หมอดูยอดอัจฉริยะ 756-765
ตอนที่ 756 ถูกเปิดเผย
“ขออภัยครับ ท่านนายพล”
กินเนสส์ตอบคำถามของเซอร์เกเยฟอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เทคโนโลยีของเราในตอนนี้ แม้เวลากลางวันยังวิเคราะห์ใบหน้าของผู้คนได้ยากลำบาก แล้วตอนกลางคืนจะขนาดไหน? อีกทั้งไซบีเรียกำลังเผชิญหน้ากับพายุหิมะทั่วทั้งพื้นที่ ความชัดเจนจากกล้องดาวเทียมจึงต่ำมาก ต่อให้เป็นชาวอเมริกาถ่ายภาพนี้ออกมา ก็คงทำได้ไม่ดีไปกว่าเราครับ!”
เมื่อเกี่ยวข้องกับความถนัดของตน ผู้การกินเนสส์ก็ไม่ยอมแพ้ต่อสถานะของเซอร์เกเยฟ ทั้งยังดึงเอาชาวอเมริกามาเปรียบเทียบ ซึ่งเป็นนิสัยที่ติดมาจากช่วงสงครามเย็น
เซอร์เกเยฟไม่กดดันพันเอกกินเนสส์อีกต่อไป แต่ถามต่อว่า “กล้องดาวเทียมนี้สามารถกำหนดตำแหน่งของคนร้ายในปัจจุบันได้ไหม?”
กินเนสส์ส่ายหน้าตอบ “ไม่ได้ครับ เพราะหลังจากที่สังหารนายพลลอฟสกี้และทุกคนที่อยู่ตรงนั้น คนร้ายคนนี้ก็หายตัวไปทันที!”
ด้วยสภาพอากาศในตอนนั้น ทำให้ภาพคนบนจอเลือนรางไปทั้งหมด และบนพื้นเป็นกองศพคนตาย จึงดูวุ่นวายสับสนอย่างมาก
บวกกับกล้องดาวเทียมเคลื่อนไหวตามเส้นทางโคจร จึงไม่สามารถหยุดตรวจจับภาพที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลายาวนาน เมื่อตำแหน่งเปลี่ยนแปลง ภาพที่ได้จึงคลาดเคลื่อนไปไกลมาก
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เป็นสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นแหล่งดาวเทียมอันดับหนึ่ง ยังไม่สามารถตรวจจับภาพของคนเพียงคนเดียวได้ ไม่อย่างนั้นอเมริกาในปัจจุบันคงไม่ต้องเกณฑ์กำลังพลเต็มอัตราไปก่อสงครามในอัฟกานิสถาน แค่ใช้กล้องดาวเทียมตามหาบินลาเดนเอาก็พอแล้ว
“ไม่มีวิธีไหนสักทาง แล้วเอาเทปวิดีโอนั่นมาฉายทำไมกัน?” หลังจากได้ยินคำพูดของผู้การกินเนสส์แล้ว นายพลคนหนึ่งตั้งคำถามขึ้นอย่างไม่พอใจ กระตุ้นให้หลายคนส่งเสียงคล้อยตาม
“เปล่าครับ เทปวิดีโอนี้ ยังสามารถช่วยเราจับตัวคนร้ายได้!”
ผู้การกินเนสส์ส่ายหน้า พอจัดการกับเครื่องฉายสักพัก ภาพด้านบนจอก็พลันขยายใหญ่ขึ้นสิบกว่าเท่า
“คนผู้นี้น่าจะเป็นคนร้าย ผู้เชี่ยวชาญของพวกเราวิเคราะห์จากท่าทางและรูปร่างของเขาโดยละเอียดแล้ว คิดว่าเขาน่าจะเป็นชาวเอเชีย อีกทั้งอายุยังไม่เกินสามสิบปี…ทุกท่านล้วนรู้ว่า คดีที่นายพลลอฟสกี้ตรวจสอบครั้งนี้ มีความเกี่ยวข้องกับแก๊งค์มาเฟียมวยใต้ดินจากประเทศจีน ดังนั้นพวกเราจึงมีเหตุผลที่จะสงสัยว่า คนร้าย…น่าจะเป็นชาวจีน!”
คำพูดของผู้การกินเนสส์ ดึงดูดความสนใจของผู้คนในทันที นั่นเป็นเพราะหากเจาะจงสัญชาติของคนร้ายได้ ก็จะมีประโยชน์ยิ่งใหญ่ต่อการคลี่คลายคดี
พวกเขาสามารถตรวจค้นจากอายุและสัญชาติของผู้ต้องสงสัย ผ่านรายชื่อการข้ามเขตแดน หรือต่อให้อีกฝ่ายลักลอบข้ามเขตแดนมา พวกเขาก็สามารถล็อกเป้าหมายค้นหาในไซบีเรียได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอบเขตการค้นหาก็จะแคบลงมาก เปอร์เซนต์ในการจับตัวผู้ร้ายก็ยิ่งเพิ่มสูง
“ทุกท่าน ตรงนี้ผมมีรายชื่อชาวจีนที่ข้ามเขตแดนมาล่าสุด หนึ่งในนั้นชายคนนี้เป็นผู้ต้องสงสัยสำคัญที่สุด!”
ผู้การกินเนสส์เปลี่ยนภาพให้กลายเป็นรูปชายคนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าคือเยี่ยเทียนนั่นเอง
ถ้าหากกลไกของรัฐหนึ่งทำงานขึ้นมา พลังที่เกิดขึ้นจากมันจะน่าหวาดกลัวอย่างที่สุด
นับตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงปัจจุบันเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ฝ่ายข่าวกรองรัสเซียกลับคัดแยกผู้ต้องสงสัยออกมาจากรายชื่อผู้ข้ามแดนจำนวนนับแสน จนเหลือเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งก็คือเยี่ยเทียน
เหตุการณ์ที่เขาโจมตีสนามมวยใต้ดินบนเรือสำราญควีนอลิซาเบธ ไม่ใช่ข่าวใหม่อะไรอีกแล้ว แม้กระทั่งเหตุการณ์ 911ที่อเมริกา ความสามารถเหนือมนุษย์ที่เยี่ยเทียนแสดงออกมา เวลานี้กลับถูกเปิดเผยอย่างไร้ขอบเขต
“เขาเป็นใครกัน? ทำไมถึงมีพลังโจมตีแข็งแกร่งขนาดนี้?”
“ต่อให้เขาเก่งกาจแค่ไหน ก็คงต่อกรกับกระสุนไม่ได้หรอกมั้ง? อาจไม่ใช่เขาก็ได้!”
“หลานของผู้นำในอดีตคนหนึ่ง จะทำเรื่องอย่างนี้ได้อย่างไร?”
หลังจากได้ยินผู้การกินเนสส์อธิบายประวัติของเยี่ยเทียนและวีรกรรมจนจบแล้ว ผู้คนในห้องประชุมก็แบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งสนับสนุนคำพูดของผู้การกินเนสส์
แต่ว่าอีกฝ่าย กลับไม่เชื่อว่าด้วยกำลังของคนคนเดียว จะสามารถสังหารหมู่ทหารทุกคนภายในค่ายฝึกได้ เพราะเมื่อครู่พวกเขาต่างเห็นภาพเหล่าทหารบาดเจ็บล้มตายในค่ายฝึกแล้ว
“ทุกท่าน ปัจจุบันคนผู้นี้หายตัวไปจากขอบเขตของเราแล้ว จึงแปลว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัยสำคัญ!”
เสียงของประธานาธิบดีสยบเสียงวิพากษ์วิจารณ์ภายในห้องประชุม “ยิ่งไปกว่านั้น ผมแจ้งประชุมกับทางประเทศจีนแล้ว ขอให้พวกเขาช่วยสืบหาคนผู้นี้ ขอเพียงตามหาคนคนนี้ได้ ปริศนาก็จะคลี่คลาย!”
“ท่านประธานาธิบดีครับ คนผู้นี้เหมือนกับสุดยอดนักรบของสถานีวิจัยแอเรีย 51 ในอเมริกา เป็นอาวุธลับของประเทศจีนหรือเปล่า?”
เซอร์เกเยฟไม่ได้เป็นเพียงรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของรัสเซีย เขายังรับตำแหน่งผู้ช่วยประธานาธิบดีด้านกลยุทธ์
พิเศษ มีความรอบรู้สถานการณ์ในแต่ละประเทศอย่างแจ่มแจ้ง
เมื่อยี่สิบปีก่อน รัฐบาลอเมริกาสนับสนุนเงินทุนและรวบรวมนักวิทยาศาสตร์ด้านชีววิทยามนุษย์จำนวนมาก สร้างหน่วยพิเศษแห่งหนึ่งในแอเรีย 51 เพื่อค้นคว้าความสามารถสูงสุดของมนุษย์ โดยโครงการนี้ถูกเรียกว่าโครงการ “สุดยอดนักรบ”
ในช่วงทำสงครามเย็นกับโซเวียต ทั้งสองฝ่ายทำเรื่องราวที่ผู้คนต่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากมาย ต้นแบบไอเดียภาพยนตร์สตาร์วอร์เอง ก็ถูกสร้างขึ้นมาจากเบื้องหลังนี้
ในอดีตทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวอเมริกาให้ความสนใจ โซเวียตจะไม่มีทางเมินเฉย ในทางกลับกันอีกฝ่ายก็เป็นเช่นเดียวกัน
ดังนั้นพอได้ยินโครงการ “สุดยอดนักรบ” แล้ว ทางโซเวียตเองก็สร้างสถาบันวิจัยที่เกี่ยวข้องขึ้นมาด้วย เพียงแต่ยังไม่ทันพัฒนาไปถึงไหน โซเวียตก็แตกเสียก่อน โครงการวิจัยนั้นจึงต้องหยุดลงเพราะประสบปัญหาทางด้านการเงิน
เมื่อเห็นภาพกระหายเลือดที่ดูท่าไม่น่าเกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์แล้ว เซอร์เกเยฟเองก็นึกถึงสาเหตุของเรื่องนี้ หรือว่าจะมีเพียงยอดมนุษย์ในตำนาน ที่สามารถทำได้ถึงขนาดนี้
“ตอนนี้ประเทศจีนเป็นพันธมิตรกับเรา พวกเขาคงไม่ทำเรื่องไร้สาระแบบนี้หรอก”
ประธานาธิบดีส่ายหน้าตอบ “แต่ว่าคำพูดของนายพลก็มีเหตุผล โครงการ “หมีขั้วโลก” ของพวกเราจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง ค่าใช้จ่ายฉันจะอนุมัติเป็นกรณีพิเศษ และให้นายพลอาบีเยฟเป็นคนรับผิดชอบโครงการ!”
“ครับ ท่านประธานาธิบดี!” หลังจากประธานาธิบดีกำหนดชื่อแล้ว นายพลร่างสูงใหญ่คนหนึ่งก็ยืนขึ้น
“ท่านประธานาธิบดีครับ ทางจีนให้คำตอบกลับมาแล้ว!” ขณะที่ประธานาธิบดีเพิ่งจะออกคำสั่ง เจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบก็เคาะประตูใหญ่ของห้องประชุม
“หืม? คนชื่อเยี่ยเทียนคนนี้กำลังท่องเที่ยวในแอฟริกาอยู่งั้นหรือ? คงไม่สามารถเป็นคนร้ายสังหารลอฟสกี้ได้? หรือว่าจะมีใครบังอาจปลอมแปลงข้อมูลว่าเยี่ยเทียนเข้ามายังรัสเซีย?”
เห็นข้อมูลที่ตอบกลับมาแล้ว ประธานาธิบดีออกจะงงงัน เขานึกไม่ถึงว่าทางประเทศจีนจะตอบกลับมาอย่างฉับไวเช่นนี้ อีกทั้งยังยืนกรานหนักแน่น ซึ่งไม่สอดคล้องกับภาษาที่ใช้สื่อสารทางการทูตระหว่างสองประเทศสักเท่าไหร่
“ท่านประธานาธิบดีครับ ไม่ว่าจะเป็นเขาคนนี้หรือไม่ ขอเพียงจับตัวคนร้ายได้ ทุกอย่างย่อมกระจ่างแจ้งเอง!”
เซอร์เกเยฟมองไปยังคำตอบในแผ่นกระดาษนั้น ใบหน้ามีอารมณ์ที่บอกไม่ถูก แต่ว่าต่อให้คิดว่าเป็นเยี่ยเทียนอีกคน พวกเขากลับไม่รู้สึกโล่งใจสักเท่าไหร่
“ท่านนายพลพูดได้ถูกต้อง!”
ประธานาธิบดีพยักหน้า ประกาศคำสั่งที่สองของวันนี้ “ฉันขอออกคำสั่ง ให้ผู้การกินเนสส์เป็นผู้รับผิดชอบปฏิบัติการตามล่าในครั้งนี้ เขามีสิทธิขับเคลื่อนทุกหน่วยในเขตทหารฝั่งตะวันออกไกล!”
ผู้คนในห้องประชุมไม่มีใครออกความคิดเห็นใดๆ ต่อคำสั่งครั้งนี้ของประธานาธิบดี
ในสายตาของนายพลเหล่านี้ ไซบีเรียไม่ถือว่าเป็นดินแดนน่าพิศมัยเท่าไหร่นัก ลอฟสกี้เพียงสืบสวนคดีสนามมวยใต้ดิน กลับยังต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่น พวกเขาจึงไม่อยากเดินตามรอยเท้าคนอับโชคอย่างลอฟสกี้
ด้วยสถานภาพพิเศษของลอฟสกี้ การประชุมด่วนที่จัดขึ้นโดยประธานาธิบดีครั้งนี้ จึงราวกับเป็นการวิเคราะห์คดีของตำรวจ แต่ให้ประสิทธิภาพสูงมาก หนึ่งชั่วโมงต่อมา ผู้การกินเนสส์ก็นั่งเครื่องบินส่วนตัวเพื่อมุ่งหน้าไปยังไซบีเรีย
……
“บอสส์ครับ อีกสี่ชั่วโมงฟ้าจะสว่างแล้ว ถ้าหากยังหาหนทางไม่ได้ พวกเราคงต้องปล่อยพวกเขาสองคนไว้แล้วล่ะ!”
เวลาเดียวกับการประชุมที่พระราชวังเครมลิน กลางป่าละเมาะในเขตไซบีเรีย มาลาไกย์ขมวดคิ้วหน้าเคร่งเครียดจ้องมองมายังเยี่ยเทียน
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการทหารรับจ้างมานาน มาลาไกย์รู้ซึ้งถึงวิกฤตในสถานการณ์นี้ดี ถ้าหากเขาตกเป็นผู้ต้องสงสัย ครึ่งชีวิตที่เหลือก็อย่าหวังจะได้ใช้ชีวิตสงบสุขอีกเลย
“ไม่ได้ จะทิ้งพวกเขาไว้ไม่ได้”
เยี่ยเทียนโบกมือ มองไปยังแผนที่ไซบีเรียเบื้องหน้า พลันพูดว่า “จริงสิ ตรงจุดนี้เป็นเขตแดนติดกับประเทศจีน ทางนั้นน่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นเรา สามารถข้ามเขตแดนจากที่นี่ได้ไหม?”
“บอสส์ครับ จากตรงนี้ไปถึงที่นั่นระยะทางกว่าเจ็ดร้อยกิโลเมตร ไม่ใช่แค่น้ำมันรถผมไปไกลขนาดนั้นไม่ได้ ต่อให้ไปถึง พรมแดนตรงนั้นก็เป็นเทือกเขากว่าร้อยกิโลเมตร พวกเราข้ามไปไม่ไหวหรอก!”
พอพูดถึงตรงนี้ ดวงตาของมาลาไกย์ก็พลันสว่างวาบ ตอบว่า “น้ำมันยังพอหาวิธีได้ ขอเพียงบอสส์สามารถเรียกเฮลิคอปเตอร์สักเครื่องมารอที่นั่น แผนการนี้ก็ใช่ว่าจะไม่สำเร็จ!”
“ตกลง ฉันจะลองโทรศัพท์ดู” เยี่ยเทียนหยิบโทรศัพท์ดาวเทียมที่แม่ให้ออกมา พูดขึ้นว่า “เหล่าหม่า คุยโทรศัพท์ดาวเทียมคงจะไม่ถูกทางรัสเซียล็อคเป้าเอาหรอกนะ?”
มาลาไกย์ส่ายหน้าตอบ “ไม่หรอกครับ พวกเขาไม่รู้รหัสคลื่นดาวเทียมคุณนี่!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า กดโทรศัพท์หมายเลขส่วนตัวของซ่งเฮ่าเทียน เพื่อขอใช้เฮลิคอปเตอร์และรับรองความเสี่ยงในการข้ามเขตแดน นอกจากผู้เฒ่าคนนี้ น่ากลัวว่าคงไม่มีใครสามารถทำได้อีกแล้ว
“ไอ้เด็กบ้า ตอนนี้แกอยู่ไซบีเรียหรอกเรอะ?”
“ครับ ผมอยู่ไซบีเรีย!”
สายถูกกดรับอย่างรวดเร็ว หลังจากได้ยินประโยคแรกของเยี่ยเทียนแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็ลนลานตอบ “แกไม่ต้องพูดอะไร ฉันจะบอกแกสามเรื่อง แกฟังให้ชัดๆ ล่ะ…
เรื่องที่หนึ่ง ทางรัสเซียยืนยันสถานะของแกแล้ว ส่งจดหมายมาทางจีน ถูกฉันปฏิเสธกลับไป
เรื่องที่สอง ถ้าหากแกจะหนีออกมาจากรัสเซีย อย่ากลับเข้ามาประเทศจีนเด็ดขาด แกหาทางไปสาธารณรัฐซาฮา แล้วฉันจะจัดหาคนไปรับ แล้วแกต้องไปแอฟริกาจากที่นั่น!
เรื่องที่สาม คราวหลังช่วยอยู่เฉยๆ บ้างได้ไหมไอ้หนู ตอนนี้ฉันยังพอปกป้องแกได้ แต่หลังจากฉันตายไปแล้ว ใครจะมาจัดการธุระให้แก!”
ดูเหมือนซ่งเฮ่าเทียนจะยังมีเรื่องพะวงบางอย่าง พอพูดสามเรื่องนี้เสร็จ ก็ตัดสายโทรศัพท์ทันที ตอนที่มีเสียงดังตื๊ดๆ ดังมาจากลำโพง เยี่ยเทียนยังคงเรียบเรียงคำพูดของผู้เฒ่าอยู่ในหัว
ตอนที่ 757 แผนการ
“บอสส์ ทำไมเหรอครับ เกิดอะไรขึ้น?”
หลังจากเห็นเยี่ยเทียนวางสายแล้วมีสีหน้าซีดเผือด มาลาไกย์ก็สังหรณ์ใจไม่ดี จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
“บอสส์ครับ เส้นสายในประเทศของคุณไม่ยอมช่วยหรือเปล่า? ความจริงจะโทษเขาก็ไม่ได้หรอก ลอฟสกี้มีอิทธิพลกว้างขวางในรัสเซียจริงๆ หากทางจีนยื่นมาเข้ามายุ่ง จะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศภายหลัง”
“ไม่ใช่ว่าทางนั้นไม่ยอมช่วย แต่ดูเหมือนสถานะของฉันจะถูกเปิดเผยแล้ว!”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็หัวเราะเจื่อนออกมา เขาไม่โทษผู้เฒ่าที่ไม่ยอมยื่นมือเข้าช่วย แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนยากจะเข้าใจได้คือ ทางรัสเซียมั่นใจได้อย่างไรว่าเป็นเขา ในการเจรจาระหว่างประเทศ หากไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด เกรงว่าคงไม่อาจแจ้งข้อมูลสุ่มสี่สุ่มห้า
ในการสังหารหมู่ที่มอสโคว เยี่ยเทียนใช้ใบหน้าของรูดอล์ฟ ต่อให้ตำรวจรัสเซียเป็นเชอร์ล็อก โฮล์มกลับชาติมาเกิด ก็คงไม่สามารถระบุตัวเขาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นในค่ายฝึก เยี่ยเทียนเชื่อว่า ภายใต้การตรวจสอบจากญาณของตนเอง ค่ายฝึกในเวลานั้นต้องไม่มีคนรอดชีวิตอย่างแน่นอน อีกทั้งในรัศมีหลายกิโลเมตร ก็ไม่มีการติดตั้งเครื่องตรวจจับประเภทกล้องวงจรปิด แสดงว่าต้องมีจุดเชื่อมโยงที่เยี่ยเทียนคาดไม่ถึงอยู่ภายในนั้น
“สถานะถูกเปิดเผยแล้ว? แล้ว…แล้วเราจะทำยังไงกันดี?”
พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว มาลาไกย์ถึงกับงงงัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่าเยี่ยเทียนไม่สามารถรับความช่วยเหลือใดๆ จากทางฝั่งประเทศจีนได้อีก พวกเขาที่อยู่ในไซบีเรียตอนนี้จึงทำได้แค่พึ่งตัวเองเท่านั้น
เยี่ยเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เหล่าหม่า หาที่หลบซ่อนตัวสักสองวันได้ไหม พอถึงเวลาฉันจะหาหนทางได้เอง!”
ตั้งแต่ห้าโมงเย็นของเมื่อวาน จนถึงตอนนี้เป็นเวลาใกล้ตีสามแล้ว ภายในช่วงเวลาสิบชั่วโมง หลังจากเยี่ยเทียนสังหารหมู่ในมอสโควติดต่อกัน แล้วยังฆ่าอิโต ซากิกับหน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษจากมอสโควอีก จึงไม่ได้หยุดพักเลย
ว่ากันว่ากำลังของมนุษย์ย่อมมีขีดจำกัด ถึงอย่างไรเยี่ยเทียนก็ยังมีเลือดมีเนื้อ ต่อให้เขาเข้าถึงระดับเซียนเทียน พัฒนาศักยภาพภายในร่างกายจนอยู่ขั้นสูงสุด แต่การใช้ปราณแท้และจิตดั้งเดิมของเขาก็ยังคงมีขีดจำกัด
หลังจากหอบหิ้วต่งเทียนอี้กับหลานออกมาจากค่ายฝึกแล้ว เยี่ยเทียนก็เปรียบเหมือนตะเกียงไร้น้ำมัน ด้วยวิชาความสามารถของเขา การใช้ปราณแท้จนสูญสิ้นนับว่าเป็นเรื่องยาก แต่ทันทีที่มันร่อยหรอลง การฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ย่อมใช้เวลานานเป็นพิเศษ
ขอเพียงเยี่ยเทียนสามารถฟื้นฟูร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ เขาเชื่อว่า การนำต่งเทียนอี้กับหลานชายข้ามผ่านชายแดนรัสเซีย ยังมีความเป็นไปได้สูง เพราะอย่างนั้นเยี่ยเทียนจึงเสนอข้อเรียกร้องนี้ต่อมาลาไกย์
“บอสส์ครับ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้หรอก”
มาลาไกย์ส่ายหน้า แค่นยิ้มตอบว่า “รัศมีโดยรอบจากตรงนี้หนึ่งร้อยห้าสิบกิโลเมตร กระทั่งเมืองหรือหมู่บ้านเล็กๆ ยังไม่มีเลย ต้นไม้เล็กๆ พวกนี้ไม่มีทางปกปิดร่องรอยของพวกเราได้ พอฟ้าสว่างเมื่อไหร่ฝ่ายตรงข้ามปล่อยเฮลิคอปเตอร์ออกมา พวกเราก็ถึงจุดจบแล้ว”
มาลาไกย์ลอบมองเยี่ยเทียนแวบหนึ่ง แล้วเสนอความคิดตัวเองออกมาอีกครั้ง “บอสส์ครับ ทิ้งต่งเทียนอี้กับหลานซะตอนนี้ หรือไม่ก็กำจัดพวกเขาทิ้งซะ ความเป็นไปได้ที่เราจะหลบหนีรอดมีถึงเก้าสิบเปอร์เซนต์ ชาวจีนมีสุภาษิตว่าไม่เห็นแก่ตน สวรรค์จะลงทัณฑ์ไม่ใช่เหรอครับ?”
