หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 762-767
บทที่ 762 การจู่โจมรุนแรง!
การระเบิดทำลายตัวเองของเรือบินรบหลายร้อยลำเป็นเหมือนพายุที่ระเบิดขึ้นกลางกองทหารมังกรหยดหมึก แรงปะทะจากการระเบิดพัดกระจายไปทั่วบริเวณอย่างต่อเนื่อง เรือบินรบมังกรหยดหมึกที่อยู่ใกล้ที่สุดไม่สามารถหลบได้ทันท่วงที ความเสียหายที่มีอยู่ก่อนหน้าโดนแรงปะทะทำให้ทวีคูณหนักขึ้น แม้แต่เรือบินรบที่อยู่ห่างออกไปยังได้รับผลกระทบเช่นกัน
กองทหารมังกรหยดหมึกตกอยู่ในความโกลาหลแทบจะในทันที เสียงสัญญาณเตือนดังก้องในเรือบินรบ สีหน้าของเหล่าผู้ฝึกตนในกองทหารทุกคนพลันแปรเปลี่ยน
“ศัตรูโจมตี!”
“มีคนซุ่มโจมตีเรา!”
“มัวแตกตื่นอะไร รีบดำเนินการตามแผนรับมือที่สาม!” ขณะที่เหล่าผู้ฝึกตนจากกองทหารมังกรหยดหมึกกำลังตื่นตกใจ เสียงเย็นเยียบของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณก็ดังก้องในจิตวิญญาณทุกคนผ่านวัตถุเวทของกองทัพ
การจะขึ้นเป็นกองทหารสิบอันดับแรกของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำได้ต้องอาศัยความแข็งแกร่ง การโจมตีของหวังเป่าเล่อเป็นการซุ่มโจมตีจึงทำให้พวกเขาต้องรีบตั้งรับ แต่ถึงแม้พวกเขาจะดูวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ นั่นก็เป็นเพราะการถูกโจมตีและแรงปะทะที่เกิดขึ้นกะทันหันเท่านั้น
กองทหารไม่ได้ตกอยู่ในความสับสนอลหม่านนานนัก ภายใต้คำสั่งของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ กองทหารมังกรหยดหมึกก็จัดกำลังพลใหม่ได้ในทันที
ในขณะเดียวกัน แม้การระเบิดทำลายตัวเองของเรือบินรบนับร้อยลำจะรุนแรงมาก แต่ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายหนักเท่าไหร่ แค่ทำให้ร่องรอยจากการต่อสู้ที่ผ่านมาปรากฏขึ้นใหม่อีกครั้ง
ถึงกระนั้น กองทหารมังกรหยดหมึกก็จัดระเบียบใหม่ได้แทบจะในทันทีและเตรียมการตอบโต้กลับ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เรือบินรบสีม่วงกว่าสิบลำก็ปลดปล่อยพลังออกมาแล้วพุ่งเข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อ หมายจะกำราบศัตรู
กระทั่งเรือบินรบมังกรหยดหมึกที่อยู่นอกขอบเขตการระเบิดเองก็พุ่งตามไป พริบตาต่อมา กองเรือบินรบก็ปล่อยลำแสง สร้างวงแหวนปราณผนึกและพลังกดดันออกมา เหมือนว่าจะพยายามผนึกที่แห่งนี้ไว้ไม่ให้ศัตรูหลบหนีไปได้หลังจากซุ่มโจมตี
การเตรียมการสำหรับตอบโต้กลับเหมือนจะเสร็จสมบูรณ์ในทันที แม้จะไม่ใช่การตอบโต้ตามตำรา แต่มองอย่างไรก็ไม่พบปัญหา ดูแล้วเป็นการตอบโต้ที่ ‘มั่นคง’ ในระดับหนึ่ง
หวังเป่าเล่อตื่นตกใจเมื่อเห็นเช่นนั้น เขารู้ว่าตนไม่สามารถดูถูกเหล่ากองทัพของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้จึงเตรียมการมาพร้อมรับมือ แม้การตอบโต้ของกองทหารมังกรหยดหมึกจะทำให้ตื่นตะลึงไป แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้หวั่นเกรง!
ขณะที่กองทหารมังกรหยดหมึกลงมือตอบโต้ หวังเป่าเล่อก็หายวับกลายเป็นหมอกควันพร้อมโบกมืออีกครั้ง รอบนี้เขาส่งเรือบินรบออกไปทีเดียวสองร้อยลำ ทะเลเพลิงสั่นสะท้านฟ้าดินปะทุเดือดทั่วพื้นที่อีกครั้งเมื่อเรือบินรบกระจายออกไประเบิดทำลายตัวเอง
แรงระเบิดเหมือนจะสร้างมือขนาดยักษ์ที่มองไม่เห็นสองข้างขึ้นโบกไปมาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้กองเรือบินรบที่ได้รับความเสียหายรุนแรงก่อนหน้าไม่สามารถทานทนได้อีกต่อไป ร่องรอยที่มีอยู่ก่อนปรากฏให้เห็นจำนวนมากจนส่งผลให้เรือบินรบระเบิด
การระเบิดไม่ได้เกิดขึ้นกับเรือบินรบแค่ลำเดียว เรือบินรบชีวภาพเจ็ดถึงแปดลำร่วงลงไปทีละลำ แรงปะทะครั้งนี้ทำให้เรือบินรบชีวภาพลำอื่นๆ สูญเสียการควบคุม ส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถรักษารูปขบวนเอาไว้ได้และตกอยู่ในความโกลาหล!
จากการระเบิดของกองเรือบินรบหวังเป่าเล่อ นอกจากจะมีผู้ฝึกตนจำนวนมากถูกพัดหายไปในอวกาศแล้ว ยังมีทรัพยากรและวัตถุดิบมากมายกระจายเต็มทั่วบริเวณ!
วัตถุดิบเหล่านี้มีทั้งอัญมณี พืช และโลหะ เกือบทั้งหมดต่างเป็นของจำเป็นในการหลอมโอสถและวัตถุเวท เห็นได้ชัดว่าของที่กองทหารมังกรหยดหมึกได้มาในครั้งนี้มากเกินกว่าที่พวกเขาจะเก็บเอาไว้กับตัวได้ จึงต้องเก็บบางส่วนไว้ในเรือบินรบ เมื่อเรือบินรบของหวังเป่าเล่อระเบิดทำลายตัวเอง วัตถุดิบเหล่านี้ก็กระจัดกระจายไปทั่วอวกาศ
ข้าวของเบื้องหน้าทำให้หวังเป่าเล่อเบิกตากว้างเมื่อได้เห็น เขารีบโยนเจ้าลาออกไปพร้อมร้องตะโกน “ลูกข้า ไปเก็บของมาให้หมด จำไว้ด้วยว่านี่ไม่ใช่เวลามาห่วงกิน ถ้าเจ้ายังกล้าตะกละอีก กลับไปข้าจะกินเจ้า!”
เรื่องราวทั้งหมดเหมือนจะยาวนาน แต่จริงๆ แล้วเกิดขึ้นในชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ กลุ่มเรือบินรบสีม่วงที่พุ่งเข้ามาหาต่างสั่นสะเทือนจากแรงระเบิดทำลายตัวเอง เหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณปลิวออกมาจากเรือบินรบ พวกเขาจ้องมองมายังหวังเป่าเล่อด้วยสายตาโกรธเคือง เจ้าลาเองก็ขุ่นเคืองตอนโดนเรียกออกมา แต่พอเห็นข้าวของรอบๆ แล้วก็ตาลุกวาว มันร้องคำรามพร้อมพุ่งตัวออกไป
หวังเป่าเล่อเองก็ไม่มัวเสียเวลาเช่นกัน แววสังหารฉายวาบขึ้นในดวงตา เขาใช้ประโยชน์จากความโกลาหลรอบๆ พุ่งไปหากลุ่มผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะส่งเรือบินรบอีกหนึ่งร้อยลำออกมา ปล่อยให้เหล่าหุ่นเชิดขับไปชนรอบๆ ชายหนุ่มตั้งใจที่จะไม่ให้กองทหารมังกรหยดหมึกได้มีโอกาสพักหายใจ
“นั่นมันหลงหนานจื่อ!” ความโกลาหลก่อนหน้า ประกอบกับการโจมตีฉับพลันของหวังเป่าเล่อทำให้เหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณไม่ทันตระหนักว่าเป็นเขา พอเห็นชายหนุ่มกลายเป็นหมอกและพุ่งตรงมา ผู้ฝึกตนคนหนึ่งก็รับรู้ถึงตัวตนของชายหนุ่มได้ทันที!
แม้จะไม่เคยเห็นหวังเป่าเล่อมาก่อน แต่ในฐานะคนของกองทัพ พวกเขาย่อมทราบเหตุการณ์น่าอับอายของกองทหารมังกรหยดหมึกเมื่อหลายเดือนก่อน และเนื่องจากกองทหารมังกรหยดหมึกได้ออกประกาศจับหวังเป่าเล่อ คนของกองทัพทุกคนจึงอยากจะสังหารชายหนุ่มโดยไม่มีข้อยกเว้น
พวกเขาเก็บข้อมูลเกี่ยวกับหลงหนานจื่ออย่างละเอียดและอยากสังหารอีกฝ่ายทิ้ง ทำให้เมื่อเห็นว่าใครเป็นคนก่อจลาจลครั้งนี้ขึ้น พวกเขาก็เดือดจัดและพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มในทันที
แม้จะรู้ถึงความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อและรู้ถึงความไม่ธรรมดาที่อีกฝ่ายสามารถหนีการจับกุมของผู้บัญชาการกองทหารของพวกเขาไปได้ พวกเขาก็ยังมีจำนวนคนมากกว่า ที่ต้องทำคือถ่วงเวลาชายหนุ่มไว้และรอให้เรือบินรบจัดขบวนได้อีกครั้ง จากนั้นการจะสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณด้วยพลังของกองทัพก็เป็นเรื่องแสนง่ายดาย
ขณะที่ทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกันในชั่วพริบตา แรงสั่นสะเทือนก็พัดกระจายออกไป ส่วนหนึ่งเป็นแรงสั่นสะเทือนจากการระเบิดทำลายตัวเองของเรือบินรบที่หวังเป่าเล่อส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง อีกส่วนหนึ่งมาจากเสียงกรีดร้องของเหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่เปล่งออกมาก่อนจะโดนกำจัด
กล่าวได้ว่าความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อสามารถทำให้เหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณของกองทหารมังกรหยดหมึกต้องตื่นตะลึง!
ขณะที่ทั้งสองฝั่งประมือกัน หวังเป่าเล่อก็ใช้ร่างกายที่เป็นหมอกต้านทานพลังเทพของพวกเขา ก่อนจะแปลงโฉมเป็นร่างที่ห่อหุ้มด้วยเกราะจักรพรรดิ แขนอาวุธเทพคว้าหมับเข้าที่หัวของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนหนึ่ง ก่อนจะออกแรงบดขยี้กะโหลกทันทีโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทำอะไร
“พวกเจ้ากล้าปล้นข้าอย่างนั้นหรือ” หลังจากสังหารผู้ฝึกตนคนหนึ่งไป แววเย็นเยียบก็ฉายชัดขึ้นในดวงตา แต่ชายหนุ่มกลัวว่าจะเผยเคล็ดวิชาของตนออกไป จึงพยายามกดต้านวิชาดวงเนตรปีศาจไว้และล้มเลิกการดูดซับวิญญาณ ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปปะทะกับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกคนอย่างรวดเร็วราวกับเป็นเรือบินรบความเร็วสูง
“พวกเจ้ากล้าออกประกาศจับข้าอย่างนั้นหรือ”
ขณะที่เสียงของชายหนุ่มดังก้องไปถึงสวรรค์ ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่โดนพุ่งปะทะก็กระอักเลือดออกมา ร่างของเขาร่วงหล่นลงไปก่อนจะระเบิด เหตุการณ์ทั้งหมดกลายเป็นความแตกตื่นที่ปะทุอยู่ในใจผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนอื่นๆ พวกเขาต่างถอยหนีด้วยความหวาดกลัว
“พวกเจ้ากล้าหนีอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าการสังหารสองคนติดต่อกันไม่เพียงพอที่จะสร้างความจลาจลครั้งใหญ่ ขณะที่กำลังจะไล่ตามคนอื่นๆ ไป เสียงร้องคำรามกราดเกรี้ยวก็ดังขึ้นมาจากห้วงอวกาศไกลออกไป
หวังเป่าเล่อคุ้นเคยกับเสียงร้องคำรามนั้นดี เสียงนั่นเป็นของผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงไม่ได้ติดตามกองทหารไปด้วย แต่หญิงสาวก็มาถึงในที่สุด นางพุ่งมาหาอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนจะได้บทเรียนจากการปะทะกันครั้งก่อน นางจึงปล่อยกระบวนท่าปริศนาพร้อมกับมาปรากฏตัวกลางสนามรบในชั่วพริบตา
พลังขั้นแสร้งอมตะเข้ากดทับห้วงอวกาศเมื่อนางปรากฏตัว เมื่อผสานเข้ากับพลังที่นางปล่อยออกมาพร้อมแววเย็นเยียบในดวงตา หญิงสาวก็ดูไม่ต่างจากมัจจุราชที่มาเพื่อพรากวิญญาณของหวังเป่าเล่อ!
“หลงหนานจื่อ!” นางตะโกนพร้อมพุ่งเข้าไปหาหวังเป่าเล่อด้วยความไวกว่าอัสนี ห้วงอวกาศแหวกออกเมื่อหญิงสาวเคลื่อนตัวผ่านราวกับว่าสามารถฉีกกระชากได้ทุกสิ่ง เมื่อเข้าไปใกล้ นางยกมือขวาขึ้นส่งฝ่ามือพุ่งไปยังหว่างคิ้วของชายหนุ่ม
“ทำไมตะคอกใส่บิดาเจ้าเช่นนี้” แม้หวังเป่าเล่อจะตื่นกลัว แต่สีหน้ากลับไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกเดือดขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำถามนั้น นางเข้าไปประชิดชายหนุ่มในทันที ก่อนจะปะทะเข้ากับเกราะจักรพรรดิที่ปรากฏขึ้นมาต้านพลังโจมตีอย่างสุดกำลัง
เสียงสั่นสะเทือนดังกึกก้อง แม้หวังเป่าเล่อจะมีเกราะจักรพรรดิช่วยต้านการโจมตี แต่ก็ไม่สามารถเทียบชั้นกับพลังผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกได้ เกราะจักรพรรดิจึงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในทันที ทว่าเศษชิ้นส่วนกลับไม่ได้หายวับไป มันพุ่งไปทางผู้บัญชาการทหารมังกรหยดหมึกโดยพลัน
“ขังนางไว้!” หวังเป่าเล่อพ่นเลือดออกมาพร้อมร้องคำราม ทันใดนั้น เกราะจักรพรรดิก็พุ่งไปล้อมรอบร่างผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกและขังนางเอาไว้ภายใน!
ชายหนุ่มต้องแบกรับอาการบาดเจ็บรุนแรงขณะที่แปลงกายเป็นหมอกอยู่หลายครั้งเพื่อต้านทานการโจมตี ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกไม่ได้สนใจเศษเกราะจักรพรรดิรอบตัว ขณะที่นางกำลังจะปลดปล่อยพลังปราณเพื่อหลบหนีออกมาและตามไปสังหารหวังเป่าเล่อ ดวงตาของชายหนุ่มก็ฉายแสงวาบ เขาทิ้งแผนที่วางเอาไว้ก่อนหน้าว่าจะผนึกผู้บัญชาการเจ็ดหน และเปลี่ยนมาผนึกนางเอาไว้ในครั้งเดียว
ชายหนุ่มยกมือขวากวาดลง ทันใดนั้น หุ่นเชิดเจ็ดพันตัวที่สร้างไว้เพื่อผนึกก็รวมตัวกันสร้างวงล้อมเจ็ดชั้นขึ้นมา เหล่าหุ่นเชิดกระจายตัวไปล้อมผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกเพื่อผนึกนางไว้!
“จงผนึก!”
สิ้นคำสั่ง หุ่นเชิดเจ็ดพันตัวก็เปล่งแสงสุกสว่างพร้อมกัน แสงจ้าก่อตัวเป็นลำแสงมากมายพุ่งไปพันรอบตัวผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก หุ่นเชิดเจ็ดพันตัวและลำแสงเจ็ดพันสายพันเกี่ยวรอบตัวผู้บัญชาการก่อเกิดเป็นผนึกขึ้นมา!
บทที่ 763 ผนึก!
หากมองจากที่ไกลๆ จะเห็นว่าภาพตรงหน้านั้นสว่างจ้าเกินบรรยาย
หุ่นเชิดเจ็ดพันตัวและลำแสงเจ็ดพันสายพันเกี่ยวรอบตัวผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกจนเหมือนรังไหมขนาดใหญ่ ลำแสงแต่ละสายบนรังไหมไม่ได้ดูแกร่งกล้าเท่าไหร่ แต่เป็นเพราะความเชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทและการที่ชายหนุ่มผสานกระบวนการหลอมของสหพันธรัฐเข้ากับของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ จึงทำให้ลำแสงสามารถปล่อยพลังขั้นจุติวิญญาณมาได้ช่วงสั้นๆ
แม้จะมีพลังไม่พอที่จะทำร้ายนาง แต่หวังเป่าเล่อก็สามารถถ่วงเวลาหญิงสาวไว้ได้ระยะหนึ่งโดยใช้ลำแสงขั้นจุติวิญญาณเจ็ดพันสายพันล้อมผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกเจ็ดพันชั้น!
ในเมื่อทำเช่นนี้ได้มันก็ควรถูกเรียกว่าเป็นผนึก!
ผู้ฝึกตนกองทหารมังกรหยดหมึกที่ตื่นเต้นดีใจกับการมาของผู้บัญชาการล้วนตื่นตกใจไปเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ใครเห็นก็บอกได้ว่าต้องทุ่มไปไม่น้อยถึงจะสร้างผนึกนี้ขึ้นได้ ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าวิธีผนึกนี้มีประสิทธิภาพมากทีเดียว!
มันมีประสิทธิภาพมากจริงๆ ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกถูกลำแสงเจ็ดพันสายพันเกี่ยวแขนขา นางร้องคำรามพร้อมปลดปล่อยพลังปราณพยายามจะหนีออกมา แต่ทำได้เพียงทำลายลำแสงบางสายและทำให้หุ่นเชิดจำนวนหนึ่งระเบิด ไม่มีทางที่นางจะเป็นอิสระได้ในทันที!
“กองทหารมังกรหยดหมึก ข้าอยากให้พวกเจ้าจำเอาไว้ว่ามาลองดีกับข้าก็ต้องเจอผลกรรมเช่นนี้!” จิตสังหารปะทุขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขาไม่รีรอ รีบพุ่งตามเหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณไปในพริบตา!
“สังหาร!” หวังเป่าเล่อตะโกนลั่นพร้อมหายตัวไปปรากฏด้านหน้าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนหนึ่งราวกับเป็นสายฟ้า ผู้ฝึกตนคนนั้นอยู่ในวัยกลางคน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันทีที่เห็นหวังเป่าเล่อ เมื่อรู้ว่าไม่มีทางหนีรอดไปได้ ดวงตาของเขาก็ฉายแววคลุ้มคลั่งขณะงัดไพ่ตายออกมาใช้ ด้วยหวังว่าจะสามารถสกัดชายหนุ่มไว้ได้จนกว่ากำลังเสริมมาถึง
ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนอื่นๆ กัดฟันแน่นและรีบพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะตอบโต้เป็นกลุ่มเพื่อยื้อเวลาให้ผู้บัญชาการของพวกตนหลบหนีออกมาได้!
แต่…พวกเขาคิดกันตื้นเขินเกินไป!
สถานการณ์ในสนามรบถูกกำหนดเอาไว้แล้ว พวกเขาได้ถอยหนีกันตามสัญชาตญาณเมื่อได้เห็นความโหดเหี้ยมของหวังเป่าเล่อ และชายหนุ่มไม่มีทางเปิดโอกาสให้พวกเขากลับมารวมตัวกันได้อีกครั้ง!
ขณะที่กลุ่มผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณกำลังจะเข้ามารวมกลุ่มกัน หวังเป่าเล่อก็โบกมือส่งเรือบินรบหลายสิบลำออกไป พวกมันระเบิดส่งเสียงดังสนั่น แรงปะทะนั้นไม่ต่างจากพายุที่พัดกระจายออกไปจนทำให้ห้วงอวกาศสั่นคลอน เหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากร่ายคาถาออกมาต้าน ทำให้ล่าช้าลงไปอีก
ทันใดที่พวกเขาชะลอความเร็วลง หวังเป่าเล่อก็เร่งความเร็วขึ้น ไม่สนใจการต้านพลังของเหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่ตนตั้งใจจะฆ่า ชายหนุ่มเป็นดั่งรถถังออกศึก เขาพุ่งเข้าชนผู้ฝึกตนคนหนึ่งเข้าอย่างจัง เสียงสั่นสะเทือนดังก้องไปทั่วบริเวณ
เสียงดังสนั่นก้องไปทั่วพร้อมร่างผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่ระเบิด ร่างถูกทำลายย่อยยับ หวังเป่าเล่อพุ่งฝ่าหมอกสีเลือดตรงไปหาผู้ฝึกตนอีกคนทันที!
“หลงหนานจื่อ!” ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกที่โดนผนึกอยู่ร้องตะโกนขึ้นพร้อมคำรามอย่างคลุ้มคลั่ง หุ่นเชิดหลายร้อยตัวไม่สามารถทนเสียงร้องนี้ได้จึงระเบิดออกมา
แต่ไม่ว่าผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกจะร้องคำรามอย่างไร หวังเป่าเล่อก็ทำเหมือนว่าไม่เห็นและไม่ได้ยิน ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นจากความคลุ้มคลั่งของนางแม้แต่น้อย เขาไม่ได้บุ่มบ่ามเข้าไปโจมตีผู้บัญชาการ ถึงนางจะโดนผนึกไว้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถสังหารหญิงสาวได้ก่อนที่นางจะหลุดออกมา นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาข้อดีข้อเสียดูแล้วก็ตระหนักว่าถึงจะสามารถทำให้ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกบาดเจ็บได้ ก็ไม่ค่อยคุ้มค่าและไม่น่าดึงดูดใจเท่ากับการทำลายแผนการในอนาคตของกองทหารมังกรหยดหมึก
เพราะไม่ว่าผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกจะมีระดับการฝึกตนสูงเพียงใด นางก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนคนเดียว แต่ที่เขาจะกำจัด…คือทั้งกองทัพ!
หวังเป่าเล่อตัดสินใจได้โดยไม่ลังเล ร่างของเขาหายวับไป พลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นปะทุขึ้นเต็มกำลัง แม้จะไม่ได้ปล่อยวิชาดวงเนตรปีศาจเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แต่พลังเสริมจากเกราะจักรพรรดิที่เสียหายและวิญญาณจุติดวงดาราก็ทำให้เขาปลดปล่อยพลังสุดแกร่งกล้าออกมาในสนามรบ!
เขาเอี้ยวตัวยกมือขวาคว้าศีรษะผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกคน ก่อนจะบดขยี้กะโหลก สังหารโหดไปอีกหนึ่งราย!
เมื่อเขาสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกคนลง เสียงร้องคำรามของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณก็ดังขึ้นพร้อมกับพลังเทพที่ผสานรวมกันและปล่อยออกไป!
ถึงพลังเทพของพวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่ด้วยการต้านทานของเกราะจักรพรรดิและร่างที่กลายเป็นหมอกในทันใด ก็ทำให้ชายหนุ่มไม่ได้รับผลกระทบเท่าใดนัก มากสุดที่พวกเขาทำได้คือทำให้หวังเป่าเล่อกระอักเลือดออกมา ขณะเดียวกันนั้นเอง กองทหารมังกรหยดหมึกก็ต้องพบกับการสูญเสียอีกครั้ง!
ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนที่สามกำลังถอยหนี แต่ร่างของเขาก็ถูกห้อมล้อมด้วยหวังเป่าเล่อที่กลายเป็นหมอก เมื่อชายหนุ่มพุ่งตัวไป ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนที่สามก็ส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดก้องไปทั่วสนามรบ
ในระหว่างนั้นเอง เรือบินรบรอบๆ ก็เปิดฉากโจมตี ลำแสงลูกแล้วลูกเล่าระเบิดรอบตัวหวังเป่าเล่อ เขายกมือขึ้นโบก ส่งเรือบินรบหลายสิบลำออกไปรอบๆ และสั่งให้ระเบิดอีกครั้ง ส่งผลให้เรือบินรบกองทหารมังกรหยดหมึกที่พึ่งจัดขบวนขึ้นได้ใหม่ตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้งจากแรงปะทะ!
เมื่อผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น นางก็ดิ้นรนหนักขึ้นไปอีก เสียงร้องคำรามดังก้องขึ้นอีกระดับ ส่งผลให้หุ่นเชิดระเบิดเพิ่มไปอีกหลายตัว!
ทว่า…แม้หุ่นเชิดจะระเบิดไปมาก หุ่นเชิดจำนวนเจ็ดพัดตัวก็ยังทนต่อได้อีกสักพัก เนื่องจากนับตั้งแต่วินาทีที่นางโดนผนึกจนกระทั่งหวังเป่าเล่อสังหารผู้ฝึกตนไปสามคนนั้น มันเพิ่งจะผ่านไปได้เพียงสิบชั่วลมหายใจเท่านั้น!
ยังไม่ถึงเวลาที่จะจบเรื่องราวทั้งหมด แสงเย็นเยียบฉายขึ้นในแววตาหวังเป่าเล่อ เขาเอี้ยวตัวและพุ่งทะยานออกไปอีกครั้ง เล็งสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นโดยเฉพาะ โดยที่จัดการผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลางไปด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มพยายามเลี่ยงผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายของกองทหารมังกรหยดหมึกอีกสองคน เขาสามารถคุมสถานการณ์ในสนามรบไว้ได้ในเวลาสั้นๆ ด้วยพลังป้องกันและความเร็วของตนเอง ประกอบกับเรือบินรบทำลายตัวเองที่ปล่อยออกไปเป็นช่วงๆ
เมื่อผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนที่สี่ ห้า หก และเจ็ดถูกหวังเป่าเล่อสังหารไป ก็เหลือผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณในกองทหารมังกรหยดหมึกเพียงห้าคนเท่านั้น!
ขณะเดียวกัน การระเบิดทำลายตัวเองหลายต่อหลายครั้งของเรือบินรบก็สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับเรือบินรบของกองทหารมังกรหยดหมึก ส่วนเจ้าลาที่กำลังรวบรวมข้าวของอยู่นั้นก็กำลังอยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง!
เหตุการณ์ทั้งหมดทำให้ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกร้องคำรามเสียงดังขึ้นไปอีก นางตัดสินใจปลดปล่อยเคล็ดเวทเพื่อให้หลุดออกไปได้เร็วขึ้น แม้ว่าจะต้องจ่ายราคาแพงแต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ
นั่นก็เพราะ…พลังต่อสู้ของหลงหนานจื่อเป็นรองเพียงนางเท่านั้น อีกทั้งการกระทำของเขายังโหดร้ายยิ่งนัก ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นคือชายหนุ่มไม่ได้สนเรื่องความแตกต่างของระดับการฝึกตนแม้แต่น้อย ราวกับว่าสายตาของเขาแบ่งแยกเพียงแค่มิตรกับศัตรู ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความแข็งแกร่งหรือความอ่อนแอ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์ศรีของผู้แข็งแกร่ง!
แม้จะอ่อนแอกว่า แต่ถ้าเป็นศัตรู เขาก็พร้อมสังหาร ไม่เกี่ยงแม้แต่เพศ!
นอกจากนี้ ความแม่นยำในการกะจังหวะโจมตีของเขาก็ทำให้ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกตื่นกลัวขึ้นในจิตใจ ความจริงแล้ว แม้กองทหารมังกรหยดหมึกจะออกปล้นได้สำเร็จในครั้งนี้ แต่พวกเขาก็ต้องพบกับความสูญเสียหนักหน่วง ทั้งเรือบินรบและกองทัพผู้ฝึกตนต่างอยู่ในสภาพเหนื่อยอ่อน!
ทำให้หวังเป่าเล่อสามารถใช้จุดอ่อนตรงนี้เด็ดหัวเด็ดหางกองทหารมังกรหยดหมึกได้ในเวลาสั้นๆ!
“หลงหนานจื่อ ข้าจะฆ่าเจ้า!” นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกเลือกที่จะทุ่มสุดตัว นางปล่อยเคล็ดเวทออกไป หุ่นเชิดรอบๆ ระเบิดทำลายตัวเองไปจำนวนมาก พริบตาเดียว หุ่นเชิดกว่าสี่พันตัวก็ทยอยระเบิดหายไป ที่เหลืออยู่พันตัวก็กำลังระเบิดตามไป
สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งเครียดขึ้น เมื่อเวลาที่คาดไว้ว่าผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกจะหลุดออกมาได้นั้นกระชั้นมามากกว่าเดิม แม้จะคาดคะเนและเตรียมการตอบโต้มาดี แต่เขาก็ทำได้แค่ถอนหายใจอยู่ภายใน
เหมือนว่าข้าจะทำได้มากสุดเท่านี้…ถึงจะยังไม่ค่อยพอใจ แต่แค่นี้ก็ได้ ก่อนจากไป ขอทิ้งของขวัญชิ้นใหญ่ไว้ให้นางอีกชิ้น! แววชั่วร้ายฉายชัดในดวงตาของหวังเป่าเล่อขณะที่ขยับตัวอีกครั้ง รอบนี้ชายหนุ่มเปลี่ยนเป้าหมายไป เขาไม่ได้เล็งผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่กลับแปลงกายเป็นหมอกและมุ่งหน้าตรงไปยังกองเรือบินรบ ขณะที่กองทหารมังกรหยดหมึกกำลังตกอยู่ในความโกลาหล!
เป้าหมายของเขาไม่ใช่การทำลายกองเรือบินรบด้วยพลังปราณของตนเอง แต่เป็นการซ้ำแผลเดิมที่มีอยู่แล้ว!
การระเบิดหลายครั้งก่อนหน้านี้ได้เปิดแผลเก่าของเรือบินรบส่วนใหญ่ของกองทหารมังกรหยดหมึก หวังเป่าเล่อกลายเป็นหมอกลอยออกไป ก่อนจะทำให้เรือบินรบสั่นสะเทือนอีกครั้งพร้อมส่งสัญญาณเตือนว่าไม่อาจทนรับแรงปะทะได้อีก
ทั้งหมดเหมือนจะดูเนิ่นนาน แต่จริงๆ แล้วมันเกิดขึ้นในชั่วเวลาสั้นๆ หวังเป่าเล่อกลายเป็นหมอก ลอยผ่านเรือบินรบชีวภาพของกองทหารมังกรหยดหมึกจำนวนมาก เขายกมือขวาส่งเรือบินรบที่เหลืออยู่หลายร้อยลำออกมาจากกำไลคลังเวทและสั่งให้ระเบิดทำลายตัวเอง!
พริบตาต่อมา แรงสั่นสะเทือนก็กระจายไปทั่วบริเวณ ฝูงพายุที่ก่อตัวขึ้นผสานรวมกัน เมื่อเรือบินรบชีวภาพของกองทหารมังกรหยดหมึกที่เสียหายอยู่แล้ว ต้องเผชิญกับพลังทำลายล้างจากเรือบินรบทำลายตัวเองของหวังเป่าเล่อและการโจมตีด้วยร่างหมอกเข้า ก็ไม่สามารถทนรับแรงปะทะจากพายุที่รุนแรงและพัดไปทั่วบริเวณได้ พวกมันจึงเริ่ม…ทำลายตัวเองลง!
บทที่ 764 โอสถอมตะชั้นสูง!
แม้ระยะห่างและความเสียหายที่ได้รับจะแตกต่างกัน ทำให้เรือบินรบชีวภาพไม่ได้ระเบิดทุกลำ แต่อย่างน้อยเรือบินรบของกองทหารมังกรหยดหมึกร้อยละสามสิบจากเกือบร้อยลำก็พังทลายและระเบิดในทันที!
แรงระเบิดพัดกระจายไปทั่ว ก่อเป็นพายุขึ้นในห้วงอวกาศ ทำให้เรือบินรบชีวภาพลำอื่นได้รับความเสียหายหนักขึ้นไปอีก และขณะเดียวกัน ผู้ฝึกตนของกองทหารมังกรหยดหมึกก็ได้รับบาดเจ็บรุนแรงเช่นกัน!
ส่วนหวังเป่าเล่อที่เป็นต้นตอของเรื่องทั้งหมด เมื่อก่อการจลาจลเสร็จก็เรียกเจ้าลากลับมา เขาเก็บมันเข้าไปและปลดปล่อยอำนาจเคลื่อนย้ายที่ได้มาจากดวงเนตรหมื่นปีศาจ จากนั้นก็ใช้พลังที่เอ่อออกมารอบตัวเคลื่อนย้ายหายวับไปในทันที!
ระหว่างที่กำลังหายตัวไป ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงคำรามอย่างโกรธแค้นดังสนั่นสวรรค์จากด้านหลัง ท่ามกลางกองเรือบินรบที่กำลังระเบิดตัวเอง เขาเห็นภาพหุ่นเชิดกำลังทำลายตนเองในหัว
ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกหลุดเป็นอิสระได้ในที่สุด!
ขณะที่ความคิดนั้นปรากฏในหัว วิสัยทัศน์เบื้องหน้าก็พลันพร่ามัว ก่อนจะแจ่มชัดอีกครั้งในพริบตาต่อมา ชายหนุ่มได้จากสนามรบออกมาไกลแล้ว เบื้องหน้าของเขาคือดารานิรันดร์ขนาดใหญ่ยักษ์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!
เสียดายที่ขั้นแสร้งอมตะช่างแข็งแกร่งนัก จะยืดเวลาขังนางออกไปก็เป็นเรื่องยาก…ไม่อย่างนั้น ข้าจะทำให้นางต้องคร่ำครวญตอนที่นางหลุดออกมาได้! หวังเป่าเล่อพ่นลมทางจมูก เขารู้ว่าตนเองนั้นโหดเหี้ยม แต่แม้แต่อัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงก็ช่วยให้ตนมีเมตตาขึ้นมาไม่ได้ ชายหนุ่มล้มเลิกความตั้งใจที่จะเปลี่ยนตัวเองไปตั้งแต่ยังเด็กแล้ว
ตอนนี้เขาคลายความโกรธแค้นในใจไปได้เล็กน้อย ชายหนุ่มพุ่งตัวมุ่งหน้าไปยังดินแดนใต้อาณัติของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์โดยไม่ลังเลใจ และแน่นอน รูปลักษณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง รอบนี้ไม่ใช่จั่วอี้เซียน…
หวังเป่าเล่อกลัวว่าถ้าแปลงกายเป็นจั่วอี้เซียนบ่อยเกินไปจนติดเป็นนิสัยคนอื่นจะจับได้ในที่สุด ดังนั้น หลังจากไตร่ตรองดู เขาก็ตัดสินใจแปลงกายเป็นบิดาของจั่วอี้เซียนแทน
ต่อจากนี้ก็รวมของที่ชิงมาได้และดูว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คาดหรือเปล่า… ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ เขาทั้งสงสัยเกี่ยวกับข้าวของที่ชิงมาได้และเป็นห่วงว่าเจ้าลาจะแอบกินไปเล็กน้อยจึงรีบส่งข้อความเสียงไปเตือนเจ้าลา นอกจากนี้ ของที่ชิงมาได้ไม่ได้มาจากเจ้าลาเท่านั้น ยังมีกระเป๋าคลังเก็บที่ชิงมาจากผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเจ็ดคนที่โดนสังหารไปด้วย
หวังเป่าเล่อเตรียมแผนไว้แล้วหากทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่คาด การคิดเผื่อเยอะๆ ทำให้รู้สึกอุ่นใจมากขึ้น หลังจากจัดเรียงความคิดเสร็จ ชายหนุ่มก็เร่งความเร็วของตนเอง
ขณะเดียวกัน ณ จุดที่กองทหารมังกรหยดหมึกโดนโจมตี ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกผู้ซึ่งหวังเป่าเล่อรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ทำให้นางคร่ำครวญก็ไม่ได้กรีดร้องโวยวายแต่อย่างใด แต่เลือดที่ไหลออกมาจากหัวใจของนางนั้นมีมากถึงขั้นก่อตัวเป็นมหาสมุทรโลหิตได้
การสูญเสียของพวกเขาหนักหนามาก ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณสิบสองคนถูกสังหารไปเจ็ด รวมกับก่อนหน้านี้อีกห้า หวังเป่าเล่อได้สังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณของกองทหารมังกรหยดหมึกไปทั้งหมดสิบสองคนจากเดิมที่มีสิบเจ็ดคน!
พวกเขาสูญเสียผู้ฝึกตนระดับสูงไปถึงร้อยละเจ็ดสิบ!
นอกจากนั้นแล้ว กองเรือบินรบที่พังเสียหายยิ่งทำให้ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกสติแตกขึ้นไปใหญ่ หลังจากคิดคำนวณดูแล้ว เรือบินรบชีวภาพครึ่งหนึ่งระเบิดพังไป ส่วนที่เหลืออยู่ก็ได้รับความเสียหายหนักเบาแตกต่างกัน การจะซ่อมแซมต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล ถ้าพวกเขาอยากจะสร้างเรือบินรบชีวภาพขึ้นมาใหม่ให้มีระดับเท่าเดิม ทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้นั้น…มากเกินกว่าที่กองทหารมังกรหยดหมึกมีเสียอีก!
การต่อสู้ครั้งนี้ถือเป็นการตัดกำลังกองทหารมังกรหยดหมึกไปได้อย่างจริงแท้ จินตนาการได้เลยว่าพวกเขาย่อมไม่สามารถรักษาอันดับของตนเองในสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำไว้ได้แน่ แม้การตกมาอยู่ในสิบอันดับต้นจะยังถือว่าสูญเสียไม่มากก็ตาม…
หลงหนานจื่อ!
ข้าจะไม่ยอมอยู่ใต้นภาเดียวกับเจ้าแน่! หลังจากประเมินความเสียหายคร่าวๆ เสร็จ ความกราดเกรี้ยวก็ถาโถมสู่ดวงใจของผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก นางกระอักเลือดกองใหญ่ ก่อนจะกรีดร้องใส่ท้องนภาด้วยดวงตาอันแดงก่ำ
จริงๆ แล้วการสูญเสียเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น อีกส่วนหนึ่งคือความเจ็บใจ นางถูกขังทันทีที่มาถึงและทำได้แค่เฝ้ามองกองทัพของตนเองโดนเด็ดแขนขา หลังจากยอมจ่ายราคาแพงเพื่อให้หลุดออกมาได้ หวังเป่าเล่อก็เคลื่อนย้ายหายไปในทันที
แม้จะรู้ว่าเป็นการเคลื่อนย้ายด้วยพลังของดวงเนตรหมื่นปีศาจและรู้ว่าตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ที่ดารานิรันดร์ แต่ระยะทางระหว่างทั้งสองนั้นไกลกันเกินไป ถึงจะอยากไล่ตามไปเพียงใด ก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะตามไปได้ทัน
และด้วยความเร็วของหวังเป่าเล่อ นางก็มั่นใจว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะตามไปทัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง สิ่งที่ทำให้นางต้องสิ้นหวังหนักขึ้นไปอีก…ปรากฏขึ้นในสามวันให้หลัง
วีดิโอและเรื่องราวการต่อสู้ครั้งนี้ได้กระจายไปทั่วทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!
และเพราะฝั่งหนึ่งเป็นกองทหารมังกรหยดหมึกอันมีชื่อเสียง ศึกครั้งนี้จึงได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม แต่การต่อสู้นั้นสั้นมาก คนอื่นๆ จึงมองภาพรวมได้ยาก ดังนั้นเมื่อวีดิโอการต่อสู้ที่ผ่านการตัดต่อได้บรรจุเข้าไปในช่องทางเฉพาะต่างๆ มันก็กลายเป็นเรื่องเด่นดังภายในหมู่ผู้ฝึกตนในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทันที
แม้รายละเอียดมากมายจะถูกตัดทอนไปจากวีดิโอ แต่รายละเอียดส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ครบ โดยเฉพาะฉากหวังเป่าเล่อสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ ฉากผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกถูกกักขัง และฉากเรือบินรบทำลายตัวเอง จึงเป็นเรื่องปกติที่ทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะตื่นตกใจกับเหตุการณ์นี้
“หลงหนานจื่อมันบ้าไปแล้ว เขากล้าโจมตีกองทัพด้วยตัวคนเดียว!”
“ข้าว่ากองทหารมังกรหยดหมึกโง่มาก มีเรือบินรบเป็นร้อย ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกสิบแต่ก็ยังโดนถล่มราบคาบ ถ้ากองทหารมังกรหยดหมึกไม่ได้โง่ก็คงเป็นวีดิโอนี้ละที่โง่!”
“ปลอมมาก หรือหลงหนานจื่อจะเป็นบุตรของผู้กล้าแกร่งบางคน กองทหารมังกรหยดหมึกจึงร่วมมือด้วยเพื่อสร้างชื่อเสียงให้เขา”
ความเห็นมากมายผุดขึ้นในทุกดาวเคราะห์และทุกสำนักของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ทุกคนต่างถกเถียงเรื่องนี้กันยกใหญ่ บางส่วนก็ชื่นชมหวังเป่าเล่อ บ้างก็ยังไม่ปักใจเชื่อ และมีอีกส่วนที่คิดว่าวีดิโอเป็นของปลอม
เมื่อผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกได้ทราบถึงความเห็นส่วนใหญ่จากบางช่องทางก็เดือดขึ้นมาอีกครั้ง นางพยายามอย่างหนักและโกรธจัดจริงๆ แต่ผู้คนกลับคิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นของปลอมและนางตั้งใจออมมือให้หวังเป่าเล่อ นางเกือบจะคุมตัวเองไม่ได้แล้วตอบโต้ความเห็นพวกนั้นกลับไป…
โชคดีที่หญิงสาวยังพอมีสติอยู่บ้าง ความเจ็บแค้นของนางจึงพุ่งทะลุจุดเดือดเพียงไม่กี่วัน
แต่ไม่ว่าทุกคนจะมีความเห็นอย่างไร การก่อจลาจลครั้งใหญ่ของหวังเป่าเล่อก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ศึกครั้งนี้…ทำให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ชายหนุ่มกลายเป็นคนดังจากศึกหนเดียว!
ประกอบกับสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำตั้งค่าหัวให้หวังเป่าเล่อ ทำให้ชื่อของชายหนุ่มโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก ทุกคนต่างรู้จักชื่อของเขากันทั้งสิ้น!
กองทหารมังกรหยดหมึกได้ออกประกาศจับชายหนุ่มไปก่อนหน้านี้ แต่มันก็เทียบไม่ได้กับการตั้งค่าหัวจากทางสำนักใหญ่ นอกจากนี้ แม้รางวัลที่ได้จากการนำจับหวังเป่าเล่อจะไม่ได้สูงมาก แต่ก็เป็นที่ดึงดูดใจใครหลายคน
“นายท่าน ใครก็ตามที่ปลิดชีพท่านได้จะได้รับสิทธิ์จัดตั้งกองทหารประสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงเมื่อได้ยินเสียงสั่นเครือของเต๋อคุนจื่อแจ้งข่าว
เขาทราบชัดเจนเกี่ยวกับความสำคัญของกองทหารในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อยังสังเกตเห็นว่าระดับของกองทหารนั้นมีความเชื่อมโยงกับการรับมรดกจากดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์
ชายหนุ่มไม่รู้เหตุผลและไม่แน่ใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก แต่มันก็เป็นเรื่องที่สามารถสำรวจตรวจสอบดูได้ และเพราะเหตุนี้ เขาจึงเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับกองทหารมากขึ้น
หวังเป่าเล่อรู้ว่าแม้กองทหารของสำนักใหญ่และกองทหารของสำนักย่อยจะใช้ชื่อเรียกเหมือนกัน แต่ระดับชั้นนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ไม่มีทางที่จะเทียบกันได้ อำนาจและผลประโยชน์ที่มีก็ต่างกันมหาศาล
ถ้าให้เปรียบเทียบระหว่างทั้งสองฝ่าย ก็เปรียบได้ว่ากองทหารสำนักใหญ่นั้นเป็นผู้กินเนื้อ ส่วนกองทหารสำนักย่อยได้กินเพียงน้ำต้มกระดูกที่เหลือจากสำนักใหญ่โดยไม่มีชิ้นเนื้อติดมาเลย!
ในส่วนของโครงสร้างก็แตกต่างเช่นกัน สำนักย่อยทุกสำนักสามารถตั้งกองทหารได้ไม่ว่าจะขนาดใหญ่หรือเล็ก ขอแค่มีทรัพยากรเพียงพอและต้องไปลงทะเบียนกับสำนักใหญ่ แต่กองทหารของสำนักใหญ่นั้นไม่ได้ตั้งขึ้นเช่นนี้ พวกเขาจะต้องมีสิทธิ์ในการตั้งกองทหารก่อน และสิทธิ์นั้น…ไม่ได้มาจากทรัพยากรหรือความแข็งแกร่ง แต่เป็นความดีความชอบที่สร้างให้กับสำนัก!
พอได้ทราบว่าสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำใช้เงื่อนไขนี้เป็นรางวัลนำจับ หวังเป่าเล่อก็เป็นกังวลขึ้นมา หลังจากส่งเต๋อคุนจื่อกลับ เขาก็นั่งอยู่ในจุดซ่อนตัวและครุ่นคิด
จะไปกลัวอะไร ข้าเป็นแค่ร่างอวตาร! เมื่อคิดได้เช่นนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นก็หยิบกล่องสีม่วงออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ
มีรอยกัดอยู่บนกล่อง…
หวังเป่าเล่อทั้งโกรธทั้งโล่งใจเมื่อเห็นรอยกัด หลังจากจัดข้าวของที่ได้มาไปสองสามวัน เขาก็พบว่าเจ้าลาแอบกินไปเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้แตะต้องของส่วนใหญ่ จึงไม่ได้ลงโทษอะไรอีกฝ่าย มีแค่กล่องใบนี้เท่านั้นที่มันเอาไปซ่อนไว้ ตอนที่ชายหนุ่มพบกล่อง เจ้าลาก็ได้ทำลายผนึกส่วนใหญ่ไปแล้ว พอพบว่าโดนเจอเข้าแล้ว มันก็รีบเขมือบอย่างกังวลใจ หมายจะกลืนกินทั้งกล่องและของข้างในลงท้อง
เจ้าลาร้องไห้คร่ำครวญเมื่อหวังเป่าเล่อหยุดมัน เขาเปิดดูในกล่องและพบโอสถที่เปล่งแสงสีม่วง!
เขาเห็นนกกระเรียนโผบิน ทวยเทพเริงระบำ และหอคอยศักดิ์สิทธิ์มากมายอยู่ในแสงสีม่วง มองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าโอสถนี้ไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป หวังเป่าเล่อจำแลงกายเป็นบิดาของจั่วอี้เซียนและออกไปตรวจสอบดู คำตอบที่ได้มาทำให้ดวงวิญญาณถึงกับสั่นคลอน ชายหนุ่มเปิดดูโอสถในกล่องสีม่วงอีกครั้ง จากนั้นก็สูดหายใจลึกและพึมพำกับตนเอง
“โอสถอมตะชั้นสูง!” หวังเป่าเล่อจ้องโอสถไม่วางตา เริ่มหายใจถี่รัว น้ำลายเกือบไหลออกมาจากมุมปาก
บทที่ 765 ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลาง!
เคล็ดวิชาหลอมโอสถของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นไม่ได้มีความพิเศษเหมือนเคล็ดวิชาหลอมวัตถุเวท ส่วนใหญ่จะไปขโมยโอสถมาหรือไม่ก็ใช้วิธีบางอย่างในการแลกเปลี่ยนกับอารยธรรมที่แข็งแกร่งอื่นๆ
ถึงพวกเขาจะไม่คุ้นชินกับการหลอมโอสถ แต่ประสบการณ์หลายปีก็ทำให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์รู้จักโอสถมีชื่อรวมถึงอิทธิฤทธิ์ของมันไม่น้อย โอสถอมตะชั้นสูงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ไม่ใช่ทุกอารยธรรมเก่าแก่จะหลอมโอสถนี้ขึ้นได้ มีเพียงอารยธรรมขนาดใหญ่เท่านั้นที่สามารถหลอมได้ มีการใช้สูตรปริศนาในการหลอม ทำให้โอสถนี้มีจำนวนน้อย อิทธิฤทธิ์หลักของมันคือการช่วยให้ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไปสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จในการใช้ปราณวิญญาณหนาแน่น เพื่อบรรลุจากขั้นเชื่อมวิญญาณไปขั้นจิตวิญญาณอมตะ ในขณะเดียวกัน เพราะสูตรปริศนาที่ใช้หลอม โอสถนี้จึงถือว่าเป็นโอสถเฉพาะทาง ผู้ฝึกตนสามารถดื่มได้แค่หนเดียวในชีวิต หากดื่มหนที่สองจะสร้างความเสียหายรุนแรงให้ร่างกาย
แม้จะเป็นโอสถเฉพาะทาง แต่ด้วยความน่าดึงดูดใจและอิทธิฤทธิ์ที่รุนแรง ทำให้โอสถนี้มีราคาสูงมากในอารยธรรมเล็กๆ จริงๆ แล้วก็มีราคาตั้งไว้ แต่ไม่มีใครซื้อ!
เมื่อหวังเป่าเล่อออกไปค้นข้อมูล ชายหนุ่มเห็นหลายคนยอมแลกเรือบินรบสิบลำกับโอสถอมตะชั้นสูง ซึ่งทำให้เขาแปลกใจเป็นอันมาก
ไม่รู้ว่าใครซื้อมาไว้ใช้กับตัวเอง แต่ตอนนี้ข้าได้มาไว้ในมือแล้ว หวังเป่าเล่อมองโอสถในมือด้วยความสุขใจ เขาจำไม่ได้ว่าได้โอสถนี้มาจากใคร แต่ถ้าเจ้าลาเป็นคนเก็บมาก็แสดงว่าน่าจะเป็นของกองทหารมังกรหยดหมึก
พอรู้ว่าเดิมทีโอสถนี้เป็นของกองทหารมังกรหยดหมึก ประกอบกับการที่ได้ใช้วิธีต่างๆ ตรวจสอบดูและพบว่าโอสถไม่ได้มีความผิดปกติอะไร หวังเป่าเล่อก็ยิ่งสุขใจมากขึ้น ความจริงแล้วเพื่อป้องกันเผื่อมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น เขาถึงกับขูดผงจากโอสถไปป้อนให้เจ้าลา ซึ่งตอนนี้ก็มั่นใจแน่นอนแล้วว่าโอสถนี้ไม่มีอะไรแปลกปลอม
ชายหนุ่มนั่งลงขัดสมาธิ เริ่มฮัมเพลง ขณะที่เจ้าลาที่อยู่ข้างๆ มองมาด้วยความขุ่นเคืองใจ
ก่อนจะดื่มโอสถ ข้าควรฉลองก่อนเสียหน่อย หวังเป่าเล่อหยิบขนมมากมายออกมากิน หลังจากนั้นก็ดื่มน้ำเย็นหล่อวิญญาณที่เก็บไว้ เขาลูบกล้ามท้องอย่างสบายใจก่อนจะถอนใจออกมา
มีร่างอวตารก็ดีเหมือนกัน เพราะต่อให้กินเท่าไหร่ก็ไม่มีทางอ้วน ต่อไปถ้าอยากกินอะไรก็ให้ร่างอวตารเป็นคนกินแล้วกัน…ทำไมถึงคิดอะไรแสนชาญฉลาดเช่นนี้ได้กันนะ หวังเป่าเล่อ เจ้าช่างอัจฉริยะเสียจริง! หวังเป่าเล่อจมอยู่ในห้วงความคิด รู้สึกว่าตนฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่เขากำลังสุขใจเป็นล้นพ้น สายตาก็เหลือบไปเห็นเจ้าลาที่อยู่ไม่ไกลกำลังโกรธเคืองขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มจึงปลดผนึกเจ้าลาให้มันสามารถอ้าปากได้…จากนั้นก็โยนวัตถุดิบที่ไม่ต้องการไปให้
เจ้าลาตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที มันสวาปามอย่างบ้าคลั่ง ครู่ต่อมาก็กินทุกอย่างจนหมด จากนั้นจึงส่งสายตาเว้าวอนไปหาหวังเป่าเล่อไม่หยุด
ข้าช่างใจอ่อนเสียจริง หวังเป่าเล่ออดใจไม่ได้ หลังจากค้นหาอยู่สักพักก็เจอวัตถุดิบที่ไม่ใช้และโยนไปให้มัน หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจเจ้าลาอีก ชายหนุ่มหยิบโอสถอมตะชั้นสูงตรงหน้าขึ้นมา ดวงตาฉายแสงวาบขณะครุ่นคิดในใจอีกรอบ
ควรเก็บไว้ตอนบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์แล้วดีหรือไม่ ถึงตอนนั้นจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการดื่มโอสถ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดกว่าจะบรรลุไปถึงชั้นนั้นได้…อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นแสนอันตราย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก่อนที่ข้าจะได้บรรลุไปขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ คนอื่นอาจจะแย่งโอสถไปได้ ข้าก็จะเสียโอกาสไป
ถ้าเช่นนั้น…ถึงจะเสียของไปหน่อย แต่ข้าก็ควรกินตอนนี้! ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เขาก็ตรวจดูรอบๆ จากนั้นก็หยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมาผนึกไว้เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่โดนรบกวนระหว่างช่วงเวลาสำคัญตอนดื่มโอสถ หลังจากเตรียมการเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็หยิบโอสถออกมา ใส่เข้าปากและกลืนลงคอ!
ทันทีที่เขากลืนโอสถลงคอก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในหัว ราวกับว่ามีภูเขาไฟระเบิดส่งไอร้อนระอุไปทั่วร่าง ภูเขาไฟนั้นยังปะทุเดือดต่อไปขณะไอร้อนแผ่กระจายไปทั่ว ท่ามกลางคลื่นการปะทุนั้น เหมือนว่าจำนวนของภูเขาไฟจะทวีคูณเพิ่มขึ้นหลายเท่า ปราณวิญญาณหนาแน่นปะทุไปทั่วร่างของชายหนุ่มในทันใด
ในชั่วพริบตาเดียว เหงื่อก็เริ่มไหลจากหน้าผากของหวังเป่าเล่อ โอสถอมตะชั้นสูงนั้นมีอิทธิฤทธิ์รุนแรงเกินไป ส่งผลให้เขารู้สึกเหมือนเส้นปราณกำลังขยายตัว…
โอสถนี่แรงเกินไป! หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัวขณะคุมการไหลเวียนของพลังปราณและต้านทานพลังวิญญาณที่ปะทุขึ้นในร่าง ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีดาบฟันร่างของตนขาดเป็นสองท่อน หลังจากหันมองรอบบริเวณที่ใช้ถือสันโดษคร่าวๆ ว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาก็หลับตาลงและมุ่งความสนใจไปที่การดูดซับและย่อยโอสถ
หลังจากนั้นไม่นาน ประมาณสิบนาทีต่อมา ร่างของหวังเป่าเล่อก็แดงจัดเหมือนโลหะร้อนและระเบิดกลายเป็นหมอกควันกระจายทั่วพื้นที่ปิด จากนั้นก็กลับมารวมตัวกันดังเดิมในสภาพนั่งสมาธิ เขาใช้วิธีนี้เพื่อทำให้ตนเองดูดซับโอสถได้ดีขึ้น
พลังที่แผ่ออกจากร่างซึ่งรวมตัวขึ้นใหม่นั้นแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้ พลังปราณพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าหลังจากที่เปลี่ยนเป็นหมอกและกลับมารวมตัวกันใหม่
แต่เห็นได้ชัดว่าการจะดูดซับโอสถให้สมบูรณ์นั้นเป็นเรื่องยากสำหรับเขา ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงสลายร่างและกลับมารวมตัวกันใหม่ถึงสามครั้งด้วยกัน เมื่อชายหนุ่มดูดซับโอสถได้หมด ระดับการฝึกตนของเขาก็บรรลุจากขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้น…ไปเป็นขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลาง!
พลังวิญญาณไร้ขอบเขตไหลเวียนอยู่ในร่าง ทุกครั้งที่เขาหายใจจะเหมือนดังว่ามีมังกรสองตัวลอยออกมาจากโพรงจมูก บินไปรอบๆ ก่อนจะกลับเข้าไป ชายหนุ่มอยู่ในสภาพเช่นนั้นเจ็ดวันก่อนทุกอย่างจะค่อยๆ จบลง เมื่อหวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นอีกครั้งหลังจากทำสมาธิอยู่เจ็ดวัน ก็เหมือนดังว่ามีสายฟ้าอยู่ในดวงตา ทำให้ห้องลับที่เข้ามาถือสันโดษนั้นสว่างไสวยิ่งกว่าเดิม
แม้หวังเป่าเล่อจะกดทับพลังปราณไว้ แต่พลังกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างและแสงที่ซ่อนอยู่ในดวงตาก็ยังไม่หายไปไหน ส่งผลให้ห้วงอวกาศรอบสะเก็ดดาวบิดเบี้ยวไป
ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลาง! ผ่านไปสักพัก หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้น แม้จะเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่เขาก็ยังตื่นกลัวพลังของโอสถอมตะชั้นสูง ถึงกระนั้นก็ยังแอบรู้สึกเสียดาย เพราะโอสถนั้นเป็นของสุดพิเศษที่สามารถดื่มได้หนเดียวในชีวิตของผู้ฝึกตกขั้นเชื่อมวิญญาณ การดื่มไปตอนนี้ก็เท่ากับเป็นการลดทอนประสิทธิภาพในการบรรลุไปขั้นจิตวิญญาณอมตะ
ข้าจะไม่มัวคิดมากแล้ว! หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงพลังปราณที่แปรเปลี่ยนไป ดวงตาของเขาฉายแววดุดัน ชายหนุ่มคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากพบกับผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกอีกครั้งและในที่สุดก็ได้คำตอบ แม้ตัวตนของเขาในปัจจุบันจะไม่สามารถเทียบชั้นกับขั้นแสร้งอมตะได้ แต่ก็มีโอกาสสูงที่ชายหนุ่มจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้ด้วยการสละร่างอวตาร!
เมื่อมั่นใจเช่นนั้น เขาก็สัมผัสสภาพร่างที่แท้จริงของตนอีกครั้ง เนื่องจากร่างอวตารสร้างมาจากกระบวนท่าสารัตถะ พลังที่เพิ่มพูนขึ้นของร่างอวตารจึงส่งผลต่อร่างจริงไปด้วย ดังนั้นร่างจริงที่อยู่ในโลงศพบนดาวเอกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จึงบรรลุไปขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลางด้วยเช่นกัน
หากร่างอวตารผสานกลับสู่ร่างหลัก แม้ระดับการฝึกตนของร่างหลักจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่พลังต่อสู้ก็ต้องทวีคูณเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะธรรมดาๆ ไม่เห็นจะน่ากลัวเลย! เมื่อคิดว่าตนเก่งกาจขึ้นแค่ไหน หวังเป่าเล่อก็มีความมั่นใจมากขึ้น เขาปลดผนึกแผ่นหยกสื่อสารและเปิดดูว่ามีใครส่งข้อความเสียงมาหาหรือไม่ในเจ็ดวันที่ผ่านมา
ทันทีที่เขาเปิดแผ่นหยกสื่อสาร ข้อมูลมากมายก็ส่งผ่านเข้ามาทันที มีทั้งข้อความจากเต๋อคุนจื่อ คนแปลกหน้าอีกสองสามคน และคำสั่ง!
หวังเป่าเล่อหยุดชะงัก หลังจากตรวจดูอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย
จักรพรรดิสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อยากพบข้าอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อใจเต้นแรง เขาเห็นว่าเต๋อคุนจื่อก็ส่งข้อความเสียงมาบอกเรื่องเดียวกัน หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง ชายหนุ่มก็ติดต่อไปหาเต๋อคุนจื่อและได้คำตอบหลังจากถามคำถามไปสองสามข้อ
หวังเป่าเล่อได้ก่อจลาจลครั้งใหญ่ในการต่อสู้กับกองทหารมังกรหยดหมึกและมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้ได้รับความสนใจจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และจักรพรรดิที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์
เขาจึงออกคำสั่งเรียกตัวให้หวังเป่าเล่อเข้าพบในการประชุมสามัญครั้งต่อไปของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ปกติแล้ว มีเพียงผู้ที่มีอำนาจระดับหนึ่งในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณแล้วเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าประชุมสามัญ ผู้ฝึกตนจากสำนักย่อยนั้น ถ้าไม่ได้สร้างความสำเร็จหรือความดีความชอบครั้งใหญ่ให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ไม่ทางได้รับเชิญ หากได้รับเชิญแสดงว่าสำนักใหญ่นั้นตระหนักถึงตัวตนของคนผู้นั้นในระดับหนึ่ง
คำเชิญนี้คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการและเป็นจุดประสงค์ที่ก่อการจลาจลขึ้น เขาตื่นเต้นมากเมื่อพบว่าตนทำได้สำเร็จ ขณะเดียวกันเมื่อคำนวณเวลาดูและพบว่าการประชุมจะจัดขึ้นในอีกสามวัน ดังนั้นหลังจากพิจารณาดูและมั่นใจว่าไม่มีปัญหาใหญ่อะไร ชายหนุ่มก็ออกจากสะเก็ดดาวที่ใช้ถือสันโดษและมุ่งหน้าไปยังตัวสำนักใหญ่ของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์…ที่ดาวเคราะห์มหาทัณฑ์!
บทที่ 766 สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์!
เมื่อมองจากที่ไกลๆ ดาวเคราะห์มหาทัณฑ์นั้นครึ่งหนึ่งมีสีฟ้าและอีกครึ่งหนึ่งมีสีเหลือง ส่วนสีฟ้าคือทะเล อีกส่วนคือผืนดิน พลังชีวิตกล้าแกร่งกระจายอยู่ทั่วดาวเคราะห์ แสดงให้เห็นว่าต้นกำเนิดดาราของดาวเคราะห์ดวงนี้ช่างน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก
ถึงจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าดาวเอกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่การมีอยู่ของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ทำให้ดาวเคราะห์แห่งนี้เหนือชั้นกว่าดาวเอกของราชวงศ์ เมื่อผนวกเข้ากับดาวเคราะห์ครามทองคำและดาวเคราะห์ผนึก ดาวทั้งสามจึงเป็นผู้ปกครองทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์
บนดาวเคราะห์แห่งนี้มีวงแหวนปราณแกร่งกล้าจนน่าสะพรึงกลัวตั้งอยู่ วงแหวนนี้ห้อมล้อมไปทั้งดาวเคราะห์ เป็นวงป้องกันแข็งแกร่งพร้อมด้วยดาวบริวารรอบๆ ทั้งเจ็ดที่สามารถต้านทานพลังผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้!
นอกจากนี้ยังมีผู้อาวุโสระดับดาวพระเคราะห์ของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์คอยคุ้มกันอยู่ ตัวตนของเขาเป็นเหมือนดังดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงให้ดาวเคราะห์ทั้งใบ ราวกับเทพที่ทุกคนให้ความเคารพ!
ผู้ฝึกตนมากมายเดินทางเข้าออกดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นับล้านหรือศิษย์จากสำนักในสังกัด ทำให้ดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ครึกครื้นอยู่ตลอดเวลา
พวกเขาสร้างท่าอากาศยานกว่าพันแห่ง และยังมีลานฝึกหลากหลายรูปแบบจำนวนๆ เท่ากันซึ่งเป็นของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ด้วย เมื่อหวังเป่าเล่อมาถึงก็ได้พบวงแหวนปราณที่ส่องแสงเป็นประกายเหมือนสายรุ้ง และรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังกดดันที่แผ่ออกมาจากวงแหวนปราณซึ่งสั่นคลอนไปถึงดวงวิญญาณ
วงแหวนปราณนี่…แข็งแกร่งมาก! เขาหันมองดาวบริวารรอบๆ ของดาวเคราะห์มหาทัณฑ์และสัมผัสถึงพลังของวงแหวนปราณอีกครั้ง จากนั้นก็ไล่ความคิดยุ่งเหยิงในหัวออกไปและมุ่งหน้าไปยังน่านฟ้าที่กำหนดไว้ตามกฎของดาวเคราะห์มหาทัณฑ์
ผู้ฝึกตนไม่สามารถเข้าไปในดาวเคราะห์มหาทัณฑ์จากที่ใดก็ได้ มีเพียงสามจุดบนวงแหวนปราณที่เปิดเป็นทางให้เข้าได้ ผู้ฝึกตนทุกคนและเรือบินรบทุกลำจะต้องลงทะเบียนยืนยันตัวตนและผ่านเข้าไปตามคุณสมบัติที่กำหนด ถ้ามีระดับไม่สูงพอ หลังจากเข้าไปในดาวเคราะห์มหาทัณฑ์แล้ว จะไม่สามารถย่างกรายไปยังพื้นที่ห้ามเข้าได้แม้แต่ก้าวเดียว ใครที่ฝ่าฝืนกฎ…จะถูกวงแหวนปราณของดาวเคราะห์มหาทัณฑ์กำจัดทิ้ง!
หวังเป่าเล่อแบกรับพลังกดดันจากวงแหวนปราณขณะมุ่งหน้าไปยังดาวเคราะห์ทัณฑ์สวรรค์อย่างระมัดระวัง เขาหยิบแผ่นหยกประจำตัวออกมาให้ทหารเฝ้ายามของดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ที่มองมาด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็ได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าไปด้านในเพราะมีชื่ออยู่ในรายชื่อแขก แต่สถานที่ที่ชายหนุ่มเข้าไปได้นั้นมีจำกัด รวมถึงเส้นทางก็ถูกกำหนดไว้ให้แล้ว
หวังเป่าเล่อไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากผ่านเข้าวงแหวนปราณและก้าวเข้าไปในดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ นอกจากจะสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตอันน่าสะพรึงกลัวแล้ว เขายังสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณอันหนาแน่นด้วย
ด้วยสัมผัสสวรรค์ของชายหนุ่ม ถึงแม้ว่ามันจะไม่ครอบคลุมทั้งดาวเคราะห์ แต่เขาก็สามารถสัมผัสได้ว่าหลายๆ ส่วนบนดาวเคราะห์มหาทัณฑ์มีปราณวิญญาณอัดแน่นอยู่มากผิดปกติ
ส่วนเหล่านั้น…คือทางเข้าสู่ภูเขาสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย!
มีทางเข้าอยู่เจ็ดแห่ง แต่ละแห่งนั้นหรูหรามาก เป็นภูเขาแฝดสองลูกที่สร้างขึ้นจากศิลาวิญญาณดึกดำบรรพ์ซึ่งตั้งสูงเฉียดฟ้า และระหว่างภูเขาทั้งสองลูก…คือประตูสู่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์!
ทางเข้าบางแห่งตั้งอยู่บนทะเล บางแห่งก็ตั้งอยู่บนยอดภูเขา บ้างก็เป็นเหมือนกระบี่ที่ปักลงมาจากสวรรค์สู่ทะเลทราย พลังมหาศาลที่แผ่ออกมาสั่นคลอนไปทั่วบริเวณ!
ด้านในประตูนั้นยิ่งพิเศษกว่า!
ตามที่เต๋อคุณจื่อบอกมา ถึงแม้ว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เหมือนจะตั้งอยู่บนดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ แต่จริงๆ แล้วมันตั้งอยู่ในห้วงอวกาศที่แยกตัวออกมาต่างหาก… หวังเป่าเล่อยืนอยู่เหนือทะเลและจ้องมองภูเขาเบื้องหน้าที่ตั้งสูงจากพื้นน้ำดูงดงามดั่งกระบี่ปักษาสวรรค์ ชายหนุ่มสูดหายใจลึกและเตรียมพร้อมเข้าไปด้านใน
ทันใดนั้นเมฆหมอกบนท้องฟ้าเบื้องหลังชายหนุ่มก็หมุนวน แรงสั่นสะเทือนกระจายไปทั่วพื้นที่ ส่วนของใบหน้าขนาดใหญ่ยักษ์พลันปรากฏขึ้นมาจากหมู่เมฆ!
แม้จะเป็นแค่ส่วนหนึ่งแต่พลังที่ปล่อยออกมาก็มีมากขนาดสั่นสะเทือนฟ้าดินและทำให้ทะเลสั่นคลอน คลื่นน้ำแหวกออกเหมือนงูที่กำลังเลื้อยหนี พลังกดดันมหาศาลทำให้หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว ดวงวิญญาณสั่นไหว ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มและถอยร่นออกไปอย่างควบคุมไม่ได้
ขณะที่กำลังถอยหนี ใบหน้าในหมู่เมฆก็ปรากฏขึ้นเกือบครบทุกส่วน เห็นเป็นหน้าไร้อารมณ์ของมนุษย์ ดูแล้วไม่เหมือนเป็นผู้ฝึกตน แต่เหมือนสร้างขึ้นจากโลหะมากกว่า นอกจากจะมีสีดำสนิทแล้ว ยังมีตัวอักขระมากมายเปล่งแสงอยู่บนใบหน้า
นี่มัน… เมื่อเห็นความแปลกประหลาดของใบหน้านั้น ความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหัวของหวังเป่าเล่อทันที ไม่ต้องรอให้ได้คำตอบชัดเจน ใบหน้าบนฟ้าก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดมันก็หดตัวลงอย่างสมบูรณ์และกลายเป็นชุดเกราะที่มีร่างเงาสวมใส่อยู่!
เส้นผมสีดำขลับปลิวไปตามสายลม รูปโฉมอ่อนช้อยเหมือนดั่งหยก หุ่นโค้งเว้าสวยงาม ชัดเจนว่าร่างเงานี้เป็นสตรีที่ดึงดูดสายตาใครหลายคนได้ด้วยรูปร่างหน้าตาอันสะสวย!
ใบหน้าสวยสดงดงามนั้นไร้ซึ่งอารมณ์ แม้แต่สายตาก็ดูเย็นชา นางสวมชุดเกราะสีดำ จุติลงมาจากสวรรค์และย่างผ่านหวังเป่าเล่อไป นางผ่านเข้าไปในประตูภูเขาแฝด ก่อนจะแหวกอากาศและหายวับไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่ได้ปรายตามองหวังเป่าเล่อเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าสำหรับนางแล้ว ชายหนุ่มไม่ได้มีตัวตนอยู่กระนั้น
ขั้นจิตวิญญาณอมตะ! กับ…เรือบินรบเวท! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก พลังที่แผ่ออกมาของนางแข็งแกร่งกว่าผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก แต่ก็ยังอ่อนด้อยกว่าระดับดาวพระเคราะห์ หากพิจารณาตามความจริงข้อนี้ ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ นางจะต้องอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ
ส่วนร่างเงายักษ์ที่กลายเป็นชุดเกราะนั้น หวังเป่าเล่อรู้จักดี มันคือเรือบินรบเวท มีระดับเทียบเท่าอาวุธเวท! ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้น มีเพียงสามสำนักใหญ่และตระกูลราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถหลอมเรือบินรบเวทได้โดยใช้เคล็ดวิชาหลอมวัตถุเวทขั้นสูง
เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้ฝึกตนธรรมดาจะได้ควบคุมเรือบินรบเวท มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเท่านั้นที่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้น!
วัตถุที่หลอมขึ้นจากจากเคล็ดวิชาหลอมวัตถุเวทขั้นสูงสุดของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์… ดวงตาหวังเป่าเล่อฉายแววสนใจใคร่รู้อันแรงกล้าซึ่งไม่สามารถสังเกตเห็นได้ เขาได้ยินเรื่องเรือบินรบเวทมาก่อน พอได้เห็นกับตาเป็นครั้งแรกก็ถึงกับตื่นตะลึงไป แม้เรือบินรบเวทจะมีไอพลังด้อยกว่าวัตถุเวทแห่งความมืด แต่ก็แข็งแกร่งกว่าหอกของผู้นำสหพันธรัฐ เหมือนว่าจะอยู่ในระดับเดียวกับแขนอาวุธเทพ
ความแตกต่างระหว่างเหล่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่มีเรือบินรบเวทกับพวกที่ไม่มีนั้นช่างน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก! หวังเป่าเล่อนึกถึงเกราะจักรพรรดิของตนเองขึ้นมาทันที
ถ้าข้าหลอมเรือบินรบเวทได้ จะเอามาใช้กับเกราะจักรพรรดิได้หรือไม่นะ… หวังเป่าเล่อรู้สึกสนใจมากขึ้นเมื่อคิดได้เช่นนั้น แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามัวคิดอะไรเช่นนั้น ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ปัดความคิดทิ้งไป และมุ่งหน้าตรงไปยังประตูภูเขาแฝดด้วยการขยับตัวเพียงครั้งเดียว
พื้นที่ระหว่างภูเขาแฝดดูกว้างใหญ่ แต่พอเข้าไปใกล้เขาก็รู้สึกเหมือนแหวกเข้าไปในม่านน้ำ คลื่นน้ำไหวกระเพื่อมเมื่อเขาถูกหลอมรวมกับพื้นที่ตรงนั้นและหายวับไป
เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งชั่วขณะ หลังจากผ่านม่านน้ำเข้ามาได้ ร่างของหวังเป่าเล่อก็เหมือนจะสูญเสียการทรงตัว ขณะเดียวกัน ดวงจิตเย็นเยียบขนาดใหญ่ก็เคลื่อนตัวผ่านเขาไปมา ราวกับกำลังตรวจสอบยืนยันตัวตนและตรวจดูข้าวของทั้งหมดของเขา!
นี่คือจุดตรวจ และเป็นการทดสอบขั้นสุดท้ายว่าหวังเป่าเล่อสามารถสวมรอยเป็นหลงหนานจื่อได้อย่างแท้จริงหรือไม่ เขาได้เรียนรู้ส่วนสำคัญหลายๆ อย่างจากเต๋อคุนจื่อ จึงมั่นใจว่ากระบวนท่าสารัตถะของตนจะผ่านการทดสอบสุดท้ายนี้ได้แน่นอน
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่ว่าสำนักไหนบนดาวเคราะห์ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ไม่มีทางมองพลังเทพที่ศิษย์พี่เฉินชิงสร้างขึ้นมาได้ ไม่ว่าดวงจิตจะตรวจสอบอย่างไร สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ปกติดี ไม่พบปัญหาอะไรทั้งสิ้น หลังจากนั้นประมาณเจ็ดถึงแปดชั่วลมหายใจ ร่างของหวังเป่าเล่อก็ถูกพลังที่นุ่มนวลส่งไปด้านหน้า และหลุดออกจากสภาพที่เหมือนโดนผนึกไปได้ ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ที่แท้จริง!
บนฟากฟ้าสีครามมีฝูงนกกระเรียนสีขาวโบยบินอยู่ ทั่วพื้นที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ บนท้องนภามีห้วงอวกาศที่เป็นดั่งเส้นสายรุ้ง มียอดเขามากมายที่ปกคลุมด้วยหมอก ระหว่างยอดเขามีทุ่งวิญญาณจำนวนมากที่มีทั้งเสียงนกและกลิ่นหอมของดอกไม้คละเคล้ากันไป ระหว่างท้องฟ้าและผืนดินมีเงาผู้ฝึกตนอยู่ไม่น้อย บ้างก็กำลังคุยกันอย่างมีความสุข บ้างก็กำลังทะเลาะกัน บ้างก็วิ่งวุ่นไปมา…
หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงร้องคำรามของอสูรศักดิ์สิทธิ์ ได้เห็นศีรษะของมังกรสีเงินขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนตัวไปในห้วงอวกาศ ทั้งหมดนี้ทำให้ชายหนุ่มหรี่ตาลง
จุดที่เขาอยู่ในตอนนี้คือแท่นบูชาโบราณบนยอดเขา รอบตัวเต็มไปด้วยเสาค้ำที่มีตัวอักขระสลักอยู่ ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังมองไปยังฟากฟ้าและผืนดินภายใต้พลังอันยิ่งใหญ่นี้ หญิงสาวนางหนึ่งในชุดสวมใส่ในวังก็เดินออกมาจากหมู่เมฆบนสวรรค์!
แม้ระดับการฝึกตนของนางจะอยู่เพียงขั้นจุติวิญญาณ และสวมใส่เครื่องแต่งกายของทางวัง ทว่าหน้าตาของนางก็สะสวยยิ่ง มีโหนกแก้มสูงชัดและไฝเสน่ห์ขนาดเท่าเล็บก้อยอยู่ตรงมุมปาก…
แต่ความงดงามและระดับการฝึกตนไม่ได้ช่วยลดความโอหังบนใบหน้าของนางลงเลยสักนิด นางหยุดอยู่เหนือแท่นบูชา ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบ “หลงหนานจื่อ ตามข้ามา เราจะไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิ”
บทที่ 767 มีบางอย่างแปลกๆ!
หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวเบื้องหน้า ด้วยพลังของเขาในปัจจุบัน แค่ตบฉาดเดียวก็เปลี่ยนนางให้กลายเป็นเศษเนื้อและเศษผ้าได้ และคงจะยากทีเดียวที่จะแยกได้ว่าอะไรคืออะไร
แต่พอพิจารณาว่าตอนนี้ตนอยู่ในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ เขาก็ตัดสินใจมองข้ามน้ำเสียงอวดดีของนางไป และเผยยิ้มที่คิดว่าน่าจะดูดีที่สุดพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ขอบคุณที่ช่วยนำทางข้า หืม ดูเหมือนเจ้าจะทำกระเป๋าคลังเก็บตกนะ” หวังเป่าเล่อก้าวไปด้านหน้าพร้อมรอยยิ้มและความแปลกใจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง หญิงสาวนิ่งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากนั้นก็จ้องชายหนุ่มที่กำลังพลิกฝ่ามือเผยให้เห็นกระเป๋าคลังเก็บและยื่นไปตรงหน้านาง
หญิงสาวมีสีหน้าประหลาดใจ นางหยิบกระเป๋าคลังเก็บมาตรวจดู หัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย ของด้านในกระเป๋าทำให้นางหน้าแดงระเรื่อจางๆ หญิงสาวมองหวังเป่าเล่ออีกครั้งด้วยสีหน้าแปลกแปร่ง หลังจากพิจารณาชายหนุ่มอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของนางก็ดูอ่อนโยนขึ้น รอยยิ้มผุดให้เห็นบนใบหน้า นางกระแอมกระไอเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ขอบคุณสหายเต๋าหลงหนานจื่อที่ช่วยบอก”
หวังเป่าเล่อผุดยิ้มบาง ในกระเป๋าใส่ขนมของเจ้าลาไว้เล็กน้อย ซึ่งก็คือวัตถุดิบต่างๆ ที่เขาคิดว่ามีระดับต่ำกว่าขั้นการฝึกตนของตัวเอง ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้ตรวจดูของข้างในอย่างละเอียดและไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไร ถ้าให้พวกมันไปแล้วได้ข้อมูลกลับมาสักเล็กน้อยก็ถือว่าได้ใช้วัตถุดิบเหล่านี้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว
ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงคอยสงวนท่าทีขณะเดินตามหลังผู้ฝึกตนหญิงไปพร้อมเอ่ยถามอย่างมีมารยาท อาจเป็นเพราะของขวัญที่ให้ไปหรือเพราะเสน่ห์ที่ชายหนุ่มคิดว่าตนมีก็ไม่ทราบ แต่หญิงสาวก็เริ่มบอกข้อมูลให้เขารู้เล็กน้อย
เช่น…มีผู้คนหลายพันคนมาร่วมการประชุมสามัญครั้งนี้ เทียบกับคนส่วนใหญ่แล้ว หวังเป่าเล่อถูกจัดให้นั่งไกลจากแถวหน้า
เช่น…การประชุมสามัญส่วนใหญ่จะกินเวลาประมาณหนึ่งเดือน จักรพรรดิจะมาปรากฏตัววันสุดท้าย ผู้บัญชาการจากแต่ละกองทหารจะเป็นคนนำการประชุมก่อนหน้านี้ทั้งหมด
หลังจากเรียบเรียงข้อมูลเล็กน้อยที่ได้มา หวังเป่าเล่อก็เริ่มเห็นภาพการประชุมสามัญมากขึ้น ตอนแรกเขาก็เดาไม่ถูกในหลายๆ อย่าง แต่ก็เริ่มเข้าใจภาพรวมชัดเจนขึ้น
จากที่ได้เห็นและได้ฟังก็พิสูจน์ได้ว่าจักรพรรดิสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ไม่ได้สนใจในตัวเขามากขนาดนั้น มิเช่นนั้นเขาคงไม่ถูกรับเชิญให้มาร่วมการประชุมสามัญ แต่ควรได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิตัวต่อตัวไปแล้ว
การจัดวางตำแหน่งที่นั่งก็บอกได้ชัดเจน ชายหนุ่มได้รับเชิญตามมารยาทเท่านั้น
ข้าอาจจะได้รับรางวัลบางอย่าง แต่ก็มีโอกาสสูงที่จะได้ขึ้นเป็นสมาชิกของสำนัก… หวังเป่าเล่อเป็นเจ้าพนักงานระดับสูงในสหพันธรัฐ จึงเริ่มจับสถานการณ์ได้หลังจากไตร่ตรองเรื่องนี้ รอยยิ้มนุ่มนวลกว่าเก่าผุดขึ้นบนใบหน้าเมื่อชายหนุ่มหันไปหาหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ
เมื่อพวกเขามาที่สถานที่จัดประชุม หญิงสาวก็แตะกระเป๋าคลังเก็บที่หวังเป่าเล่อให้มาอีกครั้ง แก้มของนางขึ้นสีเมื่อสัมผัสถึงของบางอย่างด้านใน หลังจากลังเลใจอยู่สักพัก นางก็เอ่ยขึ้นเบาๆ “ข้าพำนักอยู่ที่ถ้ำสิบหก ในถ้ำที่พักที่เก้า บนยอดเขาที่เจ็ดของสำนักทิศเหนือ…”
อะไรนะ หวังเป่าเล่อที่กำลังสำรวจสถาปัตยกรรมของสถานที่จัดประชุมตะลึงงันไปเมื่อได้ยินนางบอกที่พักของตนอย่างละเอียด เขาหันกลับไปนาง แต่โชคไม่ดีที่เห็นเพียงหลังของอีกฝ่ายที่รีบวิ่งหายไปไกล
มีบางอย่างแปลกๆ ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความงุนงง เขาสงสัยว่ามีอะไรมีค่าในกระเป๋าคลังเก็บที่เพิ่งให้ไปหรือไม่ ถึงจะไม่ได้ตรวจดูอย่างละเอียด แต่หวังเป่าเล่อก็ใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบของด้านในแล้วจึงมั่นใจว่าไม่น่าจะมีของมีค่าอะไรซ่อนอยู่ในขยะกองนี้
แน่นอนว่าของข้างในน่าจะมีค่าสำหรับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ แต่ในสายตาของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณแล้วพวกมันล้วนแล้วแต่ไร้ค่าทั้งสิ้น
หรือว่า…นางจะพ่ายแพ้ให้กับความหล่อเหลาเกินต้านทานของข้า หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง เขาสรุปเอาเองว่าตนน่าจะหล่อขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่คิดเลยว่าในเวลาสั้นๆ จะมีคนมาชอบตนเพิ่มอีกโดยที่ไม่ได้ทำอะไร
แต่เราไม่เหมาะกันเท่าไหร่ น่าเสียดายจริงๆ เขากระแอมกระไอ ถึงกระนั้นก็รู้สึกดีที่มีคนมาชอบ ชายหนุ่มพิจารณาสถาปัตยกรรมของสถานที่จัดประชุมต่อ ไม่ได้รู้เลยว่าเจ้าลากำลังคุ้ยหาของอยู่อย่างกระวนกระวายภายในกระเป๋าคลังเก็บ ราวกับว่าได้ทำของเล่นชิ้นสำคัญหายไป…
จากด้านนอก ที่จัดประชุมดูเหมือนพญาเผิงที่กำลังสยายปีกพร้อมจะโผขึ้นสู่เวหา ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก อาคารมีสีเขียวอ่อน ตรงประตูทางเข้ามีมวลชนผู้ฝึกตนเดินเข้าเดินออก ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูวุ่นวาย ไม่มีใครเลยที่เขาคุ้นหน้าในหมู่ฝูงชน ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อก็แสร้งทำเป็นรู้จักทุกคน ทั้งยิ้มและพยักหน้าให้คนที่สบตาระหว่างเดินเข้าไปในที่ประชุม เมื่อเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มก็มองไปรอบๆ ภายในที่ประชุมมีรูปทรงเหมือนขนมวง รองรับคนได้มากถึงหนึ่งหมื่นคน
ตรงใจกลางขนมวงมีแท่นทรงกลมตั้งอยู่ แท่นแบ่งเป็นสามชั้น ชั้นบนสุดมีเบาะรองนั่งวางอยู่ ตรงนั้นคือที่นั่งสำหรับคนที่ทรงอำนาจมากที่สุดในที่ประชุม
ชั้นที่สองมีเบาะรองนั่งต่างสีสี่ใบวางอยู่ตรงมุมทั้งสี่ สี่คนที่ได้นั่งเด่นอยู่กลางคนนับหมื่นจะต้องมีตำแหน่งและสถานะสูงส่งไม่แพ้กัน ส่วนชั้นที่สามของแท่นทรงกลมมีเบาะรองนั่งหกใบ!
หวังเป่าเล่อเลื่อนสายตาผ่านแท่นทรงกลมไปมองรอบๆ เขาไม่ได้มาถึงเร็วหรือช้าเกินไป มีผู้ฝึกตนอยู่ในที่ประชุมประมาณหนึ่งถึงสองพันคนมารออยู่ก่อนแล้ว
เพราะที่ประชุมมีขนาดใหญ่และมีผู้เข้าร่วมประชุมมากมาย การมาถึงของหวังเป่าเล่อจึงไม่ได้ดึงความสนใจจากใคร ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พบชื่อของตนเองบนที่นั่งตรงมุมหนึ่ง เขามองไปยังที่นั่งข้างๆ เจ้าของที่นั้นยังมาไม่ถึง ชายหนุ่มนั่งลงและเห็นผลไม้วิญญาณรวมถึงเครื่องดื่มบนโต๊ะด้านหน้า เขาหยิบผลไม้ขึ้นมากัดคำหนึ่ง
รสชาติดีไม่เบา หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย ในที่สุดก็มีคนมานั่งตรงที่นั่งด้านซ้ายหลังจากชายหนุ่มกินผลไม้วิญญาณลูกที่หกเข้าไป คนด้านซ้ายคือชายชราร่างท้วมที่ยิ้มกว้างให้ เขามีระดับการฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเทียบเท่าหวังเป่าเล่อ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แต่เป็นคนจากสำนักในสังกัด ชายชราทำตัวสุภาพมากกับทุกคนที่ชนระหว่างเดินมายังที่นั่ง และยังเป็นผู้เปิดบทสนทนาหลังจากที่นั่งลงข้างหวังเป่าเล่อ
“สหายเต๋า ข้าไม่คุ้นหน้าเจ้าเลย ข้าตั้วโหย่วจื่อจากสำนักทิศเหนือ” ชายชราร่างท้วมกุมหมัดทักทายพร้อมแนะนำตัวอย่างอบอุ่น
“ท่านคือสหายแห่งเต๋าตั้วโหย่วจื่อเองหรือ ชื่อเสียงของท่านเป็นที่กล่าวขาน ได้ยินแค่ชื่อก็สู้เจอตัวจริงไม่ได้ ช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้เจอท่าน!” หวังเป่าเล่อวางผลไม้วิญญาณในมือและยิ้มให้ ก่อนจะเริ่มสนทนากับผู้ฝึกตนคนข้างๆ ทันที
หวังเป่าเล่อจำข้อคิดในอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงได้ดี อีกทั้งยังเป็นเจ้าพนักงานระดับสูงในสหพันธรัฐมาหลายปี เขาจึงไม่มีปัญหาเรื่องทักษะการสื่อสาร ชายชราเองก็อยากจะได้เพื่อนใหม่เช่นกัน ทั้งสองคุยกันอย่างครื้นเครงอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งชายชราถามถึงชื่อของเขา หวังเป่าเล่อตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าหลงหนานจื่อ”
“หลงหนานจื่อ…ชื่อคุ้นๆ…เจ้าคือหลงจอมคลั่งนี่!” ชายชราร่างท้วมทำหน้าสงสัยเมื่อได้ยินชื่อของชายหนุ่ม เขาหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบิกตากว้าง ถึงกับผละออกห่างและชะงักไปชั่วขณะ สีหน้าเป็นมิตรเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวเมื่อมองไปยังหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็รีบเอ่ยขอโทษขอโพยออกมา
“สหายเต๋าหลงหนานจื่อ อย่าถือโทษโกรธข้าเลย…” ตั้วโหย่วจื่อยิ้มแหยๆ พร้อมรินสุราให้หวังเป่าเล่อเพื่อเป็นการแสดงความขอโทษ
ชายหนุ่มยังคงยิ้มอยู่ เขายกแก้วขึ้นและถามออกไป “เหตุใดท่านถึงเรียกข้าว่าหลงจอมคลั่ง”
“สหายเต๋า…ศึกระหว่างเจ้ากับกองทหารมังกรหยดหมึกทำให้พวกเราตื่นตกใจกันไปทั่ว เพราะศึกครั้งนั้น กองทหารมังกรหยดหมึกจึงหลุดออกจากกองทัพทรงอำนาจสิบอันดับต้นของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ…ทุกคนจึงคิดว่าเจ้าต้องบ้าไปแล้วถึงกล้าดีเช่นนี้!” ชายชราร่างท้วมพยายามแก้ตัวพร้อมปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก เขาโล่งใจเมื่อเห็นว่าฉายานั้นไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองอะไร จากนั้นก็สาปส่งโชคชะตาที่ส่งตนมานั่งข้างหลงจอมคลั่ง ถ้ามีใครเข้าใจผิดว่าตนเป็นสหายของอีกฝ่ายละก็ พวกหิวเงินค่าหัวที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำตั้งไว้ต้องมาเคาะประตูบ้านสร้างปัญหาให้ทุกวันแน่
ชายชราร่างท้วมถอนใจเมื่อคิดดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจมองข้ามเรื่องนี้ไปและพยายามสุดความสามารถที่จะไม่ทำให้ชายโหดจอมคลั่งที่นั่งข้างๆ ต้องขุ่นเคืองใจตลอดการประชุม ที่พวกเขาเรียกขานชายหนุ่มว่าจอมคลั่งนั้นไม่ได้มาจากความกล้าบ้าบิ่น แต่มาจากการที่เขาสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณของกองทหารมังกรหยดหมึกเพียงเพราะว่าอีกฝ่ายมาปล้นเรือบินรบไป คงจะไม่แย่ขนาดนี้ถ้าชายหนุ่มจบที่การสังหารทั้งกลุ่มทิ้ง แต่เขากลับถึงขั้นลงมือสังหารศิษย์รักของผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกต่อหน้านางด้วย!
และคงจะไม่แย่ขนาดนี้ถ้าเขาหยุดเพียงเท่านั้น แต่ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มคิดอะไรอยู่ หลังจากผ่านไปพักใหญ่เขาก็กลับมาปรากฏตัวอีกรอบ จากนั้นก็ใช้กลยุทธ์เรือบินรบระเบิดตัวเองถล่มกองทหารมังกรหยดหมึก การกระทำเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้สนใจผลลัพธ์ที่ตามมาแม้แต่น้อย แล้วจะให้เรียกว่าอะไรถ้าไม่ใช่การกระทำของคนคลั่ง…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น