใช่นักรบผู้กล้าอย่างเด็ดขาด
แม้ว่าแม่ทัพและหัวหน้าทหารจะสังหารทิ้งก็ไม่อาจยับยั้งทหารสติแตกได้ หัวหน้าทหารไม่อาจส่งกำลังอุดช่องโหว่ได้อีก แนวป้องกันแตกพ่ายแล้ว
ปืนใหญ่ด้านนอกยังคงยิงไม่หยุด พลปืนไฟออกมาตั้งยิงรอบๆ พื้นที่ปากช่องโหว่บนกำแพงเมืองแล้ว คุ้มกันช่องทางนี้ไว้แล้ว ใช้ปืนไฟยิงเปิดทาง แต่ก็ยังมีทหารนอกด่านที่ยังมีความกล้าไม่ยอมหนีอีก
ทหารราบกองกำลังหู่เวยในชุดเกราะพร้อมทวนยาวเริ่มบุกเข้ามา มาจัดแถวหน้าพื้นที่ว่างตรงปากช่องโหว่เสร็จ ก็ทำตามบัญชาการหวังทง มุ่งไปยังประตูกำแพงเมืองที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
พอพวกเขามาถึงตีนกำแพงเมือง ประตูเมืองแม้ว่าถูกปืนใหญ่ถล่ม แต่ด้านในก็ยังมีการต่อต้านอยู่ มีทหารโผล่หัวขึ้นตามช่องหินบนกำแพงเมืองยิงธนูใส่
พอได้ยินเสียงดังสนั่น ป้อมประตูเมืองพังทลายลงกว่าครึ่ง พลธนูที่โผล่หัวขึ้นยิงก็ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ ร่วงลงจากกำแพงเมืองไปในทันที
สภาพการณ์นี้ น่าจะเป็นปืนกระสุน 12 ชั่งยิงโดนประตูเมือง อิฐหินพังทลายเต็มพื้น ทำให้ทหารราบกองกำลังหู่เวยเริ่มชุลมุน ถูกหัวหน้าหน่วยอย่างหลี่หู่โถวตะโกนด่ายกใหญ่ว่า
“บอกให้ไอ้บ้าด้านนอกนั่นหยุดยิงปืนได้แล้ว ยิงมารดามันอีก คงได้ถล่มพวกเดียวกันแล้ว!!”
ปืนกระสุน12 ชั่งคิดจะปรับปากกระบอกปืนใหญ่กับมุมยิงไม่ง่าย เดาว่าด้านนอกนั้นก็ลำบากลำบนตั้งปากกระบอกปืนไม่น้อย กว่าจะยกปากปืนกระสุน 12 ชั่งขึ้นได้ จึงได้เล็งมายังประตูเมืองแม่นได้เช่นนี้
สำหรับการป้องกันกำแพงเมืองแล้ว ป้อมประตูเมืองก็เท่ากับตำแหน่งธงชัยแม่ทัพ ประตูเมืองเป็นทางเข้า หากพังทลาย ก็มักเป็นสัญลักษณ์ของการแตกพ่ายในการป้องกันเมืองทั้งหมด
ปืนใหญ่นั้นแม้ว่าเกือบยิงโดนทหารราบกองกำลังหู่เวย แต่ปืนใหญ่ก็ช่วยกำจัดพวกนอกด่านบนป้อมประตูให้ราบคาบไปหมดเช่นกัน อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่อาจมีแรงต่อต้านได้อีก
ด้านหลังป้อมประตูเมืองมีบันไดขึ้นไปยังกำแพงเมือง พลทวนยาวในชุดเกราะ 10 กว่านานเดินขึ้นไปแรกสุด ด้านหลังเป็นพลปืนไฟ เริ่มวิ่งตามขึ้นไปบนกำแพงเมือง
มีทหารนอกด่านเริ่มคำรามใส่ทหารกองกำลังหู่เวยพร้อมยิงธนูใส่ แต่ธนูยิงโดนเกราะกับหมวกเกราะ ไม่มีประโยชน์อันใด กลับทำให้พวกที่โผล่หัวออกมายิงถูกปืนไฟยิงตายในทันที
ทหารกองกำลังหู่เวยกรูขึ้นบนกำแพงเมือง ทหารนอกด่านบนกำแพงเมืองรู้สึกว่าการรบนี้สิ้นหวังแล้ว ต่อหน้าอาวุธไฟที่ร้ายกาจของทหารหมิงนี้ พวกเขาถึงกับไม่อาจเข้าต่อสู้ตัวต่อตัวปะทะแลกชีวิตได้ แม้อีกฝ่ายยิงปืนไฟหมด แต่แถวที่เรียงตัวกันแน่นหนาของทหารหมิงที่ตั้งทวนยาวแนวราบเหมือนกับกำแพงเคลื่อนที่ ดาบโค้งในมือพวกเขากับทวนไม้ไหนเลยจะทำให้พวกเขาบาดเจ็บได้ ได้แต่ถูกอีกฝ่ายแทงตายมากกว่า
รอทหารราบเข็นปืนกระสุนหนึ่งชั่งขึ้นไปบนกำแพงเมืองได้ การรบก็ไม่มีอันใดต้องกังวลอีก กระสุนปืนยิงกราดทำให้การต่อต้านบนกำแพงเมืองหมดไปอย่างรวดเร็ว
“พวกนอกด่านยังคิดตีโต้อีกหรือไง แม้แต่ป้อมประตูยังได้แต่ป้องกันหละหลวมเพียงนี้!”
หวังทงนำกำลังมาถึงประตูเมือง ก็เห็นว่ามีราวไม้กั้นและกระสอบทราย แต่กระสอบทรายนั้นวางกองอยู่สองข้างประตู ยังไม่ได้นำเข้าอุดประตูไว้
“พลปืนไฟคอยระวัง พลทวนยาวขจัดสิ่งกีดขวาง รีบปล่อยสะพานลง!!”
หวังทงออกคำสั่งดัง ทหารติดตามรีบถ่ายทอดคำสั่ง ประตูเมืองตรงนี้แบ่งประตูเมืองชั้นในและประตูเมืองชั้นนอก ระหว่างสองประตูยังมีพื้นที่ พวกนอกด่านไม่ทันได้ปิดประตูเมืองชั้นใน ทหารหมิงกรูเข้ามาทางช่องโหว่กำแพงเมืองแล้วก็บุกเข้ามายังพื้นที่ช่องว่างระหว่างสองประตูเมือง
แค่ราวไม้กั้น เคลื่อนย้ายไม่ยาก ครอบครองพื้นที่หน้าประตูเมืองปล่อยสะพานลงก็ไม่ยาก นอกประตูเมืองมีทหารจี้โจวที่ถูมือรออยู่ พอเห็นประตูเริ่มขยับปล่อยตัวลง ก็ส่งเสียงเฮโลดังด้วยความดีใจ
สีหน้ารองแม่ทัพหยางจิ้นเมืองจี้โจวมีสีหน้าคาดไม่ถึง แต่ก็ยังเคลื่อนกำลังทหารม้า เริ่มจัดทัพม้ากับทหารราบเข้าเมือง
สู้กันมาถึงบัดนี้ พวกนอกด่านที่ปกป้องกำแพงเมืองก็รู้แล้วว่าแนวป้องกันแตกพ่ายแล้ว สู้บนสนามรบก่อนหน้าก็ถูกทหารหมิงตีพ่าย ป้องกันเมืองยังถึงกับถูกตีพ่ายในวันเดียว การรบเช่นนี้ไม่อาจมีหนทางใดให้ชนะได้อีก ไม่มีความกล้าหรือความมั่นใจใดๆ อีก คิดแต่จะต้องหนีเอาตัวรอดแล้ว
ควบคุมปากทางนั้นได้แล้ว ทหารราบเมืองจี้โจวเริ่มปีนกำแพงเมืองเข้ามากำจัดศัตรูบนกำแพงให้ราบคาบ ยังมีทหารราบอีกสองกองที่เริ่มเก็บกว่าการป้องกันต่าง ๆ ริมด้านในกำแพง ทหารที่เหลือก็เตรียมตัวอยู่รอบ ๆ ประตูเมือง จัดการสถานการณ์โดยรอบให้สงบลง ให้ทหารกองหลังเข้าเมืองมา
ขณะกำลังจัดการกองกำลังกันอยู่นั้น ทหารด้านนอกสุดก็เห็นธงแดงสะบัด ราษฎรผ้าคลุมหน้าแดงเข้ามาระยะประชิด พวกเขาได้รับคำสั่งมาว่า หากเจอราษฎเช่นนี้ ให้รอแม่ทัพใหญ่ก่อน
ราษฎรที่แต่งตัวเช่นนี้สิบกว่าคนมาถึงหน้าหวังทง หวังไม่ถาม หากสั่งการไปว่า
“คลังเสบียง ค่ายทหาร วังข่าน คลังอาวุธ จวนชนชั้นสูงในเมือง พวกเจ้ารายงานจุดนำทางและนำทางไป!”
ราษฎร 10 กว่าคนมองดูก็ปกติ มี 3-4 คนยังแต่งกายแบบชาวมองโกล แต่ยามนี้ไม่มีเหมือนเดิม พากันเท้าชิดคำนับแบบทหาร ล้วนเป็นระเบียบแบบทหารกองกำลังหู่เวย ได้ยินหวังทงกล่าว ทุกคนก็ขานรับบอกจุดที่ตนจะนำทางไป หวังทงหันไปกล่าวว่า
“กองกำลังหู่เวยหน่วยที่ 1 หน่วยที่ 2 ไปวังข่าน คลังเสบียงและคลังอาวุธให้ทัพม้าดูแล ที่เหลือแต่ละหน่วยให้หยางจิ้นสั่งการ!”
วังข่าน คลังเสบียงและคลังอาวุธย่อมเป็นจุดยุทธศาสตร์ป้องกันที่สำคัญ เป็นจุดที่มีการต่อสู้ดุเดือดที่สุด หวังทงให้ทหารตนเองไปจัดการ ที่เหลือมอบให้ทหารจี้โจว
รองแม่ทัพหยางจิ้นรู้ดีว่าทัพเมืองจี้โจวได้เปรียบในการนี้ แต่ก็รู้สึกบอกไม่ถูก เดิมคิดว่าเมืองจี้โจวเป็นกำลังหลัก ยามนี้ราวกับสิ่งไร้ค่าที่ต้องการการดูแลจากกองกำลังหู่เวย แม้แต่การรบปะทะหนักก็ไม่วางใจให้พวกเขาไปสู้ ในใจอึดอัดยิ่ง หากก็ยังต้องฟังคำสั่ง
ยังไม่ทันได้สั่งการ หวังทงกล่าวว่า
“ยามรบ ไม่ว่าอันใดขวางการปฏิบัติการ หรือเข้าปะทะเรา ไม่ว่าชาวนอกด่านหรือชาวฮั่น ไม่ว่าผู้หญิงคนแก่หรือเด็ก ล้วนเป็นศัตรูเรา สังหารให้หมด ให้ทหารเราลงมือได้เลย ไม่ต้องมีเมตตาสงสารอันทำให้ตนเองต้องตายแทน รถใหญ่ปรับเป็นรถเกราะ เคลื่อนกันด้านหน้า เก็บกวาดทีละถนน!”
ทุกนายรับคำสั่ง แต่ละนายไปจัดการตามคำสั่ง หวังทงหันไปถามถานเจียงว่า
“ถานเจียง เจ้านำกำลังหน่วยรักษาความปลอดภัยกับคนงานทางนั้นไปช่วยกองพลปืนใหญ่ทางมู่เอิน นำปืนใหญ่ขึ้นบนกำแพงเมือง ไม่ว่าในหรือนอกเมือง ปืนใหญ่ยังใช้การได้อีกมาก ถ่ายทอดคำสั่งให้จางอู่นำปืนใหญ่ที่นำขึ้นกำแพงเมืองไม่ได้ ไปที่วังข่าน !! ถานเจียงรับคำสั่ง รีบออกไปปฏิบัติการ หวังทงโดดขึ้นม้ารีบไปยังทหารหน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2
***************
วังข่านในเมืองกุยฮว่าเฉิงวุ่นวายชุลมุนไปทั้งวัง ทหารนอกด่านที่รักษาการที่นี่ล้วนเป็นทหารที่จงรักภักดีที่สุด ยามนี้ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี
ปกติหากสวมรองเท้าหนังก็ห้ามย่ำบนพรม แต่ยามนี้เต็มไปด้วยโคลนและคราบเลือด ถึงกับมีคนขี่ม้าเข้ามา ตั้งแต่ระดับสูงสุดถึงนางกำนัลขันทีระดับล่าง ทุกคนมีสีหน้าหวาดกลัวและสิ้นหวัง ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่า เพียงวันเดียว ทหารหมิงถึงกับตีเข้าเมืองมาได้
หลายร้อยปีมานี้ ไม่ใช่ว่านักรบทุ่งหญ้านอกด่านทำอะไรก็ได้บแผ่นดินหมิงงั้นหรือ? หลายร้อยปีมานี้ ใช่ว่าชาวทุ่งหญ้านอกด่านเป็นหมาป่า ชาวหมิงเป็นแพะงั้นหรือ? หลายร้อยปีมานี้ ใช่ว่านักรบทุ่งหญ้านอกด่านตีทหารหมิงที่มากกว่าหลายเท่าหลายสิบเท่าให้แตกพ่ายไปงั้นหรือ?
