หมอดูยอดอัจฉริยะ 766-769
ตอนที่ 766 ฝ่าวงล้อม
“ฮ่า ๆๆ แกหนีไปจากที่นี่ไม่ได้หรอก สละเลือดของแกให้ฉันเสียเถอะ แล้วฉันจะให้โอกาสแกได้กลายเป็นบริวารของตระกูลแวมไพร์!”
เสียงหัวเราะที่ขัดหูดังแว่วมา ห่างจากเยี่ยเทียนไปสิบกว่าเมตร ร่างของเคิร์ทปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง แต่สภาพของเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าเยี่ยเทียนเท่าไรนัก
ชุดสูทที่ตอนแรกใส่แล้วดูเป็นสุภาพบุรุษนั้น ยามนี้กลับขาดวิ่น ผิวหนังนอกร่มผ้ามีจุดแดงๆ ลายพร้อย ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยเส้นโลหิต แสดงว่าเขาก็ได้รับบาดเจ็บจากการระเบิดครั้งนี้มาเช่นกัน
“แกคิดว่าคงจะได้กินเลือดฉันแน่ๆ แล้วสินะ?”
เยี่ยเทียนมีสายตาเย็นชา ตั้งแต่เข้าสู่วงการเมื่ออายุสิบกว่าปีเป็นต้นมา เขายังไม่เคยถูกใครดูหมิ่นขนาดนี้มาก่อน
“แน่นอน การได้รับกัดแรกจากแวมไพร์ชั้นเคานต์น่ะ ถือว่าเป็นเกียรติของแกเลยนะ!”
เคิร์ทพยักหน้าอย่างกระหยิ่มใจ หลังจากที่ได้เห็นความสามารถของเยี่ยเทียนแล้ว เขาเชื่อว่า หากเยี่ยเทียนได้กลายเป็นแวมไพร์ ก็จะมีจุดเริ่มต้นที่สูงกว่าปกติมาก ตั้งแต่แรกเริ่มก็คงจะได้เป็นถึงไวเคานต์แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถไปถึงระดับเคานต์เช่นเดียวกับเขาเลยก็เป็นได้
ถ้าอยากจะก่อตั้งตระกูลขึ้นมาสักตระกูลหนึ่ง ลำพังแค่ตนเองพัฒนาไปถึงระดับสูงได้ยังไม่พอ แต่จะต้องให้ทายาทของตนมีพลังที่แข็งแกร่งด้วย
ดังนั้นสุดท้ายเคิร์ทจึงเปลี่ยนใจ เพราะเขาอยากจะชุบตัวเยี่ยเทียนให้กลายเป็นบริวารแวมไพร์ตนหนึ่งของตระกูล จากนั้นเมื่อเขาเลื่อนขั้นเป็นมาร์ควิสได้แล้ว ก็จะได้มีบริวารที่เก่งๆ หน่อยไว้ใช้สอย
“อาศัยค้างคาวเฒ่าอย่างแกเนี่ยนะ?”
ตอนนี้เยี่ยเทียนไม่มีเวลาจะมาพูดเรื่องไร้สาระกับเคิร์ทแล้ว เขาสาวเท้าเข้าไปถึงข้างๆ เคิร์ทในพริบตา และเตะเท้าขวาใส่ขมับของเคิร์ทโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
เกิดเสียงดัง “ปัง!” ร่างของเคิร์ทปลิวกระเด็นขึ้นไปสูงลิ่ว หากจะเอ่ยถึงด้านทักษะการต่อสู้แบบมวยปล้ำ ตาเฒ่าที่มีชีวิตมาหลายร้อยปีแล้วผู้นี้ ก็ดูท่าทางจะสู้เยี่ยเทียนซึ่งเคยผ่านการแข่งมวยใต้ดินมาแล้วไม่ได้เลย
แต่ก็เป็นเหมือนกับคราวก่อน ถึงจะถูกเยี่ยเทียนเตะถูกจุดสำคัญ แต่เคิร์ทก็ยังกลับมายืนได้เหมือนคนที่ไม่ได้เป็นอะไรเลย กระดูกคอลั่นดัง “กรอบแกรบ” น่าขนลุก แล้วก็ฟื้นกลับสู่สภาพเดิมทันที
“ไอ้หนุ่ม แกทำฉันโมโหแล้วนะ!”
เคิร์ทเคยติดตามแดร็กคูล่าซึ่งเป็นบุคคลสำคัญผู้หนึ่งในสภาแห่งความมืด ตลอดร้อยกว่าปีมานี้ไม่ว่าจะไปยังแห่งหนใด ก็จะได้รับการยกย่องนับถือจากผู้ศรัทธาเสมอ แต่วันนี้กลับถูกเยี่ยเทียนเตะกระเด็นไปถึงสองครั้ง เขาจึงชักจะทนไม่ไหวขึ้นมาแล้ว
ดวงตาทั้งคู่เปล่งแสงสีแดงน่าสะพรึงกลัวออกมา นิ้วมือทั้งสิบของเคิร์ทพลันเกิดเสียงดัง “ชิ้งๆ” เมื่อมองดูดีๆ ก็เห็นว่า เล็บมือของเขากางออกมายาวกว่าเดิมถึงหนึ่งเชียะเศษ และกำลังเปล่งประกายเย็นยะเยียบ ดูแล้วราวกับมีดสั้นอันคมกริบสิบเล่มก็ไม่ปาน
ดวงตาสีแดงฉาน เส้นผมปลิวสยาย และเล็บมือที่เปล่งประกายเย็นเยียบนั้น ทำให้เยี่ยเทียนเพิ่งจะตระหนักได้ว่า เจ้าตัวที่คนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิงนี้ อาจจะเป็นแวมไพร์อย่างที่พูดมาจริงๆ ก็เป็นได้
“ก็แค่ลูกเล่นตบตาเท่านั้นแหละ!”
เยี่ยเทียนเคยไปฝึกความกล้าตามป่าช้าตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว สภาพของเคิร์ทแม้จะดูพิสดาร แต่ก็ไม่สามารถขู่ให้เขากลัวได้ ยามนั้นจึงแค่นเสียงดังเฮอะ แล้วเคลื่อนร่างเข้าไปหาอีกฝ่าย
ดูเหมือนว่า หลังจากที่แปลงกายสู่สภาพพร้อมรบแล้ว การตอบสนองของเคิร์ทจะไวขึ้นกว่าเดิมมาก คราวนี้พอเขาจับตำแหน่งร่างของเยี่ยเทียนได้ เล็บอันคมกริบบนมือขวาทั้งห้านิ้วก็ตะปบไปที่ชายโครงของเยี่ยเทียนทันที โดยไม่รอให้เยี่ยเทียนทันได้ยกเท้าขึ้นมา
“ลูกไม้กระจอกๆ!”
เยี่ยเทียนพูดเย้ยหยัน แขนขวาพลันอ่อนลงราวกับไร้กระดูก แล้วม้วนพันข้อมือของเคิร์ทไว้
หลังจากเกี่ยวกระหวัดข้อมือของฝ่ายตรงข้ามไว้ได้แล้ว เยี่ยเทียนก็บิดรัดแขนให้แน่นเข้า จนเกิดเสียงดัง “เป๊าะ” ข้อมือของเคิร์ทถูกเขาบิดจนหักไปแล้ว
เมื่อเยี่ยเทียนเกิดจิตสังหารขึ้นมา ย่อมไม่ลงมือเพียงเท่านี้แน่นอน หลังจากบิดข้อมือของเคิร์ทหักไป ร่างก็ขยับวูบถอยหลัง ขณะเดียวกันก็ถีบทรวงอกของเคิร์ท ทำให้ร่างของเขากระเด็นออกไป
การเคลื่อนไหวของเยี่ยเทียนรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เคิร์ทรู้สึกเจ็บปวดที่ข้อมือข้างขวา จากนั้นที่หน้าอกก็รู้สึกราวกับถูกรถไฟชน ร่างกายอันผอมซูบนั้นกระเด็นสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
เยี่ยเทียนยังไม่ได้ปล่อยข้อมือของเคิร์ท หลังจากถีบอีกฝ่ายจนกระเด็นไปแล้ว เขาก็ถึงกับฉีกมือขวาของเคิร์ท ออกมาทั้งอย่างนั้น เลือดสีดำทะลักออกมาจากข้อมือตรงที่ขาดไป
“เหม็นบรรลัยเลยโว้ย!”
กลิ่นเลือดคาวคลุ้งนั้นทำให้เยี่ยเทียนต้องย่นจมูก เขาโยนมือขวาของอีกฝ่ายซึ่งเล็บมือหดกลับเข้าไปแล้วนั้นทิ้งลงบนพื้น แล้วอมยิ้มพูดว่า “แกก็ไม่ใช่ว่าจะฆ่าไม่ตายนี่นา เดี๋ยวพอฉันฉีกแขนขาแกลงมาหมดแล้ว ทีนี้คอยดูซิว่าแกจะตายไหม”
“แก…แกฆ่าฉันไม่ตายหรอก!”
เคิร์ทไม่นึกเลยว่า กายเนื้อที่เขาภาคภูมิใจเป็นที่สุดนั้น จะถูกเยี่ยเทียนฉีกมือขวาหลุดไปแบบนี้ แม้จะสามารถห้ามเลือดได้ในทันที แต่ในใจของเคิร์ทก็เริ่มเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว
จุดสำคัญของเคิร์ทนั้นแม้จะอยู่ที่แก่นหัวใจ แต่อาการบาดเจ็บบนกายเนื้อก็ต้องใช้พลังงานจากแก่นหัวใจมาซ่อมแซมเหมือนกัน
ถ้าถูกเยี่ยเทียนฉีกแขนขาไปจนหมดจริงๆ ละก็ ต่อให้สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ ระดับของเขาก็คงจะตกจากเคานต์ลงไปเป็นไวเคานต์แน่นอน เรื่องนี้เคิร์ทรับไม่ได้เด็ดขาด
“ฆ่าไม่ตาย? อย่างนั้นก็มาลองดูหน่อยไหมล่ะ?”
เยี่ยเทียนฉีกยิ้มหัวเราะออกมา แต่เมื่อมองไปที่ดวงตาของเคิร์ท ก็กลับเห็นว่าฝ่ายนั้นกำลังยิ้มราวกับปีศาจร้าย ในทวีปยุโรปนั้นแวมไพร์เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของปีศาจมาแต่ไหนแต่ไร
“เอ๊ะ? ยังกล้ามาอีกนะ”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะกำจัดเคิร์ทให้สิ้นซาก ทันใดนั้นกลับเกิดความรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมา เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปก็พบว่า มีแสงไฟหลายจุดกำลังพุ่งมาจากบนท้องฟ้ายามค่ำคืนสูงขึ้นไปหนึ่งพันกว่าเมตร
ความรู้สึกคับขันอันตรายแล่นเข้าสู่หัวใจของเยี่ยเทียน เขาไม่สนใจจะสู้กับเคิร์ทซึ่งกำลังมีสีหน้าน่าสะพรึงกลัวอีกแล้ว แต่หันหลังจากไปโดยไม่ลังเลเลย ปราณแท้แผ่ออกมาปกคลุมร่างของเขาไว้ และพาเขาหายไปจากตรงหน้าเคิร์ทในพริบตา
“บัดซบ เกือบจะต้องเดี้ยงอยู่ที่นี่ซะแล้วสิ!”
หลังจากร่างของเยี่ยเทียนอันตรธานไปแล้ว เคิร์ทถึงกับผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งอก เขาเพิ่งจะเข้าใจคำเตือนของเจ้านายก็ตอนนี้เอง พวกผู้บำเพ็ญพรตนี่มีหนทางที่จะกำจัดพวกตนได้จริงๆ ด้วย
ขณะที่เคิร์ทกำลังจะเก็บมือที่ขาดไปขึ้นมาจากพื้น ทันใดนั้นเขากลับเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วและพบว่า เสียงหวีดหวิวของจรวดสามลูกกำลังมุ่งมาที่ตำแหน่งของตนพอดี ทำเอาเคิร์ทแตกตื่นจนขวัญหนีดีฝ่อ
แตกต่างจากผู้บำเพ็ญพรตชาวตะวันออกเหล่านั้น หลายร้อยปีที่ผ่านมานี้เคิร์ทได้เฝ้าดูพัฒนาการของสังคมมาโดยตลอด เขาจึงรู้ซึ้งถึงอานุภาพของจรวดเหล่านี้ดียิ่งกว่าใคร ถ้าถูกยิงโดนเข้าละก็ แก่นหัวใจของเขามีหวังถูกอุณหภูมิที่สูงจัดนั่นหลอมจนระเหิดหายไปหมดแน่
เคิร์ทเปล่งเสียงร้องประหลาดออกมา แล้วร่างกายก็รู้สึกสบายขึ้นทันที แขนทั้งสองข้างชูขึ้นสูง แล้วเหินขึ้นสู่ฟ้าราวกับค้างคาวยักษ์ตัวหนึ่ง
ขณะเดียวกัน จรวดทั้งสามลูกก็ยิงลงไปบนที่ว่างจุดที่เขาเพิ่งจะยืนอยู่เมื่อครู่นี้แล้ว เสียงระเบิดอย่างรุนแรงดังกระหึ่มขึ้นมา สะเทือนก้องไปทั่วขุนเขา เปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า
เยี่ยเทียนซึ่งอยู่ห่างออกไปถึงหนึ่งพันกว่าเมตรแล้วหันหน้ากลับไปมองดู รู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาเช่นกัน มนุษย์พัฒนาอาวุธสงครามจนมาถึงจุดสูงสุดแล้ว สามารถจะทลายภูเขาพลิกมหาสมุทรได้เพียงขยับปลายนิ้ว เกรงว่าต่อให้เทพเซียนในตำนานมาเอง ก็คงจะทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
“เราก็แค่ฆ่าคนไปไม่กี่คนเอง ทำไมจะต้องโมโหขนาดนั้นด้วยเล่า?”
การระเบิดที่เบื้องหลังนั้นกระตุ้นให้เยี่ยเทียนเร่งฝีเท้าเร็วยิ่งขึ้นอีก เมื่ออยู่ในป่าทึบยามวิกาลแล้วดูราวกับวิญญาณดวงหนึ่ง ความเร็วของเขาอยู่ในระดับที่แทบจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นแล้ว
“โพละ!”
เสียงราวกับลูกแตงโมแตกดังขึ้นมา เป็นเสียงพลร่มนายหนึ่งถูกเยี่ยเทียนกดศีรษะจนจมลงไปอยู่ในทรวงอกนั่นเอง เยี่ยเทียนไม่ได้หยุดฝีเท้าลงเลย โถมเข้าไปกลางหมู่พลร่มที่ขวางทางอยู่ แล้วก็ปล่อยหมัดบ้างฝ่ามือบ้าง เพียงครู่เดียวพลร่มสิบกว่านายก็กลายเป็นศพกองอยู่บนพื้น
แม้ว่าฝ่ายรัสเซียจะส่งกองทัพมามากกว่าหมื่นคน แต่ภูมิประเทศบนภูเขานั้นขรุขระไม่ราบเรียบ แล้วยังมีป่ารกทึบอีก จึงได้แต่กระจายกำลังในการค้นหาเป็นกลุ่ม ๆ ละสิบกว่าคน
อีกประการหนึ่งคือ เมื่อถึงตอนกลางคืน ทัศนวิสัยของเหล่าทหารก็ไม่ดีเท่ากับตอนกลางวัน จึงทำให้เยี่ยเทียนเป็นฝ่ายได้เปรียบ ปลิดชีวิตของทหารเหล่านั้นไปเรื่อยๆ เหมือนกับยมทูตที่อยู่ในโลกมนุษย์
ภายในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง มีผู้เสียชีวิตภายใต้หมัดและฝ่ามือของเยี่ยเทียนไปแล้วอย่างน้อยหลายร้อยคน เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วทั้งป่าเขา สถานที่ที่เคยเงียบสงบมาหลายร้อยปีกลับกลายเป็นเหมือนดั่งขุมนรก
ตอนนี้กินเนสส์ถึงเพิ่งจะรู้ว่า การส่งหน่วยพลร่มลงไปนั้นเป็นการกระทำที่โง่เขลาขนาดไหน เพราะกลัวว่าจะพลอยทำร้ายพวกเดียวกันไปด้วย เครื่องบินที่อยู่บนฟ้าจึงกลายเป็นเพียงเครื่องประดับเท่านั้น ได้แต่มองดูการเข่นฆ่าของเงาปีศาจที่อยู่ข้างล่างตาปริบๆ
คำสั่งถูกถ่ายทอดลงไปเรื่อยๆ เสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้นทางโน้นทีทางนี้ที หมู่ทหารแต่ละหมู่ไปรวมพลอยู่ด้วยกัน ไม่กล้าดำเนินการไล่ล่าจับกุมอย่างไม่เกรงกลัวใครเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้อีกแล้ว
เมื่อเห็นทหารเหล่านั้นรวมพลอยู่ด้วยกัน พร้อมทั้งนำอาวุธหนักมาด้วย เยี่ยเทียนก็เปลี่ยนทิศทาง เร้นกายลึกเข้าไปบนภูเขาอย่างเงียบเชียบ พลังฝีมือของเขายังฟื้นฟูได้ไม่สมบูรณ์ดี การฆ่าฟันครั้งนี้ก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกอ่อนกำลังลงไปบ้างแล้ว
ทางบนภูเขาที่คนทั่วไปเดินทางกันอย่างยากลำบากนั้น สำหรับเยี่ยเทียนแล้วกลับไม่มีผลกระทบใดๆ เลย หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ร่างของเขาก็ปรากฏขึ้นในหุบเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตร
เยี่ยเทียนมองซ้ายมองขวา แล้วขดร่างเป็นก้อนกลม กระแทกใส่หินผาข้างหลังอย่างแรง ทำให้หินผาอันแข็งแกร่งนั้นบุ๋มยวบลงไปราวกับเต้าหู้อันอ่อนนุ่ม
เมื่อฟันฝ่ามือออกไปหนึ่งครั้ง เศษหินก็ร่วงลงมาจากเหนือศีรษะ ปิดบังปากโพรงที่มีขนาดพอรับคนได้เพียงคนเดียวนั้นไว้ทันที หลังจากตั้งค่ายกลตัดขาดปราณจากภายนอกแล้ว เยี่ยเทียนถึงจะผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งอกได้
“ไว้พอพรุ่งนี้ปราณแท้ฟื้นกลับมาบ้างแล้ว ก็จะต้องออกจากรัสเซียให้ได้แล้วละนะ!”
การเข่นฆ่าเป็นเวลาหลายวันติดต่อกันนั้น นอกจากจะทำให้เยี่ยเทียนสูญเสียพลังกายไปมากแล้ว ในใจของเขายังเริ่มเกิดจิตมารขึ้นมาเล็กน้อยอีกด้วย ระหว่างที่เผชิญหน้ากับทหารเหล่านั้น เยี่ยเทียนได้ลงมือไปอย่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน ราวกับว่าหากไม่ทำเช่นนั้น ก็จะไม่อาจบรรเทาและปลดปล่อยเพลิงโทสะที่อัดอั้นอยู่ในใจได้
เรื่องนี้ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ทั้งทางพุทธและทางเต๋าต่างกล่าวกันเสมอว่าให้มีจิตใจที่เมตตา ซึ่งก็ไม่ใช่หลักการที่ไร้พื้นฐานสนับสนุน เพราะตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบันก็ดูเหมือนว่า คนที่เข่นฆ่าผู้อื่นมามากเกินไปนั้น ไม่มีใครที่จะมีจุดจบที่ดีเลยสักคน
จิตดั้งเดิมอันอ่อนล้าสั่นกระดิ่งซานชิงเบาๆ เสียงกระดิ่งหวานใสนั้นมุ่งตรงเข้าสู่จิตดั้งเดิม และชำระล้างความกระวนกระวายที่อยู่ในใจของเขา หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน เยี่ยเทียนก็เข้าสู่ฌานขั้นสูง
“ไม่มีใครตามมาเลยหรือเนี่ย?”
เช้าตรู่วันต่อมา เยี่ยเทียนตื่นขึ้นมาตรงกับเวลาที่แสงอาทิตย์แรกกำลังสาดส่องขึ้นมาจากขอบฟ้าพอดี เมื่อแผ่จิตสัมผัสออกไปเขาก็พบว่า ในรัศมีสิบกว่ากิโลเมตรนี้ไม่มีพวกทหารอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
“ที่นี่เหมือนจะคุ้นๆ อยู่นะ?”
เยี่ยเทียนฟาดฝ่ามือทลายเศษหินที่อุดปากโพรงอยู่แล้วเดินออกมา มองซ้ายมองขวาพิจารณาครู่หนึ่ง แล้วดวงตาก็ฉายแววประหลาดใจออกมา
ตอนที่ 767 ชักนำเภทภัย
“ที่นี่เองหรอกหรือ?”
เยี่ยเทียนยื่นมือไปหยิบแผนที่ฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ หลังจากส่งจิตสัมผัสออกไปสำรวจบริเวณนั้นได้รอบหนึ่ง เขาก็กระจ่างขึ้นมาทันที สาเหตุที่เขารู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่ก็เป็นเพราะว่า เขาเคยเห็นลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อันแปลกพิสดารของที่นี่ในแผนที่มาก่อนแล้ว
ฝั่งตรงข้ามของหุบเขาที่เยี่ยเทียนกำลังพักอยู่นี้ ยังมีหุบเขาลักษณะเดียวกันอยู่อีกแห่งหนึ่ง หุบเขาทั้งสองแห่งนี้เชื่อมต่อกันเป็นรูปเกือกม้า และหากแปลชื่อสถานที่ซึ่งระบุไว้บนแผนที่นั้นออกมา ก็จะได้ชื่อตามความหมายว่า หุบเขาเกือกม้า
ที่นี่ยังอยู่ไกลจากเหมืองทองที่เฉินสี่ฉวนต้องการจะไปขุดหาแร่อีกห้าสิบกว่ากิโลเมตร ที่นั่นอยู่ใกล้กับสาธารณรัฐซาฮาอย่างยิ่ง และยังตั้งอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาอีกด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ทุนในการทำเหมืองเป็นจำนวนมหาศาล
“ไม่รู้ติงหงจะอยู่ที่นั่นรึเปล่านะ?”
เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้น แล้วทอดสายตาออกไปยังทิศทางหนึ่ง พลังฝีมือของเขาเพิ่งจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียน แม้ว่าดวงจิตจะแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนหลายร้อยเท่า แต่ก็ไม่สามารถสืบดูสถานการณ์ในสถานที่ที่อยู่ห่างไกลถึงห้าสิบกว่ากิโลเมตรได้
สืบเนื่องจากเมื่อครั้งที่เคยช่วยเหลือมังกรดำในการสังหารนักพรตรูปนั้น เยี่ยเทียนจึงรู้สึกยำเกรงต่อติงหงมาตลอด แต่เมื่อเห็นว่าติงหงให้ความสำคัญแก่เหมืองทองแห่งนั้นมาก เยี่ยเทียนจึงอดรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาไม่ได้
“ภูมิประเทศที่นี่รกร้างห่างไกล ถ้าเจ้าติงหงนั่นเกิดมีเจตนาร้ายขึ้นมา เราก็คงหนีการตามฆ่าของมันไม่พ้นหรอก”
ตอนที่ได้พบกับติงหงครั้งแรกนั้น เยี่ยเทียนก็รู้สึกถึงความประสงค์ร้ายที่อยู่ในใจของอีกฝ่ายได้อย่างรางๆ แล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นกำลังอยู่ต่อหน้าสาธารณชน ฝ่ายนั้นจึงไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวใดๆ
แต่ที่นี่อยู่ห่างไกลจากเขตการปกครอง อย่าว่าแต่แค่เยี่ยเทียนตายไปคนเดียวเลย ต่อให้โยนคนลงเหวไปสักพันคน ก็คงจะไม่เป็นข่าวอะไรขึ้นมาอยู่ดี พอศพเน่าเปื่ยย่อยสลายไปหมดแล้วก็จะไม่มีใครหาพบอีก
นอกจากนี้ยังมีเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งก็คือความหวงสมบัตินั่นเอง ถ้าในเหมืองทองนั่นมีสมบัติอะไรอยู่จริงๆ ติงหงอาจจะกักเขาไว้ที่นั่นตลอดไปเลยก็ได้ เพื่อไม่ให้ข่าวแพร่ออกไปข้างนอก
ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงออกจะรู้สึกสับสนอยู่ เขาทั้งอยากรู้ว่า ในเหมืองทองนั่นมีสมบัติอะไรกันแน่ แต่ก็กลัวด้วยว่าติงหงจะมีอุบายอะไรอยู่ในใจ ขณะนั้นจึงเกิดความลังเลขึ้นมา
“จริงสิ ทำไมไม่เห็นมีทหารพวกนั้นสักคนเลยล่ะ?”
เยี่ยเทียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาได้ เขาอาจจะจัดการกับติงหงไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าฝ่ายกองทัพของรัสเซียจะทำไม่ได้ จรวดอันทรงอานุภาพเหล่านั้น แม้แต่เทพเซียนผู้วิเศษก็ยังต้องถอยหนีเลยนี่
เยี่ยเทียนไม่ได้หวังว่ากองทัพจะกำจัดติงหงได้ ขอเพียงสามารถบีบมันออกจากเหมืองทองได้ เท่านี้เขาก็จะได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์แล้ว จะว่าไปเหมืองทองนั่นก็มีเขาเป็นหุ้นส่วนอยู่ตั้งแต่แรกแล้วด้วย
เมื่อคิดได้ดังนั้น เยี่ยเทียนก็แผ่ไอหมอกสีขาวออกมาจากร่าง ไอหมอกนั้นปกคลุมและพาร่างของเขาเหาะทะยานขึ้นสู่ฟ้า ทิศทางที่มุ่งหน้าไปนั้น กลับกลายเป็นเส้นทางเดิมที่เขาเดินทางจากมา
……
“ผู้การครับ ทำไมถึงสั่งให้ทีมค้นหาในภูเขาทั้งหมดถอนกำลังออกมาล่ะครับ?” ในหน่วยบัญชาการชั่วคราวของค่ายฝึก วิคเตอร์กำลังมองไปที่กินเนสส์ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ตั้งแต่กินเนสส์มาถึง พวกวิคเตอร์ก็รู้สึกว่าคำสั่งแต่ละอย่างของเขาช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ทั้งที่เมื่อวานก็ค้นพบร่องรอยของศัตรูแล้วแท้ๆ แต่กินเนสส์กลับสั่งให้ทีมค้นหาทั้งหมดถอนกำลังไปเสียนี่!
“อีกสิบนาทีเครื่องบินสอดแนมไร้นักบินก็จะออกไปลาดตระเวนแล้ว และดาวเทียมทั้งหมดในเครือข่ายก็อยู่ในการควบคุมของผมแล้วด้วย ถ้าเจ้าคนนั้นมันโผล่หัวออกมาอีกเมื่อไร เราก็จะกำหนดตำแหน่งของมันได้ทันที”
กินเนสส์ถอนหายใจ แล้วพูดต่อไปว่า “ผมตัดสินใจว่าจะใช้อาวุธโจมตีระยะไกลในการจู่โจมมัน ทหารของเราบาดเจ็บล้มตายไปมากพอแล้ว!”
การสู้รบที่เกิดขึ้นในป่าทึบเมื่อคืนวานดำเนินไปเพียงราวๆ หนึ่งชั่วโมง แต่หน่วยพลร่มกลับมีผู้บาดเจ็บล้มตายมากถึงหกร้อยกว่าคน หรือถ้าจะกล่าวให้ชัดๆ ก็คือเสียชีวิตไปแล้วหกร้อยกว่าคน เพราะไม่มีคนไหนเลยที่รอดชีวิตหลังจากได้รับบาดเจ็บ
ทั้งหมดนี้รวมๆ แล้วเป็นกองกำลังจำนวนมากถึงสองกองพันเลยทีเดียว แม้แต่ในยุทธการอันโหดร้ายที่กรุง มอสโควสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ยังมีน้อยนักที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ทหารเสียชีวิตไปทั้งหน่วยแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคสมัยที่สงบสุขแล้ว
ดังนั้นหลังจากรายงานสถานการณ์ขึ้นไปแล้ว กินเนสส์จึงได้รับความกดดันอย่างมหาศาล การตำหนิจากประธานาธิบดีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมนั้น ทำให้เขาจำเป็นต้องเรียกหน่วยพลร่มกลับไป ไม่อย่างนั้นแล้ว เจ้าศัตรูปีศาจนั่นจะทำเรื่องบ้าคลั่งอะไรออกมาอีกบ้างก็ไม่รู้
การบาดเจ็บล้มตายของกองทัพนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความกดดันที่กินเนสส์ได้รับ เรื่องที่ราชามวยใต้ดินในอนาคตที่เสียชีวิตไปเมื่อวานหมดทั้งสิบสองคนก็ทำให้กินเนสส์กลุ้มใจเหมือนกัน
นักมวยใต้ดินที่ประสบความสำเร็จแต่ละคน ต่างก็มีกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังกันทั้งนั้น ซึ่งในบรรดาคนเหล่านี้นอกจากจะมีเจ้าพ่อมาเฟีย อภิมหาเศรษฐีในแต่ละประเทศแล้ว ยังมีคนใหญ่คนโตของรัสเซียอีกมากมายหลายคนอีกด้วย
อย่างเจ้าพ่อน้ำมันที่ซื้อทีมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกทีมหนึ่งไปนั้น ก็เป็นเถ้าแก่ที่คอยคุมอยู่เบื้องหลังค่ายมวยใต้ดินด้วยเช่นกัน เมื่อนักมวยแถวหน้าในสังกัดของเขาเสียชีวิตไปหมดทั้งสิบสองคน เขาจึงแสดงความไม่พอใจมาทางกินเนสส์ อย่างอ้อมๆ
ความกดดันต่างๆ นี้ทำให้กินเนสส์จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ โดยอันดับแรกคือเรียกหน่วยพลร่มกลับมาก่อน เพื่อไม่ให้มีการบาดเจ็บล้มตายไปมากกว่านี้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากินเนสส์จะล้มเลิกการไล่ล่าเยี่ยเทียน หลังจากที่รายงานต่อประธานาธิบดีแล้ว เขาก็เปิดใช้ระบบควบคุมดาวเทียมสอดแนมของรัสเซียซึ่งยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการพัฒนานัก
นอกจากนี้ กินเนสส์ได้ส่งเครื่องบินสอดแนมไร้นักบินออกไปอีกหลายร้อยลำ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดภายในรัศมีห้าสิบกิโลเมตรนี้จึงไม่มีทางรอดพ้นการสังเกตการณ์โดยเทคโนโลยีสมัยใหม่เหล่านี้ไปได้แน่ๆ
“ไม่รู้ว่าทำไมท่านประธานาธิบดีถึงยังไม่ยอมส่งกองกำลังมนุษย์หมาป่ามาอีกนะ?”
หลังจากส่งวิคเตอร์และนายพลคนอื่นๆ ออกไปแล้ว กินเนสส์ก็มานั่งครุ่นคิดอยู่หน้าแผนที่ ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของประธานาธิบดีอดีตหน่วยข่าวกรองท่านนั้นโดยตรง กินเนสส์จึงรู้เรื่องบางอย่างมากกว่าคนทั่วไปมากมายนัก
กินเนสส์รู้ว่า รัสเซียมีกองกำลังลึกลับอยู่กลุ่มหนึ่ง เพียงแต่ว่ากองกำลังนั้นลึกลับเสียจนแม้แต่กินเนสส์เองก็ยังเคยได้ยินแต่ชื่อเท่านั้น โดยที่ไม่รู้เกี่ยวกับโครงสร้างและอานุภาพของกองกำลังนี้เลย
“ผู้การครับ พบร่องรอยของศัตรูแล้วครับ!”
ขณะที่ผู้การกำลังครุ่นคิด เจ้าหน้าที่กองทัพนายหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมา บนจอของอุปกรณ์ที่ติดตั้งไว้ในห้องเป็นการชั่วคราวนั้น ปรากฏร่างของคนผู้หนึ่งขึ้น
กินเนสส์ไม่ขบคิดถึงเรื่องอื่นอีกแล้ว กระโดดลุกขึ้นมาจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วราวกับเสือชีตาห์ คว้าวิทยุสื่อสารขึ้นมาตะโกนว่า “นี่คือคำสั่ง กองพลทหารปืนใหญ่จงรวบรวมอาวุธ แล้วไปเฝ้าประจำที่เขตพื้นที่หมายเลขสาม!”
“นี่มันเครื่องบินสอดแนมไร้นักบินนี่นา ฝ่ายนั้นเริ่มฉลาดขึ้นมาแล้วนี่!”
หลังจากเยี่ยเทียนเดินทางไปได้สิบกว่ากิโลเมตร เขาก็ปรากฏกายออกมา ขณะเดียวกันเขาก็พบว่า บนเครื่องบินขนาดเล็กที่อยู่บนท้องฟ้าแต่ละลำนั้นไม่ได้มีร่องรอยของนักบินเลย ที่แท้ก็เป็นเครื่องบินชนิดไร้คนขับนี่เอง
“แปลกจริง ฝ่ายนั้นไม่คิดจะส่งคนมาอีกแล้วรึไงนะ?!”
หลังจากเยี่ยเทียนส่งสัญญาณมือที่หมายถึงการด่าแม่ของฝ่ายตรงข้ามให้เครื่องบินสอดแนมเหล่านั้นแล้ว ทันใดนั้นเขากลับรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง และเหมือนจะได้ยินเสียงหวีดของลูกกระสุนปืนใหญ่ดังมาจากตำแหน่งที่ห่างไปสิบกว่ากิโลเมตร
“บัดซบ เล่นสกปรกนี่หว่า!”
เยี่ยเทียนไม่สนใจจะยั่วเย้าเครื่องบินสอดแนมไร้นักบินที่อยู่บนฟ้าอีกต่อไปแล้ว เท้าขวากระทืบลงพื้นอย่างแรง รองเท้าที่ทำจากหนังวัวของเขาปริขาดไปทันที ร่างกระโจนไปข้างหน้าราวกับกระสุนปืนใหญ่ และเห็นเป็นเงากลางอากาศ
หลังจากที่เยี่ยเทียนกระโจนร่างออกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินสอดแนมที่อยู่บนฟ้า หรือดาวเทียมสอดแนมที่อยู่นอกโลก ต่างก็ไม่อาจจับร่องรอยของเยี่ยเทียนได้อีก
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ร่างของเยี่ยเทียนกระโจนออกไป กระสุนปืนใหญ่ที่พุ่งมาพร้อมเสียงหวีดหวิวก็ตกลงไปบนตำแหน่งที่เขาเพิ่งจะยืนอยู่เมื่อครู่ เสียงระเบิดดังกระหึ่ม ดินฟุ้งกระเด็น ต้นไม้หักโค่น ควันลอยขโมงขึ้นสู่ฟ้า
ปืนใหญ่กระหน่ำยิงอย่างต่อเนื่องไปห้านาทีกว่าๆ หลังจากเสียงระเบิดเงียบลง พื้นดินบริเวณนั้นก็ไม่เหลือส่วนไหนที่ยังสมบูรณ์อยู่อีก พื้นที่ในรัศมีสามกิโลเมตรนั้นถูกกระสุนปืนใหญ่ทำลายจนราบเรียบ
“ทีนี้มันคงจะตายแล้วสินะ?”
เมื่อเห็นภาพผ่านทางดาวเทียมสอดแนม กินเนสส์ก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างโล่งอก การกระหน่ำโจมตีด้วยปืนใหญ่เมื่อครู่นี้ครอบคลุมทั่วพื้นที่ในรัศมีสามกิโลเมตรนั้น โดยยิงลงไปแทบจะพร้อมกันทุกจุด
กินเนสส์จึงมีเหตุผลที่จะเชื่อว่า ต่อให้เป็นนกตัวหนึ่ง ก็คงไม่สามารถหนีออกจากอาณาเขตนี้ภายในเวลาเพียงสิบกว่าวินาทีได้แน่ๆ เพราะนั่นเป็นเรื่องที่ไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย
กินเนสส์โบกมืออย่างเหนื่อยล้า แล้วสั่งการว่า “ส่งกองกำลังออกไปดำเนินการค้นหาในบริเวณนั้น ต่อให้เหลือเศษเนื้ออยู่แค่ก้อนเดียว ก็ต้องนำมันกลับมาด้วย!”
คำสั่งของกินเนสส์เพิ่งจะประกาศลงไป เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังก็กลับพูดขึ้นเสียงสั่นระริก “ผู้…ผู้การครับ มัน…มันยังไม่ตาย!”
“ยังไม่ตายรึ?”
กินเนสส์มองไปตามเสียง เมื่อเห็นภาพบนจอนั้น เขาก็รู้สึกแน่นที่หน้าอกขึ้นมาทันที จนในปากได้รสหวาน เลือดกระอักขึ้นมาถึงคอหอย
บนจอภาพนั้น เยี่ยเทียนซึ่งมีรูปลักษณ์ ‘ละม้ายคล้ายคลึง’ กับรูดอล์ฟกำลังวาดนิ้วชี้สื่อสารบางอย่างขึ้นสู่ท้องฟ้า แม้จะมองไม่เห็นรูปปากของเขา แต่กินเนสส์เชื่อว่า เยี่ยเทียนคงจะกำลังส่งคำทักทายไปถึงญาติๆ เพศแม่ของตนอยู่แน่ๆ
ที่จริงเยี่ยเทียนก็อยากจะปลอมตัวเป็นเคิร์ทอยู่เหมือนกัน แต่เจ้าหมอนั่นรูปร่างเตี้ยเล็กเกินไป ถ้าจะใช้วิชาย่อกระดูก เยี่ยเทียนก็จะต้องเสียปราณแท้ไปปริมาณมาก ดังนั้นจึงได้แต่ให้รูดอล์ฟรับบทแพะรับบาปต่อไป
ในที่สุดกินเนสส์ก็ไม่อาจกลั้นเลือดไว้ในปากได้อีก เขาพ่นมันออกมาแล้วตวาดเสียงดัง “คอยรายงานตำแหน่ง ส่งเครื่องบินรบออกไป ต้องกำจัดมันให้ได้!”
กินเนสส์ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า จะมีคนที่เคลื่อนไหวได้รวดเร็วถึงขนาดหลบกระสุนปืนใหญ่ทัน แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ เพราะรัสเซียยังมีกองทัพอากาศที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอยู่
“เวรละสิ ต้องหนีแล้วเรา!”
ขณะเดียวกับที่กินเนสส์สั่งการลงไป เยี่ยเทียนก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาอย่างไม่อาจข่มกลั้น ยามนั้นจึงอำพรางร่างกาย แล้วเร่งรุดไปทางตำแหน่งที่ตั้งของเหมืองทองทันที ในใจเขารู้ดีว่า เมื่อชักนำเภทภัยไปทางอื่นแล้ว ตนก็จะรอดพ้นไปได้
ระยะทางห้าสิบกว่ากิโลเมตรสำหรับเยี่ยเทียนและเครื่องบินรบสิบกว่าลำนั้นแล้ว ถือว่าเป็นระยะทางที่ใกล้เพียงชั่วพริบตา แต่หลังจากที่ไปถึงเหมืองทองแห่งนั้น เงาร่างของเยี่ยเทียนก็กลับอันตรธานหายไป
“ท่านเซียนติง ท่านคิดเสียว่าไม่ได้เห็นผมก็แล้วกันนะ!”
ลึกลงไปสี่ห้าเมตรใต้ชั้นดินเยือกแข็งที่แข็งจนเหมือนก้อนหินนั้น การหายใจของเยี่ยเทียนได้หยุดลงแล้ว รอบกายของเขาตั้งค่ายกลซึ่งมีอานุภาพในการปกปิดพลังลมปราณของเขาไว้สามค่ายกลด้วยกัน
เยี่ยเทียนรู้สึกหวาดเกรงติงหงมากกว่าพวกทหารและเครื่องบินที่กำลังรุมกันไล่ล่าเขาอยู่นี้หลายเท่านัก เมื่อเข้าไปใกล้เหมืองทองในระยะสิบกว่ากิโลเมตรแล้ว เขาจึงลงไปใต้ดินและตั้งค่ายกลเช่นนั้นขึ้นทันทีที่รู้สึกได้ถึงพลังลมปราณของติงหง
แต่เยี่ยเทียนรู้ว่า ติงหงก็น่าจะพบแล้วว่าเขาอยู่ที่นี่ จึงได้แต่หวังว่า เครื่องบินบนท้องฟ้าจะสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของติงหงไปจากเขาได้
ตอนที่ 768 อำพรางร่องรอย
ห่างจากเยี่ยเทียนไปสิบกว่ากิโลเมตร มีเนินเขาโล้นที่ไม่มีแม้กระทั่งหญ้าสักต้นอยู่สามลูก หินผาบนเนินเขานั้นปรากฏเป็นสีน้ำตาลอมเทา และมีชั้นดินเยือกแข็งแผ่คลุมเป็นบริเวณกว้าง เทียบกับภูเขาอันไกลโพ้นที่ปกคลุมไปด้วยป่าต้นไป๋ฮว่าแล้ว ที่นี่จึงยิ่งดูรกร้างเปล่าเปลี่ยวมากขึ้นไปอีก
ถ้านักธรณีวิทยาที่มีประสบการณ์สูงมาเห็นที่นี่ ก็จะดูออกตั้งแต่แวบแรกที่เห็นว่า ข้างใต้เนินเขานี้จะต้องมีแหล่งแร่ซุกซ่อนอยู่แน่นอน และยังสะสมเป็นปริมาณมหาศาลอีกด้วย กล่าวได้ว่าเป็นเหมืองแร่ระดับสูงแห่งหนึ่ง
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่นี่ก็คือเหมืองทองที่เฉินสี่ฉวนซื้อไว้นั่นเอง ตามตำแหน่งต่างๆ บนเนินเขามีรอยขุดเจาะจากการสำรวจหลงเหลืออยู่ และยังมีเครื่องมือจำนวนหนึ่งทิ้งไว้อีกด้วย
เพียงแต่ว่า เหมืองทองแห่งนี้แม้จะอุดมไปด้วยหินแร่ แต่กลับตั้งอยู่ห่างจากถนนหลวงมากกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตร ไม่ว่าจะเป็นการลำเลียงอุปกรณ์ในการขุดเหมืองเข้ามา หรือการบรรทุกหินแร่ออกไปจากที่นี่ ต่างก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง
ดังนั้นแม้ว่าทางเขตปกครองไซบีเรียจะเคยมาสำรวจตำแหน่งและปริมาณแร่ที่เหมืองทองแห่งนี้ไว้นานแล้ว แต่ที่ผ่านมากลับไม่มีความสามารถที่จะดำเนินการขุดเหมืองได้ ซึ่งก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกในสถานที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลแต่ประชากรเบาบางอย่างไซบีเรียนี้
บนช่วงกลางสันเขาของเนินเขาลูกที่หนึ่งนั้น มีโพรงถ้ำที่เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการใช้ระเบิดอยู่แห่งหนึ่ง ด้านนอกถ้ำนั้นนอกจากเศษหินแร่จำนวนหนึ่งแล้ว ยังมีชั้นดินเยือกแข็งที่ทับถมกันเป็นปริมาณมาก ดูจากสีแล้วน่าจะเพิ่งถูกขุดเจาะออกมาเมื่อไม่นานมานี้
หากเยี่ยเทียนมาถึงที่นี่ก็จะพบว่า มีพลังปราณธาตุทองอันคมปลาบกลุ่มหนึ่งแผ่ออกมาจากในถ้ำ ต่อให้ยืนอยู่ห่างจากถ้ำไปไกลสิบกว่าเมตร ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณที่คมปลาบราวกับจะเชือดเฉือนผิวหนังได้
แน่นอนว่า มีเฉพาะผู้บำเพ็ญพรตอย่างเยี่ยเทียนเท่านั้นที่จะสามารถรับรู้ได้ ถ้าคนธรรมดามายืนอยู่ที่นี่ก็จะไม่เกิดความรู้สึกใดๆ แต่พลังปราณธาตุทองนั้นจะทำลายระบบต่างๆ ของร่างกายไปโดยที่คนผู้นั้นไม่รู้ตัวเลย
จริงอยู่ว่า ปราณวิเศษสามารถทำให้คนมีชีวิตที่ยืนยาวได้ แต่นั่นก็มีขีดจำกัดอยู่เช่นกัน หลังจากที่ข้ามขีดจำกัดไปแล้ว ปราณวิเศษที่มากเกินไปก็จะกลับกลายเป็นพิษร้ายทำลายชีวิต
และในบรรดาพลังลมปราณชีวิตทั้งห้าธาตุนี้ ธาตุที่สามารถให้โทษแก่คนได้มากที่สุดก็หนีไม่พ้นธาตุไฟและธาตุทองนั่นเอง หากน้ำเป็นตัวแทนของความโอนอ่อน เช่นนั้นทองก็จะเป็นตัวแทนของความแข็งกร้าวทรงพลัง
นี่เป็นลักษณะเดียวกับสารกัมมันตรังสีที่มีพิษ โดยขณะที่คนสัมผัสถูกสารนั้นก็จะไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง สารกัมมันตรังสีนั้นก็จะเริ่มกัดกร่อนทำลายระบบการทำงานของร่างกาย ผลอย่างเบาก็คือป่วยหนัก ส่วนผลอย่างหนักก็คือเสียชีวิต
ส่วนสาเหตุที่ไม่มีพืชเจริญเติบโตบนเนินเขาสามลูกนั้นเลยก็เป็นเพราะว่า พลังปราณธาตุทองที่มากเกินไปนั้น ก่อให้เกิดสนามพลังที่ผิดปกติขึ้น ซึ่งไปทำลายพื้นฐานในการดำรงอยู่ของพืชพรรณเหล่านั้น
“เอ๊ะ? ที่นี่มีผู้บำเพ็ญพรตอยู่ด้วยรึ?”
ติงหงซึ่งกำลังเหงื่อโทรมกายราวกับสายฝน ในมือถือจอบเล่มหนึ่งยืนอยู่ลึกเข้าไปในถ้ำแห่งนั้นยี่สิบกว่าเมตรพลันหยุดการเคลื่อนไหว แล้วมองออกไปนอกถ้ำด้วยความระแวงสงสัย
ติงหงมาถึงไซบีเรียเร็วกว่าเยี่ยเทียนไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ และสายแร่ในเหมืองทองแห่งนี้ก็อุดมสมบูรณ์กว่าที่ติงหงคาดคิดไว้มาก เขาจึงรู้สึกยินดีปรีดาอย่างยิ่ง
วันแรกที่มาถึงที่นี่ ติงหงก็ได้ทองสีน้ำเงินขนาดเท่าปลายนิ้วมาก้อนหนึ่งแล้ว
ติงหงรู้ว่า โลหะชนิดนี้เป็นแร่อนุพันธ์ที่แตกมาจากสายแร่ของพลอยวิเศษ เมื่อนำไปผ่านการหลอมในเครื่องถลุง จะทำให้โลหะที่หลอมออกมาได้นั้นมีพลังปราณธาตุทอง และมีความแข็งแกร่งคงทนอย่างยิ่ง
แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ประเด็นที่ติงหงสนใจยิ่งกว่านั้นคือ ในสถานที่ที่ทองสีน้ำเงินนี้กำเนิดขึ้นมา จะต้องมีสายแร่ของพลอยวิเศษธาตุทองอยู่แน่นอน และจะต้องมีทรัพยากรสะสมอยู่จำนวนมาก พร้อมทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีพลอยวิเศษธาตุทองชั้นยอดกำเนิดขึ้นมาอีกด้วย
ติงหงเข้าสู่ระดับเซียนเทียนช่วงปลายมาเกือบหนึ่งร้อยปีแล้ว อยู่ห่างจากการบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น แต่ในฟ้าดินล้วนมีความเปลี่ยนผัน แม้ติงหงจะมีความหวังอยู่ว่า ตนนั้นมีโอกาสที่จะบรรลุได้แล้ว แต่ก็กลับยังไม่กล้าทดลองดู
พลอยวิเศษชั้นยอดสามารถช่วยเพิ่มระดับได้สามส่วน สำหรับติงหงแล้วเรียกได้ว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายเลยทีเดียว
เพียงแต่ว่า พลอยวิเศษชั้นยอดนั้นหาพบได้ยากยิ่ง จนถึงทุกวันนี้ที่ติงหงเคยพบก็มีเพียงพลอยวิเศษธาตุไฟชั้นยอดที่แตกหักในงานประมูลก่อนหน้านี้เท่านั้น
และอันที่จริงพลอยวิเศษชิ้นนั้นก็สูญเสียปราณวิเศษไปมากแล้ว คุณค่าของมันอย่างมากก็แค่เท่ากับพลอยวิเศษชั้นกลางชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง
แม้ติงหงจะรู้ว่า สำนักใหญ่ๆ บางสำนักมีพลอยวิเศษชั้นยอดอยู่ แต่เขาก็ไม่มีสมบัติใดๆ ที่จะนำไปแลกเปลี่ยนได้ ถ้าตอนนี้เขาหาพลอยวิเศษธาตุทองชั้นยอดมาได้ ก็จะสามารถนำไปแลกกับพลอยวิเศษธาตุน้ำชั้นยอดที่ตนต้องการได้
แต่สายแร่ของพลอยวิเศษนั้นมักจะอยู่ลึกลงไปใต้ดิน จึงขุดเจาะออกมาได้ยากกว่าแร่ทั่วๆ ไป
แร่ทองคำโดยปกติก็มีความแข็งแกร่งสูงอยู่แล้ว ยิ่งประกอบกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นอย่างโหดร้ายของที่นี่อีก ชั้นดินเยือกแข็งก็ลึกสิบถึงยี่สิบเมตร ติงหงแม้จะมีพลังฝีมือสูงส่ง จอบที่ถืออยู่ก็เป็นของวิเศษชิ้นหนึ่ง แต่ก็ยังคงขุดเจาะได้ไม่เร็วนัก
ตลอดหนึ่งสัปดาห์กว่าๆ ที่ผ่านมานี้ แม้ว่าติงหงจะขุดลงไปพบสายแร่ของพลอยวิเศษที่อยู่ใต้เหมืองแร่อีกสองจุด แต่เขากลับโชคไม่ค่อยดีนัก จึงได้มาเพียงพลอยวิเศษธาตุทองชั้นต่ำสิบกว่าชิ้น นอกจากนี้ก็ยังมีพลอยวิเศษชั้นกลางอีกสามชิ้น แต่กลับไม่พบพลอยวิเศษชั้นยอดที่ตนปรารถนาเลย
จุดที่ติงหงกำลังขุดค้นอยู่ในขณะนี้เป็นจุดเริ่มต้นของสายแร่พลอยวิเศษ โดยปกติแล้ว พลอยวิเศษที่เกิดในตำแหน่งนี้ก็น่าจะมีคุณภาพสูงที่สุด ถ้าแม้แต่ที่นี่ยังไม่มี เขาก็คงได้แต่กลับไปมือเปล่า
ในตำแหน่งของสายแร่พลอยวิเศษนั้น จะไม่สามารถส่งดวงจิตเข้าไปสำรวจได้เลย ดังนั้นตอนนี้ติงหงจึงเริ่มจะรู้สึกกังวลขึ้นมาแล้ว เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า มาขุดตรงนี้แล้วจะเจอพลอยวิเศษชั้นยอดหรือไม่
ตอนนี้หากขุดลึกลงไปอีกเจ็ดแปดเมตร ก็จะพบสายแร่ของพลอยวิเศษแล้ว ทันใดนั้นติงหงรู้สึกถึงปราณวิเศษระลอกหนึ่งที่แผ่เข้ามาจากนอกถ้ำ แล้วสีหน้าก็ขรึมลงไปทันที
แม้แต่ในดินแดนแห่งทวยเทพ สายแร่ของพลอยวิเศษก็ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำนักหนึ่งๆ ต้องอาศัยในการที่จะดำรงอยู่ได้อย่างแข็งแกร่ง เพื่อที่จะแย่งชิงสายแร่พลอยวิเศษมาไว้ในครอบครอง ไม่รู้ว่ามีผู้บำเพ็ญพรตมากมายเท่าไรต้องมาจบชีวิตลง และมีกี่สำนักที่ต้องสูญสิ้นไปเพราะเหตุนี้
หอประดิษฐ์ วิเศษของติงหงมีศิษย์อยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ถือว่าเป็นเพียงสำนักเล็กๆ นอกกระแสแห่งหนึ่งในดินแดนแห่งทวยเทพเท่านั้น หากมีคนนอกล่วงรู้เกี่ยวกับสถานที่นี้ เขาก็คงได้แต่ยอมถอนตัวออกไปแต่โดยดี
“ไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่ดีกว่า ถ้าเป็นผู้บำเพ็ญพรตที่มีพลังฝีมือพอสูสี เราก็จะรวบรวมพลอยวิเศษเท่าที่ขุดออกมาได้แล้วไปจากที่นี่ แต่ถ้าเป็นพวกรุ่นเด็กละก็ ฮึ…”
ติงหงเปลี่ยนสีหน้าไปหลายครั้ง หลังจากพึมพำกับตัวเองไปพักใหญ่ๆ ในที่สุดก็ตัดสินใจได้แล้ว ที่จริงพลอยวิเศษธาตุทองที่เขาขุดค้นขึ้นมาได้ครั้งนี้ก็น่าจะมีจำนวนมากกว่าพลอยวิเศษทั้งหมดที่มีอยู่ในหอประดิษฐ์ วิเศษแล้ว
แต่ภาษิตว่า คนตายเพราะเห็นแก่สมบัติ นกตายเพราะเห็นแก่อาหาร ถ้าผู้มาเยือนมีพลังฝีมือต่ำกว่าตน ติงหงก็จะเก็บเจ้าคนนั้นเสียที่นี่เลย ไว้พอเขาไปถึงระดับบรรลุจินตันสำเร็จมหามรรคเมื่อไร ก็จะไม่ต้องกลัวแล้วว่าคนจากสำนักของอีกฝ่ายจะมาแก้แค้น
ติงหงโยนจอบทิ้งลงไป หยิบธงผืนเล็กๆ ที่บางราวกับใยไหมออกมาเก้าผืน แล้วปักลงไปบนพื้นตามตำแหน่งในผังเก้าตำหนัก ปราณวิเศษที่พวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ดินถูกตัดขาดไปทันที ทำให้ปราณวิเศษอันหนาแน่นภายในถ้ำนั้นเบาบางลงไปโดยพลัน
ในฐานะที่เป็นประมุขคนปัจจุบันของสำนักหอประดิษฐ์ วิเศษ ติงหงจึงมีเคล็ดวิชาอยู่หลายอย่าง ค่ายกลธงเก้าตำหนักแปดทิศชุดนี้เขาเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง ยามปกติจะใช้สำหรับอำพรางร่องรอย ส่วนยามนี้ก็ได้นำมาใช้ปิดผนึกตำแหน่งของสายแร่พลอยวิเศษไว้
“เอ๋? ทำไมไม่เห็นมีใครเลย?”
เมื่อออกมาจากถ้ำแล้ว ติงหงกลับต้องรู้สึกงงงัน เพราะคลื่นพลังของจิตดั้งเดิมที่เพิ่งจะแผ่มาเมื่อครู่นั้น ตอนนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถ้าไม่ใช่เพราะเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจน ก็คงจะนึกว่าตัวเองสติหลอนไปเองเสียแล้ว
ติงหงขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดเจน “เราพรตต่ำต้อยคือติงหงแห่งหอประดิษฐ์ วิเศษ สหายพรตท่านนั้นในเมื่ออุตส่าห์มาแล้ว ก็ออกมาพบกันหน่อยเถิด!”
แม้ว่าเสียงของติงหงจะไม่ได้ดังกังวานมากนัก แต่กลับกระจายออกไปไกลถึงยี่สิบสามสิบกิโลเมตร เยี่ยเทียนที่กำลังซ่อนอยู่ใต้ดินจึงได้ยินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
“แม่เจ้าโวย เสียงที่พูดออกมานี่ไม่ได้ใช้พลังปราณเลยสักนิด แต่กลับดังออกไปได้ไกลขนาดนั้น พลังฝีมือของติงหงนี่ไม่ใช่เล่นๆ เลยจริงๆ!”
หลังจากได้ยินเสียงของติงหง เยี่ยเทียนก็รู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาวาบหนึ่งอย่างไม่อาจข่มกลั้น ปราณแท้ในกายโคจรช้าลงไปอีกสามส่วนทันที จนร่างผสานเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นดิน ไม่อาจแยกแยะจากกันได้เลย
“หืม? ซ่อนตัวงั้นรึ?”
หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน เสียงของติงหงยังคงสะท้อนไปท่ามกลางขุนเขาเป็นทอดๆ เมื่อเห็นว่าการทักทายของตนไม่ได้รับการตอบรับใดๆ ติงหงก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นมา
เขารู้ว่า ยอดคนระดับจินตันนั้นปกติจะไม่ออกจากดินแดนแห่งทวยเทพโดยง่าย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวต่อผู้มาเยือนเลย แต่ถ้าฝ่ายนั้นตั้งใจจะปกปิดตำแหน่งร่องรอยของตัวเองแล้วละก็ ถึงระดับพลังฝีมือจะต่ำกว่าติงหง แต่เขาก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี
เรื่องนี้ทำให้ติงหงลำบากใจอย่างยิ่ง เพราะเขาจะคอยแผ่จิตออกไปค้นหาคนผู้นี้ตลอดเวลาก็คงไม่ได้ แต่ถ้าคนผู้นี้เกิดหลบเร้นออกไปได้ละก็ อย่างนั้นเขาก็คงจะรักษาสายแร่ของพลอยวิเศษแห่งนี้ไว้ไม่ได้แล้ว
แม้ว่าติงหงจะได้พลอยวิเศษจากสายแร่ทั้งสองแห่งนั้นมาแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ขุดค้นอย่างละเอียด ในสองบริเวณนั้นจึงยังมีพลอยวิเศษหลงเหลืออยู่อีกไม่น้อย และสายแร่จุดที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขานี้ก็ต้องใช้เวลาอีกหนึ่งวันถึงจะขุดลงไปพบได้
แต่ผู้บำเพ็ญพรตนั้นสามารถเดินทางพันลี้ได้ในชั่วอึดใจ และระหว่างค่ายสำนักต่างๆ ก็มักจะมีการแลกเปลี่ยนข่าวสารซึ่งกันและกัน ถ้าคนผู้นี้ปล่อยข่าวออกไปแล้วทำให้มียอดฝีมือแห่กันมาที่นี่ละก็ อย่างนั้นความพยายามของติงหงในครั้งนี้ก็เท่ากับเสียแรงเปล่า เหมือนนำตะกร้าสานไปตักน้ำ
“มาแล้วรึ? ฮ่าๆ นึกว่าแกจะไม่ออกมาซะแล้ว!”
ทันใดนั้น ติงหงสัมผัสได้ว่า มีปราณวิเศษระลอกหนึ่งแผ่มาจากจุดที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบกว่ากิโลเมตร จึงรู้สึกยินดีขึ้นมาทันที สะบัดชายเสื้อชุดนักพรตหนึ่งครั้ง แล้วร่างก็อันตรธานไปจากตำแหน่งเดิมในฉับพลัน
“เป็นชาวต่างชาติหรอกรึนี่?”
ร่างของติงหงปรากฏออกมาอีกครั้งบนสันเขาที่อยู่ห่างจากจุดเดิมไปยี่สิบกว่ากิโลเมตร เมื่อเห็นชาวตะวันตกร่างผอมแห้งคนนั้นแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือจะหัวเราะดี
“ที่แท้ก็เป็นกากเดนผีดูดเลือดที่เหลือรอดมานี่เอง”
หลังจากสำรวจดูปราณวิเศษบนร่างของอีกฝ่ายอย่างละเอียดแล้ว ติงหงก็มีสีหน้าโล่งอกขึ้นมา เมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน เขาเคยติดต่อกับกลุ่มชนต่างชาติกลุ่มหนึ่ง และได้รู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นผู้บำเพ็ญที่อยู่นอกดินแดนแห่งทวยเทพ
“กำลังหาอะไรอยู่น่ะ?”
ติงหงถามขึ้นเบาๆ ขณะที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังเคิร์ท เขาดูออกว่า พลังฝีมือของคนผู้นี้ห่างชั้นกับเขามากนัก ก็ขนาดเขาสำรวจตรวจตราคนผู้นั้นจนทะลุปรุโปร่งไปรอบหนึ่งแล้ว เจ้าตัวก็ยังไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ติงหงก็วางใจได้อย่างเต็มที่แล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ใช่สหายผู้ร่วมบำเพ็ญเต๋า ติงหงก็ไม่มีอะไรต้องหวาดเกรงอีก สมัยก่อนเขายังเคยสังหารแวมไพร์ชั้นดยุกตนหนึ่งไปกับมือเลยด้วยซ้ำ
“ใคร แกเป็นใครกัน?” ข้อดีอย่างหนึ่งของการที่ได้มีชีวิตอยู่มานานแล้วก็คือ เคิร์ทสามารถฟังภาษาต่างๆ ในโลกนี้รู้เรื่องได้อยู่หลายภาษา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึงภาษาจีนด้วย
แต่เมื่อได้ยินเสียงพูดดังมาจากข้างหลังอย่างกะทันหัน เคิร์ทก็ตื่นตระหนกสุดขีด โดดเหยงขึ้นมาราวกับแมวที่ถูกเหยียบหาง แล้วเผ่นไปข้างหน้าโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง
ตอนที่ 769 อีกคนหนึ่ง
“คิดจะหนีรึ? เป็นแค่ค้างคาวตายซากตัวกระจ้อยแท้ๆ จะหนีรอดไปได้ยังไงกัน?”
รอยยิ้มเย็นเยียบปรากฏขึ้นบนใบหน้าของติงหง ตั้งแต่ตอนที่เขารู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของปราณวิเศษนั้น ก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า หากฝ่ายตรงข้ามมีพลังฝีมือต่ำกว่าตน เขาก็จะกำจัดให้สิ้นซากไปเลย
ลำพังแค่สายแร่ของพลอยวิเศษธาตุทองตำแหน่งนี้ ก็เพียงพอให้สำนักหอประดิษฐ์ วิเศษคงอยู่สืบไปได้หนึ่งพันปีแล้ว เพื่อสิ่งนี้แม้กระทั่งสำนักใหญ่ๆ ในดินแดนแห่งทวยเทพติงหงยังกล้าล่วงเกิน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพวกนอกรีตจากต่างชาติเหล่านี้
ฝ่ายเคิร์ทนั้นดูราวกับว่าไม่ได้ยินที่ติงหงพูดมาแล้ว ตอนนี้ในใจของเขาคิดแต่จะหลบหนีอย่างเดียวเท่านั้น!
ในฐานะที่เป็นแวมไพร์ชั้นเคานต์ เคิร์ทจึงคุ้นเคยกับกลิ่นโลหิตของมนุษย์เป็นอย่างดี สิ่งมีชีวิตต่างๆ ในโลกนี้ ขอเพียงไม่ใช่สัตว์เลือดเย็น เขาก็จะสามารถรับรู้ตำแหน่งของอีกฝ่ายจากกลิ่นของโลหิตได้เสมอ
และนี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่เคิร์ทสามารถตามรอยเยี่ยเทียนมาจนถึงที่นี่ได้ แต่การปรากฏกายของติงหงนั้นทำให้เขาตกใจจนขวัญกระเจิง คนผู้นี้ปรากฏกายโดยปราศจากสัญญาณล่วงหน้าใดๆ ราวกับเป็นดวงวิญญาณก็ไม่ปาน ในใจเคิร์ทจึงเกิดความรู้สึกหวาดระแวงขึ้นมาอย่างรุนแรง
ขณะนี้ร่างกายอันซูบผอมของเคิร์ทได้ระเบิดพลังงานอันแข็งแกร่งออกมา ปากก็เปล่งเสียงร้องประหลาด สองแขนเริ่มพัดกระพือราวกับเป็นปีกคู่หนึ่ง สองเท้าถีบขึ้นจากพื้น ส่งร่างทะยานขึ้นสู่ฟ้าราวกับกระสุนปืนใหญ่
แต่ทว่าร่างของเคิร์ทยังโถมออกไปได้ไม่เกินสองเมตร ก็กลับรู้สึกเจ็บที่ท้ายทอย พลังทั้งหมดราวกับถูกสูบไปจนเกลี้ยงในชั่วพริบตา จนรู้สึกอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง
“อยู่ต่อหน้าข้า ยังคิดจะหนีอีกรึ?”
ติงหงยืนแค่นหัวเราะอยู่ที่เดิม ร่างดูเหมือนจะไม่ได้ขยับเขยื้อนเลย แต่มือขวาของเขากลับบีบคอของเคิร์ทไว้แน่น ราวกับกำลังขยุ้มลูกไก่ตัวหนึ่งไว้ในกำมือ
“อึก อึก!”
เสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์เปล่งออกมาจากลำคอของเคิร์ท ใบหน้าแดงก่ำ แต่ลำคอของเขาถูกบีบไว้จนแม้แต่จะพูดวิงวอนร้องขอชีวิตก็ยังทำไม่ได้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ในยุคสมัยที่มนุษย์ได้รับผลกระทบจากมลภาวะอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พลังวิเศษที่อยู่ในเลือดก็จะค่อยๆ ลดน้อยลงไป จึงทำให้พวกแวมไพร์เลื่อนชั้นได้ยากยิ่งขึ้น มีจำนวนมากที่แม้กระทั่งชั้นบารอนซึ่งเป็นชั้นที่ต่ำที่สุดก็ยังไปไม่ถึงเลย
ดังนั้น เคิร์ทซึ่งเป็นแวมไพร์ชั้นเคานต์จึงเรียกได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในสภาแห่งความมืดแล้ว และก็ถือว่าแข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆ ในตระกูลแดร็กคูล่าเลยทีเดียว
แต่เมื่อมาอยู่ในกำมือของคนผู้นี้ เขากลับทำไม่ได้แม้แต่จะหลบหนี ความแข็งแกร่งระดับนี้ เกรงว่าแม้แต่เคานท์แดร็กคูล่าผู้เป็นนายของเขาเองก็คงไม่อาจมาเทียบเคียงได้
“เจ้าหนุ่ม เลิกคิดที่จะหลบหนีไปได้เลย เมื่ออยู่ในกำมือของข้าแล้ว ยังไงก็หนีไม่รอดหรอก!”
ติงหงโยนเคิร์ทลงไปบนพื้น แล้วพูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ตอบคำถามข้ามาตามตรง บางทีถ้าข้าอารมณ์ดี อาจจะปล่อยแกไปก็ได้นะ”
“แก…แกอยากจะถามอะไรล่ะ?”
เคิร์ทตื่นกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว เขาอุตส่าห์ตามรอยเยี่ยเทียนมาได้ตลอดทาง ไม่นึกเลยว่าที่นี่จะมีตาแก่ซ่อนอยู่คนหนึ่ง ฟังจากการพูดจาแบบคนแก่ที่ทะนงตนนั่นแล้ว คาดว่าคงจะเป็นผู้อาวุโสที่อยู่สำนักเดียวกับเจ้าคนเมื่อครู่แน่แล้ว
เคิร์ทรู้ว่า ผู้บำเพ็ญจากดินแดนแห่งทวยเทพเหล่านั้นให้ความสำคัญกับลำดับอาวุโสในสำนัก ไม่ได้มีการสืบทอดทางสายเลือดเหมือนแวมไพร์อย่างพวกตน แต่ทั้งสองฝ่ายมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่หนึ่งอย่าง นั่นก็คือการยกให้ผู้ที่แข็งแกร่งมีอำนาจ
เห็นได้ชัดว่า ชายวัยกลางคนผู้นี้มีการบำเพ็ญสูงส่งกว่าเยี่ยเทียนมาก เพราะเคิร์ทรู้สึกได้ว่า สายตาของคนผู้นี้คอยจ้องมาที่แก่นหัวใจของเขาเป็นครั้งคราว ทำให้แผ่นหลังของเขาหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
“ข้อแรก แกมาที่นี่ทำไมกัน?”
ติงหงคิดๆ ดู แล้วชูนิ้วมือขึ้นมาอีกหนึ่งนิ้ว “ข้อที่สอง แกมาเองคนเดียวรึเปล่า? เท่าที่ข้าจำได้ พวกแวมไพร์น่าจะไม่ได้อ่อนแอเหมือนแกแบบนี้นี่?”
แม้ว่าเขาจะแผ่จิตปกคลุมทั่วอาณาเขตในรัศมีหลายสิบกิโลเมตรแล้ว และก็ไม่พบการเคลื่อนไหวของพลังลมปราณชีวิตที่จุดอื่นเลย แต่ติงหงก็ยังไม่กล้าประมาท เพราะสายแร่พลอยวิเศษแห่งนี้สำคัญต่อเขามากเหลือเกิน
ลูกตาของเคิร์ทกลอกกลิ้งไปมา แล้วตอบว่า “ถ้า…ถ้าฉันตอบแล้ว แกจะปล่อยฉันไหม?”
“แกยังมีทางเลือกอื่นอีกรึไง?” ติงหงได้ยินแล้วสีหน้าเย็นชาลง ดวงตามองไปที่ตำแหน่งแก่นหัวใจของเคิร์ทด้วยสายตาราวกับกระบี่คม แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเฉยชา “ถ้าไม่พูด ก็จงตายเสียเดี๋ยวนี้แหละ!”
เคิร์ทใจหายวาบ เขาดูออกว่า คนผู้นี้เห็นการปลิดชีพผู้อื่นเป็นเรื่องธรรมดามาก จึงรีบพูดขึ้นว่า “ก็ได้ ฉันจะบอกแก กิจการของเจ้านายฉันถูกคนทำลายไป ฉันก็เลยติดตามเจ้านายมาที่ไซบีเรีย”
“เจ้านาย? เป็นแวมไพร์เหมือนกับแกงั้นหรือ? แล้วมันชื่ออะไร?”
ติงหงนิ่งอึ้ง ในอดีตเขาเคยเจอกับผู้บำเพ็ญจากทางตะวันตกมาก่อน ในบรรดานั้นแวมไพร์เป็นพวกที่ตอแยได้ยากที่สุด กระทั่งยังมีบางคนในหมู่พวกนี้ที่ร้ายกาจจนแม้แต่เขาเองยังต้องปวดเศียรเวียนเกล้ามาแล้ว
“เจ้านายฉันชื่อแดร็กคูล่า และก็เป็นประมุขคนปัจจุบันของตระกูลแดร็กคูล่าด้วย ได้โปรดเห็นแก่หน้าท่าน ยกโทษให้ฉันที่บุ่มบ่ามเข้ามารบกวนสักครั้งเถอะนะ!”
เคิร์ทพยายามทำตัวนอบน้อมสุดขีด เขาไม่กล้าเปิดเผยให้อีกฝ่ายรู้เลยว่า ตนจงใจอ้างถึงเจ้านายเพื่อที่จะข่มขู่ฝ่ายนั้น เพราะเขารู้ดีว่า หากใช้วิธีข่มขู่กับคนที่อยู่ในระดับสูงแบบนี้ ก็มีแต่จะได้รับผลที่ตรงกันข้าม
“แดร็กคูล่ารึ? รู้สึกจะเคยได้ยินชื่อนี้อยู่เหมือนกัน แต่มันก็น่าจะตายไปแล้วนี่นา!”
ติงหงรู้สึกประหลาดใจ ตอนที่พวกตะวันตกเข้ามารุกรานดินแดนแห่งทวยเทพเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน เขาเคยเห็นการต่อสู้ระหว่างยอดคนระดับจินตันท่านหนึ่งกับแวมไพร์ชั้นดยุก ดยุกคนนั้นก็เหมือนจะชื่อแดร็กคูล่าเช่นกัน พลังฝีมือของมันในตอนนั้นเหมือนจะสูงยิ่งกว่าเขาในตอนนี้เสียอีก
“หมายถึงท่านอดีตประมุขรึเปล่า?” เมื่อได้ยินติงหงพูดเช่นนั้น เคิร์ทก็เผลอหลุดปากออกมา แต่หลังจากพูดออกไป เขาก็รู้สึกว่าตัวเองทำพลาดไปทันที
“อดีตประมุข? ฮ่าๆ ที่แท้ประมุขในตระกูลของพวกแกก็ชื่อแดร็กคูล่าเหมือนกันหมดงั้นสิ?”
ติงหงหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมาดังลั่น ดวงตาฉายแววอำมหิตขึ้นมาทันที ถ้าเจ้าผีดูดเลือดเฒ่าในอดีตนั่นยังอยู่ เขาก็อาจจะยังรู้สึกยำเกรงอยู่บ้าง แต่กับทายาทรุ่นหลังของมันนั้น ติงหงกลับไม่กลัวเลยสักนิด
ติงหงยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม แล้วยื่นมือกางกรงเล็บไปทางเคิร์ท กระแสลมแรงห้าสายพุ่งออกจากนิ้วมือ ปกคลุมเคิร์ทไว้ภายใน นอกจากตำแหน่งปากแล้ว ร่างกายส่วนอื่นๆ ของเคิร์ทก็ดูเหมือนจะถูกวิชาสกัดร่างตรึงเอาไว้ จนไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่ปลายนิ้วมือ
“ไม่ แกจะฆ่าฉันไม่ได้นะ!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรงของติงหง เคิร์ทก็ร้องเสียงหลงขึ้นมาทันที “ถึงฉันจะไปหาเรื่องกับศิษย์ในสำนักแก แต่ฉันก็ไม่ได้ทำมันบาดเจ็บเลยนะ นั่นมันฝีมือของรัฐบาลรัสเซียทั้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเลย!”
“ศิษย์ในสำนัก?”
ตอนแรกติงหงงอนิ้วชี้มือซ้ายขึ้นมา และกำลังจะดีดออกไปบดขยี้แก่นหัวใจของเคิร์ทอยู่แล้ว ทันใดนั้นกลับหยุดชะงักไป แล้วถามขึ้นด้วยสีหน้าฉงนใจ “พูดเหลวไหล ข้าติงหงมาที่นี่คนเดียว มีศิษย์ในสำนักมาด้วยที่ไหนกัน?”
แม้ว่าตอนที่อยู่ที่เขตปกครองไซบีเรีย ติงหงจะเคยพบกับอวิ๋นหวาถงมาครั้งหนึ่ง แต่หลังจากที่รู้ตำแหน่งของเหมืองทองแล้ว เขาก็มุ่งตรงมาที่นี่ทันที
ตอนนี้อวิ๋นหวาถงกำลังตามหาเฉินสี่ฉวนอยู่ที่เขตปกครองไซบีเรีย เพื่อที่จะซื้อกรรมสิทธิ์ทั้งหมดในการครอบครองเหมืองทองมา จึงไม่ได้มีใครติดตามติงหงมาที่นี่
แน่นอนว่า สำหรับติงหงแล้ว กรรมสิทธิ์ในเหมืองทองแห่งนี้จะเป็นของใครก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ต่อให้เป็นของคนอื่น เขาก็จะมาขุดหาพลอยวิเศษอยู่ดี
“เจ้าคนนั้นไม่ใช่ศิษย์ของแกรึ?”
แวมไพร์นั้นจะต้องดูดรับพลังวิเศษจากร่างของคนเป็นๆ จึงมีประสาทการรับรู้ที่ไวต่อกลิ่นอายของมนุษย์เป็นพิเศษ ดังนั้นหลังจากได้ยินติงหงพูดแบบนั้น เคิร์ทจึงร้องทักท้วงขึ้นมา “บนตัวมันมีคลื่นพลังวิเศษแบบคนตะวันออกอย่างพวกแกอยู่ชัดๆ แล้วจะไม่ใช่ศิษย์ของแกได้ยังไงล่ะ?”
เคิร์ทเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางดูผิดไปแน่ แม้ว่าคนผู้นั้นจะมีใบหน้าแบบชาวตะวันตก แต่กลับมีวิชายุทธเหมือนกับคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่มีผิดเลย
“มีผู้บำเพ็ญพรตมาที่นี่จริงๆ ด้วยรึเนี่ย?”
ติงหงขมวดคิ้วแน่น ตอนที่เห็นเคิร์ท เขาก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลแล้ว เพราะตำแหน่งของคลื่นปราณวิเศษที่เขาสัมผัสได้นั้นอยู่ภายในรัศมีสิบกว่ากิโลเมตรจากเหมืองทอง
แต่ตำแหน่งที่เคิร์ทปรากฏกายขึ้นนั้น กลับอยู่ห่างจากเหมืองทองถึงสามสิบกิโลเมตรเต็มๆ อาศัยระดับความเร็วของมันแล้ว ก็ไม่น่าจะเดินทางข้ามระยะห่างนี้ในชั่วพริบตาได้ ซึ่งก็หมายความว่า ผู้ที่ปรากฏกายขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้คงไม่ใช่แวมไพร์ตนนี้แน่ๆ
หลังจากพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง ติงหงก็หันไปถามเคิร์ทว่า “คนผู้นั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร?”
“มัน…มันมีหน้าตาเหมือนกับชาวตะวันตก” เคิร์ทตอบ
“พูดจาซี้ซั้ว ผู้บำเพ็ญพรตฝึกวิชาเต๋าจะเป็นชาวตะวันตกไปได้อย่างไรกัน?”
ติงหงได้ยินแล้วก็โกรธจัด ไอ้ผีดูดเลือดตัวนี้มันคิดจะหลอกเขาถ่วงเวลาเล่นหรือไง? ระบบการฝึกบำเพ็ญของทางตะวันออกนั้นถูกคิดค้นขึ้นมาโดยเฉพาะ หากไม่ใช่คนเชื้อสายจีนก็จะไม่สามารถฝึกให้เกิดปราณแท้ได้ ชาวตะวันตกจึงไม่มีทางเข้าถึงเคล็ดวิชาเหล่านี้ได้เลย
“ฉันไม่ได้หลอกแกนะ ไม่ได้หลอกจริงๆ นะ!” เมื่อเห็นรังสีอำมหิตในดวงตาของติงหง เคิร์ทก็ร่ำร้องขึ้นมา “เจ้านายฉันบอกไว้ว่า เจ้านั่นมันผ่านการแปลงโฉมมา ที่จริงมันก็เป็นคนตะวันออกเหมือนแกนั่นแหละ!”
ติงหงนิ่งอึ้ง เหตุผลแบบนี้กลับพอรับได้อยู่ เพราะหลังจากที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียน พวกเขาก็จะสามารถเปลี่ยนโครงกระดูกแปลงรูปโฉมได้ดั่งใจนึก ถือว่าเป็นเพียงทักษะเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
“ฟ้าว ฟ้าวๆ…”
ขณะที่ติงหงกำลังจะซักถามต่อไป ทันใดนั้นใบหูของเขาก็กระดิก จึงเงยหน้าขึ้นมาในฉับพลัน สายตามองไปบนท้องฟ้าไกล
แทบจะพร้อมๆ กับที่ติงหงเงยหน้าขึ้นมา จรวดสามลูกก็ปรากฏแก่สายตาของเขา มันพุ่งตรงมาที่ตำแหน่งของทั้งสอง โดยทิ้งเส้นสีขาวยาวเป็นทางๆ กลางอากาศ
“ดักซุ่มโจมตีงั้นรึ?”
ดวงตาของติงหงฉายแววยิ้มเยาะ แต่ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ เขายื่นมือออกไปในลักษณะคว้าจับ ปล่อยพลังดูดร่างของเคิร์ทให้ลอยเข้ามาหา แล้วเหวี่ยงเคิร์ทออกไปกลางอากาศ
“ช่วย…ช่วยด้วย!”
หลังจากที่ถูกติงหงบีบคอไว้ เคิร์ทก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าหลังจากถูกโยนออกไปแล้วจะฟื้นพลังกลับมาได้ แต่พลังเท่านั้นก็ไม่สามารถทำให้เขาเปลี่ยนแปลงทิศทางได้อยู่ดี
เคิร์ทร้องคร่ำครวญออกมาอย่างจนปัญญา ได้แต่มองดูตัวเองปลิวเข้าไปหาจรวดลูกที่อยู่หน้าสุดตาปริบๆ
“ตูม! ตูมๆ!” จรวดพุ่งมาด้วยความเร็วสูงยิ่ง เพียงชั่วพริบตา ร่างของเคิร์ทก็ปะทะเข้ากับจรวดอย่างรุนแรง
เนื่องจากฝีมืออันยอดเยี่ยมของติงหง หลังจากชนจรวดลูกแรกระเบิดไปแล้ว ก็ยังพุ่งเข้าไปชนกับอีกสองลูกที่อยู่ข้างหลังอีก เสียงระเบิดดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วฟ้าดิน คลื่นพลังที่แม้แต่ตาเปล่ายังมองเห็นได้แผ่ตัวออกไปกลางอากาศเป็นระลอก
“นี่มันระเบิดชนิดไหนกัน?”
แม้แต่ติงหงที่ยืนอยู่บนพื้นก็ยังตกใจกับการระเบิดอันสะเทือนฟ้าดินนี้ เขาจำได้ว่า สมัยก่อนตอนที่เขาถอนตัวกลับสู่ดินแดนแห่งทวยเทพนั้น ในโลกนี้เหมือนจะยังไม่มีอาวุธชนิดไหนที่สามารถทำให้เขารู้สึกครั่นคร้ามได้เลย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น