“เหล่าหม่า ชาวจีนก็มีสุภาษิตว่า บุรุษมีสิ่งพึงกระทำ และไม่พึงกระทำเหมือนกัน!”
เยี่ยเทียนหรี่ตามองมาลาไกย์ ตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ “โน้มน้าวผมเรื่องนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ จะทิ้งต่งต้าจ้วงกับหลานไปไม่ได้ คราวหลังอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก!”
เห็นท่าทางของเยี่ยเทียนยืนกรานผิดปกติ มาลาไกย์ก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะรวบรวมความกล้าพูดออกมา “บอสส์ครับ ถ้าหากคุณไม่ยอมทำแบบนั้น ผม…ผมก็คงต้องหนีไปคนเดียวแล้วล่ะ!”
มาลาไกย์เป็นทหารรับจ้างนานาชาติอย่างแท้จริง และเขาก็รับภารกิจของเยี่ยเทียนมาแล้ว แต่ถ้าเยี่ยเทียนโง่เขลาพอจะเอาชีวิตตัวเองไปทิ้ง มาลาไกย์ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปฏิเสธ เขาไม่อยากทิ้งเงินที่เขาหามาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายมาตลอดครึ่งชีวิตไว้ในธนาคารไปเปล่าๆ
เยี่ยเทียนโบกมือ เขากางแผนที่ไซบีเรียวางลงบนตัก พูดว่า “เหล่าหม่า ผมว่าคุณอย่าเพิ่งลนลาน เปิดไฟรถก่อนดีกว่า ผมจะดูแผนที่ให้ละเอียดอีกที!”
ความจริงจะมีไฟหรือไม่มีไฟ ก็ไม่แตกต่างสำหรับเยี่ยเทียนเท่าไหร่นัก แต่ว่าเวลานี้หากสามารถรักษาพลังงานเอาไว้ได้ ก็แปลว่าตนเองจะอยู่รอดปลอดภัยนานขึ้น ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงเริ่มประหยัดกระทั่งการปลดปล่อยญาณของตนเอง
“บอสส์ เปิดไฟไม่ได้นะครับ แบบนั้นจะไม่ยิ่งเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเหรอ? ถึงแม้เฮลิคอปเตอร์ที่บินตอนกลางคืนจะหาเราไม่เจอ แต่ว่ากล้องดาวเทียมบนฟ้าคงต้องพบพวกเราจากแสงไฟอย่างแน่นอน!”
จากสายตาของมาลาไกย์ ถึงแม้พลังโจมตีของเยี่ยเทียนจะแข็งแกร่งจนแทบไม่ใช่มนุษย์ แต่ว่าภายในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เขากลับขาดแคลนประสบการณ์ในการรบจริง หากเปิดไฟตอนนี้ ก็เท่ากับชี้ทิศทางไปสู่เป้าหมายให้กับรัสเซีย
“กล้องดาวเทียม บนฟ้าเหรอ?”
พอได้ยินประโยคนี้ของมาลาไกย์ เยี่ยเทียนก็ฉุกคิดขึ้นมาทันที ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ แล้วเยี่ยเทียนก็ร้องตะโกนขึ้นมาทันใดว่า “ฉันรู้แล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นภายในค่ายฝึก ต้องถูกกล้องดาวเทียมบนฟ้าตรวจจับได้แน่เลย บ้าเอ๊ย ทำไมฉันจึงคิดไม่ถึงจุดนี้นะ?”
ตอนที่เยี่ยเทียนเร่งรุดไปยังค่ายฝึก นายพลผู้นั้นกำลังจะยิงต่งเทียนอี้และหลาน เขาไม่แม้แต่จะหยุดคิดก่อนลงมือฆ่าฟันผู้คนด้วยซ้ำ ไหนเลยจะไปสนใจถึงกล้องดาวเทียมบนฟ้า? อย่างไรมันก็ห่างไกลจากชีวิตของเขาเสียเหลือเกิน
แต่หลังจากเยี่ยเทียนสังหารหมู่ลงไปแล้ว ในใจกลับสัมผัสถึงความรู้สึกไม่ชอบมาพากลบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าการกระทำของตนเองถูกค้นพบ จนกระทั่งมาลาไกย์พูดถึงกล้องดาวเทียมในตอนนี้ เขาถึงระลึกขึ้นมาได้
ความเข้าใจของเยี่ยเทียนต่อกล้องดาวเทียมนั้น ต้องบอกว่ามาจากการดูภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง 007 แนวคิดทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่อยู่ในภาพยนตร์ 007 เมื่อหกสิบปีก่อน ดูท่าจะกลายเป็นความจริงในปัจจุบันแล้ว กล้องที่จับภาพจากดาวเทียมที่มนุษย์สร้างขึ้นนอกโลก ก็คือหนึ่งในเทคโนโลยีจากภาพยนตร์ที่กลายเป็นความจริงขึ้นมานั่นเอง
“วันนี้สภาพอากาศไม่ค่อยดีนัก และภาพที่กล้องดาวเทียมถ่ายออกมาได้ ก็ไม่น่าจะเห็นภาพใบหน้าของคุณอย่างชัดเจน ผมสงสัยว่า หลังจากทางรัสเซียทำการเปรียบเทียบ คงจะจัดคุณให้อยู่ในหมวดผู้ต้องสงสัยคนสำคัญแล้วล่ะ”
ต้องบอกว่ามาลาไกย์นั้นผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ทั้งยังรู้ลึกเรื่องเทคโนโลยีชั้นสูงในปัจจุบันเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเทคโนโลยีกล้องดาวเทียมของรัสเซียมีประสิทธิภาพแค่ไหน แต่มาลาไกย์รู้ว่าประเทศอเมริกาไม่มีความสามารถพอจะถ่ายภาพใบหน้าของเยี่ยเทียนในเวลากลางคืน
แน่นอนว่ามาลาไกย์เองก็เคยดูภาพยนตร์เรื่อง 007 แต่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ กับความเข้าใจด้านสถานการณ์ จึงพึ่งพาได้กว่าเยี่ยเทียนอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามแต่ ทางรัสเซียคงกำหนดให้ผมกลายเป็นเป้าโจมตีหลักไปแล้ว”
เยี่ยเทียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เหล่าหม่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมจะรับหน้าที่เป็นเหยื่อล่อพวกทหารที่ตั้งด่านตลอดเส้นทางไปยังอีร์คุตสค์เอง ส่วนคุณพาพวกเขาเข้าไปยังอีร์คุตสค์แล้วไปที่สาธารณรัฐอัลไต คุณคิดว่ายังไง?”
พอเป้าหมาย ผู้ต้องสงสัยหลักที่ทางรัสเซียกำหนดคือตนเอง เยี่ยเทียนกลับรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
นี่จึงแปลได้ว่า ขอเพียงตัวเยี่ยเทียนอยู่ในสายตาของกองทัพรัสเซีย ความสนใจทั้งหมดของพวกเขาย่อมต้องเพ่งมาที่ตนเอง ถึงเวลาการคุ้มกันบนเส้นทางอื่น คงผ่อนคลายลงเป็นธรรมดา ด้วยความสามารถของมาลาไกย์ การส่งตัวต่งเทียนอี้กับหลานออกจากชายแดนรัสเซีย คงจะไม่ใช่เรื่องยากลำบากนัก
“บอสส์ จะ…จะทำอย่างนั้นได้ยังไง? ต่อให้คุณเก่งกาจแค่ไหน แต่จะต้านทานกองทัพรัสเซียเพียงคนเดียวได้เหรอ?”
ได้ยินข้อเสนอของเยี่ยเทียนแล้ว มาลาไกย์ก็สั่นหน้ารัว รีบพูดต่อว่า “ต่อให้คุณไม่กลัวลูกกระสุน แต่ปืนสไนเปอร์ ปืนต่อต้านรถถัง ระเบิดมือ จรวดนำวิถีที่ติดมากับเฮลิคอปเตอร์ก็สามารถฆ่าคุณได้อยู่ดี”
เมื่อก่อนเยี่ยเทียนในสายตาของมาลาไกย์ คือเทพเจ้าผู้ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งของรัสเซีย เหล่าหม่าก็เกิดความสงสัยในความเชื่อของตนเอง อย่างไรเสียสหายเยซูคนนั้น ก็ถูกตะปูตรึงให้เลือดไหลจนเสียชีวิตบนไม้กางเขนเช่นกัน
“เหล่าหม่า นั่นมันเรื่องของผม ผมแค่ถามคุณ ว่าสามารถนำสองคนนี้หนีออกไป ในช่วงที่การคุ้มกันผ่อนคลายลงได้ไหม?”
เยี่ยเทียนโบกมือ ตัดบทคำถามของมาลาไกย์ ถึงแม้ตอนนี้ภายในร่างของเขาจะเหลือปราณแท้ไม่ถึงหนึ่งในสิบ แต่เยี่ยเทียนก็มั่นใจว่า ขอเพียงไม่มีลุงกับหลานตระกูลต่งถ่วงพลังงาน เขายังสามารถหนีการไล่ล่าของรัสเซียได้
พอเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่ได้ล้อเล่น มาลาไกย์ก็ครุ่นคิดอย่างจริงจัง ตอบว่า “บอสส์ครับ ถ้าหากคุณสามารถดึงความสนใจของพวกมันไปได้จริงๆ ผมก็สามารถพาพวกเขาข้ามเขตแดนไปได้ แต่ว่าคุณจะทำยังไงต่อล่ะ?”
ไซบีเรียเป็นพื้นที่ที่มีผู้คนมากมายหลายเผ่าผสมผสานรวมกัน หนึ่งในนั้นครอบคลุมถึงชาวฮั่น เมื่อลุงหลานตระกูลต่งไม่ใช่คนที่ทางพระราชวังเครมลินให้ความสนใจ ด้วยความสามารถของมาลาไกย์ ย่อมสามารถผ่านพ้นจุดนี้ไปได้
แต่ไม่ว่าอย่างไรมาลาไกย์กลับไม่อาจเข้าใจการตัดสินใจของเยี่ยเทียน เวลานี้ความคิดของเขาค่อนข้างสับสน หรือว่าเยี่ยเทียนจะเป็นชาวตะวันออกเฉียงเหนือในตำนาน เป็น “เหลยเฟิงที่มีชีวิต” จากเพลงพื้นบ้านสักเพลง?
“งั้นก็ดี เหล่าหม่า ในหนึ่งชั่วโมงนี้ คุณสามารถขับรถหนีไปได้เลย ผมรับประกันว่า จะไม่มีใครคิดย้อนกลับไปตรวจค้นรถของคุณ”
เห็นท้องฟ้าเหลือเวลาเพียงสามชั่วโมงก่อนสว่างตรงหน้า เยี่ยเทียนก็ตัดสินใจได้ในที่สุด ปราณแท้ที่ฟื้นฟูขึ้นมาภายในร่างกายเขา ถึงแม้ไม่เพียงพอจะใช้วิชาเหินเวหา แต่ถ้าหากแค่ใช้ปกปิดร่องรอย กลับมีมากอย่างเหลือเฟือ
เห็นมาลาไกย์อ้าปากจะพูดต่อ เยี่ยเทียนก็ส่ายหน้าตอบว่า
“เอาเถอะ เวลากระชั้นเข้ามาแล้ว ไม่ต้องพูดอีกแล้วล่ะ เหล่าหม่า ขอเพียงคุณสามารถพาสองคนนี้ไปยังจีนได้ สัญญาจ้างวานสามสิบล้านดอลลาร์อเมริกาจะมีผลทันที”
เยี่ยเทียนยังออกจะกังวลจริงๆ ว่าหลังจากมาลาไกย์แยกจากตัวเองไปแล้ว จะทอดทิ้งต่งเทียนอี้กับหลาน จึงให้คำมั่นเรื่องเงินก้อนใหญ่ คำกล่าวที่ว่านกตายเพราะเห็นแก่กิน ไม่ได้นำมาประยุกต์ใช้กับชาวจีนเพียงชนชาติเดียว
ตอนที่ 758 สังหารหมู่อีกครั้ง
เดือนมีนาคมในไซบีเรีย ยังคงหนาวเสียดแทงถึงกระดูก ก่อนที่ฤดูกาลจะเปลี่ยนผัน หิมะสุดท้ายจึงตกลงมาในที่สุด
เกล็ดหิมะจับตัวกับสายฝน ทำให้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นต่ำลงอย่างมาก ถนนที่ไม่ได้ลาดยางบางส่วนถึงกับกลายเป็นเลนโคลน สภาพอากาศอันเลวร้ายทำให้เฮลิคอปเตอร์ไม่สามารถบินขึ้นได้ กองกำลังหลักถูกส่งมายังไซบีเรียไม่ขาดสาย การค้นหาตัวจึงกลับกลายยากลำบากยิ่งขึ้น
แต่ว่าเส้นทางหลักทั้งเข้าและออกแต่ละเส้นทางในไซบีเรีย ล้วนถูกตรวจตราอย่างเข้มงวดแล้ว พวกเขาใช้ค่ายฝึกเป็นใจกลางฐานที่มั่น แล้วกำจัดวงล้อมในรัศมีสองร้อยกิโลเมตรเข้ามา
“กระตือรือร้นกันหน่อย เป็นไปได้สูงมากว่าคนร้ายที่สังหารท่านนายพล จะยังอยู่ในเขตนี้!”
ห่างจากค่ายฝึกมวยใต้ดินไปแปดสิบกว่ากิโลเมตร กลุ่มทหารราบออกปฎิบัติการค้นหาพื้นที่นี้ในรูปแบบพัด หลังจากการตายของลอฟสกี้ พื้นที่โดยรอบค่ายฝึกหนึ่งร้อยกิโลเมตร ก็ถูกกำหนดให้เป็นเขตหลัก และพระราชวังเครมลินก็ส่งกองกำลังหนุนมายังที่นี่ถึงสองกอง
“ให้ตายสิ ในสภาพอากาศแบบนี้ จะไปตามหาตัวคนร้ายเจอได้ยังไง? ฉันพนันได้เลยว่า ไอ้หมอนั่นต้องหนีขึ้นเขาไปแล้ว”
ทหารยศสิบตรีคนหนึ่งลื่นล้มลงบนพื้น ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน เมื่อถูกลมหนาวพัดมาปะทะก็ตัวสั่นเทาไปทั้งตัว พอลุกขึ้นมาได้จึงเผลอสบถออกมา
ไซบีเรียครอบคลุมดินแดนหลายพันตารางกิโลเมตร พื้นที่กว้างขวางผู้คนบางตา อีกทั้งยังมีเทือกเขามากมายหลายลูก เมื่อมีคนหลบเข้าไปภายในป่า พวกเขาจึงไม่สามารถปูพรมค้นหาได้ทั่วทุกตารางนิ้ว
“หุบปากแกเถอะ โจเซฟ ขืนหาคนร้ายไม่เจอล่ะก็ พวกเรามีหวังถูกทิ้งให้เฝ้ายามชายแดนที่มีแต่น้ำแข็งกับหิมะนี่อย่างแน่นอน!”
นายทหารติดยศร้อยเอกผู้หนึ่งส่งสายตากราดเกรี้ยวมายังทหารยศสิบตรี คนที่รู้ข่าวการตายของลอฟสกี้นั้นมีไม่มากนัก กองทัพกลุ่มนี้ของพวกเขาเป็นทัพใหญ่ขึ้นตรงกับรัฐบาลกลาง จึงรู้เรื่องราวมากกว่าใคร
“สภาพอากาศระยำแท้!”
พอได้ยินคำพูดของร้อยเอก โจเซฟก็หุบปากลงแน่นสนิท แต่เท้ากลับลื่นล้มลงไปอย่างแรงอีกครั้ง คราวนี้ค่อนข้างหนักหน่วง ดูเหมือนจะบาดเจ็บถึงส่วนสะโพก โจเซฟดิ้นรนอยู่สักพัก ก็ยังไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
โจเซฟก่นเสียงด่าแผ่วเบา ขณะกำลังจะร้องเรียกให้คนช่วย ดวงตาพลันเบิกกว้าง เพราะเขาพบว่า ร่างกายถูกห้อมล้อมไปด้วยดวงไฟผสมผสานกับพายุฝน แล้วกลับกลายสว่างวาบในทันใด เป็นลำแสงรูปร่างคนวิ่งกลับไปกลับมาระหว่างเพื่อนร่วมรบของเขาเหล่านั้น ใบหน้าที่คุ้นเคยร่วงลงบนพื้นตามมาติดๆ
การกระทำทั้งหมดไร้ซึ่งซุ่มเสียง คนที่ล้มลงไม่มีแม้กระทั่งเสียงเรียกหรือร้องครวญครางออกมา ราวกับภาพยนตร์ขาวดำอย่างไรอย่างนั้น โจเซฟที่เห็นภาพนั้นบังเกิดความรู้สึกสยดสยองลึกลงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ ราวกับเทพแห่งความตายลงมายังโลกเพื่อเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณมนุษย์
เสียง “ตุบ!” ดังขึ้น หยาดฝนหล่นลงบนใบหน้าโจเซฟ ขณะที่เขากำลังลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็มองเห็นใบหน้าซีดขาวของทหารยศร้อยเอก ในดวงตาสองข้างนั้นไร้แววชีวิตอย่างสิ้นเชิง และสิ่งที่ทำให้โจเซฟสติหลุดก็คือ ส่วนล่างของหัวนั้น กลับไม่มีร่างกายของทหารยศร้อยเอก
“ปีศาจ ปีศาจ!”
โจเซฟไม่อาจควบคุมความกลัวภายในใจได้อีกต่อไป ยกปืนขึ้นลั่นไกใส่เงาร่างที่ดูราวกำลังเต้นรำอยู่ท่ามกลางสายฝน “ปัง ปัง ปัง” เสียงปืนดังสะท้อนไปบนพื้นที่โล่งอันกว้างไกล
แต่สิ่งที่ทำให้โจเซฟผิดหวังก็คือ เขากลับยิงไม่ถูกใครเลย อีกทั้งวินาทีที่เขาลั่นไก ลำกล้องยาวของปืนในมือของเขากลับโค้งงอขึ้นมาในทันใด จนไม่อาจยิงลูกกระสุนออกมาได้อีก
ความหวาดกลัวนั้นราวกับมีฝ่ามือใหญ่ จับคว้าหัวใจของโจเซฟเอาไว้แน่น จนเขาแทบจะหมดลมหายใจ เส้นเลือดบนมือสองข้างปูดโปน ถือปืนกลมือที่พังแล้วในมือเอาไว้แน่นด้วยความสิ้นหวัง ราวกับกำลังคว้าฟางเส้นสุดท้าย
เวลานี้โจเซฟไม่สนใจความเจ็บปวดที่สะโพกอีก คืบคลานไปด้านข้างด้วยสัญชาตญาณ พบว่าด้านหน้ามีชาวตะวันตกร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่ ในมือของเขา ถือดาบคมกริบเล่มหนึ่ง หยาดฝนชะล้างเลือดบนผิวเหล็กรินไหลลงดิน
หลังจากเสียงปืนดังขึ้น หน่วยค้นหาที่เดิมออกปฏิบัติการเป็นรูปพัด ยังรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี เวลานั้นเองพวกเขาจึงได้พบว่า เพื่อนร่วมรบข้างตัว ล้มลงไปอยู่บนพื้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ราวกับกลัวว่าจะถูกล้อมจับ คนผู้นั้นจึงไม่ฟันดาบลงบนลำคอของโจเซฟ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันหน้าวิ่งไปทางด้านหลัง จนร่างกลืนหายเข้าไปในความมืดและพายุฝนอย่างรวดเร็ว
เสียงตะโกนเรียกให้หยุดดังขึ้น หลังจากนั้นไม่กี่นาที เสียงกระหึ่มจากรถหุ้มเกราะหลายต่อหลายคันก็ดังตามมา แสงไฟหลายลำส่องทะลุสายฝนและเกล็ดหิมะ จนพื้นที่แถบนั้นสว่างจ้าราวกับเป็นเวลากลางวัน
พื้นที่สามสิบกว่าเมตรภายในเขตแดน ถูกละเลงด้วยเลือดจนทั่ว หยาดฝนจากฟ้ายังไม่สามารถชะล้างเลือดให้จางหาย กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งตลบอบอวล ราวกับเป็นดินแดนแห่งนรกก็ไม่ปาน ต่อให้เป็นทหารผ่านศึกที่จิตใจเข้มแข็งสักแค่ไหน ยังรู้สึกปั่นป่วนมวนในลำไส้ อดอาเจียนออกมาอย่างหนักไม่ได้
“ท่านนายพลครับ!”
หลังจากนายทหารวัยกลางคนชาวรัสเซียรูปร่างสูงใหญ่ลงมาจากรถหุ้มเกราะแล้ว คนที่โน้มตัวอาเจียนเหล่านั้นต่างยืดตัวยืนขึ้น เพื่อทำความเคารพต่อคนที่เดินลงมา
“นับจำนวนผู้บาดเจ็บ เสาะหาผู้รอดชีวิต!” คนที่มานั้นก็คือผู้บังคับบัญชาการพิเศษเขตไซบีเรีย วิคเตอร์นั่นเอง ถึงแม้เขาจะมีกำลังพลทหารในควบคุมพันกว่านาย แต่กลับมียศเพียงพลตรี อีกทั้งเขายังเป็นผู้สืบสายเลือดโดยตรงของลอฟสกี้อีกด้วย
แม้ว่าเขาจะเคยเข้าร่วมสงครามเชเชน และเคยรับภารกิจสังหารประชาชนภายในเมืองด้วยมือตนเองมาก่อน แต่เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ช่วงท้องของวิคเตอร์เองก็ปั่นป่วนขึ้นมาระลอกหนึ่ง น้ำรสเปรี้ยวทะลักขึ้นมาถึงในปาก จนเกือบจะอาเจียนออกมาเหมือนกับพลทหารของเขา
พื้นที่นี้อาบท่วมไปด้วยเลือด ผู้ตายทุกคนดูเหมือนจะปราศจากส่วนหัวทั้งหมด ร่างไร้ศีรษะมีดวงตาเบิกโพลงนับสิบร่างทำให้พื้นที่นี้อบอวลไปด้วยบรรยากาศวิปริตพิสดาร บีบคั้นจนผู้คนแทบเสียสติ
“ท่านนายพลครับ เสียชีวิตทั้งหมดหกสิบแปดนาย สามคนในนั้นหัวใจวายตาย นอกจากนั้นมีอีกสิบสองคนที่สภาพจิตแปรปรวนอย่างหนัก…”
หลังจากผ่านการนับคำนวณกว่าครึ่งชั่วโมง ผลลัพธ์ก็ออกมา กองทหารนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยทัพพิเศษ คนตายไปหกสิบแปดคน จึงแทบลดลงไปกว่าครึ่ง นอกจากนั้นยังมีอีกสิบกว่าคนเกิดอาการเจ็บป่วยทางอารมณ์และจิตใจ ไม่ว่าใครจะสอบถามอย่างไร ก็ไม่อาจพูดออกมาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เผยแพร่คำสั่งของฉันลงไป ให้รวบรวมอาวุทธยุทโธปกรณ์เข้ามา แล้วไล่ล่าต่อ จะต้องหาฝ่ายศัตรูให้เจอให้ได้ ฉันจะรายงานไปทางวังเครมลินเดี๋ยวนี้!”
