ลำนำบุปผาพิษ 759-774
บทที่ 759 ฝ่ามือตบลงบนอากาศ
‘กู้ซีจิ่ว’ ปรากฏตัวขึ้นตรงประตู สวมอาภรณ์โปร่งบางสีนวลจันทร์ เกศาดำดั่งม่านน้ำตก ดอกท้อภูเขาสีม่วงอ่อนช่อหนึ่งแซมอยู่ในเส้นผม ดอกท้อสีม่วงอ่อนหลายดอกผลิแย้มในเรือนผมเธอ
นัยน์ตาคู่นั้นใสกระจ่าง บนหน้าผากแต้มจุดชาด ริมฝีปากแดงระเรื่อหยักโค้งนิดๆ คล้ายยิ้มมิเชิงยิ้ม เย็นชามิเชิงเย็นชา
เป็นครั้งแรกที่กู้ซีจิ่วได้เพ่งพิศ ‘ตนเอง’ ด้วยมุมมองของคนนอก เธอรู้ว่าตัวเองสวยมาก แต่นึกไม่ถึงว่าทั้งร่างจะดูงดงามถึงเพียงนี้!
นี่ไม่เหมือนการส่องกระจก ตัวเองในกระจกบางทีอาจผิดเพี้ยนไปบ้างเนื่องจากการหักเหของผิวกระจก แต่ยามนี้เธอได้เห็นตัวเองจริงๆ…
สวย! สวยจริงๆ!
ความงามของอวิ๋นชิงหลัวเป็นความงามดั่งนางเซียนผู้สูงส่ง แต่ความงามของกู้ซีจิ่วเป็นความที่บางเบาเยือกเย็น ทำให้คนอธิบายลักษณะของเธอของเป็นรูปธรรมไม่ได้ ทว่ามีผลกระทบยิ่งนัก ทำให้คนมองเห็นแวบเดียวก็ลืมไม่ลง
โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นของเธอ กลอกกลิ้งดั่งคลื่นทะเลแวววาว ทว่าสุกสกาวดุจดารา
ต้องกล่าวเลยว่าตี้ฝูอีเป็นบุคลที่เชี่ยวชาญการสวมบทบาท ตอนนี้เขาใช้ร่างของกู้ซีจิ่ว ทุกกิริยาท่าทางล้วนเป็นพฤติกรรมตามปกติของกู้ซีจิ่ว ทำให้คนมองความผิดปกติไม่ออกเลย
พอเขาเข้ามาก็กวาดตามองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง ริมฝีปากแดงหยักยิ้มบางๆ แวบหนึ่ง ดวงตาส่องประกายแวบหนึ่ง
เขาใช้อากัปกริยาของกู้ซีจิ่วทักทายฝูงชน ต่อให้เป็นตัวกู้ซีจิ่วเอง ก็มองไม่เห็นจุดบกพร่องใดๆ จากเขา
เขาทักทายกู้ซีจิ่วและหลงซือเย่ก่อนตามลำดับ ทำเคารพแบบครึ่งขั้น “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เจ้าสำนักหลง ขอบพระคุณยิ่งเจ้าค่ะ…”
วันนี้เขาเป็นตัวละครหลัก ฝูงชนย่อมพากันมาแสดงความยินดีกับเธอ
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตอบสนองอย่างเหมาะสม เจรจาพาที ขอบคุณไปทีละคน
กู้ซีจิ่วเห็นเขาคบหาสมาคมอย่างชำนิชำนาญ ก็รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้เป็นบุคคลมีความสามารถโดยแท้!
เห็นว่ายามปกติที่เขาถือครองร่างทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะสูงส่งอยู่เหนือปวงชน นางนึกว่าเขาคงจะทักทายตามมารยาทแบบคนทั่วไปไม่เป็น นึกไม่ถึงว่าเขาจะปฏิบัติหน้าที่ได้สมบูรณ์หมดจด…
บุรุษคนหนึ่ง แถมยังเป็นบุรุษที่ปกติแล้วสูงส่งอยู่เหนือคนทั้งหลายกลับอยู่ในร่างสาวน้อยซ้ำยังบทบาทได้แนบเนียนไร้ช่องโหว่ถึงเพียงนี้ ไม่ใช่ผู้มีความสามารถแล้วจะเป็นอะไร? จักรพพรดิจอเงินยังมีความสามารถไม่เท่าเขาเลย!
ระยะนี้กู้ซีจิ่วต้องต่อสู้อยู่บ่อยๆ ยามปกติจึงสวมเสื้อผ้าสบายๆ ส่วนใหญ่เธอจะส่วนเครื่องแบบของชั้นเรียนเมฆาคล้อยเป็นประจำ เมื่อทุกคนเห้นจนชินตาแล้ว ต่อให้รูปโฉมเธองดงามแค่ไหนก็ถูกมองข้ามไป แต่ตอนนี้เมื่อเธอสวมชุดนี้ก็เต็มไปด้วยความงดงามสะโอดสะอง ทำให้รูปโฉมอันงดงามของเธอยกระดับขึ้นไปอีกหลายสิบเท่า ไม่รู้ว่าสายตามากน้อยเพียงที่ร่อนลงบนร่างเธอ
เชียนหลิงอวี่เดิมทีก็ชอบเธออยู่แล้ว เจ้าเด็กคนนี้คิดมาตลอดว่าตนเองแอบรักเงียบๆ มาตลอด ทว่าไม่รู้ตั้งแต่ยามไหนที่ทั้งสำนักศึกษาล้วนทราบว่าชอบกู้ซีจิ่ว เนื่องจากเขาไม่อนุญาตให้คนอื่นว่าร้ายกู้ซีจิ่วเลย ผู้ใดพูดเขาก็จะซ้อมผู้นั้น…
ยามนี้พอเห็น ‘กู้ซีจิ่ว’ เข้ามา สายตาของเขาก็เกาะติดบนร่างเธอทันที เมื่อเห็นทุกคนมองกู้ซีจิ่วด้วยสายตาตกตะลึง เขาก็มีความสุขยิ่งกว่าเจ้าตัวเสียอีก
เขาก้าวเข้าไปหาตามปกติ ยื่นมือหมายจะตบไหล่เธอ “ซีจิ่ว วันนี้เจ้าสวมชุดนี้แล้ว…”
นัยน์ตาตี้ฝูอีสาดแสงแวบหนึ่ง เขารักสะอาด ไม่ชอบให้ผู้ใดแตะเนื้อต้องตัว หลังจากถือครองร่างของกู้ซีจิ่ว เขาก็รักสะอาดหนักกว่าเดิม!
ดังนั้นเขาจึงก้าวขึ้นไปด้านหน้าเงียบๆ ฝ่ามือนี้ของเชียนหลิงอวี่ก็ตบลงบนอากาศ
จากนั้นเขาก็มองเชียนหลิงอวี่ด้วยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้มแวบหนึ่ง คนอื่นมองอะไรไม่ออก ทว่าเชียนหลิงอวี่กลับถูกสายตานี้ของเขามองกลับสั่นสะท้านด้วยความตกตะลึง! ชักมือกลับโดยไม่รู้ตัว
————————————————————————————-
บทที่ 760 เพราะใส่ใจ ถึงได้สนใจ
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ชั่วขณะนั้นจู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ากู้ซีจิ่วที่อยู่เบื้องหน้าฐานะสูงส่งยิ่ง สูงส่งจนเขาทำได้เพียงก้มกราบ ไม่กล้าลามปามอีก!
สายตาของ ‘กู้ซีจิ่ว’ ในยามนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกหน้า ตกตะลึงไปชั่วขณะ
โชคดีที่ที่ตี้ฝูอีกู้สถานการณ์ได้ทันเวลา “ชุดนี้ของข้าเป็นอย่างไร? ไม่ดูดีหรือ?”
เชียนหลิงอวี่รีบตอบทันที “ดูดี! ดูดี! ซีจิ่วเจ้าสวมชุดนี้แล้วดูดีมากจริงๆ!”
ตี้ฝูอียิ้มแล้ว “นับว่าสายตาเจ้ามีแวว! ข้าก็รู้สึกว่าชุดนี้ดูดีมาก! ดูดีกว่าเสื้อผ้าทุกชุดของข้า”
เขาหันหน้าไป บังเอิญเห็นว่าหลงซือเย่กำลังมองเขาอย่างเลื่อนลอยอยู่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลิกคิ้วขึ้นยิ้มแวบหนึ่ง เจาะจงถามหลงซือเย่เป็นพิเศษ “เจ้าสำนักหลง ข้าสวมชุดนี้ดูดีหรือไม่?”
หลงซือเย่จะว่ากระไรได้เล่า?
สีหน้าเขาซีเซียวเล็กน้อย ทว่ายังคงพยักหน้า “ดูดีมาก”
ด้วยเหตุนี้ ตี้ฝูอีจึงยิ้มด้วยความพออกพอใจ วันนี้เขาอยู่ในร่างกู้ซีจิ่ว เขาย่อมเป็นตัวเอก ประจวบเหมาะพอดี ที่นั่งของเขาถูกจัดไว้ข้างๆ หลงซือเย่
หลงซือเย่ฝืนยิ้มเล็กน้อย “ซีจิ่ว เข้ามานั่งก่อนเถอะ”
ตี้ฝูอีเหลือบมองที่นั่งของเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นความประสงค์ต่อกู่ฉานโม่ทันที “อาจารย์ใหญ่กู่ วันนี้เป็นวันปักปิ่นของซีจิ่ว สมควรต้องนั่งถัดจากประธานในพิธี มิใช่หรือ?”
กล่าวกันตามเหตุผลแล้วสมควรเป็นเช่นนี้จริงๆ ความประสงค์นี้ของเขาไม่นับว่าเกินเลยไป
และประธานในพิธีก็คือตี้ฝูอี กล่าวก็คือ เธอสมควรนั่งข้างๆ ตี้ฝูอี
ตอนแรกที่กู่ฉานโม่จัดการเช่นนี้ ด้วยนึกว่านางคงไม่ยินดีนั่งร่วมกับตี้ฝูอี ดังนั้นเขาจึงจัดให้ ‘นาง’ ไปนั่งข้างๆ หลงซือเย่ด้วยความใส่ใจ
ที่แท้แล้วกลับคลาดเคลื่อนไป นึกไม่ถึงว่านางจะเป็นฝ่ายร้องขอเรื่องนี้
ในเมื่อ ‘นาง’ ร้องขอด้วยตัวเอง กู่ฉานโม่ย่อมไม่อาจปฏิเสธได้
ดังนั้น ‘กู้ซีจิ่ว’ จึงได้นั่งข้างๆ ‘ตี้ฝูอี’ อย่างสมปรารถนา
หลงซือเย่เม้มปากนิดๆ ใบหน้าซีดเซียวกว่าเดิม
กู้ซีจิ่วกลับลอบกัดฟันกรอด ส่งกระแสเสียงหาไปเขา ‘ตี้ฝูอี ท่านอย่าได้เกินไปนัก!’
ตี้ฝูอีก็ส่งกระแสเสียงตอบมา ‘เกินไปตรงไหน?’
‘ท่านทำเช่นนี้จะทำให้คนอื่นคิดไปไกล จะคิดว่าตัวข้ากู้ซีจิ่วยังอาลัยอาวรณ์ท่านผู้เป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอยู่ คิดหาวิธีไปอยู่ข้างกายท่าน!’
แววตาตี้ฝูอีมืดมนลง แต่ก็ถอนหายใจเบาๆ ทันที ‘เป็นข้าต่างหากที่คิดหาวิธีไปอยู่ข้างกายเจ้า’
เธอนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา ‘ข้าไม่ปรารถนา!’
ตี้ฝูอีเงียบไปแล้ว
จิตใจของกู้ซีจิ่วค่อนข้างว้าวุ่น เธอตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่กับหลงซือเย่ ต้องการตัดขาดกับตี้ฝูอีให้หมดจด แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะก่อเรื่องเซ่อซ่าขึ้นมาในสถานการณ์คับขัน
เธอสลับร่างกับเขา ยามนี้คิดจะตัดก็ตัดไม่ขาดแล้ว
เธอกุมถ้วยชาครุ่นคิดอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเยือกเย็น ใคร่ครวญว่าตนความทำอย่างไรต่อไป
ขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดจนใจลอย ตี้ฝูอีก็ส่งกระแสเสียงมาอีกครั้ง ‘ซีจิ่ว ตอนนี้ข้ากับเจ้าสลับร่างกัน เรื่องนี้สำคัญที่สุด ดังนั้นไม่อาจให้ผู้ใดทราบได้ แม้แต่หลงซือเย่ก็ไม่ได้ หลงซือเย่ผู้นี้ความคิดละเอียดลออ หากข้าอยู่ข้างกายเขา ไม่แน่อาจจะเผยพิรุธเล็กๆ น้อยๆ ดังนั้นจึงทำได้เพียงนั่งกับเจ้าตรงนี้ เช่นนี้พวกเราจะได้ดูแลซึ่งกันและกัน’
สิ่งที่เขากล่าวนั่นมีเหตุผล กู้ซีจิ่วคิดๆ ดูก็ว่าถูก จิตใจที่ปั่นป่วนในที่สุดก็สงบลงบ้างแล้ว
ตี้ฝูอีเห็นใบหน้านางผ่อนคลาย ก็ทราบว่าปมในใจนางคลายออกแล้ว จึงถอนหายใจเบาๆ
ทว่ากลับเย้ยหยันตัวเองอยู่ในใจอีกครา ตนใช้ชีวิตอิสระไร้กฎเกณฑ์มาครึ่งค่อนชีวิตเคยต้องระมัดระวังเช่นนี้เสียที่ไหน?
เพราะใส่ใจ ถึงได้สนใจ
เพราะใส่ใจ ถึงได้ยอมเหยียบย่างบนธารน้ำแข็งบางเฉียบ…[1]
————————————————————————————-
[1] เหยียบย่างบนธารน้ำแข็งบางเฉียบ หมายถึง ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก
บทที่ 761 เกินขอบเขตไปแล้ว
ที่แท้ตนถลำลึกลงไปถึงเพียงนี้โดยที่ไม่รู้ตัวเลย!
อันที่จริงเขาไม่ต้องการอยู่ข้างๆ หลงซือเย่ ต่อให้ถูกบีบให้มาเข้าร่างกู้ซีจิ่ว แต่เนื้อในของเขาก็เป็นชายชาตรี เมื่อเห็นหลงซือเย่ใช้สายตารักใคร่หลงใหลมองเขา เส้นขนทั่วร่างเขาก็ลุกชัน! อยากจะควักลูกตาอีกฝ่ายทิ้งขึ้นมาวูบหนึ่ง
หากเขานั่งข้างหลงซือเย่ คามว่าเจ้าสำนักหลงผู้นี้คงจะตั้งใจรินสุราคีบอาหารให้เขาเพื่อแสดงถึงความรัก ไม่แน่อาจจะพูดจาหวานซึ้งอะไรพวกนั้นให้ระคายหูเขาด้วย เขาเกรงว่าตนจะทนไม่ไหวแล้วถีบเขา…
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย นั่งข้างๆ กู้ซีจิ่วยังปลอดภัยเสียกว่า
อันที่จริงก็น่าหดหู่อยู่บ้าง เดิมทีเขาควรกักตนพักฟื้น แต่เหตุผลที่ไม่กักตนก้เพราะอยากเป็นประธานในพิธีปักปิ่นของสาวน้อยผู้นี้ด้วยตนเอง ไม่นึกเลยว่าจะจับผลัดจับผลูสลับร่างกับนางเข้า ยามนี้เขากลายเป็นสตรีที่เป็นตัวเอกไปแล้ว…
อย่าว่าแต่ผู้อื่นเลย ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก!
ในชีวิตอันเป็นนิรันดร์นี้ เขาได้หาความสำราญเล็กๆ น้อยๆ ให้ตน อันที่จริงหลายปีมานี้จะบทบาทใดเขาก็เล่นมาหมดแล้ว ทูตสวรรค์ ราชครู องค์ชาย คุณชายเสเพล จอมยุทธ์พเนจร พ่อค้าเร่…
มีเพียงบทบาทสตรีที่ยังไม่เคยเล่น…
หนนี้มันเกินขอบเขตไปแล้ว!
เขาไม่ต้องการเล่นบทสตรี แต่เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็จนปัญญาเช่นกัน ทำได้เพียงตามน้ำไป
โชคดีที่สาวน้อยผู้นี้ที่นี่ด้วย สามารถเห็นพิธีปักปิ่นนี้ด้วยตาตัวเองได้ ก็ไม่ถือว่าน่าเสียใจจนเกินไป
อีกอย่างการที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอย่างเขาต้องกลายเป็นสตรีเล่นละครฉากใหญ่ให้นางชม ก็นับว่าเป็นของขวัญพิเศษมิใช่หรือ? ของขวัญเช่นนี้เพียงพอจะให้นางจดจำไปชั่วชีวิต!
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ตรงนี้ จู่ๆ ก็เห็นกู่ฉานโม่มองมาที่เขา
เมื่อตี้ฝูอีเห็นสายตารักใคร่เอ็นดูของตาเฒ่าผู้นี้ก็สังหรณ์ใจไม่ดี ตาเฒ่าผู้นี้คงมิเล่นลูกไม้อันใดกระมัง?!
โชคร้ายนัก หนนี้ลางสังหรณ์ของเขายังคงแม่นยำนัก เนื่องจากตาเฒ่ากู่ฉานโม่ผู้นั้นยิ้มหน้าบานปานดอกเบญจมาศเบ่งบาน ทุกรอยย่นล้วนแฝงด้วยความเอื้อเอ็นดู “ซีจิ่ว พิธีปักปิ่นเป็นวันสำคัญ ว่ากันตามหลักแล้ว ช่วงเวลาเช่นนี้บุพการีของเจ้าสมควรจะอยู่ข้างกาย ตามปกติแล้วช่วงเวลาเช่นนี้ สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จะอนุญาตให้บุพการีของศิษย์ที่ปักปิ่นมาหาได้ นับเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่ง หลายวันก่อนข้าผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ได้สั่งให้คนไปแจ้งแก่บุพการีเจ้าแล้ว แต่ได้ข่าวว่าแม่ทัพกู้บิดาของเจ้ารับราชโองการไปสืบสวนคดีอยู่ กลับมาไม่ได้ชั่วคราว คาดว่าเขาคงมาไม่ได้แล้ว อาจารย์ใหญ่เช่นข้ายังนึกว่าจะไม่มีคนในครอบครัวเจ้ามาร่วมวันสำคัญของเจ้าเสียแล้ว ทว่านึกไม่ถึงเลยว่าเช้าวันนี้จะมีคนผู้หนึ่งมาหา คนผู้นี้มาเพื่อมอบของขวัญวันปักปิ่นให้เจ้า ซีจิ่ว เจ้าลองเดาสิว่าคนผู้นี้คือใคร?”
ตี้ฝูอีเงียบงัน เดากับบ้านเจ้าสิ! ข้าไม่สนใจ!
เขาเลิกคิ้วมองกู่ฉานโม่ ในใจไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง ทว่าใบหน้ายังคงตีหน้านิ่ง “ผู้ใดหรือ?”
กู่ฉานโม่หัวเราะฮ่าๆ “มารดาของเจ้า!”
ตี้ฝูอีตกตะลึง!
กู้ซีจิ่วเพิ่งดื่มน้ำเข้าไปอึกหนึ่ง พลันไอออกมาสองครา
กู่ฉานโม่รีบมองไปทางกู้ซีจิ่วทันที ท่าทางภูมิใจ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็คงประหลาดใจเช่นกันกระมัง?”
กู้ซีจิ่วกระแอมคราหนึ่ง “ประหลาดใจมาก ฮ่าๆ ประหลาดใจเหลือเกิน”
สายตาของกู่ฉานโม่วกกลับไปที่ร่างตี้ฝูอี “ฮ่าๆ ซีจิ่วเจ้าดีใจไหม? ประหลาดใจหรือเปล่า?”
ตี้ฝูอีกัดฟันยิ้ม “ดีใจยิ่งนัก ประหลาดใจเหลือเกิน!”
กู่ฉานโม่ปรบมือเสียงดัง เอ่ยเสียงดังชัดเจน “ขอเชิญหลัวฮูหยินเข้ามา!”
เมื่อเอ่ยจบ ด้านนอกก็มีสตรีชุดแดงนางหนึ่งเร่งสาวเท้าก้าวเข้ามา สตรีนางนั้นอายุราวสามสิบปี รูปโฉมงดงามเป็นหนึ่งมิมีสอง เค้าหน้ามีความคล้ายคลึงกับกู้ซีจิ่วห้าส่วน
————————————————————————————-
บทที่ 762 หลัวฮูหยินหรือว่ากู้ฮูหยิน
นางเดินละลิ่วเข้ามา ทำความเคารพทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกับเจ้าสำนักหลงก่อน แล้วหันไปกล่าวขอบคุณกู่ฉานโม่ จากนั้นสายตาหยุดอยู่ที่ร่าง ‘กู้ซีจิ่ว’ ทันที
ดวงตาคู่นั้นค่อยๆ มีม่านน้ำเอ่อคลอขึ้นมา มุมปากนางแย้มเป็นรอยยิ้ม ทว่าหางตาแดงกลับระเรื่อ มองดู ‘กู้ซีจิ่ว’ ก้าวเข้าไปหาช้าๆ เอ่ยขึ้นว่า “ซีจิ่ว ข้าเป็นแม่ของเจ้า…” เสียงนี้สั่นเครือนิดๆ คล้ายทั้งสุขและทุกข์
ตี้ฝูอมองนางที่กำลังเดินเข้ามาใกล้อย่างปดะประสาทยิ่งนัก จากนั้นก็ปรายตามองกู้ซีจิ่วที่นั่งอยู่ไม่ไกลด้วยหางตาแวบหนึ่ง
กู้ซีจิ่วมองเขายิ้มๆ สายตาแฝงแววหัวเราะเยาะและยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นอยู่รางๆ…
จิตใจกู้ซีจิ่วเบิกบานนัก! เธอเบิกบานจริงๆ! เธออยากเห็นว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะรับมือกับละครฉากแม่ลูกพบหน้านี้อย่างไร…
ยากนักที่จะได้เห็นอัดอัดคับข้องใจ เธอจะไม่มองให้คุ้มได้อย่างไร?
ตี้ฝูอีกวาดตามองหลัวฮูหยินผู้นี้อยุ่หลายครา ถึงอย่างไรนางก็เป็นแม่แท้ๆ ของกู้ซีจิ่ว เป็นบุคคลในตำนานผู้หนึ่ง และเป็นบุคคลที่ทุกข์ตรมจนต้องกระโดดหน้าผา ในใจกู้ซีจิ่วยังคงเคารพสตรีนางนี้ยิ่งนัก
แน่นอน อยู่ในขอบเขตของความเคารพเท่านั้น เธอไม่ได้มีความรักระหว่างแม่ลูกอันใดกับนาง อีกทั้งเธอมิใช่กู้ซีจิ่วคุณหนูแม่ทัพที่ถูกกดขี่คนนั้นอีกแล้ว เพียงหยิบยืมร่างกายของบุตรสาวผู้อื่นเท่านั้น
อีกอย่างต่อใหเป็นคุณหนูแม่ทัพผูนั้นจริงๆ ก็ยังไม่แน่ว่าจะรักใคร่ผูกผันกับหลัวฮูหยินผู้นี้สักเท่าใด อย่างไรเสียนางก็แยกกับมารดาตั้งแต่ยังแบเบาะ แถมในใจของกู้ซีจิ่วคนเก่า มารดาผู้นี้คือต้นเหตุของโศกนาฏกรรมในชีวิตนาง ต่อให้เจ้าของร่างคนเก่าได้พบกับมารดาของตนในยามนี้ ก็คงจะเกลียดชังกระมัง…
แม้กระทั่งความรักของแม่ลูกก็ต้องการเวลาอยู่ใกล้ชิดกันถึงจะผูกพัน ต่อให้เลือดข้นกว่าน้ำ ก็หลอมกันไม่เข้า
กู้ซีจิ่ววิเคราะห์ความรู้สึกที่กู้ซีจิ่วคนเก่าควรมีในยามนี้อยู่ในใจ พบว่าวิเคราะห์ไม่ได้…
จู่ๆ เธอพลันรู้สึกว่าร่างนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจถึงเพียงนี้
เธอจับจ้องตี้ฝูอี ดูว่าเขาจะรับมืออย่างไร
จะยืนขึ้นแล้วโผเข้าใส่อ้อมอกผู้เป็นแม่? หรือว่าจะกล่าวอย่างโกรธแค้นชิงชังว่า ‘เจ้าเป็นใครข้าไม่ต้องการเจ้า เจ้าไม่ใช่แม่ของข้า แม่ของข้าจะไม่มาดูดำดูดีข้าเนิ่นนานถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? ปล่อยให้ข้าถูกรังแกอยู่ที่จวนแม่ทัพ’ ถ้อยคำที่มีความเป็นไปได้ว่ากู้ซีจิ่วตัวจริงจะพูดแวบเข้ามาในสมองกู้ซีจิ่ว จากนั้นก็มองอย่างกระตือรือร้นว่าตี้ฝูอีจะใช้ข้อไหน…
เรื่องที่หลัวซิงหลานกระโดดหน้าผาในครานั้นทราบกันแทบจะทั่วทวีป ตอนนี้นางโผล่ออกมากะทันหัน อันที่จริงฝูงชนก็ใคร่เห็นปฏิกิริยาของกู้ซีจิ่วเช่นกัน ดังนั้นสายตาของคนทั้งห้องโถงแทบจะมาออกันอยู่ที่ร่างของสองแม่ลูก
ผลคือตี้ฝูอีไม่ใช้สักข้อ เขาเพียงแต่ยิ้มแวบหนึ่ง ชูจอกสุราขึ้นเบื้องหน้า น้ำเสียงเฉยชา “ควรเรียกท่านว่าหลัวฮูหยินหรือว่ากู้ฮูหยินดี?”
หลัวซิงหลานตัวแข็งทื่อ “จิ่วเอ๋อร์…”
ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ “ปีนั้นท่านตัดสินใจตัดสัมพันธ์กับทั้งหมดกับจวนแม่ทัพแล้ว คิดว่ายามนี้ท่านคงไม่ยินดีอย่างยิ่งที่จะเกี่ยวข้องใดๆ กับจวนแม่ทัพ เช่นนั้นข้าจะเรียกท่านว่าหลัวฮูหยินก็แล้วกัน”
หลัวซิงหลานมองบุตรสาวที่อยู่ตรงหน้า ริมฝีปากสั่นระริกครู่หนึ่ง ถึงตอบด้วยเสียงแผ่วๆ “ได้”
ตี้ฝูอีรินสุราใส่จอกใบหนึ่งแล้วยื่นให้นาง “เช่นนั้น…พวกเราดื่มกันสักจอกดีไหม?” สงบนิ่งดั่งพบพานสหาย
ม่านน้ำในดวงตาหลัวซิงหลานกลั่นตัวเป็นหยาดน้ำตาแล้ว นางฝืนข่มไม่ให้มันไหลรินลงมา ยกจอกสุราขึ้นเงียบๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม “ได้…” แหงนหน้าดื่มสุราในจอกจนหมด!
บทที่ 763 นางในยามนี้ยอดเยี่ยมมากแล้ว
ตี้ฝูอียิ้ม “หลัวฮูหยินช่างตรงไปตรงมาจริงๆ! ซีจิ่วขอคารวะท่านอีกจอก”
หลัวซิงหลานย่อมไม่ปฏิเสธสุราคารวะที่มาจากบุตรสาว ด้วยเหตุนี้จึงดื่มอย่างไม่ลังเลอีกครา
เดิมทีฝูงชาคาดหวังว่าจะมีละครฉากแม่ลูกพบหน้าโอบกอดกันทั้งน้ำตา นึกไม่ถึงว่าละครจะกลายเป็นเช่นนี้ไป เลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
กู่ฉานโม่ก็รู้สึกผิดหวังนิดๆ เช่นกัน เขารู้สึกว่าบุคลิกของ ‘กู้ซีจิ่ว’ ดูเหมือนจะผิดแผกไป ทว่าพูดออกเช่นกันว่าผิดแผกที่ตรงไหน ขณะที่เขาตกตะลึงอยู่ ‘กู้ซีจิ่ว’ ก็กวาดสายตามองมาแวบหนึ่ง “อาจารย์ใหญ่กู่ ควรจัดที่นั่งแก่หลัวฮูหยินมิใช่หรือ?”
กู่ฉานโม่กระแอมคราหนึ่ง “ใช่ๆ จัดที่นั่งให้หลัวฮูหยิน”
เดิมทีเขาเตรียมการจัดให้หลัวฮูหยินนั่งข้าง ‘กู้ซีจิ่ว’ ให้แม่ลูกได้พูดคุยกันดีๆ แต่สายตาที่ ‘กู้ซีจิ่ว’ มองเขาทำให้หนังศีรษะเขาชาหนึบ ครุ่นคิดแวบหนึ่ง สุดท้ายก็จัดให้หลัวฮูหยินนั่งตรงที่นั่งแขก…
กู้ซีจิ่วคาดไม่ถึงว่าตี้ฝูอีจะรับมือกับฉากที่ควรเป็นละครน้ำเน่าอย่างสี่ตำลึงปาดพันชั่งเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะเลื่อมใสยิ่งนัก! เก่งกาจเหลือเกิน!
เธอจึงส่งกระแสเสียงไปหา ‘ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้ารู้สึกว่าท่าทีที่ท่านปฏิบัติต่อหลัวฮูหยินดูเหมือนจะเย็นชาไปหน่อยหรือเปล่า?’
ตี้ฝูอีมองเธอแวบหนึ่งด้วยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม ‘ไม่ต้องห่วง ก็เหมือนความอบอุ่นที่เจ้าจะมอบให้นางยามที่กลับเข้าร่างอีกครั้งนั่นแหละ’
กู้ซีจิ่วกระแอมเบาๆ คราหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก อันที่จริงเธอก็มอบความอบอุ่นให้ ‘มารดา’ ผู้นี้ไม่ได้เช่นกัน
เธอมองหลัวซิงหลานอย่างเห็นอกเห็นใจนัก นางนั่งอยู่ตรงนั้น แผ่นหลังเหยียดตรง ชัดเจนนักว่าเป็นหญิงแกร่งผู้หนึ่ง เพียงน่าเสียดายที่สายตาไม่ใคร่มีแวว แต่งให้ผิดคน ทำลายชั่วชีวิตของตน และทำร้ายชีวิตของบุตรสาวนาง…
บุตรสาวแท้ๆ ของนางตายไปนานแล้ว กู้ซีจิ่วคนปัจจุบันก็เป็นกู้ซีจิ่วที่ไม่โหยหาความรักของมารดามานานแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างไม่หวนกลับมาอีกแล้ว…
กู้ซีจิ่วทอดถอนใจให้แกหลัวฮูหยินผู้นี้ยิ่งนัก ตี้ฝูอีพลันส่งกระแสเสียงมา ‘ไม่จำเป็นต้องทอดถอนใจให้นาง อันที่จริงตัวนางในยามนี้ยอดเยี่ยมมากแล้ว’
‘หือ?’ กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว
‘หลังจากนางกระโดดหน้าสมองก็ได้รับบาดเจ็บ ลืมเลือนเรื่องราวก่อนหน้านี้ ถูกศิษย์พี่ของนางช่วยเหลือไว้ หลังจากนางหายดีทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกัน สองปีให้หลังก็สมรสกัน ศิษย์พี่นางเป็นบุตรนอกสมรสของประมุขพรรคไร้นิวรณ์ [A1] ต่อมาประมุขพรรคไร้นิวรณ์ประสบวิกฤต เนื่องจากไม่มีบุตรธิดาคนอื่นอีก จึงให้ลูกนอกสมรสผู้นี้กราบไหว้บรรพชนรับเข้าตระกูล ผลักดันให้กลายเป็นประมุขน้อยแห่งพรรคไร้นิวรณ์ เข้าสู่พรรคครึ่งปีก็ได้สืบทอดตำแหน่งประมุขพรรคไร้นิวรณ์ หลัวซิงหลานก็กลายเป็นฮูหยินประมุขพรรค เนื่องจากหลัวซิงหลานใช้ชีวิตเรียบง่ายเก็บตัวไม่ออกไปไหนมาโดยตลอด และสามีใหม่ของนางก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีตของนาง ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดทราบเลยว่านางก็คือฮูหยินของกู้เซี่ยเทียนที่กระโดดหน้าผาคนนั้น หลังจากทั้งสองแต่งงานอยู่กินกัน หลัวซิงหลานก็ให้กำเนิดบุตรชายอีกสองคน สามปีที่แล้วก่อนที่สามีของหลัวซิงหลานล่วงลับไป เนื่องจากที่บุตรชายทั้งสองยังเยาว์วัยอีกทั้งรักใคร่ภรรยาสุดหัวใจ จึงมอบตำแหน่งประมุขพรรคให้หลัวซิงหลานสืบทอด ความสามารถในการเป็นผู้นำของหลัววิงหลานไม่เลว สองปีมานี้บริหารพรรคไร้นิวรณ์จนรุ่งเรืองก้าวหน้า กลายเป็นยอดหญิงแกร่งแห่งยุคอย่างแท้จริง…’
กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงว่าบทสรุปของหลัวซิงหลานจะเป็นเช่นนี้ ที่นึกไม่ถึงยิ่งกว่าคือตี้ฝูอีจะรู้มากถึงเพียงนี้! สิ่งที่รู้ครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งกว่านักสืบเอกชนเสียอีก!
ปีนั้นที่หลัวซิงหลานกระโดดหน้าผา กู้เซี่ยเทียนตามหาจนแทบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ก็ไม่พบกระทั่งชายชุดของนางเลย นึกไม่ถึงว่าที่แท้นางกลายเป็นฮูหยินของประมุขพรรคไร้นิวรณ์ไปนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือยามนี้กลายเปนประมุขพรรคไร้นิวรณ์แล้ว สร้างครอบครัวใหม่ มีคนรักใหม่ มีบุตรใหม่…
ผลลัพธ์เช่นนี้หากให้กู้เซี่ยเทียนทราบเข้า ไม่รู้ว่าจิตใจจะเป็นเช่นใด
โลกมนุษย์ช่างไม่มีอะไรแน่นอน นี่ช่างเป็นโลกมนุษย์ไม่มีอะไรแน่นอนโดยแท้!
————————————————————————————-
บทที่ 764 ใช้ร่างนี้ของท่านเต้นรูดเสา
เพียงแต่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์เช่นนี้ดีที่สุดสำหรับหลัวซิงหลานแล้วจริงๆ ต่อเคยให้เคยรักกันลึกล้ำแล้วอย่างไร? ก็ไม่อาจข้ามผ่านการเสื่อมถอยของกาลเวลาไปได้ คู่รักเปลี่ยนเป็นคู่แค้น สุดท้ายก็แตกหักเลิกรา โชคดีที่นางมีศิษย์พี่ที่หลงรักนางมาตลอด ยอมรับช่วงเวลาที่จนตรอกและลำบากที่สุดครองคู่กับนางจนถึงวัยโรยรา และรักกันไปชั่วชีวิต…
กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะมองตี้ฝูอีแวบหนึ่ง ‘ที่แท้ท่านก็ทราบเรื่องของนางอยู่ก่อนแล้ว ทว่าไม่เคยปริปากออกมาเลย’
น้ำเสียงตี้ฝูอีเรียบเฉย ‘ไม่จำเป็นต้องเอ่ย อีกทั้งนางก็ไม่ใช่มารดาของเจ้า!’
นี่ก็ใช่!
กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไรอีก เธอยกชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง
กู้ซีจิ่วรู้สึกขมขื่นอยู่บ้าง ร่างนี้ของตี้ฝูอียามนี้ไม่อาจลิ้มสุราได้ ดังนั้นขั้นตอนทั้งหมดในวันนี้เธอทำได้เพียงใช้ชาแทนสุรา โชคดีที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีรสนิยมแปลกๆ อยู่แล้ว ไม่ว่าจะไปไหนล้วนใช้แต่จอกสุราของตนกาน้ำชาของตน ไม่เคยดื่มสิ่งของจากภายนอก ดังนั้นต่อให้เธอดื่มชาที่นี่ก็ไม่มีใครกล้าพูดเป็นอื่น
พิธีเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ กู้ซีจิ่วมองพิธีปักปิ่นยุคโบราณนี้แล้วรู้สึกสนุกสนานยิ่ง
เด็กสาวที่จะปักปิ่นต้องให้ผู้อาวุโสเกล้าผมให้ใหม่ ผู้อาวุโสที่ว่านี้ย่อมรับหน้าที่โดยมารดาของตน หากมารดาไม่อยู่ ก็สามารถเปลี่ยนเป็นญาติผู้หญิงคนอื่นที่มีคุณวุฒิสูงส่งได้
ยามที่พิธีเริ่มขึ้น จิ้งจอกน้อยและศิษย์หญิงคนอื่นๆ ได้ยกอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องขึ้นมา หลัวซิงหลานล้างมือให้สะอาด เตรียมไปเกล้าผมให้บุตรสาว…
นางติดค้างบุตรสาวคนนี้มากมายเหลือเกิน นางอยากจะชดเชยอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้สักครั้ง…
ตี้ฝูอีกลับส่งกระแสเสียงไปหากู้ซีจิ่ว ‘เสี่ยวซีจิ่ว ข้าไม่ต้องการให้ผู้อื่นแตะต้อง เจ้ามาเกล้าผมให้ข้าที’
กู้ซีจิ่วไม่ขยับเขยื้อน ‘อาศัยสิ่งใดกัน? พวกเราเป็นชายหญิงมิพึงชิดใกล้!’
‘แม้แต่สังขารข้าเจ้าก็ยึดครองแล้ว ยังจะไม่ชิดเชื้ออีกหรือ? เร็วหน่อย! หรือเจ้าอยากให้ข้ายื่นความประสงค์ข้อนี้ต่อหน้าฝูงชนในยามนี้? เจ้าอย่าลืมนะ นี่คือร่างของเจ้า ถ้าข้าเป็นผู้ยื่นความประสงค์ ในสายตาทุกคนก็คือกู้ซีจิ่วเป็นฝ่ายที่ประสงค์ให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาเกล้าผมให้!’ ตี้ฝูอีข่มขู่
กู้ซีจิ่วตกตะลึง
‘หากว่าเจ้าปฏิเสธ เจ้าจะให้ร่างเจ้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ต้องทราบไว้ว่าคนที่ขายหน้ามิใช่ตัวข้า…’ ตี้ฝูอีส่งกระแสเสียงเข้ามาเรื่อยๆ
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก มารดามันเถอะเธอทำเป็นไม่ได้ยินได้หรือไม่?!
กู้ซีจิ่วก็ข่มขู่อย่างดุร้าย ‘ถ้าท่ายังบ่นจู้จี้เช่นนี้ต่อไป ข้าก็จะใช้ร่างนี้ของท่านเต้นรูดเสาต่อหน้าสาธารณะชน! ถึงอย่างไรผู้ที่เสียหน้าก็ไม่ใช่ข้า แต่เป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!’
ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยถามด้วยความสงสัย ‘ข้ารู้จักการเต้น ทว่าการเต้นรูดเสาคืออันใด?’
‘เป็นการเต้นที่ยั่วยวนผู้คนยิ่งนักประเภทหนึ่ง โดยทั่วไปสตรีจะสวมชุดที่เปิดเผยเนื้อหนังเต้นไปรอบๆ เสาต้นหนึ่ง เคลื่อนไหวอย่างเร่าร้อนเย้ายวนและดึงดูดยิ่ง ทำให้บุรุษที่เห็นเลือดกำเดาไหล…’ กู้ซีจิ่วเล่าสรรพคุณของการเต้นรูดเสานี้อย่างออกรส จากนั้นก็กล่าวว่า ‘ถ้าท่านขู่ข้าอีก ข้าจะออกไปเต้นจริงๆ!’
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเต้นรูดเสาต่อหน้าสาธารณชน ฉากเช่นนี้แค่คิดน่าสะพรึงแล้ว
ตี้ฝูอีเงียบไปอีกครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ ‘เจ้าเต้นเป็นหรือ?’
‘เป็นสิ! แถมยังเต้นได้ยอดเยี่ยมมากด้วย!’
ตี้ฝูอียิ้มบางๆ ‘ประเสริฐ’ แล้วเขาก็ไม่พูดอะไรอีก
กู้ซีจิ่วถูกคำว่า ‘ประเสริฐ’ ของเขาทำให้จิตใจกระสับกระส่าย เพียงแต่โชคดีที่เขาไม่บังคับเรียกร้องให้ไปเกล้าผมให้เขาอีก เธอจึงปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน (ในอนาคตเธอถึงได้ทราบ ว่าเธอต้องจ่ายไปมากเท่าใดสำหรับเรื่องนี้ การเต้นรูดเสานี้กลายเป็นรายการที่เขาหมายมาดปรารถนา ทำให้เธออยากย้อนเวลากลับไปยิ่งนัก จะได้กลืนประโยคนี้กลับไปไม่พูดออกมา แน่นอน นี่คือถ้อยคำในอนาคต)
บทที่ 765 ท่านช่างคิดมากโดยแท้
จากนั้นกู้ซีจิ่วก็มองหลัวฮูหยินเกล้าผมให้ร่างนั้นของตน เห็นได้ชัดว่านางตื่นเต้นมาก หยาดน้ำตาที่คลออยู่เบ้าตากลิ้งไปมา ปลายจมูกแดงก่ำ ทว่ากลับยิ้มน้อยๆ อยู่ตลอด ดูแลจัดการเส้นผมทั้งหมดของบุตรสาว
ทำให้กู้ซีจิ่วที่มองอยู่ด้านข้างก็รู้สึกว่าโพรงจมูกแสบร้อนขึ้นมาเช่นกัน
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ใต้หล้านี้มีบิดามารดาที่ไม่รักใครบุตรอยู่น้อยนัก ปีนั้นหลัวซิงหลานอันจนหนทางจึงต้องกระโดดหน้าผากทอดทิ้งธิดาน้อย อีกทั้งเสียความทรงจำอยู่หลายปี นางปฏิบัติต่อกู้เซี่ยเทียนอย่างสาสม ทว่าทำผิดต่อบุตรทั้งสอง…
หลัวซิงหลานใช้ทั้งชีวิตเพื่อความรัก ปีนั้นที่นางแต่งให้แก่กู้เซี่ยเทียนก็ทะเลาะเบาะแว้งกับบิดามารดาในบ้าน ย่อมตัดขาดกับบิดามารดาเพื่อไล่ตามความรัก และเมื่อความรักนี้สูญสลายไปอย่างสิ้นเชิง นางก็ทอดทิ้งบุตรสาววัยแบเบาะแล้วกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย…
พฤติกรรมเช่นนี้ของนางมิอาจกล่าวได้ว่าผิด แต่ก็ไม่กล่าวได้ว่าถูก กู้ซีจิ่วชื่นชมในความเข้มแข็งของนาง แต่ไม่ชื่นชมที่นางใช้วิธีเช่นนี้
มนุษย์เกิดมาบนโลก มิใช่มีเพียงความรักเท่านั้น ยังมีสายใยครอบครัว สายใยเพื่องพ้อง…
หากว่าเป็นตัวเธอกู้ซีจิ่วที่ประสบสถานการณ์นี้แบบนาง ในเมื่อไม่รักบุรุษสวะผู้นั้นแล้ว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าเขาจะรับอนุงามอันใดมา หาทางยืนในเรือนแห่งนั้นให้มั่นคง ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกผิดของกู้เซี่ยเทียนเขี่ยเหลิ่งเซียงอวี้ทิ้งแล้วค่อยว่ากันอีกที ให้เด็กทั้งสองได้รับการศึกษาอย่างดีที่สุด อีกสิบปีให้หลังใต้หล้านี้ยังจะมิใช่ของนางหลัวซิงหลานอีกหรือ?
กู้ซีจิ่วขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าหากเธอทะลุมิติมาเข้าร่างหลัวซิงหลาน… (คาดว่าคงเป็นนิยายแก่งแย่งชิงดีในครอบครัวเรื่องหนึ่ง)
ต่อให้ไม่อาลัยอาวรณ์จวนแม่ทัพ ก็ไม่อาจฆ่าตัวตายให้เหลิ่งเซียงอวี้ได้ผลประโยชน์ไปง่ายๆ กระมัง? ควรหาทางมัดใจกู้เซี่ยเทียนไว้ก่อน วางแผนเอาชีวิตเหลิ่งเซียงอวี้ จากนั้นค่อยพาลูกทั้งสองหลบหนีไป ร่อนเร่ไปหาแหล่งพักพิงใหม่ (ดูเหมือนจะเป็นนิยายสายบุกเบิกถิ่นฐานไปอีกแล้ว)
ขณะที่ความคิดเธอค่อนข้างล่องลอย ตี้ฝูอีก็ส่งกระแสเสียงเข้ามาอีกครั้ง ‘เสี่ยวซีจิ่ว…อย่าลืมเตรียมของขวัญไว้ให้ตัวเองด้วย’
ปฏิกิริยาตอบสนองของกู้ซีจิ่วช้าไปเล็กน้อย ถึงค่อยตอบกลับ ‘ท่านอยากให้ของขวัญใดแก่ข้า’ พลันชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอีกว่า ‘ข้าไม่อยากได้ของขวัญจากท่าน!’
ติดค้างคนผู้นี้มิใช่เรื่องดี อาจมีดอกเบี้ยบานเบอะก็ได้
สัญชาตญาณของเธอไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้มากเกินไป ย่อมไม่ต้องการสิ่งของจากเขาเช่นกัน
ตี้ฝูอีราวกับเดาความคิดทั้งหมดในใจของเธอได้ แววตาจึงมืดมนลงเล็กน้อย ทว่ายิ้มแล้วเอ่ยว่า ‘เป็นแค่ของขวัญที่มอบให้เจ้าในพิธีปักปิ่นเท่านั้น ทุกคนล้วนต้องมอบให้ ไม่เกี่ยวว่าจะติดค้างหรือไม่ และไม่มีการไม่ต้องการ เจ้าเจตนาไม่รับของข้าโดยเฉพาะ หมายความในใจของเจ้ายังคงชิงชังข้าอยู่ใช่หรือไม่? ไร้รักย่อมไร้ชัง เช่นนั้นบางทีอาจเป็นการยืนยันว่าสำหรับข้าแล้วเจ้ายัง…’
เขายังไม่ทันได้เอ่ยประโยคหลังออกมาก็ถูกกู้ซีจิ่วเอ่ยตัดบท ‘ท่านช่างคิดมากโดยแท้! เอาเถิด ท่านจะให้อะไรข้า? ข้าจะได้หยิบออกจากมิติเก็บของท่านมาเตรียมไว้’
ตี้ฝูอีสั่งให้เธอหยิบถุงเก็บของสีม่วงเข้มใบหนึ่งจากมิติเก็บของมาเตรียมไว้
กู้ซีจิ่วมองสำรวจถุงเก็บของใบนั้นล่วงหน้า นอกจากสีม่วงแพรวพราวที่เป็นประจำตัวของท฿ตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ น่าจะเป็นถุงเก็บของระดับสูงใบหนึ่ง ไม่นับว่าเป็นของล้ำค่าจนเกินไป
กู้ซีจิ่วสบายใจแล้ว
หลังจากเกล้าผมเสียบปิ่นเสร็จ ผู้อาวุโสก็จะพาไปกราบไหว้ฟ้าดิน
ผู้อาวุโสท่านนี้ควรเป็นบุคคลที่ทรงคุณวุฒิน่านับถือที่สุดในบรรดาคนที่มาร่วมงาน และเห็นได้ชัดว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีเหมาะสมกับหน้าที่นี้ ย่อมเป็นธรรมดานัก ที่หน้าที่นี้จะตกอยู่ที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
กู้ซีจิ่วทำได้เพียงลุกขึ้น ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ทั้งหมดที่คนเหล่านั้นกล่าว จูงมือตี้ฝูอีไปกราบไหว้ฟ้าดิน
เธอต้องจุดธูปดอกหนึ่งก่อน จากนั้นก็กระซิบภาวนาต่อฟ้าดินสองสามคำ จากนั้นก็ส่งธูปให้ตี้ฝูอี หลังจากเขาคุกเข่ากราบก็นำไปปักไว้ในกระถางธูปที่ใต้ป้ายอักษรฟ้าดิน
————————————————————————————-
บทที่ 766 รู้สึกว่าพูดจาล่อลวงให้เธอกราบไหว้ฟ้าดิน
ที่แท้พิธีปักปิ่นก็สลับซับซ้อนถึงเพียงนี้ เกือบจะเหมือนการกราบไหว้ฟ้าดินในพิธีสมรสแล้ว!
กู้ซีจิ่วหงุดหงิดเล็กน้อย แต่โชคดีว่าเรื่องที่เธอต้องทำมีไม่มาก ดังนั้นหลังจากเธอแสร้งวางท่าสวดภาวนาครู่หนึ่ง ก็ยื่นธูปใส่มือตี้ฝูอี ยิ้มหัวพลางมองเขาที่อยู่ในร่างของกู้ซีจิ่วคุกเข่ากราบกรานทวยเทพ…
ในใจเธอรู้สึกยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นอยู่บ้าง ตี้ฝูอีสูงส่งเหนือปวงชนมาตลอด คาดว่านอกจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาคงไม่เคยกราบกรานผู้ใด แต่ยามนี้กลับต้องมาหมอบกราบในร่างของผู้อื่นอยู่ที่นี่…
อืม นับว่าเป็นการเอาคืนเขาแล้ว!
ขณะที่เธอนึกยินดีอยู่ ยามที่ตี้ฝูอีรับธูปไปไม่ทันได้ระวังไม่รู้ว่าเท้าไปสะดุดสิ่งใดเข้า พลันส่ายโงนเงน พพุ่งเข้ามาหาเธอ!
ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงได้โอบร่างอรชรหอมกรุ่นไว้เต็มอ้อมแขน…
ยามนี้เธอก็ไม่มีเรี่ยวแรงสักเท่าใดเช่นกัน ประกอบกับตี้ฝูอีพุ่งเข้าใส่เธอในมุมที่ยากจะรับมือ บังเอิญว่าเธอยืนไม่มั่นคงอยู่พอดี ดังนั้นร่างของเธอจึงล้มลงไปโดยที่ยังโอบ ‘ร่างอรชรหอมกรุ่น’ เอาไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้…
รอจนยามที่ปฏิกิริยาตอบสนองของเธอกลับมาอีกครั้ง เธอกับตี้ฝูอีก็คุกเข่าเคียงกันอยู่บนพื้นแล้ว แถมตี้ฝูอียังทำงานได้หมดจดหายห่วง เขาถือโอกาสปักธูปลงในกระถางธูปที่อยู่เบื้องหน้า…
เนื่องจากการเคลื่อนไหวเหล่านี้สอดคล้องกันพอดิบพอดีเกินไป ประหนึ่งคนทั้งสองกำลังกราบไหว้ฟ้าดินร่วมกันก็มิปาน…
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ คิดจะลุกขึ้นทันที แต่เพิ่งจะลุกได้ครึ่งทาง สองขาพลันอ่อนยวบ คุกเข่าลงไปอีกครั้ง
แถมการคุกเข่านี้ของเธอก็บังเอิญหันไปทางตี้ฝูอีพอดี และจี้ฝูอีก็กำลังเริ่มกราบครั้งที่สองอยู่…
ท่าทางอขงทั้งสองคนคล้ายคู่สามีภรรยายามที่คำนับซึ่งกันและกัน…
ครั้งนี้คนทั้งสองโขกศีรษะให้กันและกัน
หลงซือเย่ที่ยืนดูอยู่ด้านข้างทนไม่ไหวอีกต่อไป รีบเข้าไปทันที “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย นี่ท่านกำลังทำอะไรอยู่?!”
กู้ซีจิ่วมีทุกข์ทว่าไม่อาจพูดออกไป ในใจเธอทราบดีว่าการโขกศีรษะสองครานี้ของตนค่อนข้างมีลับลมคมใน มีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนที่จะเป็นเล่ห์กลของตี้ฝูอีที่อยู่เบื้องหน้าแต่ยามนี้เธอไม่อาจเปิดโปงเขาได้ ได้แต่ลุกขึ้น ขณะที่กำลังหาข้ออ้างมารับหน้าแบบขอไปทีอยู่ ตี้ฝูอีก็ลุกขึ้นมาแล้วเช่นกัน สีหน้าเขาเรียบเฉย เหลือบมองหลงซือเย่แวบหนึ่ง “เจ้าสำนักหลง ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแค่เท้าลื่นเท่านั้นท่าจะมาเสียงดังโวยวายตรงนี้ทำไม?”
ดวงตาของหลงซือเย่ฉายแววปวดร้าวแวบหนึ่ง “ซีจิ่ว…”
ตี้ฝูอีพยักหน้าให้เขานิดๆ ใช้สำเนียงการพูดของกู้ซีจิ่วเช่นเดิม “เจ้าสำนักหลง เชิญไปนั่งก่อนเถิด เดี๋ยวซีจิ่วจะไปยกน้ำชาให้ท่านภายหลัง”
หลงซือเย่นิ่งงันไปครู่หนึ่ง หันหลังกลับไปนั่งอีกครั้งเงียบๆ
กู้ซีจิ่วเดือดดาลอยู่ในใจ ‘ตี้ฝูอี ท่านอย่าได้อาศัยร่างข้าไปทำร้ายเขา!’
ตี้ฝูอีมองเธอแวบหนึ่งแล้วกล่าว ‘เช่นนั้นจะปล่อยให้เขาตำหนิเจ้าหรือ?’
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว ‘คนที่เขาตำหนิคือท่านชัดๆ!’
‘แต่ตอนนี้ผู้ที่ครอบครองร่างของข้าคือเจ้า’
‘แล้วอย่างไรเล่า? เขาตำหนิก็มีเหตุผล เมื่อครู่ตัวการที่ทำให้ข้าคุกเข่าถึงสองครั้งคือท่านใช่ไหม?’ กู้ซีจิ่วถามตรงๆ
ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง ‘ใช่’
‘เพราะเหตุใด’
‘พิธีปักปิ่นนี้เดิมทีก็ตระเตรียมไว้เพื่อเจ้า ความจริงแล้วผู้ที่ควรกราบไหว้ฟ้าดินในยามนี้คือเจ้า เรื่องที่พวกเราสลับร่างกันสามารถปกปิดผู้อื่นได้ แต่ไม่อาจตบตาฟ้าดินได้ ดังนั้นเจ้าผู้เป็นเจ้าของร่างนี้ก็สมควรกราบด้วย’
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก เป็นแบบนี้จริงเหรอ? ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าตี้ฝูอีพูดจาล่อลวงให้เธอกราบไหว้ฟ้าดินกันนะ?
บางทีเธอคงระแวงมากไป
นี่คือองค์ประกอบเล็กๆ ในพิธีปักปิ่นครั้งนี้ เมื่อผ่านองค์ประกอบเล็กๆ ไปแล้ว ขั้นตอนหลังจากนั้นก็ราบรื่นมาก
บทที่ 767 ยินดีด้วย สิ่งนี้มอบให้เจ้า
ตี้ฝูอีในร่างกู้ซีจิ่วยกน้ำชาให้เหล่าผู้อาวุโสทีละคน กู้ซีจิ่วที่มองอยู่ด้านบน รู้สึกว่าฉากเหล่านี้ช่างเหมือนขั้นตอนที่สะใภ้ใหม่ต้องยกน้ำชาคารวะผู้อาวุโสในตระกูวันแรกเลย
หลานไว่หูติดตามอยู่ข้างกายเขาดังสาวใช้ตัวน้อย คอยรินชาให้เขาถ้อยแล้วถ้วยเล่า จากนั้นเขาก็คารวะเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ในงาน
ผู้ที่ต้องคารวะเป็นลำดับแรกย่อมเป็นกู้ซีจิ่วในร่างของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย กู้ซีจิ่วรับชาที่เขายกให้ รู้สึกปีติยินดียิ่ง ยากนักที่จะได้เห็นเจ้าคนผู้นี้คารวะน้ำชาตน…
ชานี้หอมเหลือเกิน!
เธอยื่นถุงเก็บของสีม่วงใบนั้นให้เป็นของขวัญ
กู้ซีจิ่วย่อมทราบว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นผู้มั่งมีตัวจริง ของขวัญที่เขามอบออกไปมิใช่ของราคาถูก แต่ถุงเก็บของชั้นเลิศก็นับว่าเป็นของที่หายากนัก ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่ได้นำถุงเก็บของสีม่วงใบนั้นมาคิดเป็นจริงเป็นจัง โยนใส่ถาดที่เชียนหลิงอวี่ผู้รับผิดชอบหน้าที่รับของขวัญถือตามหลังตี้ฝูอีมา น้ำเสียงก็ปกติธรรมดา พูดจาเป็นทางการ “ซีจิ่ว ยินดีด้วย สิ่งนี้มอบให้เจ้า”
ถุงเก็บของใบนั้นพลิกอยู่ในถาดตลบหนึ่ง แล้วจี้สีแดงสดเส้นหนึ่งก็กลิ้งออกมาจากในถุง
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน นึกไม่ถึงว่าในถุงเก็บของจะยังซ่อนของไว้อีก แต่ของถูกมอบออกไปแล้ว เธอจะเก็บกลับมาอีกก็ไม่ได้
เธอมองจี้เส้นนั้นแวบหนึ่ง เห็นว่าจี้เส้นนั้นมีขนาดเท่าไข่นกพิราบ แดงเปล่งปลั่งอยู่ตรงนั้นปานพระอาทิตย์ดวงน้อย
กู้ซีจิ่วก็นับเป็นผู้ที่รู้คุณค่าสมบัติผู้หนึ่ง แต่เธอกลับมองวัตถุดิบของจี้เส้นนี้ไม่ออกไปชั่วขณะ
เพียงจากดูจากลักษณะแล้วราคาน่าจะไม่ต่ำเลย ขณะที่เธอกำลังคิดหาข้ออ้างน้ำจี้เส้นนั้นกลับมา
กลับนึกไม่ถึงว่าจี้ที่อยู่ในถาดจะกลิ้งไปกลิ้งมา จากนั้นก็ลอยขึ้นมา ร่อนลงบนคอของ ‘กู้ซีจิ่ว’ สายสร้อยสีเงินอ่อนพันวนไปรอบๆ ด้วยตัวมันเอง พันรอบคอ ‘กู้ซีจิ่ว’ ด้วยตัวเอง…
สวมให้ ‘กู้ซีจิ่ว’ โดยตัวมันเอง!
มือของกู้ซีจิ่วที่แต่เดิมกุมถ้วยชาอยู่พลันแข็งทื่อ นี่…นี่มันอะไรกัน?
ในฝูงชนมีคนตะโกนขึ้นมาอย่างตกตะลึง “ปีกคู่เหินหาว! เป็นอัญมณีปีกคู่เหินหาว!”
กู้ซีจิ่วก็ไม่ทราบว่าอัญมณีปีกคู่เหินหาวนี้สรุปแล้วคือสิ่งใด หยกนภาพ่อบ้านน้อยผู้รอบรู้ของเธอยามนี้ก็สวมอยู่บนข้อมือตี้ฝูอี ดูเหมือนว่าหลังจากเธอสลับร่างกับตี้ฝูอี ก็ไม่ได้ยินเสียงโหวกเหวกของเจ้าตัวนี้อีกเลย ยามนี้ย่อมไม่มีหนทางให้มันถ่ายทอดความรู้ด้านนี้แก่ตนเช่นกัน
แต่เธอทราบว่าอัญมณีปีกคู่เหินหาวนี้น่าจะเป็นสมบัติที่มีค่าควรเมือง มิเช่นนั้นคงทำให้พ่อบ้านใหญ่ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ที่พบเห็นสมบัติล้ำค่าจนชินตะโกนอย่างตกตะลึงเช่นนี้ไม่ได้หรอก
พ่อบ้านใหญ่คนนั้นเป็นผู้ที่ประเมินคุณค่าข้างของได้ เขาไม่เพียงแต่รู้จักอัญมณีปีกคู่เหินหาวเท่านั้น ยังรู้จักถุงเก็บของใบนั้นด้วย “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย นี่…ถุงเก็บของใบนี้คือถุงจุสวรรค์ใช่ไหมขอรับ? สวรรค์ เป็นถุงจุสวรรค์จริงๆ ด้วย!”
กู้ซีจิ่วตกตะลึง
เธอเคยได้ยินเรื่องของถุงจุสวรรค์นี้ ถุงจุสวรรค์เป็นของชั้นเลิศ เล่าลือกันว่าเป็นของที่มีแค่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายและท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่มี ต่อให้เป็นถุงเก็บของระดับสูงก็ใส่ได้แค่สิ่งไม่มีชีวิตเท่านั้น กล่าวอีกนัยคือถึงพื้นที่ของพวกมันจะกว้างใหญ่ แต่ก็เก็บได้แค่สิ่งไม่มีชีวิต ไม่อาจเก็บสิ่งมีชีวิตได้
แต่ถุงจุสวรรค์นี้ไม่เพียงแต่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลเท่านั้น ร่ำลือกันว่าไม่มีข้าวของใดที่มันเก็บไม่ได้ ที่สำคัญกว่านั้นคือมันเก็บสิ่งมีชีวิตได้ อย่างเช่นสัตว์เลี้ยงวิญญาณต่างๆ อย่างเช่นมนุษย์…
สมบัติล้ำค่าเช่นนี้กล่าวได้ว่าหายากเป็นที่สุด สิ่งนี้ไม่สามารถประเมินค่าได้ มันเป็นของพิเศษที่มีจำกัด ฝูงชนย่อมมิอาจพบเห็นได้ทั่วไป และแน่นอนว่าไม่กล้าเพ้อฝันถึงสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน…
ผู้ก็คาดไม่ถึงว่าคราวนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะใจป้ำถึงเพียงนี้ ส่งมอบสิ่งนี้ออกมา
————————————————————————————-
บทที่ 768 ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเคยคิดหรือไม่?
ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ทอดทิ้งไม่แหลียวแลกู้ซีจิ่วเหมือนอย่างที่ร่ำลือกัน เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเขายังคงใส่ใจนางอย่างยิ่ง!
สายตาของคนทั้งหลายล้วนรวมกันอยู่ที่ร่างของ ‘ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย’ พากันคาดเดาจุดประสงค์เขา หรือท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคิดจะทวงคู่หมั้นคืน?
กู้ซีจิ่วขมขื่นอยู่ในใจ แต่ของได้มอบออกไปแล้ว เธอคงหาของอ้างทวงกลับมาไม่ได้กระมัง?
ตี้ฝูอียกมือแตะสร้อยบนคอ ยิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง “ขอบพระคุณท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยิ่ง”
นัยน์ตาของหลัวซิงหลานก็ทอประกายเช่นกัน กล่าวขอบคุณตาม ‘บุตรสาว’
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายช่างใจป้ำเหลือเกิน!” หลงซือเย่ที่อยู่ด้านข้างกล่าวอย่างเฉยชา “เพียงแต่ซือเย่มีเรื่องหนึ่งที่กังวลยิ่งนัก ใคร่ขอให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายช่วยคลายความสงสัย”
เขาจ้องมองกู้ซีจิ่วแล้วถาม กู้ซีจิ่วจึงได้แต่เอ่ยว่า “เชิญเจ้าสำนักหลงกล่าวมา”
หลงซือเย่พูดขึ้นมา “สมบัติสองชนิดที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมอบออกมาย่อมเป็นของชั้นเลิศ แต่คงจะล้ำค่าเกินไป! ภาษิตกล่าวกันว่า สมบัติล่อใจคน ยามนี้ซีจิ่วยังอายุน้อยเกินไป ฝีมือยังไม่แกร่งพอ ท่านทูตสวรรค์มอบสมบัติสองอย่างนี้ให้นางสำหรับนางแล้วเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องดีอันใด ก็เหมือนกับขอทานที่ถือทองคำมากมายเดินไปตามถนนใหญ่ จะชักนำเภทภัยมาให้นางได้ง่ายๆ ไม่แน่สิ่งนี้อาจจะเป็นสาเหตุให้ชีวิตต้องเป็นทุกข์ ไม่ทราบว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเคยคิดเรื่องเหล่านี้บ้างหรือไม่?”
อันที่จริงกู้ซีจิ่วก็กำลังกังวลเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ยามที่คนไม่มีฝีมือแข็งแกร่งพอจะคุ้มครองตน จู่ๆ ก็ได้รับสมบัติทำให้สายตาคนทั้งแผ่นดินลุกวาวง่ายที่จะชักนำเภทภัยมาหาโดยแท้…
เธอเหลือบมองตี้ฝูอแวบหนึ่ง ฉวยโอกาสกล่าวว่า “ข้าไม่ได้นึกถึงเรื่องพวกนี้ไปชั่วขณะ เจ้าสำนักหลงตักเตือนถูกแล้ว เช่นนั้น…” ขณะที่กำลังจะบอกว่า ‘ขอเก็บของขวัญชิ้นนี้คืน แล้วจะมอบอย่างอื่นให้แทน’ ตี้ฝูอีก็เอ่ยขึ้นมาแล้ว “สมบัติล่อใจคนจริงๆ เพียงแต่ สมบัติสองชิ้นนี้มิใช่กรรมสิทธิ์จากท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหรอกหรือ? ยามนี้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมอบพวกมันให้ซีจิ่วแล้ว กล่าวให้ชัดก็คือซีจิ่วเป็นบุคคลที่สองที่ครอบครองพวกมัน หากว่ามีคนกล้าหมายตาพวกมัน ต่อให้ฉกฉวยไปได้ก็ไม่กล้าใช้ อีกทั้งท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็คงไม่ปราณีคนที่ฉกไปใช่หรือไม่? เช้านี้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยังกล่าวต่อซีจิ่วอยู่เลย ว่าถุงจุสวรรค์ใบนี้มีความสามารถในการจดจำเจ้าของ เมื่อจดจำเจ้าของแล้ว ต่อให้ผู้อื่นชิงไปก็ไม่มีประโยชน์ แถมยังจะถูกมันกลืนกิน แม้กระทั่งดวงวิญญาณก็จะขังไว้ในถุงไม่อาจหลุดไปได้ ”ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยังบอกอีกว่า หลังจากถุงจุสวรรค์ใบนี้จดจำเจ้าของแล้วต่อให้อยู่ห่างจากร่างเจ้าของก็สามารถตามรอยกลับมาได้ด้วยตัวเอง ผู้อื่นไม่มีทางขโมยหรือฉกชิงไปได้…ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมอบสมบัติเช่นนี้แก่ซีจิ่ว อันที่จริงไม่มีอันตรายเลยสักนิด มิใช่หรือ? หรือท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายต้องการทวงสมบัติที่มอบออกมาแล้วคืนไป?”
กู้ซีจิ่วตะลึง เธอไม่รู้ว่าถุงจุสวรรค์ใบนี้จะมีความสามารถที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้
สายตาคู่นั่นของตี้ฝูอีมองดูเธอ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านยังบอกอีกว่า สมบัติชิ้นนี้มีความสามารถในการส่งสัญญาณเตือน หากซีจิ่วพกสมบัติชิ้นนี้ติดตัวตลอด ภายหน้าหากมีผู้ใดประสงค์ร้ายต่อซีจิ่ว สมบัติชิ้นนี้จะส่งสัญญาณเตือนท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเอง และจะถ่ายโอนข้อมูลทั้งหมดของผู้ที่ต้องการทำร้ายซีจิ่วไป ให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสามารถเสาะหาตัวผู้ประสงค์ร้ายต่อซีจิ่วได้แม่นยำทันกาล เพื่อคุ้มครองซีจิ่ว เมื่อเป็นเช่นนี้ สมบัติชิ้นนี้ควรเป็นเครื่องรางคุ้มกายซีจิ่วสิ จะเป็นสิ่งที่ชักนำเภทภัยมาให้ซีจิ่วได้อย่างไรกัน?”
กู้ซีจิ่วเห็นเขาหาเหตุผลที่เปิดเผยเที่ยงธรรมมา ก็รู้สึกมวนท้องอยู่บ้าง
ทราบดีว่าเขาถือโอกาสพูดข้อดีของสมบัติชิ้นนี้ออกมาให้กระจ่าง ทำให้เหล่าคนที่หมายปองมันล้มเลิกความคิดนี้ไปด้วยตัวเอง แน่นอนว่าพูดให้หลงซือเย่ฟังด้วยเช่นกัน…
บทที่ 769 กำไลข้อมือหยกสีดำวงหนึ่ง
‘กู้ซีจิ่ว’ กล่าวมาเช่นนี้แล้ว ‘ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย’ ย่อมไม่อาจพูดว่าจะเอามันคืนได้อีก ยิ่งไม่อาจเปิดโปงคำโป้ปดของตี้ฝูอีที่ว่า ‘บอกไว้เมื่อเช้า…’ อะไรนั้นได้ เธอถึงขั้นตกอยู่ในสภาวะจนปัญญา จึงเออออไปกับเขา “ซีจิ่ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะจดจำได้ชัดเจนเช่นนี้ สมบัติชิ้นนี้ ในเมื่อข้ามอบออกไปแล้ว ย่อมไม่อยากเรียกคืนได้…”
เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ หลงซือเย่ย่อมมิอาจกล่าวเป็นอื่นได้อีก สีหน้าเขาเพียงซีดเซียวยิ่งขึ้นกว่าเก่า
เขาก็ตั้งใจเตรียมของขวัญวันปักปิ่นไว้ให้กู้ซีจิ่วเช่นกัน เป็นกระบี่เหล็กไหลคมกริบหนึ่งเล่ม โอสถระดับแปดหนึ่งขวด
ล้วนเป็นของที่ประณีตและล้ำค่ายิ่งนัก แต่เมื่อเทียบกับผู้มั่งมีอย่างตี้ฝูอีแล้วก็ด้อยสง่าราศีไปบ้าง
ความจริงแล้วกู้ซีจิ่วชมชอบกระบี่เหล็กไหลและโอสถระดับแปดอย่างยิ่ง เธอเกรงว่าตี้ฝูอีจะปฏิเสธแทนตนโดยพลการ จึงรีบส่งกระแสเสียงไปหาทันที ‘ตี้ฝูอี สองสิ่งนี้ท่านต้องรับไว้!’
ตี้ฝูอีมองเธอแวบหนึ่ง ไม่ได้เอ่ยอะไร ยามที่หลงซือเย่มอบของให้เขา เขาก็กล่าวขอบคุณ แล้วโยนส่งๆ ใส่ในถาดที่เชียนหลิงอวี่ถือ
เขาปฏิบัติต่อหลงซือเย่ด้วยท่าทีเย็นชา เห็นได้ชัดว่าหลงซืออึดอัดใจ มองตี้ฝูอีอยู่เนืองๆ ความปวดร้าวพาดผ่านดวงตา
กู้ซีจิ่วสังเกตความเคลื่อนไหวของหลงซือเย่อยู่ตลอด เห็นเขาเป็นเช่นนี้ ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเหมือนกัน
ค่อนข้างว้าวุ่นใจ ที่แท้เจ้าบัดซบตี้ฝูอีสวมรอยเป็นเธอแล้วคุยอะไรกับหลงซือเย่กันนะ?
ไม่ได้ จะให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว! เธอต้องหาสักวิธี…
กู้ซีจิ่วส่งกระแสเสียงไปหาตี้ฝูอี ‘ตี้ฝูอี ข้าไม่สนว่าแท้จริงแล้วท่านมีจุดประสงค์อะไร แต่ท่านอย่าได้ใช้ฐานะของข้าไปยุติความสัมพันธ์ของข้ากับเขาอย่างเจตนาอีก! ไม่เช่นนั้นข้าจะอธิบายต้นสายปลายเหตุกับเขาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งนั้น รวมถึงจะทำให้เขาทราบเรื่องที่พวกเราสลับร่างกันด้วย!’
ตี้ฝูอีที่กำลังไล่คารวะน้ำชาผู้อื่นอยู่ เมื่อได้ยินกระแสเสียงของเธอเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย ชาในมือหกกระเด็นออกมานิดหน่อย เขาส่งกระแสเสียงกลับมา ‘ซีจิ่ว หากว่าให้เขาทราบความจริง บางทีชีวิตข้าอาจหาไม่! เช่นนี้ เจ้ายังบอกเขาไหม?’
กู้ซีจิ่วพลันขมวดคิ้ว ไม่เผยจุดอ่อน ‘เช่นนั้นท่านก็สำรวมเสียบ้าง! อย่าทำลายความสัมพันธ์ของข้ากับเขา!’
‘เจ้าชอบเขาถึงเพียงนี้จริงๆ หรือ?’
กู้ซีจิ่วตอบอย่างไม่คิดจะเหลือทางถอยไว้ให้ตน ‘ใช่!’
‘เพื่อเขาแล้วสละข้าได้โดยไม่แยแสเลยหรือ?’
กู้ซีจิ่วกระอักกระอวนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบไปว่า ‘ใช่!’
ตี้ฝูอีไม่พูดอะไรอีก คารวะผู้อื่นแทนเธอต่อไป
หลัวซิงหลานก็มีของขวัญให้เช่นกัน ของขวัญของนางพิเศษนัก เป็นกำไลข้อมือหยกสีดำวงหนึ่ง
ยามที่กู้ซีจิ่วเห็นของขวัญชิ้นนั้นก็ตกตะลึง กำไลข้อมือนี้เป็นกำไลคู่ วงหนึ่งเคยมอบให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นของหมั้น หลังจากถอนหมั้นกันแล้วกำไลวงนั้นก็กลับมาอยู่ในมือของกู้ซีจิ่ว
ตอนนั้นเธอยังนึกสงสัยอยู่ว่าสัญญาหมั้นหมายของเธอกับทูตสวรรค์ฝ่ายว้ายเป็นของปลอม กำไลหัยกาฬเป็นสิ่งที่ตี้ฝูอีฉกฉวยมาจากมือผู้ตาย บัดนี้พอเห็นหลัวซิงหลานนำอีกวงที่เหลือออกมา เธอก็ทราบว่ากำไลที่อยู่ในมือตี้ฝูอีเมื่อครานั้นเป็นของจริง เธอกับตี้ฝูอีมีสัญญาหมั้นหมายกันจริงๆ…
ยามนี้กำไลหทัยกาฬนับว่ากลายเป็นคู่โดยสมบูรณ์แล้ว ก็ไม่ทราบว่าในใจกู้วีจิ่วรู้สึกเช่นใด
โชคดีที่ตี้ฝูอีไม่มีปฏิกิริยาอะไร หลังจากรับกำไลมาก็วางไว้ในถาดในบนั้น แล้วไปคารวะน้ำชาผู้อื่นต่อ
เมื่อเหล่าผู้อาวุโสดื่มชาของเขาก็มิใช่การดื่มเปล่าๆ ล้วนต้องมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ สมบัติสารพัดชนิด มากมายจนนับไม่ถ้วน เชียนหลิงอวี่คอยรับของขวัญอยู่ด้านข้าง เนื่องจากมีคนมากมายมอบของขวัญให้ คอยๆ จากเล็กๆ น้อยๆ ก็กลายเป็นกองใหญ่ เขาฉลาดหัวใส จึงลองเก็บข้าวของเหล่านั้นลงในถุงจุสวรรค์ดู…
————————————————————————————-
บทที่ 770 บุปผาร่วงหล่นด้วยมีใจทว่าสายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ข้าวของทั้งหมดก็เข้าไปอยู่ในท้องของถุงจุสวรรค์ แถมถุงจุสวรรค์ยังคงเล็กจ้อยแบนราบอยู่เช่นเดิม ท่าทางไม่คล้ายว่าบรรจุข้าวของเอาไว้เลย
พิธีปักปิ่นเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว
….
บางเรือนสุขสันต์บางบ้านทุกข์โศก พิธีปักปิ่นของกู้ซีจิ่วรื่นเริงคึกคัก
ในเรือนเล็กของอวิ๋นชิงหลัวกลับเงียบเหงาวังเวงไม่เห็นเงาร่างผู้ใด
นางนอนอยู่เรือนเพียงลำพัง เศร้าหมองอ้างว้างเพียงคนเดียว
บาดแผลของนางสาหัสกว่ากู้ซีจิ่ว ไม่เพียงแต่กระดูกซี่โครงหักเท่านั้นยังถูกตี้ฝูอีแทงทะลุอกด้วย!
ถึงแม้กระบี่นั้นจะเป็นของนางเอกสามารถใช้เลือดในร่างนางกำจัดได้ แต่บาดแผลนั้นยังคงอยู่จริงๆ กระดูกที่หักก็เพิ่งจะประสานกัน
คนทั่วหากกระดูกหักต้องใช้เวลารักษาหนึ่งร้อยวัน ทว่าผู้บำเพ็ญเช่นนางนั้นไม่จำเป็น อาการบาดเจ็บเช่นนี้นางพักฟื้นแปดวันสิบวันก็หายดีแล้ว แต่แผลทางใจกลับมิอาจรักษาได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเย็นชากับนางมาตลอดจริงๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องกิจธุระทั้งสิ้น
นางกลับคล้ายแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ พุ่งตัวเข้าไปยินยอมกลายเป็นเถ้าถ่านทว่าไม่ต้องการจะออกมา
หากเป็นสตรีคนอื่นได้รับความเย็นชาจากตี้ฝูอีเช่นนี้ส่วนใหญ่คงถอดใจไปนานแล้ว ไม่กล้าเพ้อฝันอีก
แต่อวิ๋นชิงหลัวกลับยึดมั่นถือมั่นอย่างล้ำลึก
รักเขาจนกลายเป็นความยึดมั่นถือมั่น ร้อยไม่ผันพันไม่หวน ไม่อาจเลี่ยงได้ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ ล้วนเป็นบุปผาร่วงหล่นด้วยมีใจทว่าสายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก…
ความรักล้นทรวงของนางไม่เคยได้รับการตอบสนองจากอีกฝ่ายเลย
เมื่อพลบค่ำ ในที่สุดเรือนหลังน้อยของนางก็มีผู้มาเยือน ผู้ที่มาคือหลินเฟยอินสหายสนิทของนาง เห็นได้ชัดว่าหลินเฟยอินเพิ่งไปร่วมพิธีปักปิ่นของกู้ซีจิ่วเสร็จ
นางนำอาหารมาส่งให้อวิ๋นชิงหลัว แน่นอนว่าย่อมเอาเรื่องคึกคักในพิธีปักปิ่นนั้นมาเล่าอย่างมีนอกมีในด้วย เจาะจงกล่าวถึงของขวัญที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมอบให้กู้ซีจิ่ว…
ถ้อยคำที่ไร้รูปธรรมเหล่านี้ของนางดั่งเสียบมีดเล่มเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนใส่ดวงใจอวิ๋นชิงหลัว นางไม่พูดอะไร และไม่คิดจะพูดด้วย
นางไม่อยากให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะ เดิมทีนางคิดจะทำให้เด็กสาวผู้นั้นกลายเป็นที่น่าขบขัน กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นการขว้างหินทับเท้าตน ทำให้ตนกลายเป็นที่น่าขบขันแทน!
หลินเฟยอินมาแล้วและจากไปแล้ว ทว่ากลับให้หัวใจนางร้อนรุ่มปานถูกแผดเผาอีกครั้ง!
อาศัยสิ่งใดกัน? ที่แท้แล้วอาศัยสิ่งใดกัน? เด็กสาวผู้นั้นสู้ตนอะไรก็สู้ตนไม่ได้เลยชัดๆ นางอาศัยสิ่งใดถึงได้รับความสนใจจากเขาไปอย่างง่ายดาย? อาศัยสิ่งใดกัน?!
ความโกรธแค้นและไม่ยินยอมพร้อมใจมหาศาลกำลังเดือดพล่านอยู่ในอกนาง ทำให้นางแทบนอนไม่ได้
ทัศนคติด้านความรักของทุกคนแตกต่างกัน หากว่ากู้ซีจิ่วมาอยู่ในจุดเดียวกับนาง ต่อให้เธอชมชอบคนผู้หนึ่งสักแค่ไหน หากว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าเลย เช่นนั้นเธอก็ยินดีที่จะปล่อยมือ หากเขาพบคู่ครองที่รักกันด้วยใจจริง เธออาจจะรู้สึกผิดหวัง แต่จะไม่ไปตอแยอีก และจะไม่ไปพัวพันไม่ยอมเลิกรา ไม่แน่เธออาจจะอวยพรให้อีกฝ่ายมีความสุขด้วยซ้ำ
ถ้ารักใครสักคนด้วยใจจริงก็จะปรารถนา ให้เขาพบสิ่งดีๆ ปรารถนาให้เขาได้รับความสุขที่แท้จริง ต่อให้ความสุขนั้นเธอจะไม่ใช่ผู้มอบให้ ทว่าอย่างน้อยเธอก็จะไม่ไปทำลาย
แต่อวิ๋นชิงหลัวมิใช่เช่นนั้น นางรักอย่างงมงาย รักอย่างบ้าคลั่ง เพื่อความรักแล้วนางสามารถทำได้ทุกวิถีทาง หากไม่ได้รับความรักจากอีกฝ่าย นางก็จะทำร้ายคนที่อีกฝ่ายรักอย่างบ้าคลั่ง หาทางเล่นงานผู้อื่น
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ากู้ซีจิ่วมิได้ทำอะไรนาง ทว่านางกลับมองกู้ซีจิ่วเป็นศัตรูคู่แค้น คิดหาวิธีใส่ไคล้ผู้อื่น
ก็เหมือนกับครั้งนี้ นางไม่คิดเลยว่าที่นางเสียหายเช่นนี้เพราะนางเล่นงานอีกฝ่ายก่อน แต่รู้สึกว่ากู้ซีจิ่วก็เล่นงานนางเช่นกัน แล้วเหตุใดถึงได้รับความรักใคร่ให้อภัยจากทุกคน ส่วนตัวนางอวิ๋นชิงหลับกลับต้องเงียบเหงาวังเวงเช่นนี้…
ต้นสายปลายเหตุยังคงไม่พ้นจากตี้ฝูอี! คนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แห่งนี้ล้วนเป็นหมาป่าตาขาวช่างสอพลอทั้งสิ้น!
บทที่ 771 เจ้าก็บาดเจ็บเหมือนกัน ได้รับการปลอบใจบ้างไหม
พวกเขากระทำการใดล้วนแต่มองสีหน้าตี้ฝูอี เมื่อเห็นตี้ฝูอีดีต่อกู้ซีจิ่ว คนพวกนั้นจึงพากันไปประจบประแจงเลียแข้งเลียขา!
ต้องเป็นเช่นนี้แน่! เช่นนี้แหละ!
นางยิ่งคิดยิ่งเดือดดาล ยิ่งคิดยิ่งอารมณ์เสียขึ้นเรื่อยๆ
นางนอนต่อไปไม่ได้แล้ว จึงลงจากเตียงเสีย
อาการบาดเจ็บของนางสาหัสยิ่งหนัก แต่สุขภาพของนางเข็งแรง ยามนี้จึงพอลุกจากเตียงได้ ของเพียงไม่เคลื่อนไหวโลดโพน นางถึงขั้นสามารถเดินเล่นช้าๆ ได้ด้วยซ้ำ
ด่านนอกรัตติกาลได้มาเยือนแล้ว ช่วงเวลานี้ทุกคนบ้างก็กินข้าว บ้างก็ฝึกฝนอยู่ในห้อง มีน้อยนักที่จะออกมาทำกิจกรรมด้านนอก
อวิ๋นชิงหลัวไม่ยินดีพบปะผู้ใด ดังนั้นนางจึงเลือกออกมาในเวลาเช่นนี้ คิดจะผ่อนคลายอารมณ์ พลางขบคิดว่าควรหาลู่ทางอย่างไรในภายหน้า
ตี้ฝูอีลงโทษนางไปแล้ว อีกทั้งนางยังเป็นสานุศิษย์สวรรค์ด้วย ตี้ฝูอีไม่สามารถให้คนไล่นางออกจากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ได้ ดังนั้นบทลงโทษของนางก็น่าจะมีแค่นี้
อาการบาดเจ็บของนางต้องพักฟื้นสิบวันครึ่งเดือน รอจนมรสุมลูกนี้พัดผ่านไป ผู้คนก็คงลืมเลือนเรื่องนี้แล้ว ต่อไปนางแค่ทำตัวดีๆ ว่าง่ายๆ หน่อย ก็น่าจะไม่มีผู้ใดมาหาเรื่องนางอีก ถึงอย่างไรนางก็ยังเยาว์วัยอยู่ ต่อให้ทำผิดพลาดไปบ้างก็ยังง่ายที่จะได้รับการอภัยจากผู้อื่น…
จะตั้งตัวในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อีกครั้งอย่างไรนางไม่ได้ขบคิดมากมายปานนั้น สิ่งที่นางยังคงขบคิดอยู่คือการเล่นงานกู้ซีจิ่ว…
นางเดินไปช้าๆ พลางก้มหน้าครุ่นคิด จู่ๆ คล้ายสัมผัสถึงอะไรได้ จึงเงยหน้าขึ้น ทั้งร่างพลันแข็งทื่อ!
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ริมทะเลสาบแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล ในมือถือเบ็ดตกปลาคันหนึ่ง ดูเหมือนกำลังตกปลาอยู่…
นังสารเลวคนนี้ทำให้เธอกลายเป็นหนูเฒ่าข้ามถนน[1] นางกลับลอยชายสบายอุรานัก! มีแก่ใจมาตกปลาอยู่ที่นี่!
อวิ๋นชิงหลัวมองไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณ รอบข้างไม่มีผู้อื่น มีเพียงพวกนางสองคน…
กู้ซีจิ่งที่ตกปลาอยู่ดูเหมือนจะสัมผัสถึงการมาของนางได้ จึงเงยหน้ามองมาทางนางแวบหนึ่ง แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น ความสนใจของอีกฝ่ายกลับไปอยู่ที่คันเบ็ดอีกครั้ง…
ไม่สนใจนางเลย!
อวิ๋นชิงหลัวโมโหสุดขีด! รู้สึกว่าบาดแผลตรงทรวงอกเจ็บปวดขึ้นมาอีกแล้ว…
นางไม่เกรงกลัวกู้ซีจิ่ว อย่างไรในการต่อสู้แบบเดี่ยวๆ กู้ซีจิ่วยังห่างชั้นนักมิใช่คู่ต่อสู้ของนาง ครั้งก่อนที่นังเด็กนี่ได้ชัย ทั้งหมดเป็นเพราะสหายที่ยอดเยี่ยมทั้งสองคนของนาง! อาศัยแค่ตัวเด็กนังเด็กนี่คนเดียว แม้แต่จะสวมรองเท้าให้ตัวนางอวิ๋นชิงหลัวก็ยังไม่คู่ควรเลย!
แถมทั้งสองคนต่างบาดเจ็บอยู่ อาการบาดเจ็บก็พอๆ กัน นางยังต้องเกรงกลัวอันใดอีกเล่า?
นางเดินเข้าไปช้าๆ “กู้ซีจิ่ว…”
กู้ซีจิ่วกลับดูเหมือนคร้านจะสนใจนาง ยังคงมองสายเบ็ดในทะเลสาบอย่างเฉื่อยชา แม้แต่ปฏิกิริยาตอบสักน้อยสักน้อยก็ไม่มี
อวิ๋นชิงหลัวยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง กล่าวเย้ยหยัน “ได้ยินว่าในพิธีปักปิ่นเจ้าได้รับของขวัญดีๆ ไม่น้อย แม้แต่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็มอบของขวัญให้เจ้าใช่ไหม?”
หนนี้ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เหลือบมองนางแวบหนึ่ง “เจ้าอยากพูดอะไร?” น้ำเสียงเย็นยะเยือดดั่งสายลม
และไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด อวิ๋นชิงหลัวถึงพบว่าบนร่างของกู้ซีจิ่วมีบุคลิกของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอยู่รางๆ!
เหอะ นังเด็กคนนี้จงใจเลียนแบบทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสินะ? เลียนแบบบุคลิกท่าทีและสำเนียงการพูดของผู้อื่น…
ตงซือขมวดคิ้วเลียนอย่าง! น่ารังเกียจ!
นางยืนห่างจากกู้ซีจิ่วหนึ่งจั้ง พูดจาถากถาง “ที่ข้าอยากพูดคือ เจ้าอย่าได้ใจเกินไป ทุกคนมอบของขวัญให้เจ้าเพียงเพราะเห็นแก่อาการบาดเจ็บของเจ้าต้องการปลอบใจเจ้าก็เท่านั้น”
กู้ซีจิ่วเหลือบมองนางอีกแวบหนึ่ง เอ่ยสั้นๆ ทว่าได้ใจความนัก “เจ้าก็บาดเจ็บเหมือนกัน ได้รับการปลอบใจบ้างไหมล่ะ?”
อวิ๋นชิงหลัวเจ็บปวดยิ่งนัก!
เล็บนางจิกฝ่ามือแน่น เดินเข้าไปอีกสองก้าว “กู้ซีจิ่ว เจ้าภูมิใจมากสินะ?”
กู้ซีจิ่วหันกลับมามองนางตรงๆ นัยน์ตาคู่นั้นดั่งมีประกายแสงพรางพร่าวอยู่ “ภูมิใจแล้วอย่างไร? ไม่ภูมิใจแล้วอย่างไร?”
————————————————————————————-
บทที่ 772 เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดไป
อวิ๋นชิงหลัวสูดลมหายใจเข้านิดๆ “เจ้าคงไม่คิดว่าที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายช่วยเจ้า เพราะเขามีความรู้สึกลึกซึ้งต่อเจ้ากระมัง?”
นิฝีปากกู้ซีจิ่วหยักเป็นรอยยิ้มแวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบว่าใช่หรือมิใช่ “หืม?”
อวิ๋นชิงหลัวรู้สึกว่ากู้ซีจิ่วในวันนี้ลึกล้ำซับซ้อนเป็นพิเศษ ทุกประโยคที่นางเอ่ยล้วนทำให้เพลิงโทสะของนางพลุ่งพล่าน อีกทั้งถูกตอกหน้าอยู่ไม่น้อย ถึงขั้นที่ที่รู้สึกหลอนๆ ว่าไม่อาจหาหัวข้อมากล่าวต่อไปได้
นางสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเริ่มเหลืออดกับตนมากแล้ว สักประโยคก็คร้านจะเอ่ย
เพียงแต่หลังจากตนยั่วยุอีกฝ่ายอยู่สองสามประโยค อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะสนใจนางขึ้นมานิดหน่อย และมองนางมากขึ้นสองสามแวบ ยามนี้ถึงขั้นแสดงท่าทางตั้งใจฟังออกมาด้วย
ยากนักที่อวิ๋นชิงหลัวจะสบโอกาสพูดคุยกับกู้ซีจิ่วตามลำพังเช่นนี้ ย่อมไม่คิดจะพลาดไป
ดังนั้นนางจึงยิ้มบางๆ แล้วเอ่ย “อันที่จริงท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นผู้ที่เห็นใจคนอ่อนแอมาตลอด กับเด็กสาวที่บาดเจ็บก็จะดูแลเป็นพิเศษสักหน่อย นึกถึงยามที่ข้าถูกคนลักพาตัวไปครานั้น ได้รับบาดเจ็บ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้ตามหาข้าจนพบแล้วให้ความช่วยเหลือ เพื่อช่วยข้าเขาสิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปมากมายนัก เมื่อเห็นข้าเจ็บปวดแสนสาหัส ยังมอบของปลอบขวัญข้ามากมายด้วย…”
คราวนี้ดูเหมือนกู้ซีจิ่วจะสนใจเนื้อความที่นางเล่ามากขึ้นแล้ว คันเบ็ดของนางที่อยู่ตรงนั้นมีปลามาติดเบ็ดแล้วนางก็ดูคล้ายว่าจะมองไม่เห็น ซ้ำยังย้ายคันเบ็ดไปไว้ด้านข้าง จากนั้นก็เบนกายเพื่อฟังอวิ๋นชิงหลัวเล่าต่อ
นางกะพริบตา มองดูอวิ๋นชิงหลัว กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบๆ “หืม? ข้าไม่เชื่อ! เขามอบอะไรให้เจ้า?”
อวิ๋นชิงหลัวชะงักไปเล็กน้อย ยิ้มเย้ยหยัน “ของที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมอบให้ย่อมเป็นของดีทั้งสิ้น มีค่าควรเมือง เพียงแต่เหตุใดข้าต้องเอามาบอกเจ้าโดยเฉพาะด้วยเล่า?”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจ “เจ้าไม่พูด แล้วจะให้ข้าเชื่อได้ยังไง?”
อวิ๋นชิงหลัวร้องเหอะคราหนึ่ง “เจ้าไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเชื่อ! ขอเพียงให้เจ้ารู้ไว้ว่าข้าวของอันใดที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมอบให้เจ้าในครั้งนี้ ก็เป็นเพียงการปลอบขวัญเจ้าเท่านั้น ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นศิษย์ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เจ้าบาดเจ็บหนัก…ซ้ำยังบาดเจ็บเพราะวาจาเขา เขาจึงรู้สึกว่าเป็นความผิดของตน เกรงว่าวันหน้าเจ้าจะไปพูดจาเหลวไหลเอ่ยฟ้องต่อหน้าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ย่อมต้องปลอบขวัญเจ้าเป็นธรรมดา อันที่จริงเขายังเห็นเจ้าเป็นเด็กน้อยเท่านั้น”
นัยน์ตากู้ซีจิ่วสาดแสงแวบหนึ่ง “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าต่างหากที่เห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นเด็กน้อย?”
คิ้วงามของอวิ๋นชิงหลัวเลิกขึ้น “อะไรนะ?”
กู้ซีจิ่วส่ายศีรษะ คร้านจะอธิบายกับนาง หันไปขยับเบ็ดของตนอีกครั้ง
อวิ๋นชิงหลัวถูกนางเมินอีกครั้ง เพลิงโทสะในใจก็พวยพุ่งขึ้นมา แต่ข่มความอยากรู้เอาไว้ไม่ไหว เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ข้าเห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นเด็กน้อยตอนไหน? เจ้าพูดมาสิ!”
กู้ซีจิ่วไม่สนใจนางอีก พลันยกมือขึ้น ปลาอวบอ้วนตัวหนึ่งดิ้นพล่านอยู่บนตะขอ นางใส่ปลาเข้าไปในข้อง ดูคล้ายจะรู้สึกอิ่มเอมในความสำเร็จยิ่งนัก กล่าวกับตัวเองประโยคหนึ่ง “ตกปลาเช่นนี้ปลาติดเบ็ดง่ายจริงๆ เป็นวิธีที่ดี”
อวิ๋นชิงหลัวโมโหจนโง่งมแล้ว “กู้ซีจิ่ว! เมื่อกี้เจ้าพูดเหลวไหลอันใด?! ยามนี้ไม่อธิบายให้กระจ่างแล้วยังจะบ่ายเบี่ยงเลี้ยงประเด็นไปเสียดื้อๆ จะทำเหมือนว่าเจ้าล้ำลึกนักงั้นหรือ?”
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เหลือบมองนางแวบหนึ่ง สายตานั้นราวกับมองไม้ผุท่อนหนึ่ง เห็นแก่ความเป็นไปได้ที่นางจะเป็นสานุศิษย์สวรรค์ จึงตัดสินใจเตือนนางเล็กน้อย เลี่ยงไม่ให้นางกระทำเรื่องโ.ๆ จนกู่ไม่กลับ “ทูตสวรรคืฝ่ายซ้ายดูแลใต้หล้า จะกระทำเรื่องไร้เดียงสาเช่นนี้ได้อย่างไร? กลัวว่าผู้อื่นจะไปฟ้องจนต้องรีบเอาลูกกวาดมาปลอบใจ เจ้าคิดว่าเขาการกระทำของเขาเป็นเด็กน้อยเล่นพ่อแม่ลูกหรือไง?”
อวิ๋นชิงหลัวนิ่งงัน
นางร้องเหอะคราหนึ่ง “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายช่วยเจ้าด้วยความมีคุณธรรมเท่านั้น เขาร่ำรวยดั่งอาณาจักร ไม่ว่าจะมอบสิ่งใดให้เจ้าเขาก็ขนหน้าแข้งไม่ร่วงทั้งสิ้น เขาถือไว้ดั่งสมบัติล้ำค่า ทว่าผู้อื่นไม่เก็บมาใส่ใจเลย เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดไป!”
บทที่ 773 ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่เก็บมาใส่ใจ? ของที่เขามอบให้ครั้งนี้หายากนัก เป็นของที่มีเฉพาะตัวเขาเอง เป็นหนึ่งไม่มีสองในใต้หล้า”
อวิ๋นชิงหลัวหัวเราะเหอะๆ “ของทุกอย่างในมือท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นหนึ่งไม่มีสองแทบจะทุกชิ้น มอบออกมาสักชิ้นสองชิ้นก็ไม่สลักสำคัญ แถมเขายังชมชอบผลักดันชนรุ่นหลังด้วย มักจะมอบสิ่งของให้ชนรุ่นหลังอยู่บ่อยๆ ผู้คนมากมายล้วนเคยได้รับของจากเขา…”
คราวนี้คิ้วของกู้ซีจิ่วเลิกขึ้นสูงกว่าเดิม “เขามอบของให้ผู้อื่นบ่อยหรือ? เหตุใดข้าไม่รู้?”
ในที่สุดอวิ๋นชิงหลัวก็มีท่าทีภาคภูมิ “เรื่องของเขาจะกล่าวกับคนที่สนิทชิดเชื้อที่สุดเท่านั้น เจ้านับเป็นอันใดในสายตาเขากัน? ย่อมไม่เอ่ยกับเจ้าอยู่แล้ว ไม่รู้ก็เป็นเรื่องปกติ และเจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติได้รู้ด้วย!”
กู้ซีจิ่วเริ่มหย่อนเบ็ดอีกครั้ง กล่าวด้วยเสียงเอื่อยๆ “ข้าคิดว่าข้ามีคุณสมบัติที่จะได้รู้ที่สุด…ข้ารู้สึกว่าบนโลกนี้คงไม่มีผู้ใดเข้าใจเขาดียิ่งกว่าข้าแล้ว…”
อวิ๋นชิงหลัวเชิดหน้าหัวเราะ “นั่นเจ้าแค่รู้สึกไปเองเท่านั้น! ความจริงคือเจ้าไม่รู้อะไรเลย!”
“โอ้? เจ้ารู้หรือ? เช่นนั้นว่ามาสิว่าเขามอบของแก่ผู้ใด? แล้วให้อะไรบ้าง?”
อวิ๋นชิงหลัวเม้มปากยิ้มแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “ได้สิ วันนี้คุณหนูเช่นข้าอารมณ์ดี จะแย้มพรายแก่เจ้าสักหน่อย สานุศิษย์สวรรค์ทั้งหมดเข้าล้วนเคยมอบของให้!”
กู้ซีจิ่วไม่ได้คัดค้านอะไร “นี่เป็นเรื่องปกติ เขาเป็นผู้นำของสานุศิษย์สวรรค์ เพื่อให้สานุศิษย์สวรรค์คนอื่นก้าวหน้าให้เร็วขึ้นหน่อย เขาย่อมต้องมอบสิ่งที่เหมาะสมให้บ้าง ช่วยให้พวกเขาฝึกฝนได้สะดวก”
อวิ๋นชิงหลัวร้องเหอะแล้วกล่าวว่า “เจ้ารู้ข้อนี้ก็ดีแล้ว! เจ้าดูสิ เขาเคยมอบของให้สานุศิษย์สวรรค์ทุกคน ส่วนเจ้าเป็นศิษย์ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เขามอบของเล็กๆ น้อยๆ ให้เจ้าก็เพราะเห็นแก่หน้าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถึงได้มอบให้ หากเจ้ามิใช่ศิษย์ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เขาย่อมคร้านจะแลเจ้าแน่นอน!”
กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้วนิดๆ “เจ้าจะบอกว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคิดประจบผู้มีอำนาจหรือ?”
อวิ๋นชิงหลัวอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง “มิใช่นะ! ข้าแค่…แค่อธิบายให้เจ้าเข้าใจสาเหตุที่ครั้งนี้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมอบของให้เจ้าก็เท่านั้น!”
กู้ซีจิ่วจึงเอ่ยว่า “เจ้าอ้อมค้อมเสียใหญ่โตถึงเพียงนี้ เพื่อหาสาเหตุลที่ท่านทูตสวรรค์มอบของให้งั้นหรือ? ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ!”
อวิ๋นชิงหลัวฟังน้ำเสียงเหน็บแนมในประโยคนี้ของนางอก โทสะในใจลุกโหม “เจ้าไม่เชื่อหรือ? เจ้ายังคิดว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายทำเช่นนี้เพราะชอบเจ้าอยู่สินะ?”
กู้ซีจิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะพยักหน้า “อื้อ! ข้าคิดว่าเขาชอบข้ามาก! เขาถึงขั้นหลงรักข้าแล้ว”
อวิ๋นชิงหลัวตกตะลึง
กำหมัดที่อยู่ในแขนเสื้อนางแน่น จู่ๆ ก็หัวเราะเยาะออกมา “กู้ซีจิ่ว เจ้าลืมเรื่องในเทศกาลความรักแล้วหรือ?”
คราวนี้ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็มองนางอย่างจริงจังแวบหนึ่ง “เรื่องในเทศกาลความรักอะไร?”
อวิ๋นชิงหลัวเอ่ยว่า “เจ้าแสร้งเลอะเลือนหรือไร? เจ้าลืมหรือไงว่าเคยพบพวกเราในเทศกาลความรักวันนั้น?”
แววตากู้ซีจิ่วไหววูบนิดๆ เอียงคอมองนาง ไม่ตอบหรับหรือปฏิเสธ “เล้วยังไง?”
“แล้วยังไงน่ะหรือ?!” อวิ๋นชิงหลัวก้าวเข้ามา น้ำเสียงแผ่วเบาลง ทว่าอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีภาคภูมิอีกครั้ง “กู้ซีจิ่ว วันนั้นเจ้าเห็นอยู่ชัดๆ ว่าข้ากับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเที่ยวเล่นด้วยกัน…”
มือของกู้ซีจิ่วที่กุมคันเบ็ดอยู่กำแน่นเล็กน้อย นางหยุดตกปลาทันที มองดูอวิ๋นชิงหลัว แววตาซับซ้อนอยู่บ้าง “หือ? พวกเจ้าเที่ยวเล่นด้วยกันหรือ…”
อวิ๋นชิงหลัวตอบยิ้มๆ “ใช่ เจ้าเห็นแล้วนี่ วันนั้นเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนข้าโดยเฉพาะ เดินตลาดกลางคืนเป็นเพื่อนข้า ดูดอกไม้ไฟเป็นเพื่อนข้า ลอยประทีปเป็นเพื่อนข้า แถมวันนั้นเขายังลอยประทีปยวนยางครองคู่ดวงหนึ่งเป็นเพื่อนข้าด้วยนะ มีความหมายเป็นนัยว่าพวกเราจะครองคู่กันไปชั่วชีวิต…ตอนที่เจ้าเห็นพวกเรา พวกเราเพิ่งจะเดินเที่ยวตลาดกลางคืน วันนั้นเขาคร้านจะใส่ใจเจ้าอยู่ตลอด เจ้าทักทายเขาเขาก็หมางเมินเจ้า ยามนั้นเจ้าคงผิดหวังมากใช่หรือไม่?”
————————————————————————————-
บทที่ 774 เจ้าตื่นจากฝันหรือยัง
กู้ซีจิ่วหลุบตาลง เอ่ยทวนอีกครั้ง “ข้าคงผิดหวังมาก…”
ในที่สุดอวิ๋นชิงหลัวก็พบจุดมีชัยแล้ว จึงภาคภูมิยิ่งกว่าเดิม “วันนั้นเจ้ายังวิ่งเข้ามาทักทายพวกเราโดยเฉพาะอยู่เลย ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ยอมรับ อยากจะมองเขาให้ละเอียด แต่เจ้าก็ผิดหวังอย่างเห็นได้ชัดมิใช่หรือ? ยามนั้นเจ้าดูสงบเยือกเย็นนัก ใจจริงคงเสียใจเป็นล้นพ้นกระมัง? ข้าเห็นว่ารอยยิ้มของเจ้ายามนั้นฝืดฝืนยิ่งนักนะ!”
กู้ซีจิ่วเพียงเอ่ยทวนอีกครั้ง “รอยยิ้มฝืดฝืนยิ่งนัก…”
เมื่ออวิ๋นชิงหลัวเห็นว่านางมีท่าทางเหมือนได้รับความกระทบกระเทือนเช่นั้นก็รู้สึกสะใจนัก ขยับเข้าไปอีกก้าว “กู้ซีจิ่ว ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตกลงปลงใจกับข้าเนิ่นนานแล้ว ในใจของเขาเจ้าไม่นับว่าเป็นตัวอันใดเลย! ต่อให้เขาทำดีต่อเจ้าก็เป็นเพราะความรู้สึกผิดเท่านั้นไม่มีคุณค่าอะไร ถึงขั้นที่ว่าต่อให้เขาต้องแต่งกับเจ้านั่นก็มิใช่ใจจริงของเขา ผู้ที่เขาชมชอบด้วยใจจริงคือข้า ผู้ที่ต้องการปกป้องคุ้มครองด้วยใจรจริงก็คือข้า ต่อให้ภายหน้าพวกเราสองคนแต่งให้แก่เขาเช่นเดียวกัน เช่นนั้นข้าก็เป็นหลวง ล้วนเจ้าเป็นน้อย ข้าคือภรรยา เจ้าคืออนุ…”
กู้ซีจิ่วขัดจังหวะความมโนของนาง “เจ้าตื่นจากฝันหรือยัง? เจ้าแน่ใจหรือว่าผู้ที่อยู่เป็นเพื่อนเจ้าในเทศกาลความรักคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจริงๆ?”
อวิ๋นชิงหลัวเชิดหน้าสูง “ย่อมแน่ใจอยู่แล้ว! บนโลกนี้จะมีผู้ใดสวมรอยเป็นเขาได้เล่า? ผู้ใดจะกล้าแอบอ้างเป็นเขากัน?”
กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไร เริ่มเก็บอุปกรณ์ตกปลา
อวิ๋นชิงหลัวเหลือบมองรอบข้างอย่างเงียบๆ แวบหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าจะไม่มีคนอื่นมาเห็น ดวงตามีแววอำมหิตพาดผ่านแวบหนึ่ง ค่อยๆ เขยิบเข้าไปใกล้กู้ซีจิ่ว จู่ๆ ฝ่าเท้าพลันสะดุด แสร้งทำเป็นสะดุดล้ม พุ่งตรงเข้าหากู้ซีจิ่ว!
ในมือนางกุมเข็มอาคมเล่มหนึ่งไว้ ขอเพียงแทงใส่คนก็จะทำให้คนผู้นั้นสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวไปชั่วคราว เข็มอาคมมิใช่พิษ ดังนั้นต่อให้มีคนตรวจสอบ ก็จะไม่พบว่าถูกพิษ
นางจะแทงนังสารเลวที่ขวางหูขวางตาผู้นี้จากนั้นก็จะผลักลงน้ำซะ! แบบนั้นนังสารเลวที่คนนี้ก็มีแต่ต้องจมน้ำตายเพราะสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว ผู้อื่นก็ตรวจไม่พบอะไร…
นางพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วยิ่ง มั่นใจว่าในสถานการณ์ฉุกละหุกเช่นนี้กู้ซีจิ่วต้องหลบไม่พ้นแน่ แต่นึกไม่ถึงว่าเบื้องหน้ากลับพร่ามัวไปแวบหนึ่ง เงาร่างของกู้ซีจิ่วหายไป ต่อมานางรู้สึกว่าคอเสื้อถูกอะไรบางอย่างเกี่ยวเข้า ขุมพลังสายหนึ่งฉุดนางไปด้านหน้า!
เดิมทีนางก็อยุ่ในท่าที่พุ่งถลาไปด้านหน้าอยู่แล้ว แผนการของนางคือผลักกู้ซีจิ่วตกน้ำ ส่วนนางสามารถชะลอตัวได้ทันกาล แต่หลังจากถูกเกี่ยวไว้ ฝีเท้าก็รั้งไม่อยู่ ตกน้ำเสียงดังตูม…
ขณะที่ตกน้ำเข็มอาคมในมือก็สั่นไหว แทงถูกฝ่ามือ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่อาจเคลื่อนไหวได้ชั่วคราว จมลงไปเหมือนตุ้มน้ำหนัก…
นางตื่นตระหนก คิดจะอ้าปากตะโกน จนใจที่ทั้งร่างล้วนแข็งทื่อไปหมดแล้ว แม้แต่ปากก็อ้าไม่ออก ทำได้เพียงเบิกตามองสายน้ำที่ถาโถมเข้ามารอบกายนาง ถาโถมเข้ามา…
ขณะที่จมลงสู่น้ำ นางมองเห็นกู้ซีจิ่วยังอยู่ดีบนฝั่งทะเลสาบ กำลังมองเธออย่างยิ้มๆ ทว่าแววตากลับเย็นเยียบ
ในยามนั้น จู่ๆ นางก็รู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ของอีกฝ่ายคุ้นตาอยู่บ้าง เป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…
เห็นว่าตกน้ำ กู้ซีจิ่วกลับไม่มีทีท่าว่าจะช่วยเหลือเลย จนกระทั่งอวิ๋นชิงหลัวจมลงไปใต้น้ำ นางถึงยิ้มแวบหนึ่ง จากนั้นก็ถือคันเบ็ด หิ้วข้องใส่ปลาจากไปอย่างสบายอุรา
ระลอกคลื่นขนาดใหญ่บนผิวทะเลสาบเลือนหายไป ทะเลสาบเงียบสงบ ราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นเลย
….
‘กู้ซีจิ่ว’ กลับมาที่เรือนตน นั่งบนม้านั่งหินตัวหนึ่งสักครู่ ล้วงป้ายหยกแผ่นหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของ
ป้ายหยกแผ่นนี้คือป้ายหยกที่ตี้ฝูอีทำหล่นไว้ในสระลึกเมื่อคราวก่อน ต่อมาก็ถูกเขาค้นหากลับมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น