แต่ทหารเผ่าอันต๋าที่แข็งแกร่งที่สุดเมื่อวานนี้ถูกตีพ่ายยับเยินมา วันนี้ไม่น่าเป็นไปได้ที่สุดก็ตีเมืองแตกได้ในวันเดียว ถึงกับเพียงแค่ไม่กี่ชั่วยาม ก็ถูกตีแตกแล้ว
เฉ่อลี่เข้อในชุดเกราะรีบวิ่งเข้าวังมา พอเข้ามาถึงก็อึ้งไป เห็นเซิงเก๋อตูกู่เหลิงในชุดเกราะถือดาบใหญ่ในมือ นั่งอยู่บนบังลังก์ สีหน้าเหม่อลอยมองไปเบื้องหน้า เฉ่อลี่เข้อเสียงแหบพร่ากล่าวว่า
“พระบิดา รีบหนีพะยะค่ะ ประตูเมืองอื่นพวกสุนัขหมิงยังไม่ได้เข้าควบคุม พระบิดา ตอนนี้หนียังทัน…….”
“หนีอันใดกันเล่า ไม่มีเมืองกุยฮว่าเฉิง เผ่าอันต๋ายังจะทำอันใดได้ ไม่มีเมืองกุยฮว่าเฉิง เผ่าอันต๋าก็จบสิ้นแล้ว…….”
769 ที่นี่ไม่มีการปราบปรามตามท้องถนน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เซิงเก๋อตูกู่เหลิงนั่งอึ้งอยู่บนบังลังก์ปากก็พึมพำ แต่เหมือนไม่ใช่เสียงเขา เฉ่อลี่เข้อโมโหมาก ตะโกนดังขึ้นว่า
“พระบิดา หนีตอนนี้ พวกเรายังมีกำลังทหารม้าอีกสองหมื่น กำลังระดับนี้อาจยังคงให้เราเป็นใหญ่บนทุ่งหญ้านอกด่านได้ มาตายที่นี่ เราจะจบสิ้นไม่เหลืออันใด!”
“สองหมื่น ครอบครัวเขาอีก อาหารการกินอีกเล่า ม้ากินหญ้าที่ใด ไม่มีเมือง ผู้ใดจะยังยอมสยบให้พวกเราอีก!”
ตอนนี้สีหน้าเซิงเก๋อตูกู่เหลิงซีดเผือดแทบไร้ชีวิต ตอนนี้เขาหมดหวังสิ้นแล้ว เมืองกุยฮว่าเฉิงตั้งอยู่บนศูนย์กลางของแม่น้ำถูม่อชวน เป็นศูนย์กลางเมืองนี้ แม่น้ำถู่ม่อชวนเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดที่เผ่าอันต๋าใช้ควบคุมชาวทุ่งหญ้านอกด่าน มีชาวฮั่นมาทำไร่ทำนาสะสมเสบียงให้ทุกปี ทหารมากมายอาศัยเสบียงเหล่านี้ยังชีพ และพื้นที่ศูนย์กลางนี้ยังเป็นพื้นที่การค้าทำกำไรมหาศาล เพราะเหตุผลเหล่านี้ ดังนั้นเผ่าอันต๋าจึงได้เหนือว่าเผ่าอื่นบนทุ่งหญ้านี้ทั้งกำลังคนและระดับการดำรงชีวิต
ไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว เผ่าอันต๋าก็เหมือนเผ่าอื่นทั่วไปเท่านั้น ข่านเผ่าอันต๋ารุ่นแรกเป็นใหญ่บนทุ่งหญ้า รบดินแดนทั่วหล้า แม้แต่อู้เหลียงฮาเผ่าใหญ่เช่นนั้นยังทำลายราบมาได้ ไม่รู้สร้างความโกรธแค้นมากมายเพียงใด กำลังทหารในสังกัดอื่นๆ ขอเพียงเผ่าอันต๋าครองอำนาจอยู่ พวกเขาก็ยอมสวามิภักดิ์ ยอมรับคำสั่งเผ่าอันต๋า ไม่มีฐานอำนาจนี้แล้ว ทุกอย่างก็ดับสิ้น
ฤดูหนาวเช่นนี้ ทหารม้าสองหมื่นอยู่ทุ่งหญ้าต้องใช้เสบียงเท่าไร ต้องเลี้ยงดูเท่าไร ออกจากเมืองสวรรค์เช่นเมืองกุยฮว่าเฉิงนี้ไป ที่ใดจะมีทรัพยากรได้มากมายเพียงนี้อีก
ไม่มีเสบียง พื้นที่สำคัญยังถูกแย่งชิงไป ความหวาดหวั่นยามต้องอยู่บนทุ่งหญ้า ความขัดแย้งที่เคยอัดแน่นเก็บลึกก็ย่อมปะทุขึ้นมา ผู้ใดจะยอมฟังคำสั่งเผ่าอันต๋าอีกเล่า
ข่านเซิงเก๋อตูกู่เหลิงมองการณ์กระจ่าง เฉ่อลี่เข้ออึ้งไปและก็เข้าใจในบัดดล เฉ่อลี่เข้อที่องอาจกล้าหาญ อยู่ๆ ก็รู้สึกหมดแรง แรงกำลังทั่วร่างเหือดหายไปหมดสิ้น โงนเงนทำท่าจะล้มลง
เดิมชีวิตรุ่งโรจน์โชติช่วง อยู่ๆ พังทลายไปหมดสิ้น สองวันมานี้ ช่างปืนใหญ่หุยหุยที่เฉ่อลี่เข้อพามาจากซีอวี้ เป็นวิธีการที่เรียนรู้มาจากการโจมตีเมืองของชาวหมิง คิดการใหญ่ไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าอยู่ ๆ กลายเป็นเช่นนี้ไปได้ เริ่มจากกองโจรม้า อยู่ๆ ทหารหมิงก็เคลื่อนทัพมาบนทุ่งหญ้า ลอบทดสอบกำลังก็แพ้ นำกำลังออกรบจริงก็แพ้ เดิมคิดว่าแพ้แล้ว แต่เมืองยังอยู่ ยังไม่เป็นไรมาก
ตอนนี้ยังถึงกับตีเมืองทลายอีก ทหารหมิงบุกเข้ามาในเมืองไม่หยุด อยู่ ๆ ทุกอย่างก็สิ้นหวัง
“พวกเจ้ามัวอึ้งอันใดกัน ไปสู้กับสุนัขหมิงสิ!!”
ในวังเงียบลง มเหสีสามเดินเข้ามาพร้อมทหารคุ้มกัน แต่ไรมาก็สวมแต่ชุดแบบชาววังหมิง ครั้งนี้กลับมาในชุดเกราะนักรบ ทหารข้างกายมเหสีสามแต่ละคนก็เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ท่าทางพร้อมสละชีพ
เห็นพ่อลูกท่าทางรันทดใจเช่นนี้ สีหน้ามเหสีสามก็โมโหมาก ตวาดเสียงแหลมว่า
“อดีตท่านข่านสร้างมากับมือ ตอนนี้พังทลายไปเช่นนี้ พวกเรานอกจากรบจนตัวตายแล้ว หรือว่ายังมีหน้าไปพบอดีตท่านข่านอีก?”
ในตำหนักเงียบกริบ ผ่านไปครู่หนึ่ง เซิงเก๋อตูกู่เหลิงยกดาบชี้ไปที่บังลังก์ ยิ้มเศร้ายืนขึ้น กล่าวน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“ตอนนี้พวกเราจึงได้เข้าใจแล้วว่า เหตุใดพระบิดาจึงได้โปรดเจ้านัก เฉ่อลี่เข้อ เราพ่อลูกไม่มีหน้าไปพบท่านข่านแล้ว แต่ความกล้าหาญรบจนตัวตายยังมีอยู่ เจ้าเป็นลูกชายคนโตข้า พี่น้องเจ้าให้พวกเขาดูแลตัวเองให้ดีละกัน!”
***********
ในเมืองไม่มีการต่อต้านที่ดูมีปัญหาอันใดอีก ทุกคนคิดไม่ถึงว่าเพียงไม่กี่ชั่วยาม ทหารหมิงก็ตีเข้าเมืองมาได้เช่นนี้
ทุ่งหญ้านอกด่านหลายปีมานี้มีแต่เมืองกุยฮว่าเฉิงที่เรียกได้ว่าเมืองเท่านั้น ในเมืองเป็นศูนย์กลางพักอาศัยของชาว มองโกล ตอนเมืองกุยฮว่าเฉิงยังไม่แตก ทหารหมิงตีมาถึงชานเมืองก่อน จากนั้นก็ตีกำแพงเมือง ทหารนอกด่านกับชาวบ้านรู้ว่านอกเมืองมีทหารหมิง แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตีเข้าเมืองมาได้แล้ว
ถึงกับยังเตรียมกำลังกันอยู่ในเมืองอีกมาก คืนวานพวกปล้นชิงอย่างเหิมเกริมยังไม่รู้ว่าทหารหมิงตีเข้าเมืองมาแล้ว พวกเขาถูกหัวหน้าเรียกตัวในเวลากระชั้นชิด พอออกมาตามท้องถนนก็เห็นทหารหมิงเข้ามากันแล้ว ก็พากันรีบหนีกระเจิดกระเจิงทันที
ทหารหมิงถึงกับเข้าเมืองมาได้ ทุกคนรู้สึกว่าตนเองมีอะไรติดอยู่ในใจ แต่ไรคิดเสมอว่าตนเองมีอันใดได้เปรียบเก่งกล้ากว่าพวกฮั่นพวกหมิงนั้นก็หมดสิ้นไปในทันที
รถเกราะนำหน้ามา พลธนูกับปืนใหญ่ขนาดเล็กตามมาด้วย ทหารราบอยู่ด้านหลัง ทหารจี้โจวเดินเข้าเมืองกุยฮว่าเฉิงไปตามถนนหนทาง ในเวลากระชั้นชิดนี้ ทหารม้าเผชิญทหารราบย่อมไม่ได้เปรียบอันใด พวกนอกด่านไม่อาจรวมกำลังกันได้ อีก กองเล็กๆ ที่รวมตัวกันได้ก็หมดแรงต้าน
คุมเมืองจัดการปราบปรามตามท้องถนนมักเป็นผลแห่งสงครามที่โหดร้ายที่สุด แต่ทหารหมิงพอเข้าเมืองมา กลับไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นการรบกับประเทศศัตรู เพราะในเมืองมีชาวฮั่นมากมาย เพราะในเมืองที่ชาวฮั่นถูกพวกทหารนอกด่านปล้นชิงไปเมื่อคืน ทุกคนล้วนโกรธแค้นและชิงชังพวกนอกด่านมาก
หลายคนเดิมยังกังวลอยู่ วันนี้รบป้องกันเมืองเสร็จ พวกทหารนอกด่านที่ยังเจ็บแค้นจะกลับมาปล้นระบายอารมณ์กับชาวบ้านที่เป็นชาวฮั่นอีกหรือไม่ ทรัพย์สินจะถูกปล้นอีกหรือไม่ ผู้หญิงจะถูกย่ำยีอีกหรือไม่ ทหารหมิงเข้าเมืองมา ทุกคนก็รู้สึกโล่งอก
ไม่มีใครช่วยทหารนอกด่านที่กระจัดกระจายอยู่พวกนี้ ทหารนอกด่านพวกนี้ถูกชาวบ้านหมิงรุมตีตาย ทหารหมิงที่เข้าเมืองมามีบ้างเดินไปผิดทางก็มีคนมาบอกทางให้
ในฤดูอากาศหนาวเหน็บนี้ อยู่ในเมืองเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ชนชั้นสูงนอกด่านมากมาย หัวหน้าเผ่าใหญ่เล็กก็ล้วนมีจวนอยู่ในเมืองไว้พักผ่อน พวกเขามั่นใจในเมืองกุยฮว่าเฉิงมาก แต่พอกำแพงเมืองถูกตีพ่าย พวกเขาก็พลุ่งพล่านราวกับมดในหม้อต้มเดือด เก็บของที่มีราคาพกพาได้ พานางคนรักที่สุดหนีไปด้วย หลายคนไม่สนใจอันใด หากขี่ม้าหนีออกนอกเมืองไปทันที ทหารหมิงตีเข้าเมืองมา ไม่หนีก็ไม่ทันแล้ว
ชาวบ้านที่เป็นชาวฮั่นอยู่ในเมืองต่อ หากคนที่เกี่ยวข้องกับพวกนอกด่านต่างหนีออกนอกเมือง หลายคนไม่รู้ว่าเมืองแตกแล้ว ต้องรอให้ทหารหมิงมาถึง พวกเขาจึงได้รู้
ยามนี้คิดหนีก็สายไปแล้ว ในเมืองตามถนนหลายสายไม่น้อยถูกทหารหมิงคุมไว้หมดแล้ว ประตูเมืองหลายแห่งก็เช่นกัน ถูกทหารหมิงยึดครองไปแล้ว
ถนนเบียดแน่นไปหมด คิดหนีก็ต้องเบียดกันไป สังหารกันเอง ขุนพลทหารที่หนีไปพวกนี้สั่งการลูกน้องให้ลงมือ ก็คือลงมือกับคนที่ตนเองเพิ่งคุ้มครองอยู่พวกนั้น สั่งการให้ลงมือกับชนชั้นสูงที่คุ้มครองมาเพื่อปล้นชิงเงินทองทรัพย์สมบัติพวกเขา สังหารพวกเขาเพื่อเปิดทางให้ตนเองได้หนี
*************
เทียบกับความชุลมุนในเมืองแล้ว บริเวณวังข่านนี้เป็นระเบียบกว่ามาก ที่นี่อย่างไรก็เป็นศูนย์กลางของเผ่าอันต๋า เซิงเก๋อตูกู่เหลิงกับมเหสีสามและเฉ่อลี่เข้อล้วนอยู่ที่นี่ ทหารที่นี่เป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าอันต๋า ทุกคนคนล้วนเชี่ยวชาญการรบบนหลังม้าและบนพื้นราบ ล้วนยิงธนูเก่งและแม่นยำราวกับเทพ
แต่การต่อต้านของพวกเขาเพียงแค่ทำให้ทหารสองหน่วยของกองกำลังหู่เวยช้าลงเท่านั้น พลปืนไฟกองกำลังหู่เวย เรียงแถว พวกที่มองเห็นพวกศัตรูก่อนก็คือพลปืนไฟ พลปืนไฟยิงก่อน ยังมีทหารก่อกวนรอบๆ เป็นทหารติดตามหวังทงออกไปเก็บกวาดให้สิ้น
มีพวกหัวไวใช้เศษซากอาคารกำบังหลบ อาศัยความชำนาญพื้นที่ต่อสู้กับทหารหมิง กองกำลังหู่เวยเริ่มมีทหารบาดเจ็บล้มตาย วิธีการพวกเขาก็ง่ายมาก ให้ม้าไปลากปืนใหญ่มาทันที ยิงไปตรงๆ ทำลายซากอาคารที่พวกศัตรูใช้เป็นกำบังทิ้ง คนและสิ่งกีดขวางถูกปืนใหญ่ยิงราบ ไม่ก็ถูกซากอาคารทับไว้ข้างใต้
วังข่านเป็นหมู่สถาปัตยกรรมที่สะดุดตาที่สุดในเมือง ประตูเมืองแต่ละประตูล้วนมุ่งสู่วังข่าน เป็นถนนที่กว้างและเรียบที่สุด ไม่นานนัก สองหน่วยของกองกำลังหู่เวยก็มาถึงประตูใหญ่หน้าวังข่าน
ที่จริงแล้ววังข่านเป็นพื้นที่ฐานที่มั่นของเมือง เพียงแต่ตกแต่งสวยงามก็เท่านั้น ที่นี่พบการต่อต้านที่ดุเดือดแล้ว
พลปืนไฟกองกำลังหู่เวยปรากฏตัวหัวมุมถนน มีห่าธนูเตรียมต้อนรับพวกเขาอยู่ ถนนสายนี้ต้องพบกับการต่อต้าน ระยะยิงธนูกับปืนไฟใกล้เคียงกันมาก แต่ระยะนี้ครั้งนี้กลับไกลจากระยะยิงปืนไฟ
พลปืนไฟแถวหน้าป้องกันไม่ทัน พริบตาก็ถูกธนูยิงไปทั้งแถบ ขุนพลทหารรีบสั่งให้หยุด มองไปยังวังข่านด้านหน้า ทหารนอกด่านใช้ธนูยาวกว่าธนูทั่วไปหนึ่งเท่าได้ ลูกธนูยิงให้ทหารหมิงก็ยาวกว่าปกติ
“ถอย ถอย ขนปืนใหญ่มาถล่มมารดามันเลย!!”
ขุนพลทหารตะโกนดัง ด้านหน้าเริ่มหยุด เปิดทางให้ ม้าห้าตัวลากปืนกระสุนสามชั่งมาถึงด้านหน้า ปืนใหญ่ขนาดเล็กใช้เวลาเตรียมการง่าย พลปืนใหญ่ตะโกนคำสั่งติดตั้งปืนใหญ่ ปืนใหญ่บรรจุดินปืน เล็งปืนใหญ่ไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จุดไฟยิง
ตอนขนปืนใหญ่ออกมา พลธนูหน้าวังก็เริ่มหลบกันให้วุ่น ธนูยิงระยะไกลได้แต่ไม่อาจสู้ระยะไกลของปืนใหญ่ได้ แม้เข้าใกล้มายิง ก็อาจถูกปืนไฟทหารหมิงยิงตายได้ ธนูยิงต้องใช้ระยะน้าวธนูให้มั่น แต่ปืนใหญ่อีกฝ่ายตั้งอยู่บนแท่นยิง พวกเขาไม่มั่นใจเลยว่าจะเข้าไปยิงระลอกแรกได้
ปืนใหญ่ยิงดัง พลธนูพวกนอกด่านแตกกระเจิง ขุนพลทหารออกคำสั่งให้พลปืนไฟกับพลทวนยาวบุกขึ้นหน้า พวกนอกด่านตอนนี้ไม่มีทหารถืออาวุธดาบเข้ามาปะทะเป็นกลุ่มอีกแล้ว แม้ว่าเป็นนักรบนอกด่านที่กล้าหาญที่สุด ขอเพียงแค่บุกมาหน้าปืนไฟทหารหมิง ไม่ว่าขี่ม้าหรือเท้าเปล่าวิ่งมาก็ล้วนแต่ถูกยิงตายเท่านั้น
พวกนักรบนอกด่านที่คุ้มกันวังข่านเข้ามาในวัง ประตูใหญ่ปิดแน่น สองหน่วยกองกำลังหู่เวยจัดแถวหน้าประตู ปืนไฟกับปืนใหญ่เริ่มคุมศัตรูบนกำแพงได้แล้ว
พวกเขากำลังรอการมาของปืนใหญ่ ปืนใหญ่ขนาดใหญ่ยิงทลายประตูกับกำแพงแล้ว ก็ไม่มีอันใดขวางการบุกเข้าไปของกองกำลังหู่เวยอีก
ในเมืองแต่ละแห่งเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้ แต่ละแห่งเต็มไปด้วยเสียงสังหาร แต่บรรยากาศที่นี่กลับผ่อนคลาย เพราะการรบถึงที่สุดแล้ว
ยามนี้ หวังทงตามหลี่หู่โถวกับถานปิงมา กำชับหนักแน่นว่า
“วังพวกนอกด่าน ไม่มีผู้รอดชีวิต!”
770 ปืนใหญ่ระดมยิงวังข่าน
โดย
Ink Stone_Fantasy
บุกมาถึงหน้าประตูวังข่านพวกนอกด่านแล้ว การรบยังคงดำเนินต่อไป ทุกหน่วยรู้ว่าควรปฏิบัติการเช่นไร ไม่ต้องให้หวังงทงสั่ง
หัวหน้าหน่วยที่ 1 กับหน่วยที่ 2 หลี่หู่โถวกับถานปิงมาถึง ได้ยินที่หวังทงพูดก็อดอึ้งไม่ได้ หวังทงมองจ้องพวกเขากำชับหนักแน่นอีกรอบว่า
“ข้าพูดอีกรอบ ในวังข่าน ไม่มีผู้รอดชีวิต!!”
คนฉลาดไม่จำเป็นต้องพูดรอบสอง แม้หลี่หู่โถวกับถานปิงไม่ใช่ว่าฉลาดที่สุด แต่วาจาหวังทงพวกเขาเข้าใจในทันที หลี่หู่โถวกับถานปิงรับคำนับรับคำสั่งหนักแน่นว่า
“รับคำสั่ง!”
หวังทงยิ้มพยักหน้า หัวหน้าหน่วยทั้งสองออกไปปฏิบัติการ ทหารนอกด่านในเมืองไม่น้อย แต่ในเมืองไม่เหมาะแก่การเคลื่อนไหวของทหารม้า ที่จริงแล้วตอนทหารหมิงบุกเข้าเมืองมา ทหารนอกด่านส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อยู่บนหลังม้า ทหารราบนอกด่านไหนเลยจะสู้ทหารราบจี้โจวได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทหารราบกองกำลังหู่เวย
ถนนทุกสาย ที่ทำการทุกแห่ง หรือแม้กระทั่งบ้านเรือนชาวบ้านที่เกิดเหตุปะทะ แต่ก็จบลงอย่างรวดเร็ว ไม่มีทางต้านทานกำลังทหารกองนี้ได้แม้แต่น้อย
เมื่อเข็นปืนใหญ่ขึ้นบนกำแพงเมืองได้ และค่อยๆ คืบคลานเข้าพื้นที่ทุกประตูเมืองเรียบร้อย ก็เรียกได้ว่าเมืองกุยฮว่าเฉิงตกอยู่ในความควบคุมทหารหมิงเรียบร้อยแล้ว งานที่ต้องดำเนินการถัดมาก็คือสังหารศัตรูทิ้ง
ในเมืองที่ไม่ใช่ชาวฮั่นก็มีราวหกส่วน แต่ส่วนใหญ่มาอาศัยในเมืองไม่นานนัก หลายคนมาพักกันแค่ฤดูหนาว ฤดูอื่นๆ ก็จะเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนกันบนทุ่งหญ้านอกด่าน พวกเขาไม่ได้รู้สึกเป็นเจ้าของเมืองนี้แต่อย่างใด
คนพวกนี้แม้รู้ว่าทหารหมิงเป็นทัพศัตรู แม้คิดอยากสู้กับทหารหมิงด้วยความกล้าหาญ แต่พวกเขากลับไม่มีความกล้าพอที่จะสู้กับทหารหมิงที่บุกเข้ามาในเมืองชุดนี้ สถานการณ์ถึงขั้นนี้ นักรบนอกด่านที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งก็ย่อมทิ้งเมืองหนีไปก่อน วันหน้าค่อยกลับมาสู้ใหม่
มีความคิดและวิเคราะห์เช่นนี้ การรบก็ย่อมไม่ทุ่มเทมาก ทหารที่คิดแต่จะหนีในการรบ จะไปรบชนะได้อย่างไร นับประสาอันใดกับส่วนใหญ่ยังเป็นชาวเลี้ยงสัตว์เร่รอนเผ่าต่างๆ
ในเมืองถูกทัพม้าหมิงกับทัพเมืองจี้โจวควบคุมพื้นที่ไว้หมดแล้ว หลายประตูเมืองยังมีปืนใหญ่คุมอยู่ ปืนใหญ่หันหน้าเข้าในเมือง ในเมืองไม่มีการต่อสู้ตามถนนหนทางของบรรดาทหารที่คิดเข้าปะทะอีก มีเพียงไล่ล่าและควบคุมพื้นที่เท่านั้น
มีทหารกองกำลังจี้โจวกองหนึ่งไปถึงหน้าวังข่าน หน้าวังข่านหลายประตูมีประตูแผ่นไม้ใหญ่ปิดแน่นหนา
ปืนกระสุนหกชั่งสี่กระบอกเรียงแถวหน้าประตู เตรียมพร้อมแล้วก็ยิงพร้อมกัน ไม้ประตูหนาไม่อาจต้านทานได้ บางทีด้านหลังอาจเอาไม้ค้ำยันหรือหาสิ่งใดกองอุดกั้นไว้ แต่เวลาสั้น ๆ ไม่อาจทำได้ทันการ
ประตูใหญ่แตกกระจุยล้มครืนไปด้านหลัง ทหารนักรบนอกด่านหากที่กำบังกันให้วุ่นวาย ประตูล้มลง ก็มีคนส่งเสียงร้องตะโกนดังลั่น ทหารนอกด่านรักษาประตูวังมีความกล้าสู้ตายมากกว่าทหารอื่นมากนัก กรูกันออกมาทันที สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ทันหนีไปหลบด้านหลังสิ่งก่อสร้างอีกแล้ว
พวกเขาใช้เพียงแค่ดาบและเลือดเนื้อเข้าปะทะขวางกั้นทหารหหมิงเอาไว้ เพื่อให้กำลังอื่นในวังได้มีเวลาเตรียมตัว พลธนูเริ่มยิง
แต่สนามรบยามนี้ไม่ใช้เวลาของการใช้อาวุธดาบเข้าประหัตประหารแล้ว เมื่อก่อนทหารหมิงใช้ปืน แต่ปืนในตอนนั้นถูกเข้าใจว่าเป็นเพราะขี้ขลาดและไร้ความกล้าหาญแบบนักรบ มักจะถูกทหารม้าพวกนอกด่านบุกมาโจมตีถึงด้านหน้าได้ ยามนี้อาวุธปืนกลับเป็นอาวุธสังหารร้ายแรงได้
พลทวนยาวกองกำลังหู่เวยในชุดเกราะชั้นดีอาจยิ่งทำให้ฮึกเหิมกล้าหาญ แต่ส่วนใหญ่บนสนามรบไม่ใช่หน้าที่พวกเขา หากเป็นปืนไฟกับปืนใหญ่เข้าจัดการ พวกเขาเพียงแค่เป็นด่านคอยป้องกันระวังให้พลปืนไฟเท่านั้น
หน้าประตูใหญ่วังข่านสู้กันดุเดือด พวกทหารนอกด่านเต็มเป็นด้วยความกล้าหาญบุกขึ้นมา ถูกกองปืนไฟชุดใหญ่แผงหนายิงถล่มแหลกกระจุย ทิ้งไว้เพียงร่างไร้ชีวิตกองอยู่ ได้แต่ถอยกลับ
พลปืนไฟอยู่ด้านหน้า พลทวนยาวอยู่ด้านหลัง ยังมีพลปืนใหญ่ตามมาพร้อมปืนใหญ่เล็กด้านหลัง การรวมตัวกันเช่นนี้ ทหารพวกนอกด่านในวังไม่ใช่คู่ต่อสู้เป็นแน่ ได้แต่ถอยไปทีละก้าว
ในวังกับในเมืองเริ่มมีเปลวไฟลุกหลายแห่ง ควันหนาปกคลุมไปทั่ว กลางวันถมคูโจมตีเมืองก็ใช้เวลาไปไม่น้อย ยามนี้ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว
ควันกับความมืดทำให้ระยะการมองเห็นเริ่มเลือนราง แต่ความเลือนรางนี้ไม่ได้ทำให้พวกนอกด่านได้เปรียบอันใด การต่อต้านของพวกเขาไม่ได้ประโยชน์อันใดอีก
ทหารนอกด่านรักษาวังค่อยๆ ถอย พวกเด็ดเดี่ยวที่คิดสละชีพก็ค่อย ๆ ถูกจัดการไปทีละคน เริ่มล้มตาย เริ่มมีคนคุกเข่ายอมแพ้ วังข่านเท่ากับเป็นพื้นที่แทบถูกปิดตาย คิดจะหนีก็ไม่ได้ง่าย ทหารหมิงหลายพันเข้าปูพรมตรวจค้น บุกเข้ามาจนไม่มีที่ให้หลบพ้นความตาย
ทหารหมิงไม่ยอมรับการยอมแพ้ พวกที่คุกเข่ายอมแพ้กับโยนอาวุธทิ้งหรือยกธงขาวล้วนมีจุดจบเดียวกัน สังหารโดยไม่ไว้หน้า กองกำลังหู่เวยไม่เกรงกลัวพวกนอกด่านสู้ตาย เอาแต่สังหาร สังหารไปให้หมดก็พอ
บรรดาขุนพลทหารรายงานมาตามลำดับ สถานการณ์เลวร้าย ศัตรูยอมแพ้อาจเป็นแผนร้าย หากเราเมตตา อาจฉวยโอกาสที่เราเผลอทำให้พวกเราต้องเสียเลือดเนื้อโดยไม่จำเป็นได้ ขุนพลสูงสุดได้รับคำสั่งที่ง่ายและตรงไปตรงมาว่า ‘ในวังไม่มีผู้รวดชีวิต!’
ฟ้ามืดทั่วผืนฟ้าแล้ว นอกวังแต่ละแห่ง การต่อสู้ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น พวกที่คิดต่อสู้ พวกที่คิดหนีออกไปจากเมือง อาจจะอาศัยความมืดเร้นกายหลบหนีได้
แต่ในวังทางนี้ค่อย ๆ เงียบลง อากาศคละคลุ้งไปทั่วด้วยกลิ่นคาวเลือด แต่ละแห่งที่มีเปลวเพลิงลุกก็ถูกดับลงแล้ว
ซากศพที่กองเกะกะตามพื้น ทหารก็ลากไปรวมกันในตำหนักกลาง ทำให้ที่นี่แน่นขนัดไปหมด เห็นสภาพสิ่งก่อสร้างแล้วก็รู้สึกว่าเหมือนวังของแผ่นดินหมิงย่อขนาด จากคำของคนนำทาง ที่นี่ปกติเรียกว่าตำหนักทองคำ ตอนนี้ดูแล้วช่างน่าขบขัน
“แม่ทัพใหญ่ หัวหน้าโจรนอกด่านเซิงเก๋อตูกู่เหลิงและลูกชายเซิงเก๋อตูกู่เหลิง เฉ่อลี่เข้อ ยังมีมเหสีสามและภรรยาน้อยของหัวหน้าโจรนี้อยู่ในตำหนักแล้ว เมื่อครู่ข้าน้อยเดากำลังในตำหนัก อย่างมากก็ 800”
ถานปิงรายงานเสียงนิ่ง รอบทิศของวังเริ่มจุดกองไฟขึ้น ทหารกองกำลังหู่เวยไม่น้อยถือคบไฟในมือสว่างรอบลาน หวังทงหามุมสูงขึ้นยืน ทหารติดตามรีบยกโล่ขึ้นกั้นรอบด้านอย่างแน่นหนา ในวังศัตรูหากมีผู้ใดยิงธนูมาจากความมืด ก็ย่อมยุ่งยาก
แม้ว่าแต่ละแห่งนอกเมืองวุ่นวาย เสียงสังหารยังคงดังต่อเนื่อง แต่สำหรับทหารหมิงยามนี้ ชัยชนะแน่นอนแล้ว ตอนนี้ปัญหาก็คือชัยชนะระดับใดเท่านั้น
รองแม่ทัพหยางจิ้นเมืองจี้โจวกับหม่าหย่งหัวหน้าทหารม้าเมืองต้าถงมาถึงบริเวณวังข่านแล้ว คำนับหวังทงเสร็จก็ยืนรอข้าง ๆ หวังทงสังเกตเห็นว่าพวกเขาแต่ละคนมีสีหน้าตื่นตระหนก แม้ว่าปกติคนพวกนี้จะเก็บท่าทีไว้ได้ แต่ตอนนี้เหมือนระงับท่าทีไม่อยู่
กลับเป็นขุนพลกับทหารกองกำลังหู่เวยที่รักษาท่าทีสงบเงียบได้มากกว่า ท่าทางนี้หวังทงเข้าใจดี ในวังข่านเป็นข่านพวกนอกด่าน ข่านผู้นี้ไม่ใช่หัวหน้าเผ่าคนไม่กี่พันกี่ร้อย แต่เป็นเจ้าผู้ครองกำลังทุ่งหญ้านอกด่านทั้งมวล ควบคุมฮ่องเต้แผ่นดินหมิงมาเกือบสามรัชสมัย ปล้นชิงมณฑลซานซี ตีไปถึงชานเมืองหลวงอย่างข่านเผ่าอันต๋า
ตั้งแต่ฮ่องเต้จูตี้ยกกำลังขึ้นปราบตอนเหนือมา แผ่นดินหมิงเคยได้รับชัยชนะเช่นนี้ที่ไหนกัน เหตุการณ์ฮ่องเต้อิงจงถูกจับเป็นเชลยในสงครามป้อมถู่มู่ พวกนอกด่านตีไปถึงชานเมืองหลวงหลายครั้ง ชายแดนถูกปล้นชิงโจมตี ทหารบาดเจ็บล้มตาย แผ่นดินถูกรุกรานมาเรื่อยๆ พวกนอกด่านลบหลู่แผ่นดินหมิงครั้งแล้วครั้งเล่า
หลายปีมานี้ ฮ่องเต้ 10 กว่าพระองค์ ที่พอเป็นหน้าเป็นตาได้ก็มีแต่การรบที่อิงโจวระหว่างฮ่องเต้อู่จงกับองค์ชายพวกนอกด่าน แต่ผลการรบก็คลุมเครือ ถูกปิดบังจนไม่กระจ่างชัด นอกจากนี้ บันทึกแห่งชัยชนะยังบอกว่าตัดหัวศัตรูไปได้ไม่กี่สิบ ตัดหัวได้สองสามร้อยก็เรียกได้ว่าเป็นชัยชนะใหญ่แห่งประวัติศาสตร์แล้ว
แต่การรบนี้ ตั้งแต่ออกจากเมืองต้าถงมา เข้ารบโรมรันบนพื้นที่ศัตรูและยังเป็นศัตรูที่มีกำลังแข็งแกร่งได้เปรียบกว่าตนเอง ทำศึกชนะครั้งแล้วครั้งเล่าติดต่อกัน สุดท้ายถึงกับตีเมืองศัตรูมาได้ เข้ามาล้อมวังศัตรูได้
ในฐานะขุนพลทหาร ล้างแผ่นดินสังหารเจ้าผู้ครองได้ ถือเป็นเกียรติยศสูงสุด ตัดหัวสองสามหมื่นเรียกได้ว่าเรื่องเล็กไปเลยทีเดียว มีชัยเหนือศัตรูเป็นเรื่องแน่นอนแล้ว ลำดับถัดมาก็คือจับตัวท่านข่านผู้เป็นใหญ่ของพวกนอกด่าน นี่เป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่ระดับใดกัน
ทุกคนต่างไม่อาจควบคุมความตื่นเต้นของตนได้อยู่สักหน่อย แต่พวกเขาอย่างไรก็เป็นขุนพลนำทหาร ยังต้องระลึกว่าต้องรอบคอบตรวจตรารอบๆ พวกเขาให้ทหารเพียงแค่ล้อมอยู่ไกล ปืนใหญ่กำลังถูกลากมาตั้งอยู่หน้าตำหนักหลัก
“เมื่อครู่ข้าได้สอบปากคำเชลยผู้หนึ่งก่อนตาย บอกว่า อ๋องซุ่นอี้ พระมเหสีและองค์ชายองค์หนึ่งถูกคนชั่วควบคุมตัวไว้ เกรงว่าคงสิ้นแล้ว ตอนนี้ในตำหนักหลัก ก็แค่พวกกองโจรม้าที่ปลอมตัวเป็นพวกอ๋องซุ่นอี้เท่านั้น เพื่อแก้แค้นให้อ๋องซุ่นอี้ เพื่อป้องกันทหารเราบาดเจ็บล้มตาย ข้าตัดสินใจจะใช้ปืนใหญ่ยิงถล่มที่นี่ให้ราบ!”
หวังทงกล่าวจบกำลังจะโบกมือเป็นสัญญาณ รองแม่ทัพหยางจิ้นข้าง ๆ ก็ไม่สนใจตำแหน่งผู้ใหญ่ผู้น้อย หากส่งเสียงดังรีบขี่ม้าเข้ามาใกล้ กล่าวอย่างร้อนใจว่า
“แม่ทัพใหญ่ นำตัวหัวหน้าพวกนอกด่านส่งไปเป็นเชลยบรรณาการที่เมืองหลวง ฮ่องเต้ย่อมดีพระทัยใหญ่ แม่ทัพใหญ่ย่อมมีความดีความชอบสูงส่ง หากตายไป ถวายศีรษะ……”
“เหลวไหล ส่งคนเป็นๆ ไปเมืองหลวง หัวหน้าเชลยนี้ยังได้ชื่อว่าอ๋องซุ่นอี้ พวกขุนนางบัณฑิตเมืองหลวงที่อ่านตำราจนหัวสมองช้าย่อมต้องแหกปากไม่หยุด สร้างความยุ่งยากโดยไม่จำเป็น หากยังมีโอกาสได้ฟื้นคืน พวกเราลำบากเดินทัพมาไกล เสียสละทหารไปมากมายใช่ว่าสูญเปล่าหรือ สังหารให้สิ้นจึงหมดสิ้นเสี้ยนหนามแท้จริง!”
ถูกหวังทงตอกหน้ากลับ หยางจิ้นไม่รู้สึกโมโห หากอึ้งไปก่อนจะพยักหน้า ในตอนนั้นเองก็มีเสียงตะโกนร้องดังมาจากในวัง จากนั้นปืนไฟก็กระหน่ำยิง มีคนด้านในคิดบุกออกมาจริงๆ ถูกยิงให้ล่าถอยกลับไป
“ไฟไหม้ๆ พวกนอกด่านจุดไฟเผาจากด้านในแล้ว!!”
มีทหารร้องตะโกน หวังทงมองไปทางวัง ด้านในมีควันพวยพุ่งออกมา เขายิ้มเย็นยกมือขึ้น
771 ทหารหมิงเข้าเมืองได้แล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในตำหนักกลางเหมือนว่ามีคนตะโกนสุดท้ายอันใดสักอย่าง หากคนที่ฟังออกก็ฟังได้เพียงว่า ‘เป็นผีก็ไม่ปล่อย…’ แต่วาจาถูกปืนใหญ่กลบไปในทันที
ปืนใหญ่ยิงนั้นเป็นกระสุนปืนเหล็ก กระสุนตะกั่ว ปืนใหญ่หลายกระบอกยิง ก็เพียงพอทำลายวังหลวงให้สิ้นซากได้
หลังปืนใหญ่ยิงระลอกสอง ก็ไม่ได้ยินเสียงคนร้องโหยหวนอีกแล้ว รอบสองยิงไป ทั้งวังหลวงก็เริ่มพังทลายลง จากนั้นก็ไม่จำเป็นต้องยิงอีกแล้ว ทหารพลทวนยาวกองกำลังหู่เวยกับทหารเมืองจี้โจวในที่สุดก็ได้เวลาเข้ามาในพื้นที่ ที่พวกเขาต้องทำก็คือตรวจสอบคนที่ยังมีลมหายใจ ก็แค่ฟันลงไปอีกดาบให้ตายในทันทีเท่านั้น
ศพเซิงเก๋อตูกู่เหลิงกับเฉ่อลี่เข้อยังมีมเหสีสามกองอยู่ใต้ซากปรักหักพัง การต่อสู้ที่วังหลวง ทหารพวกนอกด่านบาดเจ็บล้มตายเกือบ 3,000 กล่าวให้ดีก็คือตายไปหมด 3,000 ตัวเลขการตายเช่นนี้ เรียกได้ว่าสูงว่าตอนต่อสู้ป้องกันรักษากำแพงเมืองเสียอีก
“สมบัติในวังกับโกดังแต่ละแห่งในเมือง คุมให้เข้ม ขุนพลทหารกล้าแตะต้องให้ลงโทษทางวินัยเด็ดขาด!”
หวังทงกล่าวเช่นนี้ออกไป หม่าหย่งเมืองต้าถงพอได้ยินเช่นนี้ก็คิดจะแย้ง แต่ก็ลังเลไม่กล้าเอ่ยปาก
ทหารม้าเมืองต้าถงกับทหารม้ากองกำลังหู่เวยรู้งาน หม่าหย่งมีสายสัมพันธ์กับหม่าซานเปียวไม่เลว ว่ากันว่าสองคนยังสานความสัมพันธ์กันเป็นดังญาติสนิท
หารือกับเรียบร้อย ทุกคนก็ออกไปปฏิบัติตามคำสั่ง หม่าหย่งแอบบ่นกับหม่าซานเปียวว่า
“แม่ทัพใหญ่ก็ช่างไม่เข้าใจ พี่น้องเรารบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายติดตามเข้าเมืองมา วังกับโกดังไม่ให้แตะต้อง จะมีความหมายอันใด”
กล่าวเพิ่งจบก็ถูกหม่าซานเปียวหัวเราะตอบกลับไปว่า
“สมองเจ้าพิการหรือไง แม่ทัพใหญ่ว่ายังไงนะ บอกว่าในวังกับโกดังแต่ละแห่ง หากในเมืองมีเงินทองมากมาย เหตุใดไม่ไปโกยเอาให้อิ่ม มัวมายืนเซ่อจ้องของพวกนี้กันทำไม!”
ถูกว่าเช่นนี้ หม่าหย่งแห่งเมืองต้าถงอึ้งไปก่อนจะได้สติคิดได้ ตบท้ายทอยยิ้มแห้งๆ กล่าวว่า
“คิดไม่ถึงว่าวาจาแม่ทัพใหญ่ระดับนี้ยังมีความนัย เลอะเลือนจริง ๆ !”
ตั้งแต่หวังทงนำทัพออกนอกด่านมา ก็ปฏิบัติการรวดเร็วฉับไวตรงไปตรงมา ไม่มีชักช้าลังเลอ้อมค้อมอันใด หากวันนี้วาจากลับมีนัยแฝงหลายชั้น ทำให้ทุกคนที่เคยชินกับความตรงไปตรงมาตั้งสติกันไม่ทัน
ทหารหมิงปิดประตูเมืองทุกทางของเมืองกุยฮว่าเฉิงแล้ว การต่อสู้เรียกได้ว่าถึงที่สุดระดับหนึ่งแล้ว เพราะเมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นเมืองของชาวเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน ดังนั้นในเมืองจึงมีคอกสัตว์ขนาดใหญ่เลี้ยงสัตว์ไว้จำนวนมาก และยังมีหลายแห่งยังตั้งกระโจมสำหรับชนชั้นสูงไว้ด้วย
ใช้ประโยชน์พื้นที่เหล่านี้ให้ทหารหมิงตั้งค่าย หรือไม่ก็วางศพทหารหมิงที่สละชีพ อากาศหนาว ไม่ต้องกลัวว่าจะเน่าเปื่อย จัดการศพอย่างง่ายๆ แล้ว ก็สามารถรอการจัดการได้
แรงงานที่ทำงานพวกนี้ไม่ใช่ทหารหรือคนจากหน่วยรักษาความปลอดภัยของกองกำลังหู่เวย แต่เป็นทหารเมืองจี้โจว ที่จริงแล้วเรียกได้ว่าทหารหมิงทุกคน แม้แต่คนขับรถม้าก็ถืออาวุธออกควบคุมความสงบในเมือง ควบคุมชาวบ้านในเมืองให้เริ่มทำงาน
การต่อต้านตามท้องถนนก็ยังมี มีพวกนอกด่านอาศัยอาคารบ้านเรือนซ่อนตัว ทหารจึงจำต้องใช้ไม้ทุบทำลายทิ้งบ้างใช้ไฟเผาบ้าง ยังถึงกับใช้ปืนใหญ่ยิงพังไปเลยก็มี
ในระหว่างความเป็นความตาย ย่อมไม่อาจคิดอันใดให้หากนัก แต่พอสงครามสงบลง ซากพวกนี้ก็ต้องจัดการ ไม่เช่นนี้ทัพใหญ่ก็เดินทัพได้ไม่สะดวก ทำให้เสียการใหญ่ได้
ซากปรักหักพังพวกนี้นำไปกองไว้นอกกำแพงเมืองตรงช่องโหว่ที่เข้ามา ใช้เศษอิฐก่อเป็นฐานปืนใหญ่ง่ายๆ ปากทางเข้ามาบนกำแพงนั้นต้องปิดช่องก่อน ในเวลาสั้นๆ หากใช้การก่อสร้างก็ย่อมยังไม่อาจทำได้สมบูรณ์ในทันที จึงไปสร้างเป็นแท่นปืนใหญ่เสียเลย
ปืนกระสุนสามชั่งสี่กระบอกกับพลปืนไฟ300รักษาการอยู่ทีนี่ ไม่ไกลนักก็เป็นค่ายทหารเมืองจี้โจว เพียงพอที่จะป้องกันศัตรูบุกเข้ามาในจุดนี้ได้
คืนนี้ประตูเมืองด้านใต้เปิดไว้ ก่อกองไฟไว้หลายกอง ชาวเมืองนำศพพวกนอกด่านออกไปเผา อากาศแม้จะหนาว คงไม่เน่าทันที แต่ก็ต้องป้องกันเหตุไม่คาดคิด เผาไปก่อนดีกว่า ทรัพย์สินติดตัวคนพวกนี้ก็ถูกลอกไปหมดเกลี้ยง ถือเป็นค่าตอบแทนนายทหารก็แล้วกัน
แม้ว่าตำหนักกลางในวังถูกทำลาย แต่ที่นี่ก็ยังคงเป็นที่เหมาะที่สุดในเมืองกุยฮว่าเฉิง มีการป้องกันที่แน่นหนา มีห้องที่สบาย ยังมีสาวงามหลายชนเผ่าไม่น้อย
เห็นได้ชัดว่าตีเมืองอย่างไม่ทันตั้งตัว ชนชั้นสูงเผ่าอันต๋ายังไม่ทันได้สังหารสาวงามภรรยาน้อยนางเล็กๆ ที่เลี้ยงดูไว้ เพราะเกรงว่าจะถูกศัตรูหลู่เกียรติ ประเพณีหลังแพ้สงครามต้องสังหารผู้หญิงของตนให้หมด
แม้ว่ามีผลประโยชน์มากมายหลากหลาย แต่หวังทงก็ไม่ได้หลงลืมตัว ตีเมืองศัตรูได้แล้วจะมานอนในวังศัตรูแต่อย่างใด เพราะหากมีคนคิดไม่ซื่อลอบทำร้าย เช่นนั้นก็ย่อมไม่คุ้มค่า
หวังทงยังคงตั้งกระโจมพักในเมือง ที่พักเขาเดิมเป็นที่ตั้งค่ายทหารในวัง ที่นี่กว้างขวาง สองหน่วยกองกำลังหู่เวยพักละแวกเดียวกัน สะดวกมาก
ทหารม้าเริ่มปฏิบัติการ ทหารราบสองค่ายรับหน้าที่ลาดตระเวนเตรียมพร้อม ในเมืองแบ่งพื้นที่ป้องกันออกเป็นหลายส่วน ให้กองกำลังหู่เวยกับกองทัพเมืองจี้โจวแบ่งกันรับผิดชอบ
กองละร้อยนาย อาวุธครบมือออกลาดตระเวนในเมือง สถานการณ์เริ่มสงบลงพอสมควรแล้ว มีการต่อต้านบ้างเล็กน้อย มีเสียงตะโกนดังแว่วมาบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่เหตุใหญ่อันใด
กลิ่นเผาศพนอกเมืองคละคลุ้งไปทั่วเมือง ทหารเห็นความตายจนชิน ก็ไม่เท่าไร ในค่ายตั้งหม้ออาหารหม้อใหญ่ไว้หลายหม้อ ในหม้อมีเนื้อแพะและเนื้อวัวต้มส่งกลิ่นหอมอบอวล
สีหน้าทหารส่วนใหญ่ล้วนตื่นเต้นผสมกับความเหนื่อยล้า สำหรับพวกเขาแล้ววันนี้ไม่ได้รบหนักหนาอันใด สังหารพวกทหารนอกด่านที่ไม่อาจต่อต้านได้นั้นไม่เหนื่อยเลยจริงๆ
พลปืนไฟกับพลปืนใหญ่ลำบากกว่ามาก คนเฝ้าเวรยามก็ต้องทำตัวให้ตื่น คนที่เปลี่ยนเวรไปนอนก็เข้าไปนอนในกระโจมหรือไม่ก็นอนกรนเสียงดังข้างกองไฟทันที เหนื่อยมาทั้งวันยามนี้ได้ชดเชยแล้ว
หวังทงอยู่ในกระโจมตนเองกำลังฟังรายงานจากบรรดาขุนพลทหารแต่ละหน่วย แม้ว่ายามนี้ดึกมากแล้ว แต่ในฐานะแม่ทัพใหญ่ไม่อาจพักผ่อนได้ เข้าเมืองกุยฮว่าเฉิงมาได้ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยนอนหลับได้ เรื่องมากมายเพิ่งเริ่มต้น
หลายประตูเมืองต้องเตรียมการป้องกันให้ดี หยางจิ้นนำคนออกไปลาดตระเวน สายลับแฝงตัวในเมืองก็มารายงานอีก
ร้านสามธารา ร้านจิ้นเหอ ร้านหย่งเซิ่งและร้านใหญ่น้อยจำนวนหนึ่งเป็นกิจการในเครือของกองกำลังหู่เวย พวกเขามาอยู่ทำการค้าที่มณฑลซานซีนานพอควร ทำการค้ากับพวกนอกด่านมาโดยตลอด ในเมืองย่อมมีการค้าให้ทำกำไร และยังสืบการข่าวได้ เมื่อวานพวกนอกด่านกวาดล้างกิจการชาวฮั่น พวกเขาที่เคยผ่านการฝึกฝนมา ก็แอบซ่อนตัวทัน ไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด ยังมาช่วยนำทางให้ตอนทัพใหญ่เข้าเมืองมาได้อีกด้วย
“จะว่าไป เจ้าเป็นคนที่จางซื่อเฉียงพามาตอนข้าไปถึงเทียนจินใหม่ๆ คิดไม่ถึงว่าจะได้มาพบที่เมืองกุยฮว่าเฉิง”
หวังทงยิ้มกล่าวกับชายหนุ่มผู้หนึ่ง ตอนนั้นเพิ่งไปถึงเทียนจิน ต้องส่งสายไปไว้ในจวนของนายกองตรวจการ จางซื่อเฉียงหาคนจากเมืองหลวงและเมืองทงโจวมาได้กลุ่มหนึ่ง พอหวังทงคุมเทียนจินได้เบ็ดเสร็จ ชายหนุ่มกลุ่มนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นกำลังสำคัญที่จะส่งไปยังที่ต่างๆ
“แม่ทัพใหญ่ยังจำข้าน้อยได้ไหม ข้าน้อยรู้สึกตกใจยิ่ง”
สายลับผู้นั้นรีบยืนขึ้นตอบ หวังทงยิ้มโบกมือกล่าวว่า
“ไม่ต้องตกใจอันใดไป เสร็จศึกครั้งนี้ การค้าเจ้าก็ยังคงทำต่อไป เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นเมืองแห่งโภคทรัพย์ เผ่าทางตะวันตกกับตะวันออก ทะเลทรายตอนเหนือไปจนถึงพ่อค้าแผ่นดินหมิง ล้วนมาทำการค้าที่นี่ ทำการค้าที่นี่ให้ยิ่งใหญ่ หาเงินให้มากพอจะดูแลที่นี่ให้ได้ ก็คงพอให้พวกเจ้าเสพสุขไปชั่วลูกหลาน”
สายลับแซ่เฉินผู้นี้เป็นหัวหน้ากลุ่ม อึ้งไปก่อนจะสีหน้าเป็นกังวลกล่าวว่า
“ความหมายของแม่ทัพใหญ่ก็คือต้องทำการค้าที่นี่ให้รุ่งเรือง และให้ร้านค้าเทียนจินมาเป็นหลัก?”
“แน่นอน ที่ดีเช่นนี้ตีมาได้ ย่อมไม่เพียงแค่ทำเป็นชายแดนเท่านั้น ต้องจัดการให้ดีๆ เจ้าดูที่นาอุดมสมบูรณ์นอกเมืองพวกนั้นสิ แม้ว่าปีหนึ่งทำนาได้แค่ฤดูเดียว แต่ก็เพียงพอเลี้ยงดูคนแถบนี้ เรื่องสัญญาที่ดินเจ้าต้องเร่งจัดการให้ดี นี่สิจึงจะเรียกได้ว่าเป็นสมบัติแท้จริง”
ความเก่งของหวังทงนอกจากการทหารแล้ว การค้าขายก็เชี่ยวชาญมาก ที่เขาว่ามานั้นเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดของเมืองกุยฮว่าเฉิงแห่งนี้
ทรัพย์สินในเมืองมากมายก็จริง แต่เมืองกุยฮว่าเฉิงเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของการทำการค้าแต่ละอย่างบนทุ่งหญ้า รอบเมืองกุยฮว่าเฉิงมีแม่น้ำถู่ม่อชวนก็หล่อเลี้ยงพื้นที่ดินทำนาอันอุดมสมบูรณ์ ยังมีทุ่งหญ้าพวกนั้นอีก นี่สิจึงจะเป็นสมบัติที่แท้จริง กุมพื้นที่นี้ได้ ย่อมเป็นดังภูเขาทองทะเลเงินไหลมาเทมา
และของพวกนี้ย่อมรู้สึกว่าไม่เตะตาเท่ากับทรัพย์สมบัติของพวกชนชั้นสูง แทบไม่มีคนสนใจ สีหน้าหัวหน้าสายลับเลื่อมใสจากใจ กำลังจะกล่าวอันใดก็ได้ยินมีคนนอกกระโจมรายงานว่า
“แม่ทัพใหญ่ พ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิง หนิวเกินกัง นำชาวฮั่นในเมืองมาขอพบ!”
มองสายตาหวังทงที่ส่งมา หัวหน้าสายลับก็กล่าวว่า
“หนิวเกินกัง บรรพบุรุษมาสวามิภักดิ์ขอพึ่งพาพวกนอกด่าน ถือเป็นคหบดีใหญ่ในเมืองอันดับต้นๆ หากแม้เก่งการค้า แต่เพราะสถานะเป็นชาวฮั่น ไม่ได้รับความสำคัญ ไม่งั้นคงไม่เป็นแค่พ่อค้า”
หวังทงยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า
“ได้ยินว่า เมื่อวานทหารนอกด่านปล้นชาวฮั่น กิจการหนิวเกินกังก็เสียหายไปด้วย ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจหรือยังว่า ‘ไม่ใช่ชนชาติเดียวกัน ย่อมแตกต่างกัน’ ให้เขาเข้ามาได้!!”
*************
“แม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยอยู่นอกด่านมานาน หากใจยังคงเป็นหมิง วันนี้แม่ทัพใหญ่นำทัพสวรรค์บัญชามาถึง พวกข้าน้อยดีใจอย่างหาที่สุดมิได้จริงๆ!”
หนิวเกินกังคุกเข่าลงกับพื้น ใช้น้ำเสียงซาบซึ้งใจสะอื้นไห้กล่าว หวังทงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ยิ้มมองเขา ด้านหลังหนิวเกินกังมีคนอีกสิบกว่าคนคุกเข่าตาม ดูท่าทางอ้วนท้วนแบบคนมีอันจะกิน น่าจะเป็นพ่อค้าชาวฮั่นในเมือง หวังทงยิ้มถามขึ้น
“ทหารเข้าเมืองมา ครอบครัวและกิจการพวกเจ้าได้รับความเสียหายหรือไม่?”
“ทัพสวรรค์บัญชาไม่ได้ทำความเสียหายอันใด ระเบียบเข้มงวด พวกข้าน้อยซาบซึ้งใจยิ่ง”
กล่าวจบ หนิวเกินกังก็เงยหน้าลอบมอง ลุกขึ้นกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ พวกข้าน้อยจับกุมมาได้คนหนึ่ง เป็นนักโทษราชสำนัก!!”
772 เก็บงาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“คนผู้นี้ตอนมาสวามิภักดิ์เฉ่อลี่เข้อ มีท่าทีปิดๆ บังๆ ต่อมาข้าน้อยรู้สึกว่าคนผู้นี้น่าสงสัย ย่อมต้องเป็นภัยต่อแผ่นดินหมิง ดังนั้นจึงใช้เงินก้อนโตซื้อคนของเฉ่อลี่เข้อ สืบได้ความมาว่าคนผู้นี้เป็นนักโทษแผ่นดินหมิง เป็นญาติสนิทขันทีใหญ่ในวังผู้หนึ่ง……”
หนิวเกินกังกล่าวอ้างคุณธรรมหนักแน่น ใช้เงินซื้อคนขององค์ชายมาได้ สถานะระดับใดในเผ่าอันต๋า ทุกคนย่อมรู้ดี
หวังทงอึ้งไปครู่หนึ่ง ตามมาด้วยหัวเราะถามว่า
“หรือว่าคนผู้นี้ก็คือหลินซูไฉ?”
ครั้งนี้ทำเอาหนิวเกินกังอึ้งไป ครู่หนึ่งจึงได้เอ่ยตอบว่า
“เรียนแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยไม่รู้ว่าคนผู้นี้ชื่ออันใด รู้แต่คนสนิทรอบตัวคนแซ่หลินนี้เรียกเขาว่า ท่านสาม”
หวังทงหัวเราะดังลั่น ตบแขนพักเก้าอี้ ยิ้มกล่าวว่า
“มาไม่เสียแรงเลย นำตัวมา นำตัวมาให้ข้าดูหน้าหน่อย!!”
ถานเจียงข้างๆ คำนับรับคำสั่ง ออกไปนอกกระโจม คนร้ายระดับนี้ย่อมไม่อาจปล่อยให้พ่อค้าที่มาสวามิภักดิ์ในวังตีเมืองได้เช่นนี้นำตัวเข้ามาเอง
ไม่นาน ทหารติดตามหวังทงก็คุมตัวชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้ามาในกระโจม ชายผู้นั้นสูงใหญ่ รอยเหี่ยวย่นทั่วใบหน้า ผิวหนังหย่อนยาน ดูแล้วน่าเกลียดมาก
ชายวัยกลางคนผู้นี้จ้องมองหนิวเกินกังที่คุกเข่าอยู่ที่ฟื้นอย่างโกรธแค้น พอหันไปเห็นหวังทงนั่งอยู่ก็อึ้งไปทันที ตามมาด้วยท่าทางหวาดกลัว จากนั้นก็ร้องตะโกนโหวกเหวกขึ้นทันที
แม้ว่าทหารร่างกายกำยำสองคนกุมตัวไว้แน่ และเขายังถูกเชือกมัดไว้แน่นหนา แต่ก็สลัดหลุด ปล่อยให้เขาก้าวขึ้นหน้ามาได้สองก้าวในทีแรก ทหารด้านหลังรีบปรี่เข้ามา จับตัวกดลงพื้น จึงควบคุมตัวเอาไว้ได้
การเคลื่อนไหวไม่เบา ทหารด้านนอกตกใจถือดาบวิ่งเข้ามา หวังทงโบกมือบอกว่าไม่เป็นไร ชายวัยกลางคนผู้นั้นคำรามอยู่บนพื้นว่า
“หวังทง เจ้าสุนัขชั่ว ข้าจะกินเนื้อเจ้า จะดื่มเลือดเจ้า……”
“ท่านสาม กล่าวเช่นนี้มีประโยชน์อันใด รอให้กลับถึงเมืองหลวง ถูกดาบฟันเป็นหมื่นชิ้น เลือดเนื้อเจ้าก็เอาไปเลี้ยงสุนัข ยังเป็นสุนัขพันธุ์ทางเมืองหลวงด้วยนะ”
หวังทงลุกขึ้นเดินไปหน้าหลินซูไฉ จ้องมองเขาส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า
“ไฉฝูหลิน คหบดีชนชั้นสูง เป็นเจ้าอ้วนหนักสองร้อยชั่ง ดูท่าแล้วดินน้ำที่ตอนเหนือนี้คงไม่สู้เมืองหลวงเรา เจ้าผอมไปหลายสิบชั่งกระมัง!?”
ผิวหนังหย่อนยาน เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เห็นได้ว่าผอมลงไปมากจริงๆ เขากัดฟันแน่นจ้องมองหวังทง หวังทงกลับยิ้มให้
ลัทธิไตรสุริยัน สำนักไตรสุริยันฟ้าดิน ตั้งแต่เจ้าจินเลี่ยงตอนตนเอง หวังทงก็เก็บความแค้นนี้ไว้ด้วย สองฝ่ายต่อสู้กันมา หวังทงย่อมเป็นฝ่ายคุณธรรม ใช้วิธีการสร้างแรงกดดันบีบบังคับจนค่อยๆ รุกทำลายลัทธิไตรสุริยันหลายรูปแบบ สุดท้ายสะเทือนทั่วเมืองและในวัง เกิดเหตุสังหารสลด จึงเรียกได้ว่าปราบปรามลัทธิมารลงได้อย่างแท้จริง
แต่จากอีกมุมมองหนึ่ง หลินซูลู่ใช้สถานะขันที เข้าใกล้ชิดไทเฮา ขุนนางราชสำนัก ขุนนางบู๊ ชนชั้นสูงและคหบดีใหญ่ ไปจนถึงระดับชาวบ้าน อาศัยจังหวะลงมือ สุดท้ายเกือบลงมือสำเร็จ เรียกได้ว่าน่าตกใจพอสมควร
แต่หลินซูลู่ตายในวัง หลินซูฝูตายตามไป หลินซูไฉก็คือไฉฝูหลินที่ลอบหนีออกนอกด่านมาผู้นี้ มาขอสวามิภักดิ์ต่อองค์ชายนอกด่าน
ตามรูปแบบที่เป็นมาของแผ่นดินหมิง ไฉฝูหลินผู้นี้ควรจะได้แก่เฒ่าตายที่เมืองกุยฮว่าเฉิงนี้แล้ว แต่ผู้ใดคงคิดไม่ถึงว่าหวังทงจะถึงกับปฏิบัติการอันน่าตกใจเช่นนี้ได้ นำทหารออกนอกด่านบุกมาถึงเมืองกุยฮว่าเฉิง สังหารข่านเผ่าอันต๋าก็เท่ากับทำลายเผ่าอันต๋าลงได้แล้ว คาดว่าเมื่อวานถึงเช้าตรู่ ไฉฝูหลินผู้นี้ไม่ได้คิดจะหลบหนี มาจนถึงบัดนี้
หวังทงก้มตัวลงตรงหน้าไฉฝูหลิน จ้องมองไฉฝูหลินแววตาเต็มไปด้วยอารมณ์เดือดคุกรุ่น ถามน้ำเสียงเรียบขึ้น
“เจ้ายังจำเมื่อหกปีก่อนได้ไหม ถนนทักษิณมีครอบครัวหนึ่ง ตอนปีใหม่ สามีภรรยาฆ่าตัวตาย ลูกชายวัยห้าขวบตัดสินใจตอนตนเองเพื่อล้างแค้นครั้งนี้”
ไฉฝูหลินที่ท่าทางราวกับกินเลือดกินเนื้อมาแต่ต้น คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะถามคำถามเช่นนี้ออกมา ถึงกับอึ้งไป เรื่องเจ้าจินเลี่ยงพวกนั้นแต่ไรมาก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เขาจะไปรู้เรื่องราวเบื้องลึกได้อย่างไร
เห็นสีหน้าสงสัยของเขาแล้ว หวังทงอยู่ ๆ ก็กระชากผมของไฉฝูหลินดึงขึ้น ก่อนจะกดลงไปอย่างแรง
แม้ว่าพื้นในกระโจมปูด้วยพรมขนสัตว์ แต่ด้านล่างก็ยังคงเป็นพื้นที่หนาวเหน็บเป็นน้ำแข็ง หวังทงเป็นทหารมานาน มือย่อมมีกำลังมาก ไฉฝูหลินอยู่ ๆ ถูกกระชากขึ้น จากนั้นก็กดลงที่พื้นอย่างแรง
หวังทงดึงผมเขาขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าไฉฝูหลินถูกกระแทกจนอาบไปด้วยเลือด สายตาที่มองหวังทงเริ่มฉายแววหวาดกลัว
“แน่นอนว่าเจ้าจำการตายของครอบครัวสามชีวิตไม่ได้ แน่นอนเจ้าจำไม่ได้ว่าเด็กน้อยคนหนึ่งต้องตอนตนเองอย่างไร แน่นอนเจ้าจำบรรดาคนที่ถูกลัทธิไตรสุริยันทำร้ายจนตายไม่ได้……”
พูดจบ หวังทงก็พ่นลมลุกขึ้นยืนตัวตรง ก่อนจะก้มลงมองไฉฝูหลินอย่างรังเกียจกล่าวว่า
“พอถึงเมืองหลวง จะลงโทษตามกฎหมาย ตอนสับเจ้าเป็นหมื่นชิ้นค่อยๆ คิดก็ได้ ได้ยินว่าสามวันสับไม่หมด คืนแรก คืนสอง ยังป้อนน้ำโสมให้เจ้าด้วย นำตัวไป เฝ้าให้ดี อย่าให้เขาคิดสั้นได้!”
ทหารรับคาสั่งลากตัวออกไป กำลังจะออกไปตอนนั้นเอง ปากไฉฝูหลินกำลังพึมพำสาปแช่ง เสียงค่อยๆ เบาลง ตอนกำลังพ้นประตู ไฉฝูหลินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตะโกนดังว่า
“หวังทง ไม่สิ ใต้เท้าหวัง ไม่สิ แม่ทัพใหญ่ ไว้……ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย ข้าน้อยยอมมอบเงินสามแสนสองหมื่นตำลึงให้แก่แม่ทัพใหญ่……ไว้ชีวิตข้าน้อย……”
พอออกไปนอกกระโจม น้ำเสียงก็เริ่มแหบ หวังทงในกระโจมได้ยินเสียงตะโกนแหบพร่าของไฉฝูหลินร้องขอชีวิต สุดท้ายยังได้ยินคำว่า ‘ใต้เท้า ข้าน้อยขอเพียงตายไม่ทรมาน……’
“เจ้าตัวตลก!”
หวังทงยิ้มแค่นเสียงเยียบเย็น ด้านนอกไม่ได้ยินเสียงร้องขอไว้ชีวิตของไฉฝูหลินอีก หวังทงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองสามที
ด้านนอกไม่ได้เงียบสงบ หวังทงอยู่ ๆ รู้สึกว่าตนเองเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ลัทธิไตรสุริยันเป็นเรื่องที่ตนติดตามมานานหลายปี จับตัวไฉฝูหลินผู้นี้ได้ก็เหมือนว่าจบคดี แต่มาถึงวันนี้ ไฉฝูหลินกับตนเองนั้นไม่ใช่คนระดับเดียวกันอีกแล้ว ลงมือกับไฉฝูหลินเหมือนว่าบี้มดบี้แมลงตาย แต่อย่างไรก็นับว่าจบแล้ว
พวกหนิวเกินกังที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นมาแต่ต้นเริ่มรู้สึกบรรยากาศไม่ถูกต้องแล้ว ในกระโจมมีทหารยืนอารักขาน่าเกรงขาม พวกเขาย่อมไม่กล้าส่งเสียงดัง
เงียบไปไม่นาน หวังทงก็ตบต้นขาเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า
“ข้าตามจับเจ้าหมอนี่มานาน คิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่หนิวจะจับได้แทน เถ้าแก่หนิวมีใจภักดีแผ่นดินหมิงและยังช่วยเหลือแผ่นดินหมิงขจัดภัย ข้าจะจดจำไว้ และจะทูลฝ่าบาท ฝ่าบาทย่อมพระราชทานรางวัล”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ หนิวเกินกังก็หัวไว โขกศีรษะอย่างแรง ก่อนจะรีบกล่าวตามมาว่า
“ข้าน้อยใช้ชีวิตในดินแดนศัตรูมาหลายปี ถูกกดขี่เหยียดหยามรังแกมาตลอด คิดแต่จะกลับไปแผ่นดินเกิดแต่ก็ไม่อาจทำได้ดังหวัง วันนี้ได้พบแม่ทัพใหญ่ ได้รับการดูแลจากแม่ทัพใหญ่เช่นนี้ รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาไหล อยากจะมอบชีวิตนี้ให้เพื่อตอบแทนๆ !”
พูดได้ซาบซึ้งกินใจ ยังมีเสียงสะอื้นเล็กๆ แต่ไม่ว่าผู้ใดก็รู้ว่าแท้จริงเป็นเช่นไร ในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนต่างไว้หน้ากันก็แค่นั้น
หวังทงยิ้มพยักหน้า เอ่ยชมว่า
“เถ้าแก่หนิวจงรักภักดีเช่นนี้ ช่างน่าชื่นชมจริงๆ ในเมืองกุยฮว่าเฉิงมีประชากรเกือบสองแสน ไม่นับชาวนาที่ทำนา ในเมืองมีพ่อค้าราวเจ็ดหมื่น ตอนข้าอยู่แผ่นดินหมิงได้ยินว่าชาวบ้านที่เมืองกุยฮว่าเฉิงแบ่งเป็นสี่ระดับ ชาวฮั่นเป็นลำดับสาม นอกเมืองชาวนาเป็นลำดับสี่ ไม่ทราบว่าชาวฮั่นระดับสามสี่นี่ให้ความเคารพผู้ใดที่สุด? ปกติผู้ใดคอยออกหน้าให้พวกเขากัน?”
ขณะหวังทงถาม สายตาก็มองไปยังบรรดาคนที่คุกเข่าอยู่ราวสิบกว่าคนตรงหน้า ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ หากในเมืองทำการค้ากันก็ย่อมเป็นชาวฮั่นสิบกว่าคนตรงหน้านี้นั่นเอง สามารถมีหน้ามีตามาพบหวังทงได้ พวกเขาล้วนเป็นชาวฮั่น ย่อมเป็นระดับแกนนำในเมือง
ในเมื่อถามเช่นนี้ เมื่อครู่ยังได้รับคำชมจากหวังทง หนิวเกินกังเองจึงรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้าย จึงเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า
“เรียนแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยพอมีหน้ามีตาในหมู่ชาวฮั่นในเมืองกุยฮว่าเฉิงแห่งนี้ ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าผู้นำ แต่ก็เรียกได้ว่าทุกคนรู้จัก”
“วันนี้ข้าเข้าเมืองมาจึงได้รู้ว่า เมื่อวานพวกนอกด่านรบแพ้กลับมา ในเมืองเกิดเหตุสังหารปล้นชิง ชาวฮั่นตายอนาถไปมาก ทรัพย์สินก็ถูกทำลายไปมาก เรื่องพวกนี้ชาวฮั่นคิดเช่นไร?”
คิดไม่ถึงว่าหวังทงอยู่ๆ ถามเช่นนี้ หนิวเกินกังอึ้งไป ชายร่างอ้วนดำข้างๆ เขารีบโขกศีรษะกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ ไม่เพียงแต่ราษฎรถูกปล้นอนาถ แม้แต่พวกข้าน้อยเองที่ปกติมีหน้ามีตาอยู่บ้างก็ยังถูกปล้นทำลายทรัพย์สินไปด้วย พี่น้องข้าน้อยมีร้านค้าอยู่ตอนเหนือของเมืองก็ถูกเผาตายทั้งเป็น ทั้งครอบตัวเหลือแค่ผู้หญิงคนเดียว ยังถูกย่ำยีจนเสียสติ ข้าน้อยมีตำแหน่งอยู่ในหมู่ชาวนอกด่าน ยังถูกกระทำเช่นนี้ คนอื่นๆ ในสายตาพวกนอกด่านก็ไม่ต่างกับสุกรสุนัข ดีที่แม่ทัพใหญ่นำทัพมาได้ทัน ไม่เช่นนั้นแม้ข้าน้อยต้องทนกัดจนฟันแตกสลายก็ไม่รู้ว่าจะแก้แค้นเอาคืนพวกนอกด่านนี้ได้อย่างไร ข้าน้อยรู้สึกเช่นนี้ ราษฎรชาวบ้านก็ย่อมอยากจะลอกหนังพวกนอกด่านทิ้ง จับมาหักกระดูก ดื่มเลือด มีไม่น้อยที่รู้จักกันร้องขอให้ข้าน้อยต่อสู้กับพวกนอกด่าน ทหารหมิงเข้าเมืองมา ข้าน้อยก็ส่งคนไปนำทาง และยังส่งสุราอาหารไปดูแล แม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยกับชาวบ้านในเมืองต่างเจ็บแค้นพวกนอกด่านเข้ากระดูก แม่ทัพใหญ่เข้าเมืองมาช่วยเหลือ ช่างเป็นดังพุทธะมีชีวิตเสียจริง!!”
วาจาเขากล่าวได้เร็วและเร่งรีบ ราวกับว่าเป็นสำเนียงชาวส่านซี กัดฟันกล่าวจนจบ หนิวเกินกังสีหน้าไม่ดีนัก แต่กลับทำให้หลายคนส่งเสียงขึ้น ทุกคนพากันส่งเสียงตอบรับ แต่ละคนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ด่าทอไม่หยุด
ทหารติดตามหวังทงกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง จึงได้พากันเงียบลง สายตาหวังทงยินดียิ่ง สีหน้าเป็นการเป็นงานส่ายหน้าถอนหายใจกล่าวว่า
“ชาวบ้านบริสุทธิ์ ชาวบ้านประสบภัย พวกนอกด่านถึงกับทำตัวเป็นดังสัตว์ป่าเช่นนี้ได้ ทำเรื่องน่ารังเกียจที่น่าโมโหเช่นนี้ได้ น่าแค้นใจยิ่ง!!”
หวังทงหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า
“หรือว่าราษฎรจะยอมรับกรรมเช่นนี้ไป?”
773 แยกแยะ ขุดคุ้ยและรั้งตัวไว้
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังทงถามออกไป ทุกคนเงียบครู่หนึ่ง พ่อค้าใหญ่พวกนี้แม้ว่าอยู่ในเมืองกุยฮว่าเฉิง แต่ก็ยังไปมาหาสู่กับขุนนางบนแผ่นดินหมิงไม่น้อย ในสถานการณ์เช่นตอนนี้ แม้ว่าจะหวาดหวั่น แต่ไม่ว่าแม่ทัพถามอันใด ตนเองก็ตอบไปตามนั้น ล้วนเป็นระเบียบปฏิบัติ ตอบตามที่ถามย่อมไม่ผิดพลาดอันใด
นับประสาอันใดกับแม่ทัพใหญ่วัยหนุ่มอายุน้อยที่ทำการใดก็เดาทางไม่ถูกผู้นี้ อยู่ ๆ ถามเช่นนี้ ชาวฮั่นที่คุกเข่าอยู่ก็รู้สึกงงอยู่บ้าง ไม่กล้าตอบ
หนิวเกินกังลังเลครู่หนึ่ง เขาคิดเอาเองว่าตนเองเป็นชาวฮั่นลำดับหนึ่งในเมือง ตอนนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงเปลี่ยนผู้นำเซิงเก๋อตูกู่เหลิงกับเฉ่อลี่เข้อตายไป จากนี้หากต้องหาทางรักษาสถานะตนเองไว้ให้ได้ ก็ย่อมต้องสานสายสัมพันธ์ชนชั้นสูงผู้นี้ วาจาหวังทงเขาคิดไปเองว่าเข้าใจ จึงรีบตอบไปว่า
“แม่ทัพใหญ่วางใจได้ ราษฎรล้วนรู้งาน ตอนนี้ในเมืองสงบแล้ว พวกเขาย่อมเชื่อฟังการจัดการของแม่ทัพใหญ่”
หวังทงยิ้มพยักหน้า หันไปถามชายร่างอ้วนดำที่กล่าววาจาออกมาตรงไปตรงมาผู้นั้นว่า
“เถ้าแก่หูทำการค้าเครื่องหนังที่นี่มาราวสิบห้าปีแล้ว นับว่าเป็นคนในพื้นที่แล้ว ท่านว่าเรื่องนี้ควรทำเช่นไร?”
ชายที่คุกเข่าพากันอึ้งไป เดิมคิดว่าหวังทงมาที่นี่ครั้งแรก คิดไม่ถึงว่าถึงกับรู้จักทุกคนเป็นอย่างดี เมื่อครู่ไมได้แนะนำตัวเองกันแต่อย่างใด หากหวังทงกลับตะโกนเรียกชื่อและการค้าออกมาได้
ผู้ที่ถูกเรียกว่าเถ้าแก่หูดูเหมือนเป็นผู้ประสบเหตุตอนพวกนอกด่านเข้าปล้นชาวฮั่นหนักไม่น้อย เขาย่อมไม่ทันสังเกตว่าหวังทงเรียกชื่อเขา และไม่คิดอันใดมาก กลับมองจ้องหนิวเกินกังด้วยความโมโห หวังทงถาม เขาไม่ได้ยิน เป็นคนด้านหลังที่สะกิด เขาจึงได้สติ
คิดอยู่ครู่หนึ่ง เถ้าแก่หูก็กัดฟันกรอดกล่าวว่า
“จะให้ชาวบ้านในเมืองทนได้อย่างไร ตอนนั้นมีคนไม่น้อยหนีโรคระบาดจากซานซีมาที่นี่ พอมาถึง รู้ว่าไม่ใช่แผ่นดินเกิด ไม่ว่าเจอเรื่องใดก็ต้องอดทน อดทนและอดทน บางทีอีกฝ่ายอาจมีเมตตาให้บ้าง ผู้ใดจะคิดว่าพอถึงตอนฆ่าก็ฆ่าทิ้ง ตอนปล้นก็ปล้นเอาไป เมื่อคืนวาน ครอบครัวใดบ้างไม่มีญาติถูกทำร้าย ครอบครัวใดบ้างไม่อยากสู้ด้วยชีวิต แม่ทัพใหญ่สังหารพวกนอกด่านไปมากมายเพียงนั้น พวกข้าน้อยสะใจยิ่ง แต่ในเมืองก็ยังมีชาวนอกด่านอยู่อีกมาก มีไม่น้อยที่ปล้นชิงวางเพลิงเมื่อวานนี้ เจ้าเดรัจฉานมือเปื้อนเลือดพวกนั้น ขอใต้เท้าออกหน้าแทนพวกเราด้วย!!”
กล่าวจบก็โขกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรง ยังไม่ทันรอให้หนิวเกินกังกล่าวอันใด ด้านหลังก็มีคนรับคำกล่าวตามว่า
“พวกนอกด่านนอกจากดื่มสุราร่อนเร่ไปมา ไม่ทำงานทำการอันใดสักอย่าง เราชาวฮั่นทนลำบากลำบนทำงาน สร้างครอบครัว เมืองนี้เป็นเมืองพวกนอกด่านสร้างขึ้น แต่พวกเราชาวฮั่นมาใช้ชีวิตที่ดีกว่าพวกเขาที่นี่ พวกเขาก็ย่อมโกรธแค้นพวกเราชาวฮั่น เมื่อวานก็เหิมเกริมกระทำการตามอำเภอใจ ทำร้ายชาวฮั่นเรา ตอนนี้จะทำเป็นเหมือนไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น จะได้อย่างไร พี่น้องเราเมื่อวานตายไปอยู่บนสวรรค์จะสงบได้อย่างไร!”
“ขอแม่ทัพใหญ่ออกหน้าจัดการด้วย!!”
“ขอแม่ทัพใหญ่ผดุงความเป็นธรรมให้ชาวฮั่นเราในเมืองด้วย !!”
หนิวเกินกังรู้สึกว่าไม่ได้การแล้ว มองสีหน้าหวังทงยิ่งยินดีมากขึ้น เขาจึงได้กล่าวตามน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“แม่ทัพใหญ่ จวนด้านนอกอีกหลังของข้าน้อยเมื่อวานก็ถูกพวกนอกด่านทำลาย ร้านค้าก็ถูกปล้นชิงไปสองร้าน แม่ทัพใหญ่ออกหน้าให้พวกข้าน้อยด้วย ขอให้ความเป็นธรรมแก่ชาวฮั่นในเมืองด้วย!”
บรรยากาศในกระโจมอยู่ ๆ เริ่มคึกคักขึ้น หวังทงเก็บรอยยิ้ม ยืนขึ้นกล่าวว่า
“ทุกท่าน พวกท่านล้วนเป็นราษฎรแผ่นดินหมิง ถูกพวกนอกด่านทำร้ายรังแก จะให้ข้าทนได้อย่างไร เมื่อคืนวานต้องประสบเหตุน่าสลดใจ ยิ่งไม่อาจทนได้ เรื่องเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดมาถึงที่นี่ก็ต้องออกหน้าให้ความเป็นธรรมแก่ทุกท่าน!!”
ทุกคนพากันโขกศีรษะขอบคุณ ชุลมุนกันสักพัก หวังทงก็แสดงสีหน้าลำบากใจกล่าวว่า
“แม้กล่าวว่าจะออกหน้าให้ความเป็นธรรม แต่ทหารเราก็มีจำกัด ต้องทั้งป้องกันทั้งปราบปราม การจะออกหน้าให้ความเป็นธรรมเกรงว่ากำลังคนไม่พอ!”
ทุกคนสีหน้าเริ่มผิดหวัง หวังทงก็กล่าวต่อว่า
“ความยุติธรรมอย่างไรต้องมี ราษฎรถูกกระทำ ย่อมต้องให้พวกเขาชดใช้ พรุ่งนี้ขอให้ทุกท่านเป็นแกนนำ นำราษฎรชาวฮั่นไปทวงความเป็นธรรมจากพวกสัตว์ป่าชั่วร้ายพวกนั้น!”
ทหารไม่เข้ายุ่ง ให้ราษฎรนำราษฎรไปจัดการเอง พ่อค้าทุกคนที่นั่นเป็นคนฉลาด พอได้ยินก็ย่อมไม่ยินยอม ในใจแต่ละคนผิดหวัง หากสีหน้าย่อมไม่แสดงออก มีเพียงเถ้าแก่หูที่โขกศีรษะรับคำ กัดฟันกรอดเตรียมตัวออกไปรวบรวมคนไปจัดการ
สีหน้าคนที่นั้นล้วนอยู่ในสายตาของหวังทง เขายิ้มกล่าวว่า
“เมื่อครู่ได้ฟังทุกท่านว่ามา พวกนอกด่านในเมืองโหดร้ายป่าเถื่อน ไร้ความเป็นคน มักจะรังแกปล้นชิงชาวฮั่นในเมือง การทวงความยุติธรรมนี้ ทรัพย์สมบัติก่อนหน้าย่อมคืนสู่เจ้าของเดิม ทุกคนไม่ต้องเป็นกังวล หากพวกนอกด่านยังกล้าต่อต้าน ทหารทางการย่อมยื่นมือเข้าจัดการ”
กล่าวจบ ในกระโจมก็เงียบไปครู่หนึ่ง บรรดาคนที่คุกเข่าไม่สนใจสถานะหรือมารยาทอันใดกันแล้วยามนี้ พากันมองหน้ากันไปมา ที่หวังทงว่ามา ความหมายโดยนัยนั้นพวกเขาไม่กล้ามั่นใจ มีคนใจกล้ามองสีหน้าหวังทง จึงได้มั่นใจทันที
สายตาทุกคนเริ่มฮึกเหิม ทวงทรัพย์สินคืน เห็นชัดว่าอนุญาตให้ทุกคนแย่งคืนมาได้ตามสบาย แย่งคืนมาได้ก็เป็นของตนดังเดิม หากเจอเหตุอันตราย ทหารจะเข้าช่วยเหลือ
นี่เป็นเรื่องดีอย่างมาก เมื่อครู่รู้สึกเสี่ยงภัยไม่อยากไปทำ แต่ตอนนี้ทุกคนคิดแต่จะไปแย่งคืนมา หากรวบรวมคนได้ยิ่งมาก ของที่แย่งคืนมาก็ยิ่งมาก ทรัพย์สินก็ยิ่งทวีคูณ มีคนฉลาดคิดต่อได้ว่า หากตนเองรวบรวมคนได้มากพอ ออกหน้าช่วยทวงความยุติธรรมให้ทุกคนได้ ทุกคนก็ย่อมยกให้ตนเป็นหัวหน้า ทหารที่เข้าครองพื้นที่ย่อมต้องกลับไป คนของตนเองยิ่งมาก วันหน้าก็จะได้ประโยชน์จากพื้นที่ยิ่งมาก
ขุนนางแผ่นดินหมิงที่พวกเขาเคยคบค้าสมาคมด้วย คนพวกนั้นไม่กล้ารับผิดชอบอันใด ไม่อยากให้ชาวบ้านมีกำลังอันใด หรือถึงขั้นไม่อยากให้ชาวบ้านได้ประโยชน์อันใด คิดไม่ถึงว่าแม่ทัพใหญ่หนุ่มน้อยทำงานเปิดเผยเปิดทางเช่นนี้ อยากให้ทุกคนได้มีเงินมีทองกัน
หลังจากความยินดีผ่านไป ก็มีคนเริ่มได้สติ ปล้นชิงทรัพย์สินในเมือง ไม่ต้องลงทุนลงแรงอันใด ตนเองจะร่ำรวยคนเดียวได้อย่างไร ทำเช่นนี้เรียกได้ว่าทำงานไม่เป็น
ยามนี้หนิวเกินกังจึงได้แสดงให้เห็นว่าเหตุใดการค้าเขาจึงทำได้ยิ่งใหญ่ เขาคุกเข่าโขกศีรษะ กล่าวเสียงดังว่า
“แม่ทัพใหญ่ รอให้พรุ่งนี้ข้าทวงของคืนมาได้ก่อน ขอมอบสามส่วนให้แก่กองทัพ ตอบแทนแม่ทัพใหญ่ที่เมตตาช่วยเหลือ!”
ได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็ได้สติคิดได้ โมโหตัวเองที่คิดได้ช้ากว่า เจ้าก็โขกศีรษะ ข้าก็โขกศีรษะ ผู้นี้บอกสามส่วน ผู้นั้นย่อมบอกสี่ส่วน สุดท้ายมีคนตะโกนว่าหกส่วน
ของที่แย่งชิงคืนมาได้ ไม่ลงแรงอันใดมาก มีคนคิดไปถึงขั้นจะสานสายสัมพันธ์ใต้เท้าผู้นี้ ย่อมนำมาซึ่งผลประโยชน์มากมาย มอบให้หวังทงหมดก็ไม่เห็นแปลก
ดีที่ในยามนี้หวังรีบเอ่ยขึ้น เขายิ้มกล่าวว่า
“พวกนอกด่านปล้นชิงของทุกท่านกับของราษฎร ข้าไม่ได้เกี่ยวอันใดด้วย หากข้ารับไว้ ใช่ว่าเป็นเรื่องน่าละอายหรอกหรือ ทุกท่านไปดำเนินการเถิด มีอันใดก็มาหาข้าได้ ทหารหมิงเราย่อมออกหน้าให้ชาวหมิงเราแน่นอน”
ทุกคนแม้ไม่รู้ว่าหวังทงพูดจริงหรือไม่ แต่อย่างไรก็ต้องโขกศีรษะขอบคุณ หวังทงกล่าวว่า
“อู้เหลียงฮาและเผ่าเล็กอื่น ปกติอยู่ในเมืองกุยฮว่าเฉิงถูกพวกเผ่าอันต๋ารังแก อันนี้ต้องยกเว้น หากปกติช่วยเหลือพวกนั้นรังแกเราก็ย่อมต้องจัดการให้หนัก หากเป็นพวกถูกรังแกเหมือนกัน เช่นนี้ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับชาวหมิงเรา ทุกคนจำให้ดี!”
พวกหนิวเกินกังอย่างไรก็ต้องรับคำ เห็นว่าสายมากแล้ว ลองคิดดูตั้งแต่หวังทงเข้าเมืองมายังไม่ได้พัก จัดการการงานไม่ได้หยุด ทุกคนก็ขอตัวกลับ
“หนิวเกินกัง พานเซิ่งไฉ เถียนต้าเชียน …ทุกท่านอยู่ก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”
หวังทงเรียกชื่อสองสามชื่อ ที่เหลือก็ออกนอกกระโจมไป คนที่ถูกเรียกตัวไว้เริ่มงง ไม่รู้ว่าเรียกตัวไว้เพื่อการใดกัน
พอทุกคนออกไป หวังทงกลับไปนั่งบนเก้าอี้ ยิ้มให้หนิวเกินกังกล่าวว่า
“เถ้าแก่หนิวบอกว่าท่านเองก็ได้ความเสียหาย ข้าได้ยินว่าท่านมีกำลังผู้คุ้มกันนับพันพร้อมม้าและอาวุธดาบ พวกนอกด่านไม่มีตามองหรืออย่างไร ถึงกับกล้าแตะต้องกิจการเถ้าแก่หนิวได้?”
ทุกคนเดิมยืนอยู่ แต่พอหนิวเกินกังได้ยินหวังทงถามเช่นนี้ อยู่ ๆ ก็เข่าอ่อนอย่างไรสาเหตุ ยืนทรงตัวไม่อยู่ ทรุดตัวลงคุกเข่าทันที อึ้งไปนานก่อนจะอธิบายกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยเลี้ยงดูคนพวกนี้ไว้ ก็เพื่อ……เพื่อป้องกันตนเองจากกองโจรม้าบนทุ่งหญ้านอกด่าน ไม่ได้อยู่ใต้คำสั่งพวกนอกด่าน ขอแม่ทัพใหญ่พิจารณาด้วย ขอแม่ทัพใหญ่พิจารณาด้วย…”
“ผู้คุ้มกันของท่านพวกนี้เจ็ดส่วนเป็นชาวฮั่น สามส่วนมาจากเผ่าอื่น ไม่มีคนเผ่าอันต๋า คนพวกนี้มีเจ็ดส่วนอยู่โรงเลี้ยงสัตว์กับโรงบ้านนอกเมือง ใช่หรือไม่?”
หนิวเกินกังคิดไม่ถึงว่าหวังทงถึงกับรู้ละเอียดเช่นนี้ได้ หนิวเกินกังยังมีตำแหน่งนายกองพัน พวกนอกด่านไม่ค่อยมีตำแหน่งลอยๆ คิดจะเป็นนายกองพันก็ย่อมต้องมีทหารในมือพันนายออกรบได้ รุ่นบิดาหนิวเกินกังออกรบกับข่านเผ่าอันต๋าองค์แรก ในมือย่อมมีกำลังทหาร
ในพื้นที่พวกนอกด่าน กองกำลังเช่นนี้มักเป็นกำลังส่วนตัวที่สืบทอดต่อมา หนิวเกินกังเองก็เช่นกัน เพราะเขาเป็นชาวฮั่น เผ่าอันต๋าแบ่งระดับชนชั้น แต่ตระกูลเขานั้นรับใช้มานาน การค้าก็ยิ่งใหญ่ ในยามสงบสุข พวกนอกด่านย่อมทำอันใดเขาไม่ได้
หนิวเกินกังรู้ว่าตนเองในตอนนี้ มีกำลังป้องกันมาก ลูกน้องเขาล้วนเป็นชาวฮั่นตอนเหนือ ยังมีกำลังชายฉกรรจ์จากพวกที่ไม่ใช่เผ่าอันต๋า กองกำลังเช่นนี้ย่อมไม่ถูกพวกนอกด่านรังแก สามารถดูแลตนเองให้ปลอดภัยได้
ที่จริงแล้วเมืองกุยฮว่าเฉิงเกิดเหตุวุ่นวาย กิจการหนิวเกินกังไม่ได้รับความเสียหายมากนัก กำลังในมือเขาย่อมใช้งานได้ประโยชน์มาก แต่พอหวังทงเข้าเมืองมา หนิวเกินกังย่อมรู้ว่ากำลังใจมือตนนั้นเป็นเรื่องต้องห้าม แต่เขาก็ตัดใจทิ้งไม่ได้ คิดจะแอบไว้ คิดว่าหวังทงไม่รู้ คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะกระจ่างเช่นนี้
หนิวเกินกังรู้สึกตกใจกลัว ไม่รู้ว่าจะจัดการตนเองอย่างไร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น