หลังจากได้ยินตัวเลข สีหน้าของวิคเตอร์ก็กระตุกขึ้นหนหนึ่ง คนกลุ่มนี้คือเหล่าทหารชั้นยอดที่เขาเลือกมาจากกองทัพภาคไซบีเรีย แต่ภายในช่วงเวลาสั้นๆ กลับถูกสังหารเหมือนผักปลาเป็นจำนวนหกสิบกว่าคน จึงเท่ากับเป็นการตบหน้าวิคเตอร์อย่างแรง
ภาพถ่ายสถานการณ์ในที่เกิดเหตุ ถูกส่งไปยังวังเครมลิน ทำให้เกิดความตื่นตระหนกภายในนั้น ใครๆ ต่างก็นึกไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะกล้าหาญชาญชัย ในขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพกว่าแสนนาย กลับยังบังอาจทำเรื่องอย่างนี้ได้
เหตุการณ์นี้ยังทำให้ทางวังเครมลินสงสัยว่า คนที่เข้ามาในเขตแดนรัสเซียอาจไม่ได้มีเพียงคนเดียว แต่เป็นกองทหารพิเศษชั้นยอด หลังจากออกคำสั่งไปจำนวนหนึ่งแล้ว กองทหารรักษาการณ์ชายแดนรัสเซียจึงเข้าสู่การพร้อมรบระดับหนึ่งทันที
……
ในฐานะผู้บังคับบัญชากองทัพพิเศษตะวันออกไกล วิคเตอร์มีสิทธิพิเศษมากมาย เขามีอำนาจสั่งเคลื่อนย้ายกองพลทหารยศเดียวกับตนเอง ดังนั้นหลังจากที่วิคเตอร์ออกคำสั่งไปแล้ว กองกำลังทหารซึ่งอยู่ด้านข้างจึงเริ่มขับเคลื่อนไปทางนั้น
กระโจมสำหรับกองกำลังสั่งการถูกจัดตั้งขึ้น ทหารรัสเซียระดับนายพลสิบกว่านายมารวมตัวกันที่นี่ ต่างคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่มองดูรูปภาพเหล่านั้น พวกเขาก็สำเหนียกได้ว่า ศัตรูที่ตนเองกำลังเผชิญหน้า ไม่อาจนำตรรกะทั่วไปมาใช้คาดเดา
แผนที่แผ่นหนึ่งถูกแขวนไว้ตรงกลางกระโจม วิคเตอร์ทำเครื่องหมายลูกศรสีแดงตรงจุดที่พวกเขาอยู่ กล่าวว่า “ผมไม่ได้พูดเกินเลยอะไร แต่ทุกคนล้วนรู้ว่า พื้นที่ไซบีเรียกว้างใหญ่ไพศาล สามารถจัดทีมค้นหาได้มากที่สุดเป็นหน่วยกองร้อยเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง หนึ่งกองร้อยนั้นไม่อาจต้านทานการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม!”
นายทหารยศพลตรีอีกคนหนึ่งลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ท่านนายพลวิคเตอร์ ข้างนอกมีทั้งฝนและหิมะ วิสัยทัศน์ย่ำแย่ ศัตรูอยู่ในความมืด แต่ว่าพวกเรากลับอยู่ในที่โล่งแจ้ง จึงถูกฝ่ายศัตรูลอบโจมตี ดังนั้นผมจึงขอแนะนำให้ปิดเส้นทางหลักทั้งหมด รอจนกว่าฟ้าสว่างแล้วจึงออกปฏิบัติการตามล่าอีกครั้ง!”
หลังจากสงครามเวียดนามจบลง ถึงแม้พื้นที่ต่างๆ ในโลกยังคงขัดแย้งกันบางส่วน แต่การตายของทหารของแต่ละประเทศก็ลดลงอย่างมาก
เฉกเช่นเดียวกับสงครามอัฟกานิสถานในช่วงเวลาที่ผ่านมา กองทัพอเมริกาสูญเสียทหารเพียงหลายสิบนาย ด้วยเหตุนี้เมื่อเทียบกันแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในรัสเซียจึงสะเทือนใจคนฟัง กระทั่งเหล่านายพลยังไม่อาจทนรับไหว
“นายพลแม็กซิม ผมรู้ว่าความเห็นของคุณถูกต้อง แต่ผมไม่มีอำนาจสั่งการหยุดค้นหา!”
หลังจากได้ยินคำพูดของพลตรีคนนั้นแล้ว นายพลวิคเตอร์ก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน พลทหารที่เสียชีวิตล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทั้งหมด ไหนเลยเขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่ต่อให้มีคนตายมากไปกว่านี้ เขาก็ยังไม่กล้าออกคำสั่งระงับการปฎิบัติการ
“ถ้าอย่างนั้นก็คงได้แต่ให้หน่วยทหารทุกกองพันออกดำเนินการค้นหาต่อไป ให้แต่ละหน่วยติดอาวุธหนักครบครัน”
นายพลแม็กซิมเองก็ไม่ยืนกรานความคิดของตนเองเช่นกัน เขารู้ว่าการตายของลอฟสกี้คงทำให้ผู้บังคับบัญชาในวังเครมลินโกรธเกรี้ยวอย่างแน่นอน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการปรับเปลี่ยนยุทธวิธีหรือไม่ ศัตรูผู้ก่อเหตุสังหารหมู่คนนั้น จึงไม่ปรากฎตัวอีกเลย และพายุหิมะก็สงบลง
ตอนที่ 759 แผนการตอบโต้
ยามแสงแรกบนท้องฟ้าไซบีเรียส่องสว่าง รถหุ้มเกราะสองคันก็มาถึงเขตค่ายทหารที่นายพลวิคเตอร์ประจำอยู่ คนที่ลงจากรถเป็นคนแรกคือผู้การกินเนสส์ผู้เร่งรุดมาจากมอสโควนั่นเอง
เนื่องจากเมื่อวานไซบีเรียมีหิมะตกหนัก เครื่องบินลำที่ผู้การกินเนสส์นั่งมาจึงต้องลงจอดยังพื้นที่แห่งหนึ่งในไซบีเรีย แล้วขับรถติดต่อกันทั้งคืนเป็นระยะทางถึงสี่ร้อยกิโลเมตร จนสีหน้าของผู้การกินเนสส์เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
ส่วนที่ลงจากรถตามหลังผู้การกินเนสส์มา คือชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่จำนวนสิบสองคน กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ บนร่างแสดงถึงกำลังกายอันแข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาทั้งสองข้างทำเอาคนไม่กล้าหันไปสบตาตรงๆ
คนเหล่านี้ไม่ได้สวมเครื่องแบบทหารรัสเซีย อีกทั้งหากดูจากโครงหน้าแล้ว ก็ไม่คล้ายชาวรัสเซียสักเท่าไหร่ ถึงขั้นใบหน้าไปคลับคล้ายชาวเอเชียเสียมากกว่า แต่ว่าจุดที่เหมือนกันเพียงข้อเดียวก็คือ เรือนร่างของพวกเขามีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง แผ่รังสีอันตรายออกมาจนถ้วนทั่ว
“ยินดีต้อนรับการมาของท่านครับผู้การ!”
ถึงแม้ในกองบัญชาการจะมีนายทหารมากมายยศสูงกว่าผู้การกินเนสส์ แต่ในฐานะทูตพิเศษที่ประธานาธิบดีส่งตัวมาและมีอำนาจทุกประการในการจัดการเรื่องนี้ ทางฝั่งนายพลวิคเตอร์จึงเข้ามาต้อนรับทุกคน และไม่นึกดูหมิ่นผู้การกินเนสส์จากยศทหารของเขา
“ผู้การครับ พวกเขาเป็นใครกัน?”
พอต่างทำความเคารพกันและกันตามระเบียบทหารแล้ว นายพลวิคเตอร์ก็มองไปยังด้านหลังของเขา อดหรี่สายตาลงไม่ได้
กองทัพพิเศษในเขตไซบีเรีย ถือว่ามีความแข็งแกร่งติดอันดับหนึ่งในสามของกองทัพรัสเซีย ตัวนายพลวิคเตอร์เองก็มีประสบการณ์ในสนามรบจริงอย่างโชกโชน แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากับคนสิบกว่าคนนี้ นายพลวิคเตอร์ยังหนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ
เขาสามารถสัมผัสได้ว่า คนสิบกว่าคนที่ไม่ได้สวมชุดพรางตัวอย่างทหารเหล่านี้ ฝ่ามือล้วนเปื้อนเลือดมาแล้วทุกคน อีกทั้งแววตาของคนเหล่านี้เปรียบได้ราวกับสัตว์ป่า นายพลวิคเตอร์เชื่อว่า ต่อให้เป็นทหารที่เก่งที่สุดในกองทัพใต้บังคับบัญชาของเขา ก็ไม่ใช่คู่มือของคนเหล่านี้
“นายพลวิคเตอร์ คุณอยู่ในเขตไซบีเรีย แต่ไม่รู้จักพวกเขางั้นเหรอ?”
ผู้การกินเนสส์หันหน้ากลับไปมองแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ทางค่ายมวยใต้ดินส่งพวกเขามา เป็นนักมวยที่เก่งกาจที่สุดสิบสองคนจากค่ายฝึกในปัจจุบัน จากคำพูดของพวกเขา เวลาคนพวกนี้ลงสนาม จะกลายเป็นราชาแห่งสนามมวยใต้ดินทันที!”
“ที่แท้ก็เป็นพวกเขานี่เอง? แล้วคุณพาพวกเขามาที่นี่ทำไมครับ?”
นายพลวิคเตอร์ผงะไปชั่วขณะ เขาพอจะรู้จักชื่อเสียงของคนเหล่านี้ แต่เนื่องจากพวกเขามีสถานะพิเศษในค่ายฝึกไซบีเรีย จึงไม่เคยพบปะพูดคุยกับคนพวกนี้
นายพลวิคเตอร์รู้ว่า ถึงแม้คนจากค่ายฝึกไซบีเรียกลุ่มนี้จะมีพลังโจมตีแข็งแกร่ง แต่กลับไม่รู้จักการทำงานเป็นทีม ยิ่งไปกว่านั้นยังด้อยด้านการเชื่อฟังคำสั่ง ด้วยเหตุนี้นายพลวิคเตอร์จึงไม่รู้สึกว่าพวกเขาจะมีประโยชน์อะไรในการปฎิบัติการของกองทัพ
“นายพลวิคเตอร์ คนที่พวกเราต้องรับมือ ไม่ใช่คนธรรมดา ทหารราบของพวกเรา อาจไม่สามารถจับตัวคนคนนั้นได้”
ผู้การกินเนสส์ส่ายหน้า ตอบว่า “การฝึกฝนที่พวกเขาได้รับ โหดเหี้ยมที่สุดในโลกนี้ อีกทั้งความสามารถในการเอาชีวิตรอดในป่าก็เหนือกว่าทหารของพวกเรามาก ผมคิดว่า…บางทีอาจมีแค่พวกเขาที่จะสามารถต้านทานกับคนคนนั้นได้”
น้ำเสียงของผู้การกินเนสส์ฟังดูไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก หลังย้อนดูภาพที่กล้องดาวเทียมถ่ายมาได้หลายต่อหลายครั้ง ภายในใจเขาก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัวและสิ้นหวังอย่างลึกล้ำต่อเงาร่างปีศาจนั่น เพราะว่าการปรากฎและหายตัวอย่างทันควันของเยี่ยเทียน เหนือชั้นเกินกว่าที่ขอบเขตมนุษย์จะเข้าใจได้
ดังนั้นก่อนที่ผู้การกินเนสส์จะขึ้นเครื่องบินมายังไซบีเรีย จึงได้ติดต่อกับเจ้าของเบื้องหลังค่ายฝึกมวยใต้ดิน ซึ่งเป็นเจ้าพ่อค้าน้ำมันดิบรัสเซียผู้ได้รับผลประโยชน์อันใหญ่หลวงที่สุดหลังจากโซเวียตแตก เพื่อขอให้ช่วยเหลือภารกิจครั้งนี้ของเขาให้เสร็จสิ้น ในนามของท่านประธานาธิบดี
เจ้าพ่อน้ำมันดิบคนนี้เป็นคนเข้าใจอะไรได้ดี ถึงแม้ตัวจะอยู่ต่างประเทศ แต่ก็ไม่รีรอจะตอบรับข้อเรียกร้องของผู้การกินเนสส์ อีกทั้งยังให้ผู้รับผิดชอบภายในสนามมวยใต้ดิน ส่งตัวนักมวยสิบสองคนนี้มายังตำแหน่งที่ผู้การกินเนสส์อยู่ภายในคืนวันเดียวกัน
“ทุกท่าน ท่านผู้นี้คือผู้การกินเนสส์จากหน่วยศูนย์กลางข่าวกรอง เป็นผู้ที่ท่านประธานาธิบดีส่งตัวมาเพื่อดูแลจัดการคดีที่นายพลลอฟสกี้ถูกสังหารในครั้งนี้…”
เข้าไปยังกระโจมที่กว้างขวางพอจะใช้เป็นห้องประชุมแล้ว นายพลวิคเตอร์ก็แนะนำตัวผู้การกินเนสส์ต่อนายพลทั้งหลายในที่นั้น พอได้ยินคำพูดของนายพลวิคเตอร์ เหล่านายพลที่สลึมสลืออดหลับอดนอนมาทั้งคืน พลันตาสว่างขึ้นมาในทันใด
หน่วยศูนย์กลางข่าวกรองที่นายพลวิคเตอร์พูดถึง มีคุณสมบัติไม่ต่างจาก “เคจีบี” ในสมัยก่อนโซเวียตแตก พวกเขาไม่เพียงรับภาระหน้าที่สืบค้นข่าวกรองจากต่างประเทศ แต่ในขณะเดียวกันยังคอยสอดส่องกิจการความปลอดภัยภายในประเทศด้วย
หากพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ข้าราชการระดับสูงของรัสเซียล้วนถูกบันทึกข้อมูลอยู่ในหน่วยข่าวกรองนี้ทั้งหมด แม้เป็นผู้บังคับการกองทัพก็ไม่ละเว้น ด้วยเหตุนี้หลังจากได้ยินชื่อหน่วยงานที่ผู้การกินเนสส์รับตำแหน่งแล้ว ทุกคนจึงเลิกห่วงยศทหารของตนเองโดยอัตโนมัติ คนที่ถูกส่งตัวมาจากประธานาธิบดีผู้มีประวัติเป็นเคจีบีโดยตรง ย่อมต้องเป็นหนึ่งในสายเลือดของเขาอย่างแน่นอน
“เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ผมได้ยินหมดแล้ว!”
ผู้การกินเนสส์เดินตรงมายังหน้าโต๊ะ ถอดหมวกออกแล้วกล่าวว่า “ขอให้พวกเราไว้อาลัยต่อเหล่าทหารหาญกันก่อนเป็นเวลาสามนาที…”
สามนาทีหลังจากนั้น ผู้การกินเนสส์ก็สวมหมวกกลับเข้าไป กล่าวว่า “พวกเขาล้วนเสียสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ ท่านประธานาธิบดีจึงขอมอบรางวัลเหรียญเกียรติยศต่อนายทหารที่สละชีพในภารกิจครั้งนี้”
คำพูดของผู้การกินเนสส์กระตุ้นขวัญกำลังใจทุกคน พลทหารกับนักการเมืองยังมีความแตกต่างกันอยู่มาก ในยุคที่สังคมสงบสุข การรับมอบเหรียญกล้าหาญในหมู่ทหารไม่ได้เกิดขึ้นง่ายดายขนาดนั้น อีกทั้งยังมีความสำคัญสูงยิ่งต่อทหารผู้เชิดชูเกียรติยศเหล่านี้
“ผู้การกินเนสส์ คุณคงเข้าใจสถานการณ์มากกว่าพวกเราเป็นอย่างดี หากต้องการให้ทำสิ่งใด ขอให้สั่งการลงมาได้เลย!”
พลตรีแม็กซิมผู้มีอาวุโสสูงในไซบีเรีย ยังต้องใช้วาจาสุภาพขณะพูดคุยกับผู้การกินเนสส์ ไม่มีใครลืมเลือนการกวาดล้างครั้งใหญ่ของเคจีบีในคืนก่อนการรัฐประหารในปีนั้น เขาเองก็ไม่อยากให้ตนเองถูกชายหนุ่มคนนี้จดจำได้เช่นกัน
“ตกลง นายพลทุกท่าน ด้วยการไหว้วานจากประธานาธิบดี ภารกิจหลักที่ผมมาในครั้งนี้คือการไล่ล่าจับตัวคนร้ายที่สังหารนายพลลอฟสกี้”
หลังจากผู้การกินเนสส์กวาดสายตามองผู้คนโดยรอบแล้ว ก็พูดต่อว่า “จึงหวังว่าทุกหน่วยจะให้ความร่วมมือ ถ้าหากใครรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถทำภารกิจนี้ ขอให้กล่าวออกมาเสียทันที!”
หลังจากคำพูดนี้ของผู้การกินเนสส์กล่าวออกไป ภายในกระโจมก็เงียบสงบลง แม้ว่ายังคงมีคนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก แต่ก็ไม่กล้าคัดค้านออกมาในเวลานี้
การเคลื่อนพลในไซบีเรียคราวนี้ ยังเหนือกว่าการโอบล้อมกดดันด้วยกำลังทหารที่ศึกเชชเนียในอดีต คนที่สังเกตเห็นจะสามารถมองนัยบางอย่างออกว่า คราวนี้วังเครมลินโกรธเกรี้ยวขึ้นมาจริงๆ
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นผมจะออกคำสั่งละ!” ผู้การกินเนสส์พยักหน้าอย่างพอใจ ในฐานะเจ้าหน้าที่จากหน่วยข่าวกรอง เมื่อสามารถทำให้เหล่านายพลผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ในมือก้มหัวเชื่อฟัง จึงอดรู้สึกพออกพอใจขึ้นมาไม่ได้
ความจริงนี่ก็เป็นสิ่งที่คนรุ่นก่อนในตระกูลของผู้การกินเนสส์เคยกระทำเมื่อในอดีต เมื่อสิบกว่าปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นวงการการเมืองหรือทหารในกองทัพ คุณสมบัติของเคจีบีก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง พวกเขามีอำนาจจับกุมใครก็ตามที่ถูกสงสัยว่าบ่อนทำลายต่อผลประโยชน์ของชาติ
แต่เพราะสาเหตุนี้ หลังจากที่โซเวียตแตก ชื่อเสียงของเคจีบีจึงระส่ำระสายตามไปด้วย ดังนั้นถึงแม้รัสเซียจะเข้ามาควบคุมหน่วยข่าวกรอง แต่มันก็ยังพังทลายจนต้องเปลี่ยนชื่อขึ้นมาใหม่
แต่ใครๆ ต่างก็ไม่เคยลืมสิ่งที่หน่วยงานนี้เคยทำไว้ จึงสอดคล้องกับสุภาษิตจีนโบราณหนึ่งที่ว่า ยั่วโมโหเจ้านรกยังไม่เท่ากระตุ้นผีสาง ด้วยไม่รู้ว่าวันดีคืนดีจะตกเป็นเบี้ยในกำมือของพวกเขาเมื่อไหร่
“ตำแหน่งล่าสุดที่คนร้ายปรากฎตัวคือพื้นที่ใกล้ค่ายฝึกไซบีเรีย ห่างจากที่นี่แปดสิบกิโลเมตร อีกทั้งเวลาที่นายพลลอฟสกี้และเหล่าทหารราบทั้งหลายเสียชีวิต ประมาณได้ไม่เกินสามชั่วโมงเท่านั้น นั่นจึงหมายความว่า ศัตรูมีความสามารถในการเคลื่อนที่ไกลมาก!”
ผู้การกินเนสส์หมุนตัว ใช้ปากกาคาร์บอนในมือวาดลูกศรหนึ่งลงบนแผนที่ พูดต่อว่า “วิธีที่นายพลวิคเตอร์จัดการเมื่อวานนั้นปลอดภัยอย่างที่สุด ทางฝั่งตะวันออกมีทหารสามกองเป็นกำลังพลจำนวนหลายแสนนาย ถึงแม้ว่าศัตรูจะเก่งกล้าสามารถ ก็เป็นไปไม่ได้ว่าจะฝ่าวงล้อมออกมาจากจุดนั้น…
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศัตรูจึงสามารถไปยังทิศทางนี้และอาศัยเพียงชายแดนสาธารณรัฐซาฮาหลบหนี และทันทีที่ศัตรูหนีพ้นจากชายแดนประเทศไปได้ การตามล่าของพวกเราก็จะไม่มีประโยชน์ใดๆ อีกต่อไป!”
“ผู้การกินเนสส์ครับ เส้นแบ่งชายแดนซาฮายาวมาก ด้วยกำลังของทหารเราตอนนี้ คงดำเนินการตามล่าได้ยากลำบาก…”
หลังจากได้ยินคำพูดของผู้การกินเนสส์แล้ว สีหน้าของนายพลวิคเตอร์ก็ยิ้มเจื่อน พื้นที่ไซบีเรียกว้างขวาง เมื่อรวบรวมกำลังพลได้หลายแสนนาย ก็ทำได้เพียงคุ้มกันเส้นทางการจราจรหลักจำนวนหนึ่งเท่านั้น หากจะใช้ค้นหาจนทั่วพื้นที่ คงเป็นไปไม่ได้
โดยเฉพาะการกระทำของศัตรูเมื่อวานนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามมีความสามารถพอจะทำลายล้างกองทัพรัสเซีย จนทำให้นายพลวิคเตอร์เกิดความกังวลตอนจัดกองทัพ และไม่กล้าใช้หน่วยกองร้อยอีกต่อไป แต่เปลี่ยนเป็นระดับกองพันถืออาวุธหนักออกปฏิบัติการตามล่าแทน
แต่หากทำเช่นนี้ จะทำให้คนของฝั่งรัสเซียเกิดความวิตกกังวล เหมือนกับการใช้ตะแกรงร่อนทราย หากช่องว่างของตะแกรงมีขนาดใหญ่ ศัตรูก็จะสามารถหลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย
“นายพลวิคเตอร์ เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง เขตทหารสหพันธ์คอเคซัสเหนือมีทหารสามกองพลกำลังจะเข้ามายังเขตทหารไซบีเรีย”
ผู้การกินเนสส์โบกมือไปมา พูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “อีกอย่างทางเขตทหารซาไบคาลสค์ก็ส่งกองทัพมาอีกสองกองพล เสริมด้วยเวรยามตามแนวชายแดนสาธารณรัฐซาฮา และผมยังตัดสินใจจะให้ทหารราบที่ตรึงกำลังอยู่บนถนนเส้นหลักกลับมารวมพล เพื่อเข้าร่วมการไล่ล่าครั้งนี้ด้วย”
จากการพัฒนาพื้นที่หลายปีที่ผ่านมาในไซบีเรีย ไฟจราจรกับสิ่งก่อสร้างพื้นฐานค่อยๆ ขยายวงกว้างขึ้น ทหารที่ประจำอยู่ตามถนนเส้นหลักเหล่านั้น ยังมีเป็นจำนวนหมื่นกว่านาย ในเวลานี้ที่กองกำลังไม่เพียงพอ ผู้การกินเนสส์จึงเตรียมการนำหน่วยกองทัพเหล่านั้นเข้ามาร่วมด้วย
เพราะเป็นผู้การกินเนสส์ที่มาพร้อมกับกระบี่อาญาสิทธิ์ คนทั้งหลายจึงไม่กล้าออกความเห็นคัดค้าน อีกทั้งหลังจากฟ้าสว่างร่องรอยทั้งหลายแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เยี่ยเทียนจะต้องหลบหนีไปยังทิศทางที่ผู้การกินเนสส์กำหนดไว้อย่างแน่นอน
จากคำสั่งการต่อหน่วยกองทัพทั้งหลาย ทหารราบที่ประจำการอยู่บนถนนเส้นหลักเองจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวแยกย้าย เพื่อเข้ารวมกับกองกำลังไล่ล่า
ตอนที่ 760 เผชิญหน้า
“รายงานผู้การ ที่ละติจูดหกสิบองศาเหนือ กองทหารกองหนึ่งถูกศัตรูลอบทำร้าย เสียชีวิตแปดคนครับ!”
ขณะที่เหล่านายพลกำลังหารือถึงแผนการโอบล้อมและกดดันในกองบัญชาการอยู่นั้น ก็มีข่าวส่งเข้ามา นับตั้งแต่กองกำลังถูกโจมตีเมื่อวาน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับข่าวจากฝ่ายศัตรู
ผู้การกินเนสส์ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ขณะกำลังตรวจสอบบนแผนที่ ใบหน้าก็แสดงความยินดีออกมา กล่าวว่า “ศัตรูน่าจะยังอยู่ภายในวงล้อมของพวกเรา สั่งการให้แต่ละหน่วยเข้าร่วมประจัญบาน กระชับวงล้อม จะปล่อยให้หนีไปไม่ได้เด็ดขาด!”
เมื่อดูกล้องดาวเทียมแล้วผู้การกินเนสส์ก็รู้ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่คนร้ายผู้สังหารลอฟสกี้จะมีเพียงคนเดียว ยิ่งเมื่อรวมกับการสังหารหมู่ทั้งสองครั้งหลังจากนั้น เหตุการณ์นี้ยิ่งใกล้เคียงกับตำนานจีนโบราณที่กล่าวถึงการชิงศีรษะแม่ทัพท่ามกลางทหารนับพันหมื่น เห็นได้ชัดว่าพลังการโจมตีของคนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย
ดังนั้นผู้การกินเนสส์จึงออกคำสั่งให้ทุกหน่วยร่วมประจัญบาน หนึ่งเพื่อลดการบาดเจ็บเสียชีวิตของทหาร สองเพื่อบีบบังคับให้ศัตรูถอยร่นไปทางแนวชายแดนซาฮา ซึ่งที่นั่นได้วางกับดักไว้เรียบร้อยแล้ว รอเพียงศัตรูเข้าไปติดกับเท่านั้น
ขณะเดียวกันผู้การกินเนสส์ก็ออกคำสั่งอีกครั้ง ให้หน่วยคุ้มกันด่านบนถนนแต่ละเส้นเพิ่มความเร็วการเดินทัพ เร่งรีบมายังจุดรวมพล เมื่อศัตรูเปิดเผยร่องรอยออกมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเสียกำลังพลอย่างไร้ประโยชน์อีก
แม้ว่ารัสเซียจะบอกกล่าวต่อนานาชาติว่าเป็นปฏิบัติการในการซ้อมรบ แต่การรวมพลทหารนับแสนนาย ไม่อาจหลุดพ้นจากสายตาของต่างชาติได้ ในเวลานั้น อังกฤษ อเมริกาและประเทศจีนต่างก็วิตกกังวลขึ้นมาพร้อมๆ กัน จนแอบเตรียมกำลังพลอย่างลับๆ เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน
……
“พ่อคะ มาได้ยังไงนี่?”
เช้าตรู่วันนั้น ซ่งเวยหลันเตรียมตัวกำลังจะออกไปซื้อกับข้าว กลับพบว่าเรือนสี่ประสานถูกผู้คุ้มกันที่พ่อพามาห้อมล้อมเอาไว้ ซ่งเฮ่าเทียนเดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เห็นพ่อท่าทางอย่างนั้น ซ่งเวยหลันก็นึกประหลาดใจเล็กน้อย อีกทั้งถึงแม้ความบาดหมางระหว่างตระกูลเยี่ยและซ่งจะสะสางเรียบร้อยแล้ว แต่เวลาเยี่ยเทียนไม่อยู่บ้าน ก็ยังมีน้อยครั้งที่ซ่งเฮ่าเทียนจะมาเคาะประตู
ซ่งเฮ่าเทียนพยักหน้า กล่าวว่า “พ่อมาหาลูกเพราะมีเรื่องจะพูด หือ? ลูกกำลังจะออกไปข้างนอกหรือ?”
เห็นลูกสาวสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา ในมือถือตะกร้าใส่กับข้าว ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแบบนั้น ซ่งเฮ่าเทียนก็อดรู้สึกละอายใจขึ้นมาไม่ได้ เดิมทีลูกสาวก็สามารถใช้ชีวิตอย่างนี้ได้แต่แรก แต่เพราะความดื้อรั้นของตนเอง จึงทำให้เธอต้องเป็นโสดถึงยี่สิบกว่าปี
“ค่ะ หนูกำลังจะไปซื้อกับข้าว พ่อ มาหาหนูมีเรื่องอะไรหรือ?” ซ่งเวยหลันพยักหน้า
“พ่อแก่แล้ว อยากจะมาคุยเล่นกับลูกบ้าง ถ้ายังไง…พ่อให้พวกเขาไปซื้อกับข้าวได้ไหม?”
ซ่งเฮ่าเทียนหันหน้ากลับไปมองคนคุ้มกันที่อยู่ด้านหลัง แล้วก็ต้องส่ายหน้า เกรงว่าคนพวกนี้จนโตขนาดนี้ก็ยังไม่เคยเข้าไปในตลาด?
“พี่ซ่ง ฉันไปซื้อกับข้าวให้เอง!” คุณนายโจวที่เข้ามาซักผ้าในบ้านเห็นเหตุการณ์เข้าเลยเดินมาหา รับตะกร้าในมือซ่งเวยหลันไป
“พ่อคะ พ่อมีเรื่องอะไรหรือเปล่า? ไหนปกติชอบพูดว่าตัวเองยังหนุ่มไม่ใช่เหรอ?”
หลังจากคุณนายโจวจากไปแล้ว ซ่งเวยหลันก็พาพ่อมายังห้องหนังสือของเยี่ยเทียนที่เรือนด้านหลัง พูดคุยล้อเล่นกับพ่อ เธอสัมผัสได้ว่า วันนี้อารมณ์ของพ่อดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“คนเราใครเล่าจะไม่แก่? ไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ พ่อแค่อยากมาคุยเล่นกับลูก” ซ่งเฮ่าเทียนส่ายหน้า แต่มือกลับหยิบหนังสือ “คัมภีร์หวงถิง” ของเยี่ยเทียนที่วางอยู่บนโต๊ะ
“เจ้าหนูนี่ เป็นคนพิลึกจริงๆ!”
หลังจากพลิกดูไม่กี่หน้า ใจของซ่งเฮ่าเทียนก็อดนับถือหลานชายคนนี้ของตัวเองไม่ได้ เพราะว่าเยี่ยเทียนเขียนบันทึกหมายเหตุของตนเองลงบนทุกหน้า ข้อความของเขาคมคาย จนเกรงว่าผู้เชี่ยวชาญศึกษาวัฒนธรรมลัทธิเต๋าหลายสิบปี ยังไม่อาจเข้าใจอย่างถ่องแท้เทียบเท่าเยี่ยเทียน
ได้ยินคำพูดของพ่อแล้ว ซ่งเวยหลันกลับไม่พอใจ ยิ้มพลางแย้งขึ้นว่า “ลูกชายหนูเป็นอัจฉริยะ ไม่ใช่คนพิลึก!”
“ตกลงๆ อัจฉริยะก็อัจฉริยะ!”
ซ่งเฮ่าเทียนยิ้มเจื่อน เจ้าหนูเยี่ยเทียนนั่นก่อปัญหาวุ่นวายข้างนอกตลอดเวลา ไม่ต่างจากตัวหายนะ ซ่งเฮ่าเทียนเรียกเขาว่าคนพิลึก ยังนับว่าเป็นคำชมสำหรับเจ้าหนูนั่น
ที่ซ่งเฮ่าเทียนมายังบ้านตระกูลเยี่ยครั้งนี้ เป็นเพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านลูกสาว นั่นเพราะการกระทำครั้งนี้ของเยี่ยเทียน แตะจุดเดือดของทางวังเครมลินเข้าจริงๆ จนกระทั่งตัวเขายังจำเป็นต้องมาที่นี่ด้วยตนเอง เพื่อป้องกันใครมาก่อกวนลูกสาวของเขา
แต่ว่าซ่งเวยหลันไม่รู้เรื่องที่ลูกชายไปทำอะไรในต่างประเทศเลย แถมยังนึกว่าพ่อคิดถึงตัวเองจริงๆ หลังจากรอคุณนายโจวซื้อกับข้าวกลับมาแล้ว ก็ลงมือทำอาหารมื้อใหญ่ แล้วนั่งคุยเป็นเพื่อนซ่งเฮ่าเทียนทั้งวัน
……
“บอสส์ครับ ผมออกมาได้แล้ว ตอนบ่ายจะไปทางอีร์คุตสค์ ทางนั้นได้เตรียมการเอาไว้เรียบร้อยหมดแล้ว!”
ในป่าละเมาะไม่ไกลจากค่ายฝึกมวยใต้ดิน เยี่ยเทียนกำลังโทรศัพท์หามาลาไกย์
ซ่งเวยหลันรู้ว่าลูกชายมักจะทำเรื่องที่ไม่อาจพูดออกมาได้อยู่เสมอ ดังนั้นสัญญาณโทรศัพท์ที่ใช้เครื่องนี้จึงปลอดภัยอย่างมาก ต่อให้เป็นหน่วยข่าวกรองของรัสเซีย ก็ยังไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนใช้โทรศัพท์เครื่องนี้
เยี่ยเทียนพยักหน้า ตอบว่า “ดี ขอเพียงส่งตัวพวกเขากลับเข้าภายในประเทศได้ จู้เหวยเฟิงจะจัดการได้เอง เหล่าหม่า ผมจะโอนรางวัลเข้าบัญชีคุณภายหลังนะ”
“บอสส์ครับ ผมรู้ว่าต้องทำอย่างไร คุณระมัดระวังตัวเองเถอะ ทางรัสเซียเพิ่มกำลังพลไปยังไซบีเรียหลายกองพลแล้ว!”
หลังจากมาลาไกย์วางสาย ใบหน้าก็มีรอยยิ้มเจื่อน จากช่องทางของตัวเอง เขายังสามารถรู้ว่าพื้นที่นี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ว่ากันตามตรงยังไม่เห็นหนทางที่เยี่ยเทียนจะหนีรอดออกมาได้
มาลาไกย์รู้ว่าเยี่ยเทียนไม่ใช่คนธรรมดา แต่ต่อให้เก่งกาจสักแค่ไหน ก็ไม่น่าต้านทานกองทหารกว่าแสนนายได้ ยิ่งเทือกเขาไซบีเรียไม่สูงและไม่ชันเท่าไหร่นัก อีกทั้งเวลานี้ต้นไม้บนเขาล้วนเลี่ยนเตียนโล่ง เกรงว่าเยี่ยเทียนจะไม่มีแม้กระทั่งที่ซ่อนตัว
“มากันตั้งหลายกองพล บ้าเอ๊ย ให้เกียรติกันขนาดนั้นเชียว?”
เก็บโทรศัพท์เครื่องนั้นใส่กระเป๋าเป้แล้ว ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็มีรอยยิ้มเย็น แต่มุมปากกลับกระตุกเล็กน้อย ขมวดคิ้วเหลือบมองไปยังป่าด้านซ้าย แล้วนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น
ตั้งแต่เข้ามาในรัสเซีย เยี่ยเทียนยังไม่ได้หลับได้นอนถึงสองวันสองคืน อีกทั้งในช่วงเวลาสองวันนี้ เยี่ยเทียนยังกวาดล้างมาเฟียรัสเซีย จากนั้นยังเร่งรุดมาทำการสังหารหมู่ที่ไซบีเรียอีก ไม่ได้หยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว แต่เขาก็ยังไม่อาจใช้กายเนื้อเข้าต้านทานลูกกระสุนได้ ดังนั้นเขาจึงทุ่มเทกำลังทั้งหมดในการสังหารทุกครั้ง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ร่างกายของเยี่ยเทียนไม่เพียงใช้ปราณแท้จนร่อยหรอแทบหมดสิ้น กระทั่งจิตดั้งเดิมยังอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง เนื่องจากเขาเพิ่งจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้ไม่นาน จึงยังสั่งสมปราณแท้ได้ไม่สมบูรณ์นัก
หากว่าจุดหยินหยางตันเถียนพิเศษของเยี่ยเทียน ไม่ผลิตปราณแท้ได้เหนือกว่าคนทั่วไปที่ฝึกในระดับเซียนเทียน เกรงว่าร่างกายคงจะรับไม่ไหวไปนานแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เวลานี้เยี่ยเทียนก็มีใบหน้าอิดโรย จนอยากจะล้มตัวลงนอนหลับไปสักสามวันสามคืน
“หือ? มีสุนัขทหารด้วย? เป็นเรื่องล่ะ!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังคิดฟื้นฟูกำลังภายในอยู่นั้นเอง หูพลันได้ยินเสียงของสุนัขดังมา จึงรีบลุกขึ้นยืน เขารู้ว่าตนเองเจอปัญหาใหญ่แล้ว ตอนจากมาลืมกลบกลิ่นตนเอง จึงถูกสุนัขสะกดรอยตามมาได้
พอเปิดเผยร่างออกมาแล้ว เยี่ยเทียนก็พุ่งตัวสลับไปมาในป่าอย่างรวดเร็ว อาศัยญาณอันแข็งแกร่งหลบหลีกกองกำลังค้นหา เข้าไปยังภูเขาลึกด้านหลังค่ายฝึก ขอเพียงได้พักผ่อนสักหนึ่งวัน เยี่ยเทียนก็มีพลังพอจะสามารถหลบหนีออกจากรัสเซียได้
“บัดซบเอ๊ย เฮลิคอปเตอร์เหรอ?!”
ขณะที่ร่างของเยี่ยเทียนปรากฎตรงทางเข้าขึ้นเขา เหนือศรีษะเขาก็มีเสียงกระหึ่มของเฮลิคอปเตอร์ดังขึ้น เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป ก็พบกับเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธของรัสเซียบินวนอยู่เหนือหัว เยี่ยเทียนถึงขนาดรู้สึกถึงลมจากใบพัดที่โหมเข้ามาปะทะใบหน้า
“รายงาน เฮลิคอปเตอร์หมายเลขเจ็ดพบเป้าหมาย เขตแดนหมายเลขสามพบเป้าหมายต้องสงสัย!”
เฮลิคอปเตอร์ลำนั้นที่อยู่เหนือหัวเยี่ยเทียนมีคนนั่งสามคน นอกจากคนขับแล้ว ยังมีสายตรวจและพลแม่นปืน ในระยะความสูงยี่สิบถึงสามสิบเมตร เยี่ยเทียนจึงหลบสายตาของสายตรวจได้อย่างยากลำบาก
“จับตาทิศทางมุ่งหน้าของเขา ให้กองกำลังภาคพื้นดินมุ่งไปทันที!”
เสียงกระตือรือร้นของผู้การกินเนสส์ดังมาจากในวิทยุสื่อสาร
“ใช้ปืนบังคับให้เขาอยู่ในเขตภูเขา แต่อย่าให้ถึงตายเด็ดขาด ขณะเดียวกันก็ระวังตัวด้วย อย่าเข้าใกล้เขาเกินไป!”
แม้ว่าจะกำหนดบริเวณคร่าวๆ ของเยี่ยเทียนได้แล้ว แต่ผู้การกินเนสส์ยังคงสงสัยว่านี่เป็นการกระทำซึ่งมีการวางแผนเตรียมไว้ล่วงหน้า ไม่เช่นนั้นอาศัยคนเพียงคนเดียว คงยากที่จะกวาดล้างมาเฟียมอสโควและทำการสังหารหมู่ในไซบีเรียได้
“หมายเลขเจ็ดทราบแล้วเปลี่ยน หมายเลขเจ็ดทราบแล้วเปลี่ยน!”
พลขับส่งเสียงตอบรับ หันหน้าไปพูดว่า “ถึงตานายแล้วมิคาอิล เบื้องบนสั่งการมาว่า อย่ายิงเขาให้ถึงตาย แต่สามารถยิงขาทั้งสองข้างของเขาได้ คนผู้นั้นวิ่งได้รวดเร็วมาก อย่างกับลิงไม่มีผิด!”
พลขับไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของผู้การกินเนสส์เท่าไหร่นัก ในสายตาของเขา คนที่อยู่บนพื้นนั่นไม่ต่างจากหมูขึ้นเขียง นับตั้งแต่ต้นศตวรรษก่อนที่มีการคิดค้นเครื่องบิน การรบทางอากาศก็มีอภิสิทธิ์เหนือกว่ามาตลอด ผู้ครอบครองผืนฟ้าจึงได้ครอบครองแผ่นดิน
“ยาคอฟ แกคงไม่กลัวบินชนต้นไม้หรอกใช่ไหม? ขับต่ำลงไปอีกหน่อย ขืนฉันยิงตอนนี้ ได้ทำเขาตัวขาดสองท่อนแน่!”
พอได้ยินคำพูดของพลขับแล้ว มิคาอิลก็เลียริมฝีปาก นำแผงกระสุนสีเหลืองส้มใส่เข้าไปในปืนกล นิ้วมือกดลงแผ่วเบา เกิดเป็นเสียงดังตามมา “ปังๆๆ” ฝุ่นดินด้านหลังเยี่ยเทียนพลันฟุ้งตลบอบอวลขึ้นมา
“มิคาอิล เบื้องบนมีคำสั่ง ว่าห้ามยิงเขาตาย!”
ยาคอฟบ่นพึมพำออกมาอย่างไม่พอใจ แล้วลดความสูงของเฮลิคอปเตอร์ต่ำลงอีก จนแทบจะแตะถูกยอดพุ่มไม้บนพื้นดิน ดีว่าช่วงนี้ต้นไม้ยังไม่งอกงาม จึงไม่ส่งผลต่อวิสัยทัศน์ของเขา
“เฮ้ย ไอ้หมอนั่นมันทำอะไรน่ะ มันเป็นลิงจริงๆ หรือไง?”
ขณะที่มิคาอิลขยับปลายกระบอกปืน เตรียมเล็งไปที่ขาของเยี่ยเทียนอยู่นั้น ทันใดนั้นเขาก็พบว่า คนที่กำลังวิ่งอยู่ จู่ๆ ก็ระเห็จขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ยืนอยู่บนยอดไม้ได้อย่างสบายๆ
ความสูงระดับนี้ เทียบเคียงได้ พอๆ กับเฮลิคอปเตอร์ นายทหารสามคนที่อยู่ข้างบน จึงสามารถเห็นใบหน้าของชาวตะวันตกได้อย่างชัดเจน
ตอนที่ 761 งงงัน
“พระเจ้า หรือว่ามันเป็นลิงแปลงกายมาจริงๆ?”
เห็นเยี่ยเทียนปีนขึ้นต้นไม้อย่างคล่องแคล่วแบบนั้น ทั้งสามคนซึ่งอยู่บนเฮลิคอปเตอร์สูงจากพื้นดินเพียงยี่สิบเมตรถึงกับตกตะลึงตาค้าง
เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ไม่กี่นาที เยี่ยเทียนที่เมื่อครู่ยังอยู่ใต้ต้นไม้ กลับปีนขึ้นไปยังด้านบนต้นไม้ใหญ่สูงกว่ายี่สิบเมตรได้ มิคาอิลถึงกับลืมเล็งปากกระบอกปืนไปทางเยี่ยเทียน
“มิคาอิล เร็วเข้า สอยมันให้ร่วง!”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จู่ๆ พลขับเฮลิคอปเตอร์ยาคอฟก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมา ตอนปฏิบัติการครั้งที่แล้วเขาเกือบชนต้นไม้ เคยมีลางสังหรณ์ไม่ดีแบบนี้ จึงเผลอตะคอกใส่คู่หู
“ยาคอฟ เบื้องบนสั่งการให้จับเป็นมันไม่ใช่เรอะ?” มิคาอิลยังไม่รู้สึกถึงอันตรายที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็หันปากกระบอกปืนเล็งไปทางคนที่อยู่บนต้นไม้โดยสัญชาตญาณ
“เลิกพูดเหลวไหลสักที ยิงมันเร็วเข้า!” ยาคอฟไม่มีเวลาอธิบาย เพราะคนที่สายตาไวอย่างเขา เห็นคนที่ยืนอยู่บนยอดต้นไม้ ถืออะไรบางอย่างอยู่ในมือ
“วางใจเถอะ ฉันจะทำให้มันรู้ว่าต่อให้เก่งแค่ไหน มันก็ยังเป็นแค่ลิง!”
ใบหน้าของมิคาอิลมีรอยยิ้มเหี้ยมโหด นิ้วมือขวาวางลงบนไกปืน ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะลั่นไก กิ่งไม้ขนาดเท่าลำแขนก็ถูกขว้างมาจากมือเยี่ยเทียน เสียง “ตึง” ดังขึ้น กระจกด้านหน้าของเฮลิคอปเตอร์ก็ถูกกระแทกแตกออก
หลังจากกระแทกกระจกเฮลิคอปเตอร์จนแตกแล้ว กิ่งไม้ท่อนนั้นยังไม่หยุดการเคลื่อนไหว แต่พุ่งใส่หน้าอกของยาคอฟราวกับลูกธนู ทะลุผ่านร่างกายของเขาให้ตรึงติดอยู่กับที่นั่ง
“ปังๆ…ปังๆๆ!”
ขณะที่กิ่งไม้กระแทกกระจกเฮลิคอปเตอร์แตก มิคาอิลเองก็ลั่นไกปืนกลหนัก ทว่าการตายอย่างกะทันหันของยาคอฟ ทำให้เฮลิคอปเตอร์หมุนคว้างในอากาศ แนวกระสุนจึงไม่รู้ว่ายิงออกไปทางไหน
เดิมทีระดับการบินของเฮลิคอปเตอร์ลำนี้ต่ำมากจนแทบแตะยอดต้นไม้ ตอนนี้ยาคอฟเสียชีวิตลง เฮลิคอปเตอร์จึงร่วงลงสู่พื้นทันที ใบพัดกระทบถูกต้นไม้จนแตกหัก พุ่งชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่สูงกว่ายี่สิบเมตรต้นหนึ่ง
“บรึม!” เสียงระเบิดดังกึกก้อง พร้อมกับลูกไฟลุกโชนตรงทางขึ้นเขา เฮลิคอปเตอร์ลำนั้นกลายเป็นลูกเพลิง น้ำมันที่รั่วออกมาจุดชนวนให้ทั้งป่าเกิดไฟลุกท่วมครั้งใหญ่ เหล่าทหารราบจากทุกทิศทุกทางที่กำลังเร่งรุดมาที่จุดนี้ ล้วนหยุดฝีเท้าลงด้วยสีหน้าตะลึงงัน
……
“มิน่าล่ะนักพรตพวกนั้นถึงได้หลบหนีไปอยู่ในภูเขาลึก ที่แท้นอกจากโลกภายนอกจะขาดแคลนพลังปราณแล้ว พลังทำลายล้างของอาวุธสงครามปัจจุบันยังไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกวิชาสามารถต้านทาน นับว่าเราประมาทไปจริงๆ!”
ภายในถ้ำเล็กซึ่งอยู่ห่างจากค่ายฝึกไปสี่สิบกิโลเมตรกว่า เยี่ยเทียนที่มีใบหน้าดำมะเมื่อม เสื้อผ้าขาดวิ่น ต้นแขนซ้ายเปรอะไปด้วยแผลเหวอะ ฉีกออกเป็นสองฝั่งราวกับปากปลา
ขนาดกระสุนปืนกลยังสำแดงพลังรุนแรงขนาดนี้ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นปืนยิงจรวดที่มีกำลังทำลายล้างสูงขึ้น หรือจรวดนำวิถีล่ะก็ อย่าว่าแต่ฝึกฝนถึงระดับเซียนเทียนเลย เกรงว่าต่อให้เป็นเทพเซียนบรรลุจินตัน ก็ยังต้องยอมล่าถอย
แน่นอนว่า เยี่ยเทียนเพียงแต่คาดเดาเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่าหลังจากเข้าสู่ระดับจินตันแล้ว ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปในสภาพไหน แต่ตราบใดที่ยังคงมีเลือดเนื้อ ก็คงไม่กล้าถูกโจมตีด้วยอาวุธหนักอย่างแน่นอน
ยื่นมือไปหยิบขวดดินเผาใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ แล้วเยี่ยเทียนก็กินยาเม็ดที่โก่วซินเจียปรุงให้สามเม็ดในครั้งเดียว ใช้พลังทั้งหมดที่หลงเหลืออยู่ในร่าง สั่นสะเทือนหินที่ปากทางเข้าถ้ำให้หล่นลงมา เพื่อกลบทางเข้าถ้ำซึ่งเดิมทีก็ไม่ใหญ่นักจนมิด
หลังจากทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ เยี่ยเทียนก็สูดหายใจเข้าลึก นำลมหายใจเข้าสู่ปราณภายในร่าง นั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำ
เวลานี้สภาพของเขาย่ำแย่อย่างหนัก ไม่เพียงแต่ปราณแท้ร่อยหรอจนเกือบหมด สติสัมปชัญญะเองก็ยิ่งอ่อนล้าสิ้นแรง กระทั่งปลดปล่อยจิตดั้งเดิมเพื่อตรวจตราสถานการณ์รอบด้านยังทำไม่ได้ ศึกหนักติดต่อกันหลายวันมานี้ ทำให้เขาแทบจะเป็นตะเกียงที่ไร้ซึ่งน้ำมัน
เยี่ยเทียนนั่งทำสมาธิขั้นล้ำลึกอยู่ภายในถ้ำ เนื้อตัวราวกับต้นไม้ยืนต้นตาย ไม่มีสัญญาณชีวิตใดๆ แต่ว่าพลังปราณอันอุดมสมบูรณ์ภายในภูเขา กลับไหลรวมเข้ามายังถ้ำนี้ โดยเล็ดลอดเข้ามาทางรอยแยกของเศษกรวดหิน แล้วค่อยๆ รินไหลเข้าสู่ผิวหนังเยี่ยเทียนทีละน้อย
จุดหยินหยางตันเถียนสองจุดภายในร่างกายของเยี่ยเทียนเองก็เริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว ปราณแท้ละเอียดค่อยๆ ชุ่มชื้นขึ้นทีละน้อยราวกับฝนในฤดูใบไม้ผลิหลังหน้าแล้ง หล่อเลี้ยงร่างกายของเยี่ยเทียนซึ่งแทบจะเหือดแห้งให้ชุ่มฉ่ำ
หลังจากปราณแท้ค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมาทีละน้อย บาดแผลที่ต้นแขนซ้ายของเยี่ยเทียนก็สมานเข้าหากันอย่างรวดเร็วถึงขั้นเห็นได้ด้วยตาเปล่า
หากฝึกฝนถึงขั้นระดับเยี่ยเทียน จะไม่เพียงแต่เป็นการพัฒนาสมองฝึกฝนกำลังจิต แต่ทุกเซลล์ภายในร่างกายล้วนวิวัฒนาการเข้าสู่ความสมบูรณ์แบบ ถึงแม้พวกมันจะได้รับบาดเจ็บ แต่พลังในการฟื้นฟูก็ยังว่องไวกว่าคนทั่วไปหลายสิบหรือหลายร้อยเท่า
เยี่ยเทียนในเวลานี้ จิตท่องไปนอกโลก ใจไร้ความยินดียินร้าย ไร้โทสะไร้โกรธา รวมพลังที่จุดหนึ่ง เหลือเพียงปราณแท้หลั่งไหลอยู่ในร่างกาย ไร้ซึ่งสัญลักษณ์แห่งชีวิตแม้เพียงเศษเสี้ยว
เสียงเห่าของสุนัขดังขึ้นจากนอกถ้ำที่เยี่ยเทียนซ่อนตัวอยู่ แต่ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสุนัข ก็ไม่สนใจจุดที่ถูกเศษหินกลบทับ ในสายตาของพวกเขา รอยแยกตรงนั้นมีเพียงแต่หนูที่สามารถมุดผ่าน ไม่มีทางที่มนุษย์จะหลบซ่อนตัวได้อย่างแน่นอน
แต่พวกเขาทุกคนไม่รู้ว่า ฝ่ายตรงข้ามที่ตนเองกำลังตามล่าอยู่ อยู่ห่างจากพวกเขาไปแค่คืบเท่านั้น
เวลาผ่านไป เพียงพริบตาเดียววันหนึ่งก็ผ่านไป การไล่ล่าของกองทัพมหาศาลนับแสน กลับไม่เจอผลลัพธ์ใดๆ คนที่จู่ๆ ก็ปรากฎตัว ราวกับสลายตัวไปจากโลกใบนี้ โดยปราศจากหนทางเสาะหาร่องรอย
ห่างจากค่ายฝึกมวยใต้ดินไปสามกิโลเมตร มีกองบัญชาการชั่วคราวของผู้การกินเนสส์ตั้งอยู่ แม้ว่าสภาพแวดล้อมของที่นี่จะย่ำแย่กว่าค่ายฝึกมาก แต่พวกผู้การกินเนสส์ก็ไม่อยากไปอยู่ที่นั่น เพียงแค่เห็นภาพจากรูปถ่ายเพียงอย่างเดียว ก็พอจะทำให้พวกเขาไม่อยากอาหารไปอีกหลายวัน
ที่ปรึกษาคนหนึ่งก้าวเข้ามาภายในกองบัญชาการอย่างรวดเร็ว กล่าวว่า “ผู้การครับ พบกล่องดำแล้ว ภายในมีภาพที่บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้นเอาไว้!”
“เร็วเข้า เอาออกมาดู!”
ผู้การกินเนสส์ได้ยินก็ตื่นตัวขึ้นมา ปฎิบัติการจากกองบัญชาการของเขาไม่มีความคืบหน้าใดๆ แถมยังสูญเสียเฮลิคอปเตอร์ไปอีกหนึ่งลำ ตอนที่ทางวังเครมลินโทรศัพท์มา ยังแสดงออกถึงความไม่พอใจผ่านทางสายโทรศัพท์
“คน…คนผู้นี้ทำได้ยังไงกัน?”
เมื่อได้เห็นภาพจากมุมส่วนหัวเครื่องทั้งสองด้านที่ถ่ายออกมาแล้ว เหล่านายพลทั้งหลายที่อยู่ภายในกองบัญชาการต่างตกตะลึงตาค้าง กิ่งไม้แห้งที่ถูกขว้างออกมานั่น เสียบเข้าไปภายในตัวนักบินราวกับลูกธนู จนทุกคนต่างรู้สึกหวาดเสียวอยู่ภายใน
“ชาวตะวันตกเหรอ?”
ผู้การกินเนสส์กลับพุ่งความสนใจไปยังใบหน้าของชายคนนั้น กล้องถ่ายภาพทางอากาศถ่ายภาพได้ชัดเจนอย่างที่สุด ฉายภาพใบหน้าสันจมูกโด่งตาสีฟ้าลงบนจออย่างชัดเจน แต่กลับไม่ใช่ใบหน้าที่ปรากฎในการสังหารหมู่ที่มอสโควครั้งนั้น
ความจริงเยี่ยเทียนก็อยากจะเปลี่ยนใบหน้ากลับไปเป็นรูดอล์ฟอีกครั้ง เพียงแต่ตอนนั้นปราณแท้ภายในร่างกายของเขาถูกใช้จนแทบจะหมดสิ้นแล้ว จึงไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าอย่างประณีตนัก สามารถเปลี่ยนไปเป็นสภาพนี้ได้ก็กินแรงมากพอดู
หลังจากจ้องบนหน้าจอเป็นเวลาสิบนาทีกว่าๆ ผู้การกินเนสส์ก็พูดขึ้น “แสกนภาพคนผู้นี้ออกมา แล้วส่งไปทางสำนักงานใหญ่ทันที เปรียบเทียบกับข้อมูลของคนทั้งโลก จะต้องสืบค้นสถานภาพของคนผู้นี้ออกมาให้ได้!”
รูปลักษณ์ของคนแปลกหน้าคนนี้ ทำให้ผู้การกินเนสส์ต้องพลิกข้อสันนิษฐานก่อนหน้าของตนเอง หากไม่ใช่คนตาบอด ใครๆ ต่างก็สามารถดูออกได้ว่า คนที่อยู่ในภาพถ่ายนี้ ต้องไม่ใช่ชาวจีนอย่างแน่นอน และนั่นยิ่งทำให้เรื่องราวทุกอย่างกลับกลายเป็นวกวนขึ้นไปอีก
“ผู้การครับ รึว่านี่จะเป็น ยุโรปหรืออเมริกา เจตนาตอบโต้การกระทำของพวกเรา?”
นายทหารส่วนใหญ่ภายในกระโจมล้วนเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูง และต่างเคยผ่านช่วงเวลาสงครามเย็นระหว่างโซเวียตกับอเมริกา พวกเขาคิดถึงจุดนี้ขึ้นมาพร้อมกันโดยบังเอิญ ถึงแม้โซเวียตในอดีตจะสูญสิ้นไปแล้ว แต่ความคิดที่สืบทอดต่อกันมากลับไม่ถูกปรับเปลี่ยนง่ายดายเช่นนั้น
“ผมจะไปรายงานท่านประธานาธิบดีเดี๋ยวนี้ พวกคุณเร่งผลักดันหน่วยทหาร ให้พลิกแผ่นดินทุกตารางนิ้ว ผมไม่เชื่อ หรอกว่าเขาจะหายตัวไปได้!”
ถ้าหากนายพลลอฟสกี้ตายด้วยน้ำมือของชาวตะวันตกจริง แสดงว่าเบื้องหลังจะต้องแอบซ่อนแผนการยิ่งใหญ่ไว้อย่างแน่นอน ไม่แน่อาจเป็นการเริ่มต้นแห่งสงครามโลกครั้งที่สามก็เป็นได้
ยิ่งคิดวิเคราะห์แล้วผู้การกินเนสส์ก็ยิ่งหวาดกลัว หุนหันออกจากกองบัญชาการ เพื่อไปรายงานสถานการณ์ต่อประธานาธิบดี เหตุเพราะในนาทีนี้จะหาตัวคนร้ายพบหรือไม่ ล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดอีกต่อไป
“เขาเป็นใคร ใครเป็นคนพามา?”
ใช้เวลากว่ายี่สิบนาที ผู้การกินเนสส์จึงรายงานข้อสันนิษฐานและบทวิเคราะห์ของตนเองให้ประธานาธิบดีฟังได้โดยละเอียด ตอนที่เขากลับเข้ามาในกองบัญชาการอีกครั้ง ก็พบว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาในกระโจมขนาดมหึมาเพิ่มอีกหนึ่งคน
ร่างนั้นเล็กเตี้ย ใบหน้าเต็มไปด้วยตำหนิ ซีดขาวไร้สีเลือด สวมใส่ชุดทักซิโด ยืนอยู่ภายในกองบัญชาการที่เต็มไปด้วยเครื่องแบบทหาร ดูแปลกแยกอย่างเห็นได้ชัด
“ผู้การครับ เมื่อครู่ที่ท่านคุยโทรศัพท์อยู่ ผมจะแนะนำให้รู้จัก…”
นายพลวิคเตอร์ลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “เขาชื่อว่าเคิร์ท เป็นท่านนายพลเซอร์เกเยฟส่งมา สามารถช่วยเหลือพวกเราค้นหาคนร้ายผู้ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น!”
“ชาวอังกฤษหรือ?” ผู้การกินเนสส์ได้ยินแล้วจึงขมวดคิ้วเข้าหากัน ปีนี้เขาอายุสี่สิบสามปี นับเป็นช่วงเวลาถึงยี่สิบสามปี ที่ทำสงครามชิงไหวชิงพริบกับอเมริกาและอังกฤษ จึงคุ้นเคยกับสถานการณ์เป็นอย่างดี แต่ไม่เคยได้ยินชื่อเคิร์ทมาก่อนเลย
“นายพลวิคเตอร์ เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของพวกเรา ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามายุ่งเกี่ยว!”
ผู้การกินเนสส์จ้องมองเขม็งมาทางนายพลวิคเตอร์ ข่าวการตายของนายพลลอฟสกี้ยังไม่เผยแพร่ออกไป แล้วจะอนุญาตให้ประเทศอื่นมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน
วิคเตอร์ส่ายหน้า ตอบว่า “นี่เป็นคำสั่งของท่านนายพลเซอร์เกเยฟ ผมรู้ว่าแค่ต้องทำตามเท่านั้น”
ในฐานะจอมทัพหนึ่งเดียวของสหพันธรัฐรัสเซีย เซอร์เกเยฟจึงมียศสูงลิ่วในกองทัพ เมื่อมีเขาเป็นเกราะกำบัง นายพลวิคเตอร์จึงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าผู้การกินเนสส์
ตอนที่ 762 ถอนรากถอนโคน
“คุณ…”
ผู้การกินเนสส์คิดไม่ถึงว่า นายพลวิคเตอร์ที่เกรงใจเขามาตลอด กลับแข็งกร้าวขึ้นมาในเรื่องนี้ อีกทั้งนายพลคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับความคิดของเขา
“ผมมีเหตุผลจะสงสัยว่าเขาเป็นหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ เพื่อความปลอดภัยของประเทศชาติ เขาจะเข้าร่วมภารกิจนี้ไม่ได้!”
ผู้การกินเนสส์หน้านิ่ง เขาคิดเพื่อผลประโยชน์ของชาติจริงๆ นายพลลอฟสกี้มีสถานะสูงส่งในวงการทหารรัสเซีย การตายของเขาอาจก่อให้เกิดผลต่อเนื่องตามมาภายหลัง ก่อนจะสืบสวนหาสาเหตุได้อย่างชัดเจน จึงไม่เหมาะสมให้คนนอกเข้ามาร่วมในภารกิจ
“คุณครับ ผมว่าคุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ใช่ชาวอังกฤษแต่เป็นชาวรัสเซีย”
เคิร์ทเลียริมฝีปากแดงก่ำ หยิบบัตรประจำตัวออกมาจากกระเป๋าเสื้อ พูดว่า “ผมเป็นสหายเก่าของนายพลเซอร์เกเยฟ มาที่นี่เพียงเพื่อช่วยเหลือเขาค้นหาผู้ร้ายก่อคดีโหดในรัสเซียเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น ผมจะไม่ถามเกินเลย”
เป็นอย่างที่ผู้การกินเนสส์คิด เคิร์ทไม่รู้ข่าวการตายของนายพลลอฟสกี้ เขามาที่นี่เพียงเพราะรับคำสั่งจากแดร็กคูล่า ให้ฉีกหน้ากากคนที่ใส่ร้ายรูดอล์ฟเท่านั้น
“คุณเป็นชาวรัสเซียเหรอ?”
ผู้การกินเนสส์ได้ยินเข้าก็ตกตะลึง ชายชราผอมแห้งคนนี้ดูอย่างไรแล้ว ก็ไม่มีสายเลือดชาวรัสเซียสักนิด ต้องสืบพันธุ์มากี่รุ่นต่อกี่รุ่นจึงจะสามารถให้กำเนิดคนอย่างเขา?
เคิร์ทพยักหน้า ตอบว่า “ใช่แล้วครับ ผมได้สัญชาติโซเวียตเก่าเมื่อปี 1942 และตามรัฐธรรมนูญรัสเซีย ผมควรจะได้รับสถานะของประเทศนี้”
“จริงหรือเนี่ย…”
ผู้การกินเนสส์พลิกดูบัตรประจำตัวใบนั้น แต่กลับไม่พบพิรุธใดๆ เขาทำงานด้านหน่วยข่าวกรอง จึงย่อมแยกแยะบัตรประจำตัวของแท้และปลอมได้เพียงแรกเห็น
“ตกลง คุณเคิร์ท งั้นผมอยากรู้ว่า คุณจะช่วยพวกเราได้อย่างไร?”
ส่งบัตรประจำตัวให้แก่ฝ่ายตรงข้ามแล้ว ผู้การกินเนสส์ก็มองไปยังเคิร์ท กองทัพใหญ่หลายหมื่นนายยังไม่อาจเสาะหาร่องรอยของฝ่ายศัตรูได้ ผู้การกินเนสส์จึงไม่รู้สึกว่าคนผู้นี้จะมีประโยชน์ตรงไหน
“ผมสามารถตามหาคนผู้นี้!”
เคิร์ทยิ้มกริ่ม เผยให้เห็นฟันขาวเรียงยาวเป็นแถว แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด คนที่เห็นจึงอดหนาวยะเยือกไปถึงก้นบึ้งหัวใจ
……
“หือ? จิตใจไม่สงบ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?”
ภายในถ้ำด้านนอกห่างจากค่ายฝึกมวยใต้ดินไปสี่สิบกิโลเมตร ร่างกายราวกับต้นไม้แห้งเหี่ยวของเยี่ยเทียน ก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันใด ลำแสงบริสุทธิ์สองเส้นส่องทะลุเข้ามาในถ้ำอันมืดมิด แต่เขากลับลืมตาขึ้น
ด้วยความสามารถระดับเยี่ยเทียน สัญชาตญาณการระวังภัยนอกกาย จึงแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปร้อยเท่า เมื่อครู่นี้ลางสังหรณ์บอกว่าจะมีอันตราย ฉุดเขาให้ฟื้นจากสภาวะหลับลึกขึ้นมา
“ถ้ำถูกปิดตายแล้ว แถมเรายังวางค่ายกลตัดลมปราณเอาไว้ด้วย ยังมีคนตามตัวเราเจออีกเหรอ?”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะทำสมาธิ เขาใช้มือวางค่ายกลง่ายๆ ไว้รอบตัว ถึงแม้จะไม่มีอุปกรณ์อะไร แต่ก็เพียงพอจะปกปิดลมปราณของเขา เยี่ยเทียนจึงนึกไม่ถึงว่า จะยังมีคนตามตัวเขาพบ
“ขอเพียงเราฟื้นฟูกำลังได้ห้าส่วน ต่อให้มาทั้งกองทัพจะสักเท่าไหร่กัน?”
เยี่ยเทียนเคลื่อนจิต ทันใดนั้นญาณก็ท่องเข้าไปภายในร่างกาย ใบหน้ามีอารมณ์ยินดีขึ้นมา “ทำลายแต่ฟื้นขึ้นภายหลัง ดูท่าแม้ว่าคราวนี้จะอับจนหนทาง แต่พลังยุทธ์กลับพัฒนาขึ้นไม่น้อย!”
ก่อนทำสมาธิ เยี่ยเทียนเพียงคิดจะฟื้นฟูร่างกาย แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า ภายในช่วงเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งวัน พลังในร่างกายกลับฟื้นฟูถึงเจ็ดแปดส่วน อีกทั้งปราณแท้ซึ่งหลั่งไหลภายในร่างกายราวสายน้ำ ดูเหมือนจะเข้มข้นกว่าแต่ก่อนขึ้นเล็กน้อย
“เอ๋ คนผู้นี้ช่างแปลกจริง!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังรู้สึกยินดีอยู่นั้น เขากลับสัมผัสได้ว่า มีปราณแปลกประหลาดสายหนึ่งส่งมาจากที่ไกล ภายในลมปราณนี้ห่อหุ้มพลังชีวิตเอาไว้ ซึ่งเยี่ยเทียนไม่เคยพบเห็นมาก่อน เขากล้าตัดสินได้ว่า ไม่ได้มาจากเหล่านักพรตเต๋าอย่างแน่นอน
สองตาเปิดขึ้นเล็กน้อย ลำแสงสีขาวถูกปล่อยออกมาจากจุดอิ้นถัง เพียงพริบตาก็ทะลุออกจากถ้ำ สูงขึ้นไปนอกท้องฟ้ากว่าหลายสิบเมตร เหตุการณ์โดยรอบรัศมีสิบกว่ากิโลเมตรปรากฎสู่สายตาของเยี่ยเทียน
“พุ่งเป้ามาที่เราจริงๆ เรอะ? ชาวตะวันตกคนนี้มีฝีมือจริงๆ !”
เยี่ยเทียนพบว่า ห่างจากถ้ำที่เขาซ่อนตัวอยู่ไปเจ็ดแปดกิโลเมตร ชายชราผอมแห้งสวมชุดดำคนหนึ่ง กำลังเคลื่อนที่มายังถ้ำอย่างรวดเร็ว
ด้านหลังของชายชราผู้นั้น ติดตามมาด้วยกองทหารหนาแน่น จิตสังหารแรงกล้าแผ่ออกมาจากภายใน ขนาดที่จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนบนท้องฟ้า ยังผงะด้วยความยำเกรง จากจิตสังหารระลอกนั้นถึงหลายวินาที
จิตดั้งเดิมเกิดหลังจากจิตวิญญาณพัฒนาเปลี่ยนรูป แม้ว่าพลังจิตวิญญาณของแต่ละคนมีทั้งอ่อนแอและแข็งแกร่ง แต่เมื่อผู้คนจำนวนหลายหมื่นมารวมกันแล้ว จะน่าหวาดหวั่นอย่างมาก เช่นเดียวกับเวลาทำศึก กองทัพโบราณประจันหน้ากัน จิตสังหารจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า จนกระทั่งนกกาล้วนไม่กล้าบินผ่าน
เมื่อจิตสังหารระลอกนี้แผ่มา เยี่ยเทียนเองจึงได้แต่ต้องยอมถอยร่น เคลื่อนจิตย้อนกลับไปยังกายเนื้อ แต่ว่าเวลานี้เคิร์ทที่วิ่งสลับไปมาบนเขาเจตนาเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้า ใบหน้าพลันตึงเครียดขึ้นทันที
เส้นทางบนเขาเจ็ดถึงแปดกิโลเมตร ถ้าหากเป็นคนธรรมดาเดินเท้า เกรงว่าอย่างน้อยต้องใช้เวลาถึงสองสามชั่วโมง แต่เคิร์ทที่ดูอ่อนล้าชราภาพ ใช้เวลาสั้นๆ เพียงครึ่งชั่วโมงกว่า ก็มาถึงด้านหน้าถ้ำแล้ว
ด้านหลังเคิร์ท มีชายฉกรรจ์ร่างกายบึกบึนสิบกว่าคนยืนเรียงกันเป็นรูปพัด พวกเขาก็คือราชาแห่งมวยใต้ดินในอนาคตที่มาจากค่ายฝึก หลังจากผ่านการฝึกยาวนานในค่ายฝึกเป็นเวลาห้าปีแล้ว พวกเขาก็ได้มาอยู่ในวินาทีสุดยอดของชีวิต
เคิร์ทมองไปยังปากถ้ำที่ถูกฝุ่นหินและหญ้าแห้งกลบทับ พูดว่า “อยู่ตรงนั้นแหละ ระเบิดมันออกเลย!”
ในฐานะสิ่งมีชีวิตจากชนเผ่าแวมไพร์ เคิร์ทจึงมีประสาทสัมผัสต่อเลือดเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป ประสาทการดมกลิ่นนี้ฉับไวยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก
ในที่เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ระเบิด เคิร์ทแยกแยะกลิ่นคาวเลือดของคนทั้งสี่ออกได้ สามคนในนั้นตายไปก่อนแล้ว และตอนนี้กลิ่นที่ลอยออกมาจากในถ้ำ ก็คือของคนที่สี่นั่นเอง
“ข้างในนี้มีคนอยู่จริงๆ เหรอ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเคิร์ทแล้ว ชายชาวยุโรปคนหนึ่งซึ่งแบกปืนยิงรถถังไว้บนหลังก้าวเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว กดไหล่ลง ถือเครื่องยิงจรวดไว้ในมือ ของที่หนักหลายสิบกิโล กลับเบาเสมือนไร้น้ำหนักในมือเขา
“ถ้ายังไง คุณไปขุดปากถ้ำออกดูก่อนไหม?”
เคิร์ทมองคนผู้นั้นเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม เช่นเดียวกับที่เยี่ยเทียนสามารถสัมผัสถึงปราณของเขา เคิร์ทเองก็สามารถสัมผัสได้ว่า ร่างที่ซ่อนตัวอยู่ภายในถ้ำมีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ถ้าหากไม่มีราชามวยใต้ดินเลือดลมแข็งแรงสิบกว่าคนนี้ เขาก็คงไม่กล้าเผชิญหน้ากับเยี่ยเทียนโดยลำพัง
เห็นคนเหล่านี้อยู่ตรงหน้า เคิร์ทยังอดเลียริมฝีปากไม่ได้ มนุษย์เพียงนึกว่าแวมไพร์ดูดเลือดโดยสัญชาติญาณ ด้วยเหตุนั้นจึงขนานนามพวกเขาว่าเป็นผีดูดเลือด เมื่อถูกคนเห็นว่าเป็นพวกนอกคอก จึงได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ภายในความมืด
แต่ความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้น แวมไพร์ไม่ชอบแสงสว่าง แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขามีสภาพร่างกายเย็นเยียบ เคยชินการใช้ชีวิตในตอนกลางคืน เวลาผ่านไปนานจึงถูกคนเข้าใจผิด แต่ในความเป็นจริงถึงแวมไพร์ปรากฎตัวอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ก็ไม่อาจเป็นอันตรายใดๆ
ส่วนเรื่องการดูดเลือด นั่นเป็นเพราะเลือดของทุกคนที่อยู่ภายในร่างกาย ล้วนกักเก็บพลังปราณบริสุทธิ์ไว้ชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถถูกแวมไพร์ดูดซับหลอมรวมกันได้
จากการดูดซับพลังปราณชนิดนี้ ทำให้เลือดเนื้อของสมาชิกแวมไพร์กลับกลายแข็งแกร่งขึ้น เพิ่มอายุขัยให้ยาวนาน เช่นเดียวกับที่ดวงจันทร์ยามค่ำคืนสามารถเปลี่ยนร่างคนให้กลายเป็นมนุษย์หมาป่า เพียงแต่ฝ่ายหนึ่งดูดซับแก่นพลังจากแสงจันทร์ยามค่ำคืน ส่วนอีกฝ่ายรับพลังงานจากเลือดมนุษย์
และยิ่งเป็นคนร่างกายแข็งแรงเท่าไหร่ พลังปราณที่กักเก็บอยู่ภายในเลือดจะยิ่งบริสุทธิ์ขึ้น ดังนั้นในสายตาของเคิร์ท ราชามวยใต้ดินเหล่านี้ จึงเหมือนยาชูกำลังชั้นยอด ถ้าหากอยู่ที่อื่น เขาคงจะอดเฉลิมฉลองงานเลี้ยงโลหิตขึ้นไม่ได้
“ตามคำสั่งของท่านเถอะครับ!”
ถูกสายตาของเคิร์ทเหลือบมองบนร่าง ราชาแห่งมวยใต้ดินผู้โดดเด่นเหนือสมาชิกกว่าร้อยคนในค่ายฝึกปีเดียวกันยังหนาวสะท้านขึ้นมา เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกงูพิษจับจ้อง ใจไม่อยู่กับเนื้อตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า
นับตั้งแต่จบการฝึกในค่ายมวยใต้ดินอีกทั้งถูกขนานนามว่าเป็นราชาแห่งมวย ไม่มีใครที่ไม่พยศดุร้าย ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา ก่อนหน้านี้ที่ผู้การกินเนสส์ให้พวกเขาฟังคำสั่งจากเคิร์ท คนเหล่านี้ยังแสดงสีหน้าออกมาว่าไม่สบอารมณ์
แต่หลังจากคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา ถูกเคิร์ทใช้ฝ่ามือผอมแห้งตบกระเด็น ก็ไม่มีใครกล้าออกปากคัดค้านอีกต่อไป อย่างไรเสียแม้พวกเขาแต่ละคนจะเย่อหยิ่งจองหอง แต่ก็ยังยึดหลักเทิดทูนผู้แข็งแกร่งอยู่ดี
เคิร์ทออกคำสั่งหนึ่งครั้ง กลุ่มคนสิบกว่าคนนั้นล้วนถอยไปข้างหลังยี่สิบกว่าเมตร ระยะใกล้ขนาดนี้จึงไม่จำเป็นต้องเล็งแม้แต่น้อย หลังจากลั่นไก เสียงระเบิดกึกก้องก็ดังขึ้น เศษหินปลิวกระจายออกมาจากหน้าผา ฝุ่นควันลอยตลบ พื้นดินสนั่นหวั่นไหวในพริบตา
“หือ? ทำไมไม่มีคนอยู่ข้างในล่ะ?”
เศษฝุ่นหินที่ฟุ้งกระจายสามารถปิดบังวิสัยทัศน์ของคนทั่วไป แต่กลับไร้ความหมายต่อเคิร์ทโดยสิ้นเชิง เมื่อเศษหินตรงปากถ้ำถูกกำจัดออกไปแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที นั่นเป็นเพราะพลังชีวิตที่หลงเหลืออยู่ภายในถ้ำกลับสลายไปในเวลาเดียวกัน
ใจของเคิร์ทเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาอย่างฉับพลัน ร่างเตี้ยนั่นไม่ถอยแต่กลับก้าวไปข้างหน้า ทิ้งระยะห่างออกจากชายสิบกว่าคนที่อยู่ข้างหลัง และแทบในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังตามขึ้นมา
ร่างของราชามวยที่อยู่วงนอกสุดถูกโยนขึ้นสูงลิ่ว ช่วงเอวของเขาดูเหมือนจะถูกบิดจนรอบ ด้านหลังของศีรษะและส้นเท้าถูกหักเข้าหาแทบจะแนบติดกัน กระดูกสีขาวทิ่มแทงทะลุออกมานอกผิวหนังช่วงเอว
ขณะที่ร่างของคนผู้นั้นถูกโยนไป เงาร่างหนึ่งแทรกเข้ามายังใจกลางราชามวยสิบกว่าคนนั้นราวกับสายฟ้าแลบ ทันใดนั้นเสียงร้องโอดครวญก็ดังขึ้นทุกทิศทาง ราชามวยใต้ดินผู้หล่อหลอมกล้ามเนื้อแข็งแกร่งราวเหล็กไหลเหล่านั้น กลับไม่สามารถตอบโต้การเคลื่อนไหวของร่างนี้แม้เพียงหนเดียว
บางคนเห็นสบโอกาส จึงกดลั่นไกอาวุธในมือ แต่ว่าคนผู้นั้นกลับเคลื่อนไหวไร้ทิศทางราวกับปีศาจ ต่อให้ไม่กลัวว่าจะยิงพลาดถูกสหายร่วมรบ กระสุนก็ยังไม่สามารถเล็งถูกคนผู้นั้น
ผ่านไปหลายสิบวินาที เสียงร้องโหยหวนก็หยุดลงกะทันหัน เงาร่างของเยี่ยเทียนปรากฎขึ้นในใจกลางควันดินปืนและระเบิดที่ยังไม่ทันจางหาย
ตอนที่ 763 เคิร์ท
บรรดาราชามวยใต้ดินในอนาคตเหล่านี้ แม้จะได้ผ่านการฝึกมาอย่างหนักเหมือนปีศาจในนรกตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนอยู่ในสภาพที่พลังกายอยู่ในระดับสูงสุด เทียบกับแอนโทนี มาร์คัสที่ตายไปด้วยน้ำมือของเยี่ยเทียนแล้วก็ถือว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาต้องมาเผชิญกับเยี่ยเทียนที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว พละกำลังและความรวดเร็วที่ราชามวยในอนาคตเหล่านี้ภูมิใจนักหนา เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียนแล้ว กลับดูเหมือนเด็กน้อยมารำดาบให้ดู แม้จะมีแรงโจมตีเต็มเปี่ยม แต่ก็ไม่อาจทำอะไรเยี่ยเทียนได้
ระหว่างที่วนเวียนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านี้ เยี่ยเทียนมีสติแจ่มใสกว่าปกติ จิตของเขาแผ่คลุมไปรอบด้านในรัศมีประมาณหนึ่งร้อยเมตร ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวงรัศมีนี้ล้วนชัดเจนอยู่ในใจของเขา เสียงลมที่มาจากท้องฟ้า การไต่ของแมลงในพุ่มไม้ เสียงลมหายใจของคนสิบกว่าคน รวมถึงต้นหญ้าที่ถูกสายลมพัดไหว ต่างก็ไม่อาจหลบพ้นจิตรับรู้ของเยี่ยเทียนไปได้
เยี่ยเทียนในขณะนี้ได้เข้าสู่สภาพอันพิสดารอย่างหนึ่ง ร่างของเขาเป็นหนึ่งเดียวกับสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างสมบูรณ์ เหมือนกับว่าเสียงปืนและเสียงกรีดร้องที่ดังอยู่ไม่ขาดหูนั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเขาเลย
แต่ทุกๆ ครั้งที่เกิดความเคลื่อนไหวที่อาจจะเป็นภัยต่อเยี่ยเทียน เขาก็จะสามารถโต้ตอบได้ทันท่วงทีเสมอ เพราะความไม่กลมกลืนกันนั้นอาจจะไปทำลายสถานะของเยี่ยเทียนที่กำลังรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินได้
หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่สิบวินาที ในที่ว่างบริเวณหน้าถ้ำ ก็ไม่มีคนเป็นๆ เหลือรอดอยู่อีกเลยแม้แต่คนเดียว ราชามวยใต้ดินในอนาคตที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสิบสองคนต่างก็ถูกเยี่ยเทียนเข่นฆ่าไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับผู้ที่มีพลังฝีมือระดับเยี่ยเทียน ถ้าจะให้คนเหล่านี้มาจัดการเขา โดยไม่ได้ใช้อาวุธชนิดที่มีพลังทำลายล้างสูงจนกายเนื้อไม่อาจต้านทานได้ละก็ นับว่าแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างคุณภาพและปริมาณ ลองนึกถึงภาพ เด็กที่เพิ่งจะหัดเดินได้หนึ่งร้อยคนรวมกัน จะสร้างพลังข่มขู่ผู้ใหญ่ร่างกายกำยำสักคนหนึ่งได้สักขนาดไหน?
“ยังจะหลบอีกรึ? ออกมาซะ!” เยี่ยเทียนเงี่ยหูฟังเสียงแล้วปล่อยหมัดออกไปกลางอากาศว่างเปล่าตรงหน้า จนเกิดคลื่นแผ่ออกไปเป็นระลอก ร่างอันผอมแห้งของเคิร์ทจึงปรากฏออกมา
“แกเป็นใครกันแน่?”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูเหมือนชาวตะวันตกของเยี่ยเทียน เคิร์ทก็มีสีหน้าเคร่งเครียดมากกว่าเดิม ภาพเหตุการณ์ที่เยี่ยเทียนสังหารพวกราชามวยใต้ดินในอนาคตไปเมื่อครู่นั้น การกระทำดูคล้ายคลึงกับพวกมนุษย์หมาป่าของรัสเซียอยู่เหมือนกัน
ในโลกนี้ มีมนุษย์และสรรพสิ่งมากมายที่ซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางความมืด
สิ่งที่เรียกว่าสิ่งมีชีวิตในความมืดนั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือมนุษย์นั่นเอง เพียงแต่ร่างกายของคนเหล่านี้ได้เกิดปรากฏการณ์พิสดารขึ้น จึงส่งผลให้คนเหล่านี้มีความสามารถพิเศษบางอย่าง มนุษย์หมาป่าที่เคิร์ทนึกถึงนั้นก็เป็นกรณีเดียวกัน และนับว่ามีความคล้ายคลึงกับการอัญเชิญเทพมาสถิตร่างที่เยี่ยเทียนเคยพบเห็นมาอยู่บ้าง
แวมไพร์ก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตในความมืดเช่นกัน และยังเคยปกครองโลกใต้ดินของทางตะวันตกในบางยุคบางสมัยอีกด้วย
ก่อนสมัยยุคกลาง เนื่องจากผู้ที่เป็นแวมไพร์จะมีพลังพิเศษและอยู่ในร่างที่เป็นอมตะ จึงมักจะได้กลายเป็นผู้ปกครองแคว้น และยังต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจ สร้างความหวาดกลัวให้แก่คนทั่วไป
จนกระทั่งประมาณสมัยศตวรรษที่สิบสี่ ศาสนจักรนิกายคาทอลิกได้ตระหนักถึงการมีอยู่ของพวกแวมไพร์ จึงดำเนินการล่าสังหารเป็นการใหญ่ทันที แม้ว่าพวกแวมไพร์จะมีพลังพิเศษ แต่ไม่อาจต้านทานคนธรรมดานับร้อยนับพันในเวลาเดียวกันได้ ด้วยเหตุนี้การดำรงอยู่ของแวมไพร์จึงประสบวิกฤตครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์
เมื่อครั้งสงครามครูเสดนั้น ที่จริงแล้วก็เป็นสงครามระหว่างศาสนจักรของทางตะวันตกและพวกสิ่งมีชีวิตในความมืด ซึ่งสุดท้ายฝ่ายที่พ่ายแพ้ไปก็คือพวกสิ่งมีชีวิตในความมืด ดังนั้นพวกนี้จึงได้แต่ไปเร้นกายหลบซ่อน
เพื่อที่จะปรับตัวเข้ากับสถานการณ์อันเลวร้ายให้ได้ แวมไพร์หลายตระกูลในสมัยนั้นจึงจำเป็นต้องร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน โดยมีเจ็ดตระกูลร่วมกันก่อตั้งสมาคมขึ้นมา จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังนับว่าเป็นสมาคมที่มีขนาดใหญ่พอสมควร
ตอนที่สมาคมลับนี้ถูกก่อตั้งขึ้น ก็มีการตั้งกฎอันเคร่งครัดขึ้นหกประการ และกำหนดว่าสมาชิกแวมไพร์รุ่นหลังในสมาคมจะต้องเคารพกฎเหล่านี้ไปตลอดกาล
จุดประสงค์สูงสุดของกฎทั้งหมดนี้กำหนดว่า แวมไพร์จะต้องแฝงเร้นอยู่ในสังคมของมนุษย์ โดยห้ามเปิดเผยตัวตนโดยเด็ดขาด เพื่อหลีกเลี่ยงการนำไปสู่วิกฤตต่อการดำรงอยู่ของแวมไพร์ นี่จึงเป็นที่มาของข้อบังคับในการ ‘ปลีกตัวจากโลก’
แดร็กคูล่าก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมการประชุมสภาแห่งความมืดครั้งนั้น ด้วยเหตุนี้แม้ว่าเขาจะมีพลังอันแข็งแกร่งอยู่ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนเลย เพียงปกครองอาณาจักรธุรกิจอันยิ่งใหญ่โดยเร้นกายชักใยอยู่เบื้องหลัง
คนแบบเดียวกับแดร็กคูล่านี้ ที่จริงแล้วก็ยังมีอีกหลายคน อย่างพวกลักลอบค้ายาเสพติดที่โคลัมเบียและเม็กซิโก ก็มีอยู่จำนวนมากที่คอยรับคำสั่งจากคนเหล่านี้ ส่วนพวกมนุษย์หมาป่าก็เป็นตัวแทนของโลกด้านมืดแถบยุโรปตะวันตก รวมถึงในโลกใต้ดินของรัสเซียอีกด้วย
แต่สิ่งที่ทำให้เคิร์ทตกตะลึงสุดขีดคือ มนุษย์หมาป่านั้นแม้จะแข็งแกร่ง มีกายเนื้อที่ทรงพลังสูสีกับแวมไพร์ แต่ถ้าอยากจะมีพลังต่อสู้ในระดับสูงพอๆ กับเยี่ยเทียน ก็จะต้องทำการแปลงร่างเสียก่อน ในฐานะที่อยู่ด้านมืดเหมือนๆ กัน เคิร์ทจึงรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ไม่เพียงเท่านี้ เยี่ยเทียนซึ่งกำลังหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นยังทำให้เคิร์ทรู้สึกถึงอันตรายร้ายแรงบางอย่าง จนเขาถึงขั้นไม่กล้าเข้าไปดูดเลือดของพวกคนที่เพิ่งตายไปนั่นเลย สำหรับเขาแล้ว เลือดที่ยังไม่สูญเสียพลังชีวิตไปเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นอาหารบำรุงอย่างดีเลยทีเดียว
“แล้วแกล่ะเป็นใคร?”
เยี่ยเทียนพูดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันอย่างชัดเจน แต่ก็ยังไม่ได้ลงมือโจมตีชายชราที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ เพราะเขาสัมผัสได้ว่า บนร่างของชายคนนี้มีพลังงานพิสดารบางอย่างอยู่ ไม่ได้อ่อนแออย่างที่เห็นจากภายนอกเลย
“แกไม่รู้จักฉันเรอะ? ฉันชื่อเคิร์ท เป็นคนของท่านดยุกแดร็กคูล่า!”
เคิร์ทมีสีหน้าประหลาดใจ เขาติดตามท่านดยุกแดร็กคูล่ามาหนึ่งร้อยกว่าปีแล้ว กลุ่มผู้มีอิทธิพลด้านมืดในทวีปยุโรปแทบทั้งหมดต่างก็รู้จักเขากันทั้งนั้น แต่ดูจากสีหน้าของเยี่ยเทียนแล้วเห็นได้ชัดว่าไม่รู้จักเขาเลย และก็ดูไม่เหมือนกับเสแสร้งด้วย
“ดยุกแดร็กคูล่า? นี่แกนึกว่าตัวเองเล่นเป็นผีดูดเลือดอยู่รึไง?”
เยี่ยเทียนได้ยินคำตอบแล้วอึ้งไป จากนั้นก็เหยียดมุมปาก เขาจำได้ว่า ตัวเองเหมือนจะเคยได้ยินชื่อแบบนี้มาก่อนจากในหนังสยองขวัญเรื่องไหนสักเรื่อง โดยเฉพาะที่ชื่อแดร็กคูล่านั่น เหมือนจะเป็นผีดูดเลือดที่แข็งแกร่งมากเลยทีเดียว
“แวมไพร์ต่างหากล่ะ อย่าเรียกผีดูดเลือดสิ!”
พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น สีหน้าของเคิร์ทก็ขรึมลง ท่าทางฝ่ายนั้นจะไม่ใช่คนของสภาแห่งความมืดจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีทางกล้าใช้คำพูดแบบนี้ต่อหน้าแวมไพร์ที่มีศักดิ์เป็นถึงท่านเคานต์แบบนี้เด็ดขาด เพราะนั่นถือว่าเป็นการท้าทายต่อแวมไพร์ทั้งเผ่าพันธุ์เลยทีเดียว
“ช่างมันเถอะน่ะ เห็นฉันเป็นเด็กสามขวบรึไง?” เยี่ยเทียนสีหน้าเย็นชา “ไม่ว่าแกจะเป็นใคร ก็จงทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เสียเถอะ!”
แม้ว่าคนจีนจะชอบกล่าวกันอยู่บ่อยๆ ว่า ผู้ทรงศีลพึงมีความเมตตากรุณา แต่หลี่ซั่นหยวนผู้เป็นอาจารย์ของเยี่ยเทียนกลับสั่งสอนเขามาตั้งแต่เด็กว่า พวกที่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันกับเรานั้นย่อมมีจิตใจที่ผิดแผกแตกต่าง บรรพบุรุษของชาวต่างชาติพวกนั้น มันก็น่าฆ่าให้ตายกันหมดทุกคนนั่นแหละ ดังนั้นตอนที่เยี่ยเทียนเข่นฆ่าชาวรัสเซียที่ในอดีตเคยเข้าร่วมกองทัพพันธมิตรแปดชาติไปนั้น ในใจจึงไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
ส่วนพวกชาวอังกฤษนั้นก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไรเช่นกัน ตามที่ศิษย์พี่หนานได้กล่าวไว้ คัมภีร์ภาพดันหลังสองฉบับนั้นก็ถูกซ่อนอยู่ในพิพิธภัณฑ์บริติชนั่นเอง ดังนั้นแม้ว่าเคิร์ทผู้นี้จะเป็นชาวต่างชาติที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เยี่ยเทียนเคยพบเจอมา เขาก็ยังเกิดพลังจิตสังหารขึ้นมาอยู่ดี
เยี่ยเทียนตั้งจิตขึ้นมา มือขวาวาดเป็นเส้นโค้ง ตั้งค่ายกลรวมพิฆาต
หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว เยี่ยเทียนก็สามารถเชื่อมโยงกับปราณวิเศษแห่งฟ้าดินได้อย่างสมใจนึกมากขึ้น จึงสามารถวาดยันต์หรือวางค่ายกลกลางอากาศได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญยิ่งกว่าเดิม เมื่อพบกับศัตรูที่ต่อกรได้ยาก จึงเลือกนำวิชาที่ตนเชี่ยวชาญที่สุดออกมาใช้โดยไม่รู้ตัว
ปราณวิเศษสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศอย่างเลือนราง เกิดแรงดึงดูดอันมหาศาลขึ้น บนร่างของศพที่รายล้อมอยู่รอบด้านก็มีกระแสพลังพิฆาตสีเทากลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมา แล้วลอยเข้าสู่ค่ายกลรวมพิฆาตทีละน้อยๆ
พวกที่ตายไปด้วยน้ำมือของเยี่ยเทียนนี้ ล้วนเป็นสมาชิกที่มีฝีมือระดับสูงที่สุดในค่ายมวยใต้ดิน แต่พวกเขายังไม่ทันได้แสดงฝีมือจากการฝึกหนักเหมือนปีศาจในนรกตลอดหลายปีบนสังเวียนมวยใต้ดิน ก็กลับมาถูกเยี่ยเทียนหักคอตายเสียก่อน ภายในใจจึงมีความคับแค้นอยู่อย่างเหลือล้น
ราชามวยใต้ดินในอนาคตเหล่านี้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างก็มีเลือดลมที่เปี่ยมพลัง แม้จะมีเพียงสิบสองคน แต่กลับเหมือนดั่งหมื่นภูตผีร่ำร้อง ทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดฮวบลงไปในทันที สายลมเย็นเยียบพัดผ่านเป็นระลอก จนทำให้ที่นี่ดูราวกับเป็นแดนนรกก็ไม่ปาน
กระแสพลังพิฆาตที่ก่อขึ้นจากพลังปราณชีวิตเหล่านี้พุ่งกระแทกไปมาอยู่ในค่ายกล พยายามจะดิ้นรนหลุดออกจากพันธนาการ แต่เมื่อเยี่ยเทียนร่ายอาคมซ้ำลงไปอีก พลังเหล่านี้จึงถูกกักไว้ภายในอย่างแน่นหนา และเคลื่อนไหวอย่างคลุ้มคลั่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ไป!”
เยี่ยเทียนตาเป็นประกายเย็นวาบ มือพลันขยับท่าเปลี่ยนตำแหน่ง กระแสพลังพิฆาตเหล่านั้นรวมตัวเข้าด้วยกันทันที แล้วก่อขึ้นเป็นรูปกะโหลกศีรษะขนาดยักษ์ ช่องปากใหญ่อันดำมืดนั้นมุ่งหน้าเข้าไปหาเคิร์ท
เมื่อประกอบกับเสียงร้องโหยหวนอันแสนจะสะเทือนขวัญในค่ายกลนั้นแล้ว เยี่ยเทียนเชื่อว่า ต่อให้เป็นศิษย์น้องของติงหงที่เคยเจอบนภูเขาฉางไป๋ซาน เขาก็คงจะสามารถต่อสู้ได้อย่างสูสีแล้ว
“วิชาอาคม? แกเป็นคนตะวันออกรึ?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนร่ายอาคมตั้งค่ายกล เคิร์ทก็ตกตะลึงไปทันที จากนั้นดวงตาก็ฉายความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ออกมา นั่นเป็นสีหน้าของผู้ที่กำลังรู้สึกยินดีปรีดา แต่ก็แฝงไว้ด้วยความพรั่นพรึงเช่นกัน
ในอดีตเมื่อครั้งที่กองทัพพันธมิตรแปดชาติก่อหายนะขึ้นในประเทศจีน คนของโลกด้านมืดทางฝ่ายตะวันตกก็เคยปะปนอยู่ในกองทัพเหล่านั้นด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าการเดินทางสู่ตะวันออกของคนเหล่านี้กลับไม่ได้ราบรื่นเหมือนอย่างประเทศของตน
ตอนนั้นมีคนของโลกด้านมืดทั้งหมดสองร้อยกว่าคนเดินทางมุ่งสู่ประเทศจีน แต่สุดท้ายจำนวนผู้ที่รอดชีวิตกลับมากลับเหลืออยู่เพียงสามสิบกว่าคน และสิ่งที่ทั้งสามสิบกว่าคนนี้ทำเป็นอย่างแรกหลังจากกลับมาก็คือ เตือนรุ่นลูกรุ่นหลานในตระกูลว่า อย่าได้เดินทางไปยังประเทศทางตะวันออกแห่งนั้นเป็นอันขาด
ในสมัยนั้นเคิร์ทยังมีศักดิ์เป็นเพียงไวเคานต์ จึงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะติดตามแดร็กคูล่าผู้เป็นเจ้านายในปัจจุบัน หลังจากที่แดร็กคูล่ากลับอังกฤษไปแล้ว ก็ได้เลื่อนระดับศักดิ์จากชั้นมาร์ควิส กลายเป็นดยุกเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลแดร็กคูล่า
ในฐานะที่เป็นสาวกรับใช้ผู้ได้รับการประทานจุมพิตจากแดร็กคูล่า เคิร์ทจึงรู้ดีว่า สาเหตุที่เจ้านายสามารถเลื่อนระดับขึ้นจนเป็นดยุกได้นั้น เป็นเพราะได้ดูดเลือดของผู้บำเพ็ญพรตชาวตะวันออกผู้หนึ่ง และพลังวิเศษที่แฝงอยู่ในเลือดนั้นนั่นเอง ที่เป็นกุญแจสำคัญในการเลื่อนขั้นของแดร็กคูล่า
แต่เคิร์ทยังเข้าใจในความน่าสะพรึงกลัวของผู้บำเพ็ญพรตชาวตะวันออกยิ่งกว่านั้นอีก เพราะผู้อาวุโสท่านหนึ่งในตระกูลแดร็กคูล่าซึ่งกำลังจะได้เลื่อนขั้นเป็นดยุกอยู่แล้วนั้น กลับต้องเสียชีวิตไปในการเดินทางสู่ตะวันออกครั้งนี้ ผู้อาวุโสท่านนั้นเป็นถึงผู้ปกครองสูงสุดของโลกด้านมืดทางตะวันตก หลังจากท่านเสียชีวิตไป สภาแห่งความมืดจึงตกอยู่ท่ามกลางกลียุคเป็นเวลานาน
เคิร์ทรู้ขีดความสามารถของตัวเองอยู่ เขาจึงรู้ดีว่า แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีศักดิ์ถึงระดับเคานต์แล้ว แต่หากไปอยู่ต่อหน้าอดีตผู้ปกครองท่านนั้น ก็คงจะเปรียบได้เพียงมดแมลงตัวหนึ่ง ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาจึงไม่กล้าก้าวเข้าสู่ประเทศแถบตะวันออกแห่งนั้นเลยแม้แต่ก้าวเดียว
ตอนที่ 764 ศัตรูรอบด้าน
เคิร์ทเคยลักลอบดูดเลือดของคนเชื้อสายจีนที่ยุโรปมาแล้ว แต่เขาพบว่า เลือดของคนเหล่านี้ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเลือดของคนยุโรปเลย
หลังจากที่เขาไปสอบถามแดร็กคูล่าผู้เป็นเจ้านาย เคิร์ทถึงเพิ่งจะรู้ว่า ไม่ใช่ชาวตะวันออกทุกคนที่จะมีเลือดที่เปี่ยมด้วยพลังวิเศษ แต่ต้องเป็นเลือดของผู้ที่มีวิชาอาคมแก่กล้าเท่านั้น จึงจะสามารถช่วยให้พวกเขาเลื่อนขั้นได้
เคิร์ทก็รู้ด้วยว่า ดยุกของตระกูลแดร็กคูล่าท่านนั้นก็ได้ตกตายไปพร้อมกับบุคคลร้ายกาจผู้หนึ่งที่ประเทศทางตะวันออกแห่งนั้นเช่นกัน
แดร็กคูล่าผู้เป็นเจ้านายของเขานั้นก็ไม่ได้มีผลงานอะไรในสงครามสะเทือนฟ้าดินครั้งนี้เลย เพียงแต่ท่านค่อนข้างจะโชคดีเท่านั้นเอง หลังจากที่ทั้งสองคนนั้นเสียชีวิตไปแล้ว ท่านก็ดูดรับพลังวิเศษจากเลือดของชาวตะวันออกผู้นั้น ถึงได้สามารถเลื่อนขึ้นไปถึงระดับชั้นดยุกได้ในทันที
แต่แดร็กคูล่าก็ได้เตือนบริวารของตัวเองไว้ด้วยว่า อย่าได้ทดลองเดินทางไปยังประเทศแห่งนั้น แล้วทำเรื่องอะไรเกินเลยไปเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องประสบกับความทรมานยิ่งกว่าตาย แม้แต่แก่นหัวใจก็จะถูกพวกชาวตะวันออกควักออกไปด้วย
หัวใจของพวกแวมไพร์นั้นไม่เหมือนกับของคนธรรมดา ที่ศูนย์กลางภายในหัวใจของคนเหล่านี้จะมีแก่นขนาดเท่าลูกวอลนัทอยู่หนึ่งดวง ซึ่งก็คือแก่นหัวใจนั่นเอง ขอเพียงแก่นหัวใจไม่ได้รับอันตรายอะไร ต่อให้หัวใจถูกทำลายจนแหลกเหลวไป คนเหล่านี้ก็จะไม่เสียชีวิต
กล่าวได้ว่า แก่นหัวใจก็คือจุดอ่อนของพวกแวมไพร์นั่นเอง นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่เคิร์ทสามารถข่มกลั้นความเย้ายวนของการที่จะได้เลื่อนขั้น ตลอดหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาจึงไม่เคยเหยียบเข้าประเทศจีนเลยแม้แต่ก้าวเดียว
แม้จะไม่เคยพบปะกับผู้บำเพ็ญพรตจากประเทศจีนเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เคิร์ทจะไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับวิชาของคนเหล่านี้มาก่อน ดังนั้นเมื่อรอบกายเกิดสายลมเย็นเยียบพร้อมกับเสียงภูตผีร่ำร้อง เคิร์ทจึงเข้าใจในทันทีว่า ชายที่มีหน้าตาเหมือนชาวตะวันตกผู้นี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นผู้บำเพ็ญพรตจากทางตะวันออก
“แกน่ะไปตายได้แล้ว!”
เมื่อเห็นว่าชาวตะวันตกร่างผอมแห้งคนนี้กลับสามารถดูที่มาของเขาออก เยี่ยเทียนก็รู้สึกใจหายวาบ มือขวาวาดเป็นเส้นโค้ง แล้วกะโหลกศีรษะที่ก่อขึ้นจากพลังพิฆาตนั้นก็เปล่งแสงสีเขียวเรืองออกมาจากดวงตา ขณะที่เคลื่อนเข้าไปใกล้ร่างของเคิร์ท มันก็แปลงสภาพเป็นไอหมอกสีดำกลุ่มหนึ่ง แล้วปกคลุมร่างของเขาไว้ทั้งหมดในชั่วพริบตา
“ฮ่า ๆ พลังวิเศษมากมายขนาดนี้จะไปหาได้จากที่ไหนอีก รู้สึกดีจริงๆ !”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังนึกว่า พลังพิฆาตที่เขาปล่อยออกไปคงพอที่จะทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บสาหัสได้แล้วนั้น กลับมีเสียงหัวเราะเพี้ยนๆ ดังออกมาจากหมอกดำกลุ่มนั้น พลังพิฆาตที่เยี่ยเทียนรวบรวมขึ้นมาได้กลับสลายหายไปด้วยความรวดเร็วชนิดที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เนื่องจากถูกเคิร์ทดูดรับเข้าสู่ร่างกายไปจนหมด
หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่สิบวินาที ไอหมอกกลุ่มนั้นก็อันตรธานไปจนหมดแล้ว เผยให้เห็นร่างของเคิร์ทซึ่งดูอวบอิ่มขึ้นมามาก ใบหน้าฉายความอิ่มเอิบพึงพอใจราวกับว่าเพิ่งได้เพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศมื้อใหญ่ไปเมื่อครู่
“เอ๊ะ? แกดูดรับพลังพิฆาตเข้าสู่ร่างได้ด้วยรึ?”
เมื่อเห็นภาพนี้ เยี่ยเทียนก็ตาเบิกโพลงอย่างไม่อาจข่มกลั้น ตั้งแต่เขาเข้าสู่วงการนี้มา เวลาใช้พลังพิฆาตทำร้ายศัตรูก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะไม่สำเร็จ เหตุการณ์แบบนี้เขาก็เพิ่งจะเคยพบเป็นครั้งแรก ที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครสลายการโจมตีด้วยกระแสพลังพิฆาตเช่นนี้มาก่อนเลย
“พลังพิฆาต? ฉันไม่รู้หรอกนะว่าแกพูดถึงอะไร? นี่มันพลังวิเศษที่อุดมคุณค่าต่างหากล่ะ!”
เคิร์ทเลียริมฝีปากอันแดงฉาน ใบหน้าที่ดูไม่ออกว่าอายุเท่าไรนั้นมีอารมณ์ตื่นเต้นออกมาเล็กน้อย
พลังวิเศษที่ดูดรับไปเมื่อครู่ทำให้เคิร์ทรู้สึกว่า แก่นหัวใจของเขาเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นมาก และร่างกายก็เปี่ยมด้วยพลังงาน ความรู้สึกเช่นนี้ เคิร์ทเคยสัมผัสมาแล้วในตอนที่เขาได้เลื่อนขั้นเป็นเคานต์เมื่อหลายสิบปีก่อน เขาจึงเริ่มจะมองเห็นความหวังที่จะได้เลื่อนชั้นเป็นมาร์ควิสอยู่รำไรแล้ว
ระบบการแบ่งลำดับศักดิ์ในหมู่แวมไพร์นั้นเคร่งครัดอย่างยิ่ง โดยทั้งหมดแบ่งเป็นหกระดับ ได้แก่ บารอน ไวเคานต์ เคานต์ มาร์ควิส ดยุก และเจ้าชาย ส่วนเหนือขึ้นไปจากทั้งหกระดับนี้ ก็ยังมีระดับในตำนานอีกซึ่งก็คือระดับราชา แต่แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงตำนานเท่านั้น เพราะในโลกยุคปัจจุบันนี้ แม้แต่ระดับเจ้าชายก็ยังไม่เคยมีปรากฏขึ้น
ในหมู่แวมไพร์โดยปกติ ดยุกก็ถือว่าเป็นชนชั้นที่มีสถานะสูงที่สุดในตระกูลหนึ่งๆ แล้ว หลังจากที่ได้เลื่อนชั้นขึ้นเป็นมาร์ควิส เคิร์ทก็จะมีโอกาสได้ลบสถานะการเป็นบริวารรับใช้ และตั้งตนขึ้นเป็นประมุขของตระกูล ไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้บัญชาของแดร็กคูล่าอีกต่อไปแล้ว
“เจ้าคนตะวันออก ไม่ต้องปกปิดอำพรางอีกแล้วล่ะ ฉันยังไม่มีบริวารรับใช้ที่เป็นชาวตะวันออกเลย ให้แกมาเป็นคนแรกก็แล้วกันนะ!”
ถึงเคิร์ทจะไม่รู้ว่า สิ่งที่เรียกว่าเนื้อพระถังซัมจั๋งนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่สายตาของเขาที่กำลังมองดูเยี่ยเทียนอยู่นั้นก็เต็มไปด้วยความโลภอย่างที่ไม่ได้พยายามจะปกปิด เขานึกอยากจะดูดเลือดของเยี่ยเทียนจนเกลี้ยง เพื่อให้ตัวเองได้เลื่อนชั้นขึ้นถึงระดับเคานต์
“บริวารรับใช้? อย่างแกน่ะคู่ควรรึ?”
สายตาของเยี่ยเทียนเย็นชาลง แม้ว่าการโจมตีที่ไม่ได้ผลนั้นจะทำให้เขารู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง และเคิร์ทก็เป็นคนที่พิสดารนัก หลายปีมานี้เยี่ยเทียนเคยผ่านคลื่นลมมรสุมมาไม่น้อย ยิ่งตอนนี้ปราณแท้ก็ฟื้นฟูกลับมาแล้ว ต่อให้สู้ไม่ชนะ อย่างน้อยก็ต้องหนีรอดได้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวคู่ต่อสู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้
“ได้เป็นบริวารรับใช้ของฉัน ก็ถือว่าเป็นเกียรติของแกแล้วละนะ!”
การพูดจาของเคิร์ทเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง สำหรับชาวตะวันตกแล้ว การได้เป็นแวมไพร์นั้นถือว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่ผู้คนปรารถนา เพราะนั่นหมายความว่าจะได้ครอบครองพลังอันแข็งแกร่งและมีชีวิตที่เป็นอมตะ ดังนั้นตามท้องถิ่นทางตะวันตกจึงมีผู้คนมากมายที่ศรัทธาแวมไพร์ กระทั่งยังมีองค์กรที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอีกด้วย
“พูดอะไรน่าขำ!”
เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะ แล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก เคลื่อนร่างไปข้างหน้า มือขวากางเป็นกรงเล็บ ตะปบลงไปที่ตำแหน่งหัวใจของเคิร์ท
ภาพยนตร์เกี่ยวกับแวมไพร์ได้สร้างอิทธิพลต่อความเข้าใจของผู้คนอย่างมาก ถึงเยี่ยเทียนจะไม่ค่อยเชื่อถือเรื่องเล่าลือเหล่านั้นเท่าไรนัก แต่ก็รู้เกี่ยวกับจุดอ่อนของแวมไพร์อยู่ กระบวนท่าพยัคฆ์ดำควักหัวใจนี้หากตะปบลงไปตรงจุด ก็จะสามารถควักหัวใจของฝ่ายตรงข้ามออกมาได้ในทันที
เป็นไปตามคาด เมื่อเห็นท่าโจมตีของเยี่ยเทียน เคิร์ทก็มีสีหน้าลนลานขึ้นมาทันที สองมือปัดป้องไว้ข้างหน้า ตามคำบอกเล่าของนายท่าน ชาวตะวันออกแต่ละคนล้วนแข็งแกร่งเหนือธรรมดา ดังนั้นถึงปากเขาจะพูดจาอวดเบ่งไว้อย่างนั้น แต่ที่จริงแล้วกลับไม่ได้ประมาทเยี่ยเทียนเลยแม้แต่น้อย
เกิดเสียงดัง “ปัง!” ราวกับเสียงฟาดลงบนกลองหนัง มือขวาของเยี่ยเทียนปะทะกับแขนอันผอมแห้งของ เคิร์ทเข้าอย่างจัง แขนเสื้อทั้งสองข้างของเคิร์ทก็ถูกเยี่ยเทียนฉีกขาดจนเกิดเสียงดัง “แควก”
แต่กรงเล็บของเยี่ยเทียนที่มีความรุนแรงถึงขั้นบดหินให้แตกได้นี้ กลับถูกเคิร์ทต้านทานไว้ได้ บนแขนที่ขาวราวกับแขนของผู้หญิงนั้น ก็ปรากฏเพียงรอยกรงเล็บห้ารอย ผ่านไปเพียงชั่วพริบตาก็จางหายไปแล้ว
“ช่างเป็นกายเนื้อที่แข็งแกร่งอะไรอย่างนี้?”
หลังจากที่กรงเล็บของเขาถูกเคิร์ทต้านไว้ได้ เยี่ยเทียนก็ลอบตื่นตระหนกในใจ อาศัยพลังฝีมือของเขาในปัจจุบัน ต่อให้เบื้องหน้าเป็นแผ่นเหล็กกล้า เขาก็สามารถตะปบจนกลายเป็นผุยผงได้ แต่ชาวตะวันตกผู้นี้กลับต้านรับไว้ได้ซึ่งๆ หน้า โดยที่ไม่ได้เป็นอันตรายใดๆ
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะตกตะลึง แต่ความเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ได้ชักช้าเลยสักนิด หลังจากโจมตีแล้วไม่เป็นผล เท้าซ้ายก็ก้าวไปด้านข้าง ขณะที่สองมือของเคิร์ทยังคงตั้งท่าป้องกันไว้ข้างหน้า เท้าขวาของเขาก็พลันเตะเสยขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ ฟาดลูกเตะใส่ขมับซ้ายของฝ่ายตรงข้ามทันที
หากจะกล่าวถึงเทคนิคในการโจมตี ไม่ว่าชาติใดก็ไม่อาจเทียบชั้นกับศิลปะการต่อสู้ของจีนได้ทั้งนั้น ลูกเตะของเยี่ยเทียนนี้ยังผสมผสานกับวิธีการใช้ขาของมวยใต้ดินอีกด้วย ระหว่างที่ยกขาขึ้นมานั้น ช่วงไหล่ไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีพลังรุนแรงชนิดที่สามารถเตะวัวตัวหนึ่งให้ตายคาที่ได้เลยทีเดียว
กายเนื้อของเคิร์ทนั้นแม้จะทรงพลังมาก แต่เมื่อถูกเตะอย่างรุนแรงเช่นนี้ ก็ถึงกับลอยกระเด็นขึ้นไปสูงลิ่ว
เกิดเสียงดัง “กรอบ” ระหว่างที่เคิร์ทลอยอยู่กลางอากาศ ศีรษะถูกเตะหันไปข้างหลัง ลำคอบิดเบี้ยวไปทั้งคอ จนดวงตาทั้งคู่สามารถมองเห็นแผ่นหลังและบั้นท้ายของตัวเองได้
“ยังไม่ตายอีกเรอะ?”
เมื่อร่างของเคิร์ทร่วงลงไปบนพื้น เยี่ยเทียนก็รู้สึกโล่งอกขึ้นเล็กน้อย ชาวตะวันตกผู้นี้ไม่กลัวการโจมตีของกระแสพลังพิฆาตเลย เยี่ยเทียนจึงไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย ลูกเตะเมื่อครู่นี้ก็ได้รวบรวมปราณแท้ทั้งหมดในร่างไว้แล้ว
“หือ? หรือว่าโลกนี้จะมีแวมไพร์อยู่จริงๆ?”
เมื่อเยี่ยเทียนเดินเข้าไปใกล้จุดที่เคิร์ทตกลงไปก็กลับพบว่า เคิร์ทลุกขึ้นมาอีกแล้ว ทั้งทั้งที่ศีรษะของเขายังคงบิดหันไปข้างหลัง ดูประหลาดพิสดารอย่างยิ่ง จนแม้แต่เยี่ยเทียนเองยังใจหายเฮือก
“กรอบ…กรอบแกรบ…”
หลังจากลุกขึ้นมาแล้ว เคิร์ทใช้มือทั้งสองข้างบิดศีรษะให้หันกลับมาข้างหน้า เกิดเสียงดัง “กรอบแกรบ” ออกมาจากลำคอ จนเยี่ยเทียนได้ยินแล้วรู้สึกขนลุก
“เจ้าคนตะวันออก ฉันยอมรับนะ…ว่าแกแกร่งมาก แต่แวมไพร์อย่างพวกฉันน่ะมีร่างเป็นอมตะ แกฆ่าฉันไม่ตายหรอก!”
เคิร์ทเปิดปากอันแดงฉานฉีกยิ้มออกมา ฟันสีขาวราวหิมะนั้นดูจ้าตาเหลือเกิน แม้ว่าการโจมตีของเยี่ยเทียนจะรุนแรงมาก แต่สำหรับพวกแวมไพร์แล้ว กายเนื้อล้วนไม่ได้เป็นอันตรายใดๆ เลย
ลักษณะข้อนี้นับว่าคล้ายคลึงกับผีกองกอยของจีนอยู่เหมือนกัน คือไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดทางกายเลย
“ฆ่าไม่ตาย? ฉันจะเด็ดหัวแกลงมาเลยก็แล้วกัน ทีนี้ดูซิว่าแกจะตายหรือเปล่า!”
เยี่ยเทียนก็เริ่มจะโมโหขึ้นมาแล้ว เท้าขวากระทืบลงบนพื้น ขณะที่กำลังจะปล่อยการโจมตีออกไปอีก ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น จึงส่งจิตออกสำรวจรอบด้าน ร่างหยุดนิ่งไปทันที ขณะเดียวกันบนท้องฟ้าห่างออกไปหนึ่งพันกว่าเมตร เฮลิคอปเตอร์ทหารหลายลำก็ส่งเสียงดังกระหึ่มออกมา
“โอ้โฮ มันไม่ได้ประมาทเราเลยจริงๆ”
ที่เชิงเขามีกองทหารนับหมื่นปักหลักคุมอยู่ บนฟ้าก็มีเฮลิคอปเตอร์ทหารคอยล้อมจับ ส่วนเคิร์ทที่อยู่ตรงหน้านี้ก็เป็นคู่ต่อสู้ที่เยี่ยเทียนยังไม่เคยพบมาก่อน ถึงเยี่ยเทียนจะทะนงตนแค่ไหน แต่เขาก็รู้ดีว่า หากอยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว
“ศึกระหว่างแกกับฉัน ไว้วันหลังค่อยตัดสินกันก็แล้วกันนะ!”
หลังจากเยี่ยเทียนพูดประโยคนี้ออกไปแล้ว ร่างก็ขยับถอยวูบ แต่ขณะที่เขากำลังจะถอยเข้าไปถึงป่าทึบ หนังศีรษะก็พลันชาขึ้นมาวาบหนึ่ง กระดูกสันหลังสั่นระริกไปตลอดแนว ความรู้สึกถึงอันตรายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแล่นเข้าสู่หัวใจ
เมื่อมองขึ้นไปข้างบน เฮลิคอปเตอร์ที่ตอนแรกอยู่ห่างออกไปหนึ่งพันกว่าเมตรนั้น ตอนนี้ใกล้เข้ามาจนเกือบจะอยู่ตรงหน้าแล้ว แสงสีแดงจุดหนึ่งสว่างวาบที่ใต้เฮลิคอปเตอร์ เยี่ยเทียนยังไม่ทันได้ขบคิดอะไร ปราณแท้ก็แผ่ออกจากร่างในชั่วอึดใจ และปกคลุมร่างของเยี่ยเทียนไว้ พาเขาเหาะเหินขึ้นสู่ฟ้า
“ตูม!”
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวที่ใต้ร่างของเยี่ยเทียน พื้นดินปรากฏหลุมลึกขึ้นหนึ่งหลุม คลื่นพลังอันมหาศาลทำให้ร่างของเยี่ยเทียนปลิวกระเด็นสูงขึ้นไปบนฟ้าอีกหลายสิบเมตร
การโจมตีโดยจรวดครั้งนี้ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกมึนไปวูบหนึ่ง ทำให้ปราณแท้ที่ปกป้องร่างกายอยู่ถูกกระเทือนจนเกือบจะสลายตัวไป
เมื่อเห็นเฮลิคอปเตอร์สิบกว่าลำบนท้องฟ้าที่แทบจะอยู่ในระนาบเดียวกับตน เยี่ยเทียนก็รู้สึกใจหายวาบ รีบกระตุ้นปราณแท้ อาศัยจังหวะที่เหตุการณ์กำลังวุ่นวาย มุ่งหน้าเหาะสู่ภูเขาใหญ่ที่ทอดตัวยาวออกไป
ตอนที่ 765 ไล่ล่าล้อมสกัด
“รายงานผู้การ ทั้งสิบสองคนจากค่ายฝึกเสียชีวิตหมดแล้ว ส่วนเคิร์ทหายสาบสูญครับ!”
หลังจากเยี่ยเทียนจากไปได้สองชั่วโมง บริเวณสมรภูมิถูกเก็บกวาดเสร็จแล้ว บรรดาร่างของศพที่ตอนแรกก็ไม่ได้สมประกอบอยู่แล้วนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นการระเบิดไปได้เช่นกัน แขนขาขาดกระจุยกระจายไปทุกทิศทาง จนสถานที่เกิดเหตุคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
“ส่งทีมเฮลิคอปเตอร์ไปดำเนินการค้นในเขตภูเขา จากนั้นให้กระจายกำลังไปเป็นหมู่ ล้อมสกัดตามแนวชายแดนไว้ พร้อมกันนั้นก็สั่งให้กองกำลังที่ประจำอยู่เขตชายแดนให้ความร่วมมือในการค้นหาด้วย!”
กินเนสส์พึมพำกับตัวเองครู่หนึ่ง แล้วจึงออกคำสั่งลงไป ก่อนที่จะได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ เขาก็เห็นจากภาพที่ดาวเทียมตรวจการณ์ถ่ายออกมาได้แล้ว
เนื่องจากสภาพอากาศที่แจ่มใส และกินเนสส์ยังใช้อำนาจที่ตนมีอยู่ในการเปลี่ยนแปลงวิถีโคจรของดาวเทียม จึงสามารถจับภาพสถานการณ์ที่นั่นได้ในทันที และเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก
“นอกจากนี้ ให้ส่งหน่วยพลร่มที่หนึ่งออกไป กระจายกำลังลงไปตามเส้นทางการหลบหนีของศัตรู เราจะต้องหาตัวมันออกมาให้ได้!”
แม้ว่าจะยังคงมองเห็นรูปพรรณสัณฐานของฝ่ายศัตรูได้ไม่ชัดเจน แต่ก็สามารถสรุปได้คร่าวๆ แล้วว่าฝ่ายนั้นเป็นชาวตะวันตกคนหนึ่ง ทางเครมลินที่มอสโควจึงจริงจังกับเรื่องนี้มาก เพราะอาจเป็นอุบายของบางประเทศทางตะวันตก ด้วยเหตุนี้กินเนสส์จึงพลอยได้รับความกดดันอย่างหนักไปด้วย
ส่วนการตัดสินใจที่จะส่งหน่วยพลร่มออกไปนั้น ก็ได้รับการอนุมัติจากท่านประธานาธิบดีแล้วด้วย หน่วยพลร่มนี้เป็นกองกำลังที่มีฝีมือเยี่ยมที่สุดในกองทัพของรัสเซีย หากจะกล่าวในบางแง่มุมแล้ว หน่วยทหารนี้ยังมีประสบการณ์ในการรบตามป่าและภูเขาสูงกว่ากองกำลังพิเศษอีก
ในสงครามโลกครั้งที่สอง หน่วยพลร่มของสหรัฐอเมริกาเคยสร้างผลงานในการสู้รบที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดเอาไว้
ดังนั้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ละประเทศจึงเริ่มพัฒนาหน่วยพลร่มของตนขึ้นเป็นการใหญ่ รัสเซียมีหน่วยพลร่มทั้งหมดสามหน่วย โดยหน่วยพลร่มที่หนึ่งมีความสามารถในการสู้รบสูงที่สุด จะเรียกว่าเป็นหน่วยทหารพลร่มพิเศษก็ว่าได้
“เคิร์ทไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะเนี่ย?”
หลังจากออกคำสั่งไปแล้ว กินเนสส์ก็นั่งอยู่หน้าแผนที่อย่างเหม่อลอย หลังจากดูภาพในวิดีโอที่ไม่ได้ชัดเจนมากนักช่วงนั้น เขาก็รู้แล้วว่า ชาวอังกฤษที่ท่านนายพลพามาแนะนำคนนั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่
“สลัดพวกมันไม่หลุดสักที ใช้คนมากรังแกคนน้อยแบบนี้ได้ยังไงกัน!”
บนเทือกเขาที่อยู่ระหว่างเขตปกครองไซบีเรียและสาธารณรัฐซาฮานั้น ร่างของเยี่ยเทียนกำลังโจนทะยานสลับทางไปมาอยู่ในป่า แต่ก็ยังคงมีเสียงเฮลิคอปเตอร์ดังมาจากเหนือศีรษะอยู่เป็นระยะ
“ไม่ได้การ ยังไงคนก็หนีเครื่องบินไม่ทันอยู่ดี หาที่พักก่อนดีกว่า!”
การเข่นฆ่าเมื่อหลายวันก่อนทำให้พลังกายของเยี่ยเทียนยังไม่ได้ฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ และก่อนหน้านี้ยังถูกจู่โจมโดยเครื่องยิงจรวดอีก แม้ว่าจะหลบหลีกได้ทันเวลา แต่อวัยวะภายในก็ยังคงถูกกระทบกระเทือน หลังจากหนีตายโดยไม่หยุดพักเป็นเวลาสองชั่วโมงกว่าๆ พลังกายของเยี่ยเทียนจึงเริ่มจะไม่ไหวแล้ว
“เวรเอ๊ย จะไม่ยอมให้ฉันได้อยู่เป็นสุขเลยใช่ไหม!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะหาที่พักเอาแรงสักครู่ ทันใดนั้นเขากลับเห็นว่า เครื่องบินขนส่งทหารขนาดใหญ่สามลำได้บินผ่านเหนือศีรษะไป จุดดำๆ มากมายนับไม่ถ้วนทยอยกันกระโดดลงมากลางอากาศ
เยี่ยเทียนคาดไม่ถึงเลยว่า ฝ่ายตรงข้ามจะถึงขั้นส่งหน่วยพลร่มมาจัดการเขา เรื่องนี้ทำให้เขาเริ่มรู้สึกกดดันขึ้นมาแล้ว เพราะความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ เขาจึงไม่มีทางอำพรางกายได้ตลอดเวลาแน่นอน
“อ้าว? ถูกพบแล้วรึ?”
เยี่ยเทียนพลันรู้สึกชาวาบบนหนังศีรษะ เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าก็เห็นว่า เหนือศีรษะของเขาขึ้นไป มีทหารพลร่มนายหนึ่งโดดลงมาพอดี แล้วสายตาก็ดูเหมือนจะพุ่งเป้ามาที่ตัวเขาแล้ว
มนุษย์มีสัญชาติญาณชนิดหนึ่งมาตั้งแต่เกิด นั่นก็คือจะสามารถรู้สึกได้เองโดยธรรมชาติเมื่อตนตกเป็นเป้าสังเกตของผู้อื่น อย่างเวลาที่สายตาของคนอื่นมองมาที่เรา แม้จะอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก แต่ผู้ที่มีประสาทสัมผัสไวก็จะสามารถรู้สึกได้
ขนาดคนธรรมดายังเป็นเช่นนั้น เยี่ยเทียนยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ไม่ว่าจะเป็นสายตาที่ประสงค์ดีหรือประสงค์ร้าย จิตของเขาก็สัมผัสได้ทั้งนั้น พลร่มนายนั้นแม้จะยังอยู่ห่างจากเขาอีกไกลถึงเจ็ดแปดร้อยเมตร แต่เยี่ยเทียนก็สามารถบอกได้ว่า พลร่มนายนั้นพบเห็นเขาแล้ว
ดังคาด หลังจากผ่านไปสิบกว่าวินาที เสียงใบพัดหมุนก็ดังขึ้นมาระลอกหนึ่ง เฮลิคอปเตอร์ทหารสิบกว่าลำบินมาทางตำแหน่งของเยี่ยเทียนแล้ว
เยี่ยเทียนได้ยินเสียงดัง “ฟ้าว!” เบาๆ เขาไม่มีเวลาขบคิด กระโจนไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงขึ้นทันที แล้วก็มีเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นที่ข้างหลังของเขา
“ปังๆ…ปังๆๆ!”
เมื่อตำแหน่งของเยี่ยเทียนถูกพบ เฮลิคอปเตอร์เหล่านั้นก็กระจายกำลังกันมา ลูกกระสุนเทกระหน่ำลงมาเหมือนห่าฝนโดยมุ่งเป้าไปที่เยี่ยเทียน พลร่มบางนายที่พบร่องรอยของเยี่ยเทียนแล้วก็ลั่นไกมาทางเขาจากกลางอากาศด้วย
ขณะเดียวกัน เฮลิคอปเตอร์สามลำนั้นก็ยิงพลุนำทางลงมาสามดอก
“ปัง! ปังๆ!” หลังจากเสียงดังขึ้นสามครั้ง บนฟ้าเหนือร่างของเยี่ยเทียนก็ปรากฏประกายแสงสีขาวเจิดจ้าเป็นทางจากสามมุม ลำแสงนั้นสว่างมากจนแม้แต่เยี่ยเทียนยังตาพร่า
ป่าบนภูเขาที่ตอนแรกเริ่มมืดลงไปแล้วหลังจากอาทิตย์ตกดิน กลับสว่างขึ้นมาราวกับกลางวันแสกๆ ทันที และพลุนำทางเหล่านั้นก็ทำให้ตำแหน่งของเยี่ยเทียนถูกเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน
“ยกกำลังทั้งประเทศมาจัดการกับเราเลยรึ? มันไม่ได้ดูถูกเราเลยนี่หว่า!”
สถานการณ์ของเยี่ยเทียนในขณะนี้เรียกได้ว่า เป็นครั้งที่อันตรายที่สุดตั้งแต่เข้าสู่ยุทธภพมาเลย พลร่มจำนวนไม่น้อยได้กระโดดลงมาถึงพื้นดินแล้ว และกำลังโอบล้อมตำแหน่งของเขาไว้ ส่วนเฮลิคอปเตอร์ที่อยู่เหนือศีรษะก็อาจเป็นภัยต่อชีวิตของเขาได้ทุกเมื่อ
“เป้าหมายอยู่ที่ตำแหน่งสิบสองนาฬิกา เล็งเป้าไว้เรียบร้อยแล้ว ทุกหมู่จงฟัง ระดมยิงเข้าไปพร้อมกัน ไม่ต้องเจรจาฆ่าได้ทันที!”
หลังจากตำแหน่งของเยี่ยเทียนเปิดเผยออกมาแล้ว ทุกคนก็ได้ยินคำสั่งที่ถ่ายทอดลงมาทางวิทยุสื่อสารอย่างชัดเจน พลร่มพิเศษที่กระโดดลงมาถึงพื้นแล้วเหล่านั้นจึงเร่งเคลื่อนกำลังไปยังตำแหน่งของเยี่ยเทียนจากทุกทิศทางทันที
ตำแหน่งของเยี่ยเทียนในขณะนั้นเป็นเนินเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง ไม่เอื้อต่อการหลบซ่อนเลย นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่เขาถูกพลร่มบนฟ้าสังเกตเห็นได้
“อยากให้ฉันตายรึ? ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!”
ดวงตาของเยี่ยเทียนฉายแววอำมหิต เดิมทีเขาตั้งใจจะลดการก่อบาปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตลงบ้าง เพียงหนีออกจากรัสเซียให้ได้ก็พอแล้ว แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับบีบคั้นอย่างก้าวร้าวรุนแรงเช่นนี้ ทำให้เยี่ยเทียนเกิดโทสะขึ้นมาแล้ว
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่แสงจากพลุสว่างขึ้น เยี่ยเทียนแค่นเสียงดังเฮอะ ร่างย่อต่ำลงไปในฉับพลัน แล้วกระโจนออกไปข้างหน้าราวกับเสือชีตาห์ ข้ามผ่านระยะทางหนึ่งร้อยกว่าเมตรในชั่วพริบตา ร่างของเยี่ยเทียนลงไปจากเนินเขาลูกนั้นแล้ว
เมื่อแผ่จิตออกไปรอบด้าน สภาพการณ์ภายในรัศมีสิบกว่ากิโลเมตรก็ปรากฏขึ้นในห้วงสมองของเยี่ยเทียนราวกับภาพสามมิติ จุดสีแดงแต่ละจุดที่เป็นตัวบ่งบอกตำแหน่งของสิ่งมีชีวิตนั้น ก็คงจะเป็นพวกทหารที่มาล้อมสังหารเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
เฮลิคอปเตอร์บนฟ้ายังคงไล่ตามเยี่ยเทียนต่อไป แต่ระดับความเร็วในการบินของพวกนั้นกลับตามไม่ทันเยี่ยเทียนแล้ว ลูกกระสุนเป็นตับเหล่านั้นก็ยิงลงมาที่ข้างหลังเยี่ยเทียนทั้งหมด
ตั้งแต่มีการค้นพบดินปืนเป็นต้นมา ทักษะการต่อสู้ส่วนบุคคลจึงค่อยๆ ลดความสำคัญลงไป ส่วนอาวุธที่ใช้ดินปืนกลับถูกนำมาใช้ในการทำสงครามสมัยปัจจุบันมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงปืนและเสียงระเบิดที่ดังมาจากข้างหลังนั้น จึงทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกถึงภัยอันตรายอย่างรุนแรง
“อาวุธสมัยนี้ถึงจะมีอานุภาพสูง แต่สุดท้ายก็เป็นแค่พลังภายนอก ถ้าคิดจะฆ่าฉันละก็ คงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!”
แม้ภายนอกจะดูคับขัน แต่บนใบหน้าแบบชาวตะวันตกของเยี่ยเทียนนั้น กลับไม่ปรากฏความลนลานเลยแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ว่า ในสถานการณ์แบบนี้ หากไม่สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้ ก็มีแต่จะทำให้ตัวเองยิ่งตายเร็วขึ้น
“พระเจ้า นี่มันยังใช่คนอยู่ไหมเนี่ย? วิ่งเร็วยิ่งกว่าเสือชีตาห์อีกนะ!”
เยี่ยเทียนซึ่งกำลังเร่งความเร็วสุดกำลังนั้น ดูราวกับเป็นเงาสายหนึ่งก็ไม่ปาน คนบนเฮลิคอปเตอร์ต่างก็มองกันตาค้าง แม้แต่เจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ที่มีประสบการณ์มากที่สุดก็ยังไม่อาจจับภาพของเยี่ยเทียนได้เลย
แทบจะเพียงไม่กี่ชั่วอึดใจ ร่างของเยี่ยเทียนก็กระโจนออกไปไกลถึงเจ็ดแปดร้อยเมตร พลร่มที่เพิ่งจะโดดลงมาถึงพื้นและกำลังจะปลดร่มชูชีพออกนายหนึ่งถูกเยี่ยเทียนพุ่งชนเข้าที่หน้าอกอย่างจัง
เกิดเสียงดัง “ตูม!” พลร่มนายนั้นยังไม่ทันได้ตอบโต้ ร่างก็ถูกชนจนกระเด็นขึ้นไปสูงลิ่ว ระหว่างที่ร่างอยู่กลางอากาศ อวัยวะภายในที่แหลกเป็นชิ้นๆ ก็สาดกระจายออกมาพร้อมกับเลือด
โดยปกติแล้ว พลร่มที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดนั้น ย่อมสามารถควบคุมตำแหน่งที่ตนจะร่วงลงไปได้อยู่แล้ว และก็มักจะโดดลงไปพร้อมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อไม่ให้ถูกข้าศึกสอยร่วงไปทีละคน
ขณะนั้นภายในรัศมีสิบกว่าเมตรโดยรอบพลร่มนายนั้น ก็ยังมีเพื่อนร่วมทีมของเขาอยู่อีกสิบกว่าคน พลทหารเหล่านี้สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วยิ่ง ขณะเดียวกันกับที่เพื่อนทหารลอยกระเด็นขึ้นไป พวกเขาก็เล็งปากกระบอกปืนไปที่เยี่ยเทียนแล้ว
เพียงแต่ว่า หลังจากเยี่ยเทียนใช้แรงกระแทกที่สะสมมาจากการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงไปกับพลร่มนายนั้นจนหมดแล้ว ร่างของเขาก็เปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหัน เงาสายหนึ่งไหววูบผ่านบริเวณนั้น วนรอบๆ พลร่มเหล่านั้นไปรอบหนึ่งราวกับสายฟ้าแลบ แล้วบนพื้นดินบริเวณนั้นก็ไม่เหลือคนเป็นๆ อยู่อีกเลย
“พวกแกอยากจะมีชีวิตต่อ แต่ฉันเองก็ไม่อยากตายเหมือนกันนั่นแหละ!”
เมื่อเห็นพวกทหารที่นอนกองอยู่เต็มพื้น เยี่ยเทียนก็อดรู้สึกหดหู่ขึ้นมาไม่ได้ ดูจากรูปลักษณ์แล้ว ทหารพวกนี้ก็น่าจะมีอายุไม่ห่างกับเขามากนัก
แต่สถานการณ์ในขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่เยี่ยเทียนจะมามัวขบคิด เพราะระหว่างที่เขากำลังกำจัดพลร่มทีมนี้ เฮลิคอปเตอร์สิบกว่าลำนั้นก็พบเห็นตำแหน่งของเขาแล้ว
ทันใดนั้น เยี่ยเทียนรู้สึกว่าจุดสำคัญบนใบหน้าและตามร่างกายหลายจุดชาวาบขึ้นมา คาดว่าคงจะถูกมือปืนบนเฮลิคอปเตอร์เล็งเป้าหมายไว้เรียบร้อยแล้ว
เยี่ยเทียนยื่นมือออกไปเหมือนจะคว้าบางอย่าง แล้วปล่อยพลังดึงดูดปืนกลที่อยู่บนพื้นขึ้นมาถือไว้กระบอกหนึ่ง เขาปลดซองกระสุนออกอย่างคล่องแคล่ว สองมือนวดๆ คลึงๆ แล้วปืนกลที่ผลิตขึ้นจากเหล็กกล้าทั้งกระบอกก็ถูกเขาปั้นจนกลายเป็นก้อนเหล็กก้อนหนึ่ง
เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นไปมองดูเฮลิคอปเตอร์ลำที่อยู่ใกล้กับเขามากที่สุด บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเย็นเยียบ มือขวาพลันขว้างลูกเหล็กออกไปอย่างแรง
“ตูม!”
ไม่กี่เสี้ยววินาทีหลังจากลูกเหล็กถูกขว้างออกไป เปลวเพลิงกลุ่มหนึ่งก็พลันระเบิดขึ้นกลางอากาศ ถังน้ำมันของเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นถูกลูกเหล็กพุ่งชน จึงระเบิดขึ้นมากลางท้องฟ้าทันที
หลังจากขว้างลูกเหล็กลูกที่หนึ่งออกไปแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่ได้หยุดนิ่งเลย ขว้างลูกเหล็กออกไปอีกสามลูกติดๆ กัน เฮลิคอปเตอร์ทั้งสามลำที่บินขนานกันมาเป็นทีมจึงร่วงตกลงไปบนพื้นในเวลาเดียวกัน
“ฝ่ายศัตรูมีอาวุธในครอบครอง ขอเสนอให้ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดครับ!”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ทำให้คนขับเฮลิคอปเตอร์ที่ตามมาข้างหลังรีบหยุดลงทันที แล้วขอกำลังเสริมไปทางวิทยุสื่อสาร
แต่ทหารนายนั้นก็ไม่ได้คิดว่า หน่วยพลร่มต่างกระโดดลงไปกันหมดแล้ว ถ้าใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดตอนนี้ สงสัยว่าเยี่ยเทียนยังไม่ทันถูกระเบิดตาย ทหารพลร่มเหล่านั้นก็คงจะเหลือรอดชีวิตอยู่ไม่กี่นายแล้ว
“อ้าว? เจ้าผีดูดเลือด ตามมาเร็วเหมือนกันนี่”
หลังจากเฮลิคอปเตอร์ถอนกำลังไปชั่วคราว เยี่ยเทียนก็รู้สึกกดดันน้อยลงไปมาก เพียงแต่ขณะที่เขากำลังจะฝ่าออกไปจากวงล้อม ร่างก็กลับพลันหยุดยืนอยู่กับที